ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. zagio

    zagio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +184
    ถ้าผู้ปกครองเป็นคนดี ถือศีล 5 กันหมด เหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นจริง

    แต่ถ้ายังมีคอรัปชั่น 20-30 % น้ำมันก็คงไม่กล้าโผล่ขึ้นมา
     
  2. เซี่ยมหล่อนั๊ง

    เซี่ยมหล่อนั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +665
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2011
  3. เซี่ยมหล่อนั๊ง

    เซี่ยมหล่อนั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    439
    ค่าพลัง:
    +665
    ขอเพิ่มเติมจาก ข้อความ 26767

    สาธุ ในการให้ข้อมูเกี่ยวกับโหราศาสตร์ พอจะสร้างความเข้าใจสำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษาด้านนี้เป็นการเฉพาะ หรือมีอคติกับวิชาโหราศาสตร์ จริงๆ แล้ว ทุกวิชาในโลกเรานี้ เราศึกษาก็เพื่อการนำมายังชีพ ทำมาหากินกันทั้งสิ้น เป็นวิชาทางโลกียะ (ทางโลก) จัดเป็นวิชาเดรฉานวิชาทั้งสิ้น เพราะ ไม่ได้เป็นวิชาเป็นไปเพื่อการบรรลุหลุดพ้น เช่น วิชาทางธรรม (ทางโลกุตระ) ครับ

    ดังนั้น ในบางข้อความที่ระบุเกี่ยวกับเดรฉานวิชา นั้น กล่าวถูกต้อง แต่เพียงครึ่งเดียว ทำให้การสื่อข้อความไม่ตรงสักทีเดียว กล่าวอีกนัย คือ พูดครึ่งเดียว (ซึ่งคนในสังคมนี้ ถนัดในการพูดลักษณะนี้ ทำให้เกิดปัญหาตีความกันไม่เว้น) ดังนั้น เพื่อสร้างความเข้าใจก็ควรเข้าไปศึกษากันสักหน่อยว่าเป็นวิชาหนึ่งในโลกเท่านั้น และหากมีความใจกว้างพอที่จะเรียนรู้จะพบว่า จัดเป็นวิชาสถิติในยุค ก่อนวิทยาศาสตร์จะเกิดซะอีก ซึ่ง....คนรุ่นหลัง(ที่มีวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นแล้ว)ไม่ควรดูหมิ่นวิชาต่างๆ ที่ตนยังไม่รู้จริง หรือไม่ได้เข้าไปสัมผัส เพราะวิทยาศาสตร์เองก็ไม่สามารถพิสูจน์อีกหลายสิ่ง ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ไว้ แถมยังล้าหลังถึง สองพันห้าร้อยกว่าปี จึงเข้าใจว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ก้าวหน้ากว่าเท่านั้น จึงอยากแสดงความเห็นไว้ ณ ที่นี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2011
  4. มดแดง3120

    มดแดง3120 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +34
    ขอบคุณทุกท่านทีใด้นำเรื่องดีๆต่างๆมาแบ่งปัน

    ส่วนตัวกระผม ปกติทำสมาธิบางไม่ทำบาง แต่ต่อไปนี้จะตั้งใจ ทำทาน ศิล สมาธิให้มากๆต่อไป จะไม่ประมาทต่ออนาคตอันใกล้และใกล จะพยายามอยู่กับปัจจุบัญธรรม เพราะการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์จริงๆ ขอบคุณเพื่อนพี่น้องรวมโลกคับ สาธุๆ
     
  5. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    <table style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: arial, sans-serif; font-size: 13px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: normal; letter-spacing: normal; line-height: normal; orphans: 2; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px; -webkit-text-size-adjust: auto; -webkit-text-stroke-width: 0px; background-color: rgb(245, 246, 244); " border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="100%"><tbody><tr><td colspan="2" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; " valign="top" width="100%">2011-12-09 09:43:06 - Volcano Activity - Myanmar (Burma)

    </td></tr><tr><td colspan="2" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; " width="100%">!!! WARNING !!!
    </td></tr><tr><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; " valign="top"><table align="left" border="0" cellpadding="1" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; " width="25%">EDIS Code:</td><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">VA-20111209-33336-MMR</td></tr><tr><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">Date&Time:</td><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">2011-12-09 09:43:06 [UTC]</td></tr><tr><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">Continent:</td><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">Asia</td></tr><tr><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">Country:</td><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">Myanmar (Burma)</td></tr><tr><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">State/Prov.:</td><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">State of Rakhine,</td></tr><tr><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">Location:</td><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">Kyaukphyu Mud-volcano, Ramree Island,</td></tr><tr><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">City:</td><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">
    </td></tr><tr><td colspan="2" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; ">Not confirmed information!
    </td></tr></tbody></table></td><td style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; " align="right" width="440">[​IMG]</td></tr><tr><td colspan="2" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; " valign="top">Description:</td></tr><tr><td colspan="2" style="margin-top: 0px; margin-right: 0px; margin-bottom: 0px; margin-left: 0px; font-family: arial, sans-serif; " valign="top">An earthquake in Rakhine State has caused underground water temperatures to rise, <b>setting off volcano eruptions of mud and small amounts of lava.</strong> Retired geologist Soe Thein said volcanos in the Kyaukphyu Township area on Ramree Island were set off along a fault line. More volcano mud eruptions might occur, he said, but there is no danger or need for mass evacuations. “When there is earth crust movement in these fault lines, there will be underground water circulation and more water will move up to the surface as hot springs, but they are not like real volcanoes. They do not pose a danger to people,” Soe Thein said. The highest number of underground hot spring fault lines is in Kyaukphyu Township. The hot spring fault line runs through Magwe Region. A mud volcano erupted on November 26 on a small hill one mile west of Bawyabaya village, about 32 miles from Kyaukphyu. The eruption sent magma and lava 15-feet into the air, and about 5 acres of nearby land was covered by magma.

    By evening, the eruptions had subsided, said local residents. Past eruptions in the area occurred in 1990 and 2000. On November 21, an earthquake occurred with an epicenter 32 kilometres northeast of Homlin in Sagaing Region measuring 5.9 on the Richter scale, Soe Thein said. It probably triggered the mud eruptions, he said. “The underground hot water in the fault line was pushed up to the surface and the eruptions took place,” he said. Two mud volcanoes in Sai Chong village east of Kyaukphyu erupted in January 2008. Lava and magma shot up to 300-feet high and a small amount of lava covered about 200 feet in the nearby area, the New Light of Myanmar reported on January 8. A similar volcano mud eruption took place near Sai Chong village in 2006, and an eruption in 1996 damaged more than 40 acres of farmland in the same area.
    </td></tr></tbody></table>
     
  6. วัชระยะลา

    วัชระยะลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +9
    มันเปลี่ยนหัวเรื่องแล้วหรือครับ...

    ปกติในเว็บนี้จะให้ข่าวสารเรื่องภัยพิบัติไม่ใช่หรือครับ...ทำไมกลายเป้นเรื่องวิจารณ์หมอดูล่ะนี่..
    ถ้าเกลียดหมอดูคนนี้มากก้อเข้าไปด่าหรือวิจารณ์ในเว็บเค้าสิ...



    ...ที่เว็บนี้เลย..รับรองถึงตัวเค้าแน่นอน
    ขอให้เว็บนี้เป็นเรื่องของภัยพิบัติดีกว่าน่ะครับ..
    ขอให้ทุกคนรักษาศีล..กายบริสุทธิ์..ใจบริสุทธิ์..ไม่ดีกว่าเหรอครับ...
    ข้อมูลมีไว้ตรึงตรอง..(ส่วนบุคคล)
    ข้อมูลมีไว้เตรียมความพร้อมทุกสถานการณ์
    ข้อมูลมีให้เรารู้ว่าอนาคตจะไปในทางใด
    และที่สำคัญในเว็บนี้ขอให้อย่าทะเลาะกันเรื่องใด ๆ ..
    ขอให้บุคคลที่เป็นสมาชิกในเว็บนี้ช่วยเหลือกัน..
    จะได้ผ่านภัยพิบัติใด ๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคตได้น่ะครับ
    ผมขอให้ทุกท่านอย่าใช้อารมณ์ส่วนตัวมาทำร้ายกัน..(ขอให้ใจเย็น ๆ มีสติ ปัญญาให้มาก ๆ ด้วย)
    ให้เอาความรู้ และข้อมูลดี ๆ ที่เป็นประโยชน์มาแชร์กันดีกว่า..เมื่อเจอข้อมูลอะไรที่ไม่ถูกใจก็เก็บไว้ในใจก็พอแล้ว อย่ามาด่า ถกเถียงกันเลย..
    อ่านและรับข้อมูลอย่างมีสติดีกว่าไหม..
     
  7. kwanruen_pui

    kwanruen_pui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +126
    War Room Falkman

    เกิดการปะทุของภูเขาไฟ ที่ประเทศพม่า....ชักจะมาใกล้ๆไทยแล้วนาาาา...

