พระดีบางท่าน เลือกมรณภาพเพื่อตัดเคราะห์กรรมประเทศชาติ

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 8 สิงหาคม 2011.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    กราบเท้าหลวงปู่หงส์ สู่นิพพานครับ
     
  2. WHITE_ROAD

    WHITE_ROAD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +163
    "ส่วนหนึ่งในปฐมสมโพธิกถา ท่านกล่าวถึงนางผุสดีที่ขอพร ๑๐ ประการจากพระอินทร์ แล้วจุติลงมาเกิดเป็นพระนางสิริมหามายา พร ๑๐ ประการนั้น มีอยู่ประการหนึ่งว่า ตั้งท้องจนถึงเดือนสุดท้ายจะคลอด ก็อย่าให้ท้องนูนออกมาจนมองเห็น

    พระนางสิริมหามายาเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ไม่มีใครสวยกว่านั้นอีกแล้ว เพราะนอกจากจะสมบูรณ์ด้วยเบญจกัลยาณีแล้ว ยังมีอิตถีลักษณะอีก ๖๔ ประการที่คู่ควรที่จะเป็นพระพุทธมารดา

    เราเคยชินกับการทำนายลักษณะของสิทธัตถะราชกุมาร ที่พราหมณ์ทั้ง ๑๐๘ ท่าน ลงความเห็นไป ๑๐๗ ท่านว่า ถ้าหากไม่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชปกครองโลก ก็จะต้องเป็นศาสดาเอกของโลก ยกเว้นโกณฑัญญะพราหมณ์ พราหมณ์หนุ่มที่สุด ฟันธงอย่างเดียวเลยว่า จะต้องเป็นศาสดาเอกของโลกโดยสถานเดียวเท่านั้น

    นี่เราเคยชินกับคำทำนายนี้ แต่ถ้าเราไม่ได้ศึกษาให้ลึกลงไป เราไม่เคยชินกับคำทำนายของพระนางสิริมหามายา พราหมณ์ที่มาทำนายในลักษณะที่ฟันธงว่าจะเป็นพระพุทธมารดา เขาเอาคำว่าพระพุทธมารดามาจากไหน ? แสดงว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จะต้องมีจารึกอยู่ในคัมภีร์ต่าง ๆ ของศาสนาพราหมณ์อยู่แล้ว

    อย่างเรื่องมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ของพระพุทธเจ้า ที่เป็นลักษณะของมหาบุรุษ เขาก็บอกว่าท้าวมหาพรหมลงมาชี้แจงลักษณะเหล่านี้ให้แก่ผู้นำศาสนาของเขา แล้วได้บันทึกไว้เป็นคัมภีร์ เพื่อที่ถึงเวลาเมื่อมีมหาบุรุษปรากฏขึ้น ก็จะได้รู้ว่านี่ใช่แล้ว เพราะตรงกับตำรา

    แต่ทางด้านของพระนางสิริมหามายาที่จะเป็นพระพุทธมารดา เราไม่รู้ว่าตำรานี้มาจากไหน เพราะว่าไม่ได้เขียนเอาไว้ อาตมาก็ไม่อยากจะมั่วว่าก็คงจะมาแบบเดียวกัน

    พระนางสิริมหามายานอกจากที่จะสวยงามสมบูรณ์พร้อมที่จะเป็นพระพุทธมารดาแล้ว ยังมีความมหัศจรรย์ส่วนตัวอยู่อีก ๑๒ ประการด้วยกัน ความมหัศจรรย์ส่วนตัว ๑๒ ประการนี้ ในบาลี เรียกว่า อัจฉริยธรรม คำว่า อัจฉริยะ แปลว่า มหัศจรรย์ เหนือมนุษย์ ไม่เหมือนคนอื่นเขา"<O:p</O:p
    ความอัศจรรย์ประการแรกก็คือ ถ้าหากพระพุทธมารดาจะให้ทานโดยอาหารที่บรรจุไว้ในถาดทองคำ บาลีเขาบอกไว้ละเอียดเลยว่า ต่อให้ผู้คนมาขอรับอาหารทั่วทั้งชมพูทวีป อาหารนั้นก็ไม่ได้พร่องลง ลักษณะคล้าย ๆ ท่านเมณฑกเศรษฐี ที่ตักข้าวออกไปเลี้ยงคนทั้งเมือง ก็แหว่งไปแค่ทัพพีเดียว

    แต่กรณีของพระพุทธมารดาไม่ได้เลี้ยงคนทั้งเมือง หากแต่เลี้ยงคนทั้งชมพูทวีป ซึ่งสมัยนั้นเขาหมายถึงโลกมนุษย์ คือเลี้ยงคนทั้งโลก..!

