พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://hilight.kapook.com/view/8354

    <CENTER>
    [​IMG]


    ไหว้พระ 9 วัด อย่างไรไม่ให้เหนื่อย


    เกิดเป็นพุทธศาสนิกชนถ้าได้ตระเวนไหว้พระจนครบ 9 วัด ถือเป็นบุญผลาอานิสงส์ แล้วถ้าได้ไปกับคนที่เรารักก็ยิ่งพิเศษสุด เรื่องดีๆ แบบนี้ "เอไอเอส เซเรเนด"
    โปรแกรมดูแลลูกค้ากลุ่มผู้ใช้บริการสูงของค่ายโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่ รู้ใจคู่แม่ลูกทั้งหลายว่าคงอยากมีช่วงเวลาดีๆ แบบนี้ร่วมกัน จึงจัดกิจกรรม "อิ่มบุญ อุ่นรัก" พาคู่แม่ลูก 18 คู่ ไปทำบุญไหว้พระเสริมสิริมงคล 9 วัดที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ประกอบด้วย 1.วัดพนัญเชิงวรวิหาร 2.วัดใหญ่ชัยมงคล 3.วิหารพระมงคลบพิตร 4.วัดหน้าพระเมรุราชิการาม 5.พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเจ้าสามพระยา 6. วัดราชบูรณะ 7.วัดมเหยงค์ 8.วัดไชยวัฒนาราม และ 9.วัดสุวรรณดารามราชวรวิหาร
    ไปไหว้พระอยุธยาคราวนี้ "อ.แพน" เผ่าทอง ทองเจือ เป็นไกด์นำเที่ยวให้ความรู้ตลอดทริป ได้ความรู้คู่การท่องเที่ยวแบบนี้ แม่ลูกเซเรเนดคู่ไหนๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะท้อถอยถึงแม้ว่าอยุธยาช่วงสิบโมงเช้าแดดจะเริ่มแข็งแล้ว
    เมื่อคิดถึงกรุงเก่าภาพเจดีย์สูงใหญ่ล่องลอยมาแต่ไกล จากกรุงเทพฯ เข้าตัวเมืองอยุธยาแล้วจะเห็นเจดีย์วัดสามปลื้ม (เจดีย์กลางถนน) ให้เลี้ยวซ้ายตรงไปประมาณ 1 กิโลเมตร "วัดใหญ่ชัยมงคล" อยู่ทางซ้ายมือ "อ.แพน" ไกด์กิตติมศักดิ์เล่าให้ฟังว่า ตามพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวว่า วัดแห่งนี้เดิมชื่อ 'วัดป่าแก้ว' พระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสีสร้างไว้ตั้งแต่อยุธยาตอนต้น ส่วน ​
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากหนังสือวิเคราะห์พระสมเด็จและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า
    ลิขสิทธิ์ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

    ข้อแตกต่างระหว่างพระสมเด็จวัดระฆัง กับ พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    1.เนื้อหาของสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าจะกระเดียดไปทางพระพิมพ์สมเด็จของวัดใหม่อมตรส แต่ที่เป็นชนิดเนื้อน้ำมันก็มีอยู่เป็นบางพิมพ์ บางพิมพ์ก็ห่างไกลจากวัดระฆังฯ บางพิมพ์ก็ใกล้เคียงกัน แต่มีข้อแตกต่างที่พอจะเห็นได้ชัดจากการลงรัก การตัดขอบ มวลสาร และจุดโค๊ด<O:p</O:p
    2.สมเด็จวัดระฆังฯทุกองค์ทุกทรงพิมพ์จะต้องมีการตัดขอบข้าง ส่วนพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่ามีทั้งพิมพ์ที่มีการตัดขอบข้างและพิมพ์ยกถอดในตัว ไม่มีการคัดขอบ<O:p</O:p
    3.ด้านหลังของพระพิมพ์สมเด็จวัดระฆังฯ จะปรากฏรอยคลื่นที่เรียกว่า
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพิมพ์ของวังหน้า
    <O:p</O:p
    พระวังหน้า เริ่มมีการจัดสร้างจากพระบัณฑูรย์ของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (ท่านเป็นพระราชโอรสองค์ต้นของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า) โดยเริ่มมีการจัดสร้างขึ้นครั้งแรก ประมาณปี พ.ศ.2400 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    การจัดสร้างพระของวังหน้านั้น จะมีมวลสารที่นำมาสร้างอยู่หลายอย่าง เช่น ปูนเพชร (ซึ่งนำเข้ามาจากเทือกเขาเมืองอันฮุย ประเทศจีน โดยท่านกรมเจ้าคุณท่า ท่านเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี นามเดิมว่า ท้วม บุนนาค ส่วนกรมเจ้าคุณท่านั้น หน้าที่ราชการของกรมท่า มีหน้าที่ชำระความระหว่างคนไทยกับชาวต่างประเทศ ,รับรองพ่อค้าชาวต่างประเทศ รวมไปถึงการรับรองฑูตานุทูตของต่างประเทศ ,การนำฑูตานุฑูตของไทยไปเจริญความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ,การค้าขายกับต่างประเทศ ถ้าเปรียบเทียบในสมัยปัจจุบัน คือกระทรวงการต่างประเทศ) ,ผงอิทธิคุณ (เป็นผงที่เกิดจากการที่พระสงฆ์เขียนบาลี หรือยันต์ต่างๆ ) ซึ่งได้จากวังหน้าเอง หรือสำนักมูลกจายย์ ทั่วพระนคร ,เศษผงทองคำ(ใช้ในการโรยที่หน้าพระพิมพ์ แต่ในบางพิมพ์ก็จะไม่มี) เป็นหลักใหญ่ ส่วนในการผสมผง ตำผงนั้น 1 ครกใช้ระยะเวลา 4 ชั่วโมง จึงจะใช้ได้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในการพุทธาภิเษกนั้น เป็นพิธีพุทธาภิเษกหลวง ที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (อยู่ในวังหน้า ปัจจุบันสถานที่ของวังหน้า คือม.ธรรมศาสตร์ ,พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร ,วิทยาลัยนาฎศิลป์ ,โรงละครแห่งชาติ) โดยเชิญสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี มาเป็นประธานการปลุกเสก แต่ท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านเชิญหลวงปู่เทพโลกอุดร มาปลุกเสกให้ด้วย <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ตัวอย่างของพระวังหน้านั้น เช่น สมเด็จวังหน้า ,สมเด็จกรมเจ้าคุณท่า ,หรืออย่างกรุวัดท้ายตลาด, ท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญท่านได้นำพระไปบรรจุกรุที่วัดท้ายตลาด หรือพระหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญท่านนำพระไปถวายให้กับหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ (ท่านอ.ประถม อาจสาคร ท่านบอกว่า ชื่อของหลวงพ่อแก้ว นั้น ท่านชื่อ สุข แต่ที่ผู้คนเรียกท่านว่าหลวงพ่อแก้วนั้น เนื่องจากพระที่ท่านแจก เปรียบกับแก้วสารพัดนึก นั้นเอง)<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หากท่านใดมีพระวังหน้า ท่านสามารถนำไปพิสูจน์ได้โดยนำพระวังหน้าไปให้พระหรือครูบาอาจารย์ที่ท่านได้วิปัสสนาญาณแล้ว ท่านตรวจดูได้ว่าอิทธิคุณขององค์พระเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้เสก ส่วนที่ผมใช้คำว่าอิทธิคุณนั้น ปกติทั่วๆไปจะใช้คำว่าพุทธคุณ แต่ท่านอ.ประถม ท่านบอกว่า คำว่าพุทธคุณ นั้นหมายถึงคุณของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพระพิมพ์ แต่อย่างใด

    .<O:p</O:p<!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับพระวังหน้านั้น เป็นพระที่สร้างขึ้นเมื่อปลายรัชกาลที่ 4 จวบจนสิ้นสมัยท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ พ.ศ.2428 <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผมได้ศึกษาประวัติของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร มาจากหนังสือหลายๆเล่ม หลายผู้เขียน จนกระทั้งสุดท้าย ผมได้มีโอกาสได้รู้จักกับท่านอาจาย์ประถม อาจสาคร ซึ่งท่านก็มีความเมตตาที่ได้สอนให้ผมได้รู้จักกับหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ผมได้หนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ซึ่งเขียนโดยท่านอาจารย์ประถม อาจสาครและท่านพันเอกชม สุคนธรัต ท่านได้บอกว่า หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร นั้น ในคณะท่านมี 5 องค์ (ตามประวัติโดยย่อของหลวงปู่ที่ผมได้ลงในกระทู้นี้) ท่านอาจารย์ประถม ท่านเล่าให้ฟังว่า เวลาที่หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า มาหาหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้านั้น หลวงปู่พระโสณเถระเจ้าท่านจะเรียกหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าว่า หลวงพี่ ส่วนพระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร ที่มีรูปหลวงปู่นั่งมรณภาพในถ้ำ เป็นรูปโครงกระดูก) หรือหลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรือหลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า มาหาหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้านั้น จะเรียกหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้าว่าหลวงพ่อ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วนพระพิมพ์ของหลวงปู่นั้น ท่านอาจารย์ประถม ท่านเล่าให้ฟังว่า พระของหลวงปู่ นั้น เริ่มมีการจัดสร้างขึ้นตั้งแต่ที่ เนปาล มีกรุของพระพิมพ์ของหลวงปู่อยู่ในภูเขาหิมาลัย (ท่านอาจารย์ประถมท่านเคยนำพระของกรุนี้ ตรวจสอบด้วยตนเองและนำไปให้ผู้ทรงญาณอีกหลายท่านตรวจสอบ ผลปรากฏว่าบางท่านเห็นเป็นภูเขาสูงที่มีน้ำแข็งปกคลุม บางท่านบอกว่าเข้าไปในถ้ำแล้วหนาวมาก ผลที่ตรวจสอบนั้นตรงกันหมด) ต่อมาก็มีการสร้างพระพิมพ์ขึ้นหลังจากที่คณะของหลวงปู่ได้เดินทางเข้ามายังสุวรรณภูมิ จนในสมัยรัชกาลที่ 4 (หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า ท่านเห็นว่าท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเคยมีความเกี่ยวพันกันในอดีตมา หลวงปู่ท่านก็มาหาท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ในปัจจุบันท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านเป็นหนึ่งในห้าของครูฝึก เมื่อมีการฝึกตามระดับขั้นแล้วหลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า ,หรือหลวงปู่พระโสณเถระเจ้า หรือหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ท่านจะมาเป็นผู้ที่ทดสอบกับศิษย์ว่า ผ่านในขั้นนั้นแล้วหรือยัง) จวบจนพ.ศ.2428 ซึ่งเป็นปีที่ท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญทิวงคต หลังจากนั้นก็มีการสร้างพระพิมพ์ของหลวงปู่อีก แต่ในช่วงหลังนี้ หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ท่านเป็นผู้ที่เสกให้ พระพิมพ์ที่เราๆท่านๆคุ้นตานั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพระพิมพ์ที่ยืนปิดตาบ้าง , นั่งอยู่ตอไม้บาง , นั่งสมาธิมีบาตรบนมือท่านบ้าง ,นั่งบนตอไม้มือปิดหน้าบ้าง และยังมีอีกหลายพิมพ์ การจัดสร้างนั้น หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ท่านให้ลูกศิษย์ของท่านเป็นคนทำพระพิมพ์ขึ้นแล้วท่านเป็นผู้ที่เสกให้ แต่การสร้างนั้นเป็นการสร้างพระพิมพ์ในยุคหลังแล้ว<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ครูฝึกของหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรนั้น มี 5 องค์ แต่ท่านอาจารย์ประถม ท่านบอกว่าทราบนามของครูฝึกเพียง 2 ท่านคือหลวงปู่แจ้งฌาณ กับท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ อีก 3 ท่านไม่ทราบนาม ในบางครั้งผู้ที่ได้พบหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรนั้น จริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่หลวงปู่ แต่ได้พบครูฝึกของหลวงปู่ก็เป็นได้ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วนท่านกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเจ้านั้น ในสมัยท่านไม่ปรากฏการจัดสร้างพระพิมพ์ขึ้น เนื่องจากว่า ท่านอาจารย์ประถม ท่านได้ศึกษาค้นคว้าจาก <O:p</O:p
    1.ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 13 <O:p</O:p
    2.ตำนานเรื่องเครื่องโต๊ะและถ้วยปั้น พระนิพนธ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ<O:p</O:p
    3.ประวัติ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี<O:p</O:p
    4.พระราชประวัติวังหน้า<O:p</O:p
    5.ประวัติเจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี(ท้วม บุนนาค) เจ้าคุณกรมท่า ฉบับนายนัฐวุฒิ สุทธิสงคราม<O:p</O:p
    อีกทั้งต้องศึกษาศิลปะของพระพิมพ์ว่ายุคใหนลักษณะเป็นอย่างไร และต้องตรวจทางด้านนาม (ตรวจว่าใครเป็นผู้เสกหรือเสกที่ไหน)ด้วยครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จากเอกสารอ้างอิงดัง(เป็นเอกสารอ้างอิงในหนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จและพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี ท้วม บุนนาค) กล่าวนี้ พอที่จะบ่งบอกได้ว่า การสร้างพระพิมพ์ในยุครัตนโกสินทร์ของวังหน้านั้น มีการจัดสร้างขึ้นในปลายรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ส่วนทางวังหลวงนั้นมีการจัดสร้างขึ้นในปลายรัชกาลที่ 4 จวบจนปลายรัชกาลที่ 6 ท่านอาจารย์ประถม ท่านเคยบอกผมว่า วังหน้า ร.1 ถือดาบ วังหน้า ร.5 ถือพู่กัน ท่านกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเจ้านั้น พระองค์ท่านเก่งมากในเรื่องของการศึกสงคราม แต่ท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านเก่งมากในเรื่องของศิลปะทุกแขนง <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อีกทั้งหนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จและพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค) เขียนโดยปรัศนี ประชากร ซึ่งเป็นนามปากกาของท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ได้วิเคราะห์ชีวประวัติของเจ้าคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วิเคราะห์การสร้าง ,มวลสารต่างๆ ,เรื่องช่างสิบหมู่ ,มีการจำแนกวรรณพระพิมพ์สมเด็จวังหน้า สมเด็จพระปัญจศิริ ,พิธีการพุทธาภิเษกของวังหน้า และอีกหลายๆเรื่องครับ แต่ถ้าท่านใดสนใจที่จะได้นั้น ผมคงต้องให้ท่านไปซื้อกับท่านอาจารย์ประถมเองครับ ผมเองเคยไปขอซื้อจากท่านเนื่องจากเพื่อนขอซื้อ ท่านบอกว่า ให้คนที่อยากได้ มาซื้อกับท่านเอง ผมก็เลยจนแต้มครับ หนังสือเล่มนี้ท่านอาจารย์ประถม ท่านได้นำไปมอบให้กับหอสมุดแห่งชาติ (ที่อยู่เทเวศน์) 2 เล่มครับ ลองไปหาอ่านกันได้
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผงวิเศษ 5 ประการ ความจริงผงวิเศษหลักมีเพียง 4 ประการเท่านั้น คือผงปถมัง ผงอิธะเจ ผงตรีนิสิงเห และผงมหาราช ส่วนผงพุทธคุณนั้น เป็นผงเกล็ดซึ่งแยกจากผงปถมัง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อาจกล่าวได้ว่า ผงวิเศษ 4 ประการนี้ มิใช่ผลวิเศษ สำหรับใช้ในการสร้างพระพิมพ์ ผงวิเศษ แต่ละแขนงล้วนจบลงด้วยสูญนิพพาน แต่ในทางปฎิบัติใช้ลงเป็นตอนๆ สำหรับใช้เฉพาะกิจเท่านั้น เช่นการลบผงอิธะเจ ลบเพียงถึงอิธะเจตะโสทัฬหังคณหาหิถามะสา 13 คำขาดตัวในสูตรสนธิ ใช้ในทางเสน่ห์ เมตตา หากลบเลยไปจะเปลี่ยนรูปเป็นอิทธิฤทธิ์ ไม่ตรงกับความหมายของผู้ต้องการจะใช้ผง
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ้าต้องการให้เกิดอิทธิฤทธิ์ ต้องลบผงด้วยคัมภีร์ปถมัง เช่นการให้ผู้คนเห็นเราคล้ายดั่งนนทยักษ์ มีอำนาจน่าเกรงขาม ท่านให้เริ่มแต่นะปถมังลบไปจนถึงโองการมหาไวยเอาผงที่ลบเสกด้วยพระคาถาที่ใช้บังคับมาลูบหาตัว ฯลฯ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นักเขียนไม่ใช่นักทำ นักอ่านก็ไม่ใช่นักทำ .....<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ที่ท่านให้เผยแพร่เป็นวิทยาทาน ขอบพระคุณมากครับ<O:p</O:p
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.dailynews.co.th/dailynew...ault.aspx?Newsid=121096&NewsType=1&Template=1