    Volcano Activity in Myanmar (Burma)

    on Friday, 09 December, 2011 at 09:32 (09:32 AM) UTC.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • vocalno.png
      vocalno.png
      ขนาดไฟล์:
      404.8 KB
      เปิดดู:
      151
  8. okung3036

    okung3036 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +183
    วันที่ 10 ธค. จะเป็นวันที่มีพลัง ต้องจับตาดูครับ
     
  9. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    9 ธ.ค. 54

    มีดี ตั้งรับ เพียงพอ
    ไว้รอ ปลายักษ์ ที่สอง
    จากนั้น ท่านจง รีบล่อง
    สู่ท้อง พื้นที่ ปลอดภัย

    องค์อินทร์ ๙๗
    ทำการแทน
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    การเตรียมการรับมือภัยพิบัติทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ.2555

    ไอย สมาชิก

    จากการที่ได้รับข่าวสารมาจากหลาย ๆ ด้านว่าเศรษฐกิจปีหน้า(พ.ศ.2555) คนไทยจะเจอกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและหนักหนากว่าช่วงยุค IMF เมื่อปี '40 มากมายนัก คนจะตกงานมากกว่า 2 ล้านคน โดยเฉพาะช่วงหลังตรุษจีนไปแล้ว จะเห็นผลชัดเจนมากขึ้น แต่อยากจะบอกให้ทราบว่า จริง ๆ แล้วจะมีคนตกงานมากกว่านี้หลายเท่านัก แต่ที่เขียนมาไม่ใช่ให้ทุกคนหวาดกลัวหรือเกิดความหวาดหวั่นแต่อย่างใด เพียงแต่อยากให้ทุกคนยอมรับความเป็นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น และตั้งสติก่อน start ว่า นับต่อแต่นี้ไป เราจะเตรียมการเพื่อรับมือกับภัยพิบัติทางเศรษฐกิจได้อย่างไร

    ทำไมถึงบอกว่านับต่อจากนี้ไป เราจะเจอปัญหาทางเศรษฐกิจที่หนักกว่าช่วง IMF ก็เพราะช่วงนั้น ประเทศทางแถบเอเซียเท่านั้นที่ประสบปัญหาทางการเงิน แต่ในปัจจุบัน อเมริกา จีน ญี่ปุ่น กลุ่มยุโรป ซึ่งเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ ประสบปัญหากันทุกประเทศ ซึ่งในไม่ช้าก็จะลามไปทางประเทศตะวันออกกลาง เนื่องจากน้ำมันก็จะมีราคาลดลงไปอีก (แต่ปี พ.ศ.2555 น้ำมันจะขึ้นไปถึง 150 ดอลล่าร์ต่อบาเรล)

    สมัย IMF เราเจอปัญหา ยังพอไปกู้หนี้ยืมสินมาพยุงค้ำจุนประเ่ทศไว้ แต่ตอนนี้ทุกประเทศเจอปัญหาเหมือนกันหมด และเราจะไปหาเงินจากทางไหน กองทุนต่างประเ่ทศก็ย้ายฐานกลับบ้านของตัวเองกันไปหมดแล้วทั้งนั้น ตอนนี้ประเทศไทยและคนไทย คงต้องตระหนักให้ดีแล้วว่า เราจะจัดการกับปัญหาชีวิตข้างหน้านี้อย่างไรดี

    จากประสบการณ์ที่ตนเองได้ผ่านมาเมื่อช่วงยุค IMF มาแล้วนั้นทำให้เกิดข้อคิดอะไรได้ในหลาย ๆ อย่าง จึงอยากเสนอแนะแนวทางและให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิต เพื่อที่จะรับมือกับภัยพิบัติทางเศรษฐกิจอย่างมีสติ เพราะช่วงตอนสมัย IMF นั้น มีบางคนยอมรัีบสภาพไม่ได้ถึงกับฆ่าตัวตาย บางคนฆ่าทั้งครอบครัว บางคนก็เสียสติ ขออย่าให้ภาพเหล่านี้กลับมาซ้ำรอยเดิมได้อีกเลย

    ดังนั้น การที่เขียนข้อความต่าง ๆ ต่อไปนี้ ขอให้เป็นข้อคิดที่ทุก ๆ คนได้ตระหนักและแก้ปัญหาอย่างมีสติ และใช้หลักธรรมะ เป็นกำลังใจในการต่อสู้และดำเนินชีวิตต่อไป ประเทศไทยโชคดีที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่รักและห่วงใยพสกนิกรเป็นอย่างยิ่ง ทรงวางรากฐานและแนวทางในการดำเนินชีวิตในหลักเศรษฐกิจพอเพียง ให้คนไทยได้ตระหนักและสำนึกถึงความสำคัญของพื้นฐานชีวิตดั้งเดิมของคนไทย ที่คนไทยส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันนี้ถูกโลกาภิวัฒน์ หรือระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เข้าครอบงำจนลืมเลือนรากเหง้าของความเป็นไทยแบบเดิม ๆ ไปเสียจนหมดสิ้น ดิ้นรนขวนขวายหาแต่เงิน สร้างหนี้สิน สะสมวัตถุและสิ่งฟุ่มเฟือยต่าง ๆ เพื่อมาตอบสนองกิเลสของตน โดยหารู้ไม่ว่า คุณกำลังทำตัวเหมือนหมาไล่เนื้อ

    ในเมื่อเราเกิดมาเป็นคน มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน ก็จงทำตัวให้เป็นคนที่รู้จักใช้ชีวิตอย่างมีสติ อย่าลดตัวเองไปเป็นแค่สัตว์ตัวหนึ่งที่ขาดสติ ไร้ความคิด ทำทุกอย่างให้ได้มา เพื่อตอบสนองความหิว ความอยากของตนแต่เพียงอย่างเดียว

    จงเป็นคนเก่ง คนฉลาด แต่มีคุณธรรม เพราะคุณจะัพัฒนาและเติบโตขึ้นเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์

    อย่าเป็นคนเก่ง คนฉลาด แต่ขี้โกง เพราะคุณจะพัฒนาและเติบโตขึ้นมาอย่างเช่นสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ฉลาดแกมโกง

    ดังนั้นคุณคงคิดได้ว่า คุณจะเติบโตและพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นแบบใด


    การเตรียมตัวรับมือกับปัญหาทางเศรษฐกิจ

    1. ประหยัด คุณต้องเริ่มสำรวจค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวของคุณว่า ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่คุณจ่ายภายในแต่ละเดือนมีอะไรบ้าง สิ่งไหนที่้ฟุ่มเฟือย หรือใช้่จ่ายเกินความจำเป็นก็ให้ลดซะ พยายามให้มีค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น ที่บ้านแต่ก่อนมีทีวีกันคนละเครื่อง ห้องพ่อแม่ 1 เครื่อง ห้องลูก ๆ มีคนละเครื่อง ก็ให้ยุบรวมกันซะ มาดูทีวีกันที่เดีียวกัน ดีเสียอีกนอกจากจะประหยัดไฟแล้ว ครอบครัวยังจะได้ใช้เวลาร่วมกัน แนะนำสั่งสอนหรือปรึกษาหารือกัน เพิ่มสายใยรัก สายใยอบอุ่นกันภายในครอบครัวให้ดียิ่งขึ้น

    2. หันหน้าเข้าหากัน เมื่อคุณรู้ว่าตัวเองกำลังตกงานแล้ว ต้องพูดคุยกับคนในครอบครัวใ้ห้เขาได้รู้ บางคนอายที่จะบอก เพราะเคยเป็นหัวหน้าครอบครัวเป็นกำลังหลักของครอบครัว ไม่อยากบอกใ้ห้คนที่บ้านเสียใจและหมดกำลังใจ แต่ขอบอกเลยว่าคุณกำลังคิดผิด เพราะปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้หนักมาก จนเกินกว่าคุณจะแบกไว้เพียงลำพัง เพราะถ้าคุณคิดแบบนั้น เท่ากับว่าคุณกำลังกดดันตัวคุณเอง คุณต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา ดอกร้อยละ 20-30 ก็ต้องยอม คุณมีแต่รายจ่าย แต่รายได้ของคุณแทบไม่มีเอาซะเลย ผลสุดท้ายดอกเบี้ยก็บานตะไท ทบต้นทบดอก แถมถูกขู่เข็ญ โดนข่มขู่สารพัด จากนายทุนเงินกู้ที่คุณไปเอาของเขามา ในที่สุดคุณก็จะทนไม่ได้ บางคนต้องหนี บางคนก็ต้องปลิดชีพตัวเองด้วยความเครียด

    ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด คุณต้องคุยกับคนในครอบครัวให้เขาเข้าใจ ให้ทุกคนได้รับรู้และเข้าใจถึงปัญหาและสภาวะการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น และร่วมมือกันหาทางแก้ไขและประคับประคองครอบครัวให้อยู่รอดได้ โดยเฉพาะถ้าคุณมีลูกต้องอธิบายให้ลูกคุณเข้าใจ อย่าไปคิดว่าเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ แล้วเด็กไม่ควรรับรู้ แต่เรากำลังพูดถึงในเรื่องของความประหยัด ต้องอธิบายด้วยเหตุและผลว่าทำไมเราถึงให้เขาได้ไม่เหมือนเดิม อย่าลืมว่าปัจจุบันนี้สื่อต่าง ๆ เปิดกว้างมากขึ้น ทำให้เด็ก ๆ ได้รับรู้ข่าวสารมากกว่าสมัยก่อน เพราะฉะนั้นอย่ากลัวหรืออายที่จะคุยกับลูก ต้องให้เขายอมรับความเป็นจริง และร่วมมือกับเราในอันที่จะทำให้ครอบครัวอยู่รอดได้

    3. ลดรายจ่ายก็ต้องหารายได้เพิ่ม แล้วเราจะหารายได้เพิ่มจากตรงไหนอันดับแรกเราต้องคิดก่อนว่า เราจะจัดการกับชีวิตอย่างไรดี

    สำหรับบุคคลทั่วไป

    1) สำรวจข้าวของในบ้านทั้งหมดว่ามีสิ่งใดที่เป็นของเหลือใช้ ซื้อมาแล้วก็ไม่ได้ใช้ หรือเบื่อแล้วก็เก็บ ๆ ไว้ ใ้ห้นำออกมาคัดเลือกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ สิ่งไหนที่พอจะนำไปขายได้ ก็ให้ขายไปเสีย อาจจะเปิดท้ายขายของหรืออะไรก็แล้วแต่วิธีที่คุณคิดทำขึ้นมา แล้วรวบรวมเงินที่ได้ทั้งหมดนำมาเป็นทุน

    2) ทำมาหากินอะไรดี เป็นคำถามง่าย ๆ แต่ทำยาก เพราะเงินทุน ถ้าลงทุนไปแล้วทำไม่ได้ แปลว่าคุณต้องสูญเงินนั้นไปทั้งหมด แถมอาจจะต้องมีหนี้เพิ่มขึ้นมาอีก อย่างที่กล่าว ขณะนี้เรากำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจตกต่ำดังนั้น ทำอะไรที่ไม่ต้องลงทุน หรือลงทุนให้น้อยที่สุด เพื่อเงินทุนที่คุณมีีจะได้นำไปต่อยอดได้ อย่านำเงินไปลงทุนทำอะไร โดยที่คุณไม่มีความชำนาญหรือมีประสบการณ์ อย่าไปคิดลองผิดลองถูก เพราะเวลาและเงินที่มีอยู่อย่างจำกัด ถ้าหมดไปก็ไม่มีใครมาช่วยคุณได้

