พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ chaipat [​IMG]
    ขออนุญาต เรียนถามสักข้อครับ เพราะว่าอาจคิดไม่เข้าใจมากพอ

    หากเรานั้นมีพระอยู่จำนวนหนึ่ง อาจ 1 อาจ 2 องค์ ฯ และพอแบ่งได้

    1 องค์

    เราเองนั้นเข้าใจดีว่าพระท่านดี แต่เราซิ มันดี และ ไม่ดี สลับกันไป

    กาลข้างหน้า เห็นคนลำบาก รู้สึกหมดกำลังใจ แต่นิสัย และพฤติกรรมไม่ดี

    กับคนไม่ลำบาก พอมีสุขอยู่บ้าง และนิสัยดี ทำดี

    2 คนนี้ ถ้าเลือกให้พระ จะเลือกใครดี เพราะว่าเรามีพระก็คือมี และอยากให้คนอื่นเขามีกันบ้าง จักได้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฒ์ ครูอาจารย์ ในยามลำบาก

    เพราะกงล้อของชีวิตนั้น มันสลับทุกข์ กับสุข ไปมาเสมอ

    จะให้ใครดีครับ

    ขอขอบคุณครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ท่านใดสนใจการอ่านหนังสือ ขอเชิญได้ครับ ตามนี้

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>รวมพลคนรักหนังสือที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 35</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>30 มีนาคม 2550 18:21 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ถึงเวลารวมพลคนรักหนังสือที่จะได้มีโอกาสได้มาพบกันอีกครั้ง ในงานวันสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 35 และงานหนังสือนานาชาติครั้งที่ 5 เพราะงานนี้ได้มีการรวบรวมนำหนังสือทั้งเก่าและใหม่มาวางจำหน่ายให้กับบรรดาหนอนหนังสือทั้งหลายให้ได้เลือกซื้อกันอย่างละลานตา รวมทั้งได้พบปะพูดคุยกับนักเขียนในดวงใจถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สิงห์นักอ่าน และคนที่กำลังเข้าสู่วงการนักอ่านไม่ควรพลาด

    เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปท์ของงาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2007
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://horoscope.sanook.com/fengshui/fengshui_01944.php

    <TABLE class=fontDefault cellSpacing=0 cellPadding=0 width=415 border=0><TBODY><TR><TD width=10>
    [​IMG]</TD><TD width="100%">
    เสริมฮวงจุ้ยด้วยต้นไม้
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=415 border=0><TBODY><TR></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=415 border=0><TBODY><TR><TD height=10> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=fontDefault cellSpacing=0 cellPadding=0 width=415 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2><SCRIPT language=JavaScript src="/global_js/global_function.js"></SCRIPT><!--START-->การปลูกดอกไม้และไม้มงคลเชื่อว่าจะเสริมดวงชะตาได้ ประเทศจีนนั้นแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติของป่าเขาและพืชพรรณนานาชนิด มีไม้มงคลมากมายหลายประเภทที่ขึ้นในสภาพอากาศที่หนาวเย็น และหาไม่ได้ในประเทศไทย เช่น ดอกโบตั๋น ดังนั้นก็จะมีต้นไม้ชนิดที่นิยมปลูกหรือถือเป็นไม้มงคลเพียงไม่กี่ชนิดที่มีอยู่ในประเทศไทย

    [​IMG]

    ต้นไผ่ เป็นไม้ที่แตกหน่อแลกิ่งก้านสาขาได้เร็ว เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง การขยายกิจการ แทนความยั่งยืน คงทน เชื่อว่าเวลาที่ต้นไผ่สีกันจะมีเสียงดังทำให้ปีศาจหรือสิ่งชั่วร้ายกลัว ไม่เข้าใกล้ บางแห่งหรือบางชนบทก็จะผูกต้นไผ่ด้วยริบบิ้นสีแดง

    ต้นสน มีความหมายใกล้เคียงกับต้นไผ่ เป็นสัญลักษณ์แทนความอดทนในการฝ่ามรสุมจากความทุกข์ยาก

    ต้นส้มหรือส้ม ซึ่งมีการใช้ในทุกเทศกาล หมายถึงความโชคดีหรือความเจริญรุ่งเรือง และความสุข

    ดอกบัว สัญลักษณ์แห่งฤดูร้อน หมายถึงความบริสุทธิ์ ความมีสติ

    ต้นทับทิม ผลไม้ของผลทับทิมมีเม็ดสีแดงมากมาย หมายถึงการมีบุตรหลานที่กตัญญูไว้สืบตระกูลมากมาย เป็นต้นไม้ที่อยู่ในตำนานที่เจ้าแม่กวนอิมได้ใช้กิ่งทับทิมในการประทานพรแก่ชาวโลก เวลากลับจากสุสาน งานศพ ก็จะใช้น้ำกิ่งทับทิมล้างหน้า ถือเป็นต้นที่ไม่ใหญ่นักซึ่งสามารถปลูกได้ทั้งที่หน้าบ้านและข้างบ้าน

    ลูกน้ำเต้า ที่คนไทยมักจะนำเอาไปลงอักขระภาษาในเรื่องของวัตถุมงคลนั้น คนจีนก็ถือว่าเป็นไม้มงคลอีกชนิดหนึ่งที่มักจะออกลูกตลอด จนกว่าต้นจะแก่ตาย หมายถึงการมีดอกผลงอกเงย มีทรัพย์สินเงินทองไหลมาเทมา

    ในประเทศไทย มีคนนิยมปลูก ต้นราชพฤกษ์ เพราะมีดอกสีเหลืองเป็นพวงทอง ซึ่งให้ความหมายถึงความมั่งคั่งร่ำรวย

    ต้นเฟื่องฟ้า แทนความหมายในแง่ของชื่อเสียงที่ขจรขจาย

    ต้นเข็ม ส่วนใหญ่จะปลูกไว้ริมรั้วหรือแทนประตูรั้ว ให้ความหมายในแง่ความแหลมคมของสติปัญญา ความรู้

    ต้นโมก ต้นแก้ว ที่มีกลิ่นหอมในตัวมันเอง ก็ใช้ส่งเสริมความสมดุลของชีวิต

    ต้นขนุน เพื่อให้คนเกื้อหนุนค้ำจุน

    ต้นมะขามปลูก เพื่อเสริมสร้างบารมีให้คนเกรงขาม

    มีความเชื่อว่าในเวลาที่คนเรามีเคราะห์มาก ๆ อาจลดเคราะห์หรือความยุ่งยากลงด้วยการปลูก กุหลาบหรือต้นโป๊ยเซียน จะช่วยบรรเทาเคราะห์ลงได้ อาจเพราะหนามที่แหลมคมช่วยต่อต้านปัญหาเอาไว้

    มาถึง ต้นชัยพฤกษ์ บ้าง มักนำมาปลูกไว้ข้างรั้วหน้าบ้าน ความหมายก็คือการนำชัยชนะ หรือการปรามมารร้ายทั้งหลายที่จะเข้ามาให้ถอยทัพกลับไป เป็นต้นไม้ที่เป็นศิริมงคลตามตำราโบราณ

    ส่วน ต้นพุทธรักษา ก็มักจะปลูกไว้ริมรั้ว จะส่งผลให้เกิดความสุขในครอบครัวทำนองว่า พระพุทธจะรักษาให้เกิดความสงบสุขแก่ผู้อยู่อาศัย มีเรื่องเล่าตามพุทธตำนานว่า พระเทวทัตคิดทำร้ายพระพุทธเจ้า จึงได้ขึ้นไปภูเขากลิ้งหินบนภูเขาลงมาในจังหวะเดียวกับที่พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมา แต่ก้อนกินดังกล่าวกลับแตกกระจัดกระจายก่อน สะเก็ดก้อนหินได้กระเด็นไปถูกพระบาท มีพระโลหิตไหลหยดลงบนแผ่นดิน ต่อมาได้เกิดต้นไม้ชนิดหนึ่งขึ้นตรงรอยเลือดนั้น ต้นไม้ชนิดนั้นก็คือพุทธรักษานั่นเอง

    นั่นเป็นเรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับต้นไม้ในการเสริมสร้างให้เกิดความเป็นมงคลในชีวิตของคนจีนและคนไทยที่คละเคล้ากันไป เป็นการเสริมทางด้านจิตใจ และความสมดุลของบ้าน แต่ในความเห็นของผู้เขียนเห็นว่าการปลูกต้นไม้อะไรน่าจะอยู่ที่เป้าหมายมากกว่า เช่น หากต้องการต้นไม้มาช่วยบดบังแสงแดด ก็อาจปลูกต้นจำปี การะเวก หูกวาง หรือหากต้องการปลูกเพื่อกินผล เจ้าบ้านชอบทานผลไม้อะไรก็ปลูกพันธุ์ไม้นั้นลงไป ไม่ได้มีกำหนดกฎเกณฑ์อะไร สิ่งสำคัญหากเป็นไม้ยืนต้นก็ไม่ควรปลูกขวางประตูเข้าบ้านเป็นอันขาด



    <!--END--></TD></TR><TR><TD>บทความโดย อ.ธิตินัย พันธุ์วิชาติกุล
    โทร. 0-1692-0574
    http://www.fengshui-thitinai.com
    </TD><TD align=right>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]


    รูปคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตร)


    1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า
    2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า
    3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร)
    4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ลพบุรี)
    5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า (หลวงปู่หน้าปาน หรือหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด วัดโอภาสี กรุงเทพฯ)


    หมายเหตุ จากรูปนั้น ชื่อองค์แรกคือพระภูริยะเถระเจ้า แต่ที่ถูกต้องคือพระฌาณียะเถระเจ้า ส่วนองค์สุดท้ายคือพระฌาณียะเถระเจ้า ที่ถูกต้องคือพระภูริยะเถระเจ้า


    โดยปกติที่เห็นหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรกันทั่วๆไปนั้น จะเป็นรูปของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)ครับ
    [​IMG]
    <O:pหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)</O:p
    <!-- / message --><!-- / message --><!-- sig -->​


    วิธีบูชาพระบรมครูพระเทพโลกอุดร<O:p</O:p

    จะเป็นภาพถ่ายหรือรูปหล่อของหลวงปู่ท่าน หรือพระพิมพ์ที่หลวงปู่ท่านได้อธิษฐานจิตไว้ย่อมใช้ได้ทั้งสิ้น หลวงปู่ท่านโปรดผู้ประพฤติอยู่ในศีลธรรม ชอบอาหารมังสะวิรัติ ชอบฟังคำสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ชอบบูชาด้วยดอกมะลิสด น้ำฝน 1 แก้ว เทียนหนักหนึ่งบาท 1 คู่ ธูปหอม 5 ดอก (คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้าหรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปานหรือหลวงพ่อโอภาสี วัดโอภาสี บางมด) ) การปฏิบัติธรรมสังวรณ์ในกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ประกอบด้วยศีล 5 เป็นอย่างน้อย ย่อมเป็นสิ่งพึงพอใจของหลวงปู่และทั้งยังให้ความสุชความเจริญทั้งคดีโลกและคดีธรรมแก่ผู้ปฏิบัติ

    สำหรับพิมพ์อรหันต์ พิมพ์ปิดตา และพิมพ์มหากัจจายนะซึ่งเป็นองค์เดียวกันแต่ปางต่างกันหากจะอาราธนาอย่างพิศดารก็ย่อมกระทำได้ กล่าวคือพิมพ์อรหันต์ใหญ่ พิมพ์อรหันต์กลางและพิมพ์อรหันต์น้อย อยู่ในหมวดพระมหากัจจายนะรูปงามซึ่งเป็นรูปเดิมก่อนการอธิษฐานวรกายให้ต่อท้ายด้วยคาถาดังนี้

    พิมพ์อรหันต์
    อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ รูปะวะระเชยยะสิทธิเม
    (เชยยะ อ่านว่า ไชยะ ; รูปะวะระ แปลว่า รูปงาม)
    *** โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ รูปะวะระเชยยะสิทธิเม ***

    สำหรับสำหรับพิมพ์พระปิดตาซึ่งเป็นปางอธิษฐานวรกายให้สวดพระคาถา โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา แล้วต่อท้ายด้วยพระคาถาต่อไปนี้
    พิมพ์พระภควัมปติ(ปิดตา)
    ควัมปติ จะ มหาเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม
    *** โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา ควัมปติ จะ มหาเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม ***

    สำหรับพิมพ์พุงพลุ้ยที่นิยมเรียกกันว่า พระสังกัจจายน์ คำนี้ไม่มีศัพท์นี้ในภาษาบาลี ที่ถูกต้องคือ พระมหากัจจายนะ เถระเจ้าอัน
    เป็นปางหลังจากที่นิมิตวรกายแล้ว ให้สวดพระคาถา โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา แล้วต่อท้ายด้วย พระคาถาต่อไปนี้
    อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม
    ***โลกุตตะโร ปัญจะ มหาเถโร อะหัง วันทามิตัง สะทา อรหันติกัจจายนะเถโร มหาโภโค มหาลาโภ เชยยะสิทธิเม ***
    จะเห็นว่าตัดเอาคำว่า รูปะวะระออกไปเพราะสิ้นความงดงามแล้ว

    พระพิมพ์ของคณะพระเทพโลกอุดรนั้นทุกรูปแบบทุกพิมพ์ทรงมีอานุภาพครอบจักรวาล อาราธนาทำน้ำมนต์ประสิทธิ์ยิ่งนัก โดยให้นำเอาพระแช่ในภาชนะที่บรรจุน้ำเรียบร้อยแล้ว บูชาด้วยดอกไม้ จุดธูปเทียน แล้วอธิษฐานตามความมุ่งหมาย เสร็จแล้วให้รีบนำพระขึ้นเช็ดน้ำด้วยสำลีหรือผ้าสะอาด ผึ่งลมให้แห้งก่อนนำไปบรรจุตลับ องค์พระจะไม่ละลายลบเลือนและไม่ควรแช่ในน้ำนานเกินควร จงทะนุถนอมให้จงดี เพราะหาไม่ได้อีกแล้ว

    สำหรับท่านที่มีพระอันเป็นทิพยสมบัติอันทรงคุณค่า โดยได้รับสืบทอดมาจากบรรพชนหรือได้รับจากทางใดทางหนึ่งก็ตาม เสมือนมีแก้วสารพัดนึกอยู่กับตัว ไม่จำเป็นต้องขวนขวายในอิทธิวัตถุอื่นอีก<O:p</O:p

    วิธีบูชาพระบรมครูพระเทพโลกอุดร

    คำบูชาบรมครูพระโลกอุดร
    นะโมตัสสะภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯลฯ ( 3 จบ )<O:p</O:p
    โย อะริโย มะหาเถโร อะระหัง อะภิญญาธะโร ปฎิสัมภิทัปปัตโต เตวิชโช พุทธะสาวะโก พะหู เมตตาทิวาสะโน มะหาเถรา นุสาสะโก โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อะภิปูชิโต อิฐะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ ปะระมะสาริกะธาตุ วะชิรัญจา ปิวานิตัง โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโร อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง เวเรนะ สุภาสิตัง โลกุตตะโร จะ มหาเถโร เทวะตา นะระปูชิโต โลกุตตะระคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา มะหาเถรา นุภาเวนะ สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม

    บทสวด แบบย่อหรืออาราธนาพระพิมพ์ (ได้ทุกทรงพิมพ์)<O:p</O:p
    โลกุตตะโร ปัญจะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
    หรือภาวนา ๓ จบ , ๗ จบ , ๙ จบ (เช้า-เย็น ตื่นนอนและก่อนนอน)<O:p</O:p
    โลกุตตะโร ปัญจะ มะหาเถโร อะหัง วันทามิ ตัง สะทา เมตตาลาโภ นะโสมิยะ อะหะพุทโธ

    หมายเหตุ : บทความที่นำมาเสนอนี้ได้รับการอนุญาตในการคัดลอกและเรียบเรียงเพื่อเผยแพรเป็นวิทยาทานจากท่าน อาจารย์ ประถม อาจสาครเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับเป็นพระคุณและความกรุณาอย่างยิ่ง<O:p</O:p

    ผมขอเสริมนะครับ ท่านสามารถอาราธนาเป็นภาษาไทย ได้นะครับ ถ้ายังจำบทสวดของท่านไม่ได้ครับ

    ท่านที่ห้อยพระหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ที่ท่านเมตตาเสกให้นั้น หากมีความจำเป็นที่ต้องไปในสถานที่อโคจรทั้งหลาย ผมมีบทสวดที่ใช้ในการนี้มาฝากทุกท่านครับ

    ก่อนที่จะเข้าไปในสถานที่อโคจรให้สวด อิติภะคะโว
    กลับออกมาจากสถานที่อโคจรให้สวด โสภะคะวา

    หรือก่อนที่จะเข้าไปในสถานที่อโคจรให้สวด อะระหัง
    กลับออกมาจากสถานที่อโคจรให้สวด หังระอะ

    บทแผ่เมตตาโบราณ<O:p</O:p
    นะเมตตา โมเมตตา ปะวาเสนตัง อะหังโหมิ สุจิตตาปะมาทาตุ สุจิตโตปะโมทาตุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    บทแผ่เมตตาอันยิ่งใหญ่<O:p</O:p
    มหาโคตะโมปาทะเกอิ จะอะปาทะเกอิ เมเมตตังเมตตัง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สำหรับท่านที่ได้บูชาพระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร อธิษฐานจิตไว้ให้นั้น ผมขอเรียนชี้แจงให้ทราบกันนะครับว่า การวางพระพิมพ์หรือวัตถุมงคลต่างๆ ต้องวางไว้ในที่เหมาะสม ควรใช้พวงมาลัยไว้พระพิมพ์ (เป็นการไหว้หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร และเทวดาผู้ที่รักษาพระพิมพ์) พวงมาลัยที่ใช้ไหว้นั้น ต้องเป็นพวงมาลัยที่มีดอกรัก ,ดอกมะลิ ,ดอกกุหลาบ หรืออย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ห้ามใช้พวงมาลัยที่เป็นดอกดาวเรืองโดยเด็ดขาด ส่วนการวางพวงมาลัย ควรหาพานมาเพื่อใช้ในการวางพวงมาลัยครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หากท่านใดที่ได้ทำบุญไม่ว่าจะเป็นการทำบุญเรื่องอะไรก็ตาม ควรที่จะกรวดน้ำให้กับผู้เสก,ผู้สร้าง และเทวดาประจำองค์พระพิมพ์ด้วยทุกๆครั้งนะครับ<O:p</O:p
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
    **************************************************



    ไหว้ 5 ครั้ง<O[​IMG]</O[​IMG]


    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )<O[​IMG]</O[​IMG]


    วัดเทพศิรินทราวาส<O[​IMG]</O[​IMG]

    [​IMG]

    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html<O[​IMG]</O[​IMG]

    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า<O[​IMG]</O[​IMG]
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา<O[​IMG]</O[​IMG]
    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน<O[​IMG]</O[​IMG]
    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน<O[​IMG]</O[​IMG]
    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู<O[​IMG]</O[​IMG]
    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู<O[​IMG]</O[​IMG]
    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา<O[​IMG]</O[​IMG]
    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา<O[​IMG]</O[​IMG]
    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน<O[​IMG]</O[​IMG]
    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์<O[​IMG]</O[​IMG]
    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน<O[​IMG]</O[​IMG]
    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา<O[​IMG]</O[​IMG]
    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี<O[​IMG]</O[​IMG]
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น<O[​IMG]</O[​IMG]
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน<O[​IMG]</O[​IMG]
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์<O[​IMG]</O[​IMG]
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม<O[​IMG]</O[​IMG]
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม<O[​IMG]</O[​IMG]
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง<O[​IMG]</O[​IMG]
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง<O[​IMG]</O[​IMG]
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]

    (บทประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส<O[​IMG]</O[​IMG]

    ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ต่อไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญญาณวรเถระ )

    http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7

    [​IMG]

    สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2415 ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรนาย ทองสุก และนางย่าง

    เมื่ออายุ 8 ปี ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุณี (พุฒ ปุณณกเร) ปฐมวัยอาวาสวัดเขาบางทราย

    เมื่ออายุ 12 ปีได้บรรพชาที่วัดเขาบางทราย และเข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบพิธอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2435 ที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2439 ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกในสำนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดเทพศิรินทราวาส

    "ตาบุญ (พระยาธรรมปรีชา) ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีของ
    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบช้างเผือกส่งเข้ามาให้ "
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร) สอบไล่ภาษาบาลี ในมหามงกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1ทุกชั้นเป็นลำดับมา

    พ.ศ.2441 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะที่พระอัมราภิลักขิต เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรี ต่อมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา

    พ.ศ.2471 โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    พ.ศ.2476กรรมการเถรสมาคมมีมติให้ท่าน เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระสังฆราชเจ้าซึ่งสิ้นพระชนม์ ประมวลเกียรติคุณพิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร)เป็นพระเถระบริหารงานพระศาสนาถึง 5 แผ่นดิน คือแต่รัชกาลที่ 5-9 เป็นพระราชาคณะแต่อายุ 28 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะแต่อายุ 57 ปี นับเป็นพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พรรษาน้อยกว่า พระเถระหลายรูปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่อายุ 28 ปี ถึง 80 ปีรวม 53 ปี นับว่ายาวนานที่สุดไม่มีใครเทียบได้
    เมื่อสอบนักธรรม หรือบาลีจะสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นทุกประโยคเป็นรูปเดียวในสังฆมณฑล ดำรงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง องค์เดียวกัน
    ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2494เวลา 10.30 น. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเระ)มรณภาพด้วยโรคเนื้องอกที่ตับรวมอายุได้ 80 ปี พรรษาที่ 59