    [​IMG]

    <TABLE id=Table9 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left height=118><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff height=32><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>รู้ไว้ไม่เสียเปรียบ : การปล่อยสัตว์เพื่อ ‘สะเดาะเคราะห์’ จะสะเดาะเคราะห์หรือเพิ่มเคราะห์?


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left width="100%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left>เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาหมาด ๆ ได้ชมรายการ “จุดเปลี่ยน” ทาง “โมเดิร์นไนน์ทีวี” รู้สึกประทับใจและตรงใจผู้เขียนมากกับเรื่องการ “ปล่อยนกปล่อยปลา” รวมทั้งการ “ปลดปล่อยสัตว์” ของบรรดาสาธุชนทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าเป็น “พุทธศาสนิกชน” แต่โทษทีกลับเป็น “พุทธศาสนิกชนคนปัญญาเบา” ที่ไม่น่ามานับถือ “ศาสนาพุทธ” กันเลยเพราะสักแต่อยากจะ “ทำบุญทำกุศล” แต่กลับทำบุญทำกุศลแบบ “ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง” เนื่องจากไป “หลงเชื่อ” ผู้ที่ทำมาหากินกับการ “นำสัตว์” มาขายเพื่อให้ผู้อื่นปลดปล่อยด้วยการปลูกฝัง “ความเชื่อ” กันอย่างผิด ๆ จนกลายเป็น “ความเชื่อ” ที่ “สุดงมงาย” อย่างไม่น่าให้อภัย

    เพราะการนับถือพระพุทธศาสนาที่เป็น “ศาสนาแห่งปัญญา” นั้นต้องรู้จักใช้สติปัญญาใคร่ครวญบ้างว่าสิ่งที่กำลังจะทำบุญนั้นมันเหมาะมันควรหรือไม่ ดังนั้นผู้เขียนจึงขอพักเรื่องราวของวัตถุมงคลกระแสแรง “จตุคามรามเทพ” ที่มีการบิดเบือนและปลูกฝังความเชื่อผิด ๆ ไว้ชั่วคราวโดยขอนำเรื่องราวการ “ปลดปล่อยสัตว์” เพื่อเป็นการ “สะเดาะเคราะห์” ตามความเชื่อที่บรรดา “หมอ ดู” น้อยใหญ่ทั้งหลายนิยมให้ “มนุษย์” ไปปฏิบัติมานำเสนอเพราะผู้เขียนบังเอิญมีกิจธุระผ่านไปยัง “วัดระฆังโฆสิตาราม” ฝั่งธนบุรีซึ่งเป็นพระอารามที่ยอดเกจิอาจารย์แห่ง “กรุงรัตนโกสินทร์” ซึ่งก็คือ “สมเด็จพระพุฒาจารย์โต” จำพรรษาอยู่ที่นั่นมีการกระทำที่ไม่ค่อยเหมาะ ไม่ค่อยควรนักเพราะถือเป็นการ “แอบแฝงกำแพงบุญ” แถมด้วยการปลูกฝังความเชื่องมงายไร้เหตุผลและสร้างความเดือดร้อนให้กับบรรดา “สัตว์ทั้งหลาย” ที่พวกเขานำมาหลอกขายให้บรรดา “สาธุชนคนปัญญาเบา” นำไปสร้างเวรสร้างกรรมต่อนับว่าน่าอเนจอนาถใจยิ่งกับธุรกิจที่สร้างความเดือดร้อนให้สัตว์เหล่านั้น

    จากที่ได้ชมรายการ “จุดเปลี่ยน” ดังกล่าวจึงได้ทราบปัจจุบันยังมีการสร้างความเชื่อให้ “ผู้คนงมงายไร้สาระ” อย่างเช่น “ถ้าปล่อยปลาช่อน” จะได้ “ช้อนเงินช้อนทอง” ตรงนี้ล่ะที่ผู้เขียนข้องใจเพราะไม่รู้ “มันเกี่ยวกันตรงไหน”

    และกับอีกความเชื่อที่ว่า “ถ้าปล่อยปลาทับทิม...ความรักจะสดชื่นสมหวัง” ซึ่งหากเป็นจริงดังว่า “ปลาทับทิม” ที่จะปล่อยนี้คงเป็น “ปลาทับทิมสายพันธุ์ใหม่” ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ “คนที่มีความรักสมหวัง” ผู้เขียนก็ยิ่งข้องใจ “มนุษย์จะรักจะชอบกัน” และ “จะสมหวังหรือผิดหวัง” ไฉนต้องให้ “ปลาทับทิม” เป็นผู้กำหนดหากมีการปลูกฝังความเชื่อที่แสนจะ “งมงาย” แบบนี้ผู้เขียนก็บอกได้ว่าประเทศไทยจะเต็มไปด้วย “คนบ้าห้าร้อย” ที่จะหันมานับถือ “ปลาทับทิม” เป็นเทพเจ้าอีกอย่างแน่นอน

    แม้กระทั่งการปลูกฝังที่ว่า “หากปล่อยปลาไหล เงินทองจะไหลมาเทมา” ถ้าเป็นแบบนั้นจริง “คนไทย” ทั่วประเทศคงไม่ต้อง “ทำมาหากิน” อะไรแล้วเพราะวัน ๆเอาแต่ซื้อหรือจับ “ปลาไหล” มาปล่อยก็จะ “ได้เงินได้ทอง” ช่างเป็นการสรรหาเรื่อง “หลอกลวง” เพียงเพื่อ จะได้เงินโดยแท้เลยและอีกเรื่องที่ปลูกฝังกันด้วยเรื่อง “ถ้าปล่อยปลาหมอชีวิตจะไร้โรคภัยมาเบียดเบียน” ช่างเป็นการสรรหา “ความเชื่อ” มาหลอกลวงกันได้ดีแท้เพราะ “มนุษย์ทุกคน” เกิดมาย่อมหนีไม่พ้นกับเรื่อง “เกิด แก่ เจ็บ ตาย”

    ดังนั้นกับความเชื่อที่ปลูกฝังว่าหากไม่อยากมีโรคภัยต้อง “ปล่อยปลาหมอ” โถ ๆ ๆ...หากมัวแต่จะคอยปลดปล่อย “ปลาหมอ” เพื่อจะได้ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียนโลกนี้ไม่ต้องมี “คุณหมอ” ก็แล้วกัน

    นอกจากนี้การปลูกฝังคำว่า “ถ้าปล่อยปลาบู่... ก็จะได้ลูกกตัญญูรู้คุณ” ก็ไม่รู้ผู้บัญญัติคำพูดนี้เป็น “ศาสดา” มาจากไหน “สุดบรมโง่” โดยแท้เพราะการปล่อย “ปลาบู่” ก็คือการปล่อยปลาธรรมดาทั่วไปคือ “ปล่อยมาก” และปล่อยเรื่อย ๆ ก็จะได้บุญมากและได้บุญเรื่อย ๆ จึงไม่เกี่ยวกับจะได้ “ลูกกตัญญู” หรือ “ไม่กตัญญู” เนื่องจากคนเรามี “กรรมติดตัว” มาแต่ปางก่อนทุกคนหากชาติที่แล้ว “ทำบุญไว้ดี” ชาตินี้ก็จะมีความสุขแต่หากชาติที่แล้ว “ทำบุญไว้น้อย” ชีวิตชาตินี้ก็จะ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ นี่คือ “สัจธรรม” ที่เป็นความจริงหากจะได้ลูก “กตัญญู” หรือ “อกตัญญู” ทุกประการก็ขึ้นอยู่กับ “กรรมเก่า” ทำไว้แบบใดดังนั้นเรื่อง “ปล่อยปลาบู่” หากไปเชื่อตามนิทานโบราณเรื่อง “ปลาบู่ทอง” แล้วเอามายึดมั่นเป็น “ความเชื่อ” ก็บอกได้ว่านั่นคือพวก “พุทธศาสนิกชนคนปัญญาเบา” ที่แท้เลย

    แน่นอนการ “ปลดปล่อยสัตว์” ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใดให้เป็น “อิสระ” หรือรอดพ้นจาก “ความทุกข์เข็ญ” หรือ “ความตาย” ย่อมเป็น “เรื่องดี” สำหรับมนุษย์เพราะเป็นการช่วยเหลือ “สัตว์โลก” ให้พ้นทุกข์แม้สัตว์ทั้งหลายบนโลกเกิดมาเพื่อเป็น “อาหาร” ของมนุษย์แต่ “สัตว์ทุกชนิด” ก็รักชีวิตของมันเช่นกันดังนั้นเมื่อมีคติ “การปล่อยปลา” รวมทั้งสัตว์อื่น ๆ อย่างเช่น “นก” เพื่อเป็นการ “ทำบุญสะเดาะเคราะห์” ก็ถือเป็น “เรื่องดี” ที่คนปล่อยได้บุญแน่แต่หากปล่อยแล้วกลับทำให้ชีวิตมัน “ทุกข์เข็ญมากขึ้น” คนปล่อยน่ะแหละ “จะได้บาปเพิ่มเท่าตัว” เพราะการปล่อยสัตว์ที่ปฏิบัติกันมาแต่โบราณกาลก็คือการได้ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้กลับไป “ดำรงชีวิต” ยืนยาวตามธรรมชาติแต่เวลานี้สภาพที่เป็นอยู่ก็คือ “หน้าวัดระฆังฯ” น้ำค่อนข้างสกปรกเพราะมีปลาสวายอาศัยอยู่มากมายวัน ๆ จึงมีผู้คนนำอาหารไปเลี้ยงเป็นการ “ทำบุญ” ก็เลยมีผู้คนนำสัตว์สำหรับเพื่อการปลดปล่อยอย่าง “นกกระจิบ” พร้อมปลาที่มีทั้ง “ปลาช่อน, ปลาหมอ, ปลาทับทิม, ปลาดุก, ปลาไหล ฯลฯ” เพื่อขายให้กับผู้สนใจการ “ปลดปล่อยสัตว์” โดยแนะนำการปล่อยสัตว์ชนิดใดก็จะได้บุญตามที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการจูงใจให้ “คนปล่อยงมงายตาม” แต่จากสภาพแวดล้อมที่เห็นคือ “น้ำสกปรก” แถมมีปลาสวายนับหมื่นตัวหากปล่อย “ปลาบู่ ปลาช่อน ปลาหมอ” ลงไปแล้วก็บอกได้ว่าถูกปลาสวายไล่งับไม่หลงเหลือแน่นอนก็เลยอยากถาม “ปล่อยเพื่อได้บุญ” หรือ “ปล่อยเพื่อได้บาป” กันแน่โยม???.
    “นายรู้สึก แสนรู้ชัด”
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://hilight.kapook.com/view/8242

    [​IMG]

    เช็คสมองซีกซ้าย-ขวาด้วยสี...ลองดูสิ!​

    แปลและเรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม​

    [​IMG]มาทดสอบความขัดแย้งของสมองซีกซ้ายและขวา ด้วยการบอกชื่อของสีกันเถอะ!
    วิธีทดสอบก็คือ มองไปที่ชาร์ทข้างต้น แล้วให้บอกสีไม่ใช่ชื่อสี... [​IMG] ซึ่งจากการวิจัยพบว่า สมองซีกขวาพยายามที่จะบอกสี ในขณะที่สมองซีกซ้ายยังคงยืนกรานที่จะอ่านชื่อสี
    เอ้า มาลองดูกันดีกว่า...ใครที่สามารถบอกสีได้โดยไม่ติดขัด แสดงว่ามีประสาทที่สามารถแยกแยะได้ดีเยี่ยม ขอปรบมือให้![​IMG]


