เรื่องเด่น ความเชื่อเรื่องการปิดทองที่องค์พระ

ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย Nagaman, 5 สิงหาคม 2011.

  1. Nagaman

    Nagaman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,041
    ค่าพลัง:
    +6,329
    ปิดทองหลังพระ ชาวพุทธมีความเชื่อว่าเป็นการสร้างบุญมหากุศลอันยิ่งใหญ่ โดยมีคติความเชื่อว่าผู้ที่ได้มีโอกาสปิดทองพระไม่ว่าจะเกิดภพชาติใดจะมีผิว พรรณผ่องใสงดงาม มีสง่าราศรี เป็นที่ถูกเนื้อต้องใจของผู้ที่พบเห็น ส่วนอานิสงค์ผลบุญที่ให้เห็นในชาตินี้

    [​IMG]

    ชาวพุทธมีคติความเชื่อเรื่องการปิดทองที่องค์พระในจุดต่างๆมาตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงปัจจุบัน คือ
    1.ถ้าปิดที่พระพักตร์ มีคติความเชื่อว่าทำให้หน้าที่การงาน ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
    2.ปิดบริเวณพระอุทร (ท้อง) มีคติความเชื่อว่า จะอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง
    3.ปิดที่พระนาภี (สะดือ) มีคติความเชื่อว่าตลอดทั้งชีวิตจะไม่รู้จักคำว่าอด สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สิน
    4.ปิดที่พระเศียร (หัว) มีคติความเชื่อว่า จะทำให้สติปัญญาความจำเป็นเลิศ สามารถแก้ไขฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคของชีวิตได้ตลอด
    5.ปิดที่พระอุระ (หน้าอก) มีคติความเชื่อว่า ทำให้มีความสง่าราศรีเป็นที่ถูกใจของคนทั่วๆ ไป
    6.ปิดที่พระหัตถ์ (มือ) ทำให้เป็นคนที่มีอำนาจบารมี
    7.ปิดที่พระบาท (เท้า) มีคติความเชื่อว่า สมบูรณ์ด้วยที่พักอาศัย และยวดยานพาหนะ
    ส่วนการปิดทองหลังพระนั้นที่มีการพูดถึงเป็นภาษิต มีคติความเชื่อว่าถ้าจะให้การปิดทองทั้งหมดสมบูรณ์ต้องปิดด้านหลังด้วย นอกจากนี้แล้ว แม้ไม่ปิดที่องค์พระเช่น กรณีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ แม้การปิดทองบริเวณฐานของรองขององค์พระก็ทำให้หน้าที่การงานมั่นคงเจริญก้าว หน้าได้เช่นเดียวกัน
    การไหว้พระปิดทองนั้น เป็นคติธรรมมุ่งหมายถึงการได้บูรณะต่อองค์พระพุทธปฏิมา เพื่อผลแห่งอานิสงส์ที่จะให้ผลโดยทันที สำหรับผู้ที่เกิดเคราะห์กรรมหรือวิบากกรรม อุปสรรค ความมัวหมองในชะตาชีวิต ในสัมมาอาชีพหากต้องการความสำเร็จในสิ่งที่ทำไปแล้วโดยฉับพลันทันทีการสร้าง อานิสงส์โดยการปิดทองพระพุทธปฏิมาจึงเป็นสิ่งที่ให้ผลโดยตรงไม่ต้องรอถึง ชาติหน้าค่ะ

    ขอบคุณข้อมูลจาก horolive
    ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com
    ความเชื่อเรื่องการปิดทองที่องค์พระ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,260
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    อนุโมทนาสาธุๆค่ะ ขอบพระคุณค่ะ


    กรรมอย่างเดียวเป็นที่มาและที่ไป
     
  3. misu

    misu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +3,172
    การปิดทองคือความเชื่อครับ ไม่ทำให้เกิดบุญจากการปิดทอง
    การซื้อแผ่นทองคือ กุสโลบายให้ทำบุญทำทานครับ..
    .... พระพุทธรูปที่สวยงามจากการหล่อการสร้างสององค์ ตั้งคู่กัน องหนึ่งปิดทองด้วยแผ่นทองทั้งองค์ มองไม่เห็น ตา จมูก แผ่นทองปลิวสไว.....กับอีกองค์เดิมๆ ท่านว่า องค์ไหนน่ากราบน่าไหว้มากกว่ากัน...
    .....แต่ในทางกลับกัน องพระพุทธ ที่เปื้อฝุ่นในศาลา เราเอาผ้าสะอาดมาเช็ดมาถู ดูใหม่สดใส กลับได้บุญซะอีก แถมบุญนั้นมีอานิสงค์ ทำให้เกิดปัญญา......
    ......รูปหล่อพระเกจิต่างๆ หากท่านบอกได้ คงบอกว่า ลูกหลานเอ้ย อย่าเอาทองมาปิดหน้าปิดตา จมูก หายใจไม่ออก คัน แถมรำคาญ...ท่านบอกได้คงจะดี.....
    หรืออีกมุม ตัวเราๆนั่งๆ มีคนเอาแผ่นทองมาปิดทั่วตัว...เราจะรู้สึกดี หรือรำคาญ...ลองคิดดูครับ .....
    พระพุทธองค์สอน บุญเกิดจากทานศิล สมาธิ ภาวนา..แตการบูชาพระพุทธเ จ้า ด้วยอะไรจะได้อนิสงค์แต่ละอย่าง สร้างเจดีทองบูชาด้วยเครืงหอม ดอกไม้อย่างดี ..ไดอานิสงค์ตามสิ่งที่ทำครับ....
    ...................รอท่านผู้รู้ท่านผู้รู้ท่านอื่นครับ สำหรับผมตามที่เขียนไป วัดที่ผมไปประจำไม่อนุญาตให้ปิดทอง เพราะไม่ได้บุญ แถมจะได้บาปทำให้องพระเปื้อน พระเณรต้องตามเช็ดตามกวาด...ทำกรรมทางอ้อม..อีกด้วยครับ
     
  4. SP6580

    SP6580 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +1,550
    ผมเคยเป็นโรคตาปลาใต้ฝ่าเท้า และรักษานาน 3ปีกว่า เป็นทุกข์นานพอ สมควร สวดมนต์ก็ไม่หาย เลยอธิษฐานกับพระบ้าง เทวดาบ้างให้เจอวิธีรักษาให้สักที แล้วก็เจอบทความเรื่องอานิสงค์การติดทองพระ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสไปวัดต่างๆ ก็จะติดทองที่พระบาทของพระพุทธรูปทุกครั้ง แล้วอธิษฐานให้หาย ไม่นานก็รักษาหายดีใจมาก ถึงแม้จะมีรอยแผลเป็นนิดหน่อยก็สบายใจครับตอนนี้ สรุปผมเชื่อและศรัทธาครับ
     
  5. mordoo_ok

    mordoo_ok Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +39
    .. สรุปว่า..ปิดที่ตรงไหนก็ดีหมดใช่มั๊ยครับ ..
    .. ยัไงก็..ขออนุโมทนา สาธุ ด้วยคนครับ ..
     
