ทำยังไงดีกับความคิด จริง หรือว่าเป็นแค่สมมุติ !?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 29 กันยายน 2011.

  1. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ทุกขสมุทัยอริยสัจจ คืออะไร? พระวจนะ ..........ภิกษุทั้งหลาย ก็อริยสัจคือเหตุให้เกิดทุกข์ นั้นเป็นอย่างไรเล่า? ตัณหานี้ใด ทำความเกิดใหม่เป็นปรกติ เป็นไปกับด้วยความกำหนัดเพราะความเพลิน มักเพลินในอารมณ์ นั้นนั้น นี้คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา .............ภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหานั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่ใหน? เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในที่ใหน? สิ่งใดในโลกมีภาวะเป็นที่รักมีภาวะเป็นที่ยินดี(ปิยรูป สาตรูป) ตัณหานั้น เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในสิ่งนั้น เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในสิ่งนั้น ก็อะไรเล่ามีภาวะเป็นที่รัก มีภาวะเป็นที่ยินดีในโลก?... ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีภาวะเป็นที่รักมีภาวะเป็นที่ยินดีในโลก ตัณหา นี้เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นั้น เมื่อจะเข้าไปตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ในที่นั้น........................รูปทั้งหลาย เสียงทั้งหลาย กลิ่นทั้งหลาย รส ทั้งหลาย โผฎฐัพพะทั้งหลาย ธรรมารมณ์ ทั้งหลาย มีภาวะเป็นที่รักมีภาวะเป็นที่ยินดีในโลก ตัณหานี้เมื่อ จะเกิด ย่อมเกิด ในที่นั้น เมื่อ จะเข้าไป ตั้งอยู่ ย่อมเข้าไปตั้งอยู่ ในที่นั้น ..................
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ทุกขนิโรธอริยสัจ พระ วจนะ อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า? คือ ความคลายคืนโดยไม่มีเหลือและความดับไม่เหลือ ความละวาง ความสละคืน ความผ่านพ้น ความไม่อาลัย ตัณหา นั้นเทียว......... ภิกษุทั้งหลาย ก็ ตัณหานั้นเมื่อ บุคคลจะละได้ ย่อมละได้ในที่ใหน? เมื่อ จะดับย่อมดับในที่ใหน? สิ่งใดมีภาวะเป็นที่รัก มีภาวะเป็นที่ยินดีในโลก ตัณหานั้นเมื่อบุคคลจะละ ย่อมละได้ในสิ่งนั้น เมื่อจะดับย่อมดับได้ในสิ่งนั้น ก็อะไรเล่า มีภาวะเป็นที่รัก มีภาวะเป็นที่ยินดี ในโลก?............................ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีภาวะเป็นที่รัก มีภาวะเป็นที่ยินดีในโลก ตัณหา นี้เมื่อ จะละ ย่อมละได้ในที่นั้น เมื่อจะดับย่อมดับได้ในที่นั้น...............
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ทุกขนิโรธคามินีปฎิปทาอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า? มรรคอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์ 8ประการ นี้นี่เอง กล่าวคือ สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรากล่าวว่า ทุกขนิโรธคามินีปฎิปทา อริยสัจ..........ภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเราแสดงแล้วว่า เหล่านี้คือ อริยสัจทั้งหลาย4ประการดังนี้ เป็นธรรมอันสมพราห์มณ์ผู้รู้ทั้งหลายข่มขี่ไม่ได้ ทำให้เศร้าหมองไม่ได้ ติเตียนไม่ได้ คัดง้างไม่ได้ ดังนี้อันใด อันเรากล่าวแล้วข้อนั้น เรากล่าวหมายถึงข้อความดังกล่าวมานี้ ดังนี้แล .................(อริยสัจจจากพระโอษฐ์ ท่านพุทธทาส)
     
  4. nipp

    nipp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +20
    คนที่สามารถดับความคิดได้ทันทีนั้น คนผู้นั้นจะต้องผ่าน ปีติตัวที่ 4 เกือบเข้าปีติตัวที่ 5 หรือใกล้ๆจะได้ฌาน 1