    [​IMG]

    ที่มาและภาพประกอบจาก
    http://www.neatorama.com/2007/03/07/say-the-colors-not-the-words/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องพระพิมพ์ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรท่านอธิษฐานจิตให้นั้น ในกระทู้อื่นๆที่เป็นกระทู้ที่เกี่ยวกับพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผม ไม่ว่าทั้งทางตรงหรือทางอ้อมครับ

    ขอเตือน: พระพิมพ์ต้องดูทั้งรูป(เนื้อหาทรงพิมพ์)และนาม(พลังอิทธิคุณของพระพิมพ์)ประกอบกันทั้งสองอย่างเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2007
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หากท่านได้เณร(พระปลอม)ไป โดยไม่มีการตรวจสอบทั้งรูปและนามแล้ว และนำไปห้อยคอ หากเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากไปโทษหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ก็จะเป็นกรรมหนักกับผู้ที่กล่าวโทษหลวงปู่ ส่วนผู้ที่ให้บูชาเณร(พระปลอม)ไปนั้น ก็เป็นกรรมหนักเช่นกัน

    ส่วนเรื่องการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรก็เช่นกัน หากผู้ที่บอกกล่าวเล่าเรื่องราวนั้น ไม่มีความรู้จริงๆ ก็เป็นกรรมหนักเช่นเดียวกัน

    กรรมปัจจุบันนั้น ทั้งเร็วและแรงนะครับ

    ผมเองถือว่าได้บอกในเรื่องราวต่างๆให้ทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ทราบเรื่องราวต่างๆแล้วครับ

    ส่วนท่านที่ยังสงสัย ก็ควรหาผู้ที่รู้จริงๆ (ขอย้ำว่า เป็นผู้ที่รู้จริงๆ ไม่ใช่รู้แต่ทฤษฎี และที่สำคัญทฤษฎีที่รู้นั้น ก็ไม่รู้ว่าที่รู้นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง) สอบถามดูครับ

    มีศรัทธาแล้วใช้ปัญญานำ

    รู้น้อยว่ามากรู้ เริงใจ

    กลกบเกิดอยู่ใน สระจ้อย
    ไป่เห็นชะเลไกล กลางสมุทร
    ชมว่าน้ำบ่อน้อย สุดล้ำลึกเหลือ
    <!-- / sig --><!-- edit note -->



    โมทนาสาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2007
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ชาติพันธุ์มิอาจขวางความผูกพัน "แม่หมู-ลูกเสือ"</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>18 มีนาคม 2550 09:45 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ที่นอนนุ่มนิ่ม</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> จากศัตรู...กลับกลายเป็นความผูกพัน....

    วานนี้ ที่สวนสัตว์ป่าเซียงเจียง เมืองกว่างโจว มณฑลกว่างตง เราได้พบภาพความน่ารักระหว่างลูกเสือ 3 ตัวที่อยู่ร่วมกันกับแม่หมู และพี่น้องหมูตัวอื่นๆ อย่างกลมกลืน

    ตามที่ทราบมา ลูกเสือ 3 ตัวนี้เป็นเสือเบนกอล เนื่องจากแม่ของมันตกลูกเป็นครั้งแรก ยังไม่มีประสบการณ์ หลังจากให้กำเนิดลูกแล้ว ก็ทิ้งขว้างไม่สนใจใยดี พนักงานรับผิดชอบดูแลสัตว์คิดหาวิธีหลายตลบ ทั้งลองเลี้ยงเองก็แล้ว แต่เสือน้อยก็ยังไม่ค่อยยอมกินอะไร

    เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเล่าว่า “พอนึกถึงว่าปีนี้เป็นปีกุนพอดี เลยเกิดไอเดียซื้อแม่หมูที่เพิ่งจะตกลูกมา"
    เพียงไม่นานเจ้าลูกเสือด้วยสัญชาตญาณก็ปีนขึ้นไปกินนมแม่หมู แม่หมูเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านใดๆ นับแต่นั้นภาระเลี้ยงดูลูกเสือจึงตกไปเป็นของแม่หมูโดยปริยาย
    จนถึงตอนนี้ ลูกเสือเข้ากับ “พี่น้องหมู” ได้เป็นอย่างดี ช่วงนี้เจ้าหน้าที่เริ่มลดปริมาณการให้นมพวกมัน โดยตอนกลางวันจะให้กินเนื้อ ส่วนตอนเย็นจึงจะให้กินนม และเนื่องจากนมเสือมีคุณค่าทางอาหารมากกว่านมหมู ดังนั้นรูปร่างของเสือทั้ง 3 ตัวนี้จึงค่อนข้างผอมแห้งกว่าเสือทั่วไป แต่เจ้าหน้าที่มั่นใจว่า หลังจากหย่านมแล้วมากินเนื้ออย่างเต็มที่จะทำให้ลูกเสือแข็งแรงขึ้นอย่างแน่นอน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>"ขอกินด้วย"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พี่หมูกะน้องเสือได้เวลาเล่น</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ศิลปการใช้พระเครื่อง


    โดย อ.ประถม อาจสาคร
    สงวนลิขสิทธิ์

    คนไทยนิยมใช้และบูชาพระเครื่องพระพิมพ์มาช้านานไม่มีวันเบื่อหน่ายคลายจาง ทั้งนี้น่าจะเริ่มในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีหลังหลุดพ้นจากอิทธิพลของขอมแล้ว นิยมสร้างพระเครื่องพระพิมพ์บรรจุกรุตามเจดีย์และศาสนสถานต่าง ๆ โดยการนำขององค์พระมหากษัตริย์และคณาจารย์ต่างๆ นับเป็นต้นฉบับสืบเนื่องกันต่อมาทุกยุคสมัย เช่น สมัยอยุธยาตอนต้นที่เราเรียกกันว่าสมัยอู่ทอง สมัยอยุธยากลาง สมัยอยุธยาปลาย จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปัจจุบัน พระเครื่องนับว่ามีบทบาทเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยจนแทบจะกำหนดได้ทุกครัวเรือนที่เป็นชาวพุทธ ยามสงบก็ใช้พระเครื่องเป็นสิ่งคุ้มกันในการผจญภัยต่าง ๆ ใช้เป็นสื่อในการทำมาค้าขาย ในยามสงครามใช้สำหรับปกป้องคุ้มครองประเทศชาติ เพราะเป็นการรบแบบประชิดตัวในดงหอกดงดาบ ใครดีใครอยู่ ใครไม่ดีก็ตายไป ทำให้เกิดกำลังใจอันห้าวหาญ เป็นพละปัจจัยในการสู้รบ พระเครื่องจึงอาจมีบทบาทในการทำสงครามกู้ชาติขับไล่อริราชศัตรู

    ศิลปการใช้พระเครื่องในสมัยโบราณนิยมอมไว้ในปาก จนมีคำพังเพยว่า "ถึงอมพระมาพูดก็ไม่อยากเชื่อ" ใช้ผูกแขนด้วยผ้าประเจียด ใช้คล้องสะพายแบบสังวาลย์ หรือคล้องคอ ใช้บรรจุในมงคลคาดศีรษะสำหรับพวกแทงกระบี่ตีกระบอง เคยมีการค้นพบพระวัดตะไกรพิมพ์หนึ่ง นิยมซ่อนอยู่ในมงคลคาดศีรษะ เลยนิยมเรียกกันว่า พระวัดตะไกรหน้ามงคล เป็นต้น สมัยต่อมาใช้วิธีถักด้วยเชือกหรือลวดเงิน ทอง ทองแดง หรือเลี่ยมเปิดหน้าหลัง หรือบางทีก็เจาะด้านหลังเป็นรูปใบโพ สอบถามได้ความว่าเพื่อจะให้สัมผัสกับธาตุทั้ง ๔ ในกายตัว ที่เจาะเป็นรูปใบโพเรียกว่า "พระเจ้าเปิดโลก" และปรากฏประสบการณ์สูง แต่ในด้านการอนุรักษ์แล้วใช้การไม่ได้ สุนทรีภาพขององค์พระจะสึกกร่อนมาก

    ในสมัยปัจจุบันพระเครื่องที่อยู่ในเกณฑ์นิยม กลายเป็นสินค้าราคาแพงจนน่าใจหาย ยิ่งแพงยิ่งเป็นสิ่งที่นิยมชมชอบ แม้จะไม่มีปัญญาเป็นเจ้าของก็ยังสนับสนุน ประกอบกับพระเครื่องโบราณชักฝืดและหายาก จึงคิดอนุรักษ์สุนทรีภาพขององค์พระด้วยการเลี่ยมตลับอย่างดี หรือบางที่ก็ใช้พลาสติคอย่างหนาเลี่ยมปิดสนิทแบบน้ำไม่เข้าลมไม่ออก แต่การใช้พระไม่ประสบผล คือถ้าเกิดอุบัติเหตุหากไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตทุกรายไป เป็นเพราะปราศจากวิทยาการในการใช้พระเครื่อง ไม่ศึกษาถึงรังสีของพระเครื่อง และเรื่องของธาตุรู้หรือวิญญาณธาตุย่อมต้องเดินในอากาศธาตุ เมื่อไปปิดกั้นพลังคุ้มครองซึ่งเสมือนสนามแม่เหล็กพลังจึงไม่สามารถกระจายออกได้ จึงทำให้ลดคุณภาพจนถึงปราศจากคุณภาพ

    สำหรับเรื่องนี้ได้อธิบายมานานปีแล้ว มีบุคคลเชื่อเป็น ๒ ฝ่าย ส่วนช่างเลี่ยมพระจะไม่แนะนำอะไร เพียงแต่รับเลี่ยมอย่างเดียว หากสั่งให้เจาะก็จะทักท้วงว่าไม่มีใครเขาเจาะกัน ดีไม่ดีเชยแหลก การกล่าวเช่นนี้ผมจัดว่า "เป็นสื่อมัจจุราชสี่มุมเมืองทีเดียว" คือเป็นเหตุให้ผู้จ้างเลี่ยมพระนั้นได้ตายสนิทไม่มีทางแก้ไข ผู้ที่คบคุ้นกับผมจะเชื่อโดยเหตุผลและประสบการณ์ ผมเองก็ได้มีผู้หวังดีมาแนะนำอบรมสั่งสอนเพื่อคลายสโลแกนที่ว่า "เปิดไว้ปลอดภัยกว่า" ซึ่งตัวผมเองก็คิดคำนึงว่ามันเปรียบเสมือนมีดสองคม หากผู้คิดมิชอบนำไปใช้ก็จะเป็นเรื่องน่าหนักใจ เพราะอิทธิคุณที่บรรจุไว้ท่านมักตรงไปตรงมา ยัดใส่ปากปลาก็คุ้มกันมีดได้ แขวนคอสุนัขก็เคยลองกันยิงได้ ท่านคุ้มหมดเว้นแต่ถึงคราวจะสิ้นอายุขัยจริง ๆ

    อันศิลปการใช้พระเครื่องของขลังมีอยู่มากมายหลายประการ สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะนำพระแขวนคอฝากชีวิตกันต้องศึกษาหาความรู้ว่าพระที่จะนำมาแขวนคอมีอิทธิคุณคุ้มครองทางด้านใด หรือมีผลทางด้านไหนสูง เช่น แคล้วคลาด เมตตามหานิยม อยู่ยงคงกระพัน ฯลฯ การตรวจพระมิใช่ตรวจเพียงวัตถุธาตุหรือรูปธรรม คุณพระหรืออิทธิคุณเป็นนามธรรม สร้างจากจิตจึงจำเป็นต้องตรวจด้วยจิตอย่างปฏิเสธมิได้ การตรวจด้วยแว่นส่องเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเห็นหรือทราบอิทธิคุณได้ แม้จะมั่นใจว่าพระที่ได้มาเป็นของแท้ เพราะได้มาจากวัดหรือรับมาจากมือก็ไม่ควรประมาท จากประสบการณ์อันยาวนานพบว่า พิมพ์ใช่ถูกต้อง แต่พลังไม่มี เพราะเหตุใด? ที่นี่มีคำตอบคือ
    ๑. ฤกษ์ในขณะสร้างพระ พิมพ์พระ ปั๊มพระ ไม่ถูกต้อง ตรงกับฤกษ์ไม่ดีที่เรียกว่าลูกพิษ แม้จะผ่านการปลุกเสกนานเท่าใดก็ปราศจากอิทธิคุณ คือยังมีค่าเท่ากับศูนย์เช่นเดิม
    ๒. สร้างพระไว้เกินจำนวนมิได้ผ่านพิธีปลุกเสก แอบสร้างเกินไว้เพื่อหวังผลทางพาณิชย์
    ๓. เป็นพระเสื่อม หมดพลัง ไม่มีเทพรักษาคุ้มครอง เพราะผู้ใช้นำไปสู่สถานที่อันไม่สมควร
    ๔. เป็นของทำเลียนแบบ ไม่ผ่านการปลุกเสก เรียกว่าเก๊นอก เก๊ใน
    ๕. เป็นของทำเลียนแบบ แต่ผ่านการปลุกเสก สำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญทางปรจิตจะทราบได้ว่าพลังต่างจากของแท้ และบางครั้งมีอิทธิคุณสูงไม่แพ้ของเดิม หรือพลังสูงกว่าก็ยังมี แต่ทางรูปเขาบอกว่าเก๊

    ดังนั้นการใช้พระเครื่องจึงเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่มีแว่นส่องพระจำชื่อพระจำรูปจำแบบจำโค๊ดก็ถือว่าเก่งแล้ว คราวนี้ถ้าเรามีพระดีมีอิทธิคุณและใช้ให้ถูกต้องย่อมได้รับผลสูงสุด การใช้พระเครื่องแต่ไม่ได้เข้าอยู่ในหลักวิชา เพียงนึกคิดเอาเองหรือทำตาม ๆ กันไป เช่นบางคนแขวนพระคี่ คือ ๑, ๓, ๕, ๗, ๙ บางคนถือว่าพระปิดตาเป็นพระที่ขัดลาภ เช่นนี้ก็ควรทดสอบดู คือผู้ใดมีพระปิดทวารวัดหนังสักร้อยองค์ พระปิดตาวัดทองสุวรรณารามอีกร้อยองค์ เป็นพระแท้ทั้งสิ้น รับรองบันไดบ้านไม่แห้งแน่ ก็ลองเอาหลักแสนคูณด้วย ๒๐๐ ดูเถอะ หรือพระปิดตาหลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลี รุ่นปลดหนี้ ก็ไม่รู้ปลดหนี้คนขายหรือคนซื้อ บางท่านก็ยึดถือพระพิมพ์ประจำวันเกิดเป็นหหลัก ทีนี้พระนอกวันเกิด เช่น พระลีลา พระควัมปติ พระปิดทวารทั้งเก้า พระปางมารวิชัย พระตรีกาย พระนารายณ์ทรงปืน จะจัดกันอย่างไร ก็เห็นใช้กันไปตมเขานิยม ตามหลักวิชาที่ทดสอบด้านรังสีแล้ว พระหมวดคงกระพันเข้ากันได้ พระหมวดเมตตาก็เข้ากันได้เป็นสมังคีธรรมไป หากไปจัดแบบเบญจภาคีเข้า รังสีพระจะขัดกัน ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต เพราะพระแต่ละชนิดประกอบด้วยพลังต่างกัน ถ้าอยู่ในองค์เดียวกันย่อมไม่มีการขัดแย้ง เปรียบเสมือนเรามีทีวีเครื่องหนึ่ง จะเปิดช่อง ๓, ๕, ๗, ๙ จะไม่มีช่องอื่นมาแทรกและเลือกเปิดได้ทีละช่อง การใช้พระหลายองค์ที่ไม่อยู่ในแนวทางเดียวกัน เปรียบเสมือนมีทีวีหลายเครื่อง เปิดหลายช่องไม่ทราบจะดูช่องไหนดี การที่โบราณกล่าวว่า "พระท่านเกี่ยงกัน" น่าจะเป็นข้อคิด มิใช่คำพูดที่ตลกขบขัน ดังนั้นการใช้พระองค์เดียวที่มีพลังครบทุกด้านจึงให้ผลสูงสุด เพราะผู้ใช้จะมีจิตเป็นหนึ่งเป็นสมาธิ เมื่อประสบเหตุก็มีจิตตั้งมั่นไม่ซัดส่าย หากท่านใดคิดจะศึกษาศิลปการใช้พระเครื่องก็ควรใช้หลักโหราศาสตร์ เป็นเครื่องประกอบ เพราะหลักโหราศาสตร์มีความสัมพันธ์อันแนบแน่น ตั้งแต่การสร้าง การเสก การประกอบพิธีปลุกเสก ฯ

    ก่อนอื่นทำความรู้จักกับ พระประจำวัน สีประจำวัน สีที่ควรเว้น
    ๑. วันอาทิตย์ พระปางถวายเนตร สีบริวารสีแดง สีที่ควรเว้นคือสีฟ้า
    ๒. วันจันทร์ พระปางห้ามญาติ สีบริวารสีเหลือง สีที่ควรเว้นคือสีแดง
    ๓. วันอังคาร พระปางไสยาสน์ สีบริวารสีชมพู สีที่ควรเว้นคือสีเหลือง
    ๔. วันพุธ พระปางอุ้มบาตร สีบริวารสีเขียว สีที่ควรเว้นคือสีชมพู
    ๕. วันพฤหัส พระปางสมาธิ สีบริวารสีน้ำตาลหรือสีส้ม สีที่ควรเว้นคือสีดำ
    ๖. วันศุกร์ พระปางรำพึง สีบริวารสีฟ้า สีที่ควรเว้นคือสีน้ำเงินและสีม่วง
    ๗. วันเสาร์ พระปางนาคปรก สีบริวารสีดำหรือสีเทา สีที่ควรเว้นคือสีเขียว
    ๘. วันราหู (วันพุธกลางคืน) พระปางปาลิไลยก์ สีบริวารสีน้ำเงินหรือสีม่วง สีที่ควรเว้นคือสีน้ำตาล

    วันคู่มิตรที่ใช้แทนกันได้
    ๑. อาทิตย์เป็นมิตรกับครู พระปางถวายเนตรกับพระปางสมาธิ
    ๒. จันทร์โฉมตรูพุธนงเยาว์ พระปางห้ามญาติกับพระปางอุ้มบาตร
    ๓. ศุกร์ปากหวานอังคารรับเอา พระปางรำพึงกับพระปางไสยาสน์
    ๔. ราหูกับเสาร์เป็นมิตรแก่กัน พระปางนาคปรกกับพระปางปาลิไลยก์

    หากไม่พิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นว่าเป็นไปได้ยาก คณาจารย์ใดจะจัดสร้างพระสีพิสดารอะไรเช่นนั้น การที่ลงไว้ก็เพื่อให้ครบสูตร สิ่งที่ว่านั้นมีอยุ่หรือหาทดแทนกันได้ และพระพิมพ์ที่สร้างจากพระราชวังหน้าก็มีครบแทบทุกปางทุกสี ต้องศึกษาค้นคว้าด้วยความละเอียดอ่อน อย่ามองข้ามพระสี อย่าดูถูกว่าพระลิเก พระนอกระบบ ปราชญ์โบราณท่านฉลาดรอบรู้ ท่านบรรจงสร้างด้วยจิตวิญญาณ แต่ลูกหลานไม่สนใจ มองข้ามด้วยสายตาที่ดูแคลน ถ้าเห็นใครแขวนพระสีก็ว่าเชย ไม่มีคุณค่า ไร้ราคา ฯลฯ<!-- / message --><!-- sig -->
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ศิลปการใช้พระเครื่อง
    โดย อ.ประถม อาจสาคร
    สงวนลิขสิทธิ์
    (ต่อ)

    สีแห่งธาตุวิเศษ ๕ ประการ

    ธาตุวิเศษ ๕ ประการของนักปราชญ์จีนในสมัยโบราณ กำหนดไว้ ๕ ธาตุด้วยกันคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทอง จัดเป็นอาถรรพ์และมงคลสูงสุด และนับถือสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
    ๑. ธาตุดิน สีเหลือง ตรงกับความหมายของคำว่า "ซิ่ว" อายุวัฒนะยืนยาว
    ๒. ธาตุน้ำ สีดำ ตรงกำความหมายว่า "ซิ่ว" อายุวัฒนะยืนยาว ปกติ ดิน ทราย น้ำ ย่อมเป็นสิ่งคู่กันตามธรรมชาติ ดินมีอายุยาวนาน น้ำก็มีอายุยาวนาน เปรียบอายุของคนดุจเพียงดาวกระพริบแสง
    ๓. ธาตุลม ไม่มีสี จึงใช้ธาตุไม้สีเขียวแทน ตรงกับคำว่า "ลก" บริวาร
    ๔. ธาตุไฟ สีแดงหรือสีแสด ตรงกับความหมายของคำว่า "ฮก" บารมีเกริกไกร ดาวในจักรวาลดวงใดเล่าจะมีอิทธิพลเท่าดวงอาทิตย์
    ๕. ธาตุทอง สีขาว ตรงกับความหมายของคำว่า "ลก" บริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ควบคู่กับบริวาร

    รวมคุณวิเศษทั้งหมดเข้าสู่องค์พระ งามดั่งจิตกรรมฝาผนัง ศิลปแห่งมรดกไทย เป็นปริศนาธรรมอันลึกล้ำ สนองภูมิปัญญาของผู้ที่เรียกตนเองว่านักพระเครื่อง ซึ่งจะได้ช่วยอนุรักษ์มรดกไทย ผมถวายพระนามพระชนิดนี้ว่า "พระสมเด็จปัญจสิริ" นับเป็นโบราณวัตถุอันทรงคุณค่ายิ่ง

    เพื่อให้ครบหลักเกณฑ์ทางวิชาการ จำเป็นต้องเข้าใจกับทักษาพิศดารให้เข้าใจก่อน คำว่าทักษาคือ บริวาร อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี กาลกิณี มีอยู่ด้วยกัน ๘ อย่าง จัดเป็นมูลพยากรณ์ในการใช้พระอย่างพิศดาร หากพิจารณาให้ลึกซึ้งจะเห็นว่าให้ผลดีเลิศกว่าการใช้พระแบบทั่วไป

    บริวาร หมายถึงผู้แวดล้อมคอยรับใช้ ผู้ห้อมล้อมติดตาม ผู้ไกล้ชิดและบริวารทั่วไป สิ่งอยู่รอบตัวเรารวมถึงเสื้อผ้าของใช้ ตรงกับความหมายว่า "ลก"
    อายุ หมายถึงความแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ความยั่งยืน ตรงกับความหมายว่า "ซิ่ว" อายุยืนยาว
    เดช หมายถึงอำนาจ ความงาม ความสุกใส ชื่อเสียงเกียรติยศ ความสง่างาม ตรงกับคำว่า "ฮก" บารมีเกริกไกร
    ศรี หมายถึงความงาม ความดี ความน่ารัก ความเจริญ ความร่ำรวย ความสำเร็จ มงคล ความเป็นใหญ่ อำนาจ ราชศักดิ์
    มูละ หมายถึงทุนทรัพย์ เหตุ ที่ตั้ง มีพื้นฐานมั่นคง สถานที่ประกอบธุรกิจ สถานที่อยู่อาศัย
    อุตสาหะ หมายถึงความพยายาม ความขยัน ความอดทน การประกอบอาชีพการงาน
    มนตรี หมายถึงมีผู้คอยช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำหรือเป็นที่ปรึกษา
    กาลกิณี หมายถึงความชั่วร้าย ความสูญเสีย ความบกพร่อง อุปสรรค โรคร้าย

    สรุปต้องทำความเข้าใจกับตัวเองก่อน ว่าเราคือใคร มีอาชีพความเป็นอยู่อย่างไร ต้องการอะไรให้กับชีวิต แล้วมาพิจารณาว่าสมควรใช้พระแบบไหน สีอะไร ประการแรกให้ตัดสีที่เป็นกาลกิณีออกไป แล้วค่อย ๆ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองดู ก็จะประสบความสำเร็จขั้นสูงสุดในศาสตร์และศิลป์การใช้พระ

    สำหรับผู้ที่ศึกษาแล้วเกิดความท้อแท้ โบราณท่านกล่าวว่า รู้มากยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ เรื่องอะไรที่เราไม่คุ้นเคยมันก็ดูยากไปทุกเรื่อง หาพระสีที่ต้องการไม่ได้ พระประจำวันก็หาลำบาก เคยเห็นพระกำลังแผ่นดินไหม ทำไมต้องเป็นปางสมาธิสีน้ำตาล พระองค์ท่านเป็นปราชญ์ทรงรอบรู้สารพัดศาสตร์ ทรงพิจารณาแล้วว่าสีน้ำตาลนี่แหละที่สะดวกเข้าได้ทั้ง ๗ วัน ยกเว้นราหูก็ช่วยตนเองหน่อย เพื่อความสะดวกเป็นตัวอย่างให้พิจารณาดังนี้

    ผู้เกิดวันอาทิตย์ พระปางสมาธิสีน้ำตาลจัดเป็นอุตสาหะ ปางสมาธิสีแดง/ชมพูจัดเป็นเดช(ฮก)
    ปางสมาธิเป็นบริวาร(ลก) ปางสมาธิสีนวล/เหลืองเป็นอายุ(ซิ่ว) พระสมเด็จปัญจสิริ สีแดง ชมพู ขาว เหลือง ฯ เว้นสีฟ้า
    ผู้เกิดวันจันทร์ พระปางสมาธิสีน้ำตาลจัดเป็นมูละ ปางสมาธิสีเขียวเป็นเดช(ฮก)
    ปางสมาธิสีนวล/เหลืองเป็นบริวาร(ลก) ปางสมาธิสีเหลือง/ชมพูเป็นอายุ(ซิ่ว)
    พระสมเด็จปัญจสิริ สีเขียว ขาว เหลือง ชมพู ฯ เว้นสีแดง
    ผู้ที่เกิดวันอังคาร พระปางสมาธิจัดเป็นศรี ปางสมาธิสีแดง/ดำเป็นเดช(ฮก)
    ปางสมาธิสีชมพูเป็นบริวาร(ลก) ปางสมาธิสีเขียวเป็นอายุ(ซิ่ว)
    พระสมเด็จปัญจสิริ สีแดง ดำ นวล ชมพู เขียว ฯ เว้นสีเหลือง
    ผู้ที่เกิดวันพุธ พระปางสมาะสีน้ำตาลเป็นเดช(ฮก) ปางสมาธิสีเขียวเป็นบริวาร(ลก)
    ปางสมาธิสีดำเป็นอายุ(ซิ่ว)
    พระสมเด็จปัญจสิริ สีแดง น้ำตาล ขาว เขียว เหลือง ดำ ฯ เว้นสีชมพู
    ผู้ที่เกิดวันพฤหัส พระปางสมาธิสีฟ้าจัดเป็นเดช(ฮก) ปางสมาธิสีน้ำตาลเป็นบริวาร(ลก)
    ปางสมาธิสีน้ำเงินเป็นอายุ(ซิ่ว)
    พระสมเด็จปัญจสิริ สีแดง ฟ้า ขาว น้ำตาล เหลือง น้ำเงินเข้ม ฯ เว้นสีดำ
    ผู่ที่เกิดวันศุกร์ พระปางสมาธิสีน้ำตาลเป็นมนตรี ปางสมาธิสีเหลืองเป็นเดช(ฮก)
    ปางสมาธิสีฟ้าเป็นบริวาร(ลก) ปางสมาธิสีแดงเป็นอายุ(ซิ่ว)
    พระสมเด็จปัญจสิริ สีแดง เหลือง ขาว ฟ้า ฯ เว้นสีน้ำเงินเข้ม/ม่วง
    ผู้ที่เกิดวันเสาร์ พระปางสมาธิสีน้ำตาลเป็นอายุ(ซิ่ว) ปางสมาธิสีน้ำเงินเป็นเดช(ฮก)
    ปางสมาธิสีดำเป็นบริวาร(ลก)
    พระสมเด็จปัญจสิริ สีแดง น้ำเงินเข้ม ขาว ดำ เหลือง น้ำตาล ฯ เว้นสีเขียว
    ผู้เกิดวันราหู (วันพุธกลางคืน) พระปางปาลิไลยก์ ปางอุ้มบาตร หรือปางนาคปรก สีแดงเป็นเดช(ฮก)
    สีน้ำเงินเป็นบริวาร(ลก) สีฟ้าเป็นอายุ(ซิ่ว) เว้นสีน้ำตาล
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ศิลปการใช้พระเครื่อง
    โดย อ.ประถม อาจสาคร
    สงวนลิขสิทธิ์
    (ต่อ)

