เรื่องเด่น Just let it go : วางลง ก็เป็นสุข !!

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย Mr.Lawrence, 15 มกราคม 2012.

  1. Mr.Lawrence

    Mr.Lawrence เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,520
    ค่าพลัง:
    +3,542
    [​IMG]

    วางลง ก็เป็นสุข !

    อัลเบิร์ด อับบาร์ด เคยกล่าวว่า
    " ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณได้รับอะไร แต่ขึ้นอยู่กับคุณปล่อยวางอะไร"

    ชายหนุ่มคนหนึ่งรู้สึกว่าชีวิตของตนน่าเบื่อหน่าย จึงขอพบพระอาจารย์เซ็นอู้จี้เพื่อขอคำชี้แนะ ว่าทำอย่างไรตนจึงจะมีความสุข
    พระอาจารย์ไม่กล่าวว่าอะไร ได้แต่หยิบตะกร้าไผ่ใบหนึ่ง นำชายหนุ่มมายังริมแม่น้ำเล็ก ๆ
    ลมเย็นโบกพัด พวกเขาเดินเลาะริมฝั่ง
    แล้วอยู่ ๆ พระอาจารย์อู๋จี้ก็บอกกับชายหนุ่มว่า

    " เจ้าเห็นก้อนหินที่อยู่ตามทางนั่นไหม นับจากนี้เมื่อเจ้าเดินก้าวหนึ่ง
    ก็จงหยิบขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วใส่ไว้ในตะกร้าไผ่ข้างหลัง ตกลงไหม "

    ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่เข้าใจเจตนาของพระอาจารย์ แต่เมื่อเห็นก้อนหินรูปทรงประหลาดมากมายริมแม่น้ำ
    ก็พยักหน้าด้วยความยินดี พลางเดินหยิบก้อนหินไปพลาง
    ไม่นานนัก เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้า ตะกร้าไผ่ที่สะพายอยู่ด้านหลังก็หนักอึ้งเกินกว่าจะทำให้จิตใจเบิกบาน

    ในที่สุดเขาก็เดินไปจนสุดทาง พระอาจารย์ถามเขาว่า
    " รู้สึกอย่างไรบ้าง "

    เขาส่ายหน้าอย่างจนใจ
    " ตะหร้าหนักขึ้นเรื่อย ๆ แทบจะแบกไม่ไหวแล้ว ! "

    พระอาจารย์กล่าวยิ้ม ๆ ว่า
    " รู้ไหม เหตุใดจึงไม่เป็นสุข เพราะเจ้าแบกสิ่งของเอาไว้มากเกินไป "

    จากนั้นพระอาจารย์ก็หยิบก้อนหินในตะกร้าออกมาทีละก้อน พลางพูดว่า..
    " ก้อนนี้คืออำนาจ ก้อนนี้คือเงินทอง ก้อนนี่คือหญิงงาม ก้อนนี้คือความกลัดกลุ้ม นี่คือความเหงา..."

    เมื่อก้อนหินเหล่านั้นถูกโยนทิ้งไป ชายหนุ่มสะพายตะกร้าไผ่ขึ้นมาอีกครั้ง
    ความรู้สึกเบาโล่ง ทำให้เขาได้สติขึ้นในฉับพลัน
    แค่วางลง ก็เป็นสุขแล้ว !

    ขอเพียงแค่ยอมวางลง ความสุขก็จะล้นปรี่อยู่ทุกวัน
    เราจงฝึกฝนการวางลงด้วยกันเถิด

    ปล่อยวางตำแหน่งหัวโขนที่ทำให้กลัดกลุ้ม
    ปล่อยวางการแพ้ชนะที่ชวนให้อ่อนล้า
    ปล่อยวางความสูญเสียครั้งหนึ่งที่ทำให้หัวใจปวดร้าว
    ปล่อยวางความสัมพันธ์ที่นำพาแต่ความทุกข์
    ปล่อยวางความเจ็บปวดที่ ค้างคาใจ
    ปล่อยวางความทุกข์ เศร้า เหงา ตรม..
    ทำชีวิตให้กลับมาเรียบง่าย กลับมาสดใสอีกครั้ง

    วางลง ก็เป็นสุข
    วางลง ก็คือความสุข !