    สิ่งที่เขียนนี้มาจากการทำงานและจากประสบการณ์ชีวิตของไอยเองและคนรอบข้าง ที่มาเป็นกระจกเงาสะท้อนบทชีวิตให้เราเห็น ไอยยินดีมากเลย ถ้าจะให้บทความนี้ได้เผยแพร่ออกไปมาก ๆ และอยากให้ทุก ๆ คน ได้นำไปต่อยอด สร้างความคิดและพัฒนาต่อไป เพื่อเราจะได้ช่วยกันสร้างสังคมให้มีแต่สิ่งที่ดีงามและก่อประโยชน์ร่วมกัน ถ้าใครต้องการคำปรึกษาและคิดว่าอยากต้องการคำแนะนำ ไอยก็พร้อมและยินดีทำให้เป็นวิทยาทานแก่ทุก ๆ คน แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะทำได้ ย่อมขึ้นอยู่กับตนเองทั้งสิ้น อย่าท้อถอยและหมดหวัง อย่าลืมสิค่ะว่า กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดี ขอเป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คน ได้ต่อสู้และดำเนินชีิวิตต่อไปอย่างเข้มแข็ง มีสติ และมีธรรมะเป็นยาชูกำลัง

    มีคนถามมาว่าพี่ ถ้าเรารวบรวมสิ่งของต่าง ๆ ออกขายมาเป็นทุน มีอีกวิธีหนึ่งที่เราจะหาทุนมาทำงานได้ คือ ขอยืมเขามาหรือไปกู้หนี้ยืมสินมา นั่นก็เป็นวิธีหนึ่งที่ง่ายดี แต่ยุคนี้ใครเขาจะให้คุณยืมละค่ะ เราต่างหากต้องพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด

    การไปกู้หนี้จากคนอื่นเขา อาจจะเป็นคนใกล้ตัวหรือใครก็แล้วแต่รู้มั้ยว่า เท่ากับคุณไปเบียดเบียนคนอื่นเขา และอีกอย่างปัญหาที่คุณเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ก็คือวิบากกรรมของคุณด้วยเช่นกัน คุณอาจจะเถียงว่าคุณไม่เคยทำความชั่ว ทำบุญ สร้างกุศลมาตลอด แต่อย่าลืมไปว่า คุณไม่ได้เกิดแค่ชาตินี้ชาติเดียว คุณเกิดมาแล้วเป็นร้อยเป็นพันชาติ แล้วอดีตชาติที่ผ่านมาคุณเคยไปล่วงเกิน ก่อกรรมทำเวรไำว้กับใครบ้าง อย่าลืมมนุษย์เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ ถ้าเราทำดีบริสุทธิ์เต็มร้อยแล้ว เราจะมาเกิดทำไม

    การที่เราไปยืมเงินคนอื่นเขา และคนที่เขาให้เรายืมนั้น เท่ากับเขากำลังล้ำเส้น เจ้ากรรมนายเวรที่รอเล่นงานเราอยู่นั้น เมื่อเขามาช่วยเรา เขาก็จะหันไปเล่นงานคนที่ให้เงินเรายืมแทน เพราะฉะนั้นสมควรแล้วหรือที่เราจะให้เขาโดนกระทำเช่นนั้น ในเมื่อเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ บาปบุญคุณโทษ เรารู้อยู่แก่ใจ เราจะเห็นแก่ตัวและไม่ใส่ใจเชียวหรือ ดังนั้นกรรมใดใครก่อ ผู้นั้นต้องสมควรรับเอง อย่าโยนเวรกรรมของตนไปให้คนอื่นรับแทน จะเป็นบาปกรรมให้กับตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีก ไม่ไปกู้หนี้ยืมสิินคนอื่นก็ได้ แต่ไปขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ได้เข้าระบบดี ไม่ลำบากคนอื่นอีกต่างหาก

    แหม ขอบอกหน่อยเถอะค่ะว่า ตอนนี้สถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ย่ำแย่อยู่แล้วผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อและพนักงาน ทำงานเหมือน sale ขายของเดินเคาะประตูบ้าน ยังกับขายสินค้า direct sale ยังไงยังงั้นเลยค่ะ ไม่เชื่อก็ลองถามนักธุรกิจหรือผู้ประกอบการดูสิว่า เป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่า แถมปีหน้าบางสถาบันการเงินจะหมู่หรือจ่าก็ยังไม่รู้ จริงอยู่สถาบันการเิงินอยู่ได้ด้วยการรับฝากเงินและการปล่อยสินเชื่อ แต่ถ้าเขาดูแล้วผู้ที่จะมาขอสินเชื่อไม่ confirm 100% ยากค่ะที่จะได้รับการอนุมัติ ตอนนี้เขาปล่อยให้กับลูกค้าเก่า ๆ ที่มีประวัติทางการเงินดี ถ้าลูกค้ารายใหม่ ๆ อย่าหวังเลยค่ะ ถ้าคุณไม่แน่จริง ๆ ไม่มีศักยภาพในการชำระเงิน หรือมีรายได้ที่มั่นคง แน่นอนใ้ห้เขาเห็น

    ดังนั้น ในเวลานี้เราควรจะพึ่งพาตัีวเองให้ได้มากที่สุด แต่ก่อนที่เราจะคิดเริ่มต้นว่าจะทำมาหากินอะไรดี เรามาดูอาชีพ Hot Hit ของคนตกงานกันดีกว่า

    1.ขายอาหาร มาขายของกินกันดีกว่า เพราะเราเองจะได้อาศัยกินไปด้วย ไม่ต้องไปซื้อที่ไหน ทำเองก็กินเอง กินกันทุกวันทุกมื้อไปเลย ดีมั้ยค่ะ รู้มั้ยทุกคนเขาก็คิดแบบคุณเหมือนกัน ผลปรากฏว่ามีแต่คนขายไม่มีคนซื้อ เพราะคนซื้อก็หันมาขายเช่นเดียวกัน เหมือนเมื่อครั้งสมัย IMF มีแต่คนขายอาหารกันเต็มบ้านเต็มเมือง

    2. ขายเสื้อผ้า ขายของสวย ๆ งาม ๆ มีหรือจะไม่มีคนซื้อ โดยเฉพาะพวกผู้หญิง ยอมอดข้าวดีกว่าไม่ได้แต่งตัว

    3. เปิดท้ายขายของ ไม่ต้องลงทุนมาก เอาของที่เหลือใช้ออกมาเลขาย

    ผลปรากฏว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ก็เนื่องมาจาก

    1. คุณต้องลงทุนซื้อข้าวของวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ถ้าคุณคิดขายอาหาร ก็ต้องซื้อถ้วย จาน ชาม หม้อ เตา ฯลฯ

    2. ลงทุนซื้อแฟรนไชนส์ หรือสูตรต่าง ๆ เนื่องจากเป็นสูตรสำเร็จ ที่เจ้าของสูตรประสบผลสำเร็จมาแล้ว ด้วยความต้องการให้ขายได้ และสามารถสู้กับคนขายคนอื่น ๆ ได้ ไม่ต้องมาลองผิดลองถูกกันอีก

    3. ทำเลขายของ ก็ต้องดูำทำเลที่มีคนเยอะ อาจจะเป็นตึกแถว ตลาด หน้าหมู่บ้าน หรือที่มีคนสัญจรไปมามาก ซึ่งก็ต้องเสียค่าเช่าที่ ยกเว้นคุณไปขายของที่เป็นที่ว่าง แต่จะมีใครไปซื้อ หวังรอลูกค้าขาจรแบบนั้นหรือ

    4. การขายของไม่ใช่เพียงแค่ขายแล้วก็จบ คุณต้องไปซื้อของ วิ่งเข้า-ออกร้านนั้น ร้านนี้ โดยเฉพาะถ้าขายอาหารแล้วละก็ คุณซื้อของเสร็จ ก็ต้องมาล้างของ เตรียมของ พอเตรียมเสร็จแล้ว ก็ต้องมานั่งปรุง นั่งทำให้เสร็จเพื่อเตรียมขาย พอขายของเสร็จแล้ว ก็ต้องมานั่งเก็บนั่งล้าง เสร็จแล้วก็ต้องทำความสะอาดร้านให้เรียบร้อย วันหนึ่ง ๆ ของคุณก็วนเวียนอยู่แบบนี้

    5. ต้องขายทุกวัน อย่างน้อยก็หยุดได้อาทิตย์ละ 1 วัน ถ้าคุณขายของ 1 วันหยุดไปเสีย 2 วัน รับรองไม่มีลูกค้าขาประจำแน่ ยิ่งถ้าหยุดบ่อย ๆ แปลว่าคุณก็ไม่มีรายได้ ซึ่งรายจ่ายมีทุกวัน ในที่สุดก็จำเป็นต้องควักเงินทุนออกมาใช้ ในที่สุดก็ไม่มีเงินทุนไว้สำหรับขายของ

    6. สภาพดินฟ้าอากาศ ถ้าวันไหนดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจ ฝนตก โดยเฉพาะถ้าต้องขายของกลางแจ้งแล้วละก็ วันนั้นก็อาจจะต้องควักเนื้อ เพราะมีใครที่ไหนจะออกมาเดินซื้อของท่ามกลางฝนตกกันบ้าง ถ้าไม่จำเป็นหรือขาดเหลือจริง ๆ

    7. ไม่ใช่มืออาชีพ ส่วนใหญ่คนตกงานนั้น จะทำงานบริษัทหรือไม่ก็โรงงานประสบการณ์ด้านการขายไม่เคยมี ต้องมาเริ่มต้นใหม่ รวมทั้งต้องปรับตัวกับชีวิตใหม่ บางคนกว่าจะเข้าที่เข้าทาง เงินทุนก็หมดพอดี