    พระสีหาได้ที่ไหนจะบอกลายแทงให้ ก็เจดีย์วัดทองนพคุณเคยกรุแตกมาครั้งหนึ่งประมาณปี ๒๕๑๑ มีพระสมเด็จสีทะลักออกมามากมาย คนเป็นพระจริง ๆ จะมีสักกี่คนครับ พอเห็นเข้าก็เบือนหน้าหนี เท่าที่พบเห็นมีสีแดงชาด(จูซาอั้ง) สีเหลืองหรดาร สีฟ้าสีเขียว ดุเหมือนจะมีครบสีนะครับ พระนี้สร้างที่วัดระฆัง แล้วนำมาบรรจุกรุที่วัดทองนพคุณ พระเจดีย์ใหญ่วัดทองนพคุณนี้ ออกทุนสร้างโดยพระยาโชดึก ราชเศรษฐีผู้อุปการะวัดทองนพคุณ นามสกุลท่านโชติพุกนะ ท่านมีอาชีพทางค้าขายเครื่องกังไสลายคราม โดยติดต่อืางประเทศจีน ต่อมาท่านชราภาพลงก็รามือ ท่านมีคนสนิทผู้หนึ่งชื่อนายกิ๊ด แซ่ตั้ง พูดจีนได้ไทยชัด เป็นผู้ติดต่อทางการค้าระหว่างประเทศไทยกับจีน ต่อมาภายหลังนายกิ๊ดผู้นี้ได้ร่วมงานกับเจ้าคุณกรมท่า และกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ในการติดต่อจัดหาหุ่นถ้วยชาม เพื่อจัดสร้างเครื่องเบญจรงค์ขึ้นเป็นเตาแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ และคงได้พบเห็นการสร้างพระพิมพ์สมเด็จสีของพระราชวังหน้า จึงคิดสร้างพระสีโดยใช้พิมพ์ของวัดระฆังเป็นหลักและแกะพิมพ์อื่น ๆ เพิ่มเติม แล้วนำปบรรจุในองค์เจดีย์วัดทองนพคุณ พระพิมพ์นี้ได้รับการอธิษฐานจิตจากเจ้าประคุณสมเด็จโตแน่นอน เพราะทันยุคสมัยและได้รับการพิจารณาทางนามแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย และที่มีมากอีกแห่งหนึ่งก็คือพระพิมพ์ที่สร้างจากพระราชวังหน้า ใครว่าไม่จริงก็แล้วแต่ภูมิปัญญา ไม่ว่ากัน การใช้พระพิมพ์ปางสมาธิองค์เดียว เป็นพระสีน้ำตาลที่ว่านี้มิใช่สมเด็จธรรมดา จากการตรวจสอบทางจิตทราบว่าประกอบด้วยผงวิเศษเป็นผงยาจินดามณี มีอานุภาพครอบคลุมไปหมด อธิษฐานจิตโดยบรมครูพระเทพโลกอุดร ซึ่งเป็นปรมาจารย์ที่ท่านวังหน้าทรงเคารพอย่างสูงสุด (เหมือนการอัญเชิญหลวงปู่ทวดอธิษฐานจิตวัตถุมงคล) ราคาถูกเกินความคาดหมายและหาได้ไม่ยากหากมีความชำนาญเพียงพอ องค์เดียวเกินพอแล้วครับ เลิกเล่นเลิกหาได้แล้ว จบแล้วซึ่งวิทยาการ อายุการสร้างกว่า ๑๓๐ ปี ถ้าหาไม่ได้ก็ใช้พระกำลังแผ่นดินพิมพ์สามเหลี่ยมปางสมาธิ สีของวันพฤหัสบดีทุกองค์ หรือจะศึกษาพระสมเด็จปัญจสิริ ซึ่งมีสีตามต้องการในองค์เดียวก็ยังพอหาได้
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.sakulthai.com/DSakulcolu...740&stissueid=2438&stcolcatid=2&stauthorid=13

    บทความ-สารคดี
    <TABLE height="100%" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ตำนาน 'วังหน้า' และ 'วังหลัง'
    โดย จุลลดา ภักดีภูมินทร์
    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom>ฉบับที่ 2438 ปีที่ 47 ประจำวัน อังคาร ที่ 10 กรกฎาคม 2544</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรื่อง
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.thaisamkok.com/forum/index.php?showtopic=882&mode=threaded&pid=6247

    พระบัณฑูรใหญ่ พระบัณฑูรน้อย
    โดย จอมพลอุยเอี้ยน

    เล่าเรื่องพระบัณฑูร (ใหญ่) หรือพระมหาอุปราช กับ พระบัณฑูรน้อย กรุงศรีอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ต่อไปอีกสักเล็กน้อย

    ในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ต้นมา ไม่ทราบว่าเคยมีพระบัณฑูร (ใหญ่) พระบัณฑูรน้อยหรือไม่ ปรากฏแน่ชัด แต่ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา รัชกาลขุนหลวงสรศักดิ์ หรือ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ เพราะโปรดประทับ ณ พระที่นั่งนั้น รัชกาลนี้มีพระราชโอรสที่ประสูติแต่พระอัครมเหสี ๒ พระองค์

    พระองค์ใหญ่ คือ เจ้าฟ้าเพชร พระองค์เล็ก คือ เจ้าฟ้าพร

    ขุนหลวงสรศักดิ์ ทรงตั้งเจ้าฟ้าเพชรเป็นพระมหาอุปราช (พระบัณฑูรใหญ่) หรือกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า และตั้งเจ้าฟ้าพรเป็นพระบัณฑูรน้อย

    ต่อมาเมื่อขุนหลวงสรศักดิ์สวรรคตแล้ว เจ้าฟ้าเพชรพระมหาอุปราช ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ออกพระนามตามที่เรียกกันทั่วไปว่า สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ เพราะโปรดประทับ ณ พระที่นั่งท้ายสระเพื่อทรงเบ็ด เจ้าฟ้าเพชรจึงทรงตั้งพระอนุชา พระบัณฑูรน้อยในแผ่นดินพระราชบิดา เป็นพระมหาอุปราช หรือ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า

    เรื่องเจ้าฟ้าเพชร เจ้าฟ้าพร นี้ ท่านมีเรื่องราวเกี่ยวพันกันมามาก เรียกว่า เป็นพี่น้องสนิท คู่ใจ คู่ตกทุกข์ได้ยากด้วยกันมาทีเดียว

    ตั้งแต่รัชกาลขุนหลวงสรศักดิ์ หรือที่ราษฎรเรียกกันว่า พระเจ้าเสือ เนื่องจากว่ากันว่าท่านดุร้ายมาตั้งแต่ยังเป็นหลวงสรศักดิ์ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ
    ์มหาราช

    ในแผ่นดินพระราชบิดา พระบัณฑูรใหญ่พระบัณฑูรน้อย เคยรับพระราชอาญาด้วยกันมาครั้งหนึ่ง มีความพิสดารปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า ครั้งหนึ่งขุนหลวงสรศักดิ์เสด็จประพาสล้อมช้างเถื่อนในป่า โปรดให้พระบัณฑูรใหญ่ พระบัณฑูรน้อยจัดการแผ้วถางทางเสด็จ จึงที่ใดเป็นหลุมเป็นบึง พระบัณฑูรทั้งสองพระองค์ก็ให้จัดการถมทุบให้ดินแน่น แต่บังเอิญตรงที่หนึ่งทุบไม่แน่น ช้างพระที่นั่งของพระเจ้าแผ่นดินเกิดเหยียบถลำจมลงไปพาให้พระองค์ซวน ทำให้พระเจ้าเสือทรงพระพิโรธ ตรัสว่า
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.thaisamkok.com/forum/index.php?showtopic=364

    ลำดับพระมหากษัตริย์แห่งสยามประเทศ, สุโขทัย-รัตนโกสินทร์

    โดย Zhou yU

    สมัยอาณาจักรน่านเจ้า<!--sizec--><!--/sizec-->

    พระเจ้าเหม่งแซเจ้า
    พระเจ้ามองกาตา
    พระเจ้าสินุโล (โอรสพระเจ้ามองกาตา)
    พระเจ้าพีล่อโก๊ะ (ขุนบรม)
    พระเจ้าโก๊ะล่อฝง (โอรสพระเจ้าพีล่อโก๊ะ)

    * ตำราบางเล่มไม่นับอาณาจักรน่านเจ้า เพราะถือว่าไม่ใช่เชื้อสายไทยโดยตรง *

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->สมัยกรุงสุโขทัย (ราชวงศ์พระร่วง)<!--sizec--><!--/sizec-->

    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์
    พ.ศ. 1781 - ไม่ทราบแน่นอน
    พ่อขุนบาลเมือง
    พ.ศ. ไม่ทราบแน่นอน - 1820
    พ่อขุนรามคำแหง
    พ.ศ. 1820- 1860 (40 ปี)
    พญาเลอไท
    พ.ศ. 1861-1897 (36 ปี)
    พญาลิไท (พระมหาธรรมราชาที่ 1)
    พ.ศ. 1897-1919 (22ปี)
    พญาไสลือไท (พระมหาธรรมราชาที่ 2)
    พ.ศ. 1919- 1920 (1ปี)
    พระมหาธรรมราชาที่ 3
    (ไม่ทราบระยะเวลาแน่ชัด)
    พระมหาธรรมราชาที่ 4
    (ไม่ทราบระยะเวลาแน่ชัด)

    <!--sizeo:3--><!--/sizeo-->สมัยกรุงศรีอยุธยา <!--sizec--><!--/sizec-->

    ราชวงศ์อู่ทอง (หรือราชวงศ์เชียงราย)

    สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)
    พ.ศ. 1893-1912 (19 ปี)
    สมเด็จพระราเมศวร
    ครองราชย์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 1912-1913 (1 ปี)

    ราชวงศ์สุพรรณภูมิ

    สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว)
    พ.ศ. 1913-1931 (18 ปี)
    พระเจ้าทองลัน (เจ้าฟ้าทองจัน)
    พ.ศ. 1931 (ครองราชย์เพียง 7 วันก็ถูกปลงพระชนม์)

    ราชวงศ์อู่ทอง (หรือราชวงศ์เชียงราย)

    สมเด็จพระราเมศวร
    ครองราชย์ครั้งที่ 2 พ.ศ. 1931-1938 (7 ปี)
    สมเด็จพระรามราชาธิราช (โอรสสมเด็จพระราเมศวร)
    พ.ศ. 1938
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2007
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.thaisamkok.com/forum/index.php?showtopic=2051

    "อ่านอย่างไรและเขียนอย่างไร" คำไทยที่... เหมือนจะถูก (แต่ผิด)

    โดย hamster

    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "กระทันหัน"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า กะทันหัน
    (ผมใช้ กระ- มาตลอดเลยล่ะ T_T)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "กาละเทศะ"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า กาลเทศะ
    (นี่ก็สับสนบ่อยมาก เพราะผมคิด (ไปเองมั่วๆ) ว่า
    เมื่อ เทศะ มันก็ต้อง กาละ ให้มัน balance กันสิ -_-')