    ที่มา : หนังสือ วางลง ก็เป็นสุข
    ( ฮั้วซื้อมาอ่านแล้วรู้สึกดี เลยมาพิมพ์ให้อ่านกัน
    อาจจะช้าหน่อยนะคะ แต่จะพยายามพิมพ์ลงทุก ๆ วัน วันละเรื่องเนาะ )
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มกราคม 2012
  2. Mr.Lawrence

    Mr.Lawrence เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,520
    ค่าพลัง:
    +3,542
    1. ปิดประตูที่อยู่ด้านหลัง

    ดิ้นหลุดจากโซ่ตรวนที่ทำร้ายจิตวิญญาน ละทิ้งความกลัดกลุ้มตลอดไป
    คนเช่นนี้คือผู้มีบุญ

    " การคิดแค้นเป็นการทรมานตัวเองอย่างหนึ่ง
    เป็นความทรมารที่จะค่อย ๆ ทำลายความสุข ความหวัง ความดีงาม และความอ่อนโยนให้หมดไป "


    จงให้อภัยผู้อื่นตลอดกาล

    - เดล คาร์เนกี ปรมาจารย์ผู้สร้างแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ชาวอเมริกันได้กล่าวไว้ว่า
    " บางทีเราไม่อาจจะรักศัตรูของเราได้ดังนักบุญ ทว่าเพื่อสุขภาพและความสุขของตนเอง
    อย่างน้อยเราก็ต้องให้อภัยพวกเขา ลืมพวกเขาเสีย
    การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการกระทำอันชาญฉลาด "

    ใช่แล้ว การกักเก็บความโกรธแค้นเอาไว้ในใจ รังแต่จะทำให้รอยแผลในใจเจ็บลึกยิ่งขึ้น
    หายยากกว่าเดิม
    ความเจ็บปวดที่เกินจะอดทนไหวเช่นนี้จะทำให้เราเป็นคนเลวร้าย คลุ้มคลั่ง ขาดสติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มกราคม 2012
  3. Mr.Lawrence

    Mr.Lawrence เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,520
    ค่าพลัง:
    +3,542
    [ ความคิดแค้น เป็นความทุกข์ทรมานแบบหนึ่ง ]

    หยางโยวหรานซึ่งใกล้จะเข้าสู่วัยกลางคน ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าสามีจะทอดทิ้งเธอไป
    เธอทุกข์ระทมแทบเป็นแทบตาล นำสิ่งของที่สามีเคยใช้ไปโยนทิ้ง
    ทั้งยังตัดรูปของสามีที่อยู่ในอัลบั้มภาพออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยทิ้งเกลื่อนจนเต็มพื้นราวคนบ้า
    ขณะที่ลูกสาววัยเก้าขวบซุกตัวแอบอยู่ในมุมหนึ่ง
    มองไปที่หล่อนด้วยความหวาดกลัว เหมือนดังลูกนกตัวน้อยที่หวาดผวา
    ตั้งแต่นั้นมา ลูกสาวไม่กล้าเอ่ยคำว่า " พ่อ " ต่อหน้าเธออีก
    แม้ว่าในใจจะคิดถึงผู้เป็นพ่อมากก็ตาม

    หวางโยวหรานที่เคยอ่อนโยน และใจเย็นในวันวานกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด และฉุนเฉียวง่าย
    เธอฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้ที่ตัวลูกสาว
    เมื่อรู้ว่าผลการเรียนของลูกตกลงก็จะต่อว่าอย่างดุดัน ทั้งตวาด หรือแม้กระทั่งโบยตี
    จากนั้น ลูกสาวที่ว่าง่ายก็เปลี่ยนเป็นคนเย็นชา ไม่พูดไม่จา
    ถึงขนาดว่าตลอดทั้งวันไม่พูดอะไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว

    สุดสัปดาห์หนึ่ง หวาวโยวหรานไล่ลูกสาวให้ไปอ่านหนังสือในห้อง
    จากนั้นเธอก็เปิดโทรทัศน์ดูด้วยความเบื่อหน่าย
    ในโทรทัศน์กำลังฉายภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องหนึ่ง
    เนื้อหาบอกเล่าถึงเรื่อวราวของคุณแม่ที่เลี้ยงลูกสามคนเพียงลำพัง
    เธอค่อย ๆ ถูกหนังเรื่องนี้ดึงดูดความสนใจ เมื่อดูไปเรื่อย ๆ น้ำตาก็ไหลรินเต็มใบหน้า
    หวางโยวหรานไม่ได้ร้องไห้มานานมาก เธอคิดว่าตัวเองไม่มีน้ำตามาตั้งนานแล้ว