    ความอัศจรรย์ประการที่ ๒ ของพระนางสิริมหามายา ก็คือ ใครเจ็บไข้ได้ป่วย แค่ท่านยกมือแตะคนป่วยก็หาย ฟังแล้วคุ้น ๆ ไหม ? มีใครอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลมาบ้าง ? พระคริสต์ก็คือพระเยซู..ใช่ไหม ? สัมผัสตัวคนป่วยก็หาย แสดงว่าเรื่องแบบนี้ มีอยู่ในทุกศาสนา ขึ้นอยู่กับว่า บุคคลนั้นประกอบด้วยบารมีธรรมระดับไหน ดังนั้น..ใครที่เป็นมะเร็ง รีบไปหาพระพุทธมารดาโดยด่วน ขอให้พระองค์ท่านช่วยจับให้หน่อย

    ความมหัศจรรย์อย่างที่ ๓ อยากให้ท่านมาช่วยจับแถว ๆ นี้หน่อย ท่านบอกว่า จับต้องใบของติณชาติ(หญ้า)หรือรุกขชาติ(ต้นไม้) ก็จะกลายเป็นสุวรรณ(ทองคำ)ทั้งหมด นี่ดีกว่าพระราชาไมดาส

    พระราชาไมดาสขอพรจากเทพเจ้า เพราะว่าท่านชอบทองคำมาก ขอพรว่าทุกอย่างที่พระองค์จับต้องขอให้กลายเป็นทองคำ จับอาหารก็เลยเสวยไม่ได้เพราะกลายเป็นทอง เผลอหน่อยเดียว ลูกที่รักวิ่งเข้ามา จับเข้าก็กลายเป็นทองไปอีก นั่นท่านขอพรแบบไม่รอบคอบ แต่ว่าของพระนาง<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>สิริมหามายา จับต้นไม้ใบหญ้า ต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้นจะกลายเป็นทอง แต่อย่างอื่นไม่เป็น

    ความมหัศจรรย์อย่างที่ ๔ ก็คือ ถ้าพระองค์ท่านปลูกต้นไม้ จะโตทันตาและออกดอกออกผลให้เดี๋ยวนั้นเลย"
    <O:p</O:p
    ความมหัศจรรย์ประการที่ ๕ ก็คือ ถ้าหากว่าพระนางเสด็จไปที่ไหนก็ตาม แม้กระทั่งขึ้นไปบนยอดเขาที่ไม่มีน้ำ ถ้ากระหายน้ำขึ้นมา ท่านบอกว่าก็จะมีน้ำผุดขึ้นมาโตเท่าลำตาล จะเสวยหรือจะสระสรงอย่างไรก็ได้

    ให้เราสังเกตว่า เนื้อหาเหล่านี้ต่อเนื่องกันมาในลักษณะเดียวกัน ก็คือ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดขึ้นจากบารมีที่พระองค์ท่านสั่งสมมา จนกระทั่งเหมาะสมที่จะเป็นพระพุทธมารดา"

    <O:p</O:p
    "ความอัศจรรย์ประการที่ ๖ ของพระพุทธมารดา ก็คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปไหน ก็ไม่ต้องเตรียมอาหารไป ถึงเวลาเทวดาจะนำโภชนะอันเป็นทิพย์มาถวาย ไม่ได้ถวายคนเดียวนะ ถวายมากพอที่จะเลี้ยงบริวารของพระนางทั้งหมดได้ด้วย

    ความอัศจรรย์ประการที่ ๗ ของพระพุทธมารดาก็คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปประพาสสระสวนอุทยานที่ไหน ก็ไม่ต้องเตรียมเครื่องแต่งตัวไป จะสระสรงสนานอย่างไร เทวดาจะนำเครื่องทิพย์ของหอมและนำพัสตราภรณ์ต่าง ๆ มาถวายให้ได้ใช้ทุกครั้ง

    พวกเราอย่าเผลอนะ อยากเป็นพระพุทธมารดาเดี๋ยวได้เป็นจริง ๆ เพราะเท่ากับว่าเราได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ ฉะนั้น..เป็นเรื่องที่เราต้องคอยระมัดระวังด้วยว่า จิตของเราจะคล้อยตามหรือเปล่า ?