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "กิจลักษณะ"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า กิจจะลักษณะ
    (เอาเข้าไป อันนี้ดันกลับกันกับอันข้างบน
    กล่าวคือ ที่ถูกต้อง จะต้อง "-ะ หน้า -ะ หลัง" ครับ)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "คึ่นช่าย"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ขึ้นฉ่าย
    (อันนี้คนโดยมากเขียนผิดเพราะไปเขียนตามเสียงพูด
    ผมเคยคิด (เอาเองอีกแล้ว) ว่า มันไม่น่าจะสะกดว่า "ขึ้น"
    เพราะมันดูเป็นคำไทยเกินไป ... ชิ ที่ไหนได้ ...-3-)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "คฤหาสถ์"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า คฤหาสน์
    (อันนี้ผิดเพราะมีตัวอย่างผิดๆ ให้เห็นเยอะเกินไปครับ
    ใครๆ ก็เขียนผิดเป็น คฤหาสถ์ ทั้งนั้น เราเลยจำกันผิดๆ)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ซาละเปา"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ซาลาเปา
    (เดี๋ยวต้องกลับไปดูว่าอีเซเว่นมันสะกดยังไง -*-)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ดุลย์การค้า"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ดุลการค้า
    (คำนี้ตามสื่อทั้งหลายก็สะกดผิดให้เห็นเป็นระยะนะครับ)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ตกร่องปล่องชิ้น"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ตกล่องปล่องชิ้น
    (อันนี้ได้ยินคนอ่าน ตก "ร่อง" ปล่อง ชิ้น มาโดยตลอด
    เพราะคงคิดว่าเหมือน 'แผ่นเสียงตกร่อง' นั่นเอง
    ก็เลยเอามาเขียนผิดๆ ตามไปด้วย)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ตะหงิด"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ตงิด
    (ผมว่าผมไม่เคยเห็นเวอร์ชั่นสะกดถูกเลยนะ ไม่คุ้นตาเลยล่ะ
    เช่น เอ รู้สึกตงิดๆ <-- ไม่คุ้นอย่างรุนแรง = ='
    แต่ที่ไม่คุ้นนี่แหละ สะกดถูกนะครับ T_T)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ตะกละตะกราม"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ตะกละตะกลาม
    (ตะกรุมตะกราม แต่ ตะกละตะกลาม ครับ
    จะ ร.เรือ ก็ต้อง ร.เรือ กันไปทั้งหน้าหลัง
    จะ ล.ลิง ก็ต้อง ล.ลิง กันไปทั้งหน้าหลังเหมือนกัน ไม่ต้องมา mix and match)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ทรมานทรกรรม"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ทรมาทรกรรม
    (มันคือ ทอ-ระ-มา-... ครับ ไม่ใช่ ทอ-ระ-มาน-...)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ไนท์คลับ"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ไนต์คลับ
    (แอ๊ อันนี้แม้ไม่คุ้นอย่างแรง ก็ต้องเชื่อตามราชบัณฑิตฯ ล่ะครับ T_T
    ต้องโทษพวกป้ายทั้งหลายที่ชอบสะกดผิดๆ
    ทำให้เราเห็นแล้วจำผิดๆ มาด้วย -*-)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "แบหรา / แผ่หรา"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า แบหลา / แผ่หลา
    (อ้าว เหรอ -_- อันนี้ผมก็ผิดประจำนะเนี่ย)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ประนาม"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ประณาม
    ("อ้าวเหรอ" อีกครั้ง ........)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ปาฏิหารย์"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ปาฏิหาริย์
    (เออแฮะ อันนี้ลืมสระอิตรง ร.เรือ บ่อยมากเลย
    ไอ้เวอร์ชั่นสะกดผิดนั่นก็ดูหน้าตาถูกต้องดีแล้วเสียด้วย)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "วิชาพละศึกษา"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า วิชาพลศึกษา
    (ไม่รู้แฮะ ไม่ได้เรียนพละมานานแล้วนี่ -3-
    อ้อ หมายเหตุ ... พลศึกษา แต่ พละกำลัง นะครับ ไม่ใช่ พลกำลัง)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "พาลจะเป็นลม"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า พานจะเป็นลม
    (อ้าว ผิดอีกแล้วเหรอ เป็นลมดีกว่า *__*
    หมายเหตุ : พาน แปลว่า เกือบ ครับ)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "พิธีรีตรอง"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า พิธีรีตอง
    (ผมว่าผมสะกดผิดเพราะดันไปจำสลับกับ ซีตรอง แหงๆ เลย T_T)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "เพชรฆาต"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า เพชฌฆาต
    (แอ๊ หาตัว ฌ บนคีย์บอร์ดอยู่นานม๊าากกกก T_T)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "มะล่อกมะแล่ก"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ม่อลอกม่อแลก
    (เอ่อ คือ ... -_-' ลองอ่านเวอร์ชั่นที่ถูกออกมาดังๆ แล้วหลอนมากเลยครับ)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ร้างลา / เลิกลา"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ร้างรา / เลิกรา
    (อันนี้เคยได้ยินแบบที่ผิดบ่อยๆ ในเพลงฮิตต่างๆ -3-)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "เลือนลาง"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า เลือนราง
    (ผิดเพราะออกเสียงกันไม่ชัดเองครับ
    เมื่อ ร ไม่ออก ร ก็เลยเขียนเป็น ล กันซะ)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ฤกษ์ผานาที"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ฤกษ์พานาที
    (อันนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการที่เขียนผิดเพราะอ่านผิดครับ
    ผมเองยังได้ยินคนอ่าน เริก-ผา อยู่เยอะมาก เลยจำกันผิดๆ)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ลายเซ็นต์"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ลายเซ็น
    (เทียบภาษาอังกฤษดูซีครับ คำว่า signature และรากศัพท์คือ sign
    ไม่มีตัว t ที่น่าจะเป็นที่มาของ -ต์ เลยใช่ไหมล่ะ)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ลาสิกขาบท"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ลาสิกขา
    (แล้ว -บท มาจากไหนฟระ? {-..-}a)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ริดรอน"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ลิดรอน
    (คำนี้ผมก็ผิดมาตลอดชีวิตครับ)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "เลือดกลบปาก"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า เลือดกบปาก
    ('เลือดกบ' ที่ดูเหมือนจะแปลว่า frog's blood นี่ล่ะครับ ที่ถูกน่ะ-3-)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "วาทยากร"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า วาทยกร
    (เนื่องจากลากเสียงยาวเกินไป เป็น วาทยา~กร
    ก็เลยนึกว่าสะกดแบบนี้ไงครับ
    ที่จริง -ทะ-ยะ- ออกเพียงครึ่งเสียงเท่านั้น)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า สะเทินน้ำสะเทินบก
    (อ้าว ไม่ -เทิ้น- หรอกเหรอเนี่ย o_O !!! เพิ่งรู้)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "สังเกตุ"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า สังเกต
    (เราเอาสระอุมาจากไหนกัน???)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "สับปรับ"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า สับปลับ
    (ผมว่าเป็นเพราะผมเอาไปปนกับคำว่า "จับ-ปรับ" แน่เลย แหะๆ)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "สัมนา"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า สัมมนา
    (อย่าไปจำว่า seminar มี m ตัวเดียว
    ดังนั้น สัมนา ก็ต้องมี ม.ม้า ตัวเดียว อย่างนี้ล่ะครับ -_-')



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "สูญญากาศ"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า สุญญากาศ
    (สระ อุ เสียงสั้นนะครับ ไม่ใช่สระอูเสียงยาว
    คนจะเอาไปปนกับ สูญ ในคำว่า สูญสิ้น ละมั้งผมว่า เลยจำกันผิดๆ)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "แสบสันต์"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า แสบสัน
    (เพราะถ้า สันต์ มันต้อง สุขสันต์ แล้วมั้ง)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "หมูหยอง"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า หมูหย็อง
    (อันนี้ก็ต้องไปอ่านตาม package หมูหย็องแล้วล่ะครับว่า
    สะกดถูกกันหรือเปล่า -_-"
    หมายเหตุ : แต่ หมอหยอง ถูกแล้วครับ เหอๆ)



    เหมือนจะถูก (แต่ผิด) --> "ไอศครีม"

    ซึ่งที่จริงต้องสะกดว่า ไอศกรีม
    (กรีม นะครับ ไม่ใช่ ครีม ...
    ทำไมน่ะรึ ... ไปถาม ราชบัณฑิตฯ เผื่อผมด้วยนะครับ T_T)



    ความจริงยังมีอีกเยอะเลยล่ะครับ
    แต่ผมเลือกมาเฉพาะที่ เข้าพวกตามชื่อ Entry นั่นล่ะ คือ
    "ไอ้ที่ผิดน่ะดันหน้าตาเหมือนถูก" นั่นเอง<!--IBF.ATTACHMENT_16818-->

    --------------------
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.thaisamkok.com/forum/index.php?showtopic=31

    [เทพเจ้าจีน], เทพเจ้าจีนในประวัติศาสตร์จีนพร้อมการบูชา
    โดยจูกัดอี้

    พระศรีศากยมุณี<!--sizec--><!--/sizec-->

    พระศรีศากยมุณี คนโบราณเรียกว่า ปฐมพระพุทธรูป เชื่อกันว่า ท่านเป็นผู้สั่งสอนศาสนิกชนในปัจจุบัน

    การบูชา

    1.มีน้อยคนที่นับถือท่านองค์เดียว ชาวพุทธมักจะบูชา เจ้าเเม่กวนอิม พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ
    2.ควรสักการะด้วยผลไม้ ดอกไม้สด อัญมณี เสื้อผ้า ห้ามบูชาเนื้อสัตว์
    3.การบูชาท่านไม่ควรหวังผลทางวัตถุ
    4.การอธิษฐานต่อท่านควรขอสติปัญญา ไม่ใช่หวังผลทางโลก



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->พระโพธิสัตว์กวนอิม <!--sizec--><!--/sizec-->

    เจ้าเเม่กวนอิมเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีคนนับถือกันมาก ช่วยให้คนพ้นทุกข์ ขอให้มีจิตใจเคารพบูชาอย่างซื่อตรง พร้อมท่องชื่อท่าน

    จะได้รับการคุ้มครองให้เป็นสุข หากต้องการขอบุตร ให้บูชากวนอิมส่งบุตร อยากหายไข้ บูชากวนอิมกิ่งหยก

    ข้อควรระวังในการบูชา

    1.ควรตั้งรูปปั้นหันไปทางทิศตะวันออก จะเพิ่มอานุภาพให้บ้านเรือนสงบสุข
    2.เว้นเเตว่าที่บ้านกินเจ มิฉะนั้นห้ามตั้ง รูปปั้นท่านหันทางโต๊ะกินข้าว
    3.รูปปั้นไม่ควรเอาหลังพิงห้องน้ำหรือหันเข้าห้องน้ำ
    4.อย่าตั้งรูปปั้นหันหน้าเข้าประตูห้อง หลีกเลี่ยงคุณไสย



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->พระอมิตพุทธ<!--sizec--><!--/sizec-->

    พระอมิตพุทธ เป็นใหญ่ทางดินเเดนสุขาวดีในทิศเหนือ สำหรับมนุษย์เมื่อตายไปเเล้ว หากไม่มีกรรมดีมากพอจะหลุดพ้น

    จะเวียนว่ายตายเกิดตามผลกรรมของตนเอง ใน 6 ภูมิ คือ มนุสสภูมิ อสุรกายภูมิ เปรตภูมิ ดิรัจฉานภูมิเเละนรกภูมิ

    เมื่อเกิดในสวรรค์ เสวยผลบุญหมด ก็มาเกิดในโลกมนุษย์ เมื่อหมดกรรมดีก็เกิดในอสุรกายภูมิ เเต่โชคร้ายก็ตกนรกโลกันต์

    ซึ่งเป็นขุมลึกที่สุด หากได้ท่องชื่ออมิตพุทธ จะนำทางไปยังเเดนสุขาวดี ทางทิศประจิม ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด

    การบูชา

    อมิตพุทธจะประสบความสุขนิรันด์ ไม่ว่าจะปัจจุบันหรืออนาคตการสักการะคล้ายเจ้าเเม่กวนอิม



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->พระยูไล <!--sizec--><!--/sizec-->

    ศาสนิกชนในญี่ปุ่นหรือไต้หวัน ส่วนใหญ่จะนับถือพระโพธิสัตว์มากที่สุด รองลงมาคือ อมิตพุทธ เเละไม่น้อยที่นับถือพระยูไล

    การบูชา

    ท่องชื่อท่านไปด้วยจะดีมาก การบูชาท่านจะช่วยให้ทุกสิ่งสมปราถนา ส่วนข้อห้ามในสักการะนั้นเหมือนพระเเม่กวนอิม




    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->พระโมคคัลลานะ <!--sizec--><!--/sizec-->

    โดยปกติเเล้ว พระพุทธองค์หนึ่ง จะมีผู้ติดตามซ้าย ขวา 2 องค์ เพื่อช่วยเผยเเพร่ธรรมะ เช่น ผู้ติดตามพระอมิตพุทธคือ

    พระเเม่กวนอิมเเละพระโพธิสัตว์ต้าซื่อ ผู้ติดตามพระยูไลคือ เทพสุริยันเเละจันทรา ผู้ติดตามพระพุทธเจ้าคือ พระโมคคัลลานะ

    เเละพระสารีบุตร รูปปั้นพระโมคคัลลานะเป็นสีขาว อยู่ในปางนั่ง เป็นตัวเเทนความรู้เเละเหตุผล เเละความมีเหตุผลทำให้

    ช่วบมนุษย์หลุดพ้นจากจากการเวียนว่ายตายเกิดไปสู่ เเดนสุขาวดีเบื้องประจิม อธิษฐานเพื่อให้หายเจ็บป่วยต่อท่านได้


    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->พระสารีบุตร<!--sizec--><!--/sizec-->

    พระสารีบุตรตามความเชื่อของศาสนาพุทธ เป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ รูปปั้นของท่านถือดาบทอง นั่งบนหลังสิงโต

    เเสดงถึงอานุภาพเเละสติปัญญาสูงสุด เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ในการช่วยเผยเเพร่ธรรมะ

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.ห้ามใช้เนื้อสัตว์สักการะบูชา ใช้เฉพาะดอกไม้เเละผลไม้สดกับอัญมณี
    2.การบูชาท่าน จะนำความมั่งมีศรีสุขมาให้เเละจะมีสติปัญญาดี



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->พระโพธิสัตว์ตี้ฉาง<!--sizec--><!--/sizec-->

    พระโพธิสัตว์ตี้ฉาง ยังคงผูกพันกับโลกเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ มีความปราถนาสูงสุด ที่จะทำให้มนุษย์หลุดจาก

    วัฏจักรสงสาร ตราบใดที่มนุษย์ไม่ยอมหลุดพ้น ท่านไม่ยอมบวชเป็นพระยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่

    โดยทั่วไป ห่กเจ็บไข้ได้ป่วย กิจการไม่เจริญ สามารถอธิษฐานให้ดีขึ้นก่อนได้ การท่องบทสวด เชื่อว่าจะทำให้คนท่องไม่ตกนรก

    ไปเกิดบนสวรรค์ เสวยสุข รวมทั้งปลอดภัยจาก ภูตผี อายุยืน

    การบูชา

    ท่านด้วยดอกไม้เเละผลไม้ก็พอ หรือนำเสื้อผ้าผู้ป่วย ของรักผู้ป่วย วางไว้ข้างหน้ารูปปั้นท่านอธิษฐานเเล้วได้ผลดี <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->เเต่ห้ามไหว้เนื้อสัตว์<!--colorc--><!--/colorc-->




    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เง็กเซียนฮ่องเต้<!--sizec--><!--/sizec-->

    ตามปรัชญาของลัทธิเต๋า ได้เเบ่ง สวรรค์ โลกมนุษย์เเละยมโลกไว้ ชัดเจน บนสวรรค์เเบ่งเป็น 3 ชั้นชั้นละ 30000เมตร

    -สวรรค์ตะวันออก มีเทพซานกวานเป็นผู้ดูเเล เกี่ยวกับเรื่อง ความสุข อายุยืน ภัยพิบัติ สะเดาะเคราะห์ ไถ่บาป