    เธอรู้สึกว่าบทบาทของแม่ในหนังเรื่องนี้คือภาพสะท้อนของตัวเอง
    เพราะความกดดันทั้งสองทาง ทั้งด้านจิตใจและการดำรงชีวิต
    ทำให้แม่ที่อยู่ในหนังมีนิสัยและความรู้สึกที่เบี่ยงเบนไป หล่อนเผด็จการต่อลูก ๆ
    ถึงกับลงไม้ลงมือกับเด็ก ๆ อย่างขาดสติ จนเมื่อเรื่องเกิดขึ้นไปแล้ว
    จึงค่อยมาเสียใจและเจ็บปวดภายหลัง
    หวางโยวหรานรู้สึกสะเทือนใจอย่างแรง ! เพราะขณะนี้ตนเองก็ปฏิบัติเช่นนี้กับลูกสาวเหมือนกันไม่ใช่หรือ

    ตอนจบของหนัง ลูก ๆ ต่างพากันหนีจากผู้เป็นแม่
    ปล่อยเธอให้ใช้ชีวิตเปล่าเปลี่ยวเพียงลำพัง
     
  4. Mr.Lawrence

    Mr.Lawrence เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,520
    ค่าพลัง:
    +3,542
    ในคืนนี้เอง หวางโยวหรานนอนไม่หลับ เอาแต่คิดทบทวนไปมา
    เธอคิดว่าเรื่องนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เธอกลายเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่
    ลูกสาวต้องกลายเป็นผู้แบกรับผลของการแต่งงานที่ล้มเหลว กลายเป็นเหยื่อที่รองรับความโกรธแค้น
    แท้ที่จริงแล้ว เวลาที่ตัวเองบาดเจ็บ ก็กำลังทำร้ายลูกสาวไปด้วยเช่นกัน



    หวางโยวหรานจึงตัดสินใจว่าจะไม่ให้เป็นแบบนี้อีกต่อไป
    เธอปรับเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ ลองเปลี่ยนวิธีการพูดคุยกับลูกสาว
    ยามที่ลูกไม่เชื่อฟังก็จะไม่ต่อว่าต่อขาน
    ยามที่ลูกมีเรื่องในใจเธอก็จะรับฟังอย่างอดทนพร้อมให้คำปลอบใจ
    ยามที่ผลการเรียนของลูกไม่เป็นอย่างที่คาดหวังเธอก็ไม่ตำหนิและโบยตีอีก
    แต่จะชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นด้านอื่นของลูกแทน
    เมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ หวางโยวหรานก็พบว่าลูกสาวเริ่มพูดจามากขึ้นกว่าเดิม
    ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกก็ดูจะเข้ากันได้ดีอีกด้วย


    วันหนึ่งหวางโยวหรานเปิดสมุดการบ้านของลูกสาว แล้วเจอข้อความที่เขียนไว้ว่า
    " วันแม่ใกล้จะถึงแล้ว หนูอยากจะมอบดอกคาร์เนชั่นที่สวยที่สุดให้แม่
    รอให้หนูโตขึ้นก่อน หนูจะต้องมอบของขวัญที่ดีที่สุดให้แม่ "

    แล้วขอบน้ำตาของเธอก็เปียกชื้นขึ้นมา แม้ว่าลูกสาวจะมีครอบครัวไม่สมบูรณ์
    แต่เธอก็เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความจริง และห่วงใยเอาใจใส่ผู้อื่น
    แท้จริงแล้ว โลกที่มีกันเพียงสองคนแม่ลูกก็มีความสุขได้เช่นกัน


    หวางโยวหรานไม่โกรธแค้นอดีตสามีเหมือนเมื่อก่อนอีก
    ทั้งยังรู้ซึ้งดีว่าความคิดแค้นนั้นเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานมาก
    สุดท้ายคนที่ต้องเจ็บปวดก็คือตัวเอง เพราะการคิดแค้นเป็นการทรมานตัวเองอย่างหนึ่ง
    เป็นความทรมานที่จะค่อย ๆ ทำลายความสุข ความสมหวัง และความอ่อนโยนให้หมดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มกราคม 2012
  5. sad boy

    sad boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +454
    yeye thx:love:(one-eye):love:
     
  6. dhamaskidjai

    dhamaskidjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,855
    ค่าพลัง:
    +5,727
    ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันครับ:cool:
     
  7. konggan252

    konggan252 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบคุณครับสำหรับบาความดีๆ^^
     