  6. cast

    cast สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2011
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +3
    เราก็ชอบปิดทองพระตรงที่ว่างๆ ที่ยังไม่มีคนปิด ค่ะ
     
  7. ตาลเดี่ยว

    ตาลเดี่ยว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +425
    การปิดทองพระแล้วได้บุญหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมานตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยายแล้ว หรืออาจเป็นกุศโลบายให้คนสร้างบุญโดยการบริจาคทรัพย์เพื่อซื้อทองปิดพระ เสร็จแล้วทางวัดก็นำปัจจัยนั้นทำนุบำรุงวัดอีกต่อหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าคิดว่าทางที่ก่อให้เกิดบุญแน่นอนคือ ๑.บุญเกิดจากการให้ทาน ๒.บุญเกิดจากการรักษาศีล ๓.บุญเกิดจากการภาวนาอบรมจิตใจ นี่เพียงย่อๆเท่านั้นครับกับวิธีสร้างบุญ และขออนุโมทนากับทุกท่าน :cool:
     
  8. pawanakun

    pawanakun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    291
    ค่าพลัง:
    +181
  9. SongritK

    SongritK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +102
    ถ้าคิดให้ดีแล้วคนที่ปิดทอง ต้องเริ่มที่ความคิด บูชาพระพุทธเจ้า ด้วยการปิดแผ่นทองซึ่งหมายถึงการบูชาด้วยสิ่งมีค่าที่บริสุทธิ์ ขณะปิดทองก็มีการบูชาพระไปด้วย ซึ่งเป็นการระลึกถึงคุณ พระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือคุณพระรัตนตรัยเป็นอย่างมาก ซึ่งถือว่าเป็นพทุธธานุสติ เป็นบุญอย่างแน่นอน
     
  10. s3515941

    s3515941 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,193
    อานิสงส์การร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ที่ไม่ได้ปิดทองทั้งองค์

    ถาม : พระชำระหนี้สงฆ์ที่ปิดทอง คนที่มาร่วมบุญกับเราก็จะได้อานิสงส์เหมือนกันทุกคน แต่ถ้าพระองค์นั้นไม่ได้ปิดทองละครับ คนที่เขามาร่วมกับเราจะได้อานิสงส์หรือไม่ ?

    ตอบ : เขาได้อานิสงส์สร้างพระ แต่ไม่ได้อานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ ถ้าไม่ได้ปิดทอง เจ้าภาพได้อานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์เพียงคนเดียว

    ถาม : ถ้าการสร้างพระนั้นไม่ได้ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ จะมีอานิสงส์อัตโนมัติหรือเปล่า ?

    ตอบ : ต้องตั้งใจด้วย อย่าลืมว่า เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ เจตนาเท่านั้นจึงจะเป็นบุญ

    ถาม : ถ้าเราไปร่วมกับเขา แล้วเจ้าภาพเขาไม่ได้ตั้งเจตนาตรงนี้ไว้ ?

    ตอบ : ในเมื่อเรารู้ว่าต้องทำอย่างไร เราก็ตั้งเจตนาเองได้


    สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓

    ในความคิดผม : ความเชื่อเรื่องการปิดทองพระก็คล้ายๆกับ เราไปขอร่วมบุญกับผู้สร้างพระองค์นั้น นั่นเอง
     
  11. paya_po@yahoo.com

    paya_po@yahoo.com เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +227
    ปิดทองหลังพระ

    :cool:ปิดทองหลังพระ ชาวพุทธมีความเชื่อว่าเป็นการสร้างบุญมหากุศลอันยิ่งใหญ่ โดยมีคติความเชื่อว่าผู้ที่ได้มีโอกาสปิดทองพระไม่ว่าจะเกิดภพชาติใดจะมีผิว พรรณผ่องใสงดงาม มีสง่าราศรี เป็นที่ถูกเนื้อต้องใจของผู้ที่พบเห็น ส่วนอานิสงค์ผลบุญที่ให้เห็นในชาตินี้


    [​IMG]


    ชาวพุทธมีคติความเชื่อเรื่องการปิดทองที่องค์พระในจุดต่างๆมาตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงปัจจุบัน คือ
    1.ถ้าปิดที่พระพักตร์ มีคติความเชื่อว่าทำให้หน้าที่การงาน ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
    2.ปิดบริเวณพระอุทร (ท้อง) มีคติความเชื่อว่า จะอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง
    3.ปิดที่พระนาภี (สะดือ) มีคติความเชื่อว่าตลอดทั้งชีวิตจะไม่รู้จักคำว่าอด สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สิน
    4.ปิดที่พระเศียร (หัว) มีคติความเชื่อว่า จะทำให้สติปัญญาความจำเป็นเลิศ สามารถแก้ไขฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคของชีวิตได้ตลอด
    5.ปิดที่พระอุระ (หน้าอก) มีคติความเชื่อว่า ทำให้มีความสง่าราศรีเป็นที่ถูกใจของคนทั่วๆ ไป
    6.ปิดที่พระหัตถ์ (มือ) ทำให้เป็นคนที่มีอำนาจบารมี
    7.ปิดที่พระบาท (เท้า) มีคติความเชื่อว่า สมบูรณ์ด้วยที่พักอาศัย และยวดยานพาหนะ
    ส่วนการปิดทองหลังพระนั้นที่มีการพูดถึงเป็นภาษิต มีคติความเชื่อว่าถ้าจะให้การปิดทองทั้งหมดสมบูรณ์ต้องปิดด้านหลังด้วย นอกจากนี้แล้ว แม้ไม่ปิดที่องค์พระเช่น กรณีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ แม้การปิดทองบริเวณฐานของรองขององค์พระก็ทำให้หน้าที่การงานมั่นคงเจริญก้าว หน้าได้เช่นเดียวกัน
    การไหว้พระปิดทองนั้น เป็นคติธรรมมุ่งหมายถึงการได้บูรณะต่อองค์พระพุทธปฏิมา เพื่อผลแห่งอานิสงส์ที่จะให้ผลโดยทันที สำหรับผู้ที่เกิดเคราะห์กรรมหรือวิบากกรรม อุปสรรค ความมัวหมองในชะตาชีวิต ในสัมมาอาชีพหากต้องการความสำเร็จในสิ่งที่ทำไปแล้วโดยฉับพลันทันทีการสร้าง อานิสงส์โดยการปิดทองพระพุทธปฏิมาจึงเป็นสิ่งที่ให้ผลโดยตรงไม่ต้องรอถึง ชาติหน้าค่ะ

    ขอบคุณข้อมูลจาก horolive
    ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com
    ความเชื่อเรื่องการปิดทองที่องค์พระ[/QUOTE]
     
  12. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    [​IMG]
    กับทุกท่านที่ได้ร่วมทำบุญหล่อพระและปิดทองพระ,ซ่อมพระ
    ตลอดจนสร้างบุญกุศลทุกอย่างด้วยครับ
    ขอให้บุญในการอนุโมทนาและบุญของข้าพเจ้า
    ทุกอย่างเป็นการชำระหนี้
    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ตลอดจนบิดา มารดา ครูอาจารย์ ญาติ
    ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนบริวาร
    เจ้ากรรมนายเวร ทั้งหลายด้วย
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
    นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
    [​IMG]
     
  13. Noppharat

    Noppharat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +40
    ชอบปิดที่หน้าอกกับพระเศียรเราคิดว่าปิดทองที่พระอุระ จะส่งผลด้านจิตใจเสียอีก ที่แท้ทำให้สง่าเองหรอกหรือ
     
  14. lokichang

    lokichang Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +82
    ผมปิดที่เท้าเป็นประจำเลยอ่ะคับ :cool:
     
