มีท่านใด เข้าใจว่าตนเองเป็นพระอริยะบ้างครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย sangtian9, 18 สิงหาคม 2011.

  1. wechza

    wechza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +246
    ผู้เป็นไม่พูดผู้พูดไม่เป็น ผมเคยหลายครั้งที่คิดว่าตัวเองเป็นพระโสดาบันเพราะในเวลาที่เรารักษาศิลบริบูรณ์แล้วจิดใจตอนนั้นคิดดีทำดีก็เลยอยากวัดว่าตัวเองเป็นพระโสดารึยังแต่สุดท้ายก็ยังอยากดูคลิปโป๊ยังกลัวตาย เพราะกลัวผี ถ้ายังกลัวตุกแกจิ้งจกจะว่าตัวเป็นโสดาบันคงไม่ใช่เพราะลึกที่สุดของความกลัวคือกลัวตายพระโสดาบันท่านข้ามพ้นความกลัวตายไปแล้วครับทุกวันนี้ผมไม่สนแล้วว่าจะเป็นหรือไม่เป็นสนแค่ที่มีลมหายใจอยู่ตอนนี้ผมทำดีหรือชั่วทำให้ใครเดือดร้อนไหมและไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนและเบียดเบียนใครก็พอละเว้นกรรมชั่วทำกรรมดีไปเรื่อยๆครับอยากได้อยากเป็นมากเกินไปมันก็เป็นทุกข์นะครับ
     
  2. 100ลีลา

    100ลีลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2008
    โพสต์:
    456
    ค่าพลัง:
    +1,855
    ,kมายรู้วัดกันยังไงถ้ามีชานก้อดูผลของทานที่คนอื่นทำว่าผลทานที่ให้มีผลแค่ไหนโสดานี่อย่างน้อยปฐมชานต้องทรงอยุตลอด
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาครับ ความคิดเห็นควรแล้วครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  4. อินทร์ธนู

    อินทร์ธนู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +2
     
  5. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
     
  6. moonoikk

    moonoikk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +81
    แต่ก่อนเคยคิดว่าจะก้าวให้ไปถึงจุดนั้น
    แต่เมื่อปฏิบัติและเรียนรู้มากขึ้น
    ตอนนี้ พยายามทำตัวเองให้เป็นมนุษย์ มากขึ้นเท่าที่จะทำได้ครับ
     
  7. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878

    1.ได้รับพุทธพยากรณ์
    2.พิจารณาเปรียบเทียบจากสังโยชน์10
    3.ลองใช้ฤทธิ์


    เจริญในธรรมครับ
     
  8. Willam

    Willam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +18
    เจ็ชาติ มิต้องทำอะไรเลยหรอครับ ปฎิบัติธรรมอย่างเดียว ยากน่าดู
     