  8. twojit

    twojit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2010
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +239
    ขอบคุณมากครับคุณ จขกท. กำลังหาสิ่งนี้อยู่พอดี
     
  9. กุ้งจ๊ะจ๋า

    กุ้งจ๊ะจ๋า สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +22
    บทความดีมากค่ะ และขอบคุณที่แบ่งสิ่งดีให้อ่านคะ ขอแชร์ใน fb นะคะ
     
  10. เจริญใจ

    เจริญใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    926
    ค่าพลัง:
    +127
    ธรรมะดีมากค่ะ ขอบคุณที่แบ่งปัน
     
  11. janpim

    janpim Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +88
    โดนใจมาก ๆ ให้ 10 เต็มค่ะ
     
  12. panee1966

    panee1966 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +8
    เป็นบทความที่สุดยอด เข้าใจ เข้าถึง ได้โดยง่าย สะท้อนความเป็นจริง....
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ กับบทความดีๆ ค่ะ....
     
  13. makcloud

    makcloud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +535
    อนุโมทนา สาธุ ครับ
    เป็นผู้ให้อย่ารอให้่คนอื่นเป็นผู้ขอ
     
  14. Mr.Lawrence

    Mr.Lawrence เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,520
    ค่าพลัง:
    +3,542
    มาต่อกันดีกว่านะคะ ....

    [ อภัยให้ศัตรูของคุณ ]
    พระเยซูกล่าวว่า อภัยให้ศัตรูของเจ้า ขอบคุณทุกคนที่เคยทำร้ายเจ้า
    เพราะพวกเขาทำให้เจ้าเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าเข้มเเข็ง

    คำโบราณว่าไว้ " พระสมุทรรวมธาราร้อยสาย จึงใหญ่ได้ด้วยความจุ "
    คนที่รู้จักให้อภัย ไม่เพียงแต่เป็นการให้โอกาสผู้อื่นเท่านั้น ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสให้ตัวเองอีกด้วย

    เนลสัน มันเดลลา เคยถูกจองจำอยู่ที่เกาะโรบเบนอันรกร้างในมหาสมุทธแอตเเลตติก
    เป็นเวลายาวนานถึงยี่สิบเจ็ดปี
    เนื่องมาจากการคัดค้านนโยบายการแบ่งแยกสีผิวของผู้บริหารประเทศแอฟริกาใต้
    ท่ามกลางวันเวลาอันแสนยาวนานนี้ มันเดลล่าต้องทนทุกย์ทรมานอย่างแสนสาหัส
    และวัที่ 11 กุมภาพันธ์ 1990 ในที่สุด เนลสัน มันเดลลาก็ได้รับการปล่อยตัว
    และวันที่ 10 พฤษภาคม 1994 มันเดลลาในวัย 76 เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีผิวดำคนแรกในหน้าประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้อย่างเป็นทางการ

    สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ...
    มัลเดลลาผู้ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีนั้นไม่เพียงแต่จะไม่แก้แค้นบรรดาผู้คุมเรือนจำ
    ที่เคยปฏิบัติต่อเขาอย่างทารุณเมื่อครั้งที่ถูกจองจำอยู่ในคุกเกาะรอบเบน
    ซ้ำยังเชิญคนเหล่านั้นให้เข้าร่วมพิธีดำรงตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ของตนเองอีกด้วย

    และให้นั่งร่วมกับแขกผู้มีเกียรติซึ่งเป็นตัวแทนจากรัฐบาลที่มาจากหลายประเทศทั่วโลก

    เมื่อเข้าพิธีเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเริ่มขึ้น
    มัลเดลลาจึงลุกขึ้นกล่าวคำปราศรัย เขากล่าวว่า..
    " การที่ได้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายนี้ ทำให้รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
    และที่ดีใจที่สุดก็คือ เจ้าหน้าที่เรือนจำทั้งสามคนที่เคยดูแลเขาในยามนั้นก็มาร่วมงานพิธีนี้ด้วย "

    จากนั้นก็เชิญให้ผู้คุมสามคนลุกขึ้น ก่อนจะแสดงความเคารพต่อผู้คุมทั้งสามที่เคยคุมขัง
    และควบคุมเขาอย่างเคร่งครัด