    ความอัศจรรย์ประการที่ ๘ ก็คือ เมื่อพระนางเข้าที่บรรทม ท่านใช้คำว่า ยักขราชา ๘ ตน คือ บรรดาหัวหน้าเทวดาที่เป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณทั้งหลาย จะถือวชิราวุธแวดล้อมคอยป้องกันอันตรายให้ตลอดคืน แสดงว่าอย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีเทวดาระดับมหาอำมาตย์ขึ้นไปมาให้การดูแลอยู่

    ความอัศจรรย์ประการที่ ๙ คือ ไม่ว่าจะเสด็จไปที่ไหนก็ตาม บรรดาอสูรราช ก็คือราชาของอสูร น่าจะเป็นระดับท่านท้าวเวปจิตตาสูร ท่านอสุรินทราหู จะแปลงกายเหมือนกับเป็นนักแสดงมหรสพติดไปกับขบวน เพื่อคอยแวดล้อมระมัดระวังอันตรายต่าง ๆ ให้

    พูดง่าย ๆ ว่า กลางวันก็มี รปภ.ส่วนตัวขบวนหนึ่ง กลางคืนก็ขบวนหนึ่ง แบ่งสรรหน้าที่กันเสร็จสรรพเลย เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พวกเราฟัง ๆ แล้วก็ต้องมาคิดว่า บุญคนนี่ส่งให้เป็นไปถึงขนาดนั้นเลยหรือ ?"
    <O:p</O:p
    ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๐ ก็คือ ถ้าเป็นฤดูร้อน เหล่าเทวดาจะนำน้ำทิพย์จากสระอโนดาต บรรจุในหม้อทองคำ มาถวายให้สรงทุกวัน

    ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๑ ก็คือ ถ้าเป็นหน้าหนาว เทวดาจะนำผ้าทิพย์จากต้นกัลปพฤกษ์ในป่าหิมพานต์ มีความยาว ๘๐ ศอก มาถวายเป็นผ้าห่มกันหนาว

    ความเชื่อเรื่องต้นกัลปพฤกษ์ บางคนก็ตีความว่า ประเทศชาติอุดมสมบูรณ์ถึงขนาดว่าไปทางไหนก็ตาม พวกเครื่องใช้ไม้สอย ข้าวปลาอาหารไม่ขาดแคลน คือท่านที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ ก็ไปตีความอีกอย่าง

    ความอัศจรรย์ประการที่ ๑๒ ของพระพุทธมารดา คือ ถ้าพระองค์ท่านต้องการให้ทานต่อบรรดาสมณชีพราหณ์ หรือคนยากจนเข็ญใจเมื่อไร ฝนจะตกลงมาเป็นแก้วแหวนเงินทอง เก็บไปให้ทานได้เดี๋ยวนั้นเลย

    ดังนั้น..รวมความแล้วว่า นอกจากพระองค์ท่านจะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดแล้ว ยังประกอบไปด้วยบารมีอันเป็นอัศจรรย์ ๑๒ ประการด้วยกัน บาลีเรียกว่า อัจฉริยธรรม ธรรมอันน่ามหัศจรรย์ แต่ก็มหัศจรรย์สำหรับบุคคลที่ไม่เข้าใจเรื่องการส่งผลของกรรมเท่านั้น

    <O:p</O:p

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า พุทธวิสัย ๑ ฌานวิสัย ๑ กรรมวิบาก ๑ โลกจิณไตย ๑ บุคคลทั่วไปไม่ควรคิด ถ้าหากว่าคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า พึงมีส่วนของความเป็นบ้า แปลมาจากบาลีว่า อุมฺมตฺตกภาโค แต่ถ้าหากเป็นเราพูดภาษาไทยชัด ๆ ก็คือ คิดไปก็บ้าเสียเปล่า ๆ คิดไม่ออกหรอก

    พุทธวิสัย ก็คือความสามารถของพระพุทธเจ้า บุคคลที่สร้างบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บุคคลทั่ว ๆ ไปแค่ ๑ อสงไขยก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว บุคคลที่ทำงานมากกว่า ๔ เท่า ย่อมรวยกว่าไม่รู้เท่าไรไม่ต้องไปคิดหรอก เสียเวลาเปล่า ๆ

    ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌานสมาบัติ เขาจะผาดแผลงสำแดงฤทธิ์อย่างไร ก็ทำได้อยู่แล้วเป็นปกติ เราทำไม่ได้แล้วไปคิดว่าเขาทำอย่างไรหนอ ? คิดให้หัวแตกก็คิดไม่ออก เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะคิดได้ หากแต่เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ได้