    ความคิดเห็นส่วนตัวผม
    ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท่านบอกกับผู้ที่ไปกราบท่านว่า ขอให้ทุกๆวันได้ไหว้ 5 ครั้ง จะได้เป็นศิริมงคลกับตนเอง จะเหมือนกับชื่อของท่าน (เจริญ) ครับ ท่านเจ้าคุณนรเอง ก็มีความเคารพในท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)มาก โดยท่านเจ้าคุณนรเอง เวลาเดินผ่านกุฎิของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)ทุกครั้ง ท่านเจ้าคุณนร ก็จะก้มลงกราบที่กุฎิอยู่ทุกครั้งครับ

    .*********************************************.
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันที่ 31 มีนาคม 2550

    ผมขอเก็บคำกรวดน้ำไว้ก่อนนะครับ เพราะว่าต้องใช้อีก


    วันนี้ข้าพเจ้า,ภรรยา และครอบครัว ได้........... ขอให้ คุณบิดา มารดา พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ และทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ผู้มีพระคุณ ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวร ปู่ ย่า ตา ยาย เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช,สมเด็จพระเอกาทศรถ,สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ,พระยาพิชัยดาบหัก ,กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ,กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระสยามเทวาธิราช ,พระภูมิ-เจ้าที่ที่บ้านข้าพเจ้า ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน ,ท่านผู้เสกทุกท่าน ,เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้าและพระกรุวัดพระแก้วทุกท่าน,ท่านผู้เสกทุกท่าน ,เจ้าของและผู้สร้างวัตถุมงคลของวังหน้า-กรุวัดพระแก้ว-วัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ , เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ พระภูมิ-เจ้าที่ พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน พระพิรุณ พยายมราช นายนิริยบาล ทั้งท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล คุณพระศรีรัตนตรัยและเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา ขอให้มาอนุโมทนาในบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำในครั้งนี้ด้วยเทอญ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อิมินาปุญญะกัมเมนะ ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้า,ภรรยา และครอบครัว ได้ .............................. ขออุทิศส่วนกุศลให้แก่ คุณบิดา มารดา พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ,คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทั้งหมด ,พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ,พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ,ตัวข้าพเจ้าและทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน ผู้มีพระคุณ ญาติกาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ญาติสี่สกุลเจ็ดชั่วโคตรของข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวร ปู่ ย่า ตา ยาย เทวดาประจำตัวข้าพเจ้า ,เทวดาประจำองค์พระพิมพ์ทุกองค์ ,พระมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช,สมเด็จพระเอกาทศรถ,สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ,พระยาพิชัยดาบหัก ,กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ,กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ,พระสยามเทวาธิราช ,พระภูมิ-เจ้าที่ที่บ้านข้าพเจ้า ,แม่ย่านางรถของข้าพเจ้า,ผู้ที่เสียสละให้กับแผ่นดินไทยทุกท่าน ,ท่านผู้เสกทุกท่าน ,เจ้าของและผู้สร้างพระพิมพ์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร-พระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าทุกท่าน-พระพิมพ์ของวังหน้าและพระกรุวัดพระแก้วทุกท่าน, ท่านผู้เสกทุกท่าน เจ้าของและผู้สร้างวัตถุมงคลของวังหน้า-กรุวัดพระแก้ว-วัตถุมงคลหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรทุกประเภทที่ข้าพเจ้ามีอยู่ , เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย แม่พระโพสพ พระภูมิ-เจ้าที่ พระมหาฤาษีและพระฤาษีทุกๆตน พระพิรุณ พยายมราช นายนิริยบาล ทั้งท้าวจตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริพุทธอำมาตย์ ชั้นจาตุมะหาราชิกาเบื้องบนจนถึงที่สุด พรหมาเบื้องต่ำตั้งแต่อเวจีขึ้นมาจนถึงมนุษย์โลก โดยรอบสุดขอบจักรวาลอนันตะจักรวาล คุณพระศรีรัตนตรัยและเทพยดาทั้งหลายตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ คนธรรพ์ นาคา ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ท่านได้สุข ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้าอุทิศไปให้นี้ จงเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้ถึงพระนิพพานในปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้าโน้นเทอญ ฯ

    พุทธังอนันตัง ธัมมังจัรวาลัง สังฆังนิพพานัง ปัจจโยโหนตุ

    ***********************************************
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    รูปคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตร)

    1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า
    2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า
    3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่อิเกสาโร)
    4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ลพบุรี)
    5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า (หลวงปู่หน้าปาน หรือหลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด วัดโอภาสี กรุงเทพฯ)

    หมายเหตุ จากรูปนั้น ชื่อองค์แรกคือพระภูริยะเถระเจ้า แต่ที่ถูกต้องคือพระฌาณียะเถระเจ้า ส่วนองค์สุดท้ายคือพระฌาณียะเถระเจ้า ที่ถูกต้องคือพระภูริยะเถระเจ้า

    โดยปกติที่เห็นหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรกันทั่วๆไปนั้น จะเป็นรูปของหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)ครับ

    [​IMG][​IMG]


    ประวัติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร
    ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร


    กาลามสูตร


    ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมครู
    <O:p</O:p

    1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา <O:p</O:p
    2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆกันมา<O:p</O:p
    3. อย่าปลงใจเชื่อ ค้วยการเล่าลือ <O:p</O:p
    4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์<O:p</O:p
    5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก <O:p</O:p
    6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน<O:p</O:p
    7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล <O:p</O:p
    8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว<O:p</O:p
    9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ <O:p</O:p
    10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา<O:p</O:p
    เรื่องราวเกี่ยวกับพระเทพโลกอุดร มีมาช้านานแล้ว เริ่มต้นในยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุธยา และตนโกสินทร์ หลักฐานที่ปรากฏชัดแต่ขาดการค้นคว้า อย่างจริงจังรู้ในชนกลุ่มน้อยทางเจโตบ้าง เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง) และหลวงปู่คำคะนิง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า คณะพระเทพโลกอุดร เคยมาพำนัก ณ ถ้ำดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวไปก็ไม่มีผู้ใดเห็นอย่างท่าน บางท่านที่มีวาสนาก็พบเห็นท่านและยืนยัน ครั้นจะเอาเข้าจริงก็ไม่สามารถพบเห็นท่าน คล้ายคนหนึ่งเคยเห็นผีแต่หลายคนอยากเห็นบ้างก็ไม่เห็น จนเกือบจะเป็นเรื่องอจิณไตย (คือเรื่องที่ไม่ควรนึกคิด) แต่ก็ไม่ใช่นิยายท่านมักอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง สามารถปรากฏได้ในสถานที่ต่าง ๆ ไม่จำกัด ทั้งผู้ที่พบเห็นก็ปราศจากความรู้ว่าเป็นพระเทพโลกอุดรองค์ใดกันแน่ เพราะมีอยู่ด้วยกันถึง 5 พระองค์ และอาจมาในรูปต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน หรือปรากฏรูปเดิม แต่ที่มีวาสนาบารมีสูงส่งก็คือ คุณดอน นนทะศรีวิไล คนลาวไปประกอบอาชีพที่ประเทศแคนาดา ท่านผู้นี้ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ถือเอกามังสะวิรัติมานานกว่าสิบปีซึ่งบรมครูพระเทพโลกอุดรโปรดปรานมาก คุณดอนและครอบครัว นับถือบรมครูพระเทพโลกอุดรมาก และเล่าให้ฟังว่าได้พบเห็นบรมครูพระเทพโลกอุดรด้วยตาเนื้อ 2 ครั้ง <O:p</O:p
    ครั้งแรกหลังจากเสร็จจากการนั่งสมาธิประจำวัน เป็นเวลาทางประเทศแคนาดา 00.02 น. ปรากฏพระภิกษุชรารูปหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน คุณดอนทราบทางจิตว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรแน่ จึงก้มลงกราบและเรียนถามว่า “หลวงปู่คือพระเทพโลกอุดรใช่ไหม” ท่านตอบว่า “ใช่” คุณดอนไม่ทันได้เตรียมตัวและไม่ได้ถามถึงข้อปฏิบัติธรรม จึงถามว่า “พระพิมพ์ที่อาจารย์ประถมฝากมาให้เป็นของหลวงปู่อธิฐานจิตจริงหรือเปล่า” ท่านตอบว่า “จริง” ต่อจากนั้นคุณดอนก็ตื่นเต้นไม่ทราบจะถามอะไรอีกต่อไปครั้นแล้วหลวงปู่ก็หายไป การที่ท่านปรากฏเช่นนั้นเรียกว่าปรากฏกายธรรม สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสัมผัสได้ จึงเกิดปัญหาถกเถียงกันสำรับผู้มีภูมิปัญญาไม่ถึงขั้น ไม่รู้จักคำว่า กายทิพย์ กายธรรม <O:p</O:p
    ครั้งที่สองเป็นการนั่งทำสมาธิทั้งคณะประมาณ 5 คนด้วยกัน หลวงปู่โลกอุดรมาปรากฏอีก ท่านยืนไม่ได้เตรียมอาสนะไว้ต้อนรับ ท่านแสดงธรรมย่อ และว่าคณะปฏิบัติธรรมพอจะทราบอะไรบ้างแล้วพอสมควร ต่อไปท่านอาจจะไม่มาอีก จะให้ของไว้เป็นเครื่องระลึก แล้ท่านก็มองไปยังแก้วน้ำปรากฏเป็นแสงสีเขียว พุ่งออกจากดวงตาข้างหนึ่ง ทันใดนั้นน้ำในแก้วได้จับตัวแข็งเป็นก้อนเล็ก ๆ หลายก้อนด้วยกันท่านบอกว่าให้แบ่งกันเก็บเอาไว้เป็นของดี มีอะไรคุณดอนก็เล่าสู่กันฟัง เป็นที่เชื่อถือได้ และมีตัวตนจริง <O:p</O:p
    หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เคยได้พบท่านโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรพบที่โคนต้นไทรใหญ่ โดยได้รับกราบอกเล่าจากเจ้าของที่ดินว่า ถึงปีหลวงปู่จะมาปักกลดอยู่ชั่วระยะหนึ่งเจ้าของที่เล่าว่าตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุได้ 80 ปีเศษ หลวงปู่ก็ยังคงทรงลักษณะเดิมไม่แปรเปลี่ยนหลวงพ่อจรัล เรียกท่านว่า “หลวงพ่อดำ” ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานากท่านพอสมควร บางทีคนมีวาสนาได้พบท่านแล้วไม่รู้จักว่าท่านเป็นใครมีอยู่มาก คณะพระโลกอุดร เป็นชาวเปาล อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นคนไทยการที่ท่านพูดภาษาไทยได้ก็เนื่องจากบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ สามารถรู้ภาษาคนและสัตว์ได้ท่านชอบปรากฏองค์ทางป่าเมืองกาญจนบุรี เช่น อำเภอไทรโยค อำเภอทองผาภูมิ ครั้งล่าสุดท่านปรากฏองค์ที่เขาใหญ่ ท่านอภิชาโต ภิกขุ และท่านพันเอกชม สุคันธรัต ไปเฝ้าท่านอยู่นานวันและท่านอภิชิโต ภิกขุได้มรณภาพได้ไม่นาน เรื่องราวบางตอนได้อาศัยท่านอภิชิโต ภิกขุเป็นผู้บอกเล่า มิได้เป็นนวนิยายเลื่อลอยไม่จำเป็นต้องรอการพิสูจน์ และโปรดเข้าใจด้วยว่าภาพพระโลกอุดรองค์ที่สาม นามว่า “พระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพธิ์” ารปรากฏกาธรรมในปัจจุบัน ส่วนมากมักจะเป็นพระโลกอุดรองค์ที่สาม และแทรกซ้อนด้วยหลวงปู่แจ้งฌาน ซึ่งเป็นศิษย์เอกคู่กับกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านทั้งสองท่านอภิชิโต เรียกว่า “ครูฝึ” ปกติหลวงปู่ไม่ได้ลงมือสอนวิชาด้วยตนเอง ให้ศึกษากับครูฝึก เมื่อจบขั้นแล้วท่านจึงจะทำการทดสอบทุกครั้งไป
    <O:p</O:p



    วิเคราะห์คำว่า “ อรหันต์ ”<O:p</O:p

    “อรหัน” หมายถึง ผู้สำเร็จอภิญญาโลกีย์ หรืออภิญญาห้า ไม่สามารถทำอาสวะให้สิ้น ทุกอย่างมีอิทธิวิธีแบบพระอรหันต์ขีณาสพทั้งสิ้น พิจารณาอย่างเรา ๆ ปุถุชนมองไม่ออก ประเภทนี้การกระทำตนแบบโพธิสัตว์ เช่น โป๊ยเซียนโจ๊วซือทั้ง 8 พระแม่กวนอิม ฯลฯ และประเทศลาวก็มี สำเร็จลุน (ไม่ใช่สมเด็จลุน ท่านมิได้เป็นพระราชาคณะ) สามเณรคำ “อรหัน” จึงแปลว่าผู้วิเศษตามคำนิยามในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน อรหันทองคำ จั๊บโป้ยล่อฮั่น ตั๊กม้อ โจ๊วซือ ก็ประเภท “อรหัน” นี่แหละ <O:p</O:p
    ผมก็ไม่กล้าที่จะวิเคราะห์ครูอาจารย์ให้เกินเหตุ เพียงแต่ว่าจะชี้แนะตามหลักวิชาให้หูตาสว่างตามประวัติกล่าวว่าพระโสณ พระอุตร เป็นพระอรหันต์ พระโลกอุดรมาจากคำอุตรแปลว่าผู้เหนือโลกย์พระโสณ บรรลุธรรมก่อนพระอุตร ซึ่งเป็นพี่ชายร่วมสายโลหิต จึงเรียกว่า “พระโสณอุตร” ไม่เรียก “อุตรโสณ” คำว่าหลวงปู่ใหญ่หมายถึง “พระอุตร เถรเจ้า” เป็นพระอรหันต์ยังไม่จบกิจ แบบพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ยังค้ำจุนพระศาสนา ไปกว่าจะสิ้นพุทธธันดร (พ.ศ. 5000) ถ้าจบกิจแล้วท่านก็หมดหน้าที่เพียงแต่ท่านไม่ต้องสร้างบารมีต่อแบบอีกสององค์ คือ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หลวงปู่หน้าปาน ซึ่งยังต้องบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีต่อท่านมิได้ประกาศตนแจ้งชัด เพียงแสดงปริศนาธรรมเช่น หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า ซึ่งมีอายุมากกว่าหลวงปู่ใหญ่ด้วยซ้ำไป มาในรูปหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา บ้านหมี่ ลพบุรี แสดงปริศนาธรรมหลวงปู่ขรัวขี้เถ้าเผาแหลก มีอะไรเผาจนหมดจนกลายเป็นขี้เถ้า ให้รู้ว่าแม้แต่ตัวเราต่อไปก็ไม่พ้นการเป็นขี้เถ้า หลวงปู่ขรัวหน้าปานท่านก็บอกอยู่โต้ง ๆ แล้วว่า ท่านเป็นพระสำเร็จ (อรหันต์) มาอาศัยร่างท่านมหาชวน เพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ ท่านอภิชิโต ภิกขุ กล่าวกับผมว่า นับตั้งแต่เป็นศิษย์หลวงปู่ใหญ่ครั้งยังบรรพชาเป็นสามเณร จนอายุได้ 70 ปี ยังศึกษาไม่จบ ท่านเป็นอาจารย์ที่ผมรักและเคารพมาก ผมไม่อยากให้คนมีจิตฟุ้งติดฤทธิ์มากนักเพียงอยากให้เป็นความรู้ในด้านสารคดี อรรถคดีพอสมควร มิฉะนั้นเรื่องจะยาวเกินควร
    <O:p</O:p
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปริเฉทหนึ่ง<O:p</O:p