  15. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539
    ปิดทองพระพุทธรูป
    ผู้ถาม กราบเท้านมัสการหลวงพ่อที่เคารพที่เคารพอย่างสูง อานิสงส์ที่ลูกไม่ได้บริจากแต่ปิดด้วยกำลังศรัทธา สองอย่างนี้จะมีอนิสงส์มากน้อยประการใด ตายแล้วจะไปอยู่ถึงไหนเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ .............. ก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน การปิดทองพระ ดูตัวอย่าง เมณฑกเศรษฐี ใช่แผ่นทองคำเปลวแผ่นเดียว ไปปิดใต้ถุนส้วมตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย ตายจากชาตินั้น เมียเป็นนางฟ้า ผัวเป็นเทวดา ลงมาอีกที่เป็นเศรษฐี ทีนี่ให้ทานต่อ ตายก็ไปเป็นเทวดานางฟ้าใหม่ ลงมาอีกทีเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ พอเข้าท้องแม่กลางคืน เช้าขึ้นมาพ่อมาล้างหน้า เห็นหน่อไม้ทั้งหมดรอบบ้านเป็นทองคำหมด ถ้าคนอื่นหยิบ ดึงไม่ขึ้น เขาต้องการหน่อไม้ได้หน่อนั้น
    ต่อมาวันคลอดมีแพะทองคำตัวเท่าช้างสารหลายร้อยตัวยืนรอบบ้าน อ้าปากมีสายไหมหย่อนลงมา ถ้าต้องการเงินดึงเงินไหล ต้องการทองดึงทองไหล ต้องการผ้าดึงผ้าไหล
    ฉะนั้น เมณฑกเศรษฐี จึงเป็นเศรษฐีรวยมหาศาลเป็นปู่ นางวิสาขา ฉะนั้น สุดแล้วแต่จะอฐิษฐานนะ ถ้าหวังนิพพานก็ได้เร็ว เป็น พุทธบูชา
    ผู้ถาม นี่ขนาดแค่หลุมส้วมนะ
    หลวงพ่อ .... และแผ่นทองแผ่นเดียวตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย นี่เราปิดพระพุทธรูป พระอรหันต์เห็นชัด จิตใขมั่นคงกว่า.... [/color]<!-- google_ad_section_end -->

    คนโบราณเขาฉลาดเพราะเขาอ่านพระสูตรคับ ไม่ใช่เพราะคิดเอาเองหรือเชื่อกันเองอย่างพวกเราทุกวันนี้คับ

    โมทนาในธรรม
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
  16. misu

    misu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +3,172
    ต้องขอขอบพระคุณมากครับที่ มีข้อมูลดีๆๆ เพิงจะทราบ เดี๋ยวนี้เองครับ ว่าเขาบูชาพระรัตนตรัยด้วยการ ใช่แผ่นทองคำเปลวแผ่นเดียว ไปปิดใต้ถุนส้วมตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย แล้วมีอานิสงค์มากมายมหาศาล.....ขนาดนั้น.... แต่เคยได้ยินครูอาจารย์ท่านแสดงธรรม ว่านางอะไรผมจำชื่อไม่ได้ ตั้งจะจะไปเฝ้ากราบพระพุทธเจ้า แต่เอาดอกไม้ไปกราบพระพุทธองค์และไปไม่ถึง มีเหตุต้องตายก่อน เลยไปจุติบนสวรรค์ เพราะจิตที่เป็นกุศล...ถึงซึ่งพระพุทธองค์เป็นที่ตั้งครับ
    ทำความเข้าใจครับ เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกถึงอันประเสริฐ ยุคนี้เราไม่ทันพระพุทธเจ้าไม่ได้เจอตัวจริงๆพระองค์ท่าน เราก็สร้างพระพุทธรูปเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า พระธรรม แต่สมมุติสงฆ์เรายังมีอยู่ครับ คือพระสงฆ์ที่เรา เห็นเรียกว่าสงฆ์สมมุติครับ มีศิล 227 ข้อ กราบไหว้ได้
    หากคนเราๆๆจะบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า โดย จะเอาแผ่นทองไปปิด ใต้ถุนส้วม แล้วบอกบูชาพระรัตนตรัย (แบบนี้จะเอาส้วมเป็นตัวแทน...หรือเปล่ามันไม่ใช่นะครับ) แล้วได้บุญก็แปลกดีครับ (เดียวจะมีใครทำตาม ความรำรวยจะมีได้มาจากผลของการทำทานครับ ทำทานมากด้วยทรัพย์ที่บริสุทธิ์ อานิสงค์ก็มาก ทำถวายพระอรหันต์และ
    พระพุทธเจ้าบุญมากตามกำลังครับ ถวายคณะสงห์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน บุญมหาศาล )

    หากแต่สร้างศาลา สร้างส้วมสำหรับถวายพระอริยสงฆ์ หรือแค่สมมุติสงฆ์ อันนี้เป็นบุญ
    แน่นอนครับ.. สร้างศาลาหรืออื่นๆๆ หากเราไม่มีปัจจัย แต่ออกแรงออกกำลังสุดความสามารถทำด้วยศรัทธา ...ได้บุญแน่นอนครับ...