    งานพิธีสงบเงียบในพลัน ทุกคนก็ต่างสะเทือนใจกับการกระทำเช่นนี้
    ประธานาธิบดีมัลเดลลาได้กล่าวหลังจากนั้นว่า
    " ตนเองในยามวัยรุ่นนั้น นิสัยหุนหันพลันแล่นและมุทะลุ
    ช่วงเวลาที่อยู่ในคุก เขาได้เรียนรู้การควบคุมอารมณ์ของตนเอง
    ชีวิตในคุกอันแสนลำบากได้หล่อหลอมความมุ่งมั่น และความอดทนให้แก่เขา
    ทำให้เขารู้ว่าจะจัดการกับความทุกข์ทรมารและยากลำบากอย่างไร
    สำหรับตัวเองแล้ว สิ่งนี้นับเป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่ามหาศาล "
     
  15. Mr.Lawrence

    Mr.Lawrence เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,520
    ค่าพลัง:
    +3,542
    อับราฮัม ลินคอร์น ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาถึงสองสมัย
    ก็มีเรื่องราวอันดีงามที่เล่า ต่อ ๆ กันมาเช่นเดียวกัน

    ช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ขณะที่ลินคอร์นกล่าวอภิปรายในสภา
    เขาก็ต้องพบกับการดูหมิ่นจากวุฒิสมาชิกคนหนึ่ง วุฒิสมาชิกคนนั้นกล่าวว่า
    " คุณลินคอร์น ก่อนที่คุณจะเริ่มอภิปราย ผมหวังว่าคุณจะจำได้นะว่าตนเองเป็นลูกช่างทำรองเท้า "


    " ผมต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่คุณทำให้ผมได้นึกถึงคุณพ่อซึ่งเสียไปแล้ว
    ผมจะจำความหวังดีของคุณเอาไว้
    ผมทราบดีว่าตัวเองคงไม่อาจทำหน้าที่ประธานาธิบดีได้ดีเท่าคุณพ่อ ซึ่งทำหน้าที่ช่างทำรองเท้าแน่ ๆ "

    บรรยากาศในสภาพลันเงียบลง
    ลินคอร์นหันกลับไปเอ่ยกับวุฒิสมาชิกผู้หยิ่งยโสคนนั้นว่า
    เท่าที่ผมทราบ เมื่อก่อนคุณพ่อของผมก็เคยทำรองเท้าให้แก่คนในครอบครัวของคุณ
    ถ้าหากรองเท้าของคุณใส่ไม่พอดี ผมจะช่วยแก่ไขให้ได้นะครับ
    แม้ว่าผมจะไม่ใช่ช่างทำรองเท้าผู้ยิ่งใหญ่ แต่ผมก็เรียนรู้เทคนิคการทำรองเท้าจากคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก ๆ

    จากนั้น ลินคอร์นก็กล่าวกับวุฒิสภาทั้งหมดว่า
    " สำหรับวุฒิสมาชิกทุกท่านก็เหมือนกันนะครับ ถ้ารองเท้าที่พวกคุณสวมอยู่เป็นรองเท้าที่คุณพ่อผมทำละก็ ..
    หากต้องการซ่อมแซมหรือแก้ไข ผมก็จะช่วยแก้ให้อย่างเต็มความสามารถ
    ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ก็คือ ฝีมือของคุณพ่อผมไม่มีใครเทียบได้อย่างแน่นอน "


    พูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มเยาะเย้ยของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นเสียงปรบมืออย่างจริงใจ
    มีคนกล่าววิจารณ์ท่าทีในการรับมือกับศัตรูทางการเมืองของประธานาธิบดีลินคอร์นว่า
    " ทำไมท่านถึงคิดเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นมิตรเล่า
    ท่านควรจะคิดว่าวิธีโจมตีและกำจัดพวกเขาเสียถึงจะถูก "


    " แล้วผมไม่ได้กำจัดศัตตรูอย่างนั้นหรือ ??
    เมื่อเรากลายเป็นมิตรกันแล้ว ศัตรูก็ไม่มีเหลืออีกต่อไป "
    ประธานาธิบดีลินคอร์นเอ่ยอย่างอ่อนโยน
    และนี่ก็คือวิธีการที่ประธานาธิบดีลินคอร์นใช้กำจัดศัตรูทางการเมือง เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร

    บนกำแพงอนุสาวรีย์ที่ใช้ชื่อประธานาธิบดีลินคอร์นได้สักคำกล่าวหนึ่งคือ..