  9. อินทร์ธนู

    อินทร์ธนู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +2
    การที่เราเข้าไปวางหลักเกณฑ์ในธรรมซะเอง โดยไม่เข้าใจว่าเส้นทางหลุดพ้นนั้นเป็นเส้นทางแห่งธรรมชาติ มันเป็นวิธีและเครื่องมือโดยตัวมันเอง...... การที่เราดำริเอาจิตไปปรุงแต่งในวิธีหลุดพ้น ว่าจะต้องทำตรงนี้ เพื่อตรงนี้ซึ่งเป็นการค่อยทำค่อยไปทีละขั้นนั้น การวางหลักเกณฑ์เช่นนี้ เป็นการขวางธรรมชาติ.......ทำให้ไม่สามารถบรรลุนิพพานธรรมได้.....พระพุทธองค์ก็ไม่เคยทรงวางหลักเกณฑ์ใดๆ.....การที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “มรรคอันหลุดพ้นนั้นมีองค์แปด” หรือตรัสไว้ว่า “โพชฌงค์ธรรม 7 ประการที่เต็มบริบูรณ์ย่อมทำให้ วิชชาและวิมุติย่อมบริบูรณ์”นั้น ไม่ใช่เป็นการที่พระพุทธองค์บัญญัติขึ้นมาเอง ก็หาไม่.......... มรรคมีองค์แปด หรือ โพชฌงค์ 7 มันเป็นอินทรีย์แห่งธรรม....... มันเป็นกำลังของธรรมทั้งหลายที่จะพาจิตให้พ้นจากอาสวะกิเลส อวิชชาตัณหาอุปาทานทั้งปวง อินทรีย์หรือกำลัง แห่งธรรมนี้......มันเกิดจากการที่เราเข้าใจในอริยสัจ ว่าอะไรคือปัญหา ปัญหาเกิดจากอะไรและต้องแก้ไขอย่างไร เมื่อเข้าใจและปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามวิถีธรรมชาติแห่งมัน......การปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามวิถีแห่งธรรมชาติทุกๆขณะนั่นแหละ “เป็นการเกิดและเพิ่ม” อินทรีย์หรือกำลังแห่งธรรม ไปในตัวพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น สติ สมาธิ ปัญญา ความเพียร ปีติ ปัสสัทธิ อุเบกขา ที่มีอยู่ในมรรคมีองค์แปด หรือ โพชฌงค์ 7 ก็ตาม ในเส้นทางหลุดพ้น ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค จนถึง อรหันตผล นั้น อินทรีย์แห่งธรรมทั้งหลายนั้นประกอบขึ้นมาด้วยความสามัคคี หรือ ความพร้อมเพรียงแห่งธรรมเท่านั้น***การตระหนักชัดถึงภาวะแห่งจิต กับ การปฏิบัติธรรมนั้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติพร้อมกันไป.ความเข้าใจผิดและเข้าไปดำริปรุงแต่ง เพื่อวางหลักเกณฑ์ในธรรมซะเอง วางเพื่อเข้าไปทำทีละอย่างทีละขั้นตอน เช่น ดำริว่าต้องนั้งสมาธิให้ถึงฌาน 4 เสียก่อน และต้องฝึกสติในท่าเดินจงกรมเสียก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาธรรมว่าควรวางจิตอย่างไร วางจิตได้ขนาดนี้แล้ว ยังขาดเหลืออวิชชาตัวไหนอีก และต้องจัดการกับมันอย่างไร .................พระพุทธองค์ท่านไม่เคยสอน....