    พระพุธศาสนาสอนเรื่องเหตุและผลครับ มาดูข้อมูล ว่าท่านเศษฐี่ ทำบุญกันด้วยอะไร
    ทำอย่างไร ทำถวายใคร(อันนี้คือเหตุ)จึงได้บุญมากมายมหาศาลขนาดนั้น(อันนี้คือผล)
    อ้างอิง
    <center><big>อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท มลวรรคที่ ๑๘</big><center class="D"></center></center>
    หน้าต่างที่ ๑๐ / ๑๒.
    <center> ๑๐. เรื่องเมณฑกเศรษฐี [๑๙๑]
    ข้อความเบื้องต้น
    </center> พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยภัททิยนครประทับอยู่ในชาติยาวัน<sup>๑-</sup> ทรงปรารภ<wbr>เมณฑก<wbr>เศรษฐี ตรัส<wbr>พระ<wbr>ธรรม<wbr>เทศนา<wbr>นี้<wbr>ว่า "สุทสฺสํ วชฺชมญฺเญสํ" เป็นต้น.
    ____________________________
    <sup>๑-</sup> ป่าไม้มะลิ. <center>
    พระศาสดาเสด็จไปภัททิยนคร </center> ได้ยินว่า พระศาสดา เมื่อเสด็จเที่ยวจาริกไปในอังคุตตราปถชนบททั้งหลาย ทรงเห็นอุปนิสัยโสดาปัตติผลของคนเหล่านี้ คือเมณฑกเศรษฐี ๑, ภรรยาของเศรษฐีนั้น ชื่อว่านางจันทปทุมา ๑, บุตรชื่อธนัญชัยเศรษฐี ๑, หญิงสะใภ้ชื่อนางสุมนเทวี ๑<sup>#-</sup>, หลานสาวชื่อวิสาขา ๑, ทาสชื่อปุณณะ ๑ จึงเสด็จไปสู่ภัททิยนคร ประทับอยู่ในชาติยาวัน. เมณฑกเศรษฐีได้สดับการเสด็จมาของพระศาสดาแล้ว.
    ____________________________
    <sup>#-</sup> ที่อื่นๆ ว่า สุมนาเทวี. <center>
    เหตุที่ได้นามว่าเมณฑกเศรษฐี </center> ถามว่า "ก็เพราะเหตุไร เศรษฐีนั่นจึงชื่อว่า เมณฑกเศรษฐี?"
    แก้ว่า ได้ยินว่า แพะทองคำทั้งหลายประมาณเท่าช้าง ม้าและโคอุสภะชำแรกแผ่นดิน เอาหลังดุนหลังกันผุดขึ้นในที่ประมาณ ๘ กรีส ที่ข้างหลังเรือนของเศรษฐีนั้น. บุญกรรมใส่กลุ่มด้าย ๕ สีไว้ในปากของแพะเหล่านั้น. เมื่อมีความต้องการด้วยเภสัชมีเนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น หรือด้วยวัตถุมีผ้าเครื่องปกปิด เงินและทองเป็นต้น ชนทั้งหลายย่อมนำกลุ่มด้ายออกจากปากของแพะเหล่านั้น. เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ผ้าเครื่องปกปิด เงินและทอง ย่อมไหลออกจากปากแพะแม้ตัวหนึ่ง ก็เป็นของเพียงพอแก่ชาวชมพูทวีป. จำเดิมแต่นั้นมา เศรษฐีนั้นจึงปรากฏว่า เมณฑกเศรษฐี. <center>
    บุรพกรรมของท่านเศรษฐี </center> ถามว่า ก็บุรพกรรมของเศรษฐีนั้นเป็นอย่างไร?
    แก้ว่า ได้ยินว่า ในกาลแห่ง
    พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี เศรษฐีนั้นเป็นหลานของกุฎุมพีชื่ออวโรชะ ได้มีชื่อว่า อวโรชะ ซึ่งมีชื่อพ้องกับลุง.
    ครั้งนั้น ลุงของเขาปรารภเพื่อจะสร้างพระคันธกุฎีเพื่อพระศาสดา.
    เขาไปสู่สำนักของลุงแล้ว กล่าวว่า "ลุง แม้เราทั้งสองจงสร้างรวมกันทีเดียว" ในเวลาที่ถูกลุงนั้นห้ามว่า "เราคนเดียวเท่านั้นจักสร้างไม่ให้สาธารณะกับด้วยชนเหล่าอื่น" จึงคิดว่า "เมื่อลุงสร้างคันธกุฎีในที่นี้แล้ว, เราควรได้ศาลารายในที่นี้"
    จึงให้คนนำเครื่องไม้มาจากป่า ให้ทำเสาอย่างนี้ คือ "เสาต้นหนึ่งบุด้วยทอง
    <wbr>คำ, ต้นหนึ่งบุด้วยเงิน, ต้นหนึ่งบุด้วยแก้วมณี"
    ให้ทำขื่อ พรึง บานประตู บานหน้าต่าง กลอน เครื่องมุงแลอิฐ แม้ทั้งหมดบุด้วยวัตถุมีทองคำเป็นต้นเทียว ให้ทำศาลารายสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ แด่พระตถาคตในที่ตรงหน้าพระคันธกุฎี
    ในเบื้องบนแห่งศาลารายนั้นได้มีจอมยอด ๓ ยอด อันสำเร็จแล้วด้วยทองคำอันสุกเป็นแท่ง แก้วผลึกและแก้วประพาฬ, ให้สร้างมณฑปประดับด้วยแก้ว ในที่ท่ามกลางแห่งศาลาราย.
    ให้ตั้งธรรมาสน์ไว้. เท้าธรรมาสน์นั้นได้สำเร็จด้วยทองคำสีสุกเป็นแท่ง, แม่แคร่ ๔ อันก็เหมือนกัน แต่ให้กระทำแพะทองคำ ๔ ตัวตั้งไว้ในภายใต้แห่งเท้าทั้ง ๔ แห่งอาสนะ, ให้กระทำแพะทองคำ ๒ ตัวตั้งไว้ภายใต้ตั่งสำหรับรองเท้า, ให้กระทำแพะทองคำ ๖ ตัวตั้งแวดล้อมมณฑป. ให้ถักธรรมาสน์ด้วยเชือกเส้นเล็กสำเร็จด้วยด้ายก่อนแล้ว จึงให้ถักด้วยเชือกอันสำเร็จด้วยทองคำในท่ามกลาง แล้วให้ถักด้วยเชือกสำเร็จด้วยแก้วมุกดาในเบื้องบน.
    พนักแห่งธรรมาสน์นั้น ได้สำเร็จด้วยไม้จันทน์.
    ครั้นให้ศาลารายสำเร็จอย่างนี้แล้ว เมื่อจะกระทำการฉลองศาลา จึงนิมนต์พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุ ๖ ล้าน ๘ แสน ได้ถวายทานตลอด ๔ เดือน. ในวันสุดท้ายได้ถวายไตรจีวร. บรรดาภิกษุเหล่านั้น จีวรมีค่าพันหนึ่ง ถึงแก่ภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์แล้ว.
    เขาทำบุญกรรมในกาลแห่งพระวิปัสสีพุทธเจ้าอย่างนั้นแล้ว เคลื่อนจาก
    <wbr>อัต<wbr>ภาพ<wbr>นั้น ท่อง<wbr>เที่ยว<wbr>ไปในเทวดาและในมนุษย์ทั้งหลาย. ในภัทรกัปนี้ เกิดในสกุลเศรษฐีมีโภคะมากในกรุงพาราณสี ได้มีนามว่า พาราณสีเศรษฐี. <center>
    เศรษฐีประสบฉาตกภัย </center> วันหนึ่ง เศรษฐีไปสู่ที่บำรุงพระราชา พบปุโรหิต จึงกล่าวว่า "ท่านอาจารย์ ท่านตรวจดูฤกษ์ยามหรือ?"
    ปุโรหิต. ขอรับ ผมตรวจดู, เราทั้งหลายจะมีการงานอะไรอื่น?
    เศรษฐี. ถ้าอย่างนั้น ความเป็นไปในชนบทจักเป็นเช่นไร?
    ปุโรหิต. ภัยอย่างหนึ่ง จักมี.
    เศรษฐี. ชื่อว่าภัยอะไร?
    ปุโรหิต. ฉาตกภัย<sup>๑-</sup> ท่านเศรษฐี.
    เศรษฐี. จักมี เมื่อไร?
    ปุโรหิต. จักมี โดยล่วงไป ๓ ปี แต่ปีนี้.
    ____________________________
    <sup>๑-</sup> ภัยคือความอดอยากหรือความหิว.