    **ขนิกสมาธินั้น จะต้องจบ วิตก-วิจารย์
    **อุปจารสมาธินั้น ต้องจบ ปีติ
    **ฌาน 1 2 3 นั้นต้องจบ สุข
    **ฌาน 4 นั้นต้องจบ เอกคตารมณ์
    ถ้าคนที่อยู่คาบเกี่ยวระหว่าง ปีติ-กับสุข นั้นจะอธิษฐานได้สำริจผล นึกปับเป็น นึกปับเป็น
    การไล่แบบนั้นอาจจะไม่เหมือนในอภิธรรมนะ .......ถ้าผิดต้องขอโทษด้วย เพราะเราปฎิบัติและสังเกตุเอาเอง.....
    **ถ้าท่านจบปีติทั้งหมดแล้ว อยู่คาบเกี่ยวระหว่าง ฌาน 1....ให้ท่านคิดในใจว่า
    1.ข้าพเจ้าขอดับความคิด
    2.แล้วเข้าสมาธิดูลมหายใจธรรมดา .....ซัก 5วินาทีนะ ถ้าสมาธิท่านดี ความคิดจะดับทันทีเลย
    3.แต่ดับไม่ได้จริงๆๆนะ ถ้าท่านสลัดหัว ความคิดก็มาอีกคำอธิษฐานเสื่อมชั่วครู่ พอท่านนิ่งซักพัก คำอธิษฐานจะมาจับความคิดตามเดิม .....เพราะท่านยังไม่ได้ถอนคำอธิษฐาน
    4.ที่ว่าดับไม่ได้จริงนั้นเพราะมันไม่ได้เป็นวิปัสสนา...มันใช้กำลังสมาธิดับเอา
    5.ถ้าท่านสามารถอธิษฐานได้แม่แต่ ลูกเด็ก-เล็กแดง เวลาร้องไห้ ท่านสามารถอธิษฐานได้เลย ขอดับจิตเด็กคนที่ร้องให้อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า ....อธิษฐานเสร็จแล้วท่านเข้าสมาธิดูลมหายใจธรรมดา พอเป็นสมาธท่านก็เป่าไปที่หัว ....เด็กจะหยุดร้องทันที......ทันทีหรือไม่ขึ้นอยู่กับพลังสมาธิถ้ามากก็หยุดทันที

    ***งั้นเข้าเรื่องต่อ ถ้าท่านอยากจะมาเจริญวิปัสสนา ท่านต้องถอนคำอธิษฐานก่อน ข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐาน ขอให้จิตกับมาคืนสภาพดังเดิม แล้วเข้าสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิจิตจะเข้าสู่สภาพดังเดิมเอง แล้วท่านก็เจิญสติในชีวิตประจำวันไป

    คือดูกายขยับเขยือน ด฿จิตที่มันคิด ก็รู้ว่ามันคิด เป้นการเจริญสติ

    ***เราเอากำลังสมาธิมาใช้ยามขับขันเท่านั้น เช่นเราโกรษมาก หรือช่วงนั้นกามมา มันเสือกแข็ง
    เราก็อธิษฐานดับความโกรธ มันจะปลิ้นนะจิตน่ะ เหมือนกับเรากำดินเหนียวไว้ในมือ มันจะปลิ้นออก พอเราดับความโกรธด้วยกำลังสมาธิมันจะ ปลิ้นออกมาเป็นตัวกดดัน เราก็ดับตัวกดดันอีก มันจะปลิ้นออกมาที่ร่างกายจะปวดเมื่อย เราก็ดับที่ร่างกายอีก ขอให้ร่างกายเบาเหมือนสำลี...ดับจนหมดมันไม่มีอะไร จะปลิ้นออก จิตมันจะปลิ้นมาทางกามระคะอีก ก็ดับอีก ....ไล่ดับจนเบื่อน่ะ ....ก็เลยไม่ดับละกัน

    เลยอธิษฐานถอนขอให้จิตกลับสู่สภาวะดับเดิม ....แล้วก็มาดูจิตที่มันโกรธ แล้วก็อดทนรอจนกว่ามันจะดับของมันเองง่ายกว่า

    เฮ้อเหนื่อย....

    หรือจะเอาของเล่นแบบนี้ก็ได้นะ หาพระที่สามารถอธิษฐานได้ มาอธิษฐาน อัดคำอธิษฐานเข้าองค์พระ แล้วคล้องอยู่ตลอดเวลา.....ดีสำหรับคนที่เพิ่งอกหักจากความรัก เพราะเขาทนต่อความเสียใจไม่ไหว ...เราก็อธิษฐาน ขอให้พระเครื่องเนี่ยมีคุณสมบัติที่ดับจิต ที่กำลังเสียใจอยู่ขณะนี้ ....การดับเนี่ยมันจะปลิ้นได้ เราต้องดูดมัน....แล้วอธิษฐานให้องค์พระมีคุณสมบัติที่สามารถเติม ความสดชื่น เบิกบานให้กับจิตได้

    ....สนุกดีครับมันเป็นของเล่นๆๆนะ
     
  5. nipp

    nipp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +20
    หรือเล่นอย่างนี้ก็ได้ คนส่วนใหญ่สังเกตุไหมว่าบางคน ก็มีแฟนเยอะ มีคนมาชอบเราเยอะ บางคนก็น้อย คนที่เยอะส่วนใหญ่ในตัวจะมีคุณสมบัติไปทางมหาลาภ......ถ้าไปจับตัวแล้วอธิษฐานขอดูคุณสมบัติในตัว จะเป็นดังนั้นจริงๆ แต่คนที่มีคนมาชอบน้อยหรือผิดหวังบ่อยๆๆ คนๆนั้นมักมีพลังคงกระพัน แคล้วคลาด มหาอุด ป้องกัยภัย แหวกภัยอยู่ในตัว ...มันจึงแหวกหมด.

    เราต้องอธิษฐาน ไปที่องค์พระ เพราะถ้าใช้กำลังเรา กำลังเราน้อย.......ให้พระดูดคุณสมบัติพวกนี้ออก แล้วเอาพวกนี้ไปทิ้งน้ำ .....แล้วก็อธิษฐานเติม คุณสมบัติ เป็นมหาดูด..ความรัก ดูดลาภะ ดูดลาภ....แล้วก็เช็คดูว่าเป้นจริงไหม แล้วเช็คดูอีกว่า 7 วันแล้วจะเสื่อมออกไหม แล้วให้เขาสวดมนต์บท พวกนี้บ่อยๆเป็นกการอัดพลังเข้าตัว....

    แล้วคนๆๆนั้นจะมีลาภมาก มีความรักเข้ามาเยอะ.....แต่คนทำให้ก็รับกรรมไปสบายแฮเพราะไปฝืนลิขิตกรรมเขา

    *****คุยกันสนุกๆๆๆนะ
     
  6. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452

    กระจ่างชัด ฝึกสมาธิบ่อยๆ ก็จะสามารถควบคุมความนึกคิดได้

    จิตมีสภาพคิด ก็พยามไห้เกาะทางด้านกุศล ผลบุญ จิตจะได้มีความความสุข

    เวลาทำสมาธิ ก็จะทำไห้สมาธิสงบได้ง่าย ดีมากครับ

    ฟันธงครับ:cool:
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ................. ปฎิบัติเพื่อ หาความสมดุลย์แห่ง สมถะและวิปัสนาแหละครับ ถึงจะเจ๋ง:cool:
     
  8. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424


    ใหม่ ๆ ก็ต้องละอกุศล และเจริญกุศลไปก่อน
    ความคิดใดที่เป็นอกุศล อย่าทำตาม ให้ละความคิดนั้นเสีย
    ความคิดใดไม่เป็นอกุศล จึงทำตามได้ แต่ให้ทำอย่างมีสติ
    ยกตัวอย่างเช่น การดำริออกจากกาม ออกจากอกุศลกรรม แต่ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้หลงติดดี ไปอาละวาดเพ่งโทษผู้อื่น ซึ่งก็จะกลายเป็นอกุศลที่ต้องละออกไปอยู่ดีเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราจะรู้ตัว อ่านตัวเองออกหรือไม่เท่านั้นเอง

    ต่อไปอกุศลก็ให้ละ แม้กุศลก็ไม่ให้ยึด ทำไปตามหน้าที่เท่านั้น

    คนเราเป็นทุกข์เพราะความหลงคิด หลงคิดจนจิตเกิดอาการเป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นมา แล้วก็ยังยึดมั่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้นอีกว่าเป็นตัวตนของเรา ครูบาอาจารย์ผู้รู้ทั้งหลายท่านถึงกล่าวว่า คนทั่วไปหลงอย่างเดียวยังไม่พอ ยังยึดที่หลงนั้นไว้ด้วยอีก เรียกว่า ทั้งหลงและทั้งยึดที่ตนหลงนั้นไว้ด้วย นี่ถ้าไม่หลงคิดมันไม่ทุกข์ เพราะจะคิดอะไรมันคิดด้วยสติ ด้วยเหตุด้วยผล ใคร่ครวญอย่างมีสติ ใช้ความคิดตามความจำเป็นเท่านั้น เมื่อใช้เสร็จแล้วก็วาง คือเลิกคิด ไม่จำเป็นก็ไม่คิด เรื่องคิดฟุ้งซ่านหรือเผลอคิดเชื่อว่าระดับพระอรหันต์ท่านไม่มีแน่นอน การคิดแบบขาดสติย่อมไม่มีแน่นอน

    เคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านเล่าว่า เมื่อดับความเกิดของจิตได้ที่ต้นตอของมันจริง ๆ แล้ว จิตก็ไม่เกิดอีก แล้วอาการของขันธ์ ๕ ก็ไม่มีมากวนอีกเลย คำว่าจิตไม่เกิดนี้ เขียนให้อ่านและเข้าใจอย่างง่าย ๆ ได้ว่า คืออารมณ์มันไม่เกิด เวลาคิดอะไรมันไม่ได้คิดด้วยอารมณ์ หรืออารมณ์เป็นเหตุพาให้คิด โดยปกติคนทั่วไปจิตมันเกิดอยู่ตลอดเวลาแบบไม่รู้ตัวเลย แต่พระอริยเจ้าระดับตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป จิตเกิดท่านเริ่มรู้แล้ว แต่จะช้าหรือเร็ว อยู่ที่ความว่องไวของสติ ความคมกล้าของปัญญา และกำลังสมาธิ อาการจิตเกิดของแต่ละท่านจะมีความหนักเบาไม่เท่ากัน คือ ยิ่งรู้ตัวสติว่องไวเท่าไหร่ อาการจิตเกิดก็จะรู้ทันได้เร็วได้ไวขึ้นเท่านั้น ผลก็คือ ทำให้อาการจิตเกิดไม่รุนแรง ทำให้ไม่ถึงกับไปฆ่าคนได้นั่นเอง ยิ่งรู้ทันไวเท่าไหร่ การควบคุมจิต การดับความเกิดของจิตยิ่งกลายเป็นของง่ายยิ่งขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ยากหรือหนักใจ อึดอัดเหมือนตอนหัดใหม่ ๆ ซึ่งจิตเกิดไปไกลออกอาการแรง ๆ แล้วจึงค่อยรู้ อันนั้นจะเอาอยู่ยากมาก หรือเอาไม่อยู่เลย จึงว่าผู้ฝึกใหม่ต้องหัดทวนกระแส เจริญสติให้คล่องแคล่ว และสร้างกำลังจิตให้แข็งแกร่งเป็นอันดับแรกก่อน

    ดังนั้นครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านจึงสอนให้หยุดคิดไปก่อน ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจ หรืออยู่กับการเคลื่อนไหวให้มาก อยู่กับปัจจุบันให้มาก ฝืนความเคยชินเดิม ๆ ให้มาก เดิมเราเป็นคนชอบคิด หนักไปในทางใช้ความคิดกัน โดยคิดแต่จะเอาคิดไปแก้ปมทุกข์ในใจ มันก็เลยไม่สำเร็จเสียที เพราะที่จริงแล้ว ตัวมัน (ความคิด) นั่นแหละคือตัวทุกข์ แต่เราไม่รู้ ต้องออกมาจากความคิดเสียก่อน จึงค่อยเห็นความจริงว่า มันคิดแล้วเป็นทุกข์ไปได้อย่างไร

    คนที่ไม่คิดเลย ไม่มี ถ้าไม่คิดเลยก็เป็นท่อนไม้ เข้าสังคมกับคนอื่นไม่ได้ แต่คนที่ไม่เผลอคิดเลยมีอยู่แน่นอน นั่นหมายความว่า ท่านเป็นผู้มีสติในการจะคิดทุกครั้ง ไม่คิดพร่ำเพรื่อไร้สาระ ไม่มีความจำเป็นท่านก็ไม่คิด มีครั้งหนึ่งด้วยความสงสัยว่าครูบาอาจารย์่ท่านคิดอะไร ด้วยสังเกตว่า เวลาที่เราเดินไปหาท่าน มักเห็นท่านจ้องมองเราไม่กระพริบตามาแต่ไกลบ่อย ๆ จนวันหนึ่งอดรนทนไม่ไหว จึงได้กราบเรียนถามท่านว่า ตอนที่ผมกำลังเดินมา เห็นหลวงพ่อจ้องมองผมอย่างจริงจัง ไม่วางตา ไม่ทราบว่าหลวงพ่อกำลังคิดอะไรอยู่หรือครับ หลวงพ่อท่านตอบผมว่า ท่านไม่ได้คิด ท่านสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าดูเท่านั้น

    สรุปว่าเราฝึกไปตามลำดับ คือ ละความคิดอกุศล และ หมั่นเจริญกุศลไปก่อนตั้งแต่คิดดีทำดีเป็นต้นไป เพื่อสร้างสมบารมีให้เต็มเปี่ยม ขณะเดียวกันก็ให้ฝึกหยุดคิด หยุดความฟุ้งซ่าน เลิกคิดมากไม่เข้าเรื่อง ทวนกระแส จิตเกิดก็ให้รีบดับ อย่าปล่อยให้มันเกิด มันอาละวาดทำร้ายตนเองและผู้อื่น อย่าเพลินพอใจ ดับเสียแต่เนิ่น ๆ จะดับได้ง่าย เอาให้จิตนิ่งจิตสงบ ถ้าจิตมันยังแกว่งมันก็ไม่อาจเห็นสิ่งที่มันวิ่งเข้ามาป่วนให้จิตแกว่งได้ ต่อเมื่อจิตมันเริ่มนิ่งมันจึงเห็นสิ่งที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ที่เข้ามากระทบเป็นเหตุให้จิตเกิดนั้นได้ง่ายนั่นเอง เอาปัญญาปฏิบัติจากตรงนี้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปว่ากันในลำดับต่อไป เอาเท่านี้ก่อนเอาให้ชำนาญไปเลย...
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    อนุโมทนากับท่าน tboon ครับ การปฎิบัติตามอริยมรรคมีองค์8 มีรายละเอียดที่ควรโยนิโสมนสิการเพื่อการหลุดพ้นจากปัญจุปาทานขันธ์ อันมี สังขารขันธ์เป็นต้นครับ:cool:
     
  10. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -การนึกคิดมีแต่พาเราให้ออกนอก ใช่เลยครับหากไม่มี สติ+สัมปชัญญะ ก็บ้าได้เลย

    -ความรู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องนึกคิด คุณเคยพบไหมครับ ไม่เคยครับ ความรู้ได้จากการนึกคิดขบคิดเสมอ แต่ที่เลิศกว่านั้นคือ ปัญญา ซึ่งได้จากการภาวนา

    -จาก ตัวอย่างที่1 กินน้อยอิ่มมั้ย อิ่มครับแต่อิ่มน้อย แล้วทำไมกินมากปวดแน่นท้อง ท้องมันอิ่มแล้วแต่ ตัณหา มันไม่อิ่มครับมันเลยสั่งปากกินต่อจนเป็นทุกข์แล้วทุกข์เพราะอะไร เพราะตัณหา ครับ แก้ได้โดยทำลาย ความหลง ให้หายไป เมื่อหลงหายไปมันก็หรือแต่รู้ชิครับ

    -จาก ตัวอย่างที่2 หากเขารู้ว่า ตัวเขาคือก้อนทุกข์ ก็คงไม่ให้คนอื่นวินิจฉัยให้แต่เขาไม่รู้ไงครับ เลยต้องให้คนอื่นช่วย แต่ก็ยังไม่เชื่อเขาเพราะคิดว่าเราไม่ได้เป็นก้อนทุกข์ เหมือนกับวิ่งไปถามคนอื่นว่า ข้าพเจ้าบ้า มั้ยครับช่วยบอกด้วยครับ แก้ไขโดยอย่างไปเชื่อ ความรู้ความคิดที่ตนมี เพราะมันไม่แน่ (ก้อนทุกข์ มันแสดงตัว เขาจึงนึกคิดว่ามันเป็นอะไร เอ่อรู้แล้วเพราะปวดท้อง ความรู้ เกิด)
     
  11. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -ไปไกลแล้ว กลับมาก่อน ขันธ์ 5 ดับมันคือการ ตายของคนและสัตว์ หรือเรียกว่า นิทรา หากมีแต่ลมหายใจ แต่ขันธ์5ของพระอริยะเจ้าดับเรียกว่า นิพพาน

    -ปัญญา คือ ความรู้แจ้ง เมื่อรู้แจ้งในขันธ์ 5 ปัญญาก็เกิด รู้แจ้งใน ธาตุ 4 ปัญญาก็เกิด
     
  12. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    แล้วทุกข์ที่เกิดขึ้น เกิดมาจากการนึกคิดใช่หรือไม่

    ในตัวอย่างแรก เมื่อเรารู้แล้วว่ากินพอดี เราจะอิ่มโดยไม่ทรมาน ไม่ปวดแน่น

    ความเข้าใจจึงทำให้รู้ ว่าพอดีอยู่แค่ไหน ไม่จำเป็นต้องคบคิด

    และที่กินมากจนเกินไป หรือ กินน้อยจนเกินไป ก็ด้วยความคิด

    ความพอดี จะเรียกอย่างที่เข้าใจง่ายๆ คือ ทางสายกลาง

    ในตัวอย่างที่สอง บ่งบอกถึงการนึกคิดอย่างชัดเจน เมื่อคิดเช่นนี้ ก็ยึกดถือในความคิด

    ว่าเป็นเช่นนี้ แม้แต่ผู้ที่รู้จริงมาบอก ก็ยังไม่เชื่อ ได้แต่คอยหาเหตุหาผล มาโต้แย้ง
     
  13. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณไม่เห็นจริงๆด้วย ขันธ์ 5 เกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลา

    ทุกๆการนึกคิดนั้น ขันธ์ 5 ก็เกิดขึ้นแล้ว มีการปรุงแต่งแล้ว

    เวทนาเกิดแล้ว ได้จดจำในสิ่งๆนั้นแล้ว เกิดเป็นทุกข์แล้ว

    ยังไม่เห็น อย่าได้กล่าวว่ารู้แจ้ง ในขันธ์ 5 แม้ผู้ที่รู้มากกว่านี้ เขายังไม่อาจกล่าวเลย