    กล่าวย้อนไปถึงอดีตกาล พุทธศักราชผ่านพ้นไป 303 ปี (ตามหลักฐานบันทึกในหนังสือมหาวงศ์พงศาวดารลังกา คำบรรยายของ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ อดีตภัณฑารักษ์เอกกรมศิลปกร ) และตามหลักฐานของวัดเพชรพลี (บันทึกอักษรเทวนาครี ขุดค้น พบ ณ ซากศิลา วัดคูบัว ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี) ว่าพระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่เข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิในปีพุทธศักราช 235 ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันถึง 68 ปี พระเจ้าอโศก มหาราชได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎก คือ การชำระพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งที่ 3ครั้นแล้วจึง อาราธนาพระโมคคัลลีบุตร ติสสเถระองค์อรหันต์เป็นประธานคัดเลือกบรรดาพระอรหันต์เถระออกทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆดังนี้ <O:p</O:p
    1. พระมัชฌันติกเถระ ปยังกัสสมิรและคันธารประเทศ (คือประเทศแคชเมียร์และอัฟฆานิสสถานปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    2. พระมหาเทวะเถระ ไปยังมหิสมมณฑล (คือแว่นแคว้นทางใต้ ลำน้ำโคทาวดี อันเป็นประเทศไมสอหรือไมเซอร์ ์ในปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    3. พระรักขิตเถระ ไปยังวนวาสีประเทศ (คือแว่นแคว้นกะนาราเหนืออันเป็นเขตเมืองบอมเบย์ปัจจุบัน แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    4. พระธรรมรักขิตเถระ ไปยังปรันตกประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนชายทะเลด้านเหนือเมืองอมเบย์ปัจจุบัน)แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    5. พระมหาธรรมรักขิตเถระ ไปยังมหารัฐประเทศ (คือแว่นแคว้นตอนเหนือของลำน้ำโคทาวารี) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    6. พระมหารักขิตเถระไปยังโยนกประเทศ (คือบรรดาหัวเมืองต่างๆที่พวกโยนกได้ครองความเป็นใหญ่ใน ดินแดน ประเทศเปอร์เซียปัจจุบัน) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    7. พระมัชฌิมเถระ ไปยังหิมวันตประเทศ (คือมณฑลซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย มีเนปาลราช เป็นต้น) แห่งหนึ่ง <O:p</O:p
    8. พระโสณเถระกับพระอุตร เถระ ไปยังสุวรรณภูมิประเทศ <O:p</O:p
    ข้อถกเถียงเรื่องสุวรรณภูมิเป็นมาช้านานฝ่ายไทยอ้าง นครปฐมเป็น ราชธานีของสุวรรณภูมิ พม่าอ้างเมืองสะเทิมอันเป็นมอญฝ่ายใต้เป็นสุวรรณภูมิ เขมรและลาวต่างก็อ้างว่าประเทศของตน คือสุวรรณภูมิ แต่ใครจะอ้าง อย่างไรก็ล้วนมีส่วนถูกด้วยกันทั้งสิ้น คือท่านศาสตราจารย์เดวิดส์ อธิบายว่าเริ่มแต่รามัญประเทศไปจรด เมืองญวนและตั้งแต่พม่าไปจรดแหลมมะลายูหรือที่เรียกว่าอินโดจีนเป็นสุวรรณภูมิทั้งนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงรับ สั่งว่า คำที่เรียกสุวรรณภูมิประเทศนั้น จะหมายรวมดินแดน ที่มีเป็นประเทศมอญและไทยภายหลังทั้งหมด เหมือนอย่างที่เราเรียกว่า อินเดีย เป็นชมพูทวีปกก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นใคร ในแหลมอินโดจีนจะอ้างว่า ประเทศของตนเป็นสุวรรณภูมิ จึงเป็นการถูกต้องด้วยกัน ทั้งนั้นไม่มีปัญหา ที่ไทยอ้างนครปฐม เป็นราชธานีนั้นก็เพราะจังหวัดนครปฐมมีเนื้อที่ภูมิประเทศ กว้างขวางและ มีโบราณวัตถุสถานสร้างไว้มาก แต่จะเรียกชื่อเมืองหลวงว่ากระไรในครั้งกระนั้นได้แค่สันนิษฐานเห็นจะเรียกสุวรรณภูมินั่นเองชื่อนี้จึงได้แต่เป็นที่รู้กันแพร่หลายไปถึงอินเดียและลังกาจนเป็นเหตุให้ใช้ชื่อนี้ในหนังสือมหาวงศ์ฯ ว่า พระโสณกับพระอุตรได้อัญเชิญพระพุทธศาสนามาประดิษฐานสถานที่เมืองสุวรรณภูมิ และเป็นเหตุให้เรียกชื่อมหาสถูปที่เมืองนั้นว่า “ พระปฐมเจดีย์ ” หมายความว่า เป็นพระเจดีย์องค์ ์แรกที่ได้สร้างขึ้นในแถบ ประเทศตะวันออกนี้ <O:p</O:p
    ส่วนคำจารึกอักขรเทวนาครีฉบับวัดเพชรพลี ปรากฏข้อความที่พิศดารยิ่งขึ้นโดยกล่าวถึงคณะพระธรรมฑูตได้เดินทาง มาเผยแพร่ พระพุทธศาสนาโดยทางเรือประกอบด้วย พระโสณะเถระ พระอุตรเถระ พระมูนิยะ พระฌานียะ พระภูริยะ สามเณรอิสิจน์ สามเณรคุณะ พระสามเณรนิตตย เขมกะอุบาสก อนีฆาอุบาสิกา อดุลยอำมาตย์และคุณหญิงอดุลยา พราหมณ์และนาง พราหมณี ผู้คนอีก 38 คน ได้มาพักที่วัดช้างค่อม (นครศรีธรรมราช) เมื่อวันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย พ.ศ.235 ออกบิณฑบาต วันขึ้น 15 ค่ำ แล้วเทศนาพรหมชาลสูตรและได้วางวิธีอุปสมบทญัตติจตุตถกรรมวาจา โดยใช้อุทกเขปเสมาหรือเสมาน้ำและได้วางเพศชีไทยโดยถือ แบบเหล่าพระสากิยานีซึ่งเป็นต้นของพระภิษุณีโดยบวชหรือบรรชาไม่มีเรือนออกจาก เรือน (อาคารสมา อนาคาริย ปพพชชา)ได้วางวิธี ีสวดปาติโมกข์หรืออุโบสถกรรม ปวารณากรรม เมื่อพระเจ้าโลกละว้า (เจ้าผู้ครองแคว้นสุวรรณภูมิ)รับสั่งให้ ้มนขอมพิสนุ ขอมเฉย ขอมสอน ขอมเมือง สร้างวัดมหาธาตุ ท่านได้วางวิธีกำหนดนิมิตผูกขันธ์สีมา พ.ศ. 238 เดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำขณะอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ท่านได้สอนพระบวชใหม่ให้ท่องพระปาฏิโมกข์จบหลายองค์แล้วจึงวางวิธีสวดสาธยายโดยฝึกซ้อมให้คล้องเมื่อคล่องแล้วจึงจะสัชณาย กัน จริง ๆ ท่านให้มนต์ขอมปั้นพระพุทธรูปด้วยปูนขาวเป็นพระประธานในโรงพิธีเมื่อเรียบร้อยแล้วท่านวางวิธีกราบสวดมนต์ไหว้พระ เห็นดีแล้วจึงให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระอุโบสถ จึงเป็นธรรมเนียมสืบต่อกันมา ท่านได้วางวิธีกฐินและธุดงค์ ไปในเมืองต่าง ๆ คือ การเที่ยวจาริก <O:p></O:p>
    การสร้างพระพุทธรูปในสมัยดังกล่าวนี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ มีพระพุทธรูปเป็นองค์สมมุติพระสงฆ์ก็เป็นเพียงสมมุติสงฆ์ ส่วนพระธรรม นั้นเป็นเพียงเสียงสวดท่านจึงใช้วงล้อเกวียนประดิษฐ์เป็นธรรมจักรแทนพระธรรม กับมีมิค (มิ–คะ)คือสัตว์ประเภท กวาง ฟาน หรือเก้ง เป็นเครื่องหมาย ในสมัยสุวรรณภูมิ <O:p</O:p
    พระพุทธรูปที่มีกวางกับธรรมจักรกลับไม่มี การสร้าง หรือ ออกแบบในสมัยนั้น มีอยู่สี่ลัษณะด้วยกันคือ (ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร ปรินิพพาน) มีอักษรเทวนาครีจารึกระบุพระนามว่า โลกกน แบบประภามณฑลมี 3 วงซึ่งเป็นเครื่องหมายพระนาม ว่า “โลก” คือ วัฎฎ 3 แบบโปรดสหาย พระยศส่วนปางมารวิชัยและปางสมาธิมีทุกสมัย <O:p</O:p
    ต่อมาในปี พ.ศ. 239 พระโสณกับพระเจ้าโลกละว้าราชา ได้ส่งพระภิกษุไทย 10 รูป มีพระญาณจรณะ (ทองดี) เป็น หัวหน้า 3 รูป อุบาสก อุบาสิกา ไปเรียนและศึกษา ณ กรุงปาตลีบุตรแคว้นมคธ นับเป็นเวลา 5 ปีพระญาณจรณะ (ทองดี)ท่านนี้ปรากฏ หลักฐานเพียงรูปของพระพิมพ์มีลักษณะ อวบอ้วนคล้ายพระมหากัจจายนะเถระเจ้า ด้านหลังมีรูปพระ 9 องค์เป็นอนุจร หรือ บวชทีหลัง คนชั้นหลังเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นองค์เดียวกับพระมหา กัจจายนะเถระเจ้า และเรียกเพี้ยนเป็นพระสังขจายเรียกกันมานานนับพัน ๆ ปี ศัพท์สังขจายไม่มีคำนิยามในพจนานุกรมพุทธสาวกทุกพระองค์จะมีนามีเป็นภาษาบาลีทั้งสิ้นไม่มีนามเป็นภาษาไทย พระญานจรณะ (ทองดี)บรรลุอรหันต์และจบกิจนานนับพันปีแล้ว ปัญหาเช่นดังกล่าวนี้หากนำพระปิดตาขึ้นมาพิจารณาก็ยากที่จะตัดสินว่าเป็นพุทธสาวก องค์ใดกันแน่อาจจะเป็นพระมหากัจจายนะเถระเจ้า ปางเนรมิตวรกายก็ได้ อาจจะเป็นพระควัมปติก็ได้ เป็นพุทธสาวกทรงเอตทัคคะ ด้วยกัน แต่เป็นคนละองค์ คำพระควัมบดี ไม่มี) <O:p</O:p
    ลุปี พ.ศ. 245 พระเจ้าโลกละว้าสิ้นพระชนม์ ตะวันทับฟ้าราชบุตรขึ้นครองราชย์ นามตะวันอธิราชเจ้า ถึงปี พ.ศ.264 พระโสณะใกล้ ้นิพพาน พระโสณเถระอยู่ ณ แดนสุวรรณภูมิ วางรากฐานธรรมวินัย ใน พระบวรพุทธศาสนา เป็นระยะเวลา 29 ปี และท่านนิพพานในปีนั้น <O:p</O:p
    หลักฐานต่าง ๆ ตามที่กล่าวจารึกด้วยอักษรเทวนาครี ขุดพบที่โคกประดับอิฐ ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี พบรูปปั้นลอย องค์ ลักษณะนั่ง ลักษณะนั่งห้อยเท้า มีลีลาแบบปฐมเทศนา มีเศียรโล้น ด้านหนึ่งจารึกว่า โสณเถร ด้านล่าง อุตตรเถ (ร) ด้านล่างสุด สุวรรณภูมิ มีอยู่ด้วยกัน 5 องค์ ผู้ค้นพบทุบเล่น 3 องค์ เหลือเพียง 2 องค์ ตกเป็นสมบัติของวัดเพชรพลี ส่วนครบชุด 5 องค์ คือ พระโสณเถระ พระอุตรเถระ พระมูนียะเถระ พระฌานียเถระ พระภูริยะเถระ ในท่านั่งแสดงธรรมสมัยต่อมาในรัชกาลที่ 4 และที่ 5 มีการสร้างแบบพระสมเด็จขึ้น แล้วเห็นเป็นพระสมเด็จผิดพิมพ์อีกด้วย จึงเป็นการสับสนสำหรับผู้ที่ไม่รู้จริง <O:p</O:p
    จะเห็นได้ว่าตามหลักฐานบันทึก กล่าวเพียงพระโสณเถระ ไม่ได้กล่าวถึงพระอุตรเถระ (อุตร ก็คืออุดร)เป็นปัญหาว่า หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเป็นองค์ใดกันแน่เพราะในสมัยปัจจุบันกล่าวถึงบรมครูพระเทพโลกอุดรไม่มีใครรู้จัก พระโสณะเถระ ข้อเท็จจริง ท่านทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต องค์พี่คือพระอุตร มีร่างกายสันทัด องค์น้องมีร่างกายสูงใหญ่ มีฉายาว่าขรัวตีนโต ถ้านำพระธาตุมาตรวจนิมิตจะบอกว่า โสณ - อุตร ไม่แยกจากกัน องค์น้องบรรลุอรหันต์ก่อนองค์พี่แต่มีความเคารพ องค์พี่มากต้องกราบองค์พี่แต่เหตุที่บรรลุก่อนพี่ชายจึงเรียกโสณ - อุตรไม่เรียก อุตร - โสณะฉะนั้น หลวงปู่ใหญ่ก็คือพระอุตร นั่นเองเจ้าประคุณสมเด็จพุฒจารย์ (โต) พรหมรังสี กล่าวพระนามขององค์ท่านว่า พระโสอุดรพระโลกอุดร ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมเกิดความ คิดจัดกลุ่มพระเทพโลกอุดรขึ้น และเขียนเรื่องลงในวารสารพระเครื่อง โดยแบ่งกลุ่มออกดังนี้ กลุ่มที่ 1 มีพระโสณ อุตร กลุ่มที่ 2 พระมูนียะหรือหลวงปู่โพรงโพ เป็นเอกเทศ กลุ่มที่ 3 พระณานียะ (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) พระภูริยะ (หลวงปู่หน้าปาน) รวมเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน แต่ไม่เป็นการถูกต้องตามข้อเท็จจริง ได้เกิดนิมิตครั้งแรกพบเพียง พระอุตร เถระเจ้า ปรากฏกายเพียงครึ่งท่อน (สอบแล้วตรงกับคนใต้ท่านหนึ่ง) ท่านบินเข้าสู่โดยลักษณาการที่รวดเร็วยิ่ง ตรงเข้ากอดรัดด้วยความเมตตา ผมทัดท่านว่า “หลวงปู่ใหญ่” ท่านยิ้มแล้วบอกกับผมว่า “ปู่ชื่อเปลี่ยนนะลูก” ขอให้ลูกจงหลุดจากการยึดมั่นถือมั่น ท่านสอนธรรมง่าย ๆ แต่มันลึกและ เป็นขั้นสูง ไม่ธรรมดา ท่านมาองค์เดียว ท่านอภิชิโตภิกขุก็เคยเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่อยู่องค์เดียว นอกนั้นก็เป็นเพียงศิษย์ในสำนัก เรื่องนี้ผมไม่ได้คุย ์ให้ใคร ฟังมากนักเกรงจะไม่เชื่อ คนที่มาหาก็ชอบแต่ส่องพระด้วยแว่นไม่ส่องด้วยจิต และผมจะดีใจในเมื่อพบคนส่องพระทางจิตคุยกัน ถูกคออยู่มาวันหนึ่งท่านอาจารย์บุญส่ง สามผ่องบุญ โรงเรียนทวีธาภิเศกได้มาเยือนผมถึงบ้านพักท่านมาด้วยกันหลายคน พร้อมภรรยา แต่ทิ้งไว้ในรถยนต์ ท่านเล่าว่าที่มานี้ก็เพราะได้รับประสบการณ์ คือ มีพรรคพวกของท่านคนหนึ่งแขวนพระพิมพ์โลกอุดร รุ่นเทิดพระเกียรติวังหน้า พิมพ์ปิดตาสี่กร เกิดไปปะทะกับรถยนต์บรรทุกสิบล้อเข้าอย่างจังแต่หาอันตรายอันใดมิได้ พระพิมพ์วิเศษชนิดนี้หากเอาพระสมเด็จวัดระฆังที่เขานิยมกัน องค์ละ 3 ล้าน 3 องค์มาแลกอย่าได้เอา แล้วท่านก็แนะนำตนเองว่าได้ฝึกฝนในด้านสมาธิมานาน จบธรรมกายอรหันต์ละเอียดแล้ว ไปศึกษาพุทโธสาย ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ละเลิกการติดฤทธิ์แล้ว ตัวท่านเองรู้จักกับพระภิกษุและวัดต่าง ๆ ใน กทม. มากมาย แต่น่าอัศจรรย์ใจ คือมีบุคคลท่านหนึ่ง ประสงค์จะอุปสมบท และขอร้องให้ท่านช่วยไปหาสำนักที่ดี ๆ ให้ด้วยท่านพาดุ่มไปยังหนึ่ง ไม่เคยรู้จักกับสมภารเจ้าอาวาสวัดนั้นมาก่อนเป็นสมภาร หนุ่ม เรียนจบขั้นปริญญาโทจากต่างประเทศ และมีภาพพระเทพโลกอุดร ขนาดใหญ่ตั้งบูชาอยู่ ท่านอาจารย์บุญส่งก็ถามว่า “อาจารย์ก็นับถือหลวงปู่เทพโลกอุดร- เหมือนกันหรือ” ท่านเจ้าอาวาสตอบว่า “ใช่ เคารพนับถือมาก” ทันใดนั้นท่านอาจารย์บุญส่งก็กำหนดจิตไปยัง เจ้าอาวาส ปรากฎเป็นพระเทพโลกอุดรทาบร่างเจ้าอาวาสมีรัศมีทองคำแพรวพราว และสอนธรรมประโยคหนึ่งก็คือสอนท่านอาจารย์บุญส่งแหละ ผมรีบถามขึ้นว่า “ท่านสอนว่ากระไรทีนี้ผมจะสอบอาจารย์บ้างล่ะ"ท่านอาจารย์บุญส่งตอบว่า “ท่านสอนให้สิ้นการยึดมั่นถือมั่น” ผมจึงสิ้นฤทธิ์ไม่ติดฤทธิ์ต่อไป ผมจึงตอบ ท่าน อาจารย์บุญส่งว่า “ใช่ครับเป็นคำสอนของหลวงปู่ใหญ่ ผมขอรับรอง ไม่ใช่คำพูดของเจ้าอาวาส” ตัวผมเองไม่ได้ฌานได้ญาณ อะไรกับเขาหรอก ท่านอาจารย์บุญส่งไม่เรียกผมอาจารย์ขอเรียกพี่ ครั้นแล้วท่านอาจารย์บุญส่งก็เล่นงานผมเข้าให้บ้างแผล็บเดียวก็คุก เข่าก้มลงกราบ ผมถามว่า “อาจารย์ทำไมทำเช่นนี้” อาจารย์บุญส่งไม่ตอบ เรียกคนในรถทุกคนให้ขึ้นบ้านบอกว่าเข้ามากราบได้สนิทผม ก็ยิ่งสงสัยว่า นี่มันอะไรกันท่านอาจารย์บุญส่งจึงไขข้อปัญหาว่า “ "พี่ก็เป็นอย่างเดียวกับท่านเจ้าอาวาสนั่นแหละเพียงแต่รังสีไม่เฉิดฉายเท่ากับท่านเจ้าอาวาส เพราะท่านเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ แสดงว่าพี่เป็นคนของหลวงปู่และสิ้นการสงสัย" ต่อจากนั้นท่านก็ทำนายทาย ทักว่าผมจะเจ็บป่วยอีกครั้งและกำหนดระยะเวลาให้ซึ่ง ผมก็ต้องเข้าโรงพยาบาลรามาธิบดีทำการผ่าตัดนิ่วถุงน้ำดีและพักอยู่นานวัน ท่านสงสารในสุขภาพของผม ท่านบอกว่าเรามาถ่ายทอดพลังปราณกันเถอะ แล้วเราก็เอามือทั้งสองยันกันทำสมาธิถ่ายทอดพลังลมปราณสู่กัน ท่านถ่ายทอด พลังเย็นคืออาโปธาตุสู่ตัวผมผมเองก็ถ่ายไปตามเรื่อง ท่านบอกว่าของผมเป็นเตโชพลังร้อนซึ่งก็เป็นความจริง ก่อนที่ท่านจะลากลับ ผมแจกพระพิมพ์โลกอุดรเป็นที่ระลึกให้กับท่านและผู้ติดตาม และเห็นท่านเดินไปทางหลังบ้าน คิดว่าจะเข้าห้องน้ำปรากฎ ความจริงว่าท่านได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้ ้กับลูกสาวผมไว้ โดยที่ลูกสาวไม่รู้เรื่องและปฏิเสธ ภายหลังท่านพยายามยัดเยียดเงินให้แล้ว รีบเดินทางกลับ หลังจากนั้นเราไม่ได้พบกันอีก ท่านเป็นคนดีมาก คนหนึ่ง <O:p</O:p
    คำสอนของหลวงปู่เป็นตัวสุดท้ายในมหาสติปัฎฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม สักแต่ว่า ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อย่างที่เขาสอนกัน กายในกาย จิตในจิต ไม่ติดมันก็หลุด ก็ไม่รู้จำะหลุดอย่างไร ตามความเข้าใจของผม ธรรมตัวนี้ก็คือ สภาวะธรรม มันแปรเปลี่ยนไม่คงที่คือทุกข์ การทนอยู่ ู่ไม่ได้สิ่งที่มีชีวิตและปราศจากชีวิตมันเสื่อมสิ้น ไปตามสภาวะธรรมไม่ยืนยงคงที่ หลวงปู่จึง ให้ปริศนาว่า “ปู่ชื่อเปลี่ยนนะลูก” เมื่อมันไม่ดำรงคงที่ มันก็ไม่ เที่ยงนะซี มันทุกข์อนิจจ ก็เมื่อมันไร้สาระเช่นนี้จะไป ยึดถือเป็นตัวเป็นตนทำไม อนัตตา สัพเพธัมมาทุกขา สัพเพธัมมาอนิจจา สัพเพธัมมาอนัตตา ติ ถ้าจะตัดรูปนาม ปล่อยเวทนาสัญญาไว้ ละเพียงสังขาร เครื่องปรุงแต่งจิตอันเป็นตัวอุปาทาน ตัดตัวนี้เปรียบเหมือนการตัดคัดเอ้าท์สวิทช์ไฟฟ้า ไฟฟ้าดวง อื่นพากันดับหมด เป็น สุญญตนิพพาน ท่านอาจารย์วิชัย แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาจม เชียงราย เคยนำมาแสดงธรรมในรายการธัมมะทาง ที.วี. ผมฟังแล้วถึงกับ ก้มลงกราบเพราะความถูกใจไปเรียนให้มากทำไม ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) อบรมสั่งสอน สานุศิษย์ให้ไหว้ 5 ครั้ง ให้มีศีลบริบูรณ์ ไหว้พระเสร็จให้ทำสมาธิ ก่อนตายให้พิจารณาถึง สัพเพธัมมาอนัตตา จะไม่กลับมาเกิดอีก จึงว่าหลวงปู่ท่านสอนตามขั้นภูมิธรรมปัญญาฟังดูง่าย ๆ แต่ทำยาก <O:p</O:p
    นิมิตครั้งที่ 2 พบกับพระโสณเถระเจ้า ท่านมากับพระอิเกสาโร จิตผมทราบทันทีว่าเป็นหลวงปู่องค์ที่สองรูปกายท่าน สูงใหญ่เกสายาว ่ประมาณ 1 องคุลี ผมคิดอยู่ภายในใจว่าอยากจะได้เกสาของท่านไว้บูชา หลวงปู่เรียกผมเข้าไปใกล้ ผมก้มลงกราบท่าน ๆ ยิ้มด้วยความปราณี ยกมือลูบศรีษะ ของผมพลางเรียกชื่อ ท่านมิได้กล่าวธรรมอันใด ส่วนองค์ที่นั่งถัดไป ประมาณ 4 วา ปรากฎเกสายาว คลุมด้านหลังห่มจีวรสีกรัก แสดงว่าเป็นพระอิเกสาโร (เกสา แปลว่าผม) มิได้กล่าวธรรมใดเช่นกัน แสดงชัดว่าพระอิเกสาโรเป็นสานุศิษย์ พระโสณะ ภาพนิมิตเลือนหายไปปรากฎเห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่ง ร่างกายใหญ่ ยืนเทียบแล้วยังสูงไม่พ้นไหล่ท่าน มีขนตายาวพิเศษ ประกอบอารมณ์ขัน ท่านยกมือลูบศรีษะของผมพลางกล่าวว่า “ลงศีรษะมากมายจริง” ทันใดนั้นท่านก็หัวเราะก๊าก ผลักผมกระเด็นไป ประมาณ 2 วา แล้วกล่าวว่า “โอ้โฮมีพระมากจัง” แล้วท่านก็พาเดิน ผมก็ตามหลังท่านไปในจิตรู้ว่าท่านคือ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า จนในที่สุด ไปพบกลุ่มพระภิกษุและฆราวาสกลุ่มหนึ่ง มีฆราวาสท่านหนึ่งอุ้มขันสำริดเดินอยู่ในกลุ่มท่านชี้มือไปยังบุคคลผู้นั้นและกล่าวว่า “ท่านผู้นี้เป็นสามี” ทำให้ผมต้องตีปัญหาพักใหญ่ ขันนั้นน่าจะหมายถึงขันธ์ห้า คำว่าสามีแปลได้หลายอย่าง เจ้าของ ผัว ตำแหน่ง พระสังฆราชบัณฑิต น่าจะเป็นบัณฑิตนั่นเองท่านผู้นี้จิตบองว่าเป็นหลวงปู่ขรัวหน้าปานองค์ที่ห้าเป็นอันว่าผมได้เห็นหน้าพระเทพโลกอุดรครบทุกพระองค์
    9. พระมหินทรเถระ เป็นพระราชบุตรของพระเจ้าอโศกมหาราช พร้อมด้วยพระภิกษุหลายรูปไปลังกาทวีปแห่ง
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปริเฉทสอง<O:p</O:p
    พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระอุทุมพรมหาสวามีในสมัยพระเจ้าลิไทแห่งราชวงศ์สุโขทัยปี พ.ศ.1900 ห่างจากระยะแรกประมาณ1600ปีมีบางท่านกล่าวว่าในสมัยหริภุญไชยท่านมาเกิดเป้นครูบาบุญทาแต่เป็นเรื่องของความฝันไม่ปรากฏหลักฐานแจ้งชัดและมีผู้เล่าให้ฟังว่าในครั้งกระนั้น ผมเป็นสามเณรอาศัยอยู่กับท่านมีชื่อว่าb “น้อยคำอ้าย” เป็นสล่าคือช่างปั้นพระคนเล่าเป็นพนักงานออมสินสำนักงานใหญ่โดยการผ่านร่างแต่ไม่ถึงกับประทับทรงจึงเกิดปัญหาว่า คนฝันกับคนที่เป็นร่างผ่านให้ข้อความไม่ตรงกันจึงตัดออกเอาแต่เรื่องที่มีหลักฐานมากล่าวและมีบันทึกคณะพระเทพโลกอุดรมีหน้าที่ดูแลทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไปจนกว่าจะสิ้นพุทธธันดร(พ.ศ.5000)คราใดที่พระพุทธศาสนาอ่อนแอลงท่านมักจะมาโปรดท่านเป็นฑูตเดินทางมาจากประเทศลังกาสู่ประเทศมอญความว่าในสมัยนั้นมีพระอาจารย์ชาวลังกาท่านหนึ่งนามว่า “พระมติมา” เป็นศิษย์ในสำนักพระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราช ซึ่งมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดที่สุดในประเทศลังกา มาตั้งสำนักที่เมืองนครพันหรือเมืองเมาะตะมะของมอญในสมัยพระสุตโสมเป็นพ่อเมืองพระเถระทางกรุงสุโขทัยได้ทราบข่าวเกิดความศรัทธาปสาทะจึงพากันมาขออุปสมบทใหม่ในสำนักพระมติมาและข่าวได้แพร่ไปถึงพระเจ้าลิไทแห่งกรุง สุโขทัยจึงจัดส่งสมณฑูตอาราธนาพระมติมามาอยู่ ณ กรุงสุโขทัย แล้วพระองค์ได้ทรงผนวชในสำนักพระมติมา ประกาศปรารถนาพุทธภูมิแล้วลาสิกขาบท เพื่อบำเพ็ญพระราชกรณียกิจตามเดิม แต่งตั้งพระมติมาให้เป็นที่พระสวามี (ตำแหน่งพระสังฆราชของลังกา ) พระมติมาได้พยากรณ์ไว้ว่าพระพุทธศาสนาจะไม่ตั้งมั่นในมอญแต่จะตั้งมั่นในไทยจนถึง พ.ศ.5000 (เป็นอันแสดงว่าพระสังฆราชรูปนี้เป็นชาวลังกา) บางท่านยังอ้างข้อความบางตอนในศิลาจารึกกล่าวถึงความเค่งครัดของท่านว่า มีจริยาวัตรเยี่ยงพระอรหันต์ แต่หลักฐานในหนังสือชินกาลบาลีปกรณ์ระบุความตอนหนึ่งว่าพระสังฆราชรูปนี้ความจริงเป็น ชาวสุโขทัย ชื่อพระสุมนเถระ เดิมได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมจากสำนักต่าง ๆ หลายสำนักจากเมือง อโยชฌปุระ (อยุธยา) จนความรู้แตกฉานแล้วกลับมาอยู่ที่เมืองสุโขทัยตามเดิมครั้นต่อมาได้ทราบข่าวว่าพระมหาสวามีองค์เถระชาวลังกาผู้ทรงคุณอันเลิศในทางธรรมชื่อว่า “อุทุมพร”ได้จาริกจากลังกามาอยู่ที่รัมนะประเทศ (ในพงศาวดารโยนกเรียกชื่อว่าเมืองเมาะตะมะในศิลาจารึกเรียกนครพัน) พระสุมนเถระจึงชักชวนพระภิกษุซึ่งเป็นสหายทางธรรมจำนวนหนึ่งพากันเดินทางจากกรุงสุโขทัยไปนมัสการ พระหมาสวามีอุทุมพร แล้วอยู่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมกับ พระมหาสวามีอุทุมพร นั้นกาลต่อมาความทราบถึงพระกรรณพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงสุโขทัย (คือพรญาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์สุโขทัย ซึ่งก็คือพระเจ้าลิไทแต่คำในลายสือไทอ่านยากมิได้จารึกคำว่า “ลิไท”โดยตรงมีพระนามว่าก่อนเสวยราชย์ว่า พรญาฤาไท อ่านอย่างภาษามคธว่า “ลิไท” คำว่าพรญาศรีสูรยพงศ์เป็นพระนามเดียวกับพระราชบิดาเพียงแต่เติมคำว่าบุตรต่อท้ายคำ)ว่าพระมหาสวามีอุทุมพรจาริกมาจากเมืองลังกามาอยู่ที่เมืองรัมมประเทศ ก็ทรงมีพระราชประสงค์ใคร่จักได้พระภิกษุสงฆ์ผู้สามารถคงแก่เรียนกระทำสังฆกรรมได้ครบถ้วนมาประจำที่สำนักเมืองสุโขทัยจึงจัดส่งสมณฑูตไปนมัสการพระมหาสวามีอุทุมพรเพื่อขอพระภิกษุผู้ทรงคุณธรรมดังกล่าวพระมหาสวามีอุทุมพรจึงได้ส่งพระสุมนเถระพร้อมด้วยคณะที่มาด้วยกัน ให้แก่พระมหาธรรมราชาประจำกรุงสุโขทัย พระสุมนเถระและคณะได้นมัสการพระมหาสวามีอุทุมพร แล้วเดินทางกลับกรุงสุโขทัยพระมหาธรรมราชาทรงดีพระทัยยิ่งนักโปรดเกล้าให้สร้าง “วัดอัมพวนาราม” (คือวัดป่ามะม่วงในปัจจุบัน) แล้วได้ นิมนต์พระสุมนเถระให้อยู่ที่วัดนั้น (ในศิลาจารึกไม่มีคำว่าวัด มีแต่อาวาสสุมม่วง สุม คือ ซุ้ม หมายถึง ซุ้มมะม่วง ป่าม่วง ปรากฏว่าเป็นสถานที่เดียวกัน)