    เศรษฐีฟังคำนั้นแล้วให้บุคคลทำกสิกรรมเป็นอันมาก รับ (ซื้อ) จำเพาะ<wbr>ข้าว<wbr>เปลือก<wbr>แม้<wbr>ด้วย<wbr>ทรัพย์<wbr>ที่มีอยู่ในเรือน ให้กระทำฉาง ๑,๒๕๐ ฉาง บรรจุฉางทั้งหมดให้เต็ม<wbr>ด้วย<wbr>ข้าว<wbr>เปลือก. เมื่อฉางไม่พอก็<wbr>บรรจุ<wbr>ภาชนะ<wbr>มีตุ่มเป็นต้นให้เต็มแล้ว ขุดหลุมฝังข้าว<wbr>เปลือก<wbr>ที่<wbr>เหลือ<wbr>ในแผ่น<wbr>ดิน. ให้ขยำข้าวเปลือกที่เหลือจากที่ฝั่งไว้กับด้วยดิน ฉาบทาฝาทั้งหลาย.
    โดยสมัยอื่นอีก เศรษฐีนั้นเมื่อภัยคือความอดอยากถึงเข้าแล้ว ก็บริโภคข้าวเปลือกตามที่เก็บไว้. เมื่อข้าวเปลือกที่เก็บไว้ในฉางและในภาชนะมีตุ่มเป็นต้นหมดแล้ว จึงให้เรียกชนผู้เป็นบริวารมาแล้ว กล่าวว่า "พ่อทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงไป จงเข้าไปสู่ภูเขาแล้วเป็นอยู่ ประสงค์จะมาสู่สำนักของเรา ก็จงมาในเวลาที่มีภิกษาอันหาได้ง่าย ถ้าไม่อยากจะมา ก็จงเป็นอยู่ในที่นั้นเถิด."
    ชนเหล่านั้นได้กระทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว.
    ส่วนทาสผู้ทำการรับใช้คนหนึ่ง<sup>๑-</sup> ชื่อว่าปุณณะ เหลืออยู่ในสำนักของเศรษฐีนั้น. รวมเป็นคน ๕ คนเท่านั้นคือ เศรษฐี ภรรยาของเศรษฐี บุตรของเศรษฐี บุตรสะใภ้ของเศรษฐีกับนายปุณณะนั้น (ที่ยังคงเหลืออยู่).
    ชนเหล่านั้น แม้เมื่อข้าวเปลือกที่ฝังไว้ในหลุมในแผ่นดินหมดสิ้นแล้ว. พังดินที่ฉาบไว้ที่ฝาแล้ว แช่น้ำ ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยข้าวเปลือกที่ได้แล้วจากฝานั้น.
    ครั้งนั้น ภรรยาของเศรษฐีนั้น เมื่อความหิวครอบงำอยู่ เมื่อดินสิ้นไปอยู่ พังดินที่เหลืออยู่ในส่วนแห่งฝาทั้งหลายลงแล้ว แช่น้ำได้ข้าวเปลือกประมาณกึ่งอาฬหกะ<sup>๒-</sup> ตำแล้ว ถือเอาข้าวสารประมาณทะนานหนึ่ง ใส่ไว้ในหม้อใบหนึ่ง เพราะความกลัวแต่โจรว่า "ในเวลาเกิดฉาตกภัย พวกโจรมีมาก" ปิดแล้วฝังตั้งไว้ในแผ่นดิน.
    ____________________________
    <sup>๑-</sup> เวยฺยาวจฺจกโร โดยพยัญชนะแปลว่า ผู้กระทำซึ่งกรรมแห่งบุคคลผู้ขวนขวาย.
    <sup>๒-</sup> อาฬหกะหนึ่งคือ ๔ ทะนาน กึ่งอาฬหกะ = ๒ ทะนาน.

    ลำดับนั้น เศรษฐีมาจากที่บำรุงแห่งพระราชาแล้ว กล่าวกะนางว่า "นางผู้เจริญ ฉันหิว อะไรๆ มีไหม?" นางนั้นไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่มีอยู่ว่า "ไม่มี" กล่าวว่า "นาย ข้าวสารมีอยู่ทะนานหนึ่ง."
    เศรษฐี. ข้าวสารทะนานหนึ่งนั้น อยู่ที่ไหน?
    ภรรยา. ฉันฝั่งตั้งไว้ เพราะกลัวแต่โจร.
    เศรษฐี. ถ้ากระนั้น หล่อนจงขุดมันขึ้นมาแล้ว หุงต้มอะไรๆ เถิด.
    ภรรยา. ถ้าเราจักต้มข้าวต้ม ก็จักเพียงพอกัน ๒ มื้อ, ถ้าเราจักหุงข้าวสวย ก็จักเพียงพอเพียงมื้อเดียวเท่านั้น. ฉันจักหุงต้มอะไรล่ะ? นาย.
    เศรษฐี. ปัจจัยอย่างอื่นของพวกเราไม่มี พวกเราต่อบริโภคข้าวสวยแล้วก็จักตาย. หล่อนจงหุงข้าวสวยนั่นแหละ.
    ภรรยาแห่งเศรษฐีนั้นหุงข้าวสวยแล้ว แบ่งให้เป็น ๕ ส่วนคดข้าวสวยส่วนหนึ่งวางไว้ข้างหน้าของเศรษฐี. <center>
    เศรษฐีถวายภัตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า </center> ในขณะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัติ. ทราบว่า ในภายในสมาบัติ ความหิวย่อมไม่เบียดเบียน เพราะผลแห่งสมาบัติ แต่ว่า เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายออกจากสมาบัติแล้ว ความหิวมีกำลังย่อมเกิดขึ้น เป็นราวกะว่าเผาพื้นท้องอยู่. เพราะฉะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นตรวจดูฐานะที่จะได้ (อาหาร) แล้ว จึงไป.
    ก็ในวันนั้น ชนทั้งหลายถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้ว ย่อมได้สมบัติ บรรดาสมบัติมีตำแหน่งเสนาบดีเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าแม้นั้นตรวจดูอยู่ด้วยทิพยจักษุ ดำริว่า ฉาตกภัยเกิดขึ้นแล้วในชมพูทวีปทั้งสิ้น และในเรือนเศรษฐี เขาหุงข้าวสุก<sup>๑-</sup> อันสำเร็จด้วยข้าวสารทะนานหนึ่งเท่านั้นเพื่อคน ๕ คน; ชนเหล่านั้นจักมีศรัทธา หรืออาจเพื่อจะทำการสงเคราะห์แก่เราหรือหนอแล?" เห็นความที่ชนเหล่านั้นเป็นผู้มีศรัทธา ทั้งสามารถเพื่อจะทำการสงเคราะห์ จึงถือเอาบาตรจีวรไปแสดงตนยืนอยู่ที่ประตู (เรือน) ข้างหน้าของเศรษฐี.
    ____________________________
    <sup>๑-</sup> แปลหักประโยคกรรมเป็นประโยคกัตตุ.