ว่าทำเช่นนี้แล้ว จะพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้. เป็นการปฏิบัติธรรมที่เต็มไปด้วยความลังเลสงสัย(วิจิกิจฉา) เป็นความลังเลสงสัยที่ตนเองก็ไม่สามารถรู้ได้เลย หากตนเองได้ปักใจเชื่อแล้วว่า การวางหลักเกณฑ์เพื่อเข้าไปทำที่ละอย่างที่ละขั้นตอนแบบค่อยเป็นค่อยไปนั้น เป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องนั้น การปฏิบัติแบบนี้ ก็ไม่สามารถบรรลุชั้นโสดาบันได้เลย เพราะยังไม่สามารถเข้าใจกระบวนการแห่งธรรมที่แท้จริง ยังมีความลังเลสงสัยอยู่.การที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า มรรคหรือโพชฌงค์ มีธรรมตัวไหนบ้าง ธรรมแต่ละตัวมีหน้าที่อย่างไรและเกี่ยวเนื่องกันอย่างไรนั้น เป็นการแจกแจงธรรมโดยอาศัย ปฏิสัมภิทาญาณแห่งความเป็นพุทธวิสัยของพระพุทธองค์ เป็นการแจกแจงธรรมเพื่อให้เราเรียนรู้และขจัดความลังเลสงสัยในธรรมทั้งปวงเท่านั้น.และเมื่อเราเข้าใจธรรมตรงนี้แล้ว การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม การกินข้าว การทำหน้าที่การงาน การยืน การเดิน การคุยกับเพื่อน การอาบน้ำ การนอน การเคลื่อนไหวในการไปและการมา ก็จะคล่องแคล่วไม่ติดขัด อยู่ท่ามกลางระหว่างได้อย่างลงตัวโดยไม่จำกัดกาล(อกาลิโก) ....เป็นการปฏิบัติธรรมที่เสมอกันด้วยธรรมอันเป็นธรรมชาติ ในการเคลื่อนไหวร่างกายในอริยบททั้ง 4 ได้อย่างลงตัวและเหมาะสมในทางธรรม.จริงๆแล้ว ธรรมอันเป็นธรรมชาติ ย่อมมีลักษณะเป็นนิพพานอยู่แล้วโดยเนื้อหา.ผู้ที่เข้าใจประโยคนี้ได้ชัดเจนรองลงมาจากพระพุทธองค์ ก็คือ พระพาหิยะ นั่นเองท่านเป็นพระอรหันต์ที่บรรลุธรรม “เร็วที่สุด” ใช้เวลาน้อยกว่าใครในการพิจารณาธรรมและปฏิบัติเพื่อบรรลุก็เพราะท่านเข้าใจว่า การปรุงแต่งทั้งปวงในทุกเรื่องของจิตนั้น ล้วนบังพระนิพพานทั้งสิ้น ก็เพราะท่านเข้าใจว่า ธรรมชาติมันดับมันไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้ว ก็เพราะท่านเข้าใจว่า จิตที่ปรุงแต่งทั้งปวงนั้นมันดับมันไม่เที่ยงโดยตัวมันเองอยู่แล้วก็เพราะท่านเข้าใจว่า.......ท่านจักไม่ปรุงแต่งว่าท่านยังไม่หลุดพ้น ท่านจักไม่ปรุงแต่งว่าท่านไม่หลุดพ้นเพราะเหตุใด ท่านจักไม่ปรุงแต่งว่าท่านหลุดพ้นแล้ว ท่านจักไม่ปรุงแต่งว่านี่คือธรรมชาติอันปรุงแต่งไม่ได้แล้ว ........และเมื่อท่านเข้าใจว่า.......ธรรมอันเป็นธรรมชาติ ย่อมมีลักษณะเป็นนิพพานอยู่แล้วโดยเนื้อหา ไม่จำเป็นต้องดำริใดๆ เพื่อเข้าไปแก้ไขธรรมชาติที่มันลงตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องดำริใดๆ เพื่อเข้าไปลูบคลำบัญญัติธรรมอันเป็นธรรมชาติว่ามันคืออะไรขึ้นมาอีก.........ท่านพาหิยะก็ลุถึงวิชชาคือความรู้แจ้งทั้งปวง ลุถึงวิมุติคือความหลุดพ้น โดยท่านใช้เวลาเพียงชั่วครู่เดียวนิพพานอยู่แล้วโดยตัวมันเองสภาพมันเอง........นิพพานอยู่แล้ว .
     