    " อย่ามีเจตนาร้ายต่อผู้ใด มีเมตตาการุณย์อันยิ่งใหญ่ต่อทุกคน
    ยืนหยัดในความยุติธรรม เพราะพระเจ้าบันดาลให้เรารู้จักความชอบธรรม
    เราจงพยายามปฏิบัติหน้าที่การงานที่กำลังดำเนินอยู่ให้สำเร็จ
    และสมานแผลให้แก่ประเทศของเรา "


    บางครั้ง... การให้อภัยก็เกลี้ยกล่อมผู้คนได้มากกว่าการลงโทษหรือแก้แค้น
    แท้ที่จริงแล้ว มีเพียงคนฉลาดที่มีจิตใจกว้างขวางจึงจะรู้จักการให้อภัย
    สลายความขัดแย้งที่มีกับผู้อื่น สร้างมนุษย์สัมพันธ์อันเป็นไมตรีที่ดีงาม
    เช่นนี้จึงจะได้รับการสนับสนุนและความเชื่อถือจากคนหมู่มาก
    เป็นการสร้างพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับความสำเร็จในหน้าที่การงาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มกราคม 2012
  16. Mr.Lawrence

    Mr.Lawrence เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,520
    ค่าพลัง:
    +3,542
    [ อภัยให้ผู้อื่น ก็คือการทำดีกับตนเอง
    ขอเพียงแค่เรียนรู้ที่จะให้อภัย
    ปล่อยวางภาระแห่งความโกรธแค้น
    จึงจะสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ]


    ภาวะสูงสุดแห่งการให้อภัย

    จั๋วม่าวเป็นขุนนางตงฉินสมัยราชวงศ์ฮั่น ดูแลประชาดังบุตร และไม่เคยเอ่ยคำพูดไม่น่าฟัง
    ไม่ว่าจะไม่อยู่ที่ไหน ก็ทำให้ผู้คนเลื่อมใส
    ได้รับความรักชื่นชมและความศรัทธาจากผู้คนอย่างลึกซึ้ง
    มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า
    เมื่อพระเจ้าฮั่นกวงอู่เสวยราชสมบัติ ก็เสด็จไปเยี่ยมเยือนจั๋วม่าวเป็นการเเรก
    ทั้งยังเชิญให้เขาเข้ารับตำแหน่ง " ไท่ฟู่่ "
    เลื่อนศักดิ์ของเขาให้เป็น " เป่าโหว " และแต่งตั้งลูกชายทั้งสองของจั๋วม่าวให้เข้ารับราชการ


    ขณะจั๋วม่าวดำรงเป็นมหาเสนาบดี อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังขี่ม้าออกมาจากจวน
    ทันใดนั้นก็มีคนมาขวางหน้าไว้ แล้วยุดม้าไม่ปล่อย
    ทั้งยังกล่าวว่าม้านั้นเป็นของตนเอง

    จั๋วม่าวเอ่ยถามด้วยความสงบ ท่าทางไม่ทุกข์ร้อน
    " ม้าของเจ้าหายไปนานเท่าใดแล้ว "
    ผู้นั้นตอบว่า " กว่าหนึ่งเดือนแล้ว ! "
    พอจั๋วม่าวได้ฟังก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเข้าใจผิดไป เพราะว่าเขาขี่ม้าตัวนี้มาได้หนึ่งปีแล้ว
    ทว่าจั๋วม่าวก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร และไม่ได้โต้เถียงด้วย
    เขาปลดสายบังเหียนออกจากตัวม้า แล้วปล่อยให้ผู้นั้นจูงม้าไป
    ก่อนจากนั้น จั๋วม่าวเอ่ยกำชับขึ้นว่า
    " ถ้าหากพบว่าม้าตัวนี้ไม่ใช่ของเจ้า โปรดจูงมาคืนข้าที่จวนเสนาบดีด้วย "
    ไม่นาน คนผู้นั้นก็เจอม้าของตัวเอง
    และนำม้าของจั๋วม่าวมาส่งคืน รวมทั้งคุกเข่าโขกศรีษะเป็นการขอบคุณ


    แท้จริงแล้ว การให้อภัยไม่ใช่เพียงแค่ความอดทน ยิ่งกว่านั้นยังเป็นความเฉลียวฉลาด
    และความเมตตาปราณี เมื่อในใจมีความรักและความกรุณา
    จึงจะสามารถให้อภัยกับผู้อื่นได้ การให้อภัยและความเมตตาปราณีนั้นอยู่เคียงคู่กันเสมอ
    ดังคำที่กล่าวไว้ว่า ... " การเข้าใจทุกสิ่ง ก็คือการให้อภัยทุกอย่าง "
    เมื่อผู้อื่นล่วงเกินเรา จงอย่าตำหนิพวกเขาทว่าต้องพยายามทำความเข้าใจ
    สิ่งนี้มีประโยชน์กว่าการตำหนิติเตียน และก็มีความหมายมากกว่ายิ่งนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มกราคม 2012
  17. Mr.Lawrence