    เศรษฐีนั้น พอเห็นท่านเข้าก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่า "เราประสบฉาตกภัยเห็นปานนี้ เพราะความที่เราไม่ให้ทานแม้ในกาลก่อน. ก็แลภัตนี้พึงรักษาเราไว้สิ้นวันเดียวเท่านั้น, ส่วนภัตที่เราถวายแล้วแก่พระผู้เป็นเจ้า จักนำประโยชน์เกื้อกูลมาแก่เราหลายโกฏิกัป" แล้วนำถาดแห่งภัตนั้นออกมา เข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นิมนต์ให้เข้าไปสู่เรือน.
    เมื่อท่านนั่งบนอาสนะแล้ว จึงล้างเท้า (ของท่าน) วาง (ถาดภัต) ไว้บนตั่งทอง แล้วถือเอาถาดภัตนั้น มาตักลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า. เมื่อภัตเหลือกึ่งหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าเอามือปิดบาตรเสีย.
    ทีนั้น เศรษฐีจึงกล่าวกะพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นี้เป็นส่วนหนึ่งแห่งข้าวสุกที่เขาหุงไว้เพื่อคน ๕ คน ด้วยข้าวสารทะนานหนึ่ง, กระผมไม่อาจเพื่อจะแบ่งภัตนี้ให้เป็น ๒ ส่วน, ขอท่านจงอย่ากระทำการสงเคราะห์แก่กระผมในโลกนี้เลย, กระผมใคร่เพื่อจะถวายไม่ให้มีส่วนเหลือ" แล้วได้ถวายภัตทั้งหมด.
    ก็แลครั้นถวายแล้วได้ตั้งความปรารถนาว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าอย่าได้ประสบฉาตกภัยเห็นปานนี้ ในที่ข้าพเจ้าเกิดอีกเลย ตั้งแต่บัดนี้ไป ข้าพเจ้าพึงสามารถเพื่อจะให้ภัตอันเป็นพืชแก่ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ไม่พึงทำการงานเลี้ยงชีพด้วยมือของตนเอง ในขณะที่ข้าพเจ้าใช้ให้คนชำระฉาง ๑,๒๕๐ ฉางแล้ว สนานศีรษะนั่งอยู่ที่<wbr>ประตู<wbr>แห่ง<wbr>ฉาง<wbr>เหล่<wbr>านั้นแล้ว แลดูในเบื้องบนเท่านั้น ธารแห่งข้าวสาลีแดง พึงตกลงมายังฉางทั้งหมดให้เต็มเพื่อข้าพเจ้า และผู้นี้นั่นแหละจงเป็นภรรยา ผู้นี้นั่นแหละจงเป็นบุตร ผู้นี้นั่นแหละจงเป็นหญิงสะใภ้ ผู้นี้นั่นแหละจงเป็นทาสของข้าพเจ้า ในสถานที่ข้าพเจ้าเกิดแล้วๆ." <center>
    ทั้ง ๕ คนปรารถนาให้ได้อยู่ร่วมกัน </center> ฝ่ายภรรยาของเศรษฐีนั้น ก็คิดว่า "เมื่อสามีของเราถูกความหิวเบียดเบียนอยู่ เราก็ไม่อาจเพื่อจะบริโภคได้" จึงถวายส่วนของตนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ จำเดิมแต่นี้ ดิฉันไม่พึงประสบฉาตกภัยเห็นปานนี้ ในสถานที่ดิฉันเกิดแล้ว อนึ่ง แม้เมื่อดิฉันวางถาดภัตไว้ข้างหน้า ให้อยู่ซึ่งภัตแก่ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น, ดิฉันยังไม่ลุกขึ้นเพียงใด, ที่แห่งภัตที่ดิฉันตักแล้วๆ จงเป็นของบริบูรณ์อยู่อย่างเดิมเพียงนั้น ท่านผู้นี้แหละจงเป็นสามี ผู้นี้แหละจงเป็นบุตร ผู้นี้แหละจงเป็นหญิงสะใภ้ ผู้นี้แหละจงเป็นทาส (ของดิฉัน)"
    แม้บุตรของเศรษฐีนั้นก็ถวายส่วนของตนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า "จำเดิมแต่นี้ไป ข้าพเจ้า<wbr>ไม่พึงประสบ<wbr>ฉาตก<wbr>ภัย<wbr>เห็นปานนี้, อนึ่ง เมื่อ<wbr>ข้าพเจ้า<wbr>ถือ<wbr>เอาถุงกหาปณะหนึ่งพัน แม้ให้กหาปณะ แก่ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นอยู่ ถุงนี้จงเต็มอยู่อย่างเดิม ท่านทั้งสองนี้นั่นแหละจงเป็นมารดาบิดา หญิงคนนี้จงเป็นภรรยา ผู้นี้จงเป็นทาสของข้าพเจ้า."
    แม้ลูกสะใภ้ของเศรษฐีนั้นถวายส่วนของตนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็ตั้งความปรารถนาว่า "จำเดิมแต่นี้ไป ดิฉันไม่พึงพบเห็นฉาตกภัยเห็นปานนี้ อนึ่ง เมื่อดิฉันตั้งกระบุงข้าวเปลือกกระบุงหนึ่งไว้ข้างหน้า แม้ให้อยู่ซึ่งภัตอันเป็นพืชแก่ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น ความหมดสิ้นไปอย่าปรากฏ, ท่านทั้งสองนี้นั่นแหละจงเป็นแม่ผัวและพ่อผัว ผู้นี้นั่นแหละจงเป็นสามี. ผู้นี้นั่นแหละจงเป็นทาส (ของดิฉัน)."
    แม้ทาสของเศรษฐีนั้นก็ถวายส่วนของตนแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ก็ตั้ง<wbr>ความ<wbr>ปรารถนา<wbr>ว่า "จำเดิมแต่นี้ไป ข้าพเจ้าไม่พึงพบเห็นฉาตกภัยเห็นปานนี้ คนเหล่านี้ทั้งหมดจงเป็นนาย และเมื่อข้าพเจ้าไถนาอยู่ รอย ๗ รอยประมาณเท่าเรือโกลน คือ "ข้าง<wbr>นี้ ๓ รอย ข้างโน้น ๓ รอย ในท่ามกลาง ๑ รอย จงเป็นไป."
    นายปุณณะนั้นปรารถนาตำแหน่งเสนาบดีก็สามารถจะได้ในวันนั้นเทียว. แต่ว่า ด้วยความรักในนายทั้งหลาย เขาจึงตั้งความปรารถนาว่า "คนเหล่านี้นั่นแหละจงเป็นนายของข้าพเจ้า."
    ในที่สุดแห่งถ้อยคำของชนทั้งหมด พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า "จงเป็นอย่างนั้นเถิด" แล้วกระทำอนุโมทนาด้วยคาถาของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วคิดว่า "เรายังจิตของชนทั้งหลายเหล่านี้ให้เลื่อมใส ย่อมควร" จึงอธิษฐานว่า "ชนเหล่านี้จงเห็นเราจนถึงภูเขาคันธมาทน์" ดังนี้แล้วก็หลีกไป. แม้ชนเหล่านั้นได้ยืนแลดูอยู่เทียว.
    พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นไปแล้วแบ่งภัตนั้นกับด้วยพระ<wbr>ปัจเจก<wbr>พุทธ<wbr>เจ้า ๕๐๐ องค์. ด้วยอานุภาพแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ภัตนั้นเพียงพอแล้วแก่พระ<wbr>ปัจเจก<wbr>พุทธ<wbr>เจ้า<wbr>ทั้ง<wbr>หมด. ชนแม้เหล่านั้นได้ยืนแลดูอยู่ทีเดียว. <center>
    อานิสงส์ของการถวายทาน </center> ก็เมื่อเวลาเที่ยงล่วงไปแล้ว ภรรยาเศรษฐีล้างหม้อข้าวแล้วปิดตั้งไว้.
    ฝ่าย<wbr>เศรษฐี<wbr>ถูก<wbr>ความ<wbr>หิว<wbr>บีบ<wbr>คั้น นอนแล้วหลับไป. เศรษฐีนั้นตื่นขึ้นในเวลาเย็น กล่าวกะภรรยาว่า "นางผู้เจริญ ฉันหิวเหลือเกิน ข้าวตัง<sup>๑-</sup> ก้นหม้อมีอยู่บ้างไหมหนอ?"
    ภรรยานั้น แม้ทราบความที่ตนล้างหม้อตั้งไว้แล้ว ก็ไม่กล่าวว่า "ไม่มี" คิดว่า "เราเปิดหม้อข้าวแล้วจึงจะบอก" ดังนี้แล้ว จึงลุกขึ้นไปสู่ที่ใกล้หม้อข้าว แล้วเปิดหม้อข้าว.
    ____________________________
    <sup>๑-</sup> เมล็ดข้าวอันไฟไหม้ทั้งหลาย.

    ในขณะนั้นเอง หม้อข้าวเต็มด้วยภัต มีสีเช่นกับดอกมะลิตูม ได้ดุนฝาละมีตั้งอยู่แล้ว. ภรรยานั้นเห็นภัตนั้นแล้ว เป็นผู้มีสรีระอันปิติถูกต้องแล้ว
    กล่าวกะเศรษฐีว่า "จงลุกขึ้นเถิดนาย ดิฉันล้างหม้อข้าวปิดไว้ แต่หม้อข้าวนั้นนั่นเต็มด้วยภัต มีสีเช่นกับด้วยดอกมะลิตูม ชื่อว่าบุญทั้งหลายควรที่จะกระทำ ชื่อว่าทานควรจะให้ ขอท่านจงลุกขึ้นเถิด นาย บริโภคเสียเถิด."
    ภรรยานั้นได้ให้ภัตแก่บิดาและบุตรทั้งสองแล้ว. เมื่อบิดาและบุตรนั้นบริโภคเสร็จแล้ว นางนั่งบริโภคกับด้วยลูกสะใภ้แล้ว ได้ให้ภัตแก่นายปุณณะ. ที่แห่งภัตอันชนเหล่านั้นตักแล้วๆ ย่อมไม่สิ้นไป. ปรากฏเฉพาะตรงที่ตักด้วยทัพพีคราวเดียวเท่านั้น.
    ในวันนั้นนั่นแล ฉางเป็นต้นก็กลับเต็มแล้วโดยทำนองที่เต็มในก่อนนั่นแล.
    นางให้กระทำการโฆษณาในเมืองว่า "ภัตเกิดขึ้นแล้วในเรือนของเศรษฐี ผู้มีความต้องการด้วยภัตอันเป็นพืช จงมารับเอา."
    มนุษย์ทั้งหลายถือเอาภัตอันเป็นพืชจากเรือนของเศรษฐีนั้นแล้ว.
    แม้ชาวชมพูวีปทั้งสิ้นก็อาศัยเศรษฐีนั้น ได้ชีวิตแล้วนั่นแล. <center>
    เศรษฐีและคณะไปเกิดที่ภัททิยนคร </center> เศรษฐีนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่ใน<wbr>เทว<wbr>โลก<wbr>และ<wbr>มนุษยโลก.
    ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในสกุลเศรษฐีในภัททิยนคร. แม้ภรรยาของเขาบังเกิดในสกุลมีโภคะมาก เจริญวัยแล้ว ก็ได้ไปสู่เรือนของท่านเศรษฐีนั้นนั่นเอง. แพะทั้งหลายมีประการดังกล่าวแล้ว อาศัยกรรมในกาลก่อนของเศรษฐีนั้นผุดขึ้นแล้วที่ภายหลังเรือน, แม้บุตรก็ได้เป็นบุตรของท่านเหล่านั้นแหละ, หญิงสะใภ้ก็ได้เป็นหญิงสะใภ้เหมือนกัน, ทาสก็ได้เป็นทาสเทียว.
    ต่อมาวันหนึ่ง ท่านเศรษฐีใคร่จะทดลองบุญของตน จึงให้คนชำระฉาง ๑,๒๕๐ ฉาง สนานศีรษะแล้ว นั่งที่ประตู แหงนดูเบื้องบน. ฉางแม้ทั้งหมดเต็มแล้วด้วยข้าวสาลีแดงมีประการดังกล่าวแล้ว.
    เศรษฐีนั้นใคร่จะทดลองบุญแม้ของชนที่เหลือ จึงกล่าวกะภรรยาและบุตรเป็นต้นว่า "เธอทั้งหลายจงทดลองบุญ แม้ของพวกเธอเถิด."
    ลำดับนั้น ภรรยาของเศรษฐีนั้นประดับแล้วด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เมื่อ<wbr>มหา<wbr>ชน<wbr>กำลัง<wbr>แลดูอยู่นั่นแล ใช้ให้คนตวงข้าวสารทั้งหลาย ให้หุงข้าวสวยด้วยข้าวสารเหล่านั้น นั่งบนอาสนะอันเขาปูลาดแล้วที่ซุ้มประตู ถือทัพพีทองคำแล้วให้ป่าวร้องว่า "ผู้มีความต้องการด้วยภัตจงมา" แล้วได้ให้จนเต็มภาชนะที่ชนผู้มาแล้วๆ รับเอา.
    เมื่อนางนั้นให้อยู่แม้จนหมดวัน ก็ปรากฏเฉพาะตรงที่ตักด้วยทัพพีเท่านั้น.
    ก็ปทุมลักษณะเกิดเต็มฝ่ามือข้างซ้าย จันทรลักษณะเกิดเต็มฝ่ามือข้างขวา เพราะนางจับหม้อข้าวด้วยมือซ้าย จับทัพพีด้วยมือขวา แล้วถวายภัตจนเต็มบาตรของภิกษุสงฆ์ แม้ของพระพุทธเจ้าในปางก่อนทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้แล. ก็เพราะเหตุที่นางถือเอาธมกรกกรองน้ำถวายแก่ภิกษุสงฆ์ เที่ยวไปๆ มาๆ. ฉะนั้น จันทรลักษณะจึงเกิดเต็มฝ่าเท้าเบื้องขวาของนาง, ปทุมลักษณะจึงเกิดจนเต็มฝ่าเท้าเบื้องซ้ายของนางนั้น. เพราะเหตุนี้ ญาติทั้งหลายจึงขนานนามของนางว่า "จันทปทุมา"<sup>๑-</sup>
    ____________________________
    <sup>๑-</sup> หมายความว่า มีลักษณะเหมือนพระจันทร์และดอกปทุม.