  10. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อนุโมทนาครับ หากกล่าวเช่นนี้แต่ครั้งแรก คงสนทนากันได้เข้าใจกว่านี้

    แต่ก็ดีที่ทำให้มีการถกปัญหาธรรมครับ ธรรมทั้งหลายมีอยู่แล้วในโลก

    ไม่ได้มีใครไปสร้างขึ้นมา แต่ผู้ที่มีปัญญาน้อย กิเลสมาก ก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาปฎิบัติ

    หากแต่ผู้ที่มีปัญญามาก กิเลสน้อย การปฎิบัตินั้นก็เป็นปกติของชีวิตอยู่แล้วครับ

    ที่คุณกล่าวมาไม่ผิดครับ ผู้ที่มีธรรมแล้วจะไม่ให้ความสำคัญในขั้นในตอนของการปฎิบัติครับ

    ผู้ที่ยังติดข้องในการปฎิบัติก็จะเห็นเป็นเช่นนั้นเอง ทั้งที่ก็มีอยู่แล้วโดยไม่ได้สร้างขึ้นมา

    แต่การยึดติดในทางที่ดี จะนำพาให้รู้แจ้งเห็นจริง เสมือนต้องนับ1 จึงจะนับ2ครับ

    หรือสร้างบ้านก็ต้องสร้างฐานก่อน จึงจะมียอดฉันใด การปฎิบัติตามขั้นตอนในความเข้าใจของคนทั่วไปก็ฉันนั้น

    การเห็นสภาวะที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ก็บ่งบอกว่าเป็นผู้ที่มีดวงตาเห็นฉนั้นเอง

    การเห็นไม่ได้แตกต่างครับ ว่าด้วยการเข้าไปมั่นหมายอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นการยึดติด

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  11. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    มีท่านใด เข้าใจว่าตนเองเป็นพระอริยะบ้างครับ[.4/SIZE]

    เป็นๆ หายครับ

    ดูจาก กิเลสตัวเอง พอบางๆ หน่อย ก็คิดว่าเป็น
    พอรู้ตัว ว่า คิดว่าตัวเองเป็น ก็เห็นกิเลส ก็หายเป็นก่อน

    กะว่า ไม่มีกิเลสจริงๆซะแล้ว ไม่เห็น กิเลสจริงๆซะเลย ค่อย มาดูอีกที ว่า เป็นหรือไม่เป็น

    จะได้เลิก เป็นๆหายๆซะที<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message -->
     
  12. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +796
    อ่านของคุณแล้วสนุกดี

    โมทนาบุญด้วยนะคะ
     
  13. นทีบุญ

    นทีบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    939
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +796


    ข้าพเจ้าก็คิดเหมือนท่าน
     
  14. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ธรรมะของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ​

    O กูก็อยู่ของกูอยู่ดีๆ คนนั้นทีคนนี้ทีรี่มาหา
    มากันจนล้นวัดเปี่ยมศรัทธา ราวกับว่าทั้งจังหวัดมีวัดเดียว
    มาให้กูโขกเขกมะเหงกงุ้ม กูสุดกลุ้มเปลี่ยนเป็นไม้ให้หวาดเสียว
    มันกลับดังขลังกว่าแห่มาเกรียว กระทั่งเยี่ยวยังแห่จองเป็นของดี
    O กูบอกสอนอย่างไรไม่รับรู้ ว่าตัวก็ไม่ได้ประเสริฐศรี
    มันกลับมองตัวกูปูชนีย์ ใช้เป็นที่ดับร้อนผ่อนลำเค็ญ
    ขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวเป็นใบ้หวย สิบคนรวยล้านคนจนไร้คนเห็น
    ไอ้สิบคนก่นเล่าเช้ายันเย็น กูเลยเป็นเซียนใบ้หวยด้วยอีกคน
    O ท่านั่งยองของกูก็หรูเฟื่อง เป็นพระเครื่องหลากหลายรุ่นวุ่นสับสน
    บ้านจัดสรรกอล์ฟคลับสัปดน ย่องนิมนต์กูโปรโมทโฆษณา
    บ้างเอากูเลี่ยมทองผุดผ่องใส หวังใจให้คุ้มกันผองปัญหา
    แล้วเกิดกูเคราะห์กรรมกระหน่ำมา ใครจะมาช่วยดึงมึงคิดดู
    O ขนาดเก๋งเยอรมันคันละล้าน ชนสะท้านท้ายยุบก้นบุบบู้
    ตัวกูจริงเสียงจริงยังกลิ้งรู นอนคุดคู้รอมึงช่วยด้วยเหมือนกัน
     
  15. อินทร์ธนู

    อินทร์ธนู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +2
    โสดาบัน
    มีพระอริยเจ้าทั้งหลายเคยกล่าวไว้ว่า ธรรมอันแท้จริงนั้น "ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ ไม่มีการบรรลุและผู้บรรลุ" นั้นเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องเพราะธรรมอันแท้จริงที่ว่านั่น คือ "นิพพานธรรม"นั่นเองเป็นธรรมที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้ว แต่ความที่พระพุทธองค์ลงมาจุติเพื่อมาประกาศธรรมอันเป็นสัมมาทิฐินั้น พระองค์มีความเมตตาต่อบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกหมู่เหล่า พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่าในบรรดาหมู่เวไนยสัตว์นั้นมีความแตกต่างกันเปรียบเสมือนดอกบัวทั้ง 4 เหล่า รอบปัญญาบารมีแต่ละคนทำมาไม่เท่ากันพระพุทธองค์จึงทรงประกาศธรรมไว้ทุกระดับแตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นในเวลาที่มีพราหมณ์หรือบรรดานักบวชนอกศาสนาทั้งหลายมาถามปัญหาในธรรมต่อพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ก็จะตอบปัญหาข้อข้องใจในธรรมไปตามเหตุตามปัจจัย การตอบธรรมของท่านนั้นมีการกล่าวถึงธรรมในระดับต่างๆกันไปตามความเหมาะสม
    ในเส้นทางการบรรลุธรรมเป็นโสดาบันนั้นเป็นรอบบารมีของผู้ที่ได้ดวงตาเห็นธรรมชั้นต้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะละอนุสัยของตัวเองออกจากระบบเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏได้ จุดโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นจุดที่เข้าใจในเส้นทางธรรมชาติแห่งธรรมเข้าใจในเส้นทางวิถีแห่งจิตที่เป็นธรรมชาติของมัน เป็นจุดที่กระบวนการแห่งจิตเริ่มปรับไปสู่ "วิถีธรรมชาติอันดั้งเดิมของมัน" เพื่อมุ่งไปสู่เส้นทางการหลุดพ้นซึ่งเป็นวิถีแห่งธรรมอันเป็น "ธรรมชาติล้วนๆ" จุดตรงนี้เองที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่าหากผู้ใดบรรลุธรรมอันเป็นโสดาบันแล้ว มันเปรียบเสมือนสายน้ำที่ไม่ไหลกลับ เป็นจุดที่จิตได้เรียนรู้เพื่อความกระจ่างชัดเจนในธรรมและแก้ไขปัญหาคือทุกข์เป็น และด้วยวิธีแก้ทุกข์หรือแก้อวิชชาความไม่รู้ทั้งปวงโดยปรับสภาพจิตไปสู่ "ความเป็นธรรมชาติ" ของมันนั้น วิธีหรือวิถีแห่งจิตที่เป็น "ธรรมชาติ"นั่นเองมันเป็นสภาพที่เหมือน "สายน้ำที่ไม่สามารถย้อนกลับไปสู่จุดเดิมที่เคยไหลผ่านมา" ได้ มันมีแต่สายน้ำหรือวิถีอันเป็นธรรมชาตินี้จะไหลไปเรื่อยจะคลายกำหนัดไปเรื่อยเพื่อไปสู่ "ปากน้ำแห่งพระนิพพาน" ในท้ายที่สุด ด้วยวิธี "ไหลหรือคลายกำหนัด" แบบวิธีธรรมชาติตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้นั่นเอง


    การบรรลุโสดาบันนั้น พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงวางหลักเกณฑ์ใดๆตามความเห็นส่วนตัวของพระพุทธองค์เองแต่อย่างใดเลย "แต่โดยสภาพแห่งธรรม" หากความรู้ที่ได้เรียนรู้นั้น องค์ประกอบแห่งความรู้ทุกส่วนได้ทำลาย สักกายทิฐิ ศีลพรตปรามาส และวิจิกิจฉาลงได้ทุกส่วนหมดแล้วเช่นกันไซร้ ก็เท่ากับ "ดวงจิต" นั้นได้บรรลุเป็นอริยชนชั้นต้น คือ โสดาบันแล้ว


    สักกายทิฐิ คือ ความเห็นที่เป็นส่วนอวิชชาล้วนๆว่าเป็นตัวเป็นตนว่าเป็นเราเป็นเขาว่าเป็นอัตตาล้วนๆ เป็นส่วนของดวงจิตที่ยังถูกอวิชชาครอบงำได้ในทุกส่วน วิธีแก้ไขคือต้องเรียนรู้และยอมรับเพื่อทำความเป็นสัจธรรมความเป็นจริงให้ปรากฏว่า จริงๆแล้วไม่มีเราไม่มีเขาไม่มีอัตตามีความเป็นตัวตน แต่ความเป็นจริงมันประกอบขึ้นไปด้วยขันธ์ทั้ง 5 หรือ สิ่งห้าอย่างมารวมตัวกันคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และขันธ์ทั้ง 5 นี้ ก็ล้วนตกอยู่ในกฎธรรมชาติ คือ มันล้วนไม่เที่ยงโดยตัวมันเองโดยเนื้อหามันเอง มันคือความหมายแห่งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันคืออนัตตาอยู่แล้วโดยเนื้อหาโดยสภาพของมัน เมื่อสภาพแห่งธรรมปรากฏขึ้นเช่นนี้แล้วก็ถือว่าดวงจิตนั้นได้ทำลายอวิชชาแห่งสักกายทิฐิลงได้โดยสิ้นเชิง
    ศีลพรตปรามาส คือ ข้อห้าม ข้อวัตรหรือเงื่อนไขหลักเกณฑ์ต่างๆที่ดวงจิตนั้นเข้าไปยึดมั่นถือมั่นโดยคิดว่าจะต้องทำข้อวัตรข้อห้ามเงื่อนไขนั้นๆอยู่ตลอดเวลาเพื่อไปสู่หนทางแห่งพระนิพพาน แต่โดยเนื้อแท้แล้วข้อวัตร ข้อห้ามเงื่อนไขเหล่านี้ล้วนเป็นอวิชชาทั้งสิ้นเป็นหนทางที่นำไปสู่ความเป็นโมหะงมงาย ไม่ใช่เส้นทางแห่งธรรมอันเป็นธรรมชาติซึ่งเป็นหนทางอันหลุดพ้นแท้จริง เช่น ลัทธิที่ต้องถือข้อวัตรคลานสี่ขาเหมือนโคแล้วต้องกินหญ้าทุกวัน เมื่อทำเช่นนี้แล้วตนเองจักเชื่อว่าข้อวัตรเหล่านี้จะทำให้ตนพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง แต่ด้วยความเป็นจริงโดยเนื้อหาแห่งข้อวัตรนั้นมันกลับเป็นอวิชชาซึ่งเต็มไปด้วยโมหะอย่างยิ่ง แต่เมื่อนักบวชเหล่านี้ได้ฟังธรรมพระพุทธองค์แล้วเกิดความเข้าใจในธรรมทั้งปวงและปล่อยให้จิตมันดำเนินไปสู่วิถีธรรมชาติของมันอันเป็นข้อวัตรแห่งธรรมชาติ เมื่อสภาพแห่งธรรมปรากฏขึ้นเช่นนี้แล้วก็ถือว่าดวงจิตนั้นได้ทำลายอวิชชาแห่งศีลพรตปรามาสลงได้โดยสิ้นเชิง


    วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในธรรม เป็นความลังเลสงสัยด้วยความไม่เข้าใจว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ อะไรคือการดับทุกข์ได้ และอะไรคือหนทางแห่งความพ้นทุกข์ ความลังเลความไม่เข้าใจในธรรมทั้งปวงมันเป็นอุปสรรคต่อการจะเข้าไปแก้ไขปัญหาดวงจิตที่ถูกอวิชชาห่อหุ้มเอาไว้ เสมือนว่ามีปัญหาเกิดขึ้นอยู่แต่ไม่มีความรู้เลยว่าปัญหานั้นคืออะไร มีลักษณะอย่างไร ปัญหาเกิดขึ้นตรงไหนแล้วจะเข้าไปแก้ไขปัญหานั้นด้วยวิธีอะไร หากไม่ยอมศึกษาเรียนรู้ในธรรมว่าอะไรคืออะไรให้เกิดความเข้าใจตรงต่อสัจธรรมและสรุปเอาเองว่าธรรมแบบนี้แบบนั้นใช่แล้วตามความเข้าใจของตน การเข้าไปแก้ไขปัญหาด้วยลักษณะไม่รู้จริงก็ทำให้ปัญหาคืออวิชชานั้นยังคงอยู่ และลักษณะการเข้าไปแบบความไม่รู้จริงก็กลายเป็นอวิชชาตัวใหม่ซ้อนเข้ามาทำให้เกิดปัญหามากขึ้นตามมาอีก


    ครั้งในสมัยพุทธกาลที่พระองค์ทรงประกาศธรรมไว้ครั้งแรกในนาม "ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร" พระองค์ทรงตรัสถึงธรรมอันเป็นทางสายกลาง คือมรรคมีองค์ 8 ให้ละเว้นทางที่ตึงเกินไป คือ การบำเพ็ญทรมานกายต่างๆแบบทุกรกิริยา และให้ละเว้นทางที่หย่อนเกินไปคือทางที่เสพกามคุณ และพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือสมุทัย(เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์) อะไรคือนิโรธ(การดับทุกข์ได้) อะไรคือมรรค(หนทางแห่งความพ้นทุกข์) ซึ่งเป็นธรรมอริยสัจทั้ง4 พระองค์ทรงชี้ให้ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 แก้ไขปัญหาในอวิชชาอย่างเป็นระบบและถูกต้องตรงต่อสัจธรรม เมื่ออัญญาโกณฑัญญะเข้าใจในธรรมที่พระองค์ตรัสแล้วว่า ความปรุงแต่งความคิดทั้งปวงคือทุกข์ ความไม่รู้คืออวิชชาพาเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง 5 จนก่อให้เกิดตัณหาอุปาทานคือสมุทัย ความไม่เที่ยงโดยสภาพมันเองโดยตัวมันเองของขันธ์ทั้ง5 ของตัณหาอุปาทานทั้งปวงคือ นิโรธ และตรงนี้คือหนทางดับทุกข์ได้ คือมรรค ก็เท่ากับอัญญาโกณฑัญญะทำลายสักกายทิฐิ ศีลพรตปรามาส วิจิตรกิจฉาลงได้แล้ว และเมื่ออัญญาโกณฑัญญะปล่อยให้จิตดำเนินไปสู่ความดับโดยตัวมันเองซึ่งเป็นวิธีและวิถีธรรมชาติของมัน พระองค์จึงเปล่งวาจาออกมาว่า "อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอรู้แล้วหนอ" อัญญาโกณฑัญญะก็บรรลุเป็นอริยชนชั้นโสดาปัตติผล ณ เวลานั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2011
  16. <Q>

    <Q> Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2011
    โพสต์:
    1,907
    ค่าพลัง:
    +80
    ธรรมชาติเป็นไง.
     
  17. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ตามความเข้าใจของตัวผมเองนั้น มีความเข้าใจว่าอย่างนี้ครับ

    1.ความตายที่มีให้เห็นอยู่นั้น เป็นความจริงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และ การมีชีวิตอยู่กับความยากลำบาก

    ชีวิตที่พบเจอแต่ปัญหาไม่เว้นในแต่ละวัน และ มีทั้งคนที่พอใจเรา และ คนที่ไม่พอใจเรา

    และคนที่เราพอใจ กับ ไม่พอใจ ยังจะมีสิ่งที่อยากได้แล้วไม่ได้อีก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้รู้สึกว่าเป็นทุกข์

    การมีชีวิตช่างลำบาก แต่หากฆ่าตัวตายก็จะกลับมาเกิดอีก จึงได้แต่เฝ้ารอความตายให้มาหา

    ฉนั้นการที่จะกลัวความตายย่อมไม่มีแน่นอน มีก็แต่ความเบื่อหน่ายต่อความทุกข์ที่พบเจอ

    2.เห็นความเป็นทุกข์อยู่แล้วตลอดเวลา สิ่งที่ได้พบเห็นก็คือ การปฎิบัติที่ทำให้มีความรู้สึกไม่ต้องรับรู้เรื่องภายนอก