    -สวรรค์ด้านใต้ มีเทพเหวินเหิงเฉิง ดูเเลเกี่ยวกับหน้าที่เทพ การเลื่อนชั้นพิจารณาความผิดเทพ

    -สวรรค์ตะวันตก เป็นที่ประทับของพระศรีศากยมุณี

    -สวรรค์ด้านเหนือ มีเทพชื่อเวยเป็นผู้ดูเเล เกี่ยวกับเรื่องความม่งมีศรีสุข ภัยพิบัติโชคลาภ

    เง็กเซียนฮ่องเต้ ดูเเลเทพที่ปกครองสวรรค์ทั่วทุกทิศ สถิตอยู่ตรงกลางปกครอง 316 ชั้นฟ้า 3000โลกเเละบาดาลอีก 72 เเห่ง รวมทั้งหมด 4ส่วน

    ข้อสำคัญในการบูชา

    เนื่องจากเง็กเซียนฮ่องเต้เป็นผู้ดูเเลเรื่องใหญ่ๆ หากขอพรคงไม่สัมฤทธิ์ผล ควรขอพร เทพที่อยู่ใกล้มนุษย์จะดีกว่า





    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เล่าจื่อ<!--sizec--><!--/sizec-->

    ท่านเล่าจื่อคือเจ้าลัทธิเต๋าชื่อ หลี่เอ่อ เรียกอีกชื่อว่า เล่าจื่อ เล่ากันว่า ท่านเกิดมาก็มีผมขาวหมดทั้งศีรษะ จึงเรียกเล่าจื่อ

    (บุตรผู้เฒ่า ) บนศีรษะมีรัศมีจันทราสูงประมาณ 1 ฟุต 2 นิ้ว มีฟัน 48 ซี่ ใบหน้าสีทอง วิชาเทพเเละเซียน ตานฉือ เทพเเละภูตผีล้วนเป็น (ม่ายรู้อารายข้อมูลมังหายไปอะขอรับ - -) ของเล่าจื่อ

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.ผู้นับถือเต๋าล้วนเเต่บูชาท่านเล่าจื่อจะทำให้ทุกอย่างราบรื่น
    2.ลัทธิเต๋าเน้นความบริสุทธ์ว่างเปล่าควรบูชา อาหารเจ



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->กวนอู<!--sizec--><!--/sizec-->

    เทพกวนอู เป็นเทพที่ชาวฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ ให้ความนับถือกันมาก ท่านเป็นเทพที่มีความซื่อสัตย์เเละเชื่อกันว่าสามารถขจัด ภูตผีปีศาจได้ ตามร้านค้า บ้านเรือนล้วนเเต่นับถือถือเทพเจ้าองค์นี้ คนพาลถอยห่าง เเละทรัพสมบัติเจริญรุ่งเรือง

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.ควรหันหน้าท่านหาประตูใหญ่
    2.อย่าหันหน้าท่านไปทางทิศตะวันออก
    3.ที่ฐานบูชา ควรมีโคมไฟสว่างตลอดเเละถ้าเป็นสีเเดงจะเพิ่มพลังมั่งมีศรีสุข
    4.ใช้ผลไม้บูชาดีกว่าเนื้อสัตว์ 5. ไม่ควรตั้งท่านไว้ในที่สกปรก 6.หันหน้าท่านเข้าหาโต๊ะกินข้าวก็ได้



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ไทเฮาสวรรค์ <!--sizec--><!--/sizec-->

    สมัยก่อนชาวประมงออกทะเลจับปลามักจะนับถือไทเฮาสวรรค์ ท่านจะคุ้มครองให้เดินเรือปลอดภัยท่านมีชื่ออีกชื่อที่คนรู้จักคือ เจ้าเเม่ทับทิม

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.หากในบ้านมองเห็นทะเลให้ตั้งไทเฮาสวรรค์หันหน้าทะเล
    2.ถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ทะเล ให้ตั้งรูปปั้นไปทางทิศเหนือ



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ฮก ลก ซิ่ว<!--sizec--><!--/sizec-->

    เเบ่งเป็นเทพฮก ถือทารกในมือเเสดงถึงลูกหลานเต็มบ้าน ท่าทีอ่อนโยน เทพฮกสีสันเเวววาว เทพซิ่ว มือถือผลท้อเซียน ใบหน้าเหี่ยวย่นเเสดงถึงอายุยืน สุขภาพเเข็งเเรง ปราศจากภัยพิบัติ เทพลกจะคาดเข็มขัดสีหยก มือถือหยกปราถนา อำนวยยศศักดิ์เเละทรัพย์สินเงินทองให้มนุษย์ ส่วนอีก 2 องค์ ดูเเลอายุเเละความผาสุก

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.ควรบูชาทั้ง 3 องค์ ไม่ควรเจาะจงบูชาองค์ใดองค์หนึ่ง
    2.หันหน้ารูปปั้นเข้าสู่ตัวบ้าน
    3.ควรบูชาขนมหวานเเละเหล้าหวาน



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เเปดเซียน<!--sizec--><!--/sizec-->

    เเปดเซียนที่ชาวจีนชนบทนับถือคือ ฮั่นถงหลี ฉางกั่วจิ้ว หลี่ถงปิน หันเซี่ยงจื่อ หลานไฉ่เหอ เหอเซียนกู่ จางกั๋วเหลา เเละเถี่ยกว๋ายหลี่เเต่ละเซียนมีความชำนาญ เเต่ละด้าน หากบูชาร่วมกันจะเข็มเเข็ง

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.การบูชาไม่มีข้อห้ามมากนัก เเต่ถ้านับถือพระโพธิสัตว์ด้วย ให้ถือพระโพธิสัตว์ เป็นหลัก เเปดเซียนขนาบซ้ายขวา
    2.อย่าบูชาหลีจู่หรือเซียนเถี่ยกว๋ายเลี่ด้วยกัน นอกนั้นบูชาคู่ไหนก็ได้
    3.ใช้ผักผลไม้บูชา



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->นาจา<!--sizec--><!--/sizec-->

    รัชทายาทองค์ที่ 3 นาจา เป็นโอรสองค์ที่3 ของเทพทัวต่าหลี่จิ้ง มีพี่ชายคือ กิมจา มู่จาเเต่นาจาไม่ถูกกับพระบิดา จึงตัดขาด อาจารย์ของนาจาคือ เทพไท่อี่ในลัทธิเต๋าเป็นองครักษ์เง็กเซียนฮ่องเต้

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.หากตั้งพระโพธิสัตว์ ให้ตั้งพระโพธิสัตว์ไว้ตรงกลาง เเละนาจาไว้ซ้ายขวา
    2.บูชานาจาเเล้ว ห้ามบูชาเทพทัวต่า เพราะพ่อลูกไม่ถูกกันเเละห้ามบูชาเทพมังกร เพราะเป็นอริกัน



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->หงอคง <!--sizec--><!--/sizec-->

    เเม้ว่าหงอคงจะมีการบันทึกในเรื่องไซอิ๋ว เเตพระไตรปิฎกกลับไม่กล่าวถึง หงอคงเกิดมาในลัทธิเต๋าหลายหน มีอิทธิฤทธิ์มากมายเเละเเปลงกายได้ 72 ท่า บูชาท่านเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.ต่อหน้าห้ามเอ่ยคำว่า <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->หม่าหลิว (ม้าสีเพลิง)<!--colorc--><!--/colorc--> เรียกท่านว่า นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หรือเเห่งปราชญ์
    2.บูชารูปปั้นหงอคง ห้ามวางรูปปั้นพระถังซัมจั๋งในบ้าน เพราะอิทธิฤทธิ์หงอคงมีจำกัด
    3.หงอคง หงไห่เอ๋อเเละนาจา ภูตกระบือเข้ากันไม่ได้
    4.ใช้ผลไม้บูชาโดยเฉพาะกล้วย ห้ามใช้เนื้อสัตว์
    5.คนที่เกิดปีขาลไม่ควรบูชา หงอคง เพราะใน12นักษัตร ปีวอกไม่ถูกกับปีขาล

    <!--IBF.ATTACHMENT_82-->

    --------------------

    เทพจงขุย<!--sizec--><!--/sizec-->

    เทพจงขุย เป็นเจ้าเเห่งบรรดาภูตผี ปีศาจ เเต่ก็ปกป้องคุ้มครองคนบนโลกคอยขจัดปีศาจร้าย

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.บูชาเทพจงขุยเป็นรูปภาพก็ได้ ไม่จำเป็นต้องจุดธูปไหว้
    2.บูชาเทพจงขุยเพื่อหวังให้ขจัดภูต ผี ปีศาจ เเละความอัปมงคล
    3.หากมีเด็กเล็ก ไม่เหมาะบูชาเทพจงขุย เพราะมีรูปร่างหน้าตาน่ากลัว
    4.อย่าบูชาในที่สกปรก
    5.ควรเเขวนเทพจงขุยไว้เป็นรูปภาพมากกว่ารูปปั้น ไม่ควรบูชาร่วมกับพระพุทธ
    6.ห้ามบูชาไว้ในห้องนอน โดยเฉพาะห้องนอนเด็กเล็ก






    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->หวางต้าเซียน<!--sizec--><!--/sizec-->

    ในฮ่องกงในวันที่30 ธันวาคมของทุกปีจไปไหว้หวางต้าเซียนเพื่อขอความสมหวังในวันปีใหม่ ใบเซียมซีของหวังต้าเซียนแม่นมาก

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.บูชาด้วยการท่องบทสวดเพราะท่านเคยฆ่าแพะจึงไหว้ด้วยเนื้อสัตว์หรือผลไม้ก็ได้
    2.บูชาหวงต้าเซียนแล้วอย่าบูชาเทพอื่นๆมากนัก




    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ขุนพลเซอกง<!--sizec--><!--/sizec-->

    ทุกวันที่2ของปีใหม่ ตอน2-3ทุ่ม ผู้คนทั่วฮ่องกงจะไปกราบไหว้ขุนพลเซอกง มีเริ่องเล่าว่า เซอกงเป็นขุนพลที่ภักดีต่อประเทศ เมื่อตายไปแล้วได้รับการแต่งตั้งเป็นเทพ

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.สามารถตั้งกังหันกระดาษไว้ที่ข้างรูปปั้นเพื่อช่วยปัดเป่าให้ร้ายกลายเป็นดีได้
    2.ขุนพลเซอกง มียศเทียบเทพเจ้าโชคลาภไม่ได้การไหว้ท่านเพื่อความสงบสุข
    3.ท่านเป็นเทพฝ่ายบุ๋น จึงมีนักอักษรศาสตร์บูชาท่าน




    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เทพบุ๊น-บู๊<!--sizec--><!--/sizec-->

    ในบ้านชาวจีนจำนวนมากตั้งศาลเทพบู๊และบุ๋น เทพบุ๋นคือขงจื่อฝ่ายบู๊คือกวนอูและงักฮุยเป็นขุนพลในประวัติศ่าสตร์ มีจิตรใจซื่อสัตย์มีคนนับถือมาก

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.บูชาเทพบุ๋นเพื่อให้ตนเรียนหนังสือเก่ง บูชาเทพบู๊เพื่อให้ทำงานราบรื่น
    2.บูชาเทพบุ๋นละเพื่อให้หวังกิจการเจริญบูชาเทพกวนอูเพื่อให้บ้านเรือนสงบสุข



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เทพอักษรโชคลาภ<!--sizec--><!--/sizec-->

    เทพไฉโป๋ เป็นเทพจุติองค์หนึ่งสวมผ้าดิ้นเงินดิ้นทองเข็มขัดสีหยกมือถืออัญมณี ที่เขียนตัวอักษรว่านำโชคลาภมาให้ รูปร่างแข็งแรงท่วงทีสง่างามเป็นดาววีนัสอยู่บนสวรรค์ ดูแลความร่ำรวยของมนุษย์ คนที่ต้องการร่ำรวยควรบูชา

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.ไหว้ด้วยเหล้าหวาน ขนมหวาน
    2.ใบหน้าไม่ควรหันเข้าหน้าประตูแต่ให้หันเข้าบ้าน
    3.ควรตั้งทิศมงคลเหมือนเทพองค์อื่น หากตั้งในทิศอัปมงคลอาจเสียทรัพย์ได้




    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เทพเจ้าบู๊-เจ้ากวงหมิง<!--sizec--><!--/sizec-->

    เทพฝ่ายบู๊มี2องค์กวนอูและเจ้ากวงหมิงโดยทั่วไปในทางใต้ของจีนจะนับถือ2องค์นี้และใน
    ฮ่องกงแต่ในทางเหนือของจีนจะบูชามีอีกชื่อเรียกว่าเทพเสียนถานมีอานุภาพมากสามารถเอา
    ชนะเสือและมังกรขับไล่ความชั่วร้ายคนที่ทำการค้าบูชาท่านจะปราศจากคนพาล

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.หันหน้าสู่ประตูเพื่อช่วยขจัดสิ่งอัปมงคล
    2.บูชาร่วมกับเทพฝ่ายบุ๋นได้แต่หันหน้าไม่เหมือนกัน
    3.หากต้องการบูชาเทพบู๊ให้บูชากวนอูก็พอแล้วไม่ต้องบูชาเทพบู๊พร้อมกัน2องค์



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เทพอั่งไอ้ยี่<!--sizec--><!--/sizec-->

    เป็นเทพอยู่ข้างเจ้าแม่กวนอิมให้โชคลาภแก่ผู้ยากไร้ถ้าบูชาร่ามกับเจ้าแม่กวนอิมจะนำ
    พาลาภมาให้บ้านเรือนสงบสุข

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.ใช้ดอกไม้ผลไม้สดบูชาหรือของเล่นก็ได้ห้ามไหว้ด้วยเนื้อสัตว์เด็ดขาด
    2.บูชาร่วมกับพระแม่กวนอิมจะมีแต่ความรุ่งเรืองไม่สิ้นสุด
    3.บูชาท่านแล้วไม่ควรไหว้เทพโชคลาภองค์อื่นอีกและไม่ต้องจุดธูปไหว้