    กรรมวิบาก คือการส่งผลของกรรม จะพิลึกพิลั่นอัศจรรย์ขนาดไหน แค่พระนาง<st1:personName w:st="on" ProductID="สิริมหามายา ทรงความอัศจรรย์">สิริมหามายา ทรงความอัศจรรย์</st1:personName> ๑๒ ประการ ก็ว่ามากแล้ว พระพุทธเจ้าของเราประกอบไปด้วยพระพุทธลักษณะอีกมากมายมหาศาล แต่ละอย่างเกิดจากกรรมในอดีตที่พระองค์ท่านสร้างมาทั้งสิ้น"
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    "โลกจิณไตย ความเป็นไปของโลก ทำไมภาคเหนือถึงแผ่นดินไหว ? ทำไมภาคกลางจึงหนาว ? ทำไมภาคใต้ถึงน้ำท่วม ? คิดแค่ประเทศเราก็จะบ้าแล้ว ถ้าหากคิดไปว่า ทั้งโลกทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ก็จะประสาทกินเสียเปล่า ๆ

    ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้ามเอาไว้ เพราะว่าวิบากคือการส่งผลของกรรมนั้น เป็นไปตามผลที่ตนเองทำมา แต่ว่าผลมหัศจรรย์นั้น ถ้าได้ทำในส่วนที่เป็นบุญกุศลในเขตของพุทธศาสนา จะส่งผลให้มากกว่าที่ทำจนประมาณไม่ได้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๔<O:p</O:p
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    คงสงเคราะห์ได้แค่นี้ ที่เหลือถือคติว่า ผู้สั่งสมบุญมาดี ย่อมพบครูบาอาจารย์ที่ดี

    และใครทำบุญร่วมสายไหนมาก็ศรัทธาสายนั้น ไม่สามารถสั่งสอน หรือทำให้ศรัทธาข้ามสายได้

    ถ้าสังเกตในพระไตรปิฎกมีหลายครั้งที่พระพุทธองค์ท่านให้พระสาวกไปเจริญศรัทธาก่อนที่พระองค์จะเสด็จไปสอนซ้ำ หรือหลายครั้งที่พระอัครสาวกสงเคราะห์ไม่ได้ ต้องให้พระสาวกองค์อื่นสงเคราะห์แทน


    และในปัจจุบันมีกลุ่มศรัทธาหลายสายเกิดขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะกลุ่มใหญ่แถวชานเมือง
    หรือกลุ่มน้อยที่ประกาศว่ามีแนวทางของตัวเอง

    ไม่เว้นแต่ฝรั่งต่างชาติข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาเมืองไทย หลายคนก็ศรัทธาในตัวพุทธทาส และหลายคนก็ศรัทธาในตัวหลวงพ่อชาซึ่งมีแนวปฏิบัติคนละแบบอย่างเห็นได้ชัด(ถ้าลองศึกษาดู)

    โดยสายหลวงพ่อชา นั้น หากใครได้อ่านลูกศิษย์บันทึกคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิฤทธิ์หลายอย่างเกิดขึ้น แต่องค์หลวงพ่อชาท่านเน้นเทศนาปาฏิหาริย์มากกว่า

    ท้ายนี้ กว่าจะสิ้นลมไปอีกหนึ่งชาติ คงมีคำถามเข้ามาในชีวิตอีกมากมาย และคงสูญเปล่าในการค้นคว้าต่อไปหากยังไม่เข้าใจคำว่า "การส่งผลของกรรม" และ "โลกจิณไตย" อย่างแท้จริง

    แม้กระทั่งสิ่งที่ส่งสัยพร้อมลมหายใจสุดท้าย...ที่กำลังหลุดไปจากร่าง .... ทำไมคนธรรมดาตายกระดูกไม่เปลี่ยน แต่พระที่ดีเมื่อสิ้นแล้วพระอัฐิท่านกลับเปลี่ยน ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2011
  3. sutamas_t

    sutamas_t Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +42
    เป็นคนบางปลาม้า ผ่านวันสวนหงส์บ่อยๆ ยังไม่รู้เรื่องเลยค่ะ
     
  4. นภัสดล

    นภัสดล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    236
    ค่าพลัง:
    +433

    สำหรับผู้ที่ศึกษาอย่างเข้าใจและไม่สงสัยแล้ว ผมว่าคงไม่แปลกนะท่าน เพราะพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกองค์ ..อฐิฐานจิตขอให้ท่านอยู่ต่อ สาธุ ขออนุโมทนา
     