    และสิ่งที่เห็นในการไม่รับรู้เรื่องภายนอก คือ การไม่มีสิ่งใดให้เรายึดถือ และเห็นจิตนี้นี่เองที่นำให้เรามาเกิด

    จิตนี้เองที่ทำให้เราเป็นทุกข์อยู่ตลอด หากว่าทำลายจิตแล้ว ก็จะไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เรามาเกิดได้อีก

    แต่จะทำลายดวงจิต แต่ยังไม่เห็นจิต จะทำลายได้อย่างไร ซึ่งการปฎิบัตินั้น ทำให้เห็นดวงจิตได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

    จึงได้เชื่อว่าการปฎิบัติ เป็นไปเพื่อการหลุดพ้นได้จริง จึงตั้งใจปฎิบัติเพื่อที่จะทำลายดวงจิตเสีย

    อิสระ ที่ใฝ่หา จะได้เกิดขึ้นเสียที หลุดพ้นจากสิ่งที่"พันธนาการ"เราเสียที

    3.ความปกติของมนุษย์เอง มีสิ่งที่กำหนดให้เป็นข้อควรปฎิบัติ หรือ ศีล อยู่แล้ว

    และ ความปกตินี้ไม่ได้จำเป็นต้องพึ่งพาใคร พึ่งพาสิ่งใดนอกจากตนเอง

    จึงเห็นการกระทำของบุคคลอื่นเป็นการงมงาย แล้วจะหาเหตุผลที่จะเชื่อว่าสิ่งใดควรเชื่อด้วยตนเอง

    สิ่งที่จะเชื่อต้องมีสิ่งที่มายืนยันให้เห็นจริง จึงจะเกิดความเชื่อถือ

    สิ่งเหล่านี้เกิดได้กับทุกคน ที่มีความรู้สึกเบื่อการมีชีวิต ไม่ปราถนาสิ่งใดในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะความสุข หรือ ความทุกข์

    และจะคิดว่าหากเป็นไปได้ไม่ขอเกิดอีกได้ไหม ที่สุดของทุกสิ่งที่ได้เห็นจบลงที่ความเป็นทุกข์

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    จะไปทำลายจิตมันทำไมสงสารมัน...........................................:'(
     
  19. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของบุคคลแต่ละคนครับ

    ผมบอกให้คุณทำลาย หากคุณไม่เชื่อ คุณจะทำลายไหม

    คุณบอกว่าให้ผมอย่าทำลายสงสารมัน แต่ผมจะทำลาย คุณห้ามได้ไหม

    ผมวางคุณลงแล้ว คุณยังไม่วางผมอีกเหรอครับ

    ก็ในเมื่อทางเดินคนละทางกัน จะข้ามมาทำไม มันไม่ได้มีความหมายอะไรหลอกครับ

    ถึงจะถกปัญหากันไป ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรครับ สิ่งที่จะได้ คือ การถกเถียงกันเท่านั้น

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  20. อินทร์ธนู

    อินทร์ธนู สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +2

    คือ... ไม่มีปรากฎแห่งการเปลี่ยนแปลงหรือเกิดดับนั้น
    ....เป็นการดับสนิทไม่มีเหลือปราศจากอวิชชาตัณหาอุปาทาน....
    การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป....นั้น เป็นการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปแห่งอวิชชาทั้งปวง
    เมื่อจิตเราเป็นอิสระอย่างเด็ดขาดต่อเครื่องขัดข้องคืออวิชชาทั้งหลาย การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปก็ย่อมไม่มีโดยสภาพแห่งธรรมนั้นแล้ว และไม่มีแม้กระทั่งความสิ้นสุดของการทำหน้าที่ของความเกิดขึ้น และความแตกดับ......เพราะเนื้อหาแห่งพระนิพพานคือธรรมชาติล้วนๆ....เป็นสภาพมันเองอยู่อย่างนั้นแบบนั้น......
     

แชร์หน้านี้

Loading...