    <O:p</O:p
    ปัญหาที่เคยสงสัยกันว่าถ้าพระมหาสวามีสังฆราชเป็นภิกษุชาวลังกาจริงแล้วได้ทำการเผยแพร่ธรรมแก่ชาวบ้าน เป็นการยากที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ(ความคิดเช่นนี้ยังไม่ลึกซึ้งพอไม่ได้ศึกษาในเรื่องปฏิสัมภิทาญาณสี่จะเข้าใจผิดกันไปใหญ่และก็เมื่อตอนที่คณะพระธรรมฑูตชุดแรกที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังแคว้นสุวรรณภูมิเล่าท่านจะทำประการใด ท่านก็เทศน์โปรดตามภาษาพื้นบ้านนั้นเอง และในการตรวจพระพิมพ์โลกอุดร โดยพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่ง ท่าน ไม่มีความรู้เรื่องพระโลกอุดร จึงใช้จิตถาม พระพิมพ์ตอบว่า ข้าคือ บรมครูศรีสัชนาลัย ซ้ำอยู่ 2 ครั้ง ซึ่งหมดภูมิปัญญาของผู้ตรวจ จึงได้รับคำอธิบายจากตัวกระผมผู้เขียนเรื่องว่าถูกแล้วเพียงศิษย์ท่านยังเป็นถึงพระสังฆราชองค์ท่านจะเป็นอะไร ก็ดี (เลิกเรียกพระครูโลกอุดรกันเสียทีเถอะ) และการที่พระสุมนเถระเพียงถวายพระธรรมคำสอนแก่พระมหาธรรมราชาช่วงระยะพรรษาเดียวก็ทรงบรรลุภูมิธรรมแตกฉานก็คือภาษาไทยนี้เองต่อมาได้ทรงสถาปนา พระสุมนเถระ ขึ้นดำรงตำแหน่ง “พระสวามีสุมนเถระ” <O:p</O:p
    อนึ่งพิจารณาแผ่นศิลาจารึกของวัดป่ามะม่วงเป็นศิลาจารึกลายสือไทหลักที่27ได้กล่าวถึงพรญาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาทรงผนวช แต่อักษรจารึกด้านที่ 1 และด้านที่ 2 ชำรุดอ่านไม่ได้ความคงเหลือเพียงด้านที่ 2 และด้านที่ 4 ตัดเฉพาะด้านที่ 2 ถอดความเป็นภาษาไทยปัจจุบันดังนี้ <O:p</O:p
    “…อั (น)… นี้ ในกลางสุมม่วงให้ประดิษฐานกุฎี พิหาร แถลงเมื่อพระนิรพาน ทางกุสินารนคร แถลงฝูงขสินาสรพนั้งบริพารแถลงทั้งพระอารยกัสสปมาทูลฝ่าตีนพระเจ้าอันชำแรกจากโลงทองแถลงทั้งขุนมัลลราชที่คนมากระทำ
    บูชา ประดิษฐานทั้งปฏิมากระลาอุโบสถ แลเสมานั้นโสดเทียน <O:p</O:p
    ญ่อมฝูงสงฆ์อันคง…ปรัชญา…ร…อันมีสังฆราชา…พระไตรปิฏกอันได้…บวชแต่…ไ…ฝูงมหาสมณลังกาทวีป น…มานั้น…นั้น ที่พรญาศรีสูรยพงศ์ธรรมราชาธิราชออกผนวชแลแผ่นดินป่า ม่วงนี้ไหว…มหาสมณทั้งอัน…เลิก…น ปลายพ…ปาลย…น นำให้ฝูง…ทั้งหลายเห็น <O:p</O:p
    ซึ่งผมขอถอดและขยายความดังนี้ ภายในบริเวณศูนย์กลางของอาวาสสุมม่วงหรือวัดป่ามะม่วงมีการก่อสร้างเป็นกุฏีวิหารปรากฏภาพเจียนภายในผนังพระวิหารแสดงภาพพระอรหันต์ขีณาสพมาประชุมกันหนาแน่นดุจกำแพง กั้นน้ำ เพื่อเตรียมถวายเพลิงพระบรมศพพระผู้เป็นเจ้าซึ่งดับขันปรินิพพานแสดงภาพพระมหกัสสปเถระเจ้า ก้มถวายบังคมเบื้องพระยุคคลบาทซึ่งยื่นจากโลงทองบรรจุพระบรมศพ แสดงภาพขุนมัลลราช คือเหล่าบรรดามัลลกษัตริย์ทั้งสี่ (ทรงเชี่ยวชาญในวิชามวยปล้ำ) กำลังถวายสักการะ ภายในพระวิหารมีพระประธานประกอบด้วยพระอัครสาวกซ้ายขวา มีตู้พระไตรปิฏกโดยรอบๆพระวิหารประกอบด้วยพันธเสมาแสดงภาพพระภิกษุสงฆ์ผู้คงแก่เรียนอันได้แก่พระสุมนสวามี ีสังฆราชฝูงสมณแห่งลังกาทวีปคือคณะของ พระอุทุมพระสวามีสังฆราช(บรมครูพระเทพโลกอุดร)ประกฏในศิลาจารึกเนินปราสาทด้านที่ 2 บรรทัดที่ 17 – 18 “เมื่อได้สมเด็จพระมหาเถระกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายมา” พรญาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชมีพระบัญชาให้ราชบัณฑิตไปอาราธนาพระมหาสวามีอุทุมพรจากเมืองนครพันทราบว่าท่านรับการอาราธนาและเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว(ทราบทางจิต)พระญาศรีสูรยพงศ์มหาธรรมราชาธิราชทรงจัดให้หมู่อำมาตย์มุขมนตรีและบรรดาราชตระกูลไปเตรียมการต้อนรับทำการสักการะบูชาพระมหาสวามีอุทุมพรสังฆราชตามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ทรงจาริกผ่าน เริ่มจัดเครื่องสักการะบูชา ตั้งแต่เมืองเชียงทอง เมืองจันทร์ เมืองบางพาร ตลอดมาจนถึงเมืองสุโขทัย นับว่าเป็นการต้อนรับเป็นพิธีการอันยิ่งใหญ่ของเมืองสุโขทัย วันทรงผนวชขณะที่พรญาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชรับผ้าไตรจากพระอุปัชฌาย์แล้วทรงอธิษฐานจิตปรารถนาพุทธภูมิ ได้ยังเกิดแผ่นดินไหวไปทั่วทุกสารทิศในบริเวณอาวาสสุมม่วงเป็นที่ประจักษ์แก่ฝูงชนทั้งหลาย ่ทั่วกัน พระองค์ได้รับพระฉายาในสมณเพศว่า “ปับละวะราชา” (ปลลุวราชา) แปลว่าพระราชาผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรสันนิษฐานว่าพระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราชพร้อมคณะน่าจะพำนักณอาวาสสุมม่วงชั่วระยะหนึ่งโดยธรรมเนียมพระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณมักนิยมสร้างพระพุทธรูปพระพิมพ์พระเครื่องเพื่อหวังอานิสงส์แลบรรจุกรุเจดีย์ไห้สืบพระพุทธศาสนาจึงมีการสร้างพระพิมพ์เนื้อดินขึ้นชุดหนึ่งนิยมเรียกกันว่า พระพิมพ์วัดป่ามะม่วงเป็นพระพิมพ์ที่พระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราชทรงอธิษฐานจิตให้ สมัยสุโขทัยหลวงพ่อโอภาสีแห่งอาศรมบางมดยืนยันว่า พระพิมพ์โลกอุดรวิเศษ ้กว่าพระสมเด็จวัดระฆังฯ มากมาย สิ่งนี้เป็นข้อยืนยันสำหรับปริเฉทสอง
    <O:p</O:p
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปริเฉทสาม<O:p</O:p

    เริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ในราชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ.2395 ในขณะที่พระองค์เจ้ายอดหรือพระองค์เจ้ายอดยศ บวรราโชรสราชกุมารประสูติ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 2 ค่ำปีจอสัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 พุทธสกราช 2381ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอนับเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระชนมายุได้ 14 พรรษาปี 2395 เป็นการปรากฎทั้งคณะพระธรรมฑูตมีดังนี้ <O:p</O:p
    1. พระอุตรเถระเรียกกันว่าพระครูโลกอุดรหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงพ่อดำเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต)พรหมรังสีเรียกท่านว่า พระโลกอุดร” <O:p</O:p
    2. พระโสณเถระเรียกกันว่าพระครูโลกอุดรเช่นกัน ฉายานามขรัวตีนโตเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ท่านว่าพระโสอุดร” <O:p</O:p
    3. พระมูนียะเรียกกันว่าหลวงปู่โพรงโพท่านอิเกสาโร หรือหลวงปู่เดินหน<O:p</O:p
    4. พระฌานียะเรียกกันว่าหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า<O:p</O:p
    5. พระภูริยะเรียกกันว่าหลวงปู่หน้าปาน<O:p</O:p
    ทราบโดยญาณของผมเองว่าพระอิเกสาโรเป็นศิษย์พระโสณเถระส่วนอีกสองท่านจะเป็นศิษย์พระอุตรเถระหรือพระโสณเถระยังไม่แจ้งชัดเพียงอาจารย์ผมบอกว่าท่านฌานียะ ยังมีอาจุแก่กว่าพระอุตรเถระด้วยซ้ำไปหลวงปู่ขรัวขี้เถ้ากับหลวงปู่หน้าปานจะจบกิจเป็นพระอรหันต์หรือยังมิอาจทราบได้เพียงท่านหายไปตอนตอนแรกอาจเป็นเพียงอรหัน (ตามคำวิเคราะห์ศัพท์ในตอนต้น)จึงต้องมาสร้างบารมีเพิ่มในรูปของหลวงหลวงพ่อกบวัดเขาสาริกาอำเภอบ้านหมี่จังหวัดลพบุรีก็คือท่านขรัวขี่เถ้าเผาแหลกมีอะไรท่านเผาหมดเป็นปริศนาธรรมอันหนึ่งว่า ตูนี่แหละคือขรัวขี้เถ้าท่านแปรธาตุแบบสำนักโลกอุดรเป็นกบเลี้ยงลูกศิษย์จึงมีฉายาว่าหลวงพ่อกบกล่าวกันว่าเมื่อท่านมรณะภาพแล้วนำใส่โลงศพได้เกิดหายไปไม่มีร่องรอยก็ท่านตามจริงเสียเมื่อไรที่เห็นนั่นเป็นเพียงกายธรรมเท่านั้นส่วนอีกท่านหนึ่งมาในนามของหลวงพ่อโอภาสีหรือมหาชวนแห่งอาศรมบางมดท่านก็บอกว่ามหาชวนตายไปแล้วท่านเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างเพื่อสร้างบารมีต่อปริศนาธรรมของท่านก็คือมีพระบรมสาทิศของล้นเกล้า ร.5 คนก็ตีความไปต่างๆนาๆว่าท่านนับถือรัชกาลที่ 5 มาเกิดบ้างก็รัชกาลที่ 5 สวรรคตในปีพ.ศ.2453ท่านมหาชวนเกิดก่อนแล้วความจริงก็คือตูนี่แหละพระโลกอุดรองค์ที่ 5” ก็เท่านั้น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯน่าจะสร้างบารมีต่อเนื่องมาแต่ปางบรรพ์ ทรงมีธรรมาพิสมัยแต่ครั้งยังเยาว์วัยนอกจากจะทรงสนพระทัยในวิทยาการทางอักษรศาสตร์รัฐศาสตร์ การช่างช่างฝีมือยุทธศาสตร์จนถึงวิชาการฟ้อนรำทรงสนพระทัยในวิปัสสนากรรมฐานแต่เยาว์วัยขณะที่พระชนมายุเพียง14พรรษาฝึกฝนจนอินทรียพละฝึกฝนจนอินทรีย์พละแก่กล้าพอควรบรมครูพระเทพโลกอุดร (พระอุตร เถระ)เห็นว่าเจ้าชายท่านนี้เคยเป็นศิษย์ในความอุปการะกันมาจึงมาเข้านิมิตสอนธรรมกรรมฐานโดยต่อเนื่องในสภาพกายทิพย์(มองเห็นได้ด้วยตาใน)จนเห็นว่าบรรลุขั้นทิพยจักศุแล้วจึงปรากฏเป็นกายธรรมมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสามารถใช้ผัสสะจับต้องได้โดยที่ผู้ศึกษาไม่ถึงจะตู่ว่าเป็นองค์จริงแทบร้อยทั้งร้อยนั้นคือความไม่รู้จริงแล้วคิดว่ารู้สำหรับสำหรับเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาอุปราชแห่งพระราชวังหน้าก็มิได้ทราบความจริงเท่าใดนักเพียงแต่กล่าวกันว่าพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศมักจะหายไปคราวหนึ่งๆประมาณ 15–20 วัน คงมีแต่เจ้าจอมมารดาเอมซึ่งเป็นพระชนนีที่ทราบความเป็นไปและในการที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเสด็จทิวงคตด้วยโรควักกะ (ไต) พิการในปีพ.ศ.2428นั้นท่านมิได้ทิวงคตจริงแต่บรมครูพระเทพโลกอุดรหรือหลวงปู่ดำพาไปอยู่ด้วยและเสกใบพลูแทนตัวไว้เรื่องออกจะเหลือเชื่อแต่ก็น่าเชื่อเพราะปรากฏหลักฐานยืนยันจากท่านอาจารย์ชาญณรงค์ศิริสมบัติหรือท่านอภิชิโตภิกขุได้ไปพบท่านวังหน้าที่สำนักโลกอุดรแต่ไม่ใช่ถ้ำวัวแดงอย่างที่เล่าลือกันท่านวังหน้า กับ ท่านอาจารย์แจ้งฌาณ 2 รูปเป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดวิชาให้ท่านอภิชิโต มักเรียกว่าครูฝึกโดยปกติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรจะมิได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้โดยตรงต่อเมื่อเรียนจบขั้นหนึ่งๆแล้วท่านจะต้องทอสอบความรู้และรับรองให้เรียนขั้นสูงต่อไปปัจจุบันท่านวังหน้ายังดำรงชีวิตอยู่ประมาณ 150 ปีเศษ ท่านรู้จักผมดีเรียกผมว่า"โยมประถม"ท่านอภิขิโตได้ให้ช่างวาดภาพท่านวังหน้าด้วยถ่านเครยองมองเห็นครั้งแรกเกิดความสนใจคิดว่าเป็นภาพหลวงปู่ใหญ่เพราะเป็นภาพของบรรพขิตแต่กลับเป็นภาพของท่านวังหน้าส่วนภาพที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงภาพของพระอิเกสาโรหรือหลวงปู่โพรงโพ พระโลกอุดรองค์ที่ 3 เคยมีผู้นำภาพถ่ายขนาดเล็กมาให้ชมท่านเขียนเป็นภาษาขอมว่า"ไตรโลกอุดร"หมายถีงพระโลกอุดรองค์ที่ 3 ผมเคยเรียนถามหลวงปู่ว่าในการอธิษฐานจิตพระพิมพ์โลกอุดรกรุแรกซึ่งบรรจุในเจดีย์วัดบวรสถานสุธาวาส หรือวัดพระแก้ววังหน้าหลวงปู่ได้มาในสภาพของกายทิพย์ หรือกายธรรมท่านตอบว่าท่านอยู่ในรูปแห่งกายธรรมถามท่านว่าปัจจุบันเหตุใด ท่านไม่เสด็จมาในรูปกายธรรมอีกท่านหัวเราะตอบว่าคนเราในสมัยปัจจุบันไม่เหมือนกับคนในสมัยก่อน<O:p</O:p
    <O:p</O:p




    บุคลิกภาพและจริตแห่งพระโลกอุดร<O:p</O:p

    พระโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์ท่านไม่ใช่คนไทยเป็นชาวเนปาลแต่ละองค์มีจริตและบุคลิกภาพแตกต่างกันผู้ที่อวดรู้เห็นยากที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นพระโลกอุดรองค์ไหนดีไม่ดีไปพบหลวงปู่แจ้งฌานว่าที่พระโลกอุดรเข้าก็อาจเป็นได้หลวงปู่ท่านนี้ได้อภิญญาโลกีย์และเป็นพระสำเร็จชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่งนอกจากท่านอภิชิโตภิกขุแล้วยากที่ผู้อื่นจะดูออกท่านอภิชิโตมักจะสัพยอกครูฝึกว่านี่คนหรือผีกันแน่เห็นมากี่สิบปีร่างกายก็คงเดิมไม่แปรเปลี่ยน"สมัยยังมีการใช้รถราง บางครั้งก็จ๊ะเอ๋กันในรถก็ยังเคยถามท่านอภิชิโตว่าตามที่เขาลือกันว่าหลวงปู่สุขวัดปากคลองและหลวงพ่อเงินวัดบางคลานซึ่งเป็นสานุศิษย์สายโลกอุดรไม่มรณะภาพจริงอาจารย์เคยพบบ้างไหมท่านตอบว่าไม่เคยพบเป็นอันแสดงว่าสายของพระโลกอุดรมีอยู่หลายสายด้วยกันและยังแยกออกเป็นสายในดงและสายนอกดงสายในดงคือไปศึกษาความรู้จากองค์ท่านสายนอกดงนำมาสอนกันสืบต่อไปอาจเป็นทั้งฆราวาสและบรรพชิตเช่นอาจารย์พัวแก้วพลอย อาจารย์ฉลอง เมืองแก้ว อาจารย์ชมสุคันธรัตเป็นต้นพยายามศึกษาให้แตกฉานนะครับอย่าเขียนเรื่องเรื่อยเปื่อยจะเป็นบาปหลวงปู่ท่านเคยตำหนิว่ามีชายแก่นำชื่อท่านไปขายถามว่าเป็นตัวผมหรือเปล่าท่านว่าไม่ใช่ ที่ผมทำไปนั้นถูกต้องแล้ว<O:p</O:p
    องค์ที่หนึ่งพระอุตรเถระหรือหลวงปู่ใหญ่ คือบรมครูเทพโลกอุดรลักษณะรูปร่างสันทัดผิวกายค่อนข้างดำคล้ำจึงมีฉายาว่า หลวงพ่อดำมีจิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์เจ้าบรรลุอภิญญาหกแ่ต่ในบทสวดกล่าวว่าเตวิชโชคือวิชชาสามซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับปฏิสัมภิทาญาณแต่ในบทสวดก็กล่าวว่าท่านบรรลุซึ่งปฏิสัมภิทาญานเช่นกันท่านได้วางหลักสูตรในการฝึกสมาธิซึ่งเรียกว่าวิทยาศาตร์ทางใจมิใช่วิชาไสยศาสตร ์และมิใช่มายากลศิษย์ในดงนอกดงสามารถแปรธาตุได้เช่นหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อปานวัดคลองด่านหลวงปู่สุขวัดปากคลองท่านอภิชิโตภิกขุอาจารย์พัวแก้วพลอยอาจารย์ฉลองเมืองแก้วหลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง ฯลฯเป็นต้นท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์ท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์และเภสัชกรรมใจดีประกอบด้วยเมตตามีอารมณ์ขันหากจะกล่าวถึงหัวหน้าคณะพระธรรมฑูตซึ่งเดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสุวรรณภูมิแหลมทองคงได้แก่พระโสณเถระซึ่งท่านเป็นน้องชาย ซึ่งเป็นน้องชายพระอุตรแต่บรรลุอรหันต์ก่อนพี่ชายบทบาทของพระอุตรเถระจึงไม่ค่อยมีปรากฏและพระโสณเถระก็บรรลุปฏิสัมภิทาญาณเช่นกันมิฉะนั้นจะสอนศาสนาแก่คนต่างชาติได้อย่างไรปฏิสัมภิทาญาณสี่มีดังนี้<O:p</O:p
    1. อัตถปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในอรรถเข้าใจถืออธิบายอรรถแห่งภาษิตให้พิศดาร และ เข้าใจคาดคะเนล่วงหน้าถึงผลอันจักมีเข้าใจผล<O:p</O:p
    2. ธรรมปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในธรรมเข้าใจถือเอาใจความแห่งอธิบายนั้น ๆตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อขึ้นได้สาวเหตุในหนหลังให้เข้าใจเหตุ<O:p</O:p
    3. นิรุตติปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในภาษาและรู้จักใช้ถ้อยคำตลอดจนรู้ถึงภาษาต่างประเทศ<O:p</O:p
    4. ปฏิภาณสัมภิทาความแตกฉานในปฏิภาณมีไหวพริบเข้าใจทำให้สบเหมาะในทันทีหรือในเมื่อเหตุเกิดขึ้นโดยฉุกเฉินหรือกล่าวตอบโต้ได้ทันท่วงที<O:p</O:p
    ท่านมีสภาวะจิตที่รวดเร็วมากเพียงนึกถึงท่านท่านจะบอกให้นิมิต "เมื่อเจ้าต้องการพบเรา เราก็มาเรามาจากทางไกลด้วยความรวดเร็วยิ่งในการตรวจพพิมพ์ของท่านซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดรท่านอภิชิโตภิกขุมอบให้เป็นสมบัติบอกว่าอาจารย์ท่านคือหลวงปู่ดำเสกให้เคยทดลองให้ท่านอาจารย์วิเชียรคำไสสว่างชีปะขาวผู้ทรงคุณกำหนดจิตดูท่านอาจารย์บอกว่าพระนี้ว่องไวและรวดเร็วยิ่งต่อมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ทดสอบได้นำพระพิมพ์ที่ว่านำไปตรวจสอบกับพระพิมพ์โลกอุดรกรุวังหน้าปรากฏว่าเหมื่อนกันทุกประการ<O:p</O:p
    องค์ที่สองพระโสณเถระหรือหลวงปู่ตีนโต รูปกายสูงใหญ่ผิวดำทรงคุณสมบัติเช่นองค์ที่หนึ่งเว้นวิชาแพทยใจดี<O:p</O:p
    เยือกเย็นประกอบด้วยเมตตาธรรมชอบผาดโผนเหินฟ้านภาลัยโขดเขินเนินไศลเป็นที่สัญจร<O:p</O:p
    องค์ที่สามพระมูนียะหรือพระอิเกสาโร หลวงปู่โพรงโพหลวงปู่เดินหนล้วนเป็นองค์เดียวกันมีบุคลิกภาพอันสง่างามปรากฏตามภาพซึ่งใช้บูชากันอยู่ในปัจจุบันเชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุเป็นผู้คงแก่เรียนชอบเจริญอศุภกรรมฐาน 10 มักสร้างรูปบูชาเป็นโครงกระดูกพูดน้อยค่อนข้างเคร่งขรึมคล้ายดุแต่ก็ไม่ดุเป็นอาจารย์หลวงพ่อเงินบางคลาน หลวงปู่สุขวัดปากคลองห่มจีวรสีหมองคล้ำหากปรากฏภาพในนิมิตมักจะปรากฏเส้นเกสายาวจรดเอวทีเดียวแสดงว่าอิเกสาโร” (เกสาแปลว่าเส้นผม)ท่านมีบทบาทไม่น้อยตามความรู้สึกน่าจะมีบทบาทมากกว่าองค์อื่นๆด้วยซ้ำไป<O:p</O:p
    องค์ที่สี่พระณานียะฉายาหลวงปู่ขรัวขี้เถ้าเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อแช่มวัดตาก้องจังหวัดนครปฐมท่านมีรูปกายค่อนข้างสูงใหญ่ขนตาดกยาวแปลกกว่าองค์อื่นมีอำนาจ แต่ขี้เล่นใจดีนิมิตไม่แน่นอนอาจเป็นรูปพระภิกษุ ท่านจะชื่ออะไรไม่ทราบแต่แปรธาตุเสกใบมะม่วงเป็นกบนำพร่ายำเลี้ยงสานุศิษย์เลยเรียกกันว่าหลวงพ่อกบท่านมาสร้างบารมีต่อปริศนาธรรมคือขรัวขี้เถ้าเผาแหลกมีอะไรเผาหมด แบบเถ้าสู่เถ้าผงคลีสู่ผงคลีดินจะใหญ่สักปานใดมันก็ไม่พ้นจากความเป็นขี้เถ้าหรอกที่สุดก็มรณะภาพและศิษย์นำใส่โลงศพรอวันเผาหลวงปู่เกิดหายไปไร้ร่องรอยเลยไม่มีการฌาปนกิจศพ<O:p</O:p
    องค์ที่ห้าพระภูริยะหลวงปู่หน้าปานบางคนก็เรียกท่านว่าหลวงปู่แก้มแดงเคยเรียนถามท่านอภิชิโตภิกษุท่านบอกว่าขรัวหน้าปานองค์นี้สำเร็จปรอทล่องหนย่นทางเก่งถ้าท่านเอาลูกปรอทอมทางซึกซ้ายแก้มซ้ายจะแดงถ้าเปลี่ยนเป็นอมทางแก้มขวาทางด้านขวาจะแดงจึงเกิดถกเถียงกันไม่รู้จบท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่ขรัวขี้เถ้ามาสร้างเสริมบารมีในระยะเวลาเดียวกันโดยอาศัยร่างท่านมหาชวนหรือหลวงพ่อโอภาสีแห่งอาศรมบางมดท่านเป็นภิกษุทรงศีลเมื่อมีผู้ซักถามท่านก็บอกตามตรงว่าพระมหาชวนได้ตายไปแล้วอาตมาเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างสร้างบารมีต่อ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปัจจุบันนี้ ผมได้มอบพระพิมพ์ให้กับผู้ที่ร่วมบุญตามกระทู้ดังนี้

    1.ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ
    2.เชิญร่วมบริจาคค่าขุดบ่อบาดาล สนส บ่อเงินบ่อทอง
    ส่วนกระทู้ขอเชิญร่วมบุญสร้างโบสถ์และมณฑปครอบหลวงพ่อหายโศกวัดป่าโนนจ่าหอม ผมได้ถวายพระพิมพ์แด่พระอาจารย์ชยางกูร พระอาจารย์ชยางกูรท่านให้นำออกมาให้บูชากันครับ

    ส่วนในกระทู้อื่นๆนั้น ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น

    เหตุที่ผมต้องออกมาแจ้งนั้น มีหลายๆท่านได้สอบถามผมเข้ามาในเรื่องการทำบุญในกระทู้อื่นๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2007
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,784
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการค้นคว้าด้านสมาธิภาวนา ลองเข้าไปดูขุมความรู้ตามนี้น๊ะ อ่านง่าย มีเพลงประกอบคลายเหงาด้วยครับ

    http://www.nkgen.com/708.htm

    สลับไปมาระหว่างกระพี้ เปลือก และแก่น จะเป็นการพัฒนาองก์ความรู้ด้านศานาของเราให้มากขึ้นกว่าเดิมครับ


    อ่านได้มากเท่าใด ก็ได้บุญแก่ดวงจิตมากเท่านั้น.........สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2007
  13. นักเดินทาง

    นักเดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +9,112

    ผมขอชี้แจงหน่อยครับ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกัน พระพิมพ์ที่คุณ sithiphong ถวายพระอาจารย์ชยางกูรไปนั้น ท่านไม่ได้ให้ใครบูชา ท่านนำไปบรรจุกรุครับ ที่เห็นในกระทู้นั้นเป็นพระพิมพ์ของผมเองครับ ท่านไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยทั้งสิ้น ผมไม่ได้ว่าอะไรคุณ sithiphong นะครับ เพียงแต่ชี้แจงให้เข้าใจ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.dailynews.co.th/dailynew...ult.aspx?ColumnId=37113&NewsType=2&Template=1

    <TABLE id=Table9 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left height=118><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff height=32><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#2b3189><TD class=messageblack vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>ร่วมบริจาคอวัยวะถวายเป็นพระราชกุศลครองราชย์ 60 ปี


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left width="100%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=top align=left>
    การปลูกถ่ายอวัยวะในปัจจุบันเป็นวิธีการรักษาที่ช่วยต่อชีวิตใหม่ให้แก่ผู้ป่วยที่หมดหวังในการรักษาวิธีอื่น ๆ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ ต่อไปได้

    ปัจจัยสำคัญที่สุดในการรักษาคือการได้มาซึ่งอวัยวะจากผู้อื่นที่ บริจาคให้อวัยวะบริจาคนี้มีมาจากผู้บริจาค 2 กลุ่มคือ กลุ่มผู้บริจาคที่มีชีวิต อวัยวะที่สามารถบริจาคได้คือ ไตและตับ ผู้บริจาคกลุ่มนี้ต้องเป็นญาติหรือ คู่สมรสของผู้รับบริจาคอวัยวะเท่านั้น หากผู้รออวัยวะไม่มีญาติ หรือคู่สมรสที่สามารถบริจาคอวัยวะให้กันได้ เช่น อวัยวะเข้ากันไม่ได้ ผู้บริจาคมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ ฯลฯ ก็ต้องรออวัยวะจากผู้บริจาคกลุ่มที่สองคือ ผู้บริจาคที่เสียชีวิตจากสมองตายซึ่งผู้บริจาคสมองตายสามารถบริจาคหัวใจปอด ตับ ไต ให้แก่ผู้อื่นได้

    สำหรับการปลูกถ่ายอวัยวะในประเทศไทยนั้นเริ่มด้วยการปลูกถ่ายไตสำเร็จเป็นครั้งแรกที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เมื่อปี พ.ศ. 2515จากนั้นการผ่าตัดปลูกถ่ายไตมีการทำมาโดยตลอดในโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชน ส่วนการ ปลูกถ่ายตับนั้นเริ่มครั้งแรกเมื่อปลายปี พ.ศ. 2530 ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เช่นกันหลังจากนั้นเพียงเดือนเดียวการเปลี่ยนอวัยวะที่คนทั่วไปตื่นเต้นที่สุดก็เกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนหัวใจรายแรกนายพิชิตบุญเชิดจะเห็นได้ว่าการแพทย์ของไทยนั้นล้ำหน้าไม่แพ้ชาติอื่นเช่นกัน

    สภากาชาดไทยซึ่งเป็นองค์กรการกุศลได้พิจารณาว่าเห็นสมควรเข้ามาช่วยเหลือเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้มีการบริจาคอวัยวะเพิ่มมากขึ้นดูแลการจัดสรรอวัยวะอย่างเป็นธรรมโดยไม่มีการซื้อขายเช่นเดียวกับการบริจาคโลหิต การบริจาคดวงตาและเพื่อให้อวัยวะที่ได้รับการบริจาคเกิดประโยชน์สูงสุดจึงได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยขึ้นโดยมีพลตำรวจเอกเภาสารสินเป็นประธานคณะกรรมการฯ ในปี พ.ศ. 2536

    ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยได้เริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2537 มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้มีการบริจาคอวัยวะให้มากพอต่อการปลูกถ่ายอวัยวะในประเทศจัดสรรอวัยวะที่ได้รับบริจาคอย่างเป็นกลาง เสมอภาค โดยไม่มีการซื้อขายอวัยวะและให้ได้รับประโยชน์สูงสุดต่อการนำอวัยวะ ต่าง ๆ ไปใช้
    ตลอดระยะเวลาที่เปิดดำเนินการมา 13 ปี ได้มีการรณรงค์ให้มีการบริจาคอวัยวะทั้งในกลุ่มประชาชนทั่วไปและบุคลากรทางการแพทย์ให้รับรู้ และตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคอวัยวะเพื่อส่งเสริมให้มีการบริจาคอวัยวะมากขึ้นแต่ก็ยังประสบปัญหาการขาดแคลนอวัยวะจากผู้เสียชีวิตสมองตายเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้รอรับอวัยวะจำนวนหนึ่งต้องเสียชีวิตไปก่อนได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ

    ปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยที่รอลงทะเบียนรอรับอวัยวะจากผู้บริจาคสมองตายไว้กับโรงพยาบาลที่เป็นสมาชิกศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ จำนวน 2,167 ราย มีผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2537-ธ.ค. 2549 จำนวน 424,278 รายและศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ ได้นำไปปลูกถ่ายอวัยวะช่วยชีวิตผู้ป่วยจำนวน 2,672 ราย

    การช่วยเหลือผู้รอรับอวัยวะให้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเป็นการสร้างกุศลที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งดังนั้นในปี พ.ศ.2549ซึ่งเป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ60ปีศูนย์ รับบริจาคอวัยวะจึงได้จัดทำโครงการ“บริจาคอวัยวะเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี” ขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ซึ่งจะมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2549–31 พฤษภาคม 2550 ด้วยการรณรงค์ให้มีการบริจาคอวัยวะเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ 500 คน

    โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการรักษาผู้ป่วยด้วยการปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อให้เกิดบริการสุขภาพที่ดีแก่ประชาชน จึงได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อสนับสนุนพัฒนาศักยภาพศูนย์รับบริจาคอวัยวะในภูมิภาคโดยจัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะในโรงพยาบาลศูนย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 26 ศูนย์ และพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อรองรับงานรับบริจาคอวัยวะ ในโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั้งโรงพยาบาลศูนย์26แห่งและโรงพยาบาลอื่นๆทั่วประเทศโดยจัดให้มีโครงการฝึกอบรมสัมมนาและประชุมวิชาการเพื่อให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานในพื้นที่มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมได้มากขึ้นและให้โรงพยาบาลที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานรับบริจาคอวัยวะในภูมิภาคได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับโรงพยาบาลอื่นๆที่ยังไม่มีประสบการณ์เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไปซึ่งจะเป็นแนวทางในการช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะของผู้ป่วยอันจะส่งผลดีต่อระบบสุขภาพโดยรวมของประชาชนทั่วทั้งประเทศและยังจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างระบบการบริจาคอวัยวะที่เป็นรูปธรรมและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

    เนื่องในโอกาสครบรอบ 13 ปี วันศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯจะจัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้เสียชีวิตที่บริจาคอวัยวะให้สภากาชาดไทยนำไปปลูกถ่ายแก่ผู้ป่วยในวันที่ 2เมษายน2550ตั้งแต่เวลา08.30-13.30น.ณตึกศักรินทรภักดีวิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทยจึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะให้ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทยในโอกาสนี้ด้วยโดยสามารถติดต่อได้ที่หมายเลข1666 และหมายเลข0-2256-4045-6แจ้งชื่อและที่อยู่ให้เจ้าหน้าที่ส่งแบบฟอร์มแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะไปให้ท่านถึงบ้านทางไปรษณีย์หรือหากท่านสะดวกเดินทางมาเองที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯอาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวรฯชั้น5ถนนอังรีดูนังต์ปทุมวัน กรุงเทพฯ.
    ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานกลาง สภากาชาดไทย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.dailynews.co.th/dailynew...ault.aspx?Newsid=114582&NewsType=1&Template=2

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD class=headline-normal>กระโถนค่อมลายรามเกียรติ์</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD class=messageblack> พระปรีชาในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
    งานศิลปกรรมแบบพระราชนิยมของ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือที่ทราบกันดีว่า คือ “ศิลปกรรมสกุลช่างวังหน้า” นับเป็นมรดกศิลปกรรมที่สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีรูปแบบศิลปกรรมมีสุนทรียะแบบศิลปะประเพณี และฝีมือในเชิงช่างที่สวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตน ซึ่งนับวันจะถูกลบเลือนและสูญไปในที่สุด เพราะศิลปกรรมสกุลช่างวังหน้าสืบทอดกันมาเพียง ๑๑๑ ปี คือระหว่าง พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๔๓๖ ทั้งนี้เพราะได้มีการยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ด้วยทรงสถาปนาตำแหน่ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นแทน ดังนั้นกรมช่างของวังหน้าจึงถูกยุบไปโดยปริยาย

    ด้วยเหตุดังกล่าวจึงมีความจำเป็นที่ต้องศึกษาวิจัยและรวบรวมงานศิลปกรรมแบบพระราชนิยมของวังหน้าไว้ เพื่อศึกษาถึงพระปรีชาในงานช่างและเป็นการเทิดพระเกียรติกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นประการสำคัญด้วย

    งานศิลปกรรมแขนงต่าง ๆ ที่ปรากฏใน พระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า (ปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร) มีลักษณะที่โดดเด่นด้วยความงามและพลังในเชิงช่างต่าง ๆ เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างเด่นชัดที่แตกต่างไปจากรูปแบบศิลปกรรมของวังหลวง ดังนั้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทุกพระองค์ ที่ทรงรวบรวมช่างฝีมือในสาขาต่าง ๆ มาตั้งขึ้นเป็นกรมช่างเพื่อผลิตผลงานศิลปกรรมทั้งเพื่อราชสำนักและสำหรับถวายการพระศาสนา เช่น การสร้างวัดที่สำคัญ ๆ เช่น วัดมหาธาตุยุวราช รังสฤษฎิ์ และวัดชนะสงคราม เป็นต้น นอกจากนี้ยังโปรดให้ช่างวังหน้าได้สร้างศิลปกรรมสมทบถวายพระราชกุศลแด่ทางวังหลวงเสมอเช่นกัน จนเป็นที่เลื่องลือในเชิงช่างของกรมช่างวังหน้าว่ามีความสามารถในทุกด้าน

    ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า ได้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๖ ผลงานดังกล่าวขาดผู้รวบรวมสืบทอด นับว่าจะเป็นที่ลืมเลือนไป ดังนั้นเพื่อเป็นการอนุรักษ์รูปแบบของงานศิลปกรรมแบบพระราชนิยมของวังหน้าให้เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายยิ่งขึ้น จึงจำเป็นจะต้องศึกษา ค้นคว้าเกี่ยวกับรูปแบบของงานศิลปกรรมกลุ่มนี้ให้เป็นหลักฐานที่แสดงถึงพระปรีชา ในงานศิลปกรรมแขนงพัฒนาการต่าง ๆ ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทุกพระองค์ ทั้งด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม และประณีตศิลป์ อาทิ ลวดลายไม้จำหลัก ลายรดน้ำ หรือการลงรักปิดทอง ให้ปรากฏแพร่หลายเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระปรีชาของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล กับทั้งร่วมกันชื่นชมและอนุรักษ์ไว้เป็นเอกลักษณ์ของงานศิลปกรรมไทยสกุลช่างหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยความงดงาม และความลงตัวในองค์ประกอบของงานศิลปกรรมไทยอย่างน่าภาคภูมิใจตลอดไป
    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ

    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงเป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระนามเดิมว่า “พระองค์เจ้าชายยอดยิ่งยศ” ประสูติในรัชสมัย รัชกาล พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๓๘๑ เนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดศึกษาวิชาการยุโรป และทรงคุ้นเคยกับมิชชันนารีอเมริกา จึงพระราชทานพระนามพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ว่า “ยอร์ช วอชิงตัน” ตามนามประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา แต่โดยทั่วไปนิยมเรียกพระองค์ว่า “หม่อมเจ้ายอด” พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์พุทธศักราช ๒๓๔๙ ได้พระราชทานนามให้ใหม่ว่า พระองค์เจ้าชายยอดยิ่งยศบวรราโชรสรัตนราชกุมาร และทรงได้รับสถาปนาเป็น กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๐๔ ทั้งนี้เพราะทรงมีพระราชดำริว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ บวรราโชรสรัตนราชกุมาร ทรงเป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบวรราชวัง ประกอบด้วย วัยวุฒิปรีชารอบรู้ในราชกิจ ทรงทำราชการต่าง ๆ มาก เมื่อทรงพระเจริญวัยสมควรสถาปนาเป็นพระองค์เจ้ามีกรมในพระบวรราชวัง มีพระนามตามจารึกไว้ในพระสุพรรณบัฏว่า กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ ทรงศักดินา ๑๐๐๐๐
    พระปรีชาในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ

    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่อยู่ใกล้ชิดติด พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๓ จึงเป็นเหตุให้ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ ทรงรอบรู้พระราชกิจของ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทุกอย่าง เช่น การฝึกทหารอย่างฝรั่ง การช่างจักรกลและการต่อเรือรบ อักขรวิธีภาษาไทย ทรงแตกฉานสามารถแต่งกาพย์กลอนและฉันท์ได้เป็นอย่างดี ทรงศึกษาภาษาอังกฤษ สามารถอ่านตำราภาษาอังกฤษเข้าพระหฤทัยได้ดี นอกจากนี้ทรงรอบรู้ในเรื่อง การขี่ช้าง ขี่ม้าและมวยปล้ำ ตลอดจนทรงฝึกหัดด้านนาฏกรรม และในกระบวนช่าง เช่น ช่างเคลือบ ช่างหุ่น รวมทั้งวิชาที่มาจากต่างประเทศ

    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงสนพระทัยการแสดงหุ่น ได้เคยนำตัวหุ่นของจีนมาหัดแสดงกันในวังหน้า โดยใช้บทเจรจาเป็นภาษาไทยเรื่องที่แสดง เช่น เรื่องซวยงัก นอกจากนี้ ทรงคิดทำหุ่นไทยขึ้นใหม่ ลักษณะคล้ายหุ่นหลวงหรือหุ่นใหญ่โบราณครั้งรัชกาลที่ ๑ และที่ ๒ แต่ตัวหุ่นขนาดเล็กเท่า ๆ กับหุ่นจีน ตัวหุ่นมีแขนขาเต็มตัว และมีไม้แกนกับสายใยชักอวัยวะต่าง ๆ เวลาเล่น ปลูกโรงลงในท้องถนนยาวประมาณ ๑๐ วา ตัวหุ่นสูงประมาณ ๘ นิ้ว เมื่อเชิดนั้นไม่เห็นตัวคนพากย์ คนเจรจา มีแต่ตัวหุ่นออกมาเต้นรำ ภายในโรงจัดทำรางพื้น รางเพดาน เพื่อจะได้เชิดและเหาะได้

    จะเห็นว่าทรงเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นอยู่เสมอ ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่หัดเล่นกล ตามแบบต่างประเทศ ทรงจ้างให้ล่ามมาแปลหนังสือตำราภาษาอังกฤษออกเป็นภาษาไทย กรมหมื่นบวรวิไชยชาญทรงรับราชการต่างพระเนตรพระกรรณ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงซื้อบ้านของบรรดาข้าราชการวังหน้าแต่ก่อน ตาม ริมคลองคูเมืองฝั่งเหนือ ตั้งแต่ ถนนพระอาทิตย์ไปจนต่อเขตวัง เจ้าฟ้าอิศราพงศ์ และสร้างวัง พระราชทาน

    พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้พระราชวังวิไชยชาญทรงบังคับบัญชากรมทหารเรือฝ่ายพระบวรราชวัง กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ ได้เสด็จมารับราชการรวมกันกับเจ้านายวังหลวงเป็นเวลา ๓ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย ราชสมบัติ พุทธศักราช ๒๔๑๑ พระเจ้าบวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ ได้รับพระราชทานอุปราชภิเษกสถาปนาขึ้นเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ฝ่ายหน้ารับพระบัณฑูรที่พระมหาอุปราช เมื่อปีมะโรง พุทธศักราช ๒๔๑๑ พระชันษา ๓๑ พรรษา งานพระบวรพิธีอุปราชาภิเษกทำที่พระราชวังบวรสถานมงคล เริ่มงานวันเสาร์เดือนอ้าย ขึ้น ๗ ค่ำ ปีมะโรง ครั้งถึงวันพุธขึ้น ๑๑ ค่ำ ตรงกับวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นไปพระราชทานน้ำสรงอาลักษณ์อ่านประกาศจบแล้ว พระราชทานพระสุพรรณบัฏ

    เมื่อ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงรับอุปราชาภิเษกนั้น พระราชมณเฑียรแลสถานที่ต่าง ๆ ในวังหน้า ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงซ่อมแซมสร้างไว้ยังสมบูรณ์ดี มีสิ่งสำคัญทรงสร้างใหม่ คือ วังซึ่งเสด็จประทับอยู่แต่ก่อน โปรดให้รื้อสร้างใหม่ทั้งวัง เป็นตึกอย่างยุโรป มีเขื่อนเพชรรอบวังและทางฉนวน มีสะพานข้ามคลองเข้ามาถึงพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงสร้าง พระที่นั่งสาโรชรัตนประพาส ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างค้างไว้จนเสร็จ แล้วเสด็จไปประทับที่นั่น

    กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ โปรดในการช่างต่าง ๆ มาแต่ทรงพระเยาว์ ทรงตั้งโรงงานการช่างขึ้นในวังหน้าหลายอย่าง ทั้งช่างหล่อ ช่างกลึง ช่างเคลือบ ของที่ทรงประดิษฐ์ แสดงฝีมืออย่างประณีตสวยงาม เครื่องถ้วยของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เช่น เครื่องถ้วยเคลือบที่มีชื่อมาก คือ กระโถนค่อมเขียนลายเนื่องในวรรณคดีไทย เช่น รามเกียรติ์ วิธีทำคือ พระองค์ทรงเอาหุ่นเครื่องถ้วยขาวของจีนมาเขียนสีนอกเคลือบ โดยมากเป็นลายน้ำทอง ทำเป็นของถวายบ้าง ใช้บ้าง แจกบ้าง โรงงานการช่าง โปรดให้แก้ไขสถานที่เดิมสร้างใหม่เพียงเล็กน้อย เมื่อทรงหัดงิ้วขึ้นโรงหนึ่ง ก็ทรงใช้สถานที่เดิมให้เป็นที่พวกงิ้วอาศัย

    สำหรับอาคารสถาปัตยกรรมนอกพระราชฐานที่ทรงบัญชาเพื่อซ่อมหรือทำต่อของเดิมให้สำเร็จบริบูรณ์ มีหลายแห่ง เช่น ป้อมผีเสื้อสมุทร ป้อมเสือซ่อนเล็บ ที่เมืองสมุทรปราการ มีการบูรณะพระอาราม ได้แก่ วัดส้มเกลี้ยง วัดดาวดึงส์ วัดชนะสงคราม และวัดหงส์รัตนาราม

    กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทิวงคตที่พระที่นั่งบวรปริวัตรในพระราชวังบวรสถานมงคล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชวังบวรสถานมงคลออกทางพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พระราชทานน้ำสรงพระศพ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมสมเด็จพระบำราบปรปักษ์ ทรงเป็นแม่กองจัดการทำพระเมรุ ณ ท้องสนามหลวง

    หลังจาก กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคต ๗ วัน วันที่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๒๘ ได้มีประกาศพระบรมราชโองการยกเลิกตำแหน่งพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการมา ณ พระที่นั่งบัณฑูรสุรสิงหนาท ให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าราชกุมารพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็น “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ อดิวรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยวรางกูร บรมมกูฏนเรนทรสูริย์ขัตติยศสันตติวงศ์ อุกฤษฐพงศวโรภโตสุชาติ ธัญญลักษณ์วิลาศวิบูลย์สวัสดิ์ สิริวัฒนวิสุทธิ์ สยามมกุฎราชกุมาร” ทรงศักดินาแสนหนึ่ง เสมอสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ซึ่งได้เฉลิมพระราชมณเฑียรเป็นพระมหาอุปราชฝ่ายหน้า

    ศิลปกรรมแบบพระราชนิยมในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ ศิลปกรรมสกุลช่างวังหน้า สมัยรัตนโกสินทร์ หมายถึงศิลปกรรมต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะพระราชวินิจฉัยในกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า ๕ พระองค์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๔๒๘ รวมเวลา ๑๐๒ ปี คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ โดยเฉพาะสิ่งที่สร้างในสมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหา สุรสิงหนาทวังหน้าในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งมีทั้งพระราชวัง วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร ป้อม กำแพงเมือง ภาพจิตรกรรมฝาผนัง เป็นศิลปกรรมที่มีความสำคัญของสกุลช่างวังหน้าที่ทรงสร้างสรรค์ขึ้นด้วยพระปรีชาและสุนทรียะอย่างลึกซึ้ง และเป็นพื้นฐานของศิลปกรรมของช่างวังหน้าสมัยต่อมา นอกจากนี้รวมทั้งงานศิลปกรรมและงานประณีตศิลปะของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์อื่น ๆ ในรัชสมัยต่อมาซึ่งทรงปรับเปลี่ยนตามพระราชวินิจฉัยของแต่ละพระองค์บ้าง เช่น การตกแต่งสถาปัตยกรรมหน้าบันโบสถ์วิหารด้วยลายกระเบื้องเคลือบ เครื่องถ้วยจีน และเครื่องถ้วยยุโรปและจิตรกรรมฝาผนังอิทธิพลจากศิลปะจีนของสมเด็จพระบวรราช เจ้ามหาศักดิพลเสพด้วย รวมทั้งการคิดประดิษฐ์งานประณีตศิลป์ เช่น เครื่องถ้วยและวัตถุที่ เกี่ยวกับการละเล่นของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ

    งานศิลปกรรมสกุลช่างวังหน้าจำแนกได้เป็น ๔ ประเภท คือ สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม และประณีตศิลป์ ศิลปกรรมแต่ละประเภทมีลักษณะในรายละเอียดที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละพระองค์โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจและสมควรจัดเป็นศิลปกรรมรูปแบบพระราชนิยมเฉพาะของ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า ได้เป็นอย่างดี.
    ภุชชงค์ จันทวิช
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-copyright vAlign=top align=middle height=10>คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR><TR><TD style="HEIGHT: 2px" vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.dailynews.co.th/dailynew...ault.aspx?Newsid=115356&NewsType=1&Template=2

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD class=headline-normal> เบญจรงค์ลายน้ำทองเอกลักษณ์ชาติ</TD></TR><TR vAlign=top align=left><TD class=messageblack> เครื่องถ้วยเบญจรงค์และลายน้ำทอง เป็นเครื่องถ้วยที่สั่งทำจากประเทศจีน แต่ลวดลายสีสันเป็นไทย ฝีมือเขียนของช่างไทย ฉะนั้นลักษณะของเครื่องถ้วยเบญจรงค์และลายน้ำทองจึงมีความงามอย่างไทยยิ่งกว่าเครื่องถ้วยประเภทอื่น ๆ แม้แต่เครื่องสังคโลกซึ่งเป็นของไทยเองผลิตในประเทศไทยก็ยังไม่แสดงเอกลักษณ์ไทย อย่างเครื่องถ้วยเบญจรงค์และเครื่องถ้วยลายน้ำทอง ซึ่งผลิตในประเทศจีนสำหรับราชสำนักไทยและสำหรับเจ้านายและข้าราชการชั้นสูง ลวดลายสีสันบนเครื่องถ้วยเป็นลวดลายไทย แม้จะมีลวดลายอิทธิพลจีนบ้าง แต่ก็ยังมีลักษณะเฉพาะของไทยอยู่ และเป็นเครื่องถ้วยที่ผลิตสำหรับประเทศไทยเท่านั้น จัดเป็นเครื่องถ้วยฝีมือสูง เป็นของใช้ในราชสำนักในวังเจ้านาย และบ้านขุนนางชั้นสูง ไม่ใช่สำหรับจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป

    เครื่องถ้วยเบญจรงค์ จะเกิดขึ้นเมื่อไรนั้นไม่มีหลักฐานเอกสารยืนยัน แต่สันนิษฐานจากที่มีการขุดพบในพระนครศรีอยุธยาและจากลักษณะของลวดลายและสี เปรียบเทียบกับเครื่องถ้วยจีนและบางชิ้นที่มีเครื่องหมายบอกรัชกาล เชื่อว่าจะมีการสั่งทำเครื่องถ้วยเบญจรงค์จากประเทศจีนมาตั้งแต่สมัยอยุธยายุคที่ ๓ หลังราวยุคพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๙๘) ทั้งลายครามและลายเขียนสีที่สั่งผลิตและซื้อหาโดยง่ายจากประเทศจีน ซึ่งมีการค้าขายอยู่ในเอเชียอาคเนย์อย่างกว้างขวาง เครื่องถ้วยเขียนสีของจีนที่ส่งไปขายนั้น เป็นเครื่องถ้วยเขียนสีบนกระเบื้องขาว ส่วนใหญ่เขียนสีไม่ผสมเคลือบ ส่วนเครื่องถ้วยเบญจรงค์นั้นเป็นเครื่องถ้วยที่ใช้สีมาก ๕ สีถึง ๘ สี และเขียนสีผสมเคลือบ (enamel) จึงเชื่อกันว่าไทยสั่งเครื่องถ้วยกระเบื้องขาวจากจีน แล้วช่างไทยเขียนลายไทยลงบนเครื่องถ้วยหรือบนกระดาษ ซึ่งวิธีหลังนี้เป็นที่นิยมกันมากในยุโรป ส่งกลับไปเผาในประเทศจีน หรือถ้าเป็นของราชสำนักที่ต้องประณีตเป็นพิเศษก็อาจส่งช่างไปควบคุม การที่เขียนสีเคลือบบนเคลือบขาว จึงทำให้เครื่องถ้วยเบญจรงค์มีสีนูนคล้ายสีลงยาบนกระเบื้องถ้วยไม่เว้นที่ว่าง เขียนลวดลายเต็มไปหมด ส่วนเครื่องถ้วยที่เรียกลายน้ำทองนั้นใช้สีเคลือบเขียนบนกระเบื้องเช่นเดียวกับเบญจรงค์แต่เพิ่มสีทอง โดยเขียนพื้นเป็นสีทอง หรือแต้มสีทองระหว่างสีเบญจรงค์หรือเขียนสีทองตัดเส้น

    เบญจรงค์แปลว่า ห้าสี การใช้สีบนเครื่องถ้วยเบญจรงค์ส่วนใหญ่จะมีมากตั้งแต่ ๕ สีถึง ๗ สี และสีที่ใช้สำหรับเครื่องถ้วยเบญจรงค์ที่เป็นหลักอยู่ได้แก่ แดง เหลือง ขาว ดำ เขียว หรือน้ำเงิน สีอื่นก็มีใช้เช่น ชมพู ม่วง แสด น้ำตาล

    เครื่องถ้วยเบญจรงค์และลายน้ำทอง ผลิตเป็นภาชนะเครื่องใช้หลายประเภทได้แก่ ชาม จาน โถ จานเชิง ชามเชิง ช้อน กระโถน กาน้ำ ชุดถ้วยชา และชุดตั้งโต๊ะบูชา รูปทรงเครื่องถ้วยมีทั้งทรวดทรงแบบจีนและทรงไทย ชามฝาเป็นแบบที่สั่งสำหรับไทยใช้เป็นชุดสำรับอาหาร โดยเรียงซ้อนเป็นชั้น ๆ จากใหญ่ไปหาเล็กสุด ที่เป็นโถนั้นมีมากมายหลายแบบหลายทรง เช่น โถรูปแตง โถทรงโกศ โถทรงมะเฟือง และโถปริก เป็นต้น ฝาโถนั้นมีมากมาย เช่น ยอดทรงมัณฑ์ ยอดลูกแก้วกลม และที่นิยมทำเป็นยอดทองประดับทับทิม

    เครื่องถ้วยเบญจรงค์สมัยอยุธยา มีชามทรงมะนาวตัดและทรงบัว ลวดลายในสมัยอยุธยาได้แก่ เทพนมนรสิงห์ มีลายกระหนกเป็นเปลวประกอบ เป็นชามที่มีฝีมือประณีต ภายในชามเคลือบเขียวเข้าใจว่าจะเป็นของใช้ในราชสำนัก ส่วนที่ฝีมือไม่ประณีตและมีลักษณะเป็นจีนก็มีเช่น ลายเทพนมจีน (เทวดาท้องพลุ้ย) ซึ่งมีพื้นสีต่าง ๆ เช่น เหลือง ชมพู ม่วงอ่อน

    ใน สมัยกรุงธนบุรี ก็คงจะสั่งเครื่องถ้วยต่าง ๆ จากเมืองจีนสืบต่อจากสมัยอยุธยา รวมทั้งเครื่องถ้วยเบญจรงค์ด้วย สันนิษฐานว่าถ้วยเบญจรงค์สมัยกรุงธนบุรียังคงใช้ลวดลายและสีอย่างสมัยอยุธยา ส่วนรูปทรงอาจเปลี่ยนเพี้ยนไป เช่น ชามนิยมทรงบัว ภายในเคลือบขาวหรือเขียวน้ำทะเลไม่มีลวดลาย

    ใน สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีวิวัฒนาการสืบต่อจากแบบลวดลายสมัยอยุธยาและธนบุรี ชามสมัยรัตนโกสินทร์ส่วนใหญ่จะเป็นชามทรงบัวปากฝาย มีลายที่ปากชามเล็กน้อย มีโถรูปทรงต่าง ๆ มากมายและลวดลายที่น่าสนใจ เช่น ลายราชสีห์ ครุฑ สิงห์ นรสิงห์ กินรี หนุมาน ประกอบลายกระหนกเปลว และก้านขด มีการสั่งทำเครื่องถ้วยลายน้ำทอง เช่น ในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งเป็นสมัยที่ศิลปกรรมเจริญรุ่งเรือง

    ใน รัชกาลที่ ๒ (พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๖๓) สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระบรมราชินี ทรงกำกับห้องเครื่องฝ่ายใน และทรงสั่งเครื่องถ้วยสำหรับใช้ในราชสำนัก จึงได้สั่งเครื่องถ้วยลายน้ำทองเข้ามาใช้มีลวดลายประดิษฐ์ใหม่ เช่น ลายกุหลาบ และใช้ลายแบบจีน เช่น ดอกไม้จีน เครื่องถ้วยลายน้ำทองที่ผลิตขึ้นใหม่นี้ เป็นการเพิ่มสีทองขึ้นจากสีเบญจรงค์หากเขียนสีทองเป็นพื้นก่อนแล้วเขียนสีเคลือบเบญจรงค์ภายหลังจะมีปัญหาเรื่องอุณหภูมิในการเผา สีเบญจรงค์ใช้ความร้อน ๗๕๐ํ-๘๕๐ํ เซลเซียส ส่วนทองใช้ ๗๐๐ํ-๘๐๐ํ ถ้าเขียนสีทองก่อนแล้วเขียนสีเบญจรงค์ทับการเผาจะใช้ไฟสูงมากไม่ได้ เพราะจะทำให้สีทองละลาย และเมื่อใช้ไฟเผาไม่สูงพอ สีเคลือบเบญจรงค์ไม่ติดแน่น ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏว่าเครื่องถ้วยลายน้ำทองเป็นพื้นสีพื้นเขียนเบญจรงค์ทับ สีจะหลุดง่ายและบางส่วนสีเบญจรงค์ติดแน่นแต่สีทองถูกหลอมหลุดไป เพราะการเผาไฟสูงเกินขนาดของสีทอง ที่สีทองติดดีคงจะเป็นการลงทองภายหลังสีเคลือบ และจากหลักฐานนี้จึงเชื่อว่ามีการใช้สีทองทั้งก่อนและหลังสีเคลือบเบญจรงค์ แต่ผู้รู้ทางเทคนิคบางท่านเชื่อว่าอาจเผาพร้อมกันก็ได้ เพราะผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันเผาพร้อมกันได้ นอกจากนั้นยังปรากฏว่าในสมัยหลัง ๆ มีการเขียนลายน้ำทองทับไปบนเครื่องถ้วยลายครามของจีนด้วย โดยเผาในเมืองไทย

    ลวดลายที่ใช้เขียนบนเครื่องถ้วยลายน้ำทอง ที่ใช้มากโดยเฉพาะได้แก่ ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายก้านแย่ง ลายก้านต่อดอก ลายก้านขด ลายกุหลาบ ลายดอกไม้ ลายกลีบบัว และลายที่เป็นลายจีน ได้แก่ ลายดอกไม้สี่ฤดู ผีเสื้อ ค้างคาว แมลงปอ ดอกพุดตาน สิงโตหรือสุนัขจีน เป็นต้น

    สำหรับเครื่องถ้วยเบญจรงค์นี้ในสมัยรัชกาลที่ ๒ คงมีใช้กันทั่วไปในบ้านเจ้านายและขุนนาง และพบหลักฐานว่ารัชกาลที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๓๕๘ มีครอบครัวลาวเวียงจันทน์และลาวพวนอพยพมาตั้งบ้านเรือนในพระราชอาณาจักร โดยเฉพาะที่เมืองฉะเชิงเทรา ได้พระราชทานชามเบญจรงค์สำหรับมูลนายลาว ๔๙ สำรับด้วย และพลลาวได้พระราชทานชามข้าวและชามแกงอย่างละ ๔๗๖ ใบ รวมทั้งซื้อเกลือและของใช้อื่น ๆ อีกจำนวนมาก

    ใน รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๘๔) การสั่งเครื่องเบญจรงค์และลายน้ำทองจากประเทศจีนยังคงมีอยู่ บางชิ้นมีเครื่องหมายอยู่ที่ก้นชาม ทำให้ทราบว่าเป็นของสั่งมาสมัยรัชกาลที่ ๓ นิยมลวดลายแบบจีน

    ใน รัชกาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑) เป็นสมัยที่พ่อค้ายุโรปนำสินค้า เข้ามาแพร่หลายเป็นที่นิยมรวมทั้งเครื่องถ้วยจากยุโรปด้วยเครื่องเบญจรงค์และลายน้ำทองจึงลดน้อยลง สมัยนี้นิยมสั่งเครื่องลายครามมากกว่าเบญจรงค์ รวมทั้งเครื่องลายครามที่เขียนเป็นลายไทยด้วย ลายน้ำทองในสมัยนี้ปรากฏมีลาย ทองเขียนทับไปบนลายคราม ลวดลายที่นิยมมีลายบัวบานหรือกลีบบัวและพรรณพฤกษา

    ใน รัชกาลที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๕๓) เป็นยุคสุดท้ายของเครื่องถ้วยเบญจรงค์และลายน้ำทองเป็นสมัยที่นิยมเครื่องถ้วยยุโรป เครื่องถ้วยจีนและเครื่องถ้วยญี่ปุ่นในสมัยนี้มีการเขียนสีเผาในกรุงเทพฯ ดังเช่น เตาเผาของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ในพระราชวัง และมีการเขียนลายไทยทับบนเครื่องลายครามจีนด้วย ในรัชกาลที่ ๕ เป็นสมัยที่นิยมเล่นเครื่องลายครามกันมาก มีการจัดงานประกวดกันหลายครั้ง

    สรุปได้ว่า เครื่องเบญจรงค์และเครื่องถ้วยลายน้ำทอง เป็นเครื่องถ้วยจีน-ไทย ด้วยเป็นของจีนผลิตขึ้นตามแบบที่ไทยสั่งสำหรับจำหน่ายแก่ประเทศไทยโดยเฉพาะ ลวดลายสีสันแสดงเอกลักษณ์ของไทยจัดเป็นเครื่องถ้วยชั้นสูงที่มีคุณค่าทางประณีตศิลป์ ผู้ที่มีเครื่องถ้วยเบญจรงค์และลายน้ำทองจะเก็บรักษากันเป็นอย่างดีด้วยความรู้สึกชื่นชมว่าเป็นของงามประณีตที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยและมีคุณค่าในทางประวัติศาสตร์จึงยังเก็บรักษาอยู่ทั่วไป ในสถานสะสมเอกชน บ้านเอกชน วัด ในราชสำนัก พิพิธภัณฑสถานเอกชนและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ.
    ภุชชงค์ จันทวิช
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-copyright vAlign=top align=middle height=10></TD></TR><TR><TD style="HEIGHT: 2px" vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle bgColor=#fbe5f2 height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR><TR><TD class=message-normal vAlign=top align=middle height=10><SCRIPT>// URLs of slidesvar slideurl = new Array('http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/variety/1/27/115356_44764.jpg','http://ads.dailynews.co.th/news/images/2007/variety/1/27/115356_44765.jpg') ;// Comments displayed below the slidesvar slidecomment = new Array('','');var picNo = new Array('0','1');var i;var j;var picturecontent=''function poppic(ncId,NewsType,picNum){window.open('/dailynews/pages/front_th/popup_news/popup_news_popuppic.aspx?ncId=' + ncId + '&NewsType=' + NewsType + '&picNum='+picNo[picNum],'','menubar=no,toolbar=no,location=no,directories=no,status=no,scrollbars=yes,resizable=yes,dependent,,');}function createtable(){picturecontent ='<table width=100% cellSpacing=5 cellPadding=0 border=0>' ;for (i=0;i<=(slideurl.length-1);i++) {picturecontent +='<tr>' ;picturecontent +='<td vAlign=top align=center>' ;picturecontent += '';picturecontent += '[​IMG]' ;picturecontent += '</td>' ;picturecontent +='</tr>' ;picturecontent +='<tr>' ;picturecontent += '<td bgcolor=#fbe5f2 class=messageblack vAlign=middle align=center height=20>' ;picturecontent+=slidecomment ;picturecontent +='</td>' ;picturecontent +='</tr>' ;}picturecontent+='</table>' ;hlblTable.innerHTML=''+picturecontent+'';}</SCRIPT>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ชมรมคนเป็น “หนี้”</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการรายวัน</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>28 มีนาคม 2550 18:16 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=160><TABLE cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>การแถลงข่าวเปิดตัวชมรมฯอย่างเป็นทางการ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>สาโรจน์ จิรธรรมกูล ประธานชมรมฯ</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle width=165 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=4 background=/images/linedot_vert3.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>“หนี้” คำสั้นๆ ที่ทรงอิทธิพลต่อชีวิตของผู้เป็นเจ้าของ เชื่อแน่ว่าหากเลือกได้แล้วร้อยทั้งร้อยคนทุกผู้ทุกนามย่อมไม่พึงประสงค์ที่จะมีมันเอาไว้ในครอบครองเป็นแน่ หากแต่สำหรับหลายคนที่มีจำนวนรายจ่ายมากกว่ารายรับ แม้จะไม่เต็มใจในการที่จะต้องไปกู้หนี้ยืมสิน แต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตนเอง และครอบครัว

    ยิ่งในยุคนี้สมัยนี้ที่ค่าครองชีพสูงขึ้นแต่ฐานเงินเดือนของคนทำงานระดับกลางค่อนข้างต่ำยังไม่มีการปรับขึ้นให้พอดีสมดุลกัน ยิ่งทำให้เกิดการกู้ยืมเงินมากขึ้น ซึ่งความต้องการในส่วนนี้ส่งผลให้สถาบันการเงินต่างๆ ทั้งในรูปแบบของแบงก์ และนอนแบงก์ได้ผุดโปรโมชันใหม่ๆ ทั้งเดบิต เครดิต สินเชื่อรูปแบบต่างๆ มากมาย หลากหลายสิทธิประโยชน์ที่ทั้งสถาบันฯ พยายามชวนเชื่อว่าเป็นการกู้ยืมที่ผู้บริโภคจะเสียเปรียบน้อยที่สุด ทำให้ขณะนี้ข้อมูลล่าสุดของผู้ที่มีหนี้สินในประเทศไทยนั้นอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านคน แบ่งเป็นผู้มีหนี้บัตรเครดิต 9 ล้านคน และหนี้สินเชื่ออีก 6 ล้านคน!!!

    สุดท้ายบรรดาคนเป็นหนี้ทั้งหลายจึงต้องมารวมตัวกันและเปิด “ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล” ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    **เปิดตัวชมรม “คนเป็นหนี้”

    สาโรจน์ จิรธรรมกูล ประธานชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล อธิบายถึงหนทางสู่วงจรอุบาทว์ในการเป็นหนี้ โดยได้ยกประสบการณ์ส่วนตัวของตนเองให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เป็นคนทำงานคนหนึ่งที่มีรายได้ค่อนข้างดี คือประมาณเดือนละ 30,000 บาท ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องใช้บัตรเครดิต แต่ที่ทำเพราะมีเพื่อนชวนทำบ้าง มีพนักงานบัตรมาขอร้องให้ช่วยสมัครเพื่อทำยอดบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่บัตรเหล่านี้จะไม่เสียค่าใช้จ่ายเวลาทำ จึงได้ใจอ่อนช่วยทำเอาไว้ หรือเชื่อเพื่อนเมื่อเพื่อนชักชวน ทำให้มีบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรเงินด่วน ต่างๆ เหล่านี้อยู่ในกระเป๋ากว่า 10 ใบ โดยแทบทุกใบอนุมัติวงเงินให้ถึง 10 เท่าของเงินเดือน คือประมาณ 300,000 บาทต่อหนึ่งใบ

    “เวลามีอยู่ในกระเป๋ามันก็อดไม่ได้ที่จะรูด รูดไปรูดมาก็รู้สึกว่ามันสะดวกดี ตอนนั้นเราพอมีกำลังจ่ายผ่อนบิลที่เรียกมาทุกเดือนได้ ก็เลยไม่ได้เดือดร้อนอะไร ตอนหลังมาคิดอยากทำธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เงินเริ่มตึงมือ ก็หมุนบัตรโน้นมาจ่ายบัตรนี้ หนักเข้าเลยเป็นหนี้เต็มวงเงินทุกบัตร ก็เป็นล้านนะครับ”

    สาโรจน์ เล่าต่ออีกว่า เหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่ 2 ปี กลับบ้านก็ไม่ได้เล่นกับลูกอย่างเคยเพราะเครียดหนักเรื่องหนี้สิน จนกระทั่งต้องมาระบายความอัดอั้นตันใจในเว็บบอร์ดของ “ผู้จัดการออนไลน์” เป็นกระทู้เล็กๆ กระทู้หนึ่งในบอร์ดนั้น แต่ปรากฏว่ามีคนเข้ามาให้คำปรึกษา พร้อมกับที่มีผู้ร่วมชะตาเดียวกันมาปรับทุกข์ด้วยเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการจุดประกายการสร้างสังคมของคนเป็นหนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และปรับทุกข์อันเกิดจากการเป็นหนี้ รวมถึงการหาทางออกให้กับชีวิตหนี้ของพวกเขา จึงเปิดเว็บไซต์ www.consumerthai.org/complinant_board1/index-php ขึ้น โดยปัจจุบันนี้มีกระทู้ในบอร์ดกว่า 20,000 กระทู้และมีสมาชิกชมรม 3,700 คน

    เมื่อมีสมาชิกเยอะขึ้น และเห็นว่าควรทำกิจกรรมให้เป็นรูปธรรมมากกว่าการให้คำปรึกษาอยู่แต่เฉพาะในโลกไซเบอร์เพียงอย่างเดียว การแถลงข่าวการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของชมรมฯ จึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2550 ที่ผ่านมาเพื่อให้ผู้เดือดร้อนจากการเป็นหนี้ได้พบปะเห็นหน้าเห็นตา และรู้ถึงการมีอยู่ของชมรมฯ นี้

    “จุดประสงค์หลักของชมรมเรามี 4 ข้อ คือ ต้องการช่วยเหลือผู้เป็นหนี้บัตรเครดิตและหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง แนะแนวการปลดหนี้อย่างเป็นระบบและถูกกฎหมาย เพื่อให้ความรู้ด้านกฎหมายหนี้สิน และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการคิดดอกเบี้ยและเกิดขอบเขตของการติดตามหนี้” สาโรจน์ระบุ

    **“บัตรก่อหนี้” ซื้อง่าย จ่ายคล่อง

    "จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจอยากทำบัตรเครดิต แต่เห็นของแถมมันน่ารักดี ค่าทำก็ถูก ก็เลยสมัคร"

    "ผมไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องทำ แต่บางทีเพื่อนๆ มาชวนทำ หรือน้องเค้ามาหาลูกค้า ก็ช่วยทำไป"

    "คือเราเป็นเจ้าของกิจการ ปกติใช้แต่เงินสด แต่มีเพื่อนทักว่าระดับนี้แล้วทำไมไม่ทำบัตรไว้บ้าง ก็เลยทำ"

    "เห็นว่าฟรีค่าสมัคร แถมไม่ต้องจ่ายรายปี ก็เลยทำติดกระเป๋าไว้"

    นี่คือตัวอย่างเหตุผลของหลากหลาย “ชีวิตหนี้” ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม ได้ให้สัมภาษณ์ถึงปฐมบทแห่งการทำบัตรเครดิตหลายคนไม่มีความจำเป็นต้องทำ แต่ด้วยถูกชักชวนและเห็นถึงข้อดีที่ทางสถาบันการเงินชวนเชื่อในเชิงว่าทำไว้ไม่เสียหายอะไร จึงตัดสินใจทำ

    ที่น่าสังเกตในความเหมือนของคนเหล่านี้ คือ แม้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน แต่เมื่อทำบัตรเครดิตเอาไว้กับตัวแล้วก็อดที่จะใช้รูดเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการต่างๆ ไม่ได้ เนื่องจากข้อดีเฉพาะหน้าของบัตรเหล่านี้คือสามารถเนรมิตให้ผู้ใช้กลายเป็นเศรษฐีชั่วคราวได้ภายในพริบตา และสามารถใช้การ์ดพลาสติกได้เหมือนกับการใช้เงินฟ่อนใหญ่เพื่อซื้อความสะดวกสบายจากสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยยังคงหลงใหลได้ปลื้มไปกับเจ้าบัตรเครดิตนี้อยู่

    แต่เมื่อครบรอบวาระที่บิลค่าใช้จ่ายจากบัตรส่งตามมาเก็บถึงที่บ้าน หลายต่อหลายคนแทบถึงกับล้มตึงเมื่อเห็นตัวเลขที่ต้องจ่าย

    ไหนจะค่าใช้ที่จ่ายไปจริง ค่าดอกเบี้ยรายเดือน ค่าบริการ แถมยังต้องมีค่าจ่ายเมื่อนำบิลไปจ่ายที่จุดรับจ่ายตามร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง หรือที่ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ และเมื่อเกิดภาวะฝืดเคืองของบัตร วงเงินบัตรใกล้เต็มก็ทำให้ต้องหันไปใช้บริการเพิ่มด้วยการกู้บัตรอื่นเพิ่มขึ้นเพื่อเอามาโปะบัตรที่ใกล้เต็มวงเงิน เป็นการสร้างหนี้ทวีคูณขึ้นไปแบบนี้เรื่อยๆ จนไม่สามารถกู้เงินผ่านบัตรจากธนาคารหรือจากสถาบันการเงินได้แล้ว ทำให้จำต้องหันหน้าไปพึ่งเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยสูง

    **เป็นหนี้บัตรครบหันซบหนี้เถื่อน

    นิรมล อัศวมณี ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงความน่ากลัวของหนี้นอกระบบว่า มีผู้ที่เป็นหนี้เป็นจำนวนมากที่เป็นหนี้ทั้งธนาคารและหนี้ของสถาบันการเงินต่างๆ ที่รู้จักกันในนามของ “นอนแบงก์ (NON-BANK)” และได้หมุนเงินไปมาระหว่างบัตรจนเงินตึงมือและไม่มีทางออก จนจำต้องหันหน้าเข้าสู่วงจรอุบาทว์ของหนี้นอกระบบที่ติดโฆษณาชวนเชื่อตามเสาไฟฟ้าหรือตู้โทรศัพท์ ซึ่งเงินกู้เหล่านี้จะมีดอกเบี้ยสูงมาก แต่ในเมื่อผู้บริโภคไม่มีทางเลือกก็จำเป็นต้องยอมรับข้อตกลงที่แสนเอาเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยที่แพงมหาโหดซึ่งบางแห่งคิดเป็นรายวัน! สัญญาที่ไม่เป็นธรรม การตุกติกลักไก่เพื่อเอาเปรียบในทุกประตูที่ทำได้ แถมการติดตามทวงหนี้ที่บางเจ้าเอากันถึงขนาดข่มขู่หรือทำร้ายกันจนเลือดตกยางออก

    “จริงๆ แล้วพวกหนี้นอกระบบเหล่านี้อยากจะประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ช่วยกันออกปราบปรามจับมาลงโทษตามกฎหมาย เพราะเป็นธุรกิจที่อาศัยความเดือดร้อนของผู้บริโภคหากำไรเกินควรเข้ากระเป๋าตนเอง”

    ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทยยังแนะนำต่ออีกด้วยว่า หากเลือกได้ไม่ควรไปใช้บริการของหนี้นอกระบบเหล่านี้ แต่หากเลือกไม่ได้ สิ่งที่ควรทำก็คือต้องอ่านเอกสารสัญญาให้ถี่ถ้วนไม่ว่าเอกสารนั้นจะมีความยาวหลายหน้ากระดาษก็ตาม

    และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอย่างหนึ่ง คือ การหลอกล่อให้ลงชื่อในกระดาษเปล่า ซึ่งผู้บริโภคไม่ควรหลงเชื่อลงชื่อไปอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ หรือแม้จะเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หากเกิดปัญหาและความยุ่งยากขึ้น เมื่อมีการลงลายเซ็นที่ยืนยันได้ว่าเป็นของจริง ศาลจะเชื่อตามหลักฐานว่าเป็นความยินยอมจากเจ้าตัวเองและทำให้เสียเปรียบทางกฎหมาย

    **นิติกรกรมบังคับคดีเผย ยุคนี้ถือว่ายืดหยุ่น

    ทร ชาวพิจิตร นิติกรจากกรมบังคับคดี บอกว่า ปัจจุบันมีความอะลุ่มอล่วยในการบังคับยึดทรัพย์ของลูกหนี้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน โดยเฉพาะในเรื่องของการอายัดเงินเดือนที่ไม่ว่าจะติดหนี้มากแค่ไหน ก็จะมีอำนาจบังคับอายัดเงินเดือนใช้หนี้ได้เพียง30%ของเงินเดือน แถมหากลูกหนี้มีภาระมาก เช่นมีบุตรหลายคน ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ ก็จะมีการพิจารณาลดหย่อนการอายัดได้อีกด้วย

    “ก่อนหน้าหนี้การอายัดทรัพย์สินถือว่าค่อนข้างโหด เวลายึดนี่ยึดกันชนิดหมดตัวเหลือกันแต่บ้านเปล่าๆ แต่สมัยนี้ทางกรมบังคับคดีมีนโยบายดูแลลูกหนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าจะตั้งหน้าตั้งตายึดอย่างเดียว แต่จะดูแลให้ลูกหนี้พออยู่ได้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถมีสินทรัพย์และทุนทรัพย์พอที่จะเป็นทุนรอนในการลืมตาอ้าปาก หาเงินมาใช้หนี้แก่เจ้าหนี้ได้

    โดยเฉพาะในส่วนของเงินเดือนที่ก่อนหน้านี้ยึดกันแทบหมดตัว แต่เดี๋ยวนี้กรมบังคับคดีจะสามารถอายัดเงินเดือนของลูกหนี้เพื่อคืนแก่เจ้าหนี้ได้มากที่สุดเพียง30%ของเงินเดือนเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้ลูกหนี้และครอบครัวสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และหากลูกหนี้มีภาระต้องรับผิดชอบ เช่น มีลูกเยอะ มีพ่อแม่ที่แก่แล้วต้องดูแล อย่างนี้ทางกรมฯ ก็จะมีการพิจารณาลดหย่อนเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนลงให้อีกด้วย”

    นิติกรจากกรมบังคับคดีกล่าวต่อไปอีกว่า อีกหนึ่งปัญหาที่ลูกหนี้ต้องประสบก็คือการที่เจ้าหนี้หรือผู้รับทวงหนี้ปลอมแปลงเอกสารหนังสือของกรมบังคับคดีเพื่อบังคับอายัดเงินเดือนหรือทรัพย์สินของลูกหนี้ ซึ่งในส่วนนี้อยากแนะนำว่าหากลูกหนี้พบกรณีแบบนี้สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาผิดได้ทันที

    ** นักจิตฯแนะ “ยิ้มรับหนี้”

    สำหรับบรรยากาศในวันเปิดตัวชมรมฯ แม้จะเลือกเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันเปิดตัว ก็ยังคงมีประชาชนผู้มีหนี้เป็นจำนวนกว่าร้อยคน เดินทางไปร่วมงานและได้ซักถามปัญหาต่างๆ ที่พบเจอจากการมีหนี้สิน และมีไม่น้อยที่เกิดความเครียดจากการเป็นหนี้

    สุพรรณี ภู่กำชัย นักวิชาการสาธารณสุขด้านจิตวิทยา กรมสุขภาพจิต ได้แนะนำว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการตั้งสติและยอมรับกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แต่ต้องพยายามจัดลำดับความคิดให้ดี อย่าสับสนหรือท้อแท้ และต้องมีทัศนคติเชิงบวกเพื่อเป็นการให้กำลังใจตนเอง

    “ภาวะไม่มีสตางค์เป็นเรื่องปกติ แต่ภาวะไม่มีสตินั้นเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาของคนเราไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน อย่างแรกที่ต้องทำคือการจัดระบบความคิดและการจัดลำดับความคิด โดยส่วนตัวเห็นด้วยและรู้สึกดีกับการก่อตั้งชมรมฯ นี้ เพราะบางครั้งการเป็นหนี้ที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่มีทางออกหรือไม่มีทางเดินจนเกิดความท้อแท้นั้น ทางแก้อาจจะเป็นเพียงเส้นผมที่บังภูเขา แต่ตอนที่ชีวิตวิกฤต เราอาจจะมองไม่เห็น แต่ถ้ามีเพื่อน มีกัลยาณมิตรที่ดี มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ก็จะช่วยให้เรารู้ว่าไม่ได้มีเราคนเดียวที่กำลังแย่ แต่มีคนอีกเป็นจำนวนมากที่กำลังต่อสู้กับปัญหา ทำให้เราเกิดกำลังใจ ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญแนะนำช่องทาง ทางออกในการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นประโยชน์มาก” สุพรรณีกล่าว

    **ปธ.ชมรมฯยันไม่ได้หาช่องช่วยหนีหนี้

    และแม้จะมีกระแสโดยอ้อมจากหลายๆ คนที่ไม่ได้เป็นหนี้ มองชมรมฯด้วยเชิงลบ และกระแสโดยตรงจากบรรดาเจ้าหนี้ที่หลายรายถึงกับยกหูโทรศัพท์มาด่าทอว่าชมรมฯดังกล่าวเปิดขึ้นเพื่อช่วยให้คนสร้างหนี้ทั้งหลายหาช่องหนีหนี้ที่ตนเองได้ก่อไว้

    ในส่วนนี้ สาโรจน์ในฐานะผู้ริเริ่มแนวคิด และประธานชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลได้ชี้แจงเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ชมรมฯ ที่ตั้งขึ้นนี้ไม่ได้สนับสนุนให้คนเป็นหนี้ และไม่ใช่ช่วยเหลือให้คำปรึกษาให้คนมีหนี้หนีหนี้แต่ประการใด หากแต่เป็นความตั้งใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนหัวอกเดียวกันที่มีปัญหาหนี้สินกับบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีปัญหา และยังขาดความรู้ในแง่กฎหมาย ซึ่งทำให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหนี้

    “ตั้งแต่เราเริ่มรวมตัวในอินเทอร์เน็ตก็ถูกโจมตีจากทั้งประชาชนทั่วไปที่ไม่มีหนี้ ที่มองเราว่าพวกเราเป็นพวกฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ใช้เงินเกินตัวจนต้องไปกู้หนี้ยืมสินแล้วไม่มีปัญญาใช้ อันนี้ผมก็ยอมรับคนที่เป็นหนี้ด้วยการฟุ้งเฟ้อก็มี แต่เราถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่จะเป็นสิทธิของเขาที่จะมีจุดประสงค์ของการนำเงินกู้ไปทำอะไร แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่เป็นหนี้เป็นสินเพราะความจำเป็นบังคับ ซึ่งลูกหนี้เหล่านี้ประสบปัญญาหลักๆ 2 ประการคือการขาดความรู้ด้านกฎหมายหนี้สิน ทำให้เจ้าหนี้เอาเปรียบ พยายามเรียกเก็บหนี้จนเขาไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ คือมีเงินเท่าไหร่ก็ต้องจ่ายหนี้หมด ทั้งที่กรมบังคับคดีก็มีกฎว่าเจ้าหน้าที่แจ้งอายัดเงินเดือนได้เพียง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่บางคนไม่รู้ ในส่วนนี้ก็ยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องจ่ายเจ้าหนี้แทบเต็มจำนวนเงินเดือนจนตนเองไม่มีเงินใช้”

    “ที่เราพยายามจะทำก็คือให้คำปรึกษา หาช่องทางให้คนเหล่านี้มีที่ยืนหยุดพัก และมีแรงมีกำลังพอจะหาเงินมาใช้หนี้ได้ใหม่ ให้ชีวิตลืมตาอ้าปากได้ แต่เจ้าหนี้ก็โทรมาด่าเรานะ หาว่าเราหาช่องให้ลูกหนี้จ่ายหนี้ได้น้อยลง ทำให้รายได้ของเขาแต่ละเดือนลดลงด้วยแต่ที่ยืนยันอย่างที่สุดคือ ทุกคำแนะนำของเราจะเป็นการแนะนำให้หาทางออกแบบถูกกฎหมายทั้งนั้นครับ” สาโรจน์ยืนยันทิ้งท้าย

    ########################

    เรื่อง...เจิมใจ แย้มผกา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา http://www.consumerthai.org/howtoboard/view.php?id=139

    [​IMG]สรรหามาฝาก l

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เรื่องเล่าดี - ดี ที่ต้องบอกต่อ....
    [/FONT]​
    <SCRIPT language=JavaScript> function Popup(url, window_name, window_width, window_height) { settings= "toolbar=no,location=no,directories=no,"+ "status=no,menubar=no,scrollbars=yes,"+ "resizable=yes,width="+window_width+",height="+window_height; NewWindow=window.open(url,window_name,settings); }function icon(theicon) { document.webform.message.value += theicon; document.webform.message.focus(); } </SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript type=text/javascript>defmode = "normalmode"; if (defmode == "advmode") { helpmode = false; normalmode = false; advmode = true;} else if (defmode == "helpmode") { helpmode = true; normalmode = false; advmode = false;} else { helpmode = false; normalmode = true; advmode = false;}function chmode(swtch){ if (swtch == 1){ advmode = false; normalmode = false; helpmode = true; alert("Help Mode\nClick on any of the formatting buttons for a description and instructions."); } else if (swtch == 0) { helpmode = false; normalmode = false; advmode = true; alert("Advanced Mode\nThe BB Code will be inserted without options as soon as you hit the button."); } else if (swtch == 2) { helpmode = false; advmode = false; normalmode = true; alert("Normal Mode\nPopups will bring you step by step through the process of inserting BB Code."); }}function AddText(NewCode) { if(document.all){ insertAtCaret(document.webform.message,NewCode); setfocus(); }else{ document.webform.message.value+=NewCode; setfocus(); }}function storeCaret (textEl){ if(textEl.createTextRange){ textEl.caretPos = document.selection.createRange().duplicate(); }}function insertAtCaret (textEl, text){ if (textEl.createTextRange && textEl.caretPos){ var caretPos = textEl.caretPos; caretPos.text = caretPos.text.charAt(caretPos.text.length - 1) == ' ' ? text + ' ' : text; }else{ textEl.value = text; }}function email() { if (helpmode) { alert("Email Tag\nTurns an email address into a mailto hyperlink.\nUsage: someone@anywhere.com\nUsage: link text"); } else if (advmode) { AddTxt=" "; AddText(AddTxt); } else { txt2=prompt("ชื่อลิ้งค์ที่ต้องการแสดงก่อนที่จะระบุชื่อบัญชีอีเมล์ในลำดับต่อไป\nถ้าว่างไว้จะใช้ชื่อบัญชีอีเมล์แทน",""); if (txt2!=null) { txt=prompt("โปรดระบุอีเมล์ของท่าน ","name@domain.com"); if (txt!=null) { if (txt2=="") { AddTxt=""+txt+""; } else { AddTxt=""+txt2+""; } AddText(AddTxt); } } }}function chsize(size) { if (helpmode) { alert("0"); } else if (advmode) { AddTxt="[size="+size+"] [/size]"; AddText(AddTxt); } else { txt=prompt("Please enter the text to be size "+size,"Text"); if (txt!=null) { AddTxt="[size="+size+"]"+txt+"[/size]"; AddText(AddTxt); } }}function chfont(font) { if (helpmode){ alert("Font Tag\nSets the font face for the enclosed text.\nUsage: [font="+font+"]The font of this text is"); } else if (advmode) { AddTxt="[font="+font+"] [/font]"; AddText(AddTxt); } else { txt=prompt("Please enter the text to be in "+font,"Text"); if (txt!=null) { AddTxt="[font="+font+"]"+txt+"[/font]"; AddText(AddTxt); } } }function bold() { if (helpmode) { alert("Bold Tag\nMakes the enlosed text bold.\nUsage: This is some bold text"); } else if (advmode) { AddTxt=" "; AddText(AddTxt); } else { txt=prompt("โปรดกรอกข้อความที่ต้องการทำเป็นตัวหนา","Text"); if (txt!=null) { AddTxt=""+txt+""; AddText(AddTxt); } }}function italicize() { if (helpmode) { alert("Italicize Tag\nMakes the enlosed text italicized.\nUsage: This is some italicized text"); } else if (advmode) { AddTxt=" "; AddText(AddTxt); } else { txt=prompt("โปรดกรอกข้อความที่ต้องการทำเป็นตัวเอียง","Text"); if (txt!=null) { AddTxt=""+txt+""; AddText(AddTxt); } }}function quote() { if (helpmode){ alert("Quote tag\nQuotes the enclosed text to reference something specific that someone has posted.\nUsage:
    "); } else if (advmode) { AddTxt="\r
    "; AddText(AddTxt); } else { txt=prompt("โปรดกรอกข้อความที่ต้องการระบุเป็นคำกล่าวอ้าง","Text"); if(txt!=null) { AddTxt="\r
    "; AddText(AddTxt); } }}function chcolor(color) { if (helpmode) { alert("Color Tag\nSets the text color. Any named color can be used.\nUsage: [color="+color+"]This is some "+color+" text[/color]"); } else if (advmode) { AddTxt="[color="+color+"] [/color]"; AddText(AddTxt); } else { txt=prompt("Please enter the text that should be "+color,"Text "+color,"Text"); if(txt!=null) { AddTxt="[color="+color+"]"+txt+"[/color]"; AddText(AddTxt); } }}function center() { if (helpmode) { alert("Centered tag\nCenters the enclosed text.\nUsage: [align=center]This text is centered[/align]"); } else if (advmode) { AddTxt="[align=center] [/align]"; AddText(AddTxt); } else { txt=prompt("โปรดกรอกข้อความที่ต้องการจัดให้อยู่ตรงกลาง (centered)","Text"); if (txt!=null) { AddTxt="\r[align=center]"+txt+"[/align]"; AddText(AddTxt); } }}function hyperlink() { if (helpmode) { alert("Hyperlink Tag\nTurns an url into a hyperlink.\nUsage: http://www.anywhere.com\nUsage: link text"); } else if (advmode) { AddTxt=" "; AddText(AddTxt); } else { txt2=prompt("ชื่อลิ้งค์ที่ต้องการแสดงก่อนที่จะระบุ url ของลิ้งค์ในลำดับต่อไป\nถ้าว่างไว้จะใช้ url แทน",""); if (txt2!=null) { txt=prompt("โปรดกรอก url สำหรับลิ้งค์","http://"); if (txt!=null) { if (txt2=="") { AddTxt=""+txt+""; AddText(AddTxt); } else { AddTxt=""+txt2+""; AddText(AddTxt); } } } }}function image() { if (helpmode){ alert("Image Tag\nInserts an image into the post.\nUsage: [​IMG]"); } else if (advmode) { AddTxt=" "; AddText(AddTxt); } else { txt=prompt("โปรดระบุบ URL แหล่งที่อยู่ของรูปภาพ","http://"); if(txt!=null) { AddTxt="[​IMG]"; AddText(AddTxt); } }}function code() { if (helpmode) { alert("Code Tag\nBlockquotes the text you reference and preserves the formatting.\nUsefull for posting code.\nUsage:
    Code:
    This is formated text
    "); } else if (advmode) { AddTxt="\r
    Code:
    \r
    "; AddText(AddTxt); } else { txt=prompt("โปรดกรอก Code Tag ที่ต้องการ blockquoted.",""); if (txt!=null) { AddTxt="\r
    Code:
    "+txt+"
    "; AddText(AddTxt); } }}function list() { if (helpmode) { alert("List Tag\nBuilds a bulleted, numbered, or alphabetical list.\nUsage:
    • \n
    • item1\n
    • item2\n
    • item3\n
    "); } else if (advmode) { AddTxt="\r
    • \r
    • \r
    • \r
    • \r
    "; AddText(AddTxt); } else { txt=prompt("โปรดเลือก list type\n (กด 'A' สำหรับ aplhabetic, กด '1' สำหรับ nummeric)หรือท่านสามารถปล่อยว่างไว้",""); while ((txt!="") && (txt!="A") && (txt!="a") && (txt!="1") && (txt!=null)) { txt=prompt("ERROR!\nสามารถเลือก 'A' และ '1' หรือปล่อยว่างไว้เท่านั้น",""); } if (txt!=null) { if (txt=="") { AddTxt="\r
    • \r\n"; } else { AddTxt="\r
      • \r"; } txt="1"; while ((txt!="") && (txt!=null)) { txt=prompt("List Item:\nถ้าจบการสร้าง list ให้ปล่อยว่างไว้",""); if (txt!="") { AddTxt+="
      • "+txt+"\r"; } } AddTxt+="
      \r\n"; AddText(AddTxt); } }}function underline() { if (helpmode) { alert("Underline Tag\nUnderlines the enclosed text.\nUsage: This text is underlined"); } else if (advmode) { AddTxt=" "; AddText(AddTxt); } else { txt=prompt("โปรดกรอกข้อความที่ต้องการทำเป็นตัวขีดเส้นใต้","Text"); if (txt!=null) { AddTxt=""+txt+""; AddText(AddTxt); } }}function setfocus() { document.webform.message.focus();}</SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript><!--function setsmile(what){ document.webform.message.value = document.webform.elements.message.value+" "+what; document.webform.message.focus();}//--></SCRIPT>
      <TABLE class=test3 cellSpacing=0 cellPadding=1 width=700 align=center border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffff height=23><TD vAlign=top align=left width="3%"></TD><TD class=test3 vAlign=right width="94%" bgColor=#ffffff>
      ผงซักฟอก อย่าเลือกที่ราคาถูก
      </TD><TD vAlign=top align=right width="3%"></TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="3%"> </TD><TD width="94%"> </TD><TD width="3%"> </TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="3%"> </TD><TD width="94%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=test3>เตือน!!!เลือกผงซักฟอกไม่ได้มาตรฐานเสี่ยงมือพัง อาจมีการใส่โซดาไฟแทนสารชะล้างในผงซักฟอก -น้ำยาล้างจาน ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน

      ข่าวนี้เก็บมาจากนสพ.ผู้จัดการค่ะ นายชัยวุฒิ เลาวเลิศ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ออกมาเผยผลการตรวจวิเคราะห์สารประกอบในผงซักฟอก พบว่า บางส่วนมีสารชะล้างใน***ส่วนน้อยกว่ามาตรฐาน คือ ต่ำกว่าร้อยละ 0.2 ทำให้คุณภาพของผงซักฟอกลดน้อยลง ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ โรงงานขนาดเล็กที่ไม่ได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และทำการผลิตสินค้าเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน หรือแม้กระทั่งยาสระผม มีโอกาสใส่สารปลอมปนสูง เนื่องจากต้องการลดต้นทุนการผลิต

      รู้ไหมค่ะว่าผงซักฟอกที่ไม่ได้มาตรฐานส่วนใหญ่ จะมีสารลดแรงตึงผิว หรือ LAS ซึ่งเป็นสารประกอบหลัก และทำให้เกิดฟองมี***ส่วนที่ไม่ได้มาตรฐาน คือ น้อยกว่าร้อยละ 80 โดยมีการเติมสารปลอมปนโซดาไฟ ทำให้เกิดความเป็นกรด เป็นด่างมาก และหากผู้บริโภคนำไปใช้จะทำให้เกิดอาการแพ้ปวดแสบปวดร้อนบริเวณผิวหนังได้ง่าย

      วิธีง่ายในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ก็คือ ก่อนซื้อควรสังเกตบริเวณฉลากว่าผ่านการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรมหรือไม่ สังเกตสารประกอบหลักจำพวกสารลดแรงตึงผิวมีส่วนประกอบเกินร้อยละ 80 หรือไม่ หากไม่แน่ใจควรแจ้งสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ทันที หรือหลีกเลี่ยงการนำมาใช้เป็นดีที่สุด

      ข้อน่าสังเกตอีกอย่างค่ะนั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์พวกนี้จะมีราคาถูกกว่าของจริงมาก วางขายตามร้าน ตลาดนัด ฯลฯ หากเรามองเพียงว่าถูกและนำไปใช้โดยไม่ผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ อาจทำให้ต้องซื้อสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ สิ้นเปลืองเงินทอง

      และยังต้องเสียเงินรักษาตัวเองอีกต่างหากค่ะ....

      </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width="3%"> </TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="3%"> </TD><TD align=right width="94%"> </TD><TD width="3%"> </TD></TR><TR bgColor=#ffffff><TD width="3%"> </TD><TD class=test1 align=right> By : consumerthai (124.121.31.*) 29/01/2007 10:58 AM</TD><TD width="3%"> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=test3 cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=test3 height=2> </TD></TR><TR><TD class=test3> </TD></TR><TR><TD class=test3 align=middle height=28>
      <LINK href="style.css" type=text/css rel=stylesheet><TABLE class=test3 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=650 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=test1 align=middle height=20>
      [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif].............................................................................................................................................................................................................
      มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 211/2 ซ.งามวงศ์วาน 31 ถ.งามวงศ์วาน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
      โทร:0-2952-5060 -2 โทรสาร:0-2580-9337
      [/FONT]​
      </TD></TR><TR><TD class=test1 align=middle>
      <!--BEGIN WEB STAT CODE--><SCRIPT language=javascript1.1> page="http://www.consumerthai.org/howtoboard/index.php";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.1 src="http://truehits1.gits.net.th/data/h0013242.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://tracker.truehits.in.th/func/th_donate_1.4.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://tracker.truehits.in.th/func/th_common_1.4.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.2>sv=1.2;ss=screen.width+'*'+screen.height;sc=(bn=='MSIE')?screen.colorDepth:screen.pixelDepth;if(sc==udf){sc='na';}</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.3>sv=1.3; </SCRIPT>
      </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  20. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    เมื่อวานนี้ช่วงตอนเย็น..อาตมาภาพได้ไปช่วยเด็กๆ สองคนที่แม่เขาให้มาอยู่..เพื่อให้ฝึกงาน(รู้ความลำบาก) และก็เพื่อให้สวดมนต์ไหว้พระ...เด็กสองคนนี่..ก็มีหน้าที่ในการ ดูและต้นไม้ (ต้นโมก) ทำความสะอาดอาคารเรียน..และก็ดูแลสถานที่ประดิษฐานองค์ของพระแม่กวนอิม....ทานอาหารเสร็จช่วงของตอนเช้าก็สวดมนต์หน้าพระแม่ ฯ (มนต์จีน) และก็ตอนเย็น (หัวค่ำ) เมื่อวานนี้พระ อ. ท่านบอกกับคนโตพีสาว..(เป็นผู้หญิงทั้งคู่) ว่า..มึงต้องขอให้พระแม่รับเป็นลูกด้วย..นะ..(เด็กคนนี้จะเชื่อคนง่าย..พระ อ. ท่านก็ใช้อุบายอ้างพระแม่) ท่านก็ให้อธิฐานตามท่านพูด.."ข้าพเจ้าขออธิฐานขอเป็นลูกของพระแม่กวนอิม อวโลกิเตศวร มหาโพธิสัตโต" ข้าพเจ้าจะรักและเคารพระแม่ ฯ จะไม่ทำให้แม่..และหมู่ญาติต้องเสียใจ..และเดือดร้อย.(พ่อไม่มี)หนูจะขยันเรียนหนังสือ..จะไม่สนใจความรัก..ความใคร่ในวัยเรียนเป็นอันขาด...ฯลฯ....พระ อ. ท่านสอนอธิฐานจิตขอเป็นลูกพระแม่..อีกยาวนานเลย...พอเลิกจากการขอเป็นลูกของพระแม่...เด็กคนนี้แกก็ถามพระ อ. ว่า..ปะป๋า..(แม่ของเด็กเป็นญาติของพระ อ. ) ทำไมพระแม่ไม่มีคนรับใช้..(สองกุมาร)..อันนี้ก็ลืมเลย..นะ...ขาดองค์กุมารที่อยู่รับใช้พระแม่..ถ้าเราไปไหว้พระแม่ ฯ ที่ไหนๆ ก็จะเห็นกุมารสององค์..พระ อ. ก็โทรไปถามท่าน "อ๋อง" คุณโตก็บอกว่า..ตอนที่สร้างองค์พระ ฯ..ปัจจัยพอดีกับองค์พระแม่เลย (ทางร้านร่วมสร้างมาด้วย) คุณโต..บอกว่า..กุมารที่รับใช้พระแม่สององค์..ประมาณหนึ่งหมื่นบาท...โยมท่านใดจะสร้างถวาย..ให้พระแม่..ก็เป็นบารมีอย่างยิ่งเลย..นะ..จ๊ะ...(ชาติหน้าจะได้มีคนรับใช้..ฮิๆๆๆ)..จะเอากุมารน้อยตัวนี้ไปก็จะ..ไม่มีใครแจ้งข่าวให้ทราบ....ยั้นเราช่วยกันร่วมกันบริจาค..ให้ท่าน "อ๋อง" เป็นหัวหน้าในการจัดสร้าง "องค์กุมารรับใช้พระแม่"..คุณโตบอกว่า..เห็นไว้แล้วสวยงามมากๆๆ องค์กุมาร...ต้องยกให้เป็นหน้าที่..ในการจัดสรรเรื่องความสวย..ความงาม....
    <!-- / message --><!-- sig -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...