  5. dessert

    dessert สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2010
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +3
    เห็นด้วยอย่างคุณ sornsill กล่าวว่า เป็นเรื่องอจินไตย

    ผู้เล่าเรื่องในบทสนทนา อาจจะเป็นผู้ทรงฌาน (ไม่แน่ใจว่าใครเล่า)
    พระสงฆ์ที่กล่าวถึง อาจจะเป็นผู้ทรงฌาน (ไม่แน่ใจว่าพูดถึงใคร)
    การตัดเคราะห์กรรมของประเทศ เป็นเรื่องกรรมวิบาก (อันนี้ชัดเจน)

    ตรงนี้น่าจะเป็นจุดสิ้นสุดของการทำความเข้าใจ
    เริ่มด้วย กาลามสูตร แล้วทำการโยนิโสมนสิการ หากสรุปได้ว่าเป็นอจินไตยก้อไม่ควรคิดต่อ

    ขอบคุณครับ กระจ่างขึ้นเยอะ :cool:
     
  6. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    หากมีคำถามเกี่ยวกับวัตถุมงคล การสวดพระคาถา (สวดมนต์)
    ว่าเป็นการสวนทางกับคำสอนในพระพุทธศาสนาหรือไม่
    ขอแนะนำให้ท่านลองศึกษาดูจากลิ้งค์นี้นะครับ

    http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-090727095641261

    คำถาม
    "วัตถุมงคล(หรือพิธีกรรมมงคล อาทิ การเสกน้ำมนต์,ทำด้ายสายสิญจน์ซึ่งต่อมา ได้พัฒนาเป็นวัตถุมงคล,พระเครื่องในชั้นหลัง)เป็นของมีในพระพุทธศาสนามาแต่ เดิมหรือไม่..???"
    คำตอบ
    "มี และมีทั้งก่อนและในพุทธกาลแล้วด้วย..!!!!????"
    และ
    "ที่สุด แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังเสวยพระชาติเป็นพระ โพธิสัตว์ ก็ทรงเคยใช้เครื่องรางของขลังเพื่อป้องกันภยันตรายมาแล้วเช่นกัน ..!!!???!!!"


    คำถาม
    "การสวดมนต์ปริตเป็นเดรัจฉานวิชาหรือไม่??"
    คำตอบ
    "ไม่..เพราะการสวดมนต์พระปริตรอันเป็นเครื่องป้องกันภยันตรายต่างๆ ได้มีเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ายังดำรงอยู่แล้ว มีบัญญัติในพระวินัยทรงห้ามพระภิกษุเรียนเดรัจฉานวิชา แต่ให้เรียนปริตรป้องกันเหตุเภทภัยต่างๆ เมื่อมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น พระสงฆ์ก็ใช้สวดสาธยายพระพุทธวจนะนั้นตามสมควรแก่เหตุการณ์ ดังมีเรื่องเล่าว่า เมื่อคราวเมืองเวสาลี เกิดโรคระบาดทำให้คนและสัตว์ตายเป็นอันมาก พระอานนท์ ได้ไปยังที่นั้นแล้วสวด"รตนสูตร" โรคนั้นระงับไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2011
  7. rawats_99

    rawats_99 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,947
    ความลังเลสงสัยในเรื่องต่างๆ..ก็เป็นเครื่องขวางกั้นการรู้แจ้งเห็นจริงได้น่ะครับ..เพราะบางสิ่งก็ไม่ควรคิดสงสัยเพราะไม่มีประโยชน์..เช่นเรื่องพระธาตุหรืออะไรก็แล้วแต่..การบริสุทธิหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงก็เกิดจากจิต..เมื่อจิตดีกายก็ดีบริสุทธิไม่มีอะไรเจือปน..เมื่อผู้หมดจดจากกิเลสตายไป..กระดูกเลือด ฯลฯ ก็จะกลายเป็นของบริสุทธิ...คำว่าบริสุทธิคือต้องมีเพียงธาตุเดียวเป็นองค์ประกอบ...และจะไม่ใช่ Carbon ,Mn, อะไรที่เห็นได้..แต่จะเป็นธาตุที่เป็นเฉพาะขึ้นอยู่กับบารมี..ส่วนธาุตุที่สามารถเพิ่มจำนวนได้ก็เนื่องจาก..สสารไม่ได้สูญหายไปไหนเมื่อมีการเผา..ธาตุขันธ์ๆเหล่านั้นที่กระจายไปก็กลับมารวมกันใหม่อีกครั้งกับธาตุเดิมที่เป็นเฉพาะ..เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไม่พระผู้สำเร็จแล้วไม่กลายเป็นพระธาตุตอนมีชีวิตอยู่..คำตอบง่ายๆก็คือถ้าท่านกลายเป็นพระธาตุตอนนั้นร่างกายก็ไม่สามารถทำงานได้เพราะธาตุได้เปลี่ยนไป.....สรุปง่ายว่าความลังเลสงสัยก็เป็นนิวรตัวหนึ่ง
     