    8. ขายแล้วไม่คุ้ม ถ้าขายอาหาร โดยเฉพาะถ้าเป็นอาหารที่ปรุงสำเร็จขายไม่หมดก็ต้องทิ้ง เพราะถ้าเก็บไว้ขายอีกวันก็ไม่ได้ เพราะของจะเสีย ถ้าวันไหนของขายดีก็ยังรอดตัวพอได้กำไร แต่ถ้าวันไหนขายแย่ ก็ต้องขาดทุน ส่วนคนที่ขายเสื้อผ้านั้้นก็เช่นกัน เพราะเสื้อผ้าสมัยนี้บวกกำไรได้ไม่เยอะ เพราะถ้าขายแพงก็ไม่มีคนซื้อ ดังนั้นอย่างมากก็บอกตัวละ 50-60 บาท แล้วเสื้อผ้าเป็นแฟชั่นที่เปลี่ยนไปเร็วมาก ไม่นานก็ล้าสมัยแล้ว เสื้อผ้าที่ขายไม่ออก นั่นก็หมายถึงว่ากินทุนตัวเองเข้าไปแล้ว และสำหรับคนที่เปิดท้ายขายของ แรก ๆ ของที่นำมาขายก็ยังมีสภาพที่พอใช้ได้ สมกับราคาที่มาขาย แต่พอของดี ๆ ขายไปหมดแล้ว เหลือแต่ของหมดสภาพ ก็ไม่มีอะไรที่พอจะนำมาขายได้ ในที่สุดก็ต้องเลิกขาย

    เราควรจะทำมาหากินอะไรกันดี ก่อนที่คิดจะประกอบอาชีพอะไรนั้นเราต้องพิจารณาในสิ่งเหล่านี้ก่อน

    1. ค้นหาพรสวรรค์และพรแสวงโดยคุณจะต้องเริ่มสำรวจตัวของคุณก่อนว่าคุณมีความสามารถ ความรู้ ความถนัดและเชี่ยวชาญสิ่งใดเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้วค้นหาพรสวรรค์และศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเราให้เจอ และดึงออกมาใช้ให้ได้ คุณอาจจะบอกว่าคุณไม่มีความสามารถที่ว่านั้น จงตั้งสติแล้วนึกดูให้ดี ๆ ถ้านึกไม่ออก ก็ให้นึกถึงสิ่งที่เราทำแล้ว เราชอบมากที่สุด เมื่อเราได้ทำขึ้นมาแล้วทุก ๆ คนที่เห็นยอมรับและนับถือในความสามารถของเรา ยกตัวอย่างเช่น คุณมีความสามารถในทางศิลปะ สามารถวาดรูปได้สวย แต่ด้วยพ่อแม่ สังคมและอาชีพการงาน ทำให้คุณกลับไปทำงานอีกด้านหนึ่ง ที่ไม่ได้ใช้ศิลปะที่คุณถนัดเลย

    2. เชื่อมั่นในสัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอด มนุษย์และสัตว์ต่างก็มีอะไรเหมือนกันตั้งแต่เริ่มต้นของการมีสัญญาณชีวิต นั่นก็คือ สัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอด โดยเริ่มจากการอยู่ในท้องแม่แล้ว คุณแสดงอาการดิ้นถีบ เพื่อบ่งบอกว่ามีตัวคุณอยู่ในนี้ ยังมีชีวิตอยู่ พอคุณคลอดออกมา ก็ร้องออกมาลั่นห้องยามคุณหิว คุณก็ร้องออกมาดัง ๆ แสดงอาการให้รู้แล้วว่าคุณหิวแล้ว แม้จะยังพูดไม่ได้ก็ตามที ดังนั้น คุณเองก็ควรใช้วิธีเดียวกันนี้ ยามเมื่อคุณถูกออกจากงานคุณกำลังเคว้ง และสับสนกับชีวิต ว่านับต่อจากนี้ไป ฉันจะจัดการกับชีวิตอย่างไรดีจงตั้งสติและใช้สัญชาติญาณที่ว่านี้ ทำให้เกิดเป็นรูปธรรม และต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ยามใดที่หลังเราชนฝาแล้ว เราก็จะบังเกิดความคิดที่ว่านี้ขึ้นมาได้เอง คุณต้องเชื่อมั่นในตนเองว่า เราต้องอยู่รอดให้ได้

    3. ใช้ทุนทรัพย์เดิมที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคุณสำรวจดูทรัพย์สินหรือของคุณและครอบครัว ว่าคุณมีสินทรัพย์อะไรบ้างที่สามารถนำมาประกอบอาชีพ หรือเป็นเครื่องมือที่จะมาสนับสนุนในการทำมาหากินของคุณได้ยกตัวอย่างเช่น บ้าน รถ ที่ดิน ฯลฯ เป็นต้นนั้น สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างใดบ้าง

    หลังจากที่คุณได้ไตร่ตรองและใคร่ครวญอย่างดีแล้ว จะขอแนะวิธีคิดให้เป็นรูปแบบสำหรับทุก ๆ ท่าน แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า สิ่งที่เขียนนั้นเป็นแค่แนวทางการที่จะทำได้หรือไม่ได้นั้นขึ้นอยู่กับตัวคุณเป็นหลัก เพราะปัญหาของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ด้วยปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคนนั่นเอง ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาเฉพาะตัว เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหา คุณต้องปรับให้เหมาะสมกับตัวคุณเอง เพราะต่อให้แนะนำแนวทางแค่ไหน ถ้าคุณคิดไม่ออก ทำไม่ได้ทำไม่เป็น ก็ไม่มีประโยชน์

    ก่อนที่จะใช้แนวทางนี้ คุณจะต้องยึดหลักดังกล่าวนี้ให้ได้ คุณไม่มีทุน คุณไม่มีหนี้ คุณมีแต่ตัวคุณอย่างเดียว ให้ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ขอแค่พอมีพอกิน ส่วนเหลือกิน ก็ให้เก็บออมไว้

    วิธีคิดและแนวทางในการประกอบอาชีพ

    สำหรับบุคคลทั่วไป

    1. ค้นหาอาชีพที่เหมาะสมกับตัวคุณ เพราะฉะ
    นั้นต้องเริ่มสำรวจจากตัวคุณก่อน ทำไมถึงต้องให้เริ่มจากตัวคุณ เพราะถ้าคุณไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ถึงความสามารถของตัวคุณ ก็เปล่าประโยชน์ ที่จะทำอะไรขึ้นมา เพราะนับต่อแต่นี้ไป ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน

    คุณต้องค้นหาว่าตัวคุณนั้นมีศักยภาพ
    และทุนเดิมจากตรงไหนบ้าง เช่น บ้านคุณเป็นเกษตรกร มีที่ดินทำมาหากิน ดังนั้นคุณก็กลับบ้านของคุณกลับไปทำมาหากินที่บ้านเกิดของคุณนั้นแหละ ทำไมถึงให้กลับบ้านก็เพราะตัวคุณมีทุนรอนอยู่ในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องไปลงทุน ไม่ต้องซื้อไปหาที่ไหนอีกของดีมีอยู่กับตัวคุณ การที่คุณกลับไปทำงานที่บ้านเกิด ต้องกลับไปทำงานแบบใช้สติปัญญาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

    ยกตัวอย่างเช่น บ้านคุณทำนา คุณก็กลับไปทำนาเหมือนเดิม แต่คุณต้องใช้สติปัญญาของคุณด้วยว่า เหตุใดคุณทำนาแล้ว ถึงไม่มีเงินเก็บสักที เป็นเพราะสาเหตุใด คุณทำนาแต่พอขายข้าวได้แล้ว คุณต้องนำเงินไปใช้หนี้เขา ไม่ว่าจะเป็นค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่าแรง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ดังนั้นคุณควรจะคิดแล้วว่าคุณจะทำอย่างไร คุณมีที่นาอยู่ 20 ไร่ คุณก็แบ่งทำนาสัก 5 ไร่ ส่วนที่คุณทำนานั้น คุณต้องทำอย่างไรถึงจะลงทุนให้น้อยที่สุด มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณต้องค้นหาวิธีคิดด้วย ตัวของคุณเอง เช่น เราก็ทำนาแบบที่ไม่ต้องซื้อปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักส่วนยาฆ่าแมลงก็ใช้สารสกัดชีวภาพ หรือสมุนไพรในท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งสูตรต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถค้นคว้าได้จากตำรับตำราต่าง ๆ ห้องสมุดหรือหน่วยงานราชการที่ส่งเสริมด้านการเกษตรอยู่ คุณก็ไปค้นคว้า หาข้อมูลต่าง ๆ พยายามใช้ของธรรมชาติที่มีอยู่รอบตัวเราให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    ข้าวที่คุณได้มานั้นก็เป็นข้าวที่ปลอดภัย ปราศจากสารพิษ สารเคมี และยาฆ่าแมลงใด ๆ ข้าวที่คุณปลูกขึ้นมาได้ ก็เก็บไว้กิน ไว้ใช้ในครอบครัวส่วนที่เหลือคุณก็ค่อยนำออกมาขาย เก็บเงินนั้นไว้เป็นเงินออมไม่ใช่ปลูกข้าวได้เท่าไร ก็คิดจะนำไปขายเสียทั้งหมด แล้วเอาเงินที่ขายได้ไปซื้อข้าวกิน ถ้าคุณคิดได้แบบนี้ ชาตินี้ทั้งชาติ คุณก็ไม่มีวันลืมตาอ้าปากกับใครเขาได้หรอก ให้ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ท่านแนะวิธีให้แล้ว เราต้องมาปรับใช้ให้เข้ากับตัวเราเอง

    เหตุผลว่าทำไมต้องกลับไปตั้งหลักที่บ้านเกิดของคุณ คุณลองคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่า ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจแบบนี้โรงงาน บริษัท ห้างร้านต่าง ๆ พากันล้มเลิกกิจการ หรือไม่ก็ปรับขนาดของกิจการลง เพื่อความอยู่รอด เพราะฉะนั้น คุณก็ต้องรู้จักเอาตัวรอดเหมือนกัน แต่เป็นการเอาตัวรอดอย่างมีสติ มีคุณธรรม ไม่ใช่เอาตัวรอดด้วยการไปเบียดเบียนหรือหลอกลวงผู้อื่น คุณต้องใช้ความรู้ ความสามารถ และศักยภาพที่มีอยู่ในตัวคุณ ให้เกิดคุณประโยชน์สูงสุด