    ผู้ที่กล่าวด้วยความไม่รู้ เป็นเพียงผู้ที่ประมาทแล้ว หากแจ้งในขันธื 5 แล้ว

    ยังมีสิ่งใดให้ยึดติดอยู่อีก หรือว่าคุณบรรลุมรรคผล จึงกล้ากล่าวคำว่ารู้แจ้ง

    ปัญญา คือ การรู้แจ้ง ก็ตรงตัวอยู่แล้ว ปัญญาไม่ใช่การนึกคิดให้แจ้ง

    รู้ด้วยการรับรู้ ไม่ใช่รู้ด้วยการนึกคิด ไม่รู้ว่าใครไปไกลกันแน่ครับ

    คุณจะศึกษาในพระไตรปิฎกก็ได้ครับ ศึกษาพระอภิธรรมให้รู้แจ้งในพระอภิธรรมเลยครับ

    จะได้รู้ว่าขันธ์ 5 นั้นเกิด-ดับอยู่ตลอดไหม ผมว่าน่าจะมีกล่าวไว้

    หรือ คุณจะทำความเข้าใจในขันธ์ 5 ในรูปแบบไหนก็ได้ครับ

    เอาแบบให้เห็นจริงไปเลย ไม่ใช่มานั่งนึกเอาแบบนี้ เพราะถ้าใช้การนึกคิดเอา

    คุยอีกกี่วันก็ไม่จบครับ เพราะต้องไปคอยนึกคิดหาคำมาตอบอยู่นั่นเอง
     
  14. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -หากผมกล่าวว่าผม บรรลุธรรม แล้วท่านฟังอาจจะตกใจ แต่ความจริงมันเป็นเรื่องที่ทำได้ทุกคนและเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น ท่านเดินทางไป หมอชิต ถึง หมอชิต ท่านบรรลุหมอชิตแล้ว ท่านก็ได้เห็นแล้วว่าหมอชิตเป็นอย่างไรมีอะไรมั้งที่ประกอบเป็นหมอชิต อย่างนี้เรียกว่า บรรลุหมอชิต หากใครพูดถึงหมอชิตต่างจากที่ท่านไป บรรลุมา ท่านก็รู้ว่าที่เขาพูดจริงหรือเท็จ แต่หากท่านทะลุไปถึง จตุจักร ท่านอาจจะเห็นว่า จตุจักร เป็นหมอชิต ก็ได้เพราะท่าน ทะลุ หมอชิต จึงเห็นว่า หมอชิต เป็น จตุจักร จตุจักร เป็นหมอชิต วิธีแก้คือให้คนที่รู้จักหมอชิตพาท่านไป เพราะเขารู้จักหมอชิตแล้ว เขาจะไม่พาท่านทะลุ หมอชิต แน่นอนครับ
     
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    สิ่งที่คุณได้กล่าวนั้น ควรน้อมใส่ตนเองเป็นอย่างยิ่งครับ

    คุณจะบรรลุได้อย่างไร แม้แต่ศีลข้อ 4 คุณยังรักษาให้ดีงามไม่ได้เลย

    ซึ่งผมได้กล่าวเตือนไปแล้ว แทนที่จะลดมานะทิฎฐิลง กลับยิ่งเพิ่มขึ้นมาอีก

    ผู้ที่บรรลุแล้วซึ่งพระธรรม เขาไม่กล่าวคำเพ้อเจ้อ และ กลบเกลือน หลอกครับ

    เพราะเขาไม่เห็นประโยชน์ในการกล่าวในสิ่งเหล่านั้นครับ
     
  16. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณ ongsathit1 ครับ ผมเริ่มที่จะไม่เห็นประโยชน์ในการสนทนากับคุณแล้วครับ

    ขอให้เป็นการจากกันด้วยดีครับ ผมไม่มีธุระที่จะคุยกับคุณอีกแล้วครับ

    ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วครับ ที่ผมจะตอบคุณ
     
  17. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    -ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อทรมารตนเองและผู้อื่น ธรรมเหล่านั้นไม่เป็นธรรม
     
  18. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572

    -ขอท่านจงมีดวงตาเห็นธรรม หากท่านได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วท่านจะไม่หลงใน ธรรมเมา
     
  19. mamypogo

    mamypogo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +60
    แนะนำให้ลองฟังธรรมจากหลวงพ่อพุทธ ฐานิโยครับ ท่านใช้วิปัสสนาเป็นเครื่องมือในการฝึกจิตให้คิดอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้(แน่นอนว่าต้องใช้สมาธิด้วย) เพื่อให้เกิดความลึกซึ้งในธรรม และใช้สติ ตามรู้ไปในเวลาเดียวกัน มีประโยชน์มากครับ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=h5bpgQAeBwg"]หลวงพ่อพุธ ฐานิโย,0013 ปัญญาในสมาธิ www TANIYO blogspot com - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...