  8. sornsill

    sornsill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +515



    ขออนุโมทนาในธรรมพระพุทธองค์

    ปฏิบัติได้เท่ากระพี้ ยังดีกว่าไม่ปฏิบัติ

    ขอเจริญในธรรม
     
  9. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    พุทโธอัปปมาโณ
    ธัมโมอัปปมาโณ
    สังโฆอัปปมาโณ

    สาธุๆ
     
  10. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    อนุโมทนา สาธุ
    ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน
    เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง
    คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
     
  11. Ji_ramet

    Ji_ramet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +222
    ผมก็เป็นคนชอบสงสัยโน่นนี้เยอะครับ อย่างกระทู้นี้ผมก็สงสัยเหมือนกันครับว่าเอ๊ะเกี่ยวกันยังไงทำไมช่วยประเทศชาติ กระทู้นี้ผมอ่านแล้วครับที่เข้ามาอีกเพราะบางทีอาจมีกันถามตอบปัญหาที่ผมสงสัยอยู่ด้วยครับ ขณะนี้หายสงสัยแล้วครับ เนื่องจากความเห็นของผมตรงกับหลาย ๆ ท่านครับ
    หลายคำถามของผมยังไม่ได้คำตอบ บางคำถามผมก็เอามาถามเพื่อนสมาชิกบ้าง มีคนตอบแล้วไม่เข้าใจบ้าง ตอบแล้วเข้าใจทีหลังบ้าง เข้าใจแล้วมีคำถามผุดขึ้นอีกแตกประเด็นไปอีกบ้าง
    ได้แต่วางอุเบกขาไม่สงสัยในเรื่องไม่เป็นเรื่องครับ หรืออาจเป็นเรื่องแต่ก็ไม่สงสัยครับ เพราะบางเรื่องรู้ไปก็ไม่ช่วยให้ปฏิบัติดีขึ้นไม่รู้ก็ไม่ได้ปฏิบัติดีขึ้น
    คำถามเฉพาะคน ๆ นึงมีเยอะครับ ผมขออนุโมทนาในกุศลจิตกับสมาชิกทุกท่านที่ตอบข้อสงสัยให้แก้นักสงสัยทั้งหลาย
    ผมรู้สึกซาบซึ้งและเหนื่อยแทนมากครับ เพราะเฉพาะตัวผมคงเรียบเรียงคำพูดหรือตัวหนังสือให้ออกมาแล้วคนอื่นเข้าใจอย่างท่านทั้งหลาย

    ปล.ผมชอบเรื่องบาตรบุบมากครับ เคยได้ยินหลวงตาท่านเทสน์เกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตกอยู่ครับ เมื่อเวลาท่านพูดถึงท่านสิงห์ทอง เรื่องนี้ผมเพิ่งเคยอ่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2011
  12. bai-chapoo

    bai-chapoo สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +3
    สาธุค่ะ อยากทราบว่าที่สมุทรปราการ มีเกจิท่านใดบ้างค่ะ ใครรู้ช่วยตอบด้วยนะคะ
     
  13. jaetechno

    jaetechno เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,888
    ค่าพลัง:
    +6,182
    สงสัยมาก..คิดมาก ...เอาเวลาที่สงสัยไปปฏิบัติดีกว่า ปฏิบัติถึงมรรคถึงผลตัว "ปัญญา"ก็จะเกิดก็จะคลายสงสัย..เพราะว่าติดสงสัย(เรื่องบางเรื่อง) ...จึงกลับมาเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วนเช่นนั้นแล...(รวมทั้งตัวผมที่ติดสงสัยและไม่ยอมปฏิบัติในกาลที่ผ่านมา)..เวลาเหลือน้อยแล้วอย่าติดสงสัยในเรืองที่เป็นอจินตรัยอยู่เลย..
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...