    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ปรมาจารย์หลีจู่ <!--sizec--><!--/sizec-->

    ปรมาจารย์หลีจู่ แซ่หลี นามเหยียน ชื่อถงปินเป็นคนสมัยราชวงศ์ถังเล้าดันว่าท่านเป็นขุนนางระดับเคอจี่ได้เป็นพลเซียนฮั
    ่นถงหลี 1ใน8 เซียนเซียนฮั่นถงหลีมอบหมอนให้ท่าน1ใบ พอท่านนอนหลับก็เกิดฝันร้ายขึ้นพอตื่นขึ้นมาได้รับการชี้ทางสว่างจากเซียนฮั่นถงหลีจ
    ึงบรรลุผลเป็นเซียน คนรุ่รหลังเรียกท่านว่าหลี่ฉุนหยาง

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1. บูชาร่วมกับ 8 เซียนได้
    2. มืของท่านถือดาบห้ามหันเข้าสู่ห้องนอนไม่งั้นอาจมีผู้เจ็บไข้ได้




    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ปรมาจารย์กุ๋ยกู่<!--sizec--><!--/sizec-->

    เป็นเทพองค์หนึ่งในลัทธิเต๋าเป็นบุคคลในราชวงศ์โจว บุคคลทีมีชื่อร่วมสมัยคือ ซูฉิน จางอี้ ซือปิน ผังจิน ต่างเป็นคนในสำนักปรมาจรย์กุ๋ยกู่เป็นผู้ชำนาญในการรบโหราศาสตร์ลัทธิเต๋า แม้กระทั่งดวงชะตาบ้านเมือง

    ปรมาจารย์กุ๋ยกู่ นอกจากจะมีควสมสามารถเหนือคนธรรมดาแล้วในลัทธิเต๋ากล่าวว่าท่านเป็นเทพอีกองค์มีอิทธ
    ิฤทธิ์มากเมือโลกมนุษย์เกิดกลียุคจะจุติลงมาช่วยเหลือถ่ายทอดวิชาการรบวิชาพิศดารต่า
    งๆ

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.ท่านเป็นปรมาจารย์ด้านโหราศาสตร์และเทพด้านดวงชะตาในลัทธิเต๋า
    2.บูชาท่านให้ใช้อุปกรณ์ด่นวิชาชีพเช่น จานเข็มทิศของนักดูฮวงจุ้ย กระจกในวิชาดูใบหน้า ปฎิทินหมื่นแของการดูดวง 8 อักษรการเคารพท่านจช่วยให้รุ่งเรืองในวิชาชีพนั้น




    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->หมอฮูโต๋ <!--sizec--><!--/sizec-->

    เซียนฮูโต๋มีบันทึกไว้ว่า เขาเป็นบุคคลในแคว้นเว่ยช่วงสมัยสามก๊กกล่าวว่าเป็นเทพองค์หนึ่งเมื่อมาจุติลงโลกมนุ
    ษย์จึงรักษาผู้ป่วยได้อย่างเนรมิตรท่านไม่เชื่อฟังคำสั่งโจโฉจึงถูกขังคุกแต่ยังก็รั
    กษาอาการบาดเจ็บให้โจโฉจนกระทั่งท่านตายในคุกแต่กล่าวไว้อีกว่าเป็นเรื่องแกล้งตายเพ
    ราะท่านได้ซ่อนร่างอีกที่หนึ่งเพื่อบำเพ็ญฌานร่างที่ตายในคุกเป็นร่างเก่าและได้ไปหา
    ร่างใหม่หมอฮุโต๋นอกจากเป็นปรมาจารยาการแพทย์จีนแล้วยังมีวิชาเต๋าสูงปัจจุบันจึงมีท
    ่ามวยหมอฮูโต๋ให้ฝึกให้ฝึกฝึกแล้วอายุยืนจัดว่าเป็นเทพการแพทย์

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.คนทีมีอาชีพช่วยเพื่อนมนุษย์บูชาท่านด้วยการประกอบอาชีพสุจริต การงานย่อมเจริญรุ่งเรือง
    2.บ้านใดมีคนป่วยอยู่จำเป็นต้องรักษานานบูชาหมอฮูโต๋จะได้ผลดีมาก
    3.ผู้ประกอบอาชีพด้านการแพทย์มีอุปกรณ์ทางการแพทย์เช่น เข็มฉีดยา หูฟัง ที่วัดความดันมาบูชาหน้ารูปปั้นท่านแล้วนำมารักษาคนไข้จะทำให้การงานราบรื่นมีชื่อเส
    ียง




    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ปรมาจารย์หลี่ปาน<!--sizec--><!--/sizec-->

    ท่านเป็นสถาปนิกมีชื่อเสียง กล่าวกันว่าสวรรค์ส่งท่านลงมาช่วยความผาสุกให้มนุษย์ด้วยการแก้ไขเรื่องอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่ การดินทางอุปกรณ์ทางบ้านเรือนที่ท่านสร้างขึ้น ไม่มีใครในโลกที่ทำได้ ไม่เพียงทำให้มนุษย์สุขสบาย ปลอดภัยที่อยู่อาศัยคงทนแข็งแรงด้วยลูกหลานของท่านล้วนแต่สืบทอดบทบาทของการปรับปรุง
    แก้ไขชีวิตประจำวันของมนุษย์ให้ดีขึ้นจากท่าน กล่าวกันว่าอาชีพ3 อย่างในปัจจุบันได้แก่งานไม้ ซีเมนต์และเหล็กมักบูชาท่าน

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.ปรมาจารย์หลี่ปานช่วยคุ้มครองบุคคล3อาชีพที่กล่าวมาให้การงานราบรื่นเหนือผู้อื่น
    2.การค้ารุ่งเรือง มีโชคลาภ




    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->ปรมาจารย์จางเทียน<!--sizec--><!--/sizec-->

    เดิมท่านชื่อ จางเต้าหลิงเป็นคนสมัยราชวงศ์ฮั่น มีหลาน 8ชั่วอายุคน ศึกษาคัมภีร์เต๋าเต๋าจิงและเต๋าเจียจี่ พอถึงวัยกลางคน ท่านได้รับวิชาหวงตี้จิ่วติงตานท่านได้ย้ายเข้าไปบำเพ็ญฌานที่ภูเขาเสือมังกรพออายุ6
    0ปียังดูเป็นหนุ่มผูคนเรียกท่านว่าปรมานย์เทียนเมื่อเรียนวิชาเสร็จได้ทำการรักษาชาว
    บ้านจนหายป่วยพออายุได้120 ปี ได้เหาะขึนสวรรค์พร้อมพร้อมภรรยาปัจจุบันมีดาบปรมาจารย์จางเทียนหนัก81 ชั่ง มีอักษรสลักว่า สุริยันจันทราปราบปรามภูตผี

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.มีจิตรใจซื่อตรงในการบูชา
    2.เบื้องหน้ารูป้นท่าน วางเตาไว้อันหนึ่งและนำเงินโบราณมาเผาในนั้นจะนำโชคลาภมาให้
    3.ควรจุดธูปบูชาท่านด้วย
    4.ช่วยปราบปรามภูตผี




    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เทพประตู<!--sizec--><!--/sizec-->

    เทพประตูมี2คู่ กลุ่มแรก เทพเฉินถูและยี่เหล่ยเชื่อว่าท่านเฝ้าด่านภูตผี หากเทพทั้ง2รู้ว่ามีผีหนีออกมาก็จะส่งไปเป็นอาหารของเสือ เป็นที่นับถือมากนิยมเปะภาพท่านที่ประตูบ้าน

    กลุ่มที่2 ขุนพลสมัยราชวงศ์ถังได้แก่ฉินเฉียงและเว่ยฉือจิ้งเต๋อเล่ากันว่าจาดเหตุการณ์ที่ถังไ
    ท่จงฆ่าพี่น้องตายที่ประตูชวนอู่ทำให้แย่งราชบัลลังก์ได้ ดังนั้นครั้งหนึ่งฝันเห็นพี่ชายและน้องชายมาร้องทวงชีวิต จากนั้นฝันเห็นพี่ชายและน้องชาจะเข้าประตูมา มีขุนนางแนะนำให้ฉินเฉียงและเว่ยฉือจิ้งเต๋อไปเฝ้าประตูแต่ท่านเฝ้าให้ทุกวันไม่ได้จ
    ึงแปะภาพท่านไว้แทนซึ่งได้ผลเช่นกันแต่สมัยนี้พบเทพประตูน้อยมากยกเว้นในชนบทของจีน

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.ควรเปลี่ยนเทพประตูใหม่ทุกปีหากมีรูปฉีกขาดย่อมไม่ศักสิทธิ์
    2.ห้ามใช้เทพประตู 2คู่ให้เลือกใช้ 1คู่
    3.ไม่ต้องจุดธูปไหว้เทพประตู




    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เทพเจ้าเตา<!--sizec--><!--/sizec-->

    เทพเจ้าเตาเป็นชายหรือหญิง รูปร่างเป็นไงไม่มีระบุไว้ กล่าวกันว่า1ในกลุ่ม3 จักพรรดิ5 ฮ่องเต้ที่เง็กเซียนแต่งตั้งเป็นเทพเจ้าเตาเป็นเทพองค์หนึ่งแต่ละเลยหน้าที่จึงถูกลด
    ชั้นมาจุติลงโลกมนุษย์ดูแลครัวเรือนทุกบ้านมิเช่นนั้นจะไมได้กลับสวรรค์

    ภาระของเทพเจ้าเตา

    1.คุ้มครองอาหารการกินให้สมบูรณ์ มีคุณค่าทางอาหารไม่ทำให้คนเจ็บป่วย
    2.ตรวจสอบกรรมดีกรรมชั่วของแต่ละบ้านแล้วนำไปรายงานสวรรค์ทุกปี
    3.คุ้มครองคนในบ้านปกป้องจากภูตผีปีศาจ

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.จุดธูปไหว้ทุกเย็นหรือตอนกลางคืนก็ได้
    2.ควรบูชาเทพเจ้าเตาไว้ทางทิศใต้ เพราะทิศใต้คือธาตุไฟ
    3.วันที่22-23 เดือน12ตามปฎิทินจีนเป็นวันขอบคุณเทพเจ้าเตาเพราะท่านจะกลับไปรายงานพฤติกรรมมนุษย์บ
    นสววรค์ชาวบ้านนิยมใช้ขนม รสหวาน ลูกกวาด สุราและขนมเค้กมาไหว้ท่าน เพื่อเป็นการขอบคุณและหวังว่าจะนำแต่เรื่องดีงามไปรายงานบนสวรรค์




    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->เจ้าที่ด้านนอกและเจ้าที่ด้านใน<!--sizec--><!--/sizec-->

    ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาเร่องหลักฮวงจุ้ยก็มักสับสนเช่นนำเจ้าแม่กวนอิมมาบูชาคู่กับกวนอู นำเจ้าที่ด้านนอสลับกับเจ้าที่ด้านในแต่เดิมเจ้าที่ด้านนอกจะจะรับหน้าที่ขจุดผีปีศา
    จ ส่วนเจ้าที่ด้านในรับผิดชอบภายในบ้าน ห้ามตั้งเจ้าที่ด้านในไว้ด้านนอก บูชาด้านในจะง่สยกว่าบูชาด้านนอกจะตั้งไว้ส่วนล่างสุดถัดไปคือ บรรพบุรุษ สูงกว่านั้นคือพระโพธิสัตว์และเทพ

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1.เจ้าที่ด้านนอกอาจเรียกว่า ประตูโชคลาภ นำทรัพสินมาให้
    เจ้าที่ด้านนอกวางให้ดีอย่าให้มีคนมาสดุดเข้าไม่งั้นจะคิดว่าไม่เคารพศรัทธา
    2.กนอกประตูมีพื้นที่ไม่เพียงพออาจใช้ไม้แผ่น หรือกระดาษสีแดงเขียนเหนือประตูก็แทนเจ้าที่ด้านนอกได้
    3. หากแม้ข้อ2ก็ทำไม่ได้เพราะไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมตัวบ้านให้บูชาเจ้าที่ด้านในหันหน้า
    สู่ประตูออกก็พอ
    4.การตั้งเจ้าที่ด้านนอกต้องดูว่านำโชคลาภเข้าบ้านได้หรือไม่ โดยสังเกตว่าทิศไหนทิศไหนมีคนเดินเข้าและรถผ่านก็ให้ตั้งเจ้าที่ตรงนั้น







    <!--sizeo:4--><!--/sizeo-->บรรพบุรุษ<!--sizec--><!--/sizec-->

    ข้อสำคัญในการบูชา

    1. ตำแหน่งบรรพบุรุษไม่ควรเสมอกับพระโพธิสัตว์
    2. หากพื้นที่แคบและต้องวางสิ่งศักสิทธิ์ไว้ร่วมกันห้ามวางยู่ขวามือเทพกวนอู ด้านที่ถือง้าว เพราะมีคุณไสยมากที่สุด ทำให้วิญญาณบรรพบุรุษไม่สงบสุข
    3. อัฐิของบรรพบุรุษควรเก็บไว้ที่วัด ไม่ควรนำมาบูชาในบ้าน
    4. เวลาจุดธูป หรือ ใช้ของไหว้ต้องไหว้เทพยดาก่อน แล้วค่อยไหว้บรพพบุรุษแล้วจึงไหว้เจ้าที่
    5. หากบูชาพระโพธิสัตว์ด้วย ควรไหว้อาหารเจ
    6. เวลาไหว้ อธิษฐานให้พระโพธิสัตว์ช่วยคุ้มครองให้บรรพบุรุษอยู่อย่างสงบ คนรุ่นกลังย่อมทำงานราบรื่น<!--IBF.ATTACHMENT_208-->

    --------------------

    *****************************************************
    *****************************************************

    ที่มา http://www.thaisamkok.com/forum/index.php?showtopic=454
    โดย <TABLE class=ipbtable cellSpacing=1><TBODY><TR><TD class=row2 vAlign=center width="1%">จูกัดอี้</TD></TR></TBODY></TABLE>

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2007
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

แชร์หน้านี้

Loading...