ผม...พระ...และ...สาระยุคก่อน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย modpong, 8 พฤษภาคม 2010.

  1. mrchainarong

    mrchainarong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,179
    ค่าพลัง:
    +2,006
    ขอบคุณครับพี่ๆทุกคน ที่ให้บทความดีดีอย่างนี้ยังคงอยู่ สู้ๆครับ...
     
  2. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    .....................การประเมินข้อมูล..ที่ว่า..ได้จาก...พ่อผมเกิด ๒๔๕๙...ต้นรัชกาลที่๖...
    ...พ่อผม ๑๐ ขวบ...ก็เป็น ๒๔๖๙..ต้นรัชกาลที่๗(..รัชกาลที่๗ ครองราชย์ ๒๔๖๘)..นั่นเป็น
    ช่วงเวลาที่สอบถาม..หลวงตา..พ่อบอก..หลวงตาน่าจะอายุ..๗๐-๘๐ ...ผมประเมินเป็นค่าต่ำไว้
    ..คือ..เลือกเอา ๗๐..เอาไป..ลบ ๒๔๖๙...ก็ได้..๒๓๙๙..นั่นคือ..หลวงตา..เกิดสมัยต้น..
    รัชกาลที่๔..(ร.๔ ครองราชย์ ๑๖ ปี แล้วสิ้นพระชนม์ ๒๔๑๑ ...รัชกาลที่๕ ขึ้นครองราชย์)....
    ........หลวงตา..บอก..บวชตั้งแต่เป็น..เณร...ตรงนี้สำคัญครับ..ในการเลือกอายุ..เพราะ
    สมัยโบราณ..กับ..สมัยนี้..ช่วงเวลาบวชเณร..ไม่เหมือนกัน...............
    ............คนสมัยโบราณ..เขาไม่บวชเณร..เมื่อเริ่มเป็นหนุ่ม..อย่างยุคนี้...ช่วง๑๔-๑๙..ขวบ
    ..เขาจะไม่บวชกัน...เพราะมีเรี่ยวมีแรงช่วย..พ่อแม่..ทำสวน..ทำไร่..เรียกว่าช่วงฝึกที่จะเป็น
    ผู้ใหญ่..เมื่อหนุ่มหลังบวชพระเป็นงาน..สึกครบพรรษา..ก็ทำงาน..แต่งเมีย..........
    ........ยุคนี้..มีจำนวนมาก..ที่มาบวชเณร..ช่วงใกล้จะหนุ่ม..๑๔-๑๕-๑๖..เพราะหาโอกาศ
    เรียนต่อขั้นสูงได้ง่าย..ถ้าฐานะยากจน..ไม่ต้องเสียค่าเทอม..เรียนยันปริญญาตรี-โท-เอกได้เลย
    ..จบตรี..โท..แล้วก็มีไม่น้อย..ที่สึก..ออกมาหาเมีย..และทำงาน..เป็น..คนธรรมดา...
    ..........อีกพวกขี้เกียจ..หางานทำ..ที่บ้านจน..พ่อแม่เลี้ยงไม่ไหว..ส่งมาบวช...
    ...บวชแล้ว..ได้เงินใส่ซอง..เหลือยังเอาไปฝาก..พ่อแม่ได้ใช้อีก...
    .........ผมเจอมาในช่วง..อายุผม...เยอะแยะ...บอกตรงๆ..ทำใจยาก.......
    .........................เอาละกลับมาเข้าเรื่องเดิม...คนโบราณหลังโกนจุก..ก็นิยมบวชเณรเลย
    ...(๑๓ ขวบ)...หรือ..ถ้าไม่ไว้จุกก็..จะบวชกันตั้งแต่..๑๑-๑๒ขวบ...
    ......ผมเลย..ประเมินขั้นต่ำไว้..ที่ ๑๓ ขวบ..บวกปีเกิดหลวงตาแล้ว..ก็น่าจะบวชเณรประมาณ
    ..๒๔๑๒.......คราวนี้เรามาดูว่า...ตั้งหลายปี...กับ..ไม่กี่ปี....ต่างกันยังไง......
    ......ไม่กี่ปี..นี่ควรจะเป็น..๒ ถึง ๓ ปี (ถ้า ๑ ปี..ก็คือ ปีที่แล้ว).....
    .......ตั้งหลายปีแ้ล้ว...นี่..ควรจะเป็น..ตั้งแต่..๔หรือ๕ ปีขึ้นไป...จนถึง ๑๐ - ๒๐ ปี....
    ....ผมประเมินเลือกข้างต่ำ..ก็เลยเอาสัก ๕ ปี...เอา๕ ไปลบ ๒๔๑๒....ก็จะได้......
    .............๒๔๐๗ บวกลบ..ความคลาดเคลื่อน ๒ ปี...................
    ............ฉะนั้น..ท่านจะเห็นว่าแม้..บวกความคลาดเคลื่อนแล้ว...ท่่านปลัดทองดี...
    ...ก็จะยังมี..อายุอยู่ในช่วง..รัชกาลที่๔ อยู่ดี..(ร.๔ สิ้นพระชนม์ ๒๔๑๑)........
    .....................ต่อตอนหน้าครับ............................

    ............ผมขอแสดงความเสียใจกับ..ทุกท่านและ..ตัวผมเองด้วย....
    ...เมื่อเช้าตื่นขึ้นมา..รีบขึ้นไปห้องพระ..เพราะกลัวลืม...ปรากฏว่า..รูปท่าน
    อันตรธาน..หายไปไหน..ไม่ทราบ..ผมทั้งรื้อทั้งหา..ทุกซอกทุกมุม..อยู่ครึ่งชั่วโมง
    จนหมดแรงกาย..และ..แรงใจ..คือ..รูปพระที่บ้านใส่กรอบไม้แบบเก่า..มีหลายรูป..
    .จนผมก็ไม่ได้สังเแกต..พอมาถึงวันนี้..ท่านหนีไปไหนแล้วไม่ทราบ..เพราะตรงนี้นี่
    ผมห้ามคนอื่นมาขยับยุ่งเด็ดขาด..มันจะว่าบังเอิญ..เหมือนกับที่เล่ามาแล้วว่า....
    ..จะเอารูปท่าน..มาลงเน็ตไม่ได้สักที..มีอันเป็นทุกครั้ง..เหมือนที่ผมเคยเขียนใน
    ประวัติท่าน..ว่า..หนังสือพระรายเดือน..จะมาสัมภาษณ์..ทำประวัติถ่ายรูปท่าน
    ลงหนังสือ..แล้วท่านไม่ยอม..แบบนั้นเลย..สงสัยหลวงอาดี..ไม่อยากออกสื่อมั้ง
    .............จริงอยากบอกว่า..เวลาไหว้พระทุกคืน..ผมจะกำหนดรูปท่านในจิต
    ผมตอนที่ผมลาสึก..กราบท่าน..แล้วท่านรดน้ำมนต์ให้ทุกคืน..มาเป็นเวลานานแล้ว
    ..ก็เลยไม่ได้ไปมอง..รูปนี้..ที่แขวนอยู่ด้านข้าง..คือถ้าไม่เอียงหันหน้าไปดู..ก็จะไม่
    เห็น..ผมก็เลยไม่ทราบว่า..หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่..แต่ไม่เกินปี..แน่นอน..
    ...........ขอโทษทุกท่าน..สักพันครั้ง..ครับ......................

    .................นั่น..ทีผมวิเคราะห์มา..จึงมีความน่าจะเป็น..สูงมาก..ที่ท่านปลัดทองดี..จะเสียในสมัย
    รัชกาลที่ ๔..และ..ช่วงสมัย..รัชกาลที่ ๔ นี้ถือว่า..สั้น..เพียงแค่ ๑๖ ปี..แสดงว่าคือช่วงปลายอายุ(ใกล้
    มรณภาพ..แก่มาก)..ของปลัดทองดี..ช่วงค่อนข้างสูงวัยน่าจะอยู่ในยุค..รัชกาลที่ ๓..ซึ่งการทำพระ..ก็มี
    ความเป็นไปได้สูง..ที่อยู่ยุคนี้..แล้วกอาจต่อเลยมาต้นยุค รัชกาลที่ ๔.....ซึ่ีงขณะที รัชกาลที่ ๔ เสีย..
    เจ้าคุณเฒ่า..ไม่ได้เฒ่าเลย..ยังหนุ่มฟ้อ..อายุประมาณ ๓๖ ปี..ก็เรียกว่า..ยังไม่น่าจะศึกษาวิทยาคม..ได้
    สำเร็จหมดด้วยซ้ำ..........................
    .............พระอาจารย์สำคัญ..ที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับ..ปลัดทองดี..น่าจะเป็น..หลวงปู่รอด..
    วัดโคนอน..อาจารย์ของ..เจ้าคุณเฒ่า..แต่จากหลักฐานที่..น่าเชื่อถือ..(บทความผม..หลักฐานลอยๆ..จะ
    ไม่เอามาอ้างเด็ดขาด..เสียมาตรฐาน)...ท่านทำแต่..พระปิดตา..และพระพิมพ์อื่น...ดังนั้น ..ณ ปัจจุบันนี้
    ...จึงน่าจะ..เชื่อได้ว่า..พระมหาอุตม์เนื้อโลหะ..ที่เก่าที่สุดของยุครัตนโกสินทร์..ควรจะเป็น...
    .............มหาอุตม์นั่งยอง..ของท่าน..ปลัดทองดี..วัดกลางวรวิหาร..สมุทรปราการ..นั่นเอง....
    ...ตามเหตุผล..การวิเคราะห์ข้อมูลที่..ผมนำเสนอมา..แล้ว..ทั้งหมด.....
    ..........ส่วนพระปลัดทองดี..ของผมที่ลงรูปไว้..เป็น..มรดกตกทอดมาที่..พ่อผมอีกที..ทวดผมที่เกิดใน
    สมัยปลายรัชกาลที่ ๓ ถึง..ต้นรัชกาลที่๔..ก็อยู่ติดวัดกลาง..เช่นกัน..เวลาวัดมีงาน..ต้องใช้..มโหรี..ท่าน
    ก็ไปช่วยเสมอ..(ท่านตีกลองแขก)...ก็น่าจะทัน..ปลัดทองดี..แต่ช่วงอาจเป็นเด็ก..ซึ่งคงไมยากที่จะได้รับ
    พระมา...พิมพ์ของผมนี่..จะต่างจากใน..ที่ลงตามเน็ต..หรือที่ให้เช่ากันบ้าง..แต่ที่ไม่ต่างถือเป็น..
    เอกลักษณ์..เหมือนกันคือ..นั่งยอง..ถ้าไม่ขี้เกียจ..และ..ขี้ลืม..ผมเอาไปเลี่ยมใหม่..แล้วจะถ่ายมา
    ให้ดู.......................................................................
    ...............ดังนั้น..ถ้าเข้าใจผิด....เข้าใจ..ซะ..ใหม่ครับ........................
    ....................จบ..ตอนของ..ปลัดทองดี..แคนี้.......
    .............พบกันใหม่.....ตอนใหม่....................สวัสดี..........................

    .........เอามาปลอบใจ..น้องJoni..และเพื่อนสมาชิก..ที่ไม่ได้ดูรูป..หลวงอาดี....
    ....เป็นพระพิมพ์..หายาก..และออกแบบได้..สวยงาม..ในชุดพระผงของหลวงปู่เผือก
    ที่หลวงปู่มาเป็นประธานปลุกเสก..ร่วมกับ..หลวงปู่บุตร..หลวงอาดี..หลวงพ่อเผย..ฯลฯ..ชุดเดียวกับ
    ..พระพิมพ์หลวงพ่อปานขี่นก..ที่น้องJoni..ได้มา...ในเว็ป..เรียกขุนแผนหลวงปู่เผือก..ออก..
    วัดบางด้วน....แต่องค์นี้..พิเศษกว่า..องค์อื่น..ไม่รู้ว่าเจตนารึเปล่า..เนื้อจัดมากที่สุด..และ..เนื้อ
    เป็นสีเหลือง..ค่อนข้างจัด..องค์นี้..หลวงอาดี..ให้พ่อ..ผมเองตั้งแต่..แรก..(ร่วม ๖๐ ปีแล้ว)
    ...ผมลองขูดด้านหลัง..เป็นหลุมเลยลึกกว่า ๑ มม...เพราะนึกว่าเคลือบ..แล็คเกอร์..แต่ไม่ใช่ครับ
    เนื้อข้างใน..สีข้างในก็..เหลืองอ๋อย..เหมือนข้างนอก(เนื้อแข็งแกร่ง..มากๆ)..ผมก็เลยถักลวด
    ห้อย..ใส่อาบน้ำ..ใส่นอน..ไม่ได้ถอด..ที่เห็นคราบขาวๆ..ตามร่อง..ไม่ใช่สบู่นะครับ..เป็นปูนใน
    เนื้อ..ที่ออกมาเมื่อโดนความชื้น..เห็นสีแบบนี้ไม่ได้Make ..นี่คือสีจริง..พ่อผมมีพิมพ์นี้..อีกองค์
    ก็เป็นเนื้อขาวเหมือนทั่วไป..ตั้งแต่เห็นพระชุดนี้มา..รับรอง..สีนี้มีองค์เดียว..เลยเอามาให้ดู...
    ..เพราะหาอีก..ไม่ได้แล้ว
    [​IMG]
     
  3. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    เมื่อยแล้วครับ วันหลังจะมาต่อใหม่นะครับผม:cool:
     
  4. กวาวชไม

    กวาวชไม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2009
    โพสต์:
    4,336
    ค่าพลัง:
    +14,779
    ขอบพระคุณ ท่านมหา...มากนะครับ สำหรับข้อเขียนของพี่มดพงษ์ที่หยิบยกมาให้อ่านกันอีกครั้งในเว็บนี้
     
  5. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    หวัดดีวันหยุดชดเชยครับพี่น้อง
    ผมเฮ็ดงานคือเก่าเด้อ บ่ได้หยุด
    ชัยภูมิเมื่อเช้านี้บ่ถึง 20 องศาครับ หนาวอิบหายเลยครับ
    ซำบายดีกันนะพี่น้อง
    ^__^
     
  6. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ต่อครับวันนี้

    .........เมื่อตอนที่แล้ว....ผมพูดถึง...หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน สมุทรปราการ..ก็เลยได้..หัวข้อ
    ตอนใหม่.....มาได้..............
    .......ถ้าคุณเข้าใจว่า..หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน..ท่านทำแต่เขี้ยวเสือ..อะไรก็ตามเกี่ยวกับ..เสือ
    ..หรือ..ตะกรุด..ลูกอม..เสื้อยันต์..ผ้าประเจียด...หรือ..แม้กระทั่ง..พระเครื่อง..แค่นั้น......
    .................คุณเข้าใจผิด..ครับ.............ท่านมีของทีเด็ด..อีกอย่าง..ผมเคยกล่าวถึง..
    ..ในบทความ..พระครูสมุห์ทองดี..วัดบางด้วนนอก..มาบ้าง..ผมจะมามาแล้วอีกครั้ง..แต่รูปแบบ
    เปลี่ยนไป..และมีภาพของจริง..ประกอบด้วย...
    ......วัตถุมงคลอันนี้..หายากมากๆครับ...ไม่มีกล่าวถึง..ในบทความของผู้ื่อื่นในเว็ป..นอกจาก..
    บทความเดิม..ของผม...เนื่องจากอายุ..มากกว่า ๑๐๐ ปี..และมันไม่ได้คงทน..เหมือน..เขี้ยวเสือ
    หรือ..ตะกรุด...และจากการสันนิษฐานของผม..คิดว่า..ท่านคงทำไว้..น้อยมากๆ..เมื่อเทียบกับ...
    เครื่องราง..ชนิดอื่น...วัตถุมงคล..หรือ..เครื่องรางนี้..มีที่มา..แน่นอนครับ..เป็นของ..มรดกจาก
    ย่า่ผม..มาถึง..พ่อผม..แล้วก็ต่อมาถึง..ผม...ความจริง..มีลูกอมพิสดารของท่าน..อีกอัน..แต่พ่อ
    ผมทำ..กลักทองหุ้มไว้..ตั้งแต่สัก หกสิบปีก่อน..ก็เลยไม่อยากแกะออกมา..ถ่ายรูปให้ชม
    ....ผมจะกล่าวถึง..ตอนหลัง..แต่ไม่มาระุบุยืนยัน..เพราะไม่มีรูป..มันก็เหมือนกับ..เป็นการกล่าว
    อ้างเฉยๆ....................................
    ..............สิ่งที่ผม..จะพุดถึง..และยืนยัน..ก็คือ..................................
    ..................................................................................
    ......ลูกกันภัยสอดใส้ยันต์บนกระดาษสาอุดครั่ง..ของ..หลวงพ่อปาน..วัดคลองด่าน...ครับ
    ..............................................................................................
    ..........ซึ่งผมจะมา..เล่าในครั้งต่อไป.................................................



    ........ขอเพิ่มเติม..เรื่อง..ปลัดทองดี..อีกหน่อยครับ...........
    ....คือ..อาจมีคนสงสัย..ว่า..พระมหาอุตม์เนื้อโลหะของ..หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา..น่าจะเก่ากว่า..ของ
    เจ้าคุณเฒ่า..เพราะผมอ้างอิงแต่เจ้าคุณเฒ่า...ครับเป็นไปได้..แต่ตามเหตุผล..อายุการสร้างต้องน้อย
    กว่าของ..ปลัดทองดีแน่..เพราะเมื่อ..รัชกาลที่๔..สิ้นพระชนม์เมื่อปี..๒๔๑๑...หลวงปู่ทอง..ก็พึ่ง..
    ๕๑..ถือว่ายังหนุ่ม(ท่านเกิด ๒๓๖๓)..และที่สำคัญ..วัดราชโยธา(ลาดบัวขาว)สร้างเมื่อ ๒๔๑๕
    (ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา..เมื่อ ๒๔๒๕)..ซึ่งถ้าท่านมาอยู่นี่..ตั้งแต่..๒๔๑๕..ก็เข้ามายุคต้น..ของ
    รัชการที่ ๕ แล้ว..แม้ท่านจะสร้างพระมหาอุตม์ในปีแรก..ที่มาอยู่..ก็ยังห่างจากยุค..ของปลัดทองดี..อยู่ดี


    .....................นี่ครับ.....ของจริง..เทียบขนาดได้...จากนิ้วผม........................
    [​IMG]


    [​IMG]
    .................................................................
    .......เราต้องมาท้าวความ..เพื่อให้รับทราบ..เบื้องต้น..ของที่มา่ก่อน..................
    ...ในสมัยรัชาลที่๕...ฝั่งพระนคร..นอกคูเมืองชั้นนอก(คลองผดุงกรุงเกษม)..ไปจนถึง..แปดริ้ว
    ต่อเนื่องลงมา..ถึง..ปากน้ำฝั่งด้านตะวันออกเจ้าพระยา..ไปยัน..แม่น้ำบางปะกง......
    มี..อาจารย์..ที่ยิ่งใหญ่..มีชื่อเสียง..ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน..อยู่ ๒ ท่าน..ท่านอื่นๆเทียบไม่ได้
    .....นั่นคือ...หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน..ปากน้ำ..........กับ...
    ........หลวงพ่อทอง วัดลาดบัวขาว(ราชโยธา)...ซึ่ง..อยู่ชานเมือง..พระนคร..ด้านตะวันออก..
    ติดกับเขตเมืองแปดริ้ว..............................
    ...ชาวบ้าน..ชาวเมือง..ต่างเคารพนับถือ..ใครเดือดร้อน..ก็จะไปหา..ท่านทั้ง ๒...
    ..ไม่ว่า..ป่วยไข้..ผีเข้า..รดน้ำมนต์..เพื่อเป็นสิริมงคล..ขอวัตถุมงคล..ไว้ประจำกาย.....
    .....ซึ่งทั้ง..คนปากน้ำ..และ..คนฝั่งพระนคร...ก็ไม่แยกแยะกัน....(รวมถึง..จังหวัดใกล้เคียง)
    ...คนจน..เจ้าสัว..ขุนนาง..เชื้อพระวงศ์..ก็มี..ปะปน..กันไป.......
    ........ไม่เว้น..แม่แต่...ย่าผม................................
    ....ย่าผม..เป็นคนปากน้ำ..โดยกำเนิด..เป็นคนบางด้วน...(เป็นป้าแท้ๆ..ของพระสมุห์ทองดี
    วัดบางด้วนนอก)....บางด้วนนี้..อยู่ด้านเหนือของเมืองปากน้ำ..ถ้าเทียบสมัยนี้..ก็คือ..บริเวณ
    ที่อยู่ฝั่ง..ตรงข้าม..กับช้างสามเศียร..นั่นแหละครับ..นับจากติดกับ..ถนนสุขุมวิท..ลึกเข้าไป
    หา..แม่น้ำเจ้าพระยา..บางด้วน..เดิมเกือบทั้งหมด..เป็นชาวสวน..คนชาวสวนสมัยโบราณ
    ..ก็..อยู่กันแน่นหนา..กว่า..ชาวนา..นักเลงเยอะ..มีทั้งรุ่นเก่า..และ..รุ่นใหม่เต็มไปหมด..
    ...คุณเป็นคนแปลกหน้า..ต้องพกดาบ..หรือ..มีด..ให้เห็นแจ่มชัด..(ผู้ชาย)...เพราะถ้าเขา
    ไม่เห็น..เขาจะถือว่า..ดูถูก..หรือ..ตัวข้าแน่..หนังดี..จะโดนเล่น..จนหมอบ...
    (เรื่องนี้เป็น..มาจนถึง..ยุคพ่อผม..เป็นหนุ่ม)...ผู้หญิง..ถ้าไม่อ่อนหวานนิ่มนวล..ก็ห้าวไปเลย
    .............แบบ..ย่าผม..........................................
    ...........................ต่อตอนหน้าครับ.................................
     
  7. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    .................ย่าผม..เป็นพี่คนโต..มีน้องอีก ๔ ก็เลยมีหน้าที่ต้องดูแล..น้องๆทุกคน...ก็เลย
    ..มีสาเหตุจะต้อง..แข็งแกร่ง..แล้ว..ห้าวไปเอง..ไปไหน..มาไหน..ก็พายเรือพาน้องไปได้...
    แทนพ่อ..แทนแม่.....ย่าเป็นคนยุครัชกาลที่๕..ถ้ามีชีวิตถึงปัจจุบัน..ก็น่าจะ ร่วมๆ ๑๓๐ ปี
    (ผมจำปีที่ท่านเสียไม่ได้..แต่เสีย..ตอนอายุ ๙๘ พ่อผมย่าง๙๖ ปีนี้..และเป็นลูกชายคนเล็ก)
    .................ผมจะย้อนกลับมาถึง..สาเหตุที่ได้ลูกกันภัยนี้มา...ตอนเมื่อ สี่สิบกว่าปีก่อน..
    ..พ่อผมนึกขึ้นได้..ว่าย่า..เขาเอาพวกพระ..ไปไว้ที่ตู้ที่ห้องพระ..ที่บ้านปู่่(บ้านเิกิดพ่อ)....
    ...พ่อก็ลองไป..รื้อๆค้นๆดู...ปรากฎว่าไปเจอก้อนกลมๆสีแดง..อยู่บนจานเชิง(กังไส)...
    ....ลูกนึง..อยู่ในสภาพสมบูรณ์..อีกลูกแตก..พ่อดูก็รู้ว่าเป็น..ลูกไม้..แต่ไม่รู้ว่ามาจาก..ต้น
    อะไร...แตกนี่แตก๒ซีกเลยครับ..พ่อผม..ก็เห็นมีม้วน..กระดาษสาเล็กๆอยู่..ก็คลี่ออกดู
    จึง..เห็นว่า..มีอักขระขอมเขียนอยู่...พ่อผมก็เอาม้วนกระดาษสาเก็บไว้อย่างเดิม..แล้ว..
    เอา..ลูกที่สมบูรณ์มา..ซึ่งตรงหัวมันเห็นรอยอุดครั่ง..ชัดเจน.....
    ..(ดูรูปประกอบ..รูปที่๒..ผมพลิกให้เห็นตรงหัว..จะเห็น..ครั่ง..ที่อุดชัดเจน..)
    ......ตรงบริเวณที่เก็บนี้..พ่อก็จำได้ว่า..เป็นของย่า...พ่อก็เลยไปถามท่านว่า..คืออะไร...
    ..ของหลวงพ่ออะไร....ย่าพอเห็นปุ๊บ..ก็บอกได้เลย(ย่าผมความจำดีมาก..แกมาเริ่มหลง
    เอา ๒ ปีสุดท้ายที่เสีย)...ว่า..ลูกกันภัยหลวงพ่อปาน วัดบางhere(คนปากน้ำ..เขาก็เรียก
    แบบนี้..แต่ผมพิมพ์แล้ว..มันไม่ได้...ก็ต้องใช้แบบนี้แทน).......
    ....แล้ว..ย่าก็เริ่มเล่าที่มา............................
    ..............................ต่อตอนหน้าครับ.................................


    ........ที่ผมบอกไปแล้ว..ว่า..ย่าผมเป็นคนห้าว..ใจแกเป็นนักเลง..ไม่กลัวใคร..ไปไหน
    ไปคนเดียวได้..แกก็จะพกมีด..ติดตัวไปด้วย..เพราะกิติศัพท์ของหลวงพ่อทั้งสอง..
    เลย..ทำให้แก..อยากได้ของดี..มาติดตัวมั่ง.....
    ...สมัยโน้น..คือ..รัชกาลที่๕-๖-๗...ยังไม่มี..ถนนสุขุมวิท..ที่ท่านๆรู้จักกันดี..เพราะ
    ..ถนนสายนี้..ที่มีชื่อเดิมว่า..สายกรุงเทพ-ปากน้ำ..มาสร้างเอาเมื่อ ๒๔๗๙..คือในสมัย
    รัชกาลที่ ๘..เริ่มก็เป็นถนนดินลูกรัง...คนปากน้ำสมัยโน้น..เขาไม่ห่วงเพราะเขาสามารถ
    ไปไหนมาไหน..กับ..จังหวัดใกล้เคียงได้..๓ ทาง..คือ..เดิน..นั่งเรือ..และนั่งรถไฟ...
    ส่วนใหญ่..ก็จะนั่งรถไฟ..เพราะรวดเร็ว..และสะดวก..ก็สายรถไฟสายแรกนี่ละครับ..ที่
    รัชกาลที่๕ มาเปิด..กรุึงเทพ-ปากน้ำ..ถ้าตั้งต้นที่ปากน้ำ..ก็ออกจากตัวเมืองเลย..แล้ว
    ก็ไปถึง..พระราม๔ คลองเตย..หรือ..ไม่งั้น..ก็นั่งเรือโดยสารก็ได้..ถ้าจะไปแปดริ้ว..
    ก็มีคลองให้ไปได้เยอะแยะ..คลองสำโรง..คลองชายทะเล..ฯลฯ..หรือ..คลองเล็ก
    ไปออก..คลองใหญ่..คลองจะเชื่อมกันหมด..จา่กปากน้ำ..จะไปพระขโนง..ก็ไปตาม
    คลองสาขาได้เลย......
    .......ย่าเล่าให้พ่อฟังว่า..ท่านก็ไปเอง..คนเดียว..พายเรืออีแปะไป..ตอนท่านไปก็ยัง
    สาวๆอยู่(คงยังไม่ได้..อยู่กับปู่)..แล้วท่านก็เสริม..ว่า..ท่านไปหาหลวงพ่อวัดลาดบัวขาว
    (ท่านไม่..ได้เรียกชื่อ..ก็คือ..หลวงปู่ทองวัดราชโยธา)..ก็ไปคนเดียวเหมือนกัน...
    (ผมจะเล่า..เสริมทีหลัง..มีของมาให้ดูด้วย)....
    .....................ต่อตอนหน้าครับ.................................


    .......ย่าผม..ท่านคงไปหา..หลวงพ่อปาน..หลายครั้ง..เพราะท่านมี..เครื่องรางของหลวงพ่อ
    หลายอย่าง..ตั้งแต่......................
    ..........................ตะกรุดเงิน..ความยาว ๒ นิ้ว (ปัจจุบันอยู่ที่..ข้อมือผม...)....
    ........ลูกอมร้อยตะกรุดทองคำ ๔ ดอก ...ความจริงอันนี้..อยู่ในกลักทองคำ..ปิดสนิท..ย่าก็ห้อยอยู่..แต่
    ตอนพ่อผมต้องไปประจำอยู่ที่ปักษ์ใต้(พ่อผมเป็นทหาร)ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒..ท่านก็มอบให้พ่อ..แต่อาจ
    จะไม่ได้บอกพ่อ..จนกระทั่งพ่อเริ่มมาสนใจ..พระเครื่องมากๆ..พ่อกลับไปถามย่า..ว่าในกลักทองนี่คือ..อะไร
    ...ย่าถึงบอก...พ่อผมก็สงสัยเพราะฟังดูแล้วแปลก..นึกภาพไม่ออก..ก็เลยตัดสินใจ..แงะ...ปรากฏว่า...
    .......ข้างใน..(พ่ออธิบาย...ผมไม่ได้แกะออก..เพราะกลัว..กลักทองพัง).................
    ....เป็นลูกอมสีดำๆ..เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ซม.เกินไป..นิดๆ..พ่อก็ไม่แนะใจว่าใช่้ชานหมากรึเปล่า..
    ...ตรงกลาง..มีตะกรุด ๑ ดอก..สอดทะลุ..ลูกอม..ในใส้ตะกรุดดอกใหญ่..ก็..จะร้อย..ด้ายอยู่ ๔ วง..
    ..แต่ละวง..ก็จะร้อย..ตะกรุดทองคำ..ขนาดเล็ก ๑ ดอก..รัดอยู่กับตัวลูกอมด้านนอก..ตะกรุดจะวางตัวอยู่
    ห่าง..เท่าๆกัน..เป็น ๔ มุม หมุนลูกอม..ไปรอบๆ..ก็จะเห็น..ตะกรุดทั้ง ๔ ดอก...
    ........(ปัจจุบัน..ผมเอาสายสิญจ์..พันหุ้มกลักไว้ทั้งหมด...แขวนอยู่กับสร้อย)
    .........................แล้วก็มาถึง.อันสุดท้าย..ก็คือ..ลูกกันภัยฯ...ที่คุณเห็นในรูปนั่นแหละ.....
    ...หลายคนสงสัย..ว่า..ลูกกันภัย..มันเป็นยังไง(ดูรูปเอาครับ)...น้อยคนมากที่จะรู้จัก....
    ......คนชอบปลูก.ต้นไม้..อย่าไปสับสน..กับ..เถากันภัย..ดอกสีม่วงๆที่ใช้..เป็นไม้ประดับ..มีขายที่
    จตุจักร..นะครับ...ไม่ใช่เลย...นั่น..เขามาตั้งชื่อกันใหม่...ต้นกันภัยอันนี้..คือ..ต้นเดียวกับที่..มี
    ปรากฏ..ใน..เสภาขุนช้าง-ขุนแผน..ตอนที่ขุนแผน..ทำพิธีย่าง..กุมารทอง.......
    ...................."ไม้กันเกรา เถากันภัย..."..............................
    ...คนละสายพันธุ์..ไม่มีอะไร..เหมือนกันเลย...ปัจจุบัน..คาดว่า..ใกล้สูญพันธุ์แล้ว..เหลืออยู่แต่..ในป่า
    ...................................และที่..เกาะเล็กๆข้าง..เกาะยาวใหญ่..พังงา..ที่ผมได้ไปพบต้นจริง..
    ...................................ต่อตอนหน้าครับ................................................


    ....ต้นกันภัย..นี้..เป็นเถาครับ..แต่ไม่ใช่ไม้ล้มลุก..แบบตันกันภัยที่จตุจักร........
    ....ต้นที่ผม..พบที่เกาะ..ก็ถ้าทางเก่า..น่าดู..กิ่งก้านเถามัน..ก็ขนาด..ข้อมือผู้หญิง..หนาม
    เพียบ..ยาว..และ..แข็ง..มันขึ้นเป็นดง..ตัวกิ่ง(เถา)มันเกี่ยวพันกันไปมา..ขึ้นจากพื้น..เลย
    มันไม่ต้องเกาะอะไร..เพราะมันเกาะกันเองได้..เพราะความแข้งแรงของกิ่ง..มันกินเนื้อที่
    กว้างมาก..ผมว่าเส้นผ่าศูนย์กลางดง..ของมัน..ไม่น่าต่ำกว่า ๔-๕ เมตร..เม็ดมันเป็นสีแดง
    กลม..หล่นอยู่ตามพื้น..ผมเ็ก็บกลับมาด้วย..เพราะตอนผมดูเม็ดมัน..แล้วเหมือน..ลูกกันภัยฯ
    ของหลวงพ่อปาน..พอดีอาจารย์โบราณคดี..ที่ผมช่วยแกสำรวจถ้ำโบราณที่นั่น..แกยืนยันให้
    และ..แกดีใจมาก..ที่พบ
    .........ต้นกันภัย..เป็นไม้..โบราณ..เกี่ยวข้องกับ..มนุษย์ยุคโบราณเพราะ..เขาเอา
    ลูกมัน..มาเป็น..ลูกกระสุน..ใส่คันกระสุน(คล้ายๆกับ..คันธนู..แต่กึ่งกลางสาย..จะยึดติดกับ.
    ..แป้นจับลูก..ของหนังสติ้ก)..ล่าสัตว์ขนาดเล็ก...นอกจากนี้..ภายในดงมัน..ก็เป็นที่หลบ
    ภัย..สัตว์ร้าย..พวก..เสือ..หมาป่า..เพราะถ้าเราข้าไปข้างใน..มันจะเข้ามาไม่ได้..เพราะ
    ติดหนาม(เวลา..เราเข้าไปต้องใช้ไม้ค้ำยาวๆ..ค้ำและแหวกกิ่งมันเข้าไป)..นั่นแหละครับ
    ที่มา..ของ..ชื่อ..ต้นกันภัย.............................
    ..........จาก..ลูกของมัน..ที่ผมเก็บมา..ผมลองกระเทาะดู..ต้องใช้ฆ้อนครับ..เพราะแข้ง
    มาก..ข้างในเป็นเนื้อขาวๆตัน...หลวงพ่อก็คงใช้รูที่เจาะคว้าน..เอาเนื้อในออก..แล้วถึงใส่
    กระดาษสาที่..ลงอักขระยันต์ใส่เข้าไป..แล้วจึงอุด..ครั่งอีกที..............
    (ถ้าใคร..เคยอ่านเรื่องนี้..ในบทความเก่าผม..นั่นขี้เกียจ..กลับไปแก้..เพราะผมบอกว่า
    ..ย่าเขาเอา..ลูกกันภัย..ใส่ผ้าเอามาให้..ผมจำสับไป..เพราะอันนั้น..ความจริง..คือ..
    "..แพะ..ที่ทำจากเขาแพะ.".(แต่ผมไม่รู้ว่าของหลวงพ่ออะไร..ท่านไม่ได้บอก)..ตามที่
    เล่าที่นี่ถูกต้องแล้วครับ..ผมมันแก่แล้ว..ความจำสับสน)....................
    ............................................................
    ......................ต่อตอนหน้าครับ...................................


    .................ความจริง..เรื่องต้นกันภัย...นี่็..เหมือนกันนะครับ..คือ
    ....ถ้าเข้าใจผิด..เข้าใจซะใหม่..อย่างที่..ผมบอกไป..ตอนที่แล้ว....
    ........ตอนที่..ผมยังใส่..ลูกกันภัยฯ..ติดคอนั้น..ก็ไม่เคยประสพภัย..
    ใดๆ..แม้แต่ครั้งเดียว..แต่ก็พิสูจน์ให้แจ่มชัด..ไม่ได้..หรอกครับ..เพราะผมห้อยพระ..เยอะมาก
    ..ถ้า..คุณๆทังหลาย..กลับไปดูที่..รูปที่๒..ที่..ผมหงาย..ให้เห็น..ครั่ง..ที่อายุไม่ต่ำว่า ๑๐๐ ปี
    คุณก็จะพบว่า..มันเกือบไม่ต่างจาก..ครั่งที่ขายกันในปัจจุบัน(ไว้หยอด..ที่ผูกเชือกวัสดุ..กันแกะ
    ออก..เดี๋ยวนี้เหลือ..แต่ใช้กับ..พัสดุไปรษณีย์เป็นหลัก)..เพียงแต่สี..คล้ำกว่า..และไม่..สดเท่า
    เพราะ..นั่นเป็น..ครั่ง ๑๐๐ เปอร์เซนต์..ไม่ใช่..ครั่งวิทยาศาสตร์..หรือ..ครั่งลูกผสมแบบเดี๋ยวนี้
    ...เพราะ..แพงครับ..เราส่งออกต่างประเทศซะมากกว่า.....แต่ที่ผมจะให้ท่านสังเกตคือ....
    ...สีของมัน...ท่านคงเอะใจว่า..อ้าว..แล้วตะกรุดที่บอกว่า(ผมไม่ได้บอก)พอกครั่ง..ของหลวง
    พ่อทองศุข วัดโตนดหลวง..ทำไม..ดำปี๋เลย..ละ...ครั่งคนละชนิดรึเปล่า..ก็เป็นไปได้ครับ...
    ...แต่ไม่ว่า.ครั่งจามจุรี(ต้นไม้ที่ให้..ตัวครั่งเกาะ)...หรือ..ครั่งพุทรา..หรือ..ต้นไม้อื่น.....
    ......สีของสารที่ตัว..ครั่ง..ขับออกมา..มันก็เป็น..โทนสีแดง..ทั้งนั้น....
    (ครั่งดิบส่งออก..เขาเอาไปทำ..แชล็ก..ที่ย้อมเฟอร์นิเจอร์ไม้ครับ..สีมันก็ยัง..ออกโทนแดงคล้ำ
    อยู่ดี)...คราวนี้..งง..ละซิ..เขาลนไฟมากไป..จนครั่งใหม้..รึเปล่า..อันนี้ผมก็ไม่ทราบ..ลองไป
    คิดๆเอา...แต่บอกซะก่อน..ในบรรดาตะกรุดที่มีพอก..ของหลวงพ่อ..ที่บอกกันว่า..แท้นะ....
    ..ไอ้ที่พอก..มัน..แบ่งชนิดกัน..สองโทน..นะครับ..คือ..สีออกน้ำตาลแก่..ผิว..ค่อนข้างมัน..
    ...กับ.โทนสี..ดำ..ที่..ด้าน..และแห้ง..จน..แตกร้าว..เป็น..ช่วงๆ...เด็กๆดูก็รู้ว่า..มันวัสดุ..
    คนละชนิด..แหงๆ(อ่านจบ..แล้วไปเปิด GOOGLEภาพ..ดูเอาเอง)...แต่ให้รู้ไว้อย่างว่า..
    ..ครั่งนี่..มันดูแล้วไ่ม่แห้ง..ผิวก็จะมีความมันอยู่บ้าง..แล้วไอ้ที่ดำด้าน..นี่คือ..อะไรละ...
    ..ว่างๆ..ผมจะมา..บอก.......
    ............................ต่อตอนหน้าครับ.............................................


    ............อันนี้เป็น..ของแถมตามที่..ผมสัญญาไว้.................
    .................ลูกอมเนื้อผงหลวงปูทอง วัดราชโยธา(ลาดบัวขาว)

    [​IMG]

    ..............................................................
    ...จริงแล้ว..ย่าผม..กล่าวยกย่อง..หลวงพ่อวัดลาดบัวขาว..มากกว่า
    หลวงพ่อปาน..ซะอีก..คุณลองคิดดู..ท่านพายเรืออีแปะ..ลำเล็กๆ..คนเดียว
    ลัดเลาะไปตามคลอง...ขึ้น..เหนือไปเรื่อยๆ..ไปถึงวัด..สมัยรัชกาลที่๕..
    ไม่มีถนน..เข้าวัดหรอกครับ..วัดอยู่กลางดง..แขกมุสลิม......
    (สมัย..ผมเป็นเด็กหนุ่มๆ..ก็..ยังไม่มีถนนเข้าวัด..ต้องไปทางเรืออย่างเดียว)
    .....ระยะทางจาก..บางด้วน..ไป..ลาดบัวขาว..ทางเรือผมว่า..มากกว่า
    ๑๐ กิโลเมตร..ท่านต้องศรัทธาจริงๆ..ย่าได้อย่างอื่นมาด้วยรึเปล่า..ไม่ทราบ
    ..ผมว่า..น่าจะมีตะกรุด..ด้วย..แต่ท่านคงจำไม่ได้..ที่แน่ๆ..ลูกอมนี้..ท่าน
    ห่อผ้าเช็ดหน้า..กลัดติดเสื้อ..เวลาไปไหน..มาไหน..ตลอด...
    ...ผมไม่แน่ใจว่า..มาให้พ่อ..ตอนสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒..ที่พ่อผมต้อง
    ไปประจำ..ยันอังกฤษไว้ทางใ้ต้(พ่อผมเป็นทหาร)..ตอนไปลาท่าน..หรือ..
    ..ตอนที่พ่อผมลาไปเวียตนาม(เสือดำ ผลัดที่๑).....
    .....ลูกอม..สีจริงๆ..คือ..สีชมพู..นะครับ..เวลาเข้าแว่นแล้ว..ก็เห็นมวล
    สาร..มากมาย..ย่าบอกพ่อไว้เสมอว่า..ถ้ามีโอกาศต้องไปกราบหลวงพ่อนะ
    ..ตอนหลวงพ่อเสีย..พ่อผมเรียนจบนายร้อยทหารบกแล้ว..แต่ท่านยังไม่
    สนใจ..เรื่องพระ..ก็เลยไม่มีโอกาศ.................
    ....ก็เป็นอันว่า...จบตอนที่ว่า........
    ....ถ้าเข้าผิดใจว่า..หลวงพ่อปาน..วัดคลองด่าน..ท่านทำแต่..เขี้ยวเสือ..
    ตะกรุด..ลูกอม..ผ้ายันต์..หรือ..พระเครื่องด้วย..แค่นั้น.....
    ....ก็..เข้าใจซะใหม่ว่า...ท่านยังทำ..ลูกกันภัยฯ..ด้วย.....
    .............พบกับเรื่องใหม่..ตอนใหม่ครั้งหน้า..ครับ
     
  8. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ........เรื่อง..วัดและ..พระสงฆ์..ที่อยูกลางดง..แขกมุสลิม..และ..สุเหร่าที่ขึ้น
    ชื่อ..ในเขตภาคกลาง..นอกเหนือจาก..หลวงปู่ทอง..แล้วยังมีอีก ๒ ท่านที่เด่นๆ
    ..คือ..หลวงพ่อภักตร์ วัดบึงทองหลาง(ลาดพร้าวซอยร้อยกว่าๆ)...
    ..กับ...หลวงพ่อสอน วัดมักกะสัน.......
    ......ทั้ง..สององค์..นี่แขกมุสลิม..มาใส่บาตรท่าน..เวลาบิณฑทาต..เยอะมาก
    แล้ว..เวลาใครไปหาท่าน..ก็จะได้เห็น..พวกแขก..มาพนมมือแต้..บนศาลาวัด
    คือ..ไม่แน่จริง..เจ้าอาวาสและวัด..จะอยู่กลางดงแขก..ไม่ได้..เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว
    ..หลวงพ่อภักตร์นี่..ท่านยังไม่หนักหนา..สาหัส..เท่า..หลวงพ่อสอน..เพราะชุม
    ชนแขก..ที่อยู่รอบ..ไม่หนาแน่นเท่า..บริเวณ..มักกะสัน........
    ...ต้องเข้าใจว่า..เมื่อสมัย..๗๐-๘๐ปีขึ้นไปนั้น...เวลาตำแหน่งสมภารวัดบริเวณ
    ที่ว่า..ว่างลง..บ้านเมืองยังล้าหลัง..ไม่เจริญ..วัดบริเวณนั้น..การพิจารณา..หา
    สมภาร..ไปลงแทน..ไม่ใช่เรื่องง่าย..ระดับเจ้าคณะอำเภอ..ยังต้องพิจารณา..
    แล้ว..ส่งข้อมูลไปให้..ระดับเจ้าคุณ..พระราชาคณะ..อนุมัติเพราะละเอียดอ่อน
    ..พระทีเก่ง..ธรรมดาๆ..ยังยากไปอยู่ได้....ยกตัวอย่างเช่น..กรณี..หลวงพ่อสอน
    ...ท่านเจ้ามา(สมเด็จพุฒาจารย์ มา วัดสามปลื้ม)เอง..ต้องลงมาพิจารณา..คัด
    เลือกเอง..เพราะเป็นพื้นที่แรงมาก..ต้องตัดสินใจเลือก..ศิษย์เอก..ที่เ่ก่งที่สุด
    ของท่าน..คือ..หลวงพ่อสอน..ไปเป็น..สมภารใหม่..เพื่อความมั่นใจ..ทั้งๆที่
    ยุคเมื่อเกือบร้อยปีก่อน..นั้น..หลวงพ่อ..และ..อาจารย์เก่งๆ..เพียบไปหมด...
    ..แต่ก่อนหน้า..หลวงพ่อสอน..ตั้งหลายองค์..ก็อยู่ไม่ได้กันทั้งนั้น..พระลูกวัด
    สึกกันออกไปเกือบหมด...........
    .......หลังจากหลวงพ่อสอนไปอยู่แล้ว..หน้ามือ..เป็นหลังเท้า..เลย..ท่านต้อง
    ต่อสู้..กับสังคมแขก..ด้วยความเมตตา..พลังพุทธาคม..ของท่าน..จนทำให้
    แขก..มากัน..เต็มศาลาวัด..พระลูกวัดเพิ่ม..การสร้างเสนาสนะ..พวกแขกก็แอบ
    มาทำบุญ..ภัตตาหารพระ..แขกก็มาช่วย..บิณฑบาตหลวงพ่อสอนเดินนำ แขก
    ก็มาใส่บาตร..กันเพียบ..วัดเจริญขึ้นผิดหู..ผิดตา...พระชัยวัฒน์ที่ขึ้นชื่อ...
    ของท่าน(เลียนแบบ..พระชัยฐานเตี้ย..ของอาจารย์)..ก็อยู่ตามบ้านพวกแขกกัน
    เพียบ.....เป็นที่โปรดปราน..ของท่านเจ้ามา..เป็นอย่างยิ่ง..(พวกแขกมักกะสัน
    ก็แอบพก..พระท่านติดตัวกัน..เยอะแยะ)...............
    ......ความจริงมีัอีกท่าน..ที่..แขกมุสลิม..เอาเหรียญท่านมาห้อยคอกันเพียบ
    ..แถบละแวกวัด..ก็คือ..หลวงพ่อโศก วัดปากคลองบางครก..บ้านแหลม...
    เพชรบุรี..แถบวัดท่านก็มีชุมชนมุสลิม..และ..สุเหร่าใกล้ๆกัน(เจ้าของปลัดขิก
    อันดับ๑..ของเมืองเพชร..และพระขรรค์เขาควายเผือกอันดับ๑ ของวงการ)
    ...เหรียญหล่อรุ่นแรกของท่าน..ในสมัยนั้นจะพบเห็นได้ไม่ยาก..ในคอพวก
    มุสลิม..เพราะอีกอย่าง(ข้ออ้างเพื่อเลี่ยงกฏ)..บนเหรียญมี..ยันต์สูรย์จันทร์
    ที่..มีรูปพระจันทร์เสี้ยว..(มุสลิม..ถือ..ว่าเป็นสัญญลักษณ์..ของศาสนา)
    ..ความจริงนะเอาไว้..ป้องกันตัว.......................
    .....ถือว่า..เป็นเกร็ดแถม..แต่ก็ยังเข้า..หัวข้อ..กระู้ทู้นะครับ.......
    ...ถ้าเข้าใจผิดว่า..แขกมุสลิม..ไม่ใส่บาตร..พระสงฆ์..ก็เข้าใจ..ซะใหม่ว่า..
    มีครับ..แต่เป็น...สมัยก่อน..และกับ..พระอาจารย์บางองค์เท่านั้น.....


    [​IMG]


    ............................................
    .........................................................................
    .....คราวนี้..เรามาวกเข้าเรื่อง..ทันสมัยหน่อยนึง.........
    คือ..ความที่ผมก็เปิดดูรูปพระ..ตามเว็บ..แก้เหงา..ไม่ได้คิดเช่าหรอครับ
    ...บังเอิญ..ไปเจอเรื่อง..ที่..มีการpostไว้..ซึ่งเวลา searchชื่อ..แล้ว
    มี..บางบทความสร้างความสับสน..ให้กับผู้ครอบครอง...ก็.....
    .....................................................................
    ...เหรียญโสธร๘๐ปี กรมตำรวจ..ที่ผมเอารูปมา..ประกอบนี่ละครับ..
    .......................................................................
    ..เห็นอย่างนั้น..แล้วเลย..ทนไม่ค่อยได้..เพราะ..ผู้ที่ครอบครองเหรียญ
    จริงไว้(เหรียญรุ่นนี้..มีปลอมนะครับ)..อาจคล้อยตามถ้าไม่ทราบความจริง
    ..โดยเฉพาะจะเช่ามา..หรือ..ได้ต่อทอดมาอีก..ก็ไม่ทราบที่มา..ที่ไป..
    เลย..เอาไปปล่อยถูกๆ...หรือ..ยกให้..คนอื่นฟรีๆ.......
    ....ทั้งๆที่..เหรียญ..และ..รูปหล่อ..ที่ปลุกเสกคราวเดียวกันนี้..มีประสพ
    การณ์สูง..เรียกว่า..หลังปี ๒๕๒๐..มานี่..หลวงพ่อโสธร..รู่นนี้..ได้รับ
    ความนิยม..มากกว่าเพื่อน..จนมี..ของปลอมออกมา..มากมาย....
    ...เรื่องของเรื่องก็คือ...มีบทความพร้อมภาพประกอบ..แล้วมีข้อความ
    ว่า..เหรียญรุ่นนี้..เป็นเหรียญ..นอกสาระบบ..ไม่มี..ในรายการ(แผ่นพับ)
    ปลุกเสกในพิธีดังกล่าว..ซึ่งกรมตำรวจ..เป็นเจ้าของงาน
    ......ซึ่งไม่มีในแผ่นพับ..นะใช่ครับ..เพราะที่มีอยู่ในแผ่นพับ..คือ...
    รายการที่..ออกจำหน่ายให้เช่า..และดำเนินการโดยกรมตำรวจ...
    ..แต่..ไอ้ที่เรียกกันว่า..นอกสาระบบ..นี่ผมเข้าใจ..แต่ควา่มหมายมัน
    ที่สื่อออกไป..ไม่ทราบว่า..เจตนารึเปล่า..เพราะ..มันทำให้..มีแนวโน้ม
    เข้าใจว่า..เป็นเหรียญที่เจตนาปั๊มขึ้นมา..เพื่อมาแอบแฝง..อาศัยชื่อเสียง
    ..และที่สำคัญคือ..ทำให้เข้าใจว่า..ไม่ได้มีการปลุกเสกแต่..อย่างใด..
    หาเงิน..เข้ากระเป๋าฟรีๆ......
    .......หรือ..รูปแบบนี้..วงการเรียกว่า..."จับยัด".............
    ..............ดังนั้น..ถ้าท่านผู้ใด..เข้าใจไปตาม..ข้างต้นที่ผมเล่า่มา..
    ..ท่านกำลัง..เข้าใจผิด..ครับ...ให้เข้าใจ..ซะใหม่..ว่า..ไม่ใช่.....
    ....แล้วผม..จะมาแถลงไข..เรื่องราวใน..ตอนหน้า............


    ........ผมเริ่มที่..ประวัติ..พระชุดนี้ก่อน..........................
    ............พระชุดนี้..ดำเนินการสร้างโดย..กรมตำรวจ...ในปี ๒๕๓๘..ซึ่งขณะนั้น
    ..เป็นวาระที่..กรมตำรวจ..มีอายุครบ..๘๐ ปี.........................
    ...พล.ต.อ. พจน์ บุณยะจินดา..เป็นอธิบดีกรมตำรวจ..และท่านก็เป็น..ประธานดำเนิน
    การด้วย..วัตถุประสงค์มีอะไรบ้าง..ผมขี้เกียจจำ..แต่ส่วนนึงก็เพื่อให้ข้าราชการตำรวจ
    ทั่วประเทศได้เช่าไว้บูชา..ก็จะแผ่นพับไปตามหน่วยงานต่างๆ..มีรายละเอียด..ของพระ
    แต่ละแบบ..แต่ละเนื้อ..ราคาที่บูชา..(และแน่นอน..ไม่มี..เหรียญ๘๐ ปีอยู่ในรายการนี้)
    .............................................................
    ...วันนั้น..ผมจำไม่ได้ว่า..ต้นปีใหม่ ปี ๓๙ หรือ ๔๐..กันแน่ ในงานทำบุญประจำตระกูล
    ของผม..ญาติผมคนหนึ่ง(ความจริงแกเป็น..สามีของ..ลูกพี่ลูกน้องผม..ซึ่งผมก็นับถือ
    เช่น ญาติตามธรรมเนียมไทย..และก็สนิมสนมกับผมดี..ซึ่งผมเรียกแกว่า..พี่)..แกเป็น
    นายตำรวจครับ..ยศก็ระดับ..นายพลตำรวจ..แกก็เดินหิ้วถุงเล็กๆมา..แจกพระให้ผม..
    ผมยกมือไหว้..แล้วรับมาดู..พระอยู่ในกล่อง..แต่หน้ากล่องเขียนว่า....
    .....พล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา..ผมก็ขอบคุณพี่มาก..เพราะทราบว่า..พิธีดีมาก....
    ...ผมก็พูดต่อแบบ..พูดไป..หัวเราะไปว่า..โอ้โห..พี่ได้มาเยอะเลยนี่..แกก็บอกว่า..
    พอดีท่านให้มา..แล้วเผื่อให้ไว้แจกคนสนิทๆด้วย......พี่แก..แจก..ญาติวันนั้น..ร่วม
    สิบกล่อง..วันนั้นไม่ได้คุย..รายละเอียดกันมาก..แต่มาคุยกันวันหลังเมื่อมีโอกาศเจอ
    กันอีก.....................................
    ...........ความจริงตั้งแต่ได้รับแจก..ผม..ก็ไม่สงสัยอะไรอยู่แล้ว..อีกอย่างตอนผม
    รับพระแล้วผมพลิกเหรียญด้านหลัง..ผมก็รู้แล้วว่ารุ่นอะไร..เพียงแต่ตอนนั้นผมไม่ค่อย
    ได้ติดตามพระออกใหม่..ก็ไม่ทราบ..ว่ามีอยูในรายการให้เช่า..บูชาด้วยรึเปล่า...
    .....พอเจอกัน..ก็เลยถามบ้าง..ตามประสานักสะสมพระเครื่อง..............
    ........แกก็เล่าให้ฟังว่า....เหรียญนี้..ท่านพจน์..ท่านทำเป็นของท่านเอง....
    แต่เอาไป..เข้าพิธีรุ่น ๘๐ ปี..เพื่อจะเอามาไว้แจก..อาจจะทั้งวันเกิด..หรือ ปีใหม่..
    ซึ่งเป็นธรรมเนียม ปกติ ของ ทหาร..หรือ..ตำรวจ..ระดับ..สูงสุดอยู่แล้ว..เป็นที่ระลึก
    เวลาคนมาอวยพร..ก็มีของ..ตอบแทนให้(สมัยก่อนหน้านั้น..พลตำรวจเอก ชุมพล
    โลหะชายะ..ก็เคยทำเหรียญหลวงพ่อวัดเขาตะเครา..โดยล้อพิมพ์ ๒๕๐๑ มาแล้ว
    แต่ด้านหลัง..เหรียญ..มีชื่อ..ท่านระบุอยู่..ก็ทำนองเดียวกันครับ..เอาไว้แจก..)
    ........................................................
    ....อันนี้ผมขยายให้..คือ..ผมว่าท่านก็คงอยู่ในตำแหน่งไม่นาน..และใกล้เกีษยญ
    ..เมื่อโอกาศ..ที่ท่านในนามกรมตำรวจ..สร้างพระ..เป็นที่ระลึกครบ ๘๐ ปี การดำเนิน
    การก็ยิ่งใหญ่..พิธีดี..อาจารย์มาปลุกเสก..ก็เยี่ยม..ก็คงเป็นโอกาศที่ดี..ที่จะทำเหรียญ
    ที่เป็นของท่านเอง...ซึ่งแน่นอน..ทั้งแกะพิมพ์..วัสดุ..ปั้มเหรียญ..ท่านก็ลงทุนเอง
    แน่นอน..เพราะรายการ..รายรับ..รายจ่าย..หลักฐาน..บิลล์..เป็นการดำเนินทางราช
    การ..จะมามั่วไม่ได้..และคนอย่างท่านไม่เคยด่างพร้อย..เรื่องนี้อยู่แล้ว..เพราะท่าน
    เป็นตำรวจ..ที่รวยมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว..เป็นลูกคุณพระ..เป็นหลาน..พระยา....
    ........คราวนี้มาพูดถึงจำนวน..ผมว่าก็คงไม่มากนัก..อย่างลูกน้องระดับนายพลตำรวจ
    ..และ..ผู้กำกับ..ในขณะนั้น..ก็น่าจะได้กันแทบทุกท่าน..แล้วก็ญาติโยม..เพื่อนสนิท
    มิตรสหายอีก...............คนไหนสนิทมาก..ท่านก็ให้เพื่อเอาไปแจกต่ออีก......
    ............................................................
    ......ฉะนั้น..ผมจึงยืนยันว่า..เหรียญนี้ไม้ได้ทำไว้เพื่อจำหน่ายครับ..ทำไว้แจกโดย
    พลตำรวจเอก พจน์..และ..เข้าพิธีเดียวกันกับ..รุ่น๘๐ปีกรมตำรวจแน่นอน..
    (ท่านพจน์.ท่านถึงได้แกะตราด้านหลัง..เป็นโลห์..และ ๘๐ปี กรมตำรวจ..จะได้รู้ว่า
    เป็น..พิธีนี้)...ดังนั้นถูกต้องครับ..ที่ไม่มีในแผ่นพับของรุ่น ๘๐ ปี กรมตำรวจ
    ............................................................
    ....ผมจึงสรุปอีกทีว่า..ถ้าเข้าใจผิดว่า..เหรียญหลวงพ่อโสธรรุ่น ๘๐ปี กรมตำรวจ
    (ของแท้..นะครับ..ย้ำอีกที..ว่าของแท้)..เป็นเหรียญที่ไม่ได้มีการปลุกเสก...หรือ
    เป็นพวก"จับยัด"..ละก็...........................
    ............เข้าใจ..ซะใหม่ว่า..เหรียญของแท้..เป็นเหรียญแจก..ไม่ได้จำหน่าย
    (ไม่มีการขาย..หรือ..สั่งจอง)..และได้ผ่านการปลุกเสกเข้าพิธีเดียวกันกับ..รุ่น
    ๘๐ปี กรมตำรวจจริง..ดังนั้น..พุทธคุณ..ก็เป็นเช่นเดียวกันครับ..........
    .......พบกันใหม่....ตอนใหม่.......................................
    (เหรียญที่ผมได้มา..ได้ให้หลานไปแล้วครับ..ไอ้หลานผมมันก็ใช้ติดตัวตลอด
    ไม่ว่าทั้งอยู่เมืองไทย..หรือ..ในต่างประเทศ..กล่องไม่ต้องพูดถึง..ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว
    มัน..มากกว่า๑๐ปีแล้ว..ไม่สามารถเอามาถ่ายให้ดูกันได้

    ........แย่หน่อย..ครับ..ช่วงนี้..เข้า.postยาก..................
    ...........ผมเกริ่นไป..คราวก่อนเรื่อง..ครั่ง..ในครั้งก่อน..แล้วพอดี..เพื่อนสมาชิก
    มาถามผมด้วยว่า..ครั่งดำ..เป็นยังไง..และผมบอกไปว่า..ไม่มีนั้น...ผู้อ่านหลายท่าน
    ที่เป็นคนเหนือ..เห็นเขา..เลี้ยงครั่ง..เห็นรังครั่ง..ที่เขาเ็ก็บเอาไปขายกัน..ว่ามัน..
    ดำๆมอมๆ..คงด่าในใจกันเยอะ..แถม..นักเล่นวัวธนู..หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง..ก็
    คงไม่เห็นด้วยเช่นกัน......
    ........ครับ..ก็เหมือนผม..ที่เข้าใจผิด..ในสมัยก่อน....เมื่อกว่า๓๐ปีมาแล้ว..ผมยัง
    ทำงานรับราชการที่..กรมชลประทาน(กำลังโดน..ด่าเลย)..เขตพื้นที่รับผิดชอบคือ
    ..ภาคเหนือ..ทั้ง ลำปาง..แพร่..น่าน..เชียงราย..พะเยา....ผมก็แปลกใจ..อย่างนึง
    คือ..มีการปลูก..ต้นก้ามปู..กันเยอะ..เมื่อยุคนั้นไม้ก้ามปู..แทบไม่มีราคา..เขาไม่ใช้
    กัน..เพราะเป็นไม้เนื้ออ่อนคุณภาพ..ไม่ดี(ไม่เหมือนสมัยนี้..ที่เอามาย้อมสี..ลง..
    chemglaze..ทำเป็น..เก้าอี้..เฟอร์นิเจอร์เล็กๆ)..พอดีตอนนั้น..ลงพื้นที่..ที่
    อำเภอสูงเม่น..แพร่..ผมอยู่บนเขา..มองลงมา..เห็น..ปลูกกันแน่น..เป็นป่าย่อมๆเลย
    ..พอดีมีเวลาเหลือ..ผมเลยไปถามชาวบ้าน..แถวนั้นว่า..ปลูกไว้ทำอะไร..เขาก็บอกว่า
    ..ปลูกไว้เลี้ยง..ครั่ง..ผมก็ไปดูที่เขา..เก็บมา..ก็เห็นมัน..สีดำๆ..มอมๆ...ก็แปลกใจ
    อีกว่า..ไม่เห็นเหมือน..ครั่งที่เอามาใช้กันเลย..สีมันแดง..ก็เลยหักดู..ถึงได้เห็นว่า
    ..ตัวรังหรือเนื้อของมันจริงๆ..ไม่ดำครับ(ไม่นับ..เลือดครั่ง..ที่เป็นน้ำสีแดง..ที่อยู่
    ข้างใน..รังอีกที)..มันเป็นสีแดงเข้มอมน้ำตาล..และมีลักษณะค่อนข้างโปร่งแสง..
    มันวาว..และเหนียวมาก(ผิวด้านนอกแข็ง)....
    .......และหลังจากนั้น..มามีโอกาศ..ผมก็..ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม..เรื่องนี้ต่อ..
    ....................ดังนั้น..ที่ผมบอก..ไปคราวก่อน..จริงๆแล้วก็คือ..รังครั่ง..
    ที่เขาใช้กัน..จริงๆ..นี่แหละครับ...
    ..เลยเป็นที่มาของหัวเรื่อง..ตอนที่จะกล่าว..ต่อไปว่า....
    ...ถ้าเข้าใจผิดว่า..ที่คุณเห็นวัสดุ..พอกตะกรุด..หรือ..ลูกอม..หรือแปะด้านหลัง
    เหรียญ..ที่มันสีดำๆนั่น..คือ..ครั่ง..ทั้งหมด...ก็เข้าใจซะใหม่ว่า..มันไม่ใช่..ครั่ง
    ทั้งหมด..มันมีอย่างอื่นด้วย..แต่ไปเหมา..โมเม..เรียกกันว่า..ครั่ง....
    ...รวมถึง..เข้าใจผิด..ว่า..ครั่ง..มัน..สีดำ..ก็เข้าซะใหม่ว่า..ตัวรังครั่งจริงๆ..มันไม่
    ดำ..(แล้วทำไม..มันจึงออกมา..ดูเป็นสีดำ..ผมจะแถลงไข..ในคราวหน้า)


    .........เรามาว่ากัน..เรื่อง..ครั่ง..ที่เอามาพอกวัตถุมงคล..หรือเอามา..ปั้นเป็นควาย
    ทำไม..มันจึง..สีดำ..ก่อน..ทั้งๆที่..รังครั่งจริิงๆ..มันไม่ดำ......
    ......รังครั่ง..ที่อายุไม่มาก..ตัวเมียยังผลิตลูกได้..ต่อเนื่อง..ภาษาปะกิด..เรียกว่า..
    ..ยัง ACTIVE..หรือ..Full efficiency..อยู่นั้น..มันไม่ดำครับ..ผิวด้านนอก..มันออก
    ขาวๆคล้ายๆ..เราโรยแป้ง..ไปที่วัตถุใด..แบบไม่ทั่ว..ตรงไหน..ที่ไม่ขาว..ก็จะเห็น
    ตัวรังจริงๆ..ที่เป็น..สีแดงคล้ำๆ..โผล่ออกมา..ซึ่งชาวบ้านที่ผม..ไปสอบถาม..เขา
    ก็ชี้ให้ดู..เขาจะเก็บ..พวกนี้..เอาไว้ทำพันธุ์ต่อ........
    ...........แต่ไอ้ที่เอามา..ขายนี่..ก็คือพวก..ที่..รังแก่..กับ..รังที่ไม่มีตัวแล้ว...
    ..รังแก่..คือ..ตัวเหลือน้อย..ตัวเมียก็แก่..ผลิตลูกได้น้อยลง..เรียกว่า..ใกล้ปิดโรง
    งานแล้ว..รังก็จะ..ขมุกขมอม..สีดำๆคล้ำๆ..มีสีขาวบ้าง..ประปราย.....
    ......ก่อนอื่น..ต้องมาทำความเข้าใจ..ซะก่อน..สำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบ.......
    ............ตัวครั่ง..มันเป็นแมลง..ประเภท..หากินโดยการ..เจาะดูดน้ำเลี้ยงของพืช
    ที่อยู่ใต้..ผิวหรือเปลือกไม้..ถือว่า..จัดรวมอยู่ใน..แมลงประเภท.."เพลี้ย"..ที่เคลื่อน
    ไหวไปมา..อิสสระ..แต่เป็นแมลง..สังคม..คล้ายๆผึ้ง..มีการทำรัง..อาศัยอยู่ด้วยกัน
    ..มีพวกที่ผลิตลูก..กับ..พวกตั้งหน้าตั้งตาทำงาน...ตัวจี้ดเดียวครับ..ตัวเล็กกว่าริ้นอีก
    ..สีแดงๆ..อยู่กันยุบยับไปหมด..ไม่เหมือน..พวกเพลี้ยกระโดด..หรือ..เพลี้ยที่เจาะ..
    ช่อมะม่วง......
    ....................บ้า่นใครปลูกมะม่วง..หรือ..มีสวนมะม่วง..ก็คงจะเคยพบเหตุการณ์
    เวลา..หน้าหนาว..หรือ..ใกล้หมดหนาว..มะม่วงออกช่อ..มีหมอก..มี..น้ำค้างเยอะๆ
    ..ท่านจะพบ..คราบดำๆเหมือน..เขม่า..ติดอยู่กับใบมะม่วง..ทั้งที่อยู่บนต้น..และที่
    ตกลงมา..ที่พิ้น..ถ้าเป็นมากๆ..ตามพื้นก็ดำ..ไปด้วย..บางทีเราก็เรียกว่า.."ราดำ"
    ...ไอ้นี่..มันเกิดมา..จากแมลงดูดน้ำเลี้ยงพืช..ก็พวกตระกูลเพลี้ย..นี่เหละครับ...
    ..มันถ่าย..อึ..หรือ..จะเป็น..ฉี่..มัน..ผมก็ไม่ทราบ..เมื่อหล่นไปอยู่ที่ไหน..มันจะติด
    แน่น..เมื่อ..มีความชื้นในอากาศ..มากๆ..ทำให้เกิดเชื้อรา..จึงเห็นว่าเป็น..สีดำ.....
    .......................ต่อตอนหน้าครับ........................................


    .........ฉันใดใดฉันนั้นครับ...ในเมื่อ..ตัวครั่ง..มัน..เป็น..เพลี้ยประเภทหนึ่ง..
    ..ของเสียที่มันขับ..ออกมา..ก็คล้ายๆกัน..อันนี้พิสูจน์ได้..เพราะใต้ต้นก้ามปู
    ที่มันอาศัีย..จะเศษใบไม้ใต้ต้น..บริเวณดิน..หรือ..ตามกิ่งต่ำๆลงมา..ผมสังเกต
    เห็นได้..แต่ตอนนั้น..ผมก็รับรู้ได้...เพราะมันมี..ราดำ..ขึ้นทั่วไปหมด...เหมือน
    กับ..ใต้ต้นมะม่วงที่บ้านผม..ซึ่งผมถามชาวบ้านดูแล้ว..ว่าใช่มั้ย..ก็ได้รับ..
    คำตอบ..แบบเดียวกับที่คิดไว้...เพียงแต่ตอนนั้น..ผมรับรู้ข้อมูล..แล้วก็ไม่ได้
    คิดอะไรต่อ..จากนั้นหลายปี...พอตะกรุดหลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง.. ฮิต
    ..เขาบอกว่า..ไอ้ที่พอกคือ..ครั่ง..(แต่ผมรู้อยู่แล้วว่า..ไม่ได้มีแค่..ครั่ง)...
    .....คราวนี้..มันดูแล้ว..ออกดำ...แต่วัวธนู..หลวงพ่อน้อย..ก็ดำ...
    ..ผมข้องใจ..เพราะความจริงมัน..ควรจะออก..แดงคล้ำๆ......
    .....ผมเลย..ค้นคว้าเพิ่มเติม..ก็ทราบได้..อย่างนึงว่า..ถ้าเป็น..ครั่ง....
    ไม่ว่า..มันจะทำรัง..ที่ต้นอะไร..ก็ตาม..(เช่น..ต้นพุทรา)..รังครั่งจริงๆ..มันก็
    จะเป็นสีออกโทน..ใกล้เคียงกันคือ..แดงคล้ำ..ก็เลยตัดปัญหาส่วนนี้..ออกไปได้..
    ...แต่พอมา..ทบทวนตอนสมัย..ที่ไปดูครั่งที่..แพร่..ผมเลยนึกออก.....
    ......เพราะ..ตัวครั่ง..มันมีรังอยู่ที่นั่น..ของเสีย..ของพวกมันที่..ขับออกมา
    ..มันก็ต้องไหล..ออกมาจาก..รังด้วย..จนหล่น..มาตามพื้นเต็มไปหมด..ส่วนนึง
    ก็จะเปื้อน..ติดอยู่กับรัง..แล้วก็เิกิด..ราดำเช่นเดียวกัน..แล้วมันก็ลามไปเรื่อยๆ..
    ...ต้องเข้าใจด้วยว่า..คราวที่แล้วผมพูดว่า..รังใหมุ่ๆ..มันจะมีฟูๆ..เป็นเหมือน
    แป้ง..ด้านนอก..ก็ยิ่งทำให้ราเกาะ..แล้ว..เจริญได้ง่าย..อีกทั้ง..รังครั่งเมื่อ..ได้
    รับความร้อน..มันจะเริ่มอ่อนตัว..เกิดอาการเหนอะที่ผิว..ได้..ราดำ..มันก็เลย
    ฝังตัว..ไม่หลุดไปไหน........................
    .............ผลที่เกิด..ก็คือ..รังแก่ๆ..รังที่ตัวหมดแล้ว...สีภายนอก..มันถึงได้
    ออก..ดำๆ...นั่นก็คือ..ราดำที่เกิดจาก..ของเสียที่พวกมันขับออกมาเอง.....
    ..จากคุณสมบัติของ..รังครั่งที่มันเหนียว..ราจึงติดแน่น..ฝังใน.(พวกรังแก่ๆ..
    ราดำมัน..ก็ขึ้นทับกันไปเรื่อย)..แม้เราจะทุบ..ให้เป็นชิ้นเล็กๆ..เอาไปล้างน้ำ
    ธรรมดา..มันก็ไม่ออก(..โรงงานผลิตเม็ดครั่ง..ส่งออก..ต้องใช้..โซดาไฟ..
    ช่วย..ด้วย).................
    ................บรรดาพระอาจารย์..ที่ได้รังครั่งดิบมา..ก็คงพียงแค่เอา..เศษ
    ดิน..เศษไม้..ออก..แล้วก็นำมาใช้งานเลย..................
    ....นี่ครับ..คือสาเหตุหลัก..อย่างแรกที่ทำให้..มันดูเป็น..สีดำ...
    .........................ต่อตอนหน้าครับ..............................


    ......................................
    ..............ขอบคุณครับ..ที่แจ้งให้ทราบ..ไม่งั้นผมก็ไม่ทราบ..
    เหมือนกัน..ว่ามีคนอ่าน..ต่อเนื่อง..อยู่รึเปล่า..หลังจากนี้..ถ้า
    หายไปหลายๆวัน..ก็อย่าแปลกใจนะครับ..เพราะที่บ้านผม...
    ...น้ำท่วม..กำลังจะเข้าตัวบ้านอยู่แล้ว....




    ................สาเหตุ..ที่ทำให้ดำ..ถัดมานั้น..เป็นเรื่องรอง....ได้มา
    จาก..ขบวนการที่จะต้อง..เอาไปลนไฟ..ให้มันนิ่ม..
    ..คือขั้นตอน..ทั่วๆไป..ก็ต้องมาเอาแคะ..เศษไม้ที่ยังติดอยู่..(และอาจมี
    วัสดุปลอมปนอย่างอื่นด้วย)..แล้วก็เอามาทุบ..ให้มันกลายเป็นชิ้นเล็กๆ
    ก่อน..แล้วเอาไปลน..หรือ..อังไฟ..ให้มันเริ่ม..พอเหนียว...
    ..อย่างพอก..ตะกรุดนี่..ผมว่าก็น่า..จะทำให้มัน..เป็นแผ่นก่อน..เพราะ
    ..ทิ้งไว้..เวลาจะเอามาพัน..ก็เอามาลนไฟอีกที..คงหุ้มได้ง่าย...
    ....ส่วนแบบ..วัวธนู..ก็อาจจะ..ทำเป็นแท่งยาวๆก่อน..
    ........เพราะ..วัวธนู..ขนาดกลาง..ขนาดใหญ่..นี่เขาขึ้นโครงก่อน..แล้ว
    เอาแท่งที่เตรียมไว้..มาลนไฟ..แล้วก็หุ้มโครง...............
    ........ก็จะเห็นได้นะครับ..ว่า..มันจะต้องเจอกับไฟ..อาจจะ..ครั้งเดียว..
    ..หรือ(น่าจะ) ๒ ครั้งขึ้นไป....
    ......เขม่าไฟ..เวลาที่ลน..ก็ย่อมมาจับที่ตัวครั่งได้....
    .......เวลาลน..บางส่วนก็อาจจะใหม้ได้..ก็กลายเป็นถ่าน..
    ..ดังนั้นจากที่ว่ามา..เมื่อ..กด..เคล้น..บีบ..นวด..ไปด้วย..ลนไฟ..ไปด้วย
    ..ก็แน่นอน..ทั้งเขม่า..ทั้งส่วนที่ไหม้.ก็จะ..ฝังเข้าไปในเนื้อ....
    .....จากการสังเกต..จะเห็นได้ว่า..ตะกรุดที่พอกครั่ง(เฉพาะ..ดอกที่ใช้
    ครั่ง..นะครับ..)..ถ้าเข้าแว่นจริงๆแล้ว..จะเห็นผิวที่มีความวาวบ้าง...
    ..และ..บางส่วนก็เป็นสีน้ำตาลแก่..และจะมีความโปร่งแสง..บ้างเล็กน้อย
    เพราะ..ส่วนที่หุุ้มบางกว่า..พวกวัวธนู..นั้น..นอกจากจะหนาแล้ว....
    ..(ทำให้สีของมันเข้มขึ้นไปอีก)...
    ..ยังต้องลนไฟ..เยอะกว่าด้วย..เพราะต้อง..บีบ..นวด..ตบแต่ง..ให้ดูเป็น
    วัว..ก็อาจจะต้องลนไฟแต่งไป..พอมันเริ่มแข็ง..ก็ลนใหม่..แต่งใหม่....
    ก็เลยทำให้..สีเข้มจนกลายเป็น..ดำไป..
    ....................ต่อตอนหน้าครับ........................



     
  9. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    .............ผมจะมาว่าต่อ..ตามหัวข้อ..เรื่อง..วัสดุพอกตะกรุด..และ..วัสดุที่แปะ
    หลังเหรียญ..ของ..หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง..เพชรบุรี..อันมีชื่อเสียงโด่งดัง
    ...ที่วงการ..เรียกวัสดุนั้น..ว่า..ครั่ง..
    ........สำหรับ..ตะกรุด..นั้น..จะไปเหมารวมว่า..ครั่ง..อย่างเดียว..ไม่ถูก..เพราะ..
    นอกจาก..ครั่ง..แล้ว..จำนวนไม่นอยทีเดียว..ที่ไม่ได้ใช้..ครั่ง..เป็นตัวพอก..ตระกรุด
    ..ฉะนั้น..ผมถือว่า..เป็นการทำให้..คนเข้าใจผิด..ผมเคยบอกไปตอนก่อนแล้ว..
    ว่า..ถ้าคุณsearch..รูปในเน็ต..คุณสังเกตซะหน่อย..คุณจะเห็น..แตกต่างเป็น..
    ๒ แบบ คือ..พวกสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ..ผิวค่อนข้าง..มัน......กับอีกแบบ
    ..ที่สีจะเป็น..ดำปี๋เลย..ผิวค่อนข้างด้าน....
    .....ไอ้อย่างแรก..นะใช่ครับ..แต่ไอ้อย่างที่สองนี่......ไม่ใช่...................
    .............ส่วนวัสดุที่แปะ..หลังเหรียญ..ของหลวงพ่อปี..๒๔๙๘.........
    ....................ไม่ใช่เลย...ถือว่า..เป็นการทำให้คนเข้าใจผิด..อย่างสิ้นเชิง..
    ...ถ้าคุณ..สังเกตเหรียญแท้..แล้ว..คุณไปลองดู..ตะกรุด..จะเห็นว่า..มันจะเหมือน
    กับ..แบบที่สองที่พอกตะกรุด..คือ..ดำปี๋..และค่อนข้างด้าน..ยิ่งถ้า..ห้อยเปลือย..
    ไม่ได้เลี่ยมพลาสติกหุ้ม..ถูกเหงื่อตลอด..มันจะด้านขึ้นไปอีก..และมีการแตกระแหง
    ด้วย......................................
    ...........ทำไมผมถึง..ยืนยันได้..และ..ว่า..คนละอย่างกับ..วงการ..ต้องรอตอน
    หน้า..ผมจะเฉลยให้..และจะบอกด้วยว่า..ไอ้วัสดุนั้นคืออะไร
    ..............ต่อตอนหน้าครับ



    .............ขอบคุณครับ..คุณSaylom..คุณDinso..และคุณJaxjax...
    ..ผมว่า.จะเขียนต่อไปเรื่อยๆทุกคืน..จนกว่า..เขาจะตัดไฟ(อยูแถวปากทาง
    ลาดพร้าวครับ)...............................................
    ....................ที่ผม..ยืนยัน..นั่งยัน..และนอนยัน..ได้เพราะ..ผู้ที่บอกว่า...
    วัสดุที่แปะ..อยู่ด้านหลังเหรียญหลวงพ่อทองศุข ปี ๒๔๙๘..ก็คือ......
    ....................ตัวหลวงพ่อเอง.............................
    ....ผู้ที่ได้รับฟัง..คือ..พ่อผมเอง...เป็นการสนทนา..กัน ๒ต่อ๒......
    ในคราวที่..หลวงพ่อท่านมอบ..เหรียญนี้ให้กับพ่อผม(พ่อ..ได้เหรียญทองแดง
    ..แม่ได้เหรียญเงิน...พ่อได้แหวนหัว..นะ..เป็นทองแดง..หัวเป็นเงิน.....
    ..แม่ได้..แหวนเป็นเงิน..ทั้งอัน)...เมื่อหลวงพ่อ..เรียก..พ่อ..กับ..แม่..ไปรับ
    ของๆท่าน..กับมือ..พ่อได้รับแล้วก็..มาพลิกดู..ด้านหลัง..พอเห็นมี..วัสดุดำๆ
    แปะอยู่ก็..แปลกใจ..พ่อก็เลยถามหลวงพ่อ..ตอนนั้นเลย..ทำนองว่า(ผมจำคำ
    พูดพ่อจริงๆไม่ได้แล้ว)..ที่แปะข้างหลังเหรียญ..มันเป็นอะไรครับ..หลวงพ่อก็
    ตอบว่า..........................................................
    ..................นี่คือ..ชันนางโรงใต้ดิน.............................
    ..แล้วท่านก็บอก..สรรพคุณต่อว่า..เอาไว้แปะ..บริเวณที่ถูกสัตว์มีพิษ..ทุกชนิด
    ..กัด..หรือ..ต่อย..จะช่วยถอนพิษได้............
    .............หลวงพ่อ..ระบุชัดเจน..ว่าคือ..อะไร..ไม่มีอะไรพ่วงท้าย.......
    .....แต่ไหง..พวกหนังสือพระ..และ..วงการ..ดันไปบอกว่า..เป็น..ครั่ง...
    ..ผมก็ไม่เข้าใจ..จริงๆ...................
    .....อย่าแปลกใจครับ..พ่อกับแม่ผม..สนิทกับท่านเป็น..อย่างดี.......
    ที่ไปที่มา..มันยาว..ผมเคยเล่าไว้แล้ว..ในบทความเก่าผม..ถ้าใครอยากทราบ
    ก็ไปsearch..ใน Google..ว่า..หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง และ หลวงพ่อจันทร์
    วัดมฤคทายวัน.......เดี๋ยวก็..ขึ้นมาเอง........ผมใช้ชื่อ..นี้แหละ modpong...
    ....ตอนหน้า..ผมจะมาเล่าต่อ..ว่า..ชันนางโรงใต้ดิน..มันสำคัญ..อย่างไร..
    ..รับรองว่า..มีรายละเอียดมากว่า..ในบทความเก่า..ของผม.....
    ...................ต่อตอนหน้าครับ....................



    .....ความจริง..จะเรียกว่า..ชันนางโรงใต้ดิน..เป็นวัสดุ
    อาถรรพ์..ก็คงได้มั้ง..เพราะปรากฏ..ในตำราสร้าง..เครื่องราง
    .ของขลัง..ในหลายแห่ง..เอาเฉพาะที่ดัง..และรู้จักทั่วไป..จริงๆ
    ก็...ชัยวัฒน์บรรจุผงอุดด้วย..ชันนางโรงใต้ดิน..ของเจ้าคุณเฒ่า..วัดหนัง
    ...หรือ..ชัยวัฒน์บรรจุผงอุดด้วย..ชันนางโรงใต้ดิน..ของหลวงปู่บุญ..
    วัดกลางบางแก้ว..ยังมีอีก..ก็เช่น..พระปิดตาไม้แกะบรรจุผง..ของ..
    ..พระธรรมกิตติ(เม่น) วัดสังเวช..ปิดทับด้วย..ชันนางโรงใต้ดิน...
    ..แล้วก็เ่ช่นกัน..ของลูกศิษย์..สังฆราช(อยู่) วัดสระเกศ..ฯลฯ...
    ....ส่วนเครื่องราง..ก็..พวกตะกรุดไม้ไผ่บรรจุผง..แล้ว..ปิดทับ...
    ด้วย..ชันนางโรงใต้ดิน..ของ..อาจารย์แถบ..นครปฐม..ราชบุรี..ลพบุรี
    ฯลฯ...................................
    ............จะเห็นได้ว่า..เจตนาหลัก..หรือ..วัตถุึประสงค์หลัก..คือ
    ..เอาไว้..อุด..หรือ..ปิด..ของที่บรรจุไว้..ไม่ให้เล็ดรอด..ออกมา...
    ..ภายนอก..เพราะคุณสมบัติ..การยึดเกาะ..ที่ดีมาก..ส่วนใหญ่..
    ไม่ว่า..อะไร..มันก็ยึดติดแน่นได้หมด..
    ....ข้อดีอีกอย่าง..การอุดก็ไม่ยุ่งยาก..แค่ลนไฟ..ให้มันนิ่ม..มันก็จะ
    คล้าย..ดินน้ำมัน..พอมัน..เย็นตัว..ลงแล้ว..มันก็จะแข็งเอง...
    (อันนี้..ไม่ได้เอาขี้ปากเขา..มาพูด..นะครับ..ผมทดลอง..ทำเอง..มา
    หมดแล้ว)....
    .....อีกข้อที่สำคัญ..และต่างจากครั่ง..คือ..นอกจากจะแข็ง..แล้ว
    ..มันยังมีความเหนียวด้วย..ยืดหดตัวได้เล็กน้อย..ไม่่เปราะ..แบบ..ครั่ง
    ..สีดำสนิท..ไม่มีการเปลี่ยนสี...ฉะนั้น..เมื่อใช้กับ..พวกไม้..ซึ่ง..เจอ
    ..เหงื่้อ..ควา่มชื้น..มีการยืดหดตัว..มันก็จะไม่แตก..และหลุดออกมา..
    ...........แต่คนโบราณ..เขาไม่ได้คิด..อะไร..ตื้นๆแบบคุนยุคนี้....
    ..เขาก็ต้อง..ให้ได้ประโยชน์..หลายทางด้วย..เรื่องอะไร..จะไปใช้..
    ชันนางโรงทั่วไป..เพื่อมาเป็นวัสดุอุด...ก็ต้องเอา..ของพิเศษ..ที่มี
    คุณวิเศษ..อยู่ในตัวด้วย..มันถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด.....ก็คือ...
    ..............ชันนางโรง..ที่..มันทำรังอยู่..ใต้ดิน...........
    ....เคล็ดเป็นอย่างไร..ผมจะมาวิเคราะห์...ตอนหน้า...............
    ................ต่อตอนหน้าครับ.............................



    ความจริง..ชันนางโรง..เป็นแมลงบินตัวเล็กมาก..คลายผึ้ง..แต่ยาวเพียง
    ๒ มิลลิเมตร..โดยประมาณ..ไม่มีพิษภัย..ไม่มีเหล็กใน..เป็นแมลงสังคม..อยู่กันน้อย
    กว่าผึ้ง..แต่มากกว่า..ตัวต่อ..หรือ..ตัวแตน..สำหรับ..ที่ภาคกลาง(และในบ้านผม)...
    ตัวมันจะ..สีดำ..และ..รังสีดำ..ขยันขันแข็ง..บินเข้า..บินออก..ทั้งวัน..มันจะทำรังใน
    ที่ๆเป็น..โพรง..หรือ..ช่อง..อยู่ในที่ๆค่อนข้างสูง..(เหนือหัวคนขึ้นไป)..รังมันจะเริ่มจาก
    ปากโพรงเข้าไป..โดยใช้สารที่มันขับออกมา..จากตัว..เหนียวและ..ค่อนข้างแข็ง...ต่อ
    ลึกเข้าไปในโพรง..ฉะนั้นที่คุณเห็นรังมัน..ไม่ได้มีแค่นั้น..ทั่วไปในป่า..มันก็ชอบทำรัง
    ตามซอกหิน..หรือ..โพรงหิน..ตามเชิงเขา..อย่างแถวเพชรบุรี..มีเขาหินปูนเยอะ...
    ก็จะพบมันได้ไม่ยาก
    ...............................ชันนางโรงที่ทำรัง..อยู่ใต้ดิน..มีจำนวนน้อยมาก..และหายาก
    เพราะ..การที่มีรังอยู่ใต้ดิน..ต้องเสี่ยงกับน้ำท่วมรัง..แม้ใน..ที่ดอน..เวลาที่ฝนตกหนัก
    ..และนาน..ซึ่งพวกแมลงที่ทำรังใต้ดิน..เกือบทั้งหมด..ไม่ใช่..แมลงบินได้..เช่น..มด
    ..หรือ..ปลวก..ซึ่งเคลื่อนไหวได้..สะดวก..แมลงบินที่ทำรังใต้ดิน..และ..เรารู้จักกันดี
    ก็มีแค่..ต่อหลุม..ซึ่งก็ไม่ใช่หาได้..ง่ายๆ..รังก็เอามาทำประโยชน์อะไร..แทบไม่ได้..
    อีกอย่าง..มันก็เป็นสายพันธุ์เฉพาะ..คล้ายๆ..ต่อโพรง..ที่ทำรังตามโพรงต้นไม้..
    .....แล้วคนโบราณ..ทำไม..เขาถึงเลือกชันนางโรงใต้ดิน..อย่างแรกแน่นอน..
    ก็คือ..คุณสมบัติความเหนียว..และ..ความแข็งใช้งานสะดวก..แตอีกอย่าง
    ผมสันนิษฐาน..ว่า...
    ....๑. การที่มันสามารถ..อุด..ปิดกั้น..น้ำที่ผิวดิน..และใต้ดิน..ที่จะไหลเข้ามา
    ทำความเสียหายที่รังได้(ขณะที่..ทั่วไปเขาทำรังกันที่สูง..ไม่ต้องกลัวน้ำ)..แสดง
    ว่า..มีความพิเศษ
    .....๒. การที่แมลงที่ไม่อาวุธอะไร..ที่ไปทำรังใต้ดิน..แต่ตามใต้ดิน..ก็มีแมลง
    กระหายเลือด..อย่างพวก..มดอยู่..ขนาดปลวก..มีปลวกทหาร..ก็ยังต้องแพ้
    ..ชันนางโรงพวกนี้..สามารถ..อยู่รอดได้ยังไง..มันทำรังยังไง..ถึงได้ป้องกัน
    ไม่ให้พวกมด..เข้ามากินตัวอ่อน..ของพวกมันได้..มันอาจจะสามารถปิดทางเข้า
    ได้อย่างรวดเร็ว..และการที่..รังมันเหนียวมาก..มดคงฝ่าเข้าไป..ไม่ได้...
    .........นี่คือ..ความสามารถ..ทางป้องกันกัย..อันตราย...
    .....๓..หายาก..อันนี้..แน่นอน..สิ่งอะไร..ที่หายาก..ย่อมมีคุณค่าเสมอ...
    ..............ดังนั้น..จาก ๓ ข้อ คือ อุดและปิดกั้น.....ปกป้องคุ้มกันภัยอันตราย
    ....และ..หายาก..แค่นี้..มันก็กลายเป็น..เคล็ด..หรือ..อุปเท่ห์..ของรังชันนางโรง
    ใต้ดิน..ที่เหมาะสม..กับการ..นำมาใช้งานกับ..เครื่องราง..ของขลังแล้วครับ...
    ..........................ต่อตอนหน้าครับ......................................................
     
  10. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ........เนื่องจากหลวงพ่อ..ได้นำชันนางโรงใต้ดิน..มาแปะที่หลังเหรียญปี ๒๔๙๘ ของท่าน
    เพื่อให้ได้คุณประโยชน์เพิ่มเติม..ดังที่หลวงพ่อได้แจ้งให้พ่อผมทราบไปแล้ว..ในตอนก่อนหน้า
    นี้นั้น..ท่านก็คงนำชันนางโรงใต้ดินอีกส่วนนึง..ไปหุ้มตะกรุดของท่านเช่นกัน..เพราะเป็นวัตถุ
    มงคลหลักของท่าน..และชาวบ้าน..ก็นิยมคาดกันอยู่แล้ว..นี่ว่ากันตามเหตุผล..และเมื่อว่ากัน
    ตามหลักฐานจริง..ผมก็พบว่า..ในตะกรุดหลายดอก..ที่ได้พบ..ตัวหุ้ม..ก็เป็นเช่นเดียวกับที่แปะ
    หลังเหรียญ(ผมเปรียบเทียบ..กับเหรียญของพ่อผม)..และอีกหลายดอกเท่าที่พบ..ก็เป็น..ครั่ง
    (ทำจากรังครั่งดิบ..ที่มีหลายอย่าง..ดังที่ผมเล่าไปตอนก่อนแทรกปะปนอยู่).....
    ..เพียงแต่ผมไม่ทราบว่า..ก่อนปี๒๔๙๘..ที่ท่านได้ออกเหรียญนั้น(ท่านไม่ได้ทำ..แต่ลูกศิษย์
    คนแรกท่านทำให้..คือ..หลวงพ่อจันทร์ วัดมฤคทายวัน)ท่านได้เคยนำ..ชันนางโรงใต้ดิน..
    มาหุ้มตะกรุดอยู่ก่อนหน้า..แล้วหรือไม่..เพียงแต่ถ้านับกันตามเหตุผล..ครั่ง..จะครั่งพุทรา
    หรือ..ครั่งอื่น..หาได้ง่ายกว่า..ชันนางโรงใต้ดิน..อยู่แล้ว.....
    .....ดังนั้น..ตะกรุดที่มีการปล่อยกันอยู่ในสนาม..จึงพบว่า..ที่หุ้มเป็นชันนางโรงใต้ดิน...
    มีน้อยกว่า..ตะกรุดที่หุ้มด้วยครั่ง(กลับไปอ่าน..ตอนเก่าที่ผมพูดถึงความแตกต่างกัน)
    ...............................ต่อตอนหน้าครับ.............................................................



    .........................ผมมาวิเคราะห์ว่า..ทำไม..วงการ(ที่มาจริงๆ..ก็ต้องที่วัด
    ..แถวๆข้างวัด..แล้วก็มาที่เซียนท้องถิ่น..แล้วจึงเข้ามาส่วนกลาง)..ถึงเหมารวม
    เอา..ว่า.เป็น..ครั่งไปหมด..ทั้ง..ตะกรุด..ไปจนถึงเหรียญ..ก็น่าจะมาจาก..สาเหตุ
    เหล่านี้.....
    .....๑.สำหรับตะกรุด..ท่านเคยทำ..พอกครั่งมาก่อน..แต่ที่พอกชันนางโรงใต้ดิน..
    ก็จะมีเฉพาะกิจ..เช่นช่วงปี ๒๔๙๘..ที่จัดหาชันนางโรงใต้ดิน..มาแปะ..หลังเหรียญ
    ..แล้วเหลือ..ก็เลยเอาไปพอกตะกรุดด้วย....
    ......๒.สำหรับตะกรุด..สืบเนื่องมาจากข้อ ๑..พอกครั่งมีจำนวนมากกว่า..และ
    ชาวบ้านก็ชิน..กับเรียกแบบนี้...
    ......๓.สืบเนื่องมาจาก..ข้อ๒ ..เพราะความเคยชิน..ก็เลยเห็นอะไร..ดำๆ..ที่ท่าน
    มาโปะ..มาพอก..หรือมาแปะ..ว่าเป็น..ครั่งไปหมด..อันนี้เลยลาม..มาทั้ง...
    ตะกรุด..และ..เหรียญทองแดงปี ๒๔๙๘(เหรียญเงิน..ไม่มีแปะ..นะครับ..ขอให้
    เข้าใจตามนี้..ถ้าคุณมีเหรียญเงิน..ที่มี..แปะชันนางโรงใต้ดิน..แล้วไม่มีรูปอะไร
    แบบเหรียญทองแดง..ให้ทราบไว้ด้วยว่า..ไม่ใช่(อาจจะหามาแปะเอง..เพื่อเพิ่ม
    ราคา)...แต่ถ้ามีรูป..พระปางลีลากดประทับลงไป..ให้ทราบไว้ว่า..นั่นเป็นของ
    หลวงพ่อจันทร์ วัดมฤคทายวัน..สร้างในปี๒๕๐๐ ท่านนำไปให้หลวงพ่อปลุก
    เสกด้วย..นอกเหนือจากที่หลวงพ่อจันทร์ปลุกเสกเองแล้ว..แล้วนำมาแจกที่
    วัดมฤคทายวัน..ส่วนนึงให้ไว้ที่อาจารย์ท่านแจกที่วัดโตนดหลวง)......
    ......๔.หลวงพ่อท่านเป็น..คนดุ..ปกติจะไม่พูด..นั่งเฉยๆ..ถามคำ..ตอบคำ...
    ชาวบ้าน..และ..ลูกศิษย์จะกลัว(พ่อผมเล่าให้ฟัง)..ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ..ก็ไม่มี
    ใครกล้าไปถาม..อะไรท่าน..ฉะนั้น..จึงแทบไม่มีใครทราบ..เว้นแต่..ลูกศิษย์
    สืบวิชา(พระ)..และลูกศิษย์ที่สนิทจริงๆ
    ...................................ต่อตอนหน้าครับ.............................................



    ........๕. มีข้อสังเกต..ของผมอย่างนึงคือ..ผมเอารังชันนางโรงที่มันทำ..ที่โรงรถบ้านผม
    เอามาลนไฟ..และลองปั้น..เป็นแบบ..แผ่นบ้าง..เป็นแบบลูกอมบ้าง..ถึงแม้เมื่อมันเย็น
    แล้ว..มันจะแข็ง..แต่ก็ไม่เห็นจะแข็งเป้กแบบหลังเหรียญของหลวงพ่อ..หรือ..ที่หุ้มตะกรุด
    คือ..ถ้าเอาเล็บจิกแรงๆ..มันจะบุ๋มตามรอยเล็บไปเล็กน้อย..แต่ของหลวงพ่อนี่..แข็งเป้ก
    เหมือน..ครั่งเลย(..ครั่งนี่..แข็งมากนะครับ..เล็บกดไม่มียุบ...แต่อาจจะเป็นรอยขูดบางๆ
    ได้..หล่นพื้นปูนแตกเลย)..ซึ่งก็ไม่ทราบรายละเอียดการทำจริงๆ..ว่ามีเทคนิค..หรือ..ส่วน
    ผสม..เพิ่มเติม..อะไร..แต่ผมมาสันนิษฐาน..ตามเหตุผลที่ควรจะเป็นว่า..ถ้าเราเอา..
    ..ชันนางโรง..ที่บดให้เป็นชิ้นเล็กๆ..ใส่ภาชนะ..แล้วเอา..ครั่งดิบที่บดละเอียดบางส่วน..
    คลุกเคล้าผสมกัน..แล้วไป..ตั้งไฟ..จนเหลวกลายเป็นเหมือนน้ำเชื่อม..แล้วกวนต่อไปซักพัก
    ...ทิ้งไว้ให้เย็น..มันก็น่าจะทำให้..ชันนางโรงนั้น..แข็งขึ้นมาได้..เพราะ..มีความแข็งครั่งมา
    ช่วย...................................
    ...............ครับ..ก็มาถึงบทจบของตอน..ก็คือ................................
    .....ถ้าเข้าใจผิดว่า..ที่คุณเห็นวัสดุ..พอกตะกรุด..หรือ..ลูกอม..หรือแปะด้านหลัง
    เหรียญ..ที่มันสีดำๆนั่น..คือ..ครั่ง..ทั้งหมด...ก็เข้าใจซะใหม่ว่า..มันไม่ใช่..ครั่ง
    ทั้งหมด..มันมีอย่างอื่นด้วย..มัน..ก็คือ..ชันนางโรงใต้ดิน..ดั่งที่ผมอธิบายมา..นั่นแหละ
    ครับ.............................................จบตอน...............................................
    .....................พบกันใหม่ตอนหน้าครับ............................................................



    ...................ถ้าคุณเข้าใจว่า..พระที่ห่มคลุม(เวลาออกนอกวัด)มี..ลูกบวบคล้องพาดไหล่
    แล้ว..ขนานแขนลงมาถึง..ข้อมือ..เป็นพระสงฆ์นิกายธรรมยุติ..ทุกองค์ที่เห็น...นั่นคุณ...
    กำลังเข้าใจผิดครับ..ต้องเข้าใจ...ซะใหม่..ว่า..ไม่เสมอไป..เพราะ..ในจำนวนเหล่านั้น..
    ก็มี..พระสงฆ์นิกายมหานิกาย..ปะปนอยู่ด้วย..ไม่น้อย.............
    ...........................แต่ก่อนแต่ไร...เราไม่เคยมีนิกาย..แตกออกมาเป็น..๒ นิกายมาก่อน..
    จนถึงสมัย..รัชกาลที่๓..อันสืบเนื่องมาจากพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ(รัชกาลที๔)....
    (ความจริงเริ่มมาตั้งแต่รัชกาลที่๒..ที่รัชกาลที่๔บวชใหม่ๆ..นิยมรูปแบบธรรมเนียม..ข้อ
    ปฎิบัติ..และการนุ่งห่ม..ของพระสงฆ์รามัญ(มอญ)..และทรงรับมาใช้กับพระองค์..และมี
    ผู้ทำตามอย่างบ้าง..แต่ยังเป็นแค่ค่านิยม..เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ พระองค์ท่านลำบากใจ
    ..เพราะ..พระไทยการแต่งกาย..การห่มเริ่มแยกเป็น ๒ แบบ..มองแล้วกลายเป็น..พระมอญ
    ไป..จึงต้องเกิดการ..จัดแบ่งคณะสงฆ์ขึ้น..)................
    .................กาลเวลา..ดำเนินต่อมา..ก็เกิด..ความนิยมในรูปแบบ..ของธรรมยุติกนิกาย..ใน
    พระสงฆ์..ตั้งแต่เจ้าอาวาสวัด..ลงมา(แต่ในสมัยก่อนนั้น..เมื่อมีการแบ่งนิกาย..ก็จะมีการระบุ
    ชัดเจนว่า..วัดไหน..เป็นนิกายอะไร..รวมถึงวัดใหม่..ที่สร้างหลังการแบ่งคณะสงฆ์ด้วย..จะมี
    การระบุ..เช่นกันว่า..วัดนี้เป็นนิกายอะไร..อย่างชัดเจน..ซึ่งตามกฎของสงฆ์..และ..กฎหมาย
    ..โดยทั่วไป..วัดไหนเป็นนิกายอะไร..ก็ต้องเป็นอย่างนั้น..ไปตลอด)..เมื่อตัวเอง..เป็นมหานิกาย
    แต่ใจเป็น..ธรรมยุติ..ก็เลยเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น....................
    ..........................................ต่อตอนหน้าครับ..................................................................



    ..............ก่อนที่จะว่า..กันต่อไป..ผมย้อนมาพูดถึง..ผลของการเกิดเป็น..ทางการ
    ของธรรมยุติกนิกาย..ก็ทำให้เกิดความไม่พอใจใน..พระสงฆ์ระดับ..เจ้าคุณขึ้นไป
    ยัน..สมเด็จ..อย่างที่ท่านทราบกันอยู่..อย่างหลวงปู่รอด..วัดโคนอน..ไม่ยอมถวาย
    อดิเรก..รัชกาลที่๔..ก็โดนปลดไป..จากตำแหน่งเจ้าคุณ...แต่ให้สังเกต..พระอยู่องค์
    หนึ่ง..ซึ่งไม่ยอมลงให้รัชกาลที่๔..และมีการแขวะกันไป..แขวะกันมา..ตลอด..ก็คือ
    สมเด็จโต..ซึ่งท่านเป็นพระมหานิกาย..ระดับสูงเพียงองค์เดียว..ที่รัชกาลที่๔..ท่านให้
    ความเคารพ..นับถือ..และเกรงใจ..มากที่สุด..นอกนั้น..พระมหานิกายองค์อื่น..แทบ
    หมดบทบาทไปเลย...
    ..........ต่อไปนี้..เป็นบทวิเคราะห์..ของผมเอง..ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใคร..อันเนื่องมาจาก
    ความน่าจะเป็น..ในการเปลี่ยนแปลง..ในบางส่วนของ..มหานิกาย..ที่มาใช้..รูปแบบ
    ของ..ธรรมยุติ..ที่ผมจะว่า..ต่อไปนี้..แค่เป็นบางส่วน..เท่านั้น..นะครับ..เพราะ...
    ..มหานิกายแท้ๆที่ยังคงรูปแบบ..เดิม..ยังมีอยู่..เป็นอัตราส่วน..มากกว่าเยอะ...
    ...............ความจริง..การเกิดคณะสงฆ์ธรรมยุติ..ขึ้นมาใหม่..ก็ถูกจับตามองจาก..
    เหล่าสงฆ์มหานิกายทั้งหลาย..ในยุคแรกๆทั้งนั้น..เพราะเป็นของใหม่..และกำเนิด
    มาจากพระมหากษัตริย์..การวิจารณ์ในที่เปิดเผย..เป็นสิ่งต้องห้าม..จากพระระดับ
    สูง..ยิ่งยุคนั้น(รัชกาลที่๔)..สมเด็จพระสังฆราช..ก็เป็น..ธรรมยุติ..พระระดับสมเด็จ
    และ..เจ้าคุณระดับสูง..ก็มีพระธรรมยุติอยู่เป็นจำนวนมาก...วัดหลวง..ที่สร้างใหม่
    ..หรือ..มีการปฎิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่..ในตอนนั้น..ก็..สังกัดธรรมยุติ..กันแทบทั้งนั้น...
    (สืบต่อ..มาจนถึง..ยุครัชกาลที่๕)..ความสำคัญของ..พระมหานิกายก็เลยถูกบั่น
    ทอนไปโดยปริยาย...(แต่ตำแหน่ง สมเด็จพุฒาจารย์ และ สมเด็จพระวันรัตน์..ยัง
    สงวนไว้ให้..กับ..มหานิกายเท่านั้น)
    ...........การสังเกตของพระมหานิกาย..ที่มีต่อ..พระธรรมยุติ..ก็ตั้งแต่..ความเป็นอยู่
    การนุ่งห่ม..และกิจวัตรต่างๆ..เมื่อ..มหานิกาย..เป็นส่วนใหญ่มาก(ขณะนั้น)ตัวเอง
    ก็เรียกว่า..ยังไม่รู้สึกด้อยอะไร...รูปแบบ..ธรรมเนียมปฎิบัติที่สืบเนื่องมา..ช้านาน..
    ก็ยังคงอยู่..บางท่านหรือบางกลุ่ม..ก็วิจารณ์หรือมองในข้อไม่ดี..แต่บางกลุ่มก็มอง
    ในข้อดี..............................
    .................................ต่อตอนหน้าครับ........................................................



    ...............................ในส่วนที่ดี..ความหมายของผม..เน้นไปทางสบาย..ของ
    การนุ่งห่มเป็นหลัก.....เป็นข้อสังเกต..ของผมเอง..จากการที่ผมบวช..มา ๑ พรรษา
    และ..ผมได้นุ่งห่ม..จีวรมาทั้ง ๓ รูป..คือ ทั้ง"ห่มดอง"แบบมหานิกาย(คาดประคตอก)
    .."ห่มมังกร"แบบมหานิกาย(ลูกบวบพันเป็นเกลียว..รอบแขน).."ห่มคลุม"แบบธรรมยุติ
    (ลูกบวบขนานแขนลงมาถึง..มือ)....ทำไม..ถึงเป็นอย่างนั้น..ผมจะมาเล่าให้ฟังทีหลัง
    ....ที่ผมมาบอก..เพื่อท่านจะได้ทราบว่า..การวิเคราะห์อะไร..ถ้าไม่ได้ทำด้วยตัวเอง..
    ไปอมขี้ปากชาวบ้านมา..แล้วมาปะติด..ปะต่อ..เอาเป็นของตัวเอง..นะไม่ใช่ผม....
    .....ก่อนจะเล่าขยายความต่อ..มองในแง่ที่ลำบาก..นะเยอะกว่า.........เช่น...
    สมัยก่อน..พระธรรมยุติ..ไม่ว่าจะไปไหน..จะเดินเท้าเปล่า..ส่วนมหานิกาย..อนุโลม
    ให้ใส่รองเท้าได้..เว้นแต่ตอนบิณฑบาต..ต้องเดินเท้าเปล่าเหมือนกัน.............
    (แต่เดี๋ยวนี้..ธรรมยุติ..ก็ใส่รองเท้าแล้ว)...สมัยก่อน...................พระธรรมยุติจะ
    ห้ามจับเงิน..เด็ดขาด..มหานิกายอนุโลม..จับได้..เป็นต้น....
    ...............เราท่าน..ทราบกันดีอยู่แล้ว...เวลาที่..พระอยู่ส่วนตัว..ไม่ว่านิกายไหน..
    ก็.."ห่มลดไหล่"..เหมือนกัน..ทั้งนั้น..แต่ถ้าเมื่อไหร่..ที่จะต้องมี.."สังฆกรรม"..หรือ
    ภาษาชาวบ้าน..ก็คือ..กิจกรรมของสงฆ์ที่ทำร่วมกันในวัด(เป็นทางการ)เช่น..ทำวัตร
    เช้า-เย็น..สวดปาติโมกข์..สวดศพ..สวดรับกฐิน..ผ้าป่า..เป็นต้น..นั้น...การนุ่งห่ม
    นอกเหนือ..จาก..สบง และ..จีวร..ที่ใช้..เป็นปกตินั้น..ก็ต้องเพิ่มมาอีก ๑ อย่าง
    คือ..สังฆาฎิ.......................
    .......................................ต่อตอนหน้าครับ.................................................
     
  11. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ..................ข้อดี..ของพระธรรมยุติ..เวลานุ่งห่ม..เพื่อไปทำ..สังฆกรรมก็คือ...
    (ต้องเข้าใจก่อน..นะครับว่า..สมัยก่อน..พระเวลาอยู่ในวัด..ไม่ได้ใส่แต่..อังสะ..เดินไป
    เดินมา..แบบปัจจุบัน..โดยทั่วไป..ก็.."ห่มลดไหล่"หลวมๆ..สบายๆ..มีจีวรติดตัว..ตลอดเวลา
    ..)..เมื่อจะไป..ก็เพียงแค่เข้าไปในกุฎิ..แล้วหยิบ..สังฆาฏิ..ออกมา..ขยับจีวร..หมุนลูกบวบ
    ให้แน่น..เพื่อให้ดูเรียบร้อย..แล้วก็เอา..สังฆาฏิ..พาดบ่า..เป็นอันเสร็จ..เดินลงโบสถ์ได้เลย
    ...ข้างฝ่ายมหานิกาย..คนละเรื่อง..จีวรที่ใส่..ต้องรื้อออกมา..พับใหม่..จัดใหม่..เสร็จแล้ว
    ไปหยิบ..สังฆาฏิ..มาพาดบ่า..แล้วเอา..ประคตอก..มาพันรอบทับ..สังฆาฏิอีกที..ผูกมัดให้
    แน่น(ไม่ใช่ผูก..ส่งเดช..ต้องเป็นไปตามรูปแบบ)..จัดปม..จัดชายให้ดูเรียบร้อย..ถึงจะไป
    ลงโบสถ์ได้..ถ้าพระบวชใหม่ละก็..ต้องใช้เวลาพอควรเลย.............ซึ่งเราเรียกกันว่า....
    .."ห่มดอง"...แต่ข้อดี..คือ..ทะมัดทะแมง..ไม่ต้องกังวล..เรื่อง..สังฆาฏิ..เลื่อนไหล..ลุกนั่ง
    สบาย.....................
    .................คราวนี้..พอทำสังฆกรรม..เสร็จ..พระธรรมยุติ..ก็แค่..เอาสังฆาฏิ..ไปเก็บ.....
    ..ก็พอแล้ว..ก็กลายเป็น..ห่มลดไหล่..ธรรมดาไปกวาดลานวัดต่อได้เลย....
    .....ส่วนพระมหานิกาย...เข้ากุฎิไป..ต้องแก้..ประคตอกออก..เอาสังฆาฏิเก็บ..แล้ว..รื้อจีวร
    ออก..มาจัดใหม่..ถึงจะเป็น..ห่มลดไหล่แบบธรรมดา.......
    ................นี่แค่เป็นเหตุผลเล็กน้อย..ที่ดูแล้ว..ธรรมยุติ..ดูจะสบาย..กว่า..มหานิกาย....
    ...แต่ที่..ธรรมยุติ..ลำบากกว่า..มหานิกาย..นั่นเยอะกว่าครับ..โดยเฉพาะ..เวลาบิณฑบาท
    ...ซึ่งผมจะมา..เล่าต่อ..ในตอนหน้า...
    ................................ต่อตอนหน้าครับ..............................................



    ................ท่านที่เคย..บวชมาแล้วก็คงทราบ..แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่เคย..ไม่ว่าจะเป็น..ผู้ใหญ่(ชาย)..
    ผู้หญิง..หรือ..วัยรุ่นก็คง..ไม่ทราบในรายละเอียด............................................................
    ......ขึ้นชื่อ..ว่าเป็น..พระภิกษุ..ถ้าไม่ถึงขนาด..ล้มหมอน..นอนเสื่อ..หรือ..เดินไม่ได้..ยังไง..ก็ต้อง
    ออกไป..บิณฑบาต..เพราะถือ..ว่าเป็น..กิจของสงฆ์..จะต้องออกไปนอกที่พัก(ไม่ว่า..จะเป็นวัด..
    หรือ..ที่พักที่เป็นกลดระหว่าง..ธุดงค์)..เพื่อไปทำการ..โปรดสัตว์(แต่ระหว่าง..นั้น..ถ้ามี..คนมา...
    ให้ของกิน(เอาอาหาร..มาใส่บาตร..เพื่อทำบุญ)..นั่นคือของแถม)..........................
    ...............ความลำบาก..ของสงฆ์..ในการบิณฑบาต...ลำดับแรก..เหมือนกัน..ไม่ว่า..จะเป็น..
    ธรรมยุติ..หรือ..มหานิกาย...ก็คือ..ต้องเดินเท้าเปล่า..............ไม่ว่า..สภาพภูมิประเทศ(Terrain)
    จะเป็นยังไง...ดินโคลน..ลูกรัง..ปูนซีเมนต์..หินเกล็ด..ฯลฯ...ถ้าอยู่ในเส้นทางบิณฑบาต..ก็ต้องไป
    ...ถ้าบวช..มาใหม่ๆ..เป็นคนในเมืองใส่รองเท้าเป็นประจำ..ก็ทรมาน..น่าดู..กว่าตีน(..ขอใช้คำพื้นบ้าน
    เพื่อให้ได้บรรยากาศ)จะด้าน..ก็เป็นเดือน...(ถือซะว่า..เป็นการฝึกตน..)
    ....ลำดับที่ต่อมา..ก็คือ..ของที่มาใส่บาตร...พระในเมือง..หรือ..วัดใหญ่ๆที่..พระมีลูกศิษย์เดินตาม
    ..ผมจะไม่พูดถึง..ในเป็น..กรณีที่..พระเดินองค์เดียว..ไม่มีลูกน้อง...
    ...............พระธรรมยุตินั้น..จะใช้มือ๒ข้าง..ประครองอุ้ม..ที่ก้นบาตร..ระหว่างเดินบิณฑบาต.......
    (ที่ผมจะพูดถึงนี่..ถ้าบวชมาหลายพรรษา..ละก็..ใช้มือเปล่าๆได้เลย...........)
    สำหรับ..พระบวชใหม่..หรือ..พระบวชไม่กี่พรรษา..ก็เป็นเรื่องที่..ทรมาน(ฝึกตน)..น่าดู..เพราะ..
    ขนาดใช้..ผ้ากราบ..เอามาพับ..รองใต้ก้นบาตร..ที่เป็นเหล็ก..ซึ่งข้างใน..เต็มไปด้วยข้าว..ไม่ว่า
    จะข้าวเหนียว..หรือ..ข้าวเจ้า..หุงสุกใหม่ๆนั้น..มันร้อนอย่าบอกใคร..ไอ้ช่วงต้นๆทางยังพอทำเนา
    ...ไอ้ตอนปลายทาง..หรือ..ขากลับนี่..ถ้าระยะทางมากกว่า ๒ กิโลเมตร..ละก็..ความร้อนมันทะลุ
    ผ้าออกมาเลย..จะทำอะไร..ก็..ไม่ได้..ก็ต้องอุ้มไปอย่างนั้น..จนถึงวัด..อ้อลืมบอกไปครับ..ว่า..
    พระธรรมยุตินี่..จะห่มคลุม..ระหว่างเดินบิณฑบาต..นะครับ....


    ..............ทางฝ่ายมหานิกายนั้น...ถือว่า..คนละรูปแบบเลย..ในการบิณฑบาต(ที่ผมพูดถึง..นี่คือทั่วๆไป
    ..เพราะบางรูปท่าน..และบางแห่ง..แต่เป็นจำนวนน้อยที่ใช้การอุ้มบาตร..แบบธรรมยุติ...และก็เช่นเดียว
    กัน..บางแห่งและ..บางรูปที่ใช้ลักษณะ..หรือ..รูปแบบการนำพา..บาตร..แบบเดียวกับ...มหานิกาย.....
    ...ที่พูดนี่..ในสมัยก่อน..นะครับ..ยุคนี้..ก็..คงยังมี..หรือมีมากขึ้น)................................
    .................เวลาท่านไป...งานบวชพระ..ช่วงเวลาที่อยู่ในโบสถ์...หลังจากที่..นาคกล่าวคำขอบวช..แล้ว..
    ...ก็..พระพี่เลี้ยงนำไปเปลี่ยนชุด..ชุดที่นาคใส่เป็น..แบบพระ..เป็นครั้งแรก..นั่น..คือ..รูปแบบการห่มที่
    เรียกว่า..ห่มดอง..(ซึ่ง..คงเป็นกติกา..กันตอนที่มีการ..จัดตั้งคณะสงฆ์แยกเป็น..ธรรมยุติ..และ..มหานิกาย
    ในสมัย..รัชกาลที่๓..คือ..ถึงแม้..คำขอบวช..ของพระธรรมยุติ..จะต่างจากเดิม..ของมหานิกาย(..เอสาหังฯ
    ของธรรมยุติ..อุกาสะฯ..ของมหานิกาย)..แต่..ธรรมเนียมรูปแบบการบวช..และ..การห่ม..ของพระที่บวชนั้น
    ให้ใช้..ตามรูปแบบเดิม..คือ..ของมหานิกาย..ซึ่งก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง..จนถึง..ปัจจุบัน)...พระพี่เลี้ยงจะนำ
    บาตร..มาคล้องให้..แบบสะพายเฉียง..(ทำไมต้อง..สะพายเฉียง..ด้วย..สะพายธรรมดา..ไม่ได้รึ..ตอบได้ง่าย
    มากครับ..ถ้าไม่สะพายเฉียง..ก็..ร่วงแน่นอน)..แล้วไปยืน..รับคำถาม..จากพระอุปัชฌาย์..แล้วจะได้..รับการ
    รับรองจากคณะสงฆ์ต่อไปนั้น....ที่ท่านเห็น..คือ..อุปกรณ์ครบชุด..ของบาตร...ซึ่ง..เด็ก(หรือผู้ใหญ่..บางท่าน
    )เดี๋ยวนี้ไม่ทราบ..นึกว่า..มีแค่ที่เห็น..คือ..ตัวบาตร..กับ..ฝาบาตร..เท่านั้น...
    .......อุปกรณ์ประกอบ..ก็มีตั้งแต่....
    ....ฐานบาตร...มีไว้เพื่อ..เป็นที่ทำ..ให้บาตร..สามารถวางกับพื้นได้อย่าง..มั่นคง..เพราะถ้าไม่มี..บาตรจะกลิ้ง
    เพราะ..ก้นมันนูน...เป็นทองเหลือง(เดี๋ยวนี้..เป็นแสตนเลส..ตามบาตร..แล้วมั้ง)..ทรงกระบอกกลวง..แล้วคอด
    ตรงกลาง.....
    ...สลกบาตร...มีไว้..เพื่อทำหน้าที่เหมือน..กระเป๋าใส่notebook...คุณไม่สามารถ..สะพายnotebookไปไหน
    มาไหนได้..โดยไม่มี..กระเป๋า....ง่ายๆก็คือ..ถุงผ้าที่เอาไว้ใส่บาตร...ซึ่งขอบของมัน..จะติดกับอุปกรณ์อีกตัว
    (บังเอิญ..มันมีชื่อ..เรียกเฉพาะ...ผมก็เลยแยกไว้..มันอยู่ด้วยกันครับ)...คือ..
    ...สายโยก(บาตร)...ที่ทำหน้าที่เป็น..สายสะพายกระเป๋านั่นเอง...ซึ่งเอาไว้คล้องบ่า..สะพายบาตร
    ไปไหน..มาไหน..ได้
    ...........................................ต่อตอนหน้าครับ......................................................................


    ...เอ้า..ขอบคุณ..น้องๆนุ่งๆ..ที่ยังคิดถึงกัน........
    ..ความจริงพี่..เอง..ยังคิดถึง..น้องๆและ..ลูกศิษย์ทางโน้น..ทุกๆคน..แต่ที่
    บอกไง..ว่า..มันถึงเวลา..และ..จุดอิ่มตัวที่นั่น..และพี่ก็เป็นผู้ใหญ่..ที่พูดไปแล้ว
    ว่า..คงไม่หวนคืนไป..ก็ต้องทำตามคำพูดนั้น.....ก็ขอตอบรวบยอด..ทั้ง ๓ คนเลย
    ...น้องพล.......ขอบคุณมากที่เป็นห่วง..และที่จะดำเนินการให้...และเรื่อง..บทความของพี่..
    ...ไม่มีปัญหา..ยินดี..และ..รู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง..........................
    ........น้องกำธร......โอ้โห..เต็มๆ..เข้ามาในตัวบ้านเลย..ขนาดคนโบราณบ้านเก่าแก่
    อยู่ใกล้ปากทางลาดพร้าว..ที่ๆไม่สมควรจะถูกท่วม..ไอ้รัฐบาล..ดันเสือกปล่อยน้ำให้เข้า
    มาท่วม..เกือบถึงกลางเมืองได้....บ้านพี่โบราณ..พื้นไม้กระดาน(สักทอง)..แอ่น..งอนเป็น..เรือ
    สำเภา..ทุกแผ่น..แต่ก็..ซ่อมเอง..ดัดแปลงเอง..คนเดียว..ไม่จ้างใคร..ก็เสร็จแล้ว
    เกือบเรียบร้อย...เหลือแต่ขนของกลับเข้าที่..ขอบคุณจริงๆที่เป็นห่วง...
    ........น้องณัฐ...ขอบคุณมาก..ที่ยังคิดถึงกัน..........พี่ก็จะเขียนไปเรื่อยๆ..นั่นแหละ



    .............ไอ้เรื่อง....สายโยกนี่..มีที่มา...ชื่อมันได้มาจาก..กริยาที่เราต้อง..โยกสาย..เหวี่ยงจาก
    ตำแหน่งที่..บาตรอยู่ระหว่างเดิน..คือจะอยู่แถวตะโพก..เมื่อจะรับบาตร(ชาวบ้าน..จะเอาข้าว
    มาใส่บาตร)..ก็ต้องเคลื่อนบาตร..มาด้านหน้า..นั่นเอง.....
    ....มีเกร็ด..เรื่องสายโยก..อีกอย่างนึง..สำหรับ..คนที่ไม่เคยใช้..อาจจะเคยเห็น..แต่ไม่ได้สังเกต
    ...มันเป็น..สายสะพาย..ที่ไม่เหมือนกับ...สายสะพายชนิดไหนเลย..เพราะ..มันกลม..และอ้วน
    เจตนา..เพราะต้องพยายาม..ทำให้นิ่มที่สุด..จะได้ไม่เจ็บ..บ่า..เวลาสะพายไปไหน..ยิ่ง..พระธุดงค์
    บางที..เดินบิณฑบาต..เป็นสิบกิโล...ถ้าไม่นิ่ม..เจ็บแย่...ข้างในสายนี่..เขายัดนุ่นไว้ครับ...
    (..ไอ้เรื่องนุ่น..นี่สร้างปัญหามาก..ตอนที่เปียกแฉะ..หน้าฝน..สำหรับผม..แล้วจะมาเล่าให้ฟังภาย
    หลัง).....................
    .............กลับเข้าเรื่องเดิม...เชื่อมั้ยครับ..โดยเฉพาะ..พระธรรมยุติจำนวนไม่น้อย(รวมถึง..พระมหานิกาย
    ที่แต่งอย่าง..ธรรมยุติ)...หลังจาก..วันที่บวชเป็น..พระใหม่แล้ว...ไม่เคยได้ใช้..สลกบาตร..รวมถึง..สายโยก
    อีกเลย..โดยเฉพาะ..พวกที่ไม่ได้..ธุดงค์ไปไหน.........................เพราะ..เวลาเดินบิณฑบาต..ก็..ใช้มืออุ้ม
    บาตรเปลือยๆเอา..เวลาฉัน(พูดถึง..พระป่า..หรือ..สายพระป่า..ฉันสำรวม..ในบาตร)..ก็ใช้แต่..ฐานบาตร
    เอามารองก้นบาตร..แล้วก็ฉันในบาตรเอา...แต่สำหรับ..พระธรรมยุติที่เดินธุงค์..นี่ได้ใช้แน่..แถมบางที..
    ด้วยความจำเป็น..ก็ต้องสะพายบาตร..เหมือนกัน..เพราะถ้า..คนมาใส่บาตรก็มี..ถวายดอกไม้..ก็มี..
    แล้วมีจำนวนมาก..ไม่รู้จะเอาของไปไว้ตรงไหน..บางที..ก็ต้องสะพายย่าม..แถมเข้าไปอีก.....
    ...........พระมหานิกาย..เวลา..ออกไปบิณฑบาต..ก็จะเปลี่ยน..การห่มจีวรใหม่..เพราะต้องเดินทางออก
    นอกวัด..ก็..คือ..การห่มที่เรียกว่า..ห่มมังกร(ลูกบวบชายจีวร..พันเป็นเกลียวรอบแขน..เหมือน..มังกร
    พันเสา..ตามวัดจีน)...แล้วเอาบาตร..บรรจุใส่..สลกบาตร(พร้อมสายโยก)..แล้วเอาสายโยกคล้องบ่า
    โดยเอา..เอาบาตร..ไว้ตำแหน่งประมาณข้าง..ตะโพก..เอามือข้างนึง..ประคองจับสายโยกไว้จะได้ไม่
    เหวี่ยงไป..เหวี่ยงมา..เดี๋ยวจะน่าเกลียด..แล้วยังเหลือมือ..อิสสระ..อีกหนึ่งข้าง..เอาไว้ใช้..งานที่จำเป็น
    ได้..สารพัด..นี่แหละครับ..ข้อดี..เพราะมีเรื่องที่คาดไม่ถึง..จะต้องใช้ระหว่างทาง..หลายอย่าง
    ซึ่งผมจะมา..เล่าในครั้งหน้า........................
    .......................ต่อตอนหน้าครับ......................................
     
  12. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ทันกันแล้วนะครับผม ต่อไปก็จะมาพร้อม ๆ กับบ้านหลังนู้นนะครับ อดใจรอเอาเด้อพี่น้อง:cool:
     
  13. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,352
    ค่าพลัง:
    +19,459
    สวัสดีค่ะ คุร พลสิริ ลินไปตามอ่านที่เวปโน้นจนจบ และสมัครสมาชิกเอาไว้แล้ว แต่ทำไมยังล๊อตอินเข้าไม่ได้ก็ไม่รู้ค่ะ

     
  14. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ....อันนี้กะบ่ฮู้คือกันเด้อเอื้อยครับ....
    ต่อเลยครับ

    .................ยามเมื่อ..คุณบวชพระ..ที่วัดเล็กๆ..มีพระ..แค่..ไม่เกิน ๖-๗ องค์..และเนื้อที่เขตรับผิดชอบของวัด
    กว้าง..แถมลูกศิษย์วัด..มีแค่คน ๒ คน..ยาม..บิณฑบาต..แยกกัน..หลายสาย..ทำให้..โอกาศที่คุณจะต้อง
    เดินบิณฑบาต..องค์เดียว..โดดๆ(ไม่รวม..หมาวัด..ที่จะคอยเดินตาม)..ไม่มีศิษย์วัดมาช่วย..มีสูง.....
    .....การที่..เป็นมหานิกาย..แล้ว..ห่มมังกร..สะพายบาตร..จึงมีข้อได้เปรียบ...เพราะ...มือ ๑ ข้าง..ว่าง
    ...........ก็..สำคัญอย่างแรก..คือ..หิ้วปิ่นโต.....
    ...สมัยก่อน..แกงจืด..แกงเผ็ด..ผัดโน่น..ผัดนี่..เขาไม่ได้มา..อำนวยความสะดวก..แบบยุคนี้..ที่มาใส่
    ถุงพลาสติก..สามารถใส่รวมในบาตร..หรือ..ใส่ในย่ามได้..เวลาใส่บาตรหน้าบ้าน..ก็ใส่ชาม..มาเลย
    มาถึง..ก็สะดวก..เท..ใส่ปิ่นโต...
    ...........พระต่างจังหวัด..บ้านนอก..ยิ่งอยู่ตามสวน..ยิ่งลำบาก..ช่วงเข้าพรรษา..ฝนตกตลอด.....เส้น
    ทางบิณฑบาต..ลำบาก..ต้องเดิน..ตามคันสวน..เป็น..โคลน..ลื่น..เละตุ้มเปะ..ข้าม.ท้องร่อง(เดินข้ามไม้
    ไผ่ลำเดียว)...ถึงแม้..มือข้างนึง..จะหิ้วปิ่นโต..ก็ยังมี..อิสสระ..ที่ไม่ต้องอุ้มบาตรไว้...
    ....เพราะ..สามารถเอาไว้..BALLANCE..ถ่วงน้ำหนัก..เลี้ยงตัวได้..หรือ..เวลา..เซ..ก็ยังเอาไว้ยันโน่น..
    ยันนี่ได้....
    ..........เข้าพรรษา..ฝนตก..แมลงมาก...มดหนีน้ำ...บางที..เดินไป..ไม่ทันเห็น..เจอขบวนรถด่วน..มดคันไฟ
    ..ไอ้แมลง..สารพัด..บินเข้าไปในจีวรบ้าง..ก็ยังวางปิ่นโต..แล้วเอามือ..ข้างที่เหลือ..มาจัดการได้บ้าง..แต่
    ถ้า..เดินอุ้มบาตรละก็..คุณไม่มีสิทธิ์..เอาบาตรวางลงพื้น...คุณก็ต้องทน..ลูกเดียว(กรณีเดิน..องค์เดียวนะ
    ครับ..เพราะถ้ามีลูกศิษย์เดินด้วย..ยังเอามาช่วยได้...)...ถ้าบิณฑบาตมา..ได้ข้าวมาไม่มาก..ก็ยังประคอง
    บาตรไว้มือเดียวได้..ถ้าข้าวเต็มบาตรละ..เรียบร้อย..เพราะทั้งหนัก..ทั้งร้อน..เผลอๆ..บาตรร่วง..ซวยกว่า
    เดิม..อีก..ต้องไปยืนขาเดียวสวดญัติ..หน้าบ้านที่เราทำบาตรร่วง(อันนี้มัน..เป็นข้อปฏิบัติสมัยก่อน..จน
    มาถึง..ยุคที่ผมบวชด้วย..สมัยนี้คงไม่มีแล้ว...พระบวชใหม่ทุกองค์..จะถูกอบรมก่อนออกบิณฑบาต..)
    .............นี่ก็แค่ๆ...sample..ครับ...
    ..แต่..สำหรับการเดินทาง...ออกนอกวัด...ธรรมยุติ..ห่มคลุม..มหานิกาย..ห่มมังกร....
    ......การห่มมังกร...นี่ก็มีข้อด้อย..กว่า..ห่มคลุมอยู่บ้าง....ก็เรื่องของการเคลื่อนไหว
    ในบาง..ลักษณะ..นี่แหละครับ.....
    ..............................ต่อตอนหน้าครับ...............................................................




    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    ..............................
    ...อยากดู..จัดให้ก่อนเลย...
    ...คุณภาพของภาพ..แย่กว่า..แต่..พระที่ห่ม..มีชื่อเสียงเท่านั้นเอง..
    ..ภาพแรก..หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง วัดราษฎร์ มหานิกาย...ชุดทำสังฆกรรมภายในวัด
    ...ห่มลดไหล่พาดสังฆาฎิ.....
    ...ภาพที่๒..หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว วัดราษฎร์ มหานิกาย...ชุดออกนอกวัด
    ...ห่มมังกร...
    ...ภาพที่๓..กรมพระยาวชิรญาณวโรรส(สังฆราช เข...(ท่านตาเข ครับ)) วัดบวรนิวาส
    พระอารามหลวง ธรรมยุติ..ห่มชุดออกนอกวัด
    ...ห่มคลุม....
    ...ภาพที่๔..พระมงคลเทพมุนี(สด) วัดปากน้ำภาษีเจริญ วัดราษฎร์ มหานิกาย
    ..ชุดทำสังฆกรรมภายในวัด...
    ..ห่มดอง....

    <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr><td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td></tr><tr></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2011
  15. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    อรุณสวัสดิ์เช้าวันรวยรวยครับพี่น้อง
    ไม่หนาวเท่าไหร่แล้้วนะที่ชัยภูมิครับ
    รักษาสุขภาพนำเด้อครับ ห่วงนะเนี่ยถึงได้บอกอะ มาเสี่ยงดวงเศรษฐีใหม่กันนะครับ
    หายไปสองสามวันงานท่วมหัวครับ เพื่อนร่วมงานลาอีก ฮ่วยเป็นหยังกันน้อนี่ ซำบายดีกันนะครับ
    ^__^
    ต่อครับผม...


    ...........ความจริงแล้ว..สำหรับ..พระที่บวชมาหลายพรรษา..ก็คงไม่มีเท่าไหร่..เพราะ
    จะค้นหา..เทคนิครวม..ถึง..การห่มที่..กระชับกว่า..ทำให้ลดปัญหาไปได้..แต่กรณีของ..พระ
    บวชใหม่นี่แหละ...คือ..ปัญหา...
    ................ลูกบวบ..ของ..การห่มมังกร(มหานิกาย)...ต้นทางมาจาก..ชายจีวร..ที่พาดผ่าน..
    บริเวณ..ลำคอ..แล้วพาดไป..ด้านหลังของ..ไหล่ซ้าย...(อย่าแปลกใจ..ที่ผม..มาอธิบายเรื่อง
    การห่มแบบ..ต่างๆได้..เพราะ..ผมห่มมาทุกแบบ..บังเอิญ..ที่วัดบางด้วนนอก..ที่ผมบวช..
    เป็น..มหานิกาย..แต่..การห่มโดยทั่วไป..เป็นแบบ..ธรรมยุติ..คือ..เวลาทำสังฆกรรมในวัด
    ..ห่มลดไหล่พาดสังฆาฏิ...เวลาไปนอกวัด..ห่มคลุม..แต่เวลา..บิณฑบาต..กลับมาเป็น..
    มหานิกาย..อีก..คือ..ห่มมังกร..ผมเองเป็นคนชอบ..การห่มดองมาก..เพราะคิดว่า..เป็น
    การห่มที่..ทะมัดทะแมง..และแสดงความเป็น..มหานิกายแท้..เวลา..เข้ากุฏิ..องค์เดียว..
    (..ห้องอยู่..องค์เดียว)..ว่างๆไม่มีธุระอะไรแล้ว..ก็จะเอา..จีวร..สังฆาฏิ..ประคตอก..มา..ห่มดอง
    ..อยู่บ่อยๆ..).........การเกาะเกี่ยวของ..จีวร..จึงอยู่ที่ไหล่ซ้าย..เป็นสำคัญ...ส่วนห่มคลุมนั้น..
    ลูกบวบ..มันมาจากข้างล่าง..ขนานลำตัวมา..จนคล้องบ่าซ้ายแล้วชายยาว..ไปจนถึงข้อมือ..
    ซึ่ง..สามารถกำยึด..ปลายลูกบวบไว้ได้..ส่วนลูกบวบของห่มมังกร..จะสั้นกว่า..และปลายแนบ
    เป็นเกลียว..ไปกับแขน..เฉยๆ..กำไม่ได้......
    .......พระบวชใหม่..ยังห่มกันไม่ค่อยเป็น..พอห่มมังกร..ลูกบวบไม่แน่น..เกลียวที่พันแขน..หลวม
    ชายจีวร..ที่พาดด้านหลังไหล่ซ้าย..ก็จะหลวมง่าย...ผลก็คือ..ถ้าเผลอ..ยกแขนซ้ายสูง..โดยไม่ระมัด
    ระวัง..ชายจีวรที่ยึดที่ไหล่ซ้าย..จะหลุด..แล้ว..มังกร..ก็..แปรสภาพ..เป็น..มังกือ..ไปโดยปริยาย...
    ลูกบวบ..ออกมาห้อย..ต่องแต่ง..จีวรอ้า...สมัยผมบวช..พระรุ่นน้อง(บวชทีหลัง)..มีอยู่องค์..ถนัด
    ซ้าย..ก็จะมีปัญหาเป็นประจำ..เพราะชินที่จะใช้แขนซ้ายทำโน่น..ทำนี่...
    ....ห่มคลุมนั้น..จัดง่ายกว่า..ขมวดลูกบวบ..แน่นๆเข้าไว้..จีวรจะกระชับแนบไปทั้งตัว..
    ...ก็..เอามาเล่าให้ฟังกันเล่นๆ..ครับ..postที่แล้ว..ผมเอา..รูปการห่มทั้ง..สี่แบบ
    มาให้ดู..สำหรับ..บางคนที่ไม่ค่อยคุ้น..โดย..พระอาจารย์ที่..เราคุ้นเคยชื่อเสียงกัน..ทั้ง๔ องค์
    แล้วนะครับ
    ....................ต่อตอนหน้าครับ....................................................


    [​IMG]


    .........................................
    ....นี่ก็เป็น..รูปที่นักเลงพระคุ้นกันดี...คือรูป(อภิมหา)คณาจารย์..ที่มาร่วมปลุกเสกหมู่ที่
    วัดราชบพิธ(พระอารามหลวงชั้นเอก ธรรมยุติ)..เมื่อปี ๒๔๘๑ .....ที่เอามาให้ดู...พระอาจารย์
    เหล่านี้..อยู่ในชุด..ทำสังฆกรรม...ชึ่งทั่วไป..อย่างที่ผมบอกไป..แล้ว..คือ
    ....ธรรมยุติ...ห่มลดไหล่พาดสังฆาฏิ....
    ....มหานิกาย...ห่มดอง..........
    ...แต่ให้สังเกตที่นั้งด้านหน้า..องค์ที่ ๒(นับจากซ้าย)..และ
    ..องค์ที่ยืนด้านหลัง..องค์ที่๕(นับจากซ้าย)...นั่นไม่ใช่พระธรรมยุติ..นะครับ
    ..เป็น..พระมหานิกาย..(ความจริง..ในภาพนี้มีมากกว่านี้..แต่เอาแค่เป็น sample )

    ....โอ้ย..น้องJoni..อย่ายอมาก..เดี๋ยวติดเพดาน....พี่ไม่ได้คิดอะไร..แค่เอา
    ความรู้..และ..ประสพการณ์ที่มีไปแบ่งปัน..ให้กับผู้อ่าน..อายุอีก ๒ ปี ก็ ๖๐ แล้ว..
    ..เผลอจะไปเมื่อไหร่..ไม่รู้..เก็บไว้กับตัว..ก็สูญหายไปเปล่าๆ..ไม่เกิดประโยชน์
    อะไร...ขอบคุณที่ให้เกียรติ........
    ..........มีเรื่องจะแจ้ง..ให้เหล่านักเลงพระ..ทราบ..อันนี้..จะเกิดหรือเปล่าไม่ทราบ
    ..แต่..ลักษณะแบบนี้..มีโอกาศสูง..กันไว้ก่อน...........................
    ..........คือ...หลังน้ำท่วมใหญ่..ครั้งนี้..ใครๆก็ทราบว่า..อยุธยา..อ่างทอง..น้ำท่วม
    กัน..เละ..ตุ้มเป๊ะ...โบราณสถาน..วัดวา..โดนท่วม..สูง..และ..นาน..ทำให้..เจดีย์
    ..หรือ..พระพุทธรูป(ที่อยู่กลางแจ้ง)..ชำรุดเสียหายไม่น้อย.....
    ..อิทีนี้..เรื่องของเรื่อง..ซึ่งเคยเกิดกันมา..แต่ก่อนหลาย..ครั้งแล้ว..มิจฉาชีพ...
    ฉวยโอกาศ..ปั้นเรื่อง..พระแตกออกมา..จากเจดีย์..หรือ..พระพุทธรูปที่เสียหาย...
    ...ไอ้ที่น่ากลัว..ก็คือ..วัดสะตือ..ที่..สมเด็จโต..ท่านสร้าง..พระพุทธรูปนอน..ไว้
    ..แต่ไหน..แต่ไร..ก็ต้องเฝ้ากันอยู่แล้ว..เพราะความน่าจะเป็นที่สมเด็จท่าน..จะใส่
    พระของท่าน..ไว้ภายองค์พระมีสูง..(ตามการคาดการณ์ของ..นักเลงพระรุ่นก่อน)
    ..และ..องค์พระนอนนี้..ก็ใช่ว่า..จะอยู่ในสภาพที่ดี.........
    ......อาจมีการใช้เหตุการณ์ดังกล่าว..มาอ้างว่า..มีคนได้พระสมเด็จ..มาจากองค์
    พระ..ที่แตกชำรุด..เนื่องจากน้ำท่วม..(อันนี้..ไม่ได้จำกัด..แค่วัดสะตือ..การอ้าง
    ว่าพระ..มาจาก..ตามเจดีย์ที่วัดต่างๆอื่นด้วย)...การล่อเหยื่อ..แบบนี้..และ..พระ
    ที่เป็นยอดปราถนา..เกิดความโลภ..อาจทำให้ขาดสติ...หลงเชื่อได้......
    ...........บางท่านบอก..อ้าวแล้วมันเป็นจริงละพี่..ผมก็หมดโอกาศซี......
    ..ฉะนั้น..ทางที่ดีที่สุด..ให้ตรวจสอบกับ..เซียนพระอยุธยา อ่างทอง..หลายๆท่าน
    ก่อน..เน้นต้องหลายคน..เพราะเดี๋ยว Jackpot ไปเจอให้ตัวที่ทำปล่อยเอง..จะซวย
    ...เพราะพวกนี้..สาย..และ..พวกวิ่งพระ..จะรู้ก่อน..แล้วมันจะรีบ..โทรแจ้ง....
    .....ไอ้อย่างเรา..ไม่มีทางรู้ก่อนพวกนี้ละครับ.........................
    ............ด้วยความปรารถนาดี...จากผม..................




    ..........การเปลี่ยนแปลง..ที่มหานิกาย..ไปเอาอย่าง..ธรรมยุติ..ในการการห่มของสงฆ์..
    เท่าที่ทราบ..ก็คงเริ่มมาตั้งแต่ยุคปลาย รัชกาลที่๔ แล้ว..มาเปลี่ยนมากขึ้น..ในสมัยรัชกาลทื่ ๕
    ...แล้วค่อยๆ..เพิ่มมากขึ้น..โดย..การเปลี่ยนแปลงนี้..ทาง..วัดราษฎร์มหานิกาย..จะเปลี่ยนมาก
    กว่า..วัดหลวงมหานิกาย..แต่สำหรับ..กรุงเทพ-ธนบุรี..เมืองหลวง..พระอารามหลวงมหานิกาย
    ระดับชั้นโทขึ้นไปถึงเอก..และเอกพิเศษ..ยังมีความเหนียวแน่นอยู่..คือ..ยกตัวอย่าง..เช่น...
    ..ไม่ว่า..จะกรณีใด..แม้จะไปถ่ายรูป...จะไม่เห็น..พระมหานิกาย..เหล่านี้..ถ่ายรูป...แบบ
    ห่มลดไหล่พาดสังฆาฏิ..แบบธรรมยุติเลย..เรียกว่า..พระวัดเหล่านี้..เห็นเมื่อไหร่..มีแต่..ห่มดอง
    กับ..ห่มมังกร..เท่านั้น(เว้นใน..กรณีพิเศษ....อย่างของเจ้าคุณเฒ่า...หลายท่านอาจเคยเห็น
    ภาพ..ที่ท่านนั่งเก้าอี้..เอาสังฆาฏิพาดบ่า..แต่ไปพิจารณารูปให้ดีว่า...ท่านห่มดองนะครับ..
    แต่ที่เอาสังฆาฏิ..มาพาดบ่า..เป็นกรณีพิเศษเพื่อ..ถ่ายรูปนั้น..เพราะนั่นเป็น..สังฆาฏิพระราช
    ทานของรัชกาลที่๕..ซึ่งจะมีตราประทับอยู่..เป็นการpost เพื่อเจตนาให้เห็น..ตรา..จะได้ทราบ
    กันว่าเป็นของพระราชทาน...แล้ว..รูปที่เป็นต้นแบบเหรียญเจ้าคุณเฒ่า..นะต้นฉบับจริงๆท่าน
    ก็ห่มดองครับ..แต่เวลาแกะแบบ..ช่างแกะมาเป็น..ห่มลดไหล่พาดสังฆาฏิ..วัดหนัง..เป็นพระ
    อารามหลวงชั้นโท..สังกัดมหานิกายครับ..)...ผมยกตัวอย่างให้..อย่างวัดสุทัศน์พระอาราม
    หลวงชั้นเอกมหานิกาย...วัดสระเกศพระอารามหลวงชั้นเอกมหานิกาย..วัดมหาธาตุพระอาราม
    หลวงชั้นเอกมหานิกาย..เป็นต้น..พระวัดเหล่านี้..เป็นแบบมหานิกายoriginal...คือจะเป็นแบบ
    ที่ผมว่า..คนยุคนี้จะไม่ท่านอย่าง..สังฆราชแพ..หรือ..เจ้าคุณศรี วัดสุทัศน์..เห็นแต่รูป...เอาที่เห็น
    บ่อยๆยุคนี้..ก็ได้..อย่างสมเด็จพุฒาจารย์(เกี่ยว) วัดสระเกศ...ไม่ว่าจะดู..ทีวี..หรือ..รูปถ่าย..จะท่าน
    ห่ม..อยู่ ๒ แบบเท่านั้น..คือ..ห่มดอง..กับ..ห่มมังกร..แต่ถ้าไปดู..พระจากพระอารามหลวงต่างจังหวัด
    มหานิกายบางแห่ง..อย่าง..วัดไชยชุมพลชนะสงคราม(ชั้นตรี)..ก็คือ..วัดใต้แห่งกาญจนบุรี..หลวงพ่อเปลี่ยน
    ที่ท่านรู้จักกันดี..นี่แหละ..ชุดทำสังฆกรรมท่านคือ..ห่มลดไหล่พาดสังฆาฏิ..แบบธรรมยุติครับ..ดูในรูปที่แล้ว
    เอารูปมายืนยันให้..องค์ที่นั่ง..ที่ผมบอกไป....(รูปหมู่พระอาจารย์ที่มาปลุกเสกที่วัดราชบพิธ.
    ปี ๒๔๘๑) นั่นแหละครับ..ชัดเจน..ถ้าเป็น..วัดราษฎร์มหานิกาย..ละก็เยอะเลย..ผมจะมาว่าต่อไป
    ..........................................ต่อตอนหน้าครับ...............................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 ธันวาคม 2011
  16. Ubonboy_club

    Ubonboy_club Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +36
    เรื่องราวดีๆ ทั้งนั้น ขอติดตามด้วยคน
     
  17. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,352
    ค่าพลัง:
    +19,459
    สวัสดีค่ะ ทุกๆท่าน ขอบคุณ คุณพลศิริ ด้วยนะคะที่ก๊อปบทความดีๆของคุณ ลุงมาให้อ่านกัน ลินยังล๊อคอินเข้าไปไม่ได้ ยังไงบอกลุงด้วยนะคะ ว่าลินคิดถึงค่ะ
     
  18. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    แจ้งคุณพี่มดไปแล้วนะครับเอื้อยลิน55555555:cool:
     
  19. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    หวัดดีเช้าวันหยุดราชการครับพี่น้อง
    ผมทำงานคือเก่าครับ เพราะราษฎรเต็มขั้น
    ซำบายดีวันหนาวหนาวครับที่ชัยภูมิ
    ^______^
     
  20. พลศิริ

    พลศิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    7,978
    ค่าพลัง:
    +18,982
    ............เอ้า...เริ่มที่..น้องพล..ก่อน..
    ..................ถ้ายังมี..คนอยากจะอ่าน..ก็เอาไปได้ตลอด..ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
    ..แต่เป็น..ห่วงที่จะต้องเหนื่อย..............................................
    ..................สำหรับ..หลานลินน์..ศิษย์รัก...ลุงยังคิดถึงเสมอ....ไม่เคยลืม
    ..ขอบคุณที่ยังคิดถึง................
    .....................................................................................
    ......สำหรับ..น้องธงชัย.........................
    ...........ขอบคุณ..ที่มาสมัครเป็น..แฟนแบบเปิดเผย....
    ...พวกน้ำท่วมบ้าน..เหมือนผมเลย..แต่ผมไม่หนี..เดินแช่น้ำในบ้าน...
    ........ไม่ต้องกลัว..หลีกลี้..เกรงใจน้องJoni..เขา..ก็กะเขียนไปเรื่อยๆ
    ...เห็นว่า..ที่นี่..เขา..เงียบๆดี..ไม่พลุกพล่าน..และอีกอย่าง..บทความเพี้ยนๆ
    แบบของพี่..ก็..ไม่มี...จะได้แก้เหงากันบ้าง....
    ..ขยัน..ก็..ลงทุกวัน..ไม่ขยัน..ก็วันเว้นวัน.......


    ....สำหรับ..วัดราษฎร์มหานิกาย..ที่ห่มแบบธรรมยุตินั้น..มีเยอะครับ..หลวงพ่อดังๆรุ่นเก่า..ที่
    เรารู้จักกัน..ก็มีหลายท่าน..โดยท่านสามารถ..searchภาพ..ในGoogle ได้..ยกตัวอย่าง..
    ..วัดบางนมโค..นี่ก็วัดราษฎร์มหานิกาย...ดูรูปที่..หลวงพ่อปานท่านห่ม..มีทั้ง..ห่มลดไหล่
    พาดสังฆาฏิ..ห่มคลุม....มีอยู่น้อยรูปที่..เห็นท่านห่มดอง.........................
    .....หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ...ท่านก็มหานิกาย..แต่ท่านห่มลดไหล่พาดสังฆาฏิ......
    ....หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี..มีให้เห็นเยอะ..ทั้งที่ท่าน..ห่มคลุม..และ..ห่มลดไหล่พาดสังฆาฏิ
    (ผมเห็นตัวจริงท่าน..เมื่อประมาณปี ๒๕๑๖(มั้ง..ไม่ค่อยแม่นแล้ว)..ไปปลุกเสกที่ศาลเจ้าพ่อ
    หอกลอง..หลังกรมรักษาดินแดน..ท่านก็..ห่มคลุม..มา..รู้จะเห็นรูปตอนท่านหนุ่มหน่อย..อยู่รูป
    เดียว..หรือ..สองรูปเท่านั้นมั้ง..ที่ท่าน..ห่มดอง........
    ...อย่างในรูปปลุกเสกหมู่ที่วัดราชบพิธ(พระอารามหลวงชั้นเอก ธรรมยุติ)...จะเห็นยืนอยู่ด้าน
    หลัง..ที่สังฆาฏิ..กับ..จีวรคนละโทนสีกัน..นั่นก็สุดยอด..อาจารย์...หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง
    (วัดราษฎร์ มหานิกาย)..ท่านก็แต่งแบบ..ธรรมยุติ..เหมือน..หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้(ที่ผมเล่า
    ไปแล้ว)..แยกจากพระธรรมยุติ..องค์อื่นไม่ออกเลย.........
    ..........ความจริงแล้ว..คำว่า..”มหานิกายแปลง”..นั้น..ไม่ได้เป็นทางการ..แต่เข้าใจกัน..ในหมู่สงฆ์
    ..คือ..นอกจาก..จะห่มเหมือน..ธรรมยุติ..การบวชพระที่วัด..การสวดคำขอบวช..ของนาค..ก็ใช้
    แบบธรรมยุติ..ด้วย..คือ..ใช้..เอสาหัง ภันเตฯ..แทนที่จะใช้...อุกาสะ วันทามิ ภันเตฯ แบบมหานิกาย
    ...ผมเองก็..งงเหมือนกัน...เพราะ..ผมเองก็..เป็นแบบนี้..เริ่มท่องอุกาสะไป..ล่วงหน้าก่อน..เพราะ
    ทราบว่า..วัดบางด้วนนอก..สมุทรปราการที่ผมบวช..นั้นเป็น..มหานิกาย..แต่พอไปคุยกับ..เจ้าอาวาส
    (พระครูสมุห์ทองดี..หลวงอาผมเอง)..กลายเป็น..ต้องสวด..เอสาหัง..เฉยเลย...กลับมาบ้านถามพ่อ..
    ..ไหงเป็นยังงี้ละพ่อ..พ่อผม..ก็..แบ๊ะๆ..ว่าไงก็ว่าตามกัน....ผมก็พอรู้..ว่าธรรมยุติ..ห่มแบบไหน...
    มหานิกาย..ห่มแบบไหน...พอมาเป็น..พระใหม่..งงหนักเข้าไปอีก..อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว...
    ..ลงโบสถ์..ห่มลดไหล่พาดสังฆาฏิ....
    ..ออกนอกวัด..ห่มคลุม...
    ..แต่บิณฑบาต...ดัน..ห่มมังกร..
    ..........ผมก็เลย..สรุปเองว่า..ยังที่วัดบางด้วนนอกนี้..เขาเรียก..มหานิกายแปลง(ไม่หมด)...
    ...นี่แหละครับ..ที่มาของ..ถ้าเข้าใจผิดว่า..พระที่แต่งแบบธรรมยุติ..เป็นพระธรรมยุติ..
    ทั้งหมด..นั้น..ไม่ใช่ครับ...ต้องเข้าใจซะใหม่ว่า..มีทั้ง..พระธรรมยุติ..และ..พระมหานิกาย
    ..ท่านไม่มีทางแยกออก..ด้วย..เครื่องนุ่งห่มครับ...จบตอน.....................
    .........................พบกันใหม่..สำหรับ..ตอนใหม่..................................

    <table cellpadding="5" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td height="100%" valign="top" width="85%">.........ยินดีต้อนรับ..ครับ..คุณabball.............................
    ...เอา..เฉพาะที่เป็น..สาระ..นะครับ..ที่ใส่สมอง...ไอ้ที่ไร้สาระ..อย่า
    เอาไปใส่...เดี่๋ยว..อาจเป็นโรคติดเชื้อ......................

    </td> </tr> <tr> <td class="smalltext" valign="bottom" width="85%"> <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr> </tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...