    แม้บุตรของเศรษฐีนั้นสนานศีรษะแล้ว ถือเอาถุงกหาปณะพันหนึ่ง กล่าวว่า "ผู้มีความต้องการด้วยกหาปณะทั้งหลายจงมา" แล้วได้ให้จนเต็มภาชนะที่ชนผู้มาแล้วๆ รับเอา. กหาปณะพันหนึ่งก็คงมีอยู่ในถุงนั่นเอง.
    แม้ลูกสะใภ้ของเศรษฐีนั้นประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ถือเอากระบุงข้าวเปลือกแล้ว นั่งที่กลางแจ้ง กล่าวว่า "ผู้มีความต้องการด้วยภัตอันเป็นพืช จงมา" แล้วได้ให้จนเต็มภาชนะที่ชนผู้มาแล้วๆ รับเอา. กระบุง (ข้าวเปลือก) ก็คงเต็มอยู่ตามเดิมนั่นเอง.
    แม้ทาสของเศรษฐีนั้นประดับแล้วด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เทียมโคทั้งหลายที่แอกทองคำด้วยเชือกทองคำถือเอาด้ามปฏักทองคำ ให้ของหอมอันบุคคลพึงเจิมด้วยนิ้วทั้ง ๕ แก่โคทั้งหลาย สวมปลอกทองคำที่เขาทั้งหลาย ไปสู่นาแล้วขับไป. รอย ๗ รอยคือ "ข้างนี้ ๓ รอย ข้างโน้น ๓ รอย ในท่ามกลาง ๑ รอย" ได้แตกแยกกันไปแล้ว.
    ชาวชมพูทวีปถือเอาสิ่งของบรรดาภัต พืช เงินทองเป็นต้น ตามที่ตนชอบใจจากเรือนของเศรษฐีเท่านั้น.
    เศรษฐีผู้มีอานุภาพมากอย่างนั้น สดับว่า "ได้ยินว่า พระศาสดาเสด็จมาแล้ว" จึงคิดว่า "เราจักกระทำการรับเสด็จพระศาสดา" ออกไปอยู่ พบพวกเดียรถีย์ในระหว่างทาง แม้ถูกพวกเดียรถีย์เหล่านั้นห้ามอยู่ว่า "คฤหบดี ท่านเป็นผู้กิริยวาทะ<sup>๑-</sup> จะไปสู่สำนัก<wbr>ของ<wbr>พระ<wbr>สมณ<wbr>โคดมผู้เป็นอกิริยวาทะ<sup>๒-</sup> เพราะเหตุไร? ก็มิได้เชื่อถ้อยคำของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น เทียวไปแล้ว ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง.
    ____________________________
    <sup>๑-</sup> ผู้กล่าวว่า กรรมอันบุคคลทำแล้ว ชื่อว่าเป็นอันทำ.
    <sup>๒-</sup> ผู้กล่าวว่า กรรมอันบุคคลทำแล้วว่า ไม่เป็นอันทำ. <center>
    โทษของคนอื่นเห็นได้ง่าย </center> ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสอนุบุพพีกถาแก่เศรษฐีนั้น ในเวลาจบเทศนา เศรษฐี<wbr>นั้น<wbr>บรรลุโสดาปัตติผล แล้วกราบทูลความที่ตนถูกพวกเดียรถีย์กล่าวโทษแล้วห้ามไว้แด่พระศาสดา.
    ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะท่านเศรษฐีนั้นว่า "คฤหบดี ขึ้นชื่อว่าสัตว์เหล่านี้ย่อมไม่เห็นโทษของตนแม้มาก, ย่อมโปรยโทษของชนเหล่าอื่นแม้ไม่มีอยู่ กระทำให้มีราวกะบุคคลโปรยแกลบลงในที่นั้นๆ ฉะนั้น"
    ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
    <table class="D" border="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top"><td> ๑๐. </td><td>สุทสฺสํ วชฺชมญฺเญสํ </td><td>อตฺตโน ปน ทุทฺทสํ </td></tr><tr valign="top"><td>
    </td><td>ปเรสํ หิ โส วชฺชานิ </td><td>โอปุนาติ ยถาภุสํ </td></tr><tr valign="top"><td>
    </td><td>อตฺตโน ปน ฉาเทติ </td><td>กลึว กิตวา สโฐ. </td></tr><tr valign="top"><td>
    </td><td colspan="2">โทษของบุคคลเหล่าอื่นเห็นได้ง่าย, ฝ่ายโทษของตนเห็น </td></tr><tr valign="top"><td>
    </td><td colspan="2">ได้ยาก เพราะว่า บุคคลนั้นย่อมโปรยโทษของบุคคลเหล่า </td></tr><tr valign="top"><td>
    </td><td colspan="2">อื่น เหมือนบุคคลโปรยแกลบ, แต่ว่า ย่อมปกปิด (โทษ) </td></tr><tr valign="top"><td>
    </td><td colspan="2">ของตน เหมือนพรานนกปกปิดอัตภาพด้วยเครื่องปกปิด </td></tr><tr valign="top"><td>
    </td><td colspan="2">ฉะนั้น.</td></tr></tbody></table> <center>
    แก้อรรถ </center> บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุทสฺสํ ความว่า โทษคือความพลั้งพลาดของบุคคลอื่น แม้มีประมาณน้อย อันบุคคลเห็นได้ง่าย คืออาจเพื่อจะเห็นได้โดยง่ายทีเดียว ส่วนโทษของตน แม้ใหญ่ยิ่งอันบุคคลเห็นได้ยาก.
    บทว่า ปเรสํ หิ ความว่า เพราะเหตุนั้นนั่นแล บุคคลนั้นย่อมโปรยโทษ<wbr>ทั้ง<wbr>หลาย<wbr>ของ<wbr>ชน<wbr>เหล่าอื่นในท่ามกลางสงฆ์เป็นต้น เหมือนบุคคลยืนบนที่สูงแล้วโปรยแกลบลงอยู่ฉะนั้น.
    อัตภาพชื่อว่า กลิ ด้วยสามารถที่ประพฤติผิดในนกทั้งหลาย ในคำว่า กลึว กิตวา สโฐ<sup>๑-</sup> นี้.
    เครื่องปกปิด มีกิ่งไม้ที่พอหักได้เป็นต้น ชื่อว่า กิตวา (ในคำว่า "กิตวา" นี้).
    นายพราน ชื่อว่า สโฐ (ในคำว่า "สโฐ" นี้.)
    อธิบายว่า นายพรานนกประสงค์จะจับนกฆ่า ย่อมปกปิดอัตภาพด้วยเครื่องปกปิดฉันใด, บุคคลย่อมปกปิดโทษของตนฉันนั้น.
    ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
    ____________________________
    <sup>๑-</sup> แก้อรรถตอนนี้ บางอาจารย์เห็นว่าใช้วินิจฉัย. <center>
    เรื่องเมณฑกเศรษฐี จบ.
    </center>

    อ้างอิง...

    คันธกุฎี แปลว่า กุฎีที่ทีกลิ่นหอม เป็นชื่อเรียกสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ เรียกเต็มว่า พระคันธกุฎี ในพุทธประวัติ เล่าว่าสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าทุกแห่งจะมีผู้นำของหอมนานาชนิดไม่ว่าจะ เป็นไม้หอม ดอกไม้หอม เป็นต้น มาบูชาพระพุทธเจ้ามิได้ขาด โดยประดับไว้ภายในที่ประทับบ้าง วางเรียงรายอยู่โดยรอบบ้าง โดยมุ่งบูชาพระพุทธเจ้าด้วยกลิ่นหอมจึงปรากฏว่าหลังวัดที่ประทับจะมีดอกไม้ ที่แห้งแล้วถูกนำไปทิ้งไว้เป็นกองใหญ่ด้วยมีจำนวนมาก

    พระคันธกุฎี หรือสถานที่ประทับประจำของพระพุทธเจ้ามิใช่จะมีกลิ่นหอมเท่านั้น ยังถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรพิสดารเท่าที่มนุษย์จะทำกันได้ด้วยแรงศรัทธา


    ผู้ที่อ่านก็จงพิจารณาด้วยศรัทธา และสติ ปัญญาเทอญ สาธุครับ......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2011
  17. phak

    phak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +458
    Anumo..tana..satu..naka...
     
  18. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539
    ควรอ่าน อรรถกถาประกอบ เพื่อความเข้าใจจะได้ไม่คลาดเคลื่อนด้วยคับ
     
  19. Canetion

    Canetion เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    528
    ค่าพลัง:
    +2,026
    อนุโมทนา สาธุค่ะ

    บางทีก็ปิดเกือบทุกจุด บางทีองค์พระสูงก็จะติดกลางๆ พอดีตัว

    จะปิดองค์ส่วนไหนก็ไม่สำคัญ อยู่ที่ใจเราศรัทธา ตั้งใจ ในพระพุทธศาสนา

    เป็นพุทธานุสติได้บุญเช่นกันค่ะ ^^
     
  20. oon_dee

    oon_dee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +24

แชร์หน้านี้

Loading...