    คุณรู้ไหมว่า คุณมีภูมิปัญญาดั้งเดิมอยู่แล้ว พ่อแม่ปู่ย่าตายายและตัวคุณเองก็เป็นชาวนา ภูมิปัญญาและองค์ความรู้ต่าง ๆ คุณมีอยู่ในสายเลือดแล้วไม่ต้องไปลองผิด ลองถูก หรือไปเริ่มต้นเรียนรู้ หรือลงทุนอะไรใหม่ ๆ เลย ค้นหาพรสวรรค์ที่มีอยู่ในสายเลือดคุณให้เจอ แล้วนำไปพัฒนาหรือต่อยอดเสีย เมื่อคุณมีพรสวรรค์ก็นำพรสวรรค์ของคุณนั้น พัฒนาไปกับพรแสวงด้วย ใช้วิชาความรู้ที่เรียน ได้ทำงาน และประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตคุณ ค้นหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะเหมาะสมกับอาชีพของคุณที่จะทำต่อไปนี้ให้ได้

    สำหรับคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำมาหาิกินในกรุงเทพฯ อาจจะตระหนักดีว่าที่บ้านเกิดคุณ ถ้าคุณอยู่อย่างพอเพียง คุณก็อยู่ได้ ปลูกข้าว ทำสวน เลี้ยงสัตว์ก็สามารถพอเลี้ยงตัวเองได้ ถึงแม้อาจจะไม่ร่ำรวย แต่ก็พอมีพอกินการที่คุณเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ คุณหามาได้เท่าไรก็ไม่เคยพอใช้ เพราะอะไรต่ออะไรในกรุงเทพฯ ก็เป็นค่าใช้จ่ายทั้งนั้น แค่ก้าวเท้าเดินออกจากประตูบ้าน คุณก็เสียเงินแล้ว ลำพังคุณอยู่บ้านเกิด คุณมีเงินแค่ 3,000.-คุณก็อยู่ได้ทั้งเดือน ถ้าคุณไม่มีหนี้สิน คุณก็อยู่ได้สบาย ๆ

    ประโยชน์ของการกลับไปประกอบอาชีพที่บ้าน

    ชีวิตคุณและครอบครัวของคุณก็มีความสุข ความอบอุ่น ก่อนหน้านี้คุณต้องทิ้งบ้านเกิด ทิ้งพ่อแม่และลูกให้อยู่กันตามลำพัง โดยหวังว่าการเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ นั้น จะทำให้คุณมีรายได้มากขึ้น แต่คุณลืมคิดไปว่าการเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ นั้น ค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพสูง คุณหาเงินมาได้เท่าไร ก็เป็นรายจ่ายไปหมดแทบทุกอย่าง แถมไม่พอยังต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาอีกเพราะบ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ ไปทำงานก็ต้องจ่ายค่ารถ จริงอยู่คุณอาจจะหาเงินได้ 10,000.- แต่รายจ่ายคุณมากซะจนไม่เหลือ อย่างเก่ง ๆ ก็พอจะเจียดเงินไปให้ที่บ้านได้เดือนละ 2-3 พันบาท

    วันหนึ่ง ๆ ของคุณ ตื่นขึ้นมาก็ต้องรีบไปทำงานแต่เช้า เพราะถ้าสายรถติดไปทำงานไม่ทัน โดนหักเงินเดือนเข้าไปอีก พอเลิกงานก็เบียดเสียดกันบนรถเมล์ กว่าจะถึงบ้านได้ก็มืดค่ำ เหนื่อย ๆ ก็เหนื่อย หิวก็หิว ไม่ใช่หรือแต่ถ้าคุณอยู่ที่บ้านเกิด คุณแทบไม่ต้องใช้เงินเลย ข้าวก็ปลูกไว้กิน ผักหญ้าก็มีในสวน ปู ปลา ก็มีในนา ในแม่น้ำลำคลอง แค่มีข้าว น้ำพริก ไข่เจียว ก็กินได้ทั้งครอบครัวแล้ว

    คุณรู้มั้ยว่า พ่อแม่ลูกคุณจะมีความสุขใจแค่ไหนที่ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเงินทองอาจจะซื้อความสะดวกสบาย แต่ความสุขในใจนั้น มีค่ามากกว่าเงินทองใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่เชื่อคุณก็ลองถามพวกท่านสิว่า ระหว่างให้คุณมาอยู่ที่กรุงเทพฯ กับกลับมาทำงานที่บ้านเกิด ท่านจะตอบแบบใดคุณอาจจะพูดได้ว่า กลับบ้านแล้วไม่รู้จะทำมาหากินอะไรไม่มีงานทำ กลับมาก็จะพากันอดตายเสียเปล่า ๆ แต่ถ้าคุณคิดได้ คิดเป็น มีหรือจะไม่มีอาชีพให้คุณทำกิน ค้นหาตัวตนของคุณให้เจอ แล้วคุณจะพบคำตอบ

    พัฒนาสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    เช่น คุณมีที่ดินสัก 50, 100 ตรว. หรือเป็นสิบ ๆ ไร่ก็แล้วแต่ ให้นำสิ่งนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทุก ๆ ส่วนให้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจมีที่ดินสัก 10 ไร่ คุณก็อาจจะแบ่งมาปลูกข้าวสัก 2 ไร่ ส่วนที่เหลือคุณก็อาจจะปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ โดยคิดกันไว้สำหรับกินกันภายในครอบครัว ส่วนที่เหลือกินก็เก็บเอาไปขาย ไว้เป็นเงินออมสำหรับยามจำเป็นต้องใช้เงิน และส่วนที่คุณไว้ปลูกข้าวนั้น รอบ ๆ คันนา คุณก็อาจจะลงต้นไม้ที่ให้เกิดประโยชน์ ออกดอกออกผล เช่น ต้นตาล เหมือนกับสังคมชนบทสมัียก่อนที่มักจะปลูกต้นตาลไว้ตามคันนา ประโยชน์ของต้นตาลนั้นสามารถนำมาใช้ได้ทุก ๆ ส่วนของต้นเลยทีเดียว


    จะว่าไปแล้วสังคมชนบทสมัยนี้ก็แปลก ๆ มีที่ดินไว้ทำมาหากินค่อนข้างเหลือเฟือด้วยซ้ำ แทนที่จะนำที่ดินของตนแบ่งปลูกพืชผักสวนครัว เช่น ต้นกระเพรา, โหระพา, สาระแหน่, ขิง, ข่า, ตะไคร้ มักจะชอบไปซื้อหากันที่ตลาด จริงอยู่อาจจะขายแค่กำละบาทสองบาทแต่พืชผักจำพวกนี้ ปลูกก็ง่าย ขายก็ได้ มักไม่ค่อยชอบปลูกกัน ชอบที่จะไปเสียเงินเสียทองกันโดยเปล่าประโยชน์ อย่างรั้วบ้านเป็นต้น แทนที่จะทำรั้วคอนกรีตให้เสียเงินเสียทอง ก็น่าจะไปตัดต้นไผ่ที่ปลูก ๆ กันไว้มาทำเป็นรั้ว แล้วก็ปลูกพืชผักเช่น ถั่วฝักยาว ถั่วพลู ตำลึง เป็นรั้วกินได้ แถมเหลือเอาไว้ขาย ไว้แจกได้อีกต่างหาก

    คนไทยสมัยก่อน มักจะปลูกพืชผักทุกประเภทไว้ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นมะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ พืชผักต่าง ๆ ก็มักจะปลูกทิ้ง ๆ ไว้อย่างละ 2-3 ต้น ปลูกเพียงแค่นี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว แต่คนไทยยุคโลกาภิวัฒน์ มักจะชอบปลูกพืชตามระบบทุนนิยม โค่นต้นไม้ ผลไม้ ที่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ปลูกกันไว้กิน หันไปปลูกพืชที่สามารถนำออกไปขายหวังได้เงินเป็นกอบเป็นกำ แล้วก็หันไปซื้อผัก ซื้อผลไม้แทน อย่างเช่นเดียวกันกับที่ชาวนาปลูกข้าวขายข้าวได้เงินแล้วก็มาซื้อข้าวกิน ฉันใดก็ฉันนั้นเลย

    เพราะฉะนั้น เราต้องกลับไปคิดย้อนรอยเดิมของภูมิปัญญาแบบไทยสมัยดั้งเดิม อย่าไปทำตามแบบเขาเสียหมดทุกอย่าง ต้องหัดมองการณ์ไกลด้วยเหตุและผลต้องรู้จักคิดว่า การที่เขาปลูกแบบนั้นแล้วได้เงินดี ทุก ๆ คนก็พลอยหันไปปลูกตามกันหมดนั้น ผลสุดท้ายสิ่งที่ปลูกออกมานั้นก็ล้นตลาด ขายไม่ได้ราคาไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ถ้าเราทำอย่างพอมีพอกิน พอเหมาะสมตามกำลังของตนเองแล้วละก็ เราก็จะไม่มีวันอดอย่างแน่นอน

    ทุก ๆ คนอาจจะสงสัยว่า แล้วคนที่ไม่มีที่ดินทำกินจะทำอย่างไรดี จริง ๆ แล้ว คนที่อยู่บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ตึกแถว คอนโด หรือห้องเช่าก็ตามทีสามารถคิดหาวิธีที่จะลดรายจ่ายลงได้ อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้นเลย คือ ลดรายจ่ายให้มากที่สุด จ่ายแต่เฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น

    อันดับแรกเรามาดูเรื่องของ อาหาร

    คนเราทุกคนต้องทานข้าว เพราะเป็นปัจจัย 4 ขั้น
    พื้นฐานของเราทุกคน แต่จะทำอย่างไรดี ถึงจะต้องจ่ายค่าอาหารให้น้อยลงไปกว่านี้ได้ เราก็ต้องมาพิจาณาแล้วว่า สิ่งใดควรซื้อและสิ่งใดไม่จำเป็นต้องซื้อ เช่นเราต้องซื้อผักมากิน เราก็หันมาปลูกแทน เช่ิน พริก กระเพรา โหระพาผักสวนครัวที่เราต้องใช้ทำอาหารบ่อย ๆ และปลูกง่าย เป็นต้นไม้ที่สามารถปลูกในกระถาง หรือมีที่ว่าง ๆ ในบ้านก็ทำได้ หรืออาจจะเป็นดาดฟ้าของตึกอพาร์ทเมนท์ ซึ่งเราก็ไปขอเจ้าของเขาว่าเราจะทำแบบนี้ เจ้าของเขาน่าจะดีใจเสียอีกที่ตึกเขาจะได้ร่มรื่น มีต้นไม้ใบหญ้าเป็นทั้งอาหารปาก อาหารตาอาหารใจ ถ้ากลัวจะเปลืองน้ำ คุณก็หาขวดน้ำเปล่า ๆ เจาะรู ตั้งไว้ข้างกระถาง หรือไม่ก็ทำเป็นราวแขวนไว้ เราเรียกว่าระบบน้ำหยด จะได้ไม่ต้องคอยรดน้ำบ่อย ๆ เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลา

    หรือถ้าจะต่อเป็นชั้น ๆ ก็วางได้อีกตั้งหลายต้น ปลูกอย่างละกระถาง แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว เพราะสมัยนี้ซื้อของอย่างต่ำ ๆ ก็ต้อง 5 บาท ซื้อเข้าไปหลาย ๆ อย่าง ก็ตกเป็นเงินหลายสิบบาทอยู่เหมือนกันคุณปลูกพืชผักสวนครัวประเภทนี้ นอกจากจะช่วยประหยัดแล้ว ยังจัดได้ว่าเป็นงานอดิเรกชนิดหนึ่ง แทนที่คุณจะไปพักผ่อนหย่อนใจตามร้านอาหาร ตามศูนย์การค้าให้เสียเงินเสียทอง คุณก็ใช้เวลาว่างเหล่านี้มาดูแลต้นไม้ใบหญ้าของคุณ พอเหลือกิน เหลือใช้ ก็เอาไปขายบ้าง ไปแจกเพื่อนบ้านคุณบ้าง ดีเสียอีก เขาจะได้คอยเป็นหูเป็นตาให้เราเวลาเราไม่อยู่บ้าน แถมจะได้เพื่อนบ้านดี ๆ เพิ่มขึ้นอีก

    การทำอาหาร ก่อนหน้านี้คนที่เป็นแม่บ้านมักจะต้องเตรียมทำกับข้าวทุก ๆ มื้อให้ครอบครัวทาน เราก็เปลี่ยนจากการทำกับข้าวทุกมื้อ มาเป็นการทำกับข้าวเพียงมื้อเดียวก็พอ แต่ทำเป็นหม้อใหญ่ กินกันได้ทั้งบ้าน หรือไม่ก็ทำใส่ตู้เย็นเข้าช่องแช่แข็งไปเลย นึกอยากจะทานเมื่อไหร่ ก็แค่เอาออกมาอุ่น ก็ทานกันได้แล้วดีกว่าอาหารแช่แข็งของหลาย ๆ ยี่ห้อเสียอีก กินก็อิ่ม แถมถูกกว่าด้วย ตัวคุณเองก็จะได้ประหยัดค่าแก๊ส ค่าอาหาร และก็มีเวลาว่าง ที่จะพอมองหาอาชีพเสริมเพื่อหารายได้เพิ่มให้ครอบครัวไปได้อีก

    ขอยกตัวเองมาเป็นตัวอย่างนิดหนึ่งก็แล้วกัน จะได้มองเห็นภาพได้ง่าย ๆ ถ้าคนที่รู้จักไอยตั้งแต่เริ่มแรก แล้วมาเห็นไอยใหม่อีกที ทุกคนจะทักกันเป็นเสียงเดียวเลยว่า ทำไมพี่ไอยผอมลง ทำไมสวยขึ้น Ha...Ha...Ha ขอโทษที คนมันจะสวยห้ามกันไม่ได้ค้าแหมล้อเล่นนะค่ะ พอคนทักแบบนี้ ไอยก็จะสวนกลับไปว่าไม่มีอันจะกินค่ะ แต่ก็มีบางคนนกรู้สวนกลับมาว่า สมพรปากร้าย ถ้าอย่างนั้นเอาคืนไปเถอะค่ะ ไม่เอาด้วยหรอก จริง ๆ แล้ว ไอยใช้หลักการลดรายจ่ายนี่แหละค่ะ แต่ก่อนนี้เคยทานตั้ง 3 มื้อ แถมขนมนมเนยอีกต่างหาก เฉพาะค่ากับข้าว วันหนึ่ง ๆ ตกประมาณ 150-200 บาท ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกนะค่ะ ถ้าออกไปข้างนอกแล้วจะมากกว่านี้อีก ตอนหลังด้วยความอยากผอม แต่เราไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย ไอยก็เลยใช้วิธีค่อย ๆ ลดอาหารลง พอดีจังหวะช่วงถือศีลก็เลยบวกเข้าไปด้วย เห็นมั้ยค่ะ ผอมแล้วยังได้บุญอีกต่างหาก ถือเป็นกุศโลบายอันแยบคายอย่างหนึ่ง

    ไอยใช้หลักการในการทำอาหารง่าย ๆ เลย คื
    อ ซื้อไข่มาไว้เป็นโหล ๆ ซื้อปลากระป๋อง (เอาแบบทูน่าสเต็ค) ซื้อผัก ซื้อเต้าหู้ ตุนเอาไว้ในตู้เย็นและจะจ่ายกับข้าวอาทิตย์ละครั้ง เพราะจะได้ประหยัดค่ารถยังไงละค่ะ พอจะเอามาทำกับข้าว ไอยก็เจียวไข่ ใส่ปลากระป๋อง เติมเต้าหู้ ผักต่าง ๆปรุงนู่น ปรุงนี่ ก็ได้กับข้าวมาหม้อหนึ่ง แล้วปรากฏว่าหม้อนั้นของไอย กินได้ถึง 2-3 วัน เพราะถ้ากินไม่หมด ไอยก็ใส่ตู้เย็นไว้ ค่าใช้จ่ายในการทำ ก็อยู่ประมาณ 30-40 บาท เฉลี่ยแล้ววันหนึ่งก็ประมาณ 15 บาท เพราะไอยกินมื้อหลักแค่มื้อเดียว

    ดังนั้นพักหลัง ๆ จะทำอาหารกินเอง แต่จะทำแบบง่าย ๆ เช่น ผักถั่วงอกกับเต้าหู้ ผัดไทยไร้เส้นบ้าง สลับสับเปลี่ยนกันไป จะได้ไม่เบื่อ เห็นมั้ยค่ะ กินก็อิ่มแถมประหยัดอีกต่างหากผลปรากฏว่าไอยใช้เงินไม่ถึง 2,000.- เลยทั้งเดือน เพราะค่าน้ำไม่เสีย แถมค่าไฟเสียแค่ครึ่งเดียว เพราะอยู่คนเดียว มีเงินส่งให้ที่บ้าน แถมมีเงินเหลือไปตระเวณทำบุญที่นั่นที่นี่อีก สบายไปเลย แต่ก่อนนี้มีคนมาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนเขามีเงิน 2,000.- เขาอยู่ได้ทั้งเดือน ตอนนั้นไอยก็ไม่ค่อยเชื่อแหมจะอยู่ได้ยังไงนะ ไอยใช้เงิน 2,000.- เผลอ ๆ วันเดียวก็หมดแล้วทีนี้มาลองกับตัวเองถึงได้รู้ว่า ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิด รู้จักเอาตัวรอดเราก็ทำได้ โดยไม่ต้องไปเบียดเบียนใครทั้งสิ้น

    ูดถึงเรื่องการพัฒนาที่ดินแล้ว การประหยัดแล้ว บางคนอาจจะพูดว่าผมก็ทำทุกอย่างแล้วแต่ยังไม่รู้เลยจะทำมาหากินอะไรเป็นอาชีพดี ตั้งใจอ่านกันให้ดี ๆ นะค่ะเพราะต่อจากนี้ไปจะบอกหลักการในการประกอบอาชีพ เพื่อให้เป็นรายได้สำหรับคนที่ตกงาน หรือคิดที่จะเปลี่ยนงาน


    (ท่านที่สนใจบทความนี้ของคุณไอย สามารถอ่านต่อได้ท่าลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ)

    ที่มาhttp://palungjit.org/threads/การเตรียมการรับมือภัยพิบัติทางเศรษฐกิจ.166570/page-6
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2011
  11. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    <table class="tbis" align="center" border="0" cellpadding="5" cellspacing="0" width="840"><tbody><tr class="tbis1" bgcolor="#336699"><td nowrap="nowrap" width="130">วัน-เวลา *ประเทศไทย</td> <td nowrap="nowrap" align="center" width="40">ขนาด</td> <td nowrap="nowrap" align="center" width="50">Latitude</td> <td nowrap="nowrap" align="center" width="50">Longitude</td> <td nowrap="nowrap" align="center" width="50">Phase</td> <td nowrap="nowrap" width="">บริเวณที่เกิด</td> <td width="20">
    </td> </tr> <tr class="tbis3"> <td valign="top">2554-12-09 17:01:53</td> <td align="center" valign="top">2.0</td> <td align="center" valign="top">17.14</td> <td align="center" valign="top">98.67</td> <td align="center" valign="top">9</td> <td valign="top">ต.แม่ตื่น อ.แม่ระมาด จ.ตาก</td> <td>
    </td> </tr> <tr class="tbis2"> <td valign="top">2554-12-08 12:38:22</td> <td align="center" valign="top">1.8</td> <td align="center" valign="top">17.47</td> <td align="center" valign="top">98.23</td> <td align="center" valign="top">8</td> <td valign="top">ต.แม่อุสุ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก</td> <td>
    </td> </tr> <tr class="tbis3"> <td valign="top">2554-12-08 10:34:03</td> <td align="center" valign="top">2.1</td> <td align="center" valign="top">19.57</td> <td align="center" valign="top">99.12</td> <td align="center" valign="top">11</td> <td valign="top">ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่</td> <td>
    </td> </tr> <tr class="tbis2"> <td valign="top">2554-12-08 08:38:50</td> <td align="center" valign="top">3.3</td> <td align="center" valign="top">20.48</td> <td align="center" valign="top">98.82</td> <td align="center" valign="top">20</td> <td valign="top">ประเทศพม่า </td> <td>
    </td> </tr> <tr class="tbis3"> <td valign="top">2554-12-08 08:29:41</td> <td align="center" valign="top">3.4</td> <td align="center" valign="top">20.46</td> <td align="center" valign="top">100.11</td> <td align="center" valign="top">10</td> <td valign="top">ประเทศพม่า</td> <td>
    </td> </tr> <tr class="tbis2"> <td valign="top">2554-12-08 08:08:02</td> <td align="center" valign="top">2.8</td> <td align="center" valign="top">20.55</td> <td align="center" valign="top">100.23</td> <td align="center" valign="top">12</td> <td valign="top">ประเทศลาว</td></tr></tbody></table>
     
  12. โก๋ก้อย

    โก๋ก้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +149
    เบื่อการเมืองเบื่อการแตกแยก ไม่เหนื่อยกันบ้างรึไง
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    บุญ/บาปทางอินเทอร์เน็ต
    โดยคุณดังตฤณ

    [​IMG]

    ถามการเขียนข้อความหรือนำเสนอเนื้อหาอะไรผ่านอินเตอร์น็ต โดยใช้นามแฝง ถือเป็นกรรมหรือไม่ ? เพราะไม่มีใครรู้จักชื่อเรา ไม่มีใครเห็นหน้าเรา ไม่มีใครได้ยินเสียงเรา เหมือนเราไม่มีตัวตน

    ตอบ ผมเห็นว่าคำถามนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องกรรมได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ยังนึกว่าการก่อกรรมเป็นเรื่องที่ต้องโชว์ตัว โชว์เสียง หรืออย่างน้อยก็ต้องมีชื่อแซ่ของเจ้าตัวปรากฏเป็นที่รับรู้เสียก่อน ความเข้าใจดังกล่าวนั้นคลาดเคลื่อนนะครับ กรรมนั้นคือเจตนา ต่อให้คุณนอนคิดร้ายอยู่บนยอดเขา ไม่มีใครเห็น คุณก็ทราบชัดอยู่แก่ใจ และสามารถสำเหนียกรู้สึกได้ว่า ใจคุณดำมืดเพราะโดนเมฆหมอกอกุศลทาบทับแล้ว

    สำหรับกรรมที่ทำอยู่ในใจจริงๆ มีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคุณเองคนเดียวนั้น เรียกว่า ‘มโนกรรม’ สำหรับมโนกรรมนั้นจะสำเร็จสมบูรณ์เต็มขั้นในทันที ที่ตั้งใจคิดและมีความยินดีกับความคิดนั้น หากจะพูดว่ามโนกรรมคือกรรมที่ก่อแล้วยังไม่ทันส่งผลกระทบดีร้ายกับผู้อื่นก็คงได้ ตัวอย่างเช่น คุณคิดจะด่าเขา แต่ระงับใจไม่ด่า อย่างนั้นก็เป็นเพียงมโนกรรมอันเป็นอกุศล มีผลให้จิตคุณทุกข์ร้อนอยู่คนเดียว ยังไม่เป็นวจีกรรม ยังไม่มีเสียงกระทบหูใครให้ใจเป็นทุกข์ขึ้นมา

    แต่หากคลื่นความคิดแรงจนทะลักรั้วกั้น หลุดจากสมองไปกระทบผู้อื่น ไม่ว่าจะทางภาษาพูดหรือภาษาเขียน ทำให้เขาเกิดความเข้าใจว่าคุณคิดอย่างไร ตรงนั้นจัดว่าเป็นวจีกรรมได้หมด พูดง่ายๆ ว่า ‘ภาษา’ นั่นเอง คือเครื่องมือก่อวจีกรรมของมนุษย์

    ฉะนั้น คุณจะแอบเขียนอะไรทางอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝงเฉพาะกิจ ไม่มีใครอื่นรู้เห็น ไม่มีใครรู้จักเลย แม้เพียงครั้งเดียวก็นับว่าสร้างวจีกรรมไปแล้วหนึ่งครั้ง และกรรมก็จะติดตามคุณเป็นเงาตามตัว ไม่ผิดต่างไปจากกรรมอื่นๆ ที่กระทำโดยเปิดเผยหน้าตาตัวตน เจตนาเกิดขึ้นที่จิตของคุณ กรรมก็เกิดที่จิตของคุณเช่นกัน เพราะกรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าบุคคลคิดแล้วจึงก่อกรรมทางกาย วาจา ใจ

    อินเตอร์เน็ตเปิดโอกาสให้เราเห็นอะไรหลากหลายจริงๆ แม้แต่การทำงานของกรรม อย่างเช่นที่ผมรู้จักหลายๆคน เห็นกรรมทางวาจาของเขาในเบื้องต้น แล้วได้เห็นพัฒนาการหรือความเสื่อมทรามทางจิตใจในเวลาต่อมา เป็นไปตามวิธีคิดเขียนให้ดีให้ร้ายแก่ผู้อื่น

    ผู้ก่อความวุ่นวาย นานไปย่อมมีจิตใจที่วุ่นวาย ปั่นป่วนเหมือนพายุ และแสดงแนวโน้มที่จะฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปในเรื่องเหลวไหล พูดจาจับต้นชนปลายไม่ติดมากขึ้นเรื่อยๆ

    ผู้ก่อกระแสความเยือกเย็น นานไปย่อมมีจิตใจเยือกเย็น สงบราบคาบผาสุก และแสดงแนวโน้มที่จะแน่วนิ่งหนักแน่นในเรื่องเป็นเหตุเป็นผล พูดจามีต้นมีปลายมากขึ้นเรื่อยๆ

    บอกได้เลยครับว่า วจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะให้ผลเร็วและแรงเสียยิ่งกว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงเสียอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร ? เพราะบนอินเตอร์เน็ตอาจมีผู้รับคำพูดของคุณจำนวนมาก ขอให้ลองนึกดู หากคุณพูดเบาๆ ว่า ‘ไอ้โง่’ ก็อาจมีคุณคนเดียวในโลกที่ได้ยินเสียงอกุศลของตัวเอง

    แต่ถ้าคุณพิมพ์คำว่า ‘ไอ้โง่’ ลงในกระทู้ของเว็บบอร์ดที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมคับคั่ง คุณไม่มีทางปรับให้ดังหรือเบาได้ตามใจชอบได้เลย คุณทำอกุศลกรรมกับคนแบบไม่เลือกหน้าเข้าแล้ว คำด่านั้นอาจทำให้คนนับพันนับหมื่นเกิดความแสลงใจ ความแสลงใจของคนนับไม่ถ้วนนั่นแหละ จะย้อนกลับมาก่อเหตุให้คุณแสลงใจยิ่งกว่าพวกเขาได้

    ผมเห็นแล้วนึกเสียดายครับ หลายคนยังเป็นเด็ก และมีความสนุกที่จะขีดเขียนข้อความฝากไว้ในอินเตอร์เน็ตด้วยความคึกคะนอง บางทีไม่รู้ตัวเลยว่าเอาอนาคตมาทิ้งเสียด้วยการสนทนาแบบไร้หน้าไร้เสียงนี่เอง

    โอกาสก่อกรรมในยุคไอทีของพวกเรานี้ มีได้เป็นร้อยเป็นพันเท่า มากกว่ายุคอื่นครับ กระดิกนิ้วง่ายๆ ไม่กี่ที ผล (กรรม) อาจใหญ่หลวงยิ่งกว่าพยายามพูดในห้องประชุมใหญ่หลายๆ อาทิตย์เสียอีก หากจิตตั้งไว้ดีแล้วก็สบายตัวไป แต่หากจิตยังตั้งไว้ในมุมมืด อย่างนั้นก็คงน่าเป็นห่วงหน่อยล่ะ

    ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=27765


    หมายเหตุ

    กระทู้ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยตามคำทำนายจริงหรือไม่นี้ มีผู้เข้าชมคับคั่งมาก ประมาณ 3,000 - 5,000 พันคนในแต่ละวัน วจีกรรมใดๆ ที่คุณได้แสดงในกระทู้นี้ อาจทำให้มีคนแสลงใจนับเป็นพันๆ คนในแต่ละวัน ฉะนั้นก่อนที่คุณจะแสดงข้อความใดๆ กรุณาคิดทบทวนดูให้ดีเสียก่อน เพราะมันจะเป็นการสร้างบาปกรรมทางด้านวจีกรรมกับผู้อื่น ซึ่งจะทำให้คุณต้องรับกรรมนี้ไปอีกนานแสนนาน...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2011
  14. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949

    [​IMG]

    ปลายักษ์ 2 ตัวนี้หรือเปล่าครับท่าน
    หรือ ปลาอานนท์จะพลิกตัว
    หรือ ปลาดุกยักษ์ จะพลิกตัว

    ถ้าเป็นปลาพลิกตัว คงเเผ่นดินไหวใหญ่สินะ
    ขอบพระคุณที่ชี้เตือน
     
  15. เเตงโม

    เเตงโม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +0

    โห..ที่ผ่านมายังไม่ร้ายเเรงอีกหรอคะ?เเต่นู๋คิดว่าถ้าเราเข้าสู่ยุคศิวิไล ทองก็น่าจะไม่สำคัญอะไรเท่าจิตใจที่ดีงามมั้งคะ(คือ..นู๋ยังเด้ก อาจคิดเเบบเด้กๆน่ะค่ะ)
     
  16. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ประวัติศาสตร์มันก็ซ้ำรอยเดิมๆ เหมือนแฟชั่นนั่นแหละ พอครบรอบ รึถึงเวลาของมัน ก็จะเวียนกลับมาอย่างเก่าอีก

    แผ่นดินไหวที่โยนกนคร
    www.reurnthai.com/index.php?topic=4310.0;wap2

    [​IMG]

    นักโบราณคดีชาวบ้านแบบผม ได้กลับไปค้นคว้าประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงราย และพบว่า ในแถบนี้สมัยโบราณ กว่า 700 ปีมาแล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่มาแล้วหลายครั้ง


    การบันทึกประวัติศาสตร์ในสมัยก่อน คุณพ่อผม ได้เคยบอกเล่าไว้ว่า การจะสืบค้นประวัติศาสตร์เก่าๆให้ตามดูตำนาน หรือเรื่องเล่า เพราะเป็นหนึ่งในการบันทึกประวัติศาตร์ในรูปแบบเรื่องเล่า เช่น ประวัติเมืองเชียงแสน (ทิศเหนือของ อ.เมืองเชียงราย)

    เวียงหนองหล่ม ตั้งอยู่ที่เขตติดต่อระหว่างตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน กับตำบลจันจว้าอำเภอแม่จัน จากหลักฐานที่ได้จากการสำรวจ สันนิษฐานว่า อยู่ระหว่างยุคหินใหม่ ถึงไม่เกินพุทธศตวรรษที่ ๑๙


    ตำนานและพงศาวดารหลายเล่มกล่าวตรงกันว่า เจ้าชายสิงหนวัติ พาผู้คนมาหาที่ตั้งเมือง พอมาถึงแม่น้ำโขง ก็พบนาคจำแลงเป็นชาย มาบอกสถานที่สร้างเมือง จึงตั้งเมืองโยนกนาคพันสิงหนวัติ โดยเอาชื่อองค์ผู้สร้างเมืองรวมกับชื่อนาค หรือโยนกนครหลวง
    มีกษัตริย์ปกครองสืบจนถึงสมัยพระเจ้ามหาไชยชนะ


    ต่อมา ผู้คนจับปลาไหลเผือกได้ที่แม่น้ำกก จึงนำมาแบ่งกันกินทั่วเมือง เว้นแต่หญิงม่ายนางหนึ่ง ไม่มีลูกหลานไม่มีใครให้กิน ตกกลางคืน เกิดแผ่นดินไหว เมืองถล่มลง เหลือแต่บริเวณบ้านของหญิงม่าย จึงเรียกน้ำนั้นว่าเกาะแม่ม่าย และเรียกเมืองนั้นว่าเวียงหนองล่ม หรือเวียงหนอง


    จากโครงการอนุรักษ์เมืองโบราณและประวัติศาสตร์เชียงแสน มีการสำรวจพื้นที่ของเวียงหนองล่มหลายครั้ง


    เกาะดอนแท่น หรือเกาะหลวง เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความคลุมเครือในเรื่องสถานที่ตั้ง แต่มีปรากฏในตำนานและพงศาวดารหลายเล่ม ต่างกล่าวตรงกันว่า


    เมื่อพระเจ้าแสนภูสร้างเมืองเชียงแสน ทรงประทับอยู่ในวังบนเกาะดอนแท่น ที่บริเวณหน้าเมืองเชียงแสน จนสวรรคต และตั้งพระบรมศพบนเกาะดอนแท่นระยะหนึ่ง


    นอกจากนี้ เกาะดอนแท่นยัง มีความสำคัญในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาด้วย กล่าวคือ สมัยพระเจ้ากือนาครองเมืองเชียงใหม่ ทรงนำพระสีหลปฏิมาทำพิธีอภิเษกพระบนเกาะดอนแท่น แล้วนำไปประดิษฐานไว้ ณ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงราย


    ราว พ.ศ. ๑๙๒๖ พระมหาเถรเจ้าศิริวัง นำเอาพระพุทธรูปสององค์ เรียกว่า พระแก้วและพระคำ มาสร้างเป็นวัดพระแก้ว และวัดพระคำบนเกาะดอนแท่น


    สมัยพระเจ้าอติโลกราช ทรงให้ร้อยขุนกับสิบอ้านนิมนต์พระพุทธรูปพระเจ้าทองทิพย์องค์หนึ่งจากจอมทอง เมืองเชียงใหม่ ที่เอามาจากเมืองลังกา มาประดิษฐานไว้ที่เกาะดอนแท่น พร้อมทั้งปลูกต้นโพธิ์ไว้ด้วย เป็นที่เคารพสักการะของชาวเชียงแสน


    ต่อมา เกาะดอนแท่น พังทลายลงในแม่น้ำโขง เมื่อใดไม่มีผู้ใดทราบ เนื่องจาก เมืองเชียงแสนร้างไป ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ถึงรัชกาลที่ ๕ จึงฟื้นฟูขึ้นมาเป็นบ้านเมืองอีกครั้ง


    ส่วนพระแก้วพระคำนั้นมีผู้สันนิษฐานว่า พระแก้วนั้น อาจจะไปอยู่กับผู้อพยพชาวไทยวนเมืองเชียงแสน ไปอยู่ที่เมืองลำปาง สำหรับพระคำ ไม่มีปรากฏว่าไปอยู่ที่ใด


    เคยมีการสำรวจหาที่ตั้งของเกาะดอนแท่นหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากกระแสน้ำเชี่ยวกราก น้ำเย็นจัด ประกอบทัศนวิสัยใต้น้ำของแม่น้ำโขง เท่ากับศูนย์ ไม่สามารถมองเห็นใต้น้ำด้วยตาเปล่า


    จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการสำรวจหาที่ตั้งของเกาะดอนแท่น อย่างเป็นทางการ เนื่องจาก แม่น้ำโขงเป็นเส้นทางแบ่งพรมแดนธรรมชาติระหว่างไทย - ลาว เมื่อมิได้มีการขออนุญาตอย่างเป็นทางการ การสำรวจไม่สามารถกระทำได้ เพราะจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ


    การเกิดแผ่นดินไหวที่เชียงรายนั้น น่าจะเกิดต่อเนื่องกันมานาน


    และโดยเหตุนี้กระมังครับ ที่กว่า 700 ปีมาแล้ว นักสร้างเมืองอย่าง พ่อขุนเม็งรายมหาราชจึงได้ทำการย้ายเมืองถึง 3 ครั้ง


    กล่าวคือ เชียงราย เวียงกุมกาม และ เชียงใหม่ในที่สุด


    ข่าวจากทีวี ช่อง 9 เมื่อค่ำวันที่ 25 มีนาคม 2554 คุณสมิทธ ธรรมสโรช ประธานอำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ พูดถึงเรื่องแผ่นดินไหวในภาคเหนือว่า ในปี พ.ศ. 2003 เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่เชียงแสน


    และพูดต่อว่า ตรงกว๊านพะเยานั้น เกิดจากแผ่นดินไหว ทำให้ดินยุบตัวลงไปกลายเป็นกว๊านพะเยา

    [​IMG]


    ประวัติศาสตร์น้ำท่วมเวียงกุมกาม
    www.th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1


    เวียงกุมกาม เป็นเมืองโบราณ ที่พญามังราย (พ่อขุนเม็งราย) ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1829 โดยโปรดให้ขุดคูเวียงทั้ง 4 ด้าน ไขน้ำแม่ปิงให้ขังไว้ ในคูเมืองโบราณสถานที่ปรากฏอยู่ในเวียงกุมกามและใกล้เคียง เป็นเวียง (เมือง) ทดลองที่สร้างขึ้น


    ก่อนที่จะมาเป็นเมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีระยะห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร


    หลังจากที่พญามังรายได้ปกครองและพำนักอยู่ในนครหริภุญชัย (ลำพูน) อยู่ 2 ปี พระองค์ทรงศึกษาสิ่งหลายๆอย่าง และมีพระราชดำริที่จะลองสร้างเมืองขึ้น เมืองนั้นก็คือ เวียงกุมกาม


    แต่พระองค์ก็ทรงสร้างไม่สำเร็จ เพราะเวียงนั้นมีน้ำท่วมอยู่ทุกปี จนพญามังรายจึงทรงต้องไปปรึกษาพระสหาย นั่นก็คือ พ่อขุนรามคำแหง แห่ง สุโขทัย และ พญางำเมือง แห่ง พะเยา


    หลังจากทรงปรึกษากันแล้ว จึงทรงตัดสินใจไปหาที่สร้างเมืองใหม่ ในที่สุดจึงได้พื้นที่นครพิงค์เชียงใหม่เป็นเมืองใหม่ และ เป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนาต่อมา จึงสรุปได้ว่าเวียงกุมกามนั้น เป็นเมืองที่ทดลองสร้าง


    เวียงกุมกามล่มสลายลง เพราะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่

    โดยช่วงเวลานี้อยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2101 - 2317 ซึ่งตรงกับสมัยพม่าปกครองล้านนา พม่าปกครองล้านนาเป็นเวลาสองร้อยกว่าปี


    แต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่กล่าวถึงเวียงกุมกามทั้งๆ ที่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้เป็นเรื่องร้ายแรงมากและสมควรที่จะบันทึกไว้ แต่ก็ไม่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ใดเลย


    ผลของการเกิดน้ำท่วมนี้ ทำให้เวียงกุมกามถูกฝังจมลงอยู่ใต้ตะกอนดิน จนยากที่จะฟื้นฟูกลับมา

    สภาพวัดต่างๆ และโบราณสถานที่สำคัญเหลือเพียงซากวิหารและเจดีย์ร้าง ที่จมอยู่ดินในระดับความลึกจากพื้นดิน ลงไปประมาณ 1.50 -2.00 เมตร
     
  17. parnee

    parnee สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    เวปธรรมะ

    เวปนี้ไม่ใช่เวปการเมือง เป็นเวปธรรมะ ไม่น่าจะมีคนมาพูดจาหยาบคายในนี้เลยน่าเวทนา
     
  18. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,374
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,649
    เรื่องจริงดิฉันเรื่องพลังจิต(อนาคตปีหน้า10 ธ.ค.จะบอก กรุณาเตรียมใจก่อนอ่าน!!) ([​IMG] 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ... หน้าสุดท้าย) [​IMG] interpoo - วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ
    วันนี้ 11:37 AM




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  19. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    พูดตรงๆ ว่า ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้

    คำทำนายปู ปีหน้า...

    1. จะเกิดการชุมนุมทางการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น การเรียกร้อง ชุมนุม ปิดถนน จนถึงจลาจล

    2. อากาศจะแปรปรวน ขนาดหนัก...หน้าไหน เป็นหน้าไหน ไม่รู้แล้ว...แต่ว่า น้ำท่วม ค่ะ น้อยกว่าปีนี้ แต่ก็ท่วมแน่ๆ

    3. จะมีผู้ปลุกระดมคนเพื่อเรียกร้อง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

    4. หัวหน้ารัฐบาล จะมีผู้กล่าวหาว่าผิดในข้อใดข้อหนึ่ง จนถึงศาล และตัดสิน

    5. ในอีก 3 ปีข้างหน้า เราต้องร้องไห้กันด้วยการสูญเสียบุคคลสำคัญ จากการป่วย

    คนไหน ที่ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวบ้านเมือง ทั้งเรื่อง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติ จากเวปไซต์ รวมถึงจากสื่อต่างๆ ก็พอจะ คาดการณ์แนวโน้ม + ความน่าจะเป็นได้อยู่แล้วเด้อพี่น้องเด้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2011
  20. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    สาธุ สาธุ สาธุ ขอให้เป็นเช่นฉะนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...