    Mr.Lawrence เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,520
    ค่าพลัง:
    +3,542
    พระอาจารย์ซิ่นไป่หยิ่น เป็นผู้บำเพ็ญตนอันบริสุทธิ์ ถือศีลเคร่งครัด และได้รับการยกย่องสรรเสริญไปทั้งเมือง
    ทุกคนต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าท่านเป็นนักบวชที่น่านับถือ

    มีสามี ภรรยาคู่หนึ่ง เปิดร้านอาหารอยู่ใกล้บริเวณวัดของพระอาจารย์ไป๋หยิน
    พวกเขามีลูกสาวหน้าตาสะสวยอยู่คนหนึ่ง ผ่านไปไม่นานทั้งสองก็พบว่าท้องของลูกสาวใหญ่ขึ้น
    และนั่นก็ทำให้คู่สามี ภรรยาเดือดดาลขึ้นมา
    ลูกสาวอันเป็นกุลสตรีกลับก่อเรื่องที่ทำให้ไม่อาจมองหน้าผู้อื่นได้
    ภายใต้การบีบคั้นจากผู้เป็นพ่อแม่ ในตอนแรกลูกสาวไม่ยอมสารภาพว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
    แต่หลังที่ถูกบีบบังคับหนักขึ้น ในที่สุดเธอก็อึก ๆ อัก ๆ เอ่ยคำว่า "ไป๋หยิน" สองคำนี้ออกมา

    สองสามีภรรยาตรงไปหาพระอาจารย์ไป๋หยิ่นด้วยความโกรธขึ้ง เพื่อฟังคำแก้ตัว
    ทว่าพระอาจารย์ไป๋หยิ่นกลับไม่เอ่ยคำชี้แจงใด ๆ เบน เพียงตอบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า
    " เป็นเช่นนี้หรือ "

    หลังจากที่เด็กเกิด สามีภรรยาคู่นั้นก็นำเด็กไปทิ้งไว้กับพระอาจารย์ไป๋หยิ่นด้วยความโมโห
    และดูว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไร ในเวลานี้เองชื่อเสียงของพระอาจารย์ไป๋หยินก็เสื่อมเสียย่อยยับไปแล้ว
    ทว่าท่านกลับไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ตั้งอกตั้งใจดูแลเด็กน้อยอย่างเอาใจใส่
    เที่ยวขอน้ำนมและของใช้อื่น ๆ ที่จำเป็นต่อเด็กทารกจากชาวบ้านใกล้เรือนเคียง
    แม้จะต้องพบกับสายตาเหยียดหยามหรือคำเสียดสีเยาะเย้ยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
    ทว่าท่านกลับไม่สะทกสะท้าน ราวกับว่ารับฝากเลี้ยงดูลูกของผู้อื่นเท่านั้นเอง

    เรื่องราวผ่านไปหนึ่งปี หญิงสาวที่ท้องก่อนแต่งคนนั้น
    ในที่สุดก็ทนโกหกปิดบังต่อไปไม่ได้อีก เธอเผยความจริงทั้งหมดกับพ่อแม่ว่า
    พ่อของเด็กนั้น ที่จริงเป็นเด็กหนุ่มที่ทำงานอยู่ในตลาดปลา
    ด้วยเหตุนี้ สองสามีภรรยาจึงนำลูกสาวไปหาพระอาจารย์ไป๋หยิ่นในทันทีเพื่อขอขมา
    และขอให้ท่านอภัย รวมทั้งนำตัวเด็กกลับบ้าน

    พระอาจารย์ไป๋หยินยังสงบนิ่งเช่นเดิม ไม่ได้กล่าวคำใดออกมา
    เพียงแค่เอ่ยขึ้นเบา ๆ ในยามที่ส่งเด็กคืนให้พวกเขาว่า " เป็นเช่นนี้หรือ "
    ราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรมาก่อน และแม้ว่ามี ก็เหมือนดังลมเฉื่อย ๆ ที่พัดผ่านหูสลายไปอย่างรวดเร็ว
    จั๋วม่าวและพระอาจารย์ไป๋หยินต่างเป็นผู้ชาญฉลาดที่ '' ปลงได้ตก วางได้ลง "อย่างแท้จริง
    นับว่าบรรลุภาวะสูงสุดของการให้อภัยอย่างถ่องแท้


    วิลเลียม เชกสเปียร์ นักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ยิ่งใหญ่กบ่าวว่า
    " การให้อภัยก็เปรียบดังเม็ดฝนที่หล่อเลี้ยงแผ่นดินให้ชุ่มชื้น นำพรอันประเสริฐมาสู่ผู้ที่ให้อภัย
    และมอบพรอันประเสริฐให้แก่ผู้ได้รับการอภัย "

    ฉะนั้น จงให้อภัยผู้อื่นตลอดกาล ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเลวร้ายเพียงใด
    ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเคยทำร้ายคุณอย่างหนักสาหัสมาก่อนหรือไม่
    ก็ต้องปล่อยวางเสีย เพราะมีเพียงเช่นนี้ จึงจะได้รับความสุขที่แท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มกราคม 2012
  18. Mr.Lawrence

    Mr.Lawrence เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,520
    ค่าพลัง:
    +3,542
    1.2 เรียนรู้การลืมที่เหมาะสม

    Larsson นักจิตวิทยาชื่อดังชาวสวีเดนเคยกล่าวว่า
    " คนที่มีสารพิษอยู่ภายในใจ ย่อมไม่มีวันได้รู้สึกถึงความงดงามของชีวิต
    และวิธีขจัดสารพิษที่ดีที่สุดก็คือ เรียนรู้การลืมเลือน "
    เพราะการแบกรับความไม่สมหวังน้อยใหญ่ทุกประการเอาไว้กับตัวทั้งหมด
    มันหนักหนาสาหัสจนเกินไป
    เพื่อความสุขและความก้าวหน้าของตัวเราแล้ว การลืมในเวลาที่เหมาะสมนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น



    [ ชีวิตคนเรา จำเป็นต้องลืมเลือน ]

    ในคัมภีร์เต๋า " เลียจื่อ " บท " โจวมู่หวัง "
    ได้บันทึกนิทานเรื่องหนึ่งไว้ดังนี้
    แคว้นซ่งมีชายผู้หนึ่งนามว่า ฮว๋าจื่อ ในช่วงวัยกลางคน อยู่ ๆ เขาก็เป็นโรคความจำเสื่อม
    รุ่งเช้าจำไม่ได้ว่าเมื่อวานตนทำอะไรไปบ้าง
    ตกค่ำคิดไม่ออกว่าเมื่อเช้าตนทำอะไร ยามอยู่ปัจจุบันก็จำอดีตไม่ได้
    ในยามถัดไปก็จำปัจจุบันไม่ได้ แม้กระทั่งอยู่บนถนนก็ลืมว่ากำลังเดินอยู่
    ยามอยู่ในบ้านก็ลืมว่ากำลังนั่งอยู่

    ด้วยเหตุนี้ ชายผู้นี้จึงสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนในครอบครัวไม่น้อย
    ครอบครัวของเขาเที่ยวตามหาหมอและยาจากทั่วสารทิศเพื่อรักษาอาการป่วย
    ทว่าวิธีการรักษามากมายเหล่านั้นก็ไม่ช่วยทำให้อาการดีขึ้นสักเท่าไหร่
    สุดท้ายบรรดาหมอทั้งหลายต่างก็ส่ายหน้าอยากหมดปัญญา
    ด้วยความจนใจ ครอบครัวของเขาจึงทั้งหาคนมาเสี่ยงทาย หาพ่อมดหมอผีมาสวดมนต์
    แต่ก็ไม่เกิดผลใด ๆ

    เวลาผ่านไปราวครึ่งปี
    ในแคว้านหลู่มีบัณฑิตผู้หนึ่งได้ยินเรื่องดังกล่าว จึงเดินทางมาหาถึงหน้าบ้าน
    บอกว่าตนสามารถรักษาอาการป่วยของฮว๋าจื่อได้
    ภรรยาของฮว๋าจื่อดีใจเป็นยิ่งนัก รับปากว่า หากบัณฑิตสามารถรักษาอาการป่วยของฮว๋าจื่อได้
    จักมอบสมบัติของตระกูลครึ่งหนึ่งให้เป็นการตอบแทน


    บัณฑิตกล่าวว่า " โรคนี้ไม่สามารถขจัดได้ด้วยคุณไสย และไม่จำเป็นต้องใช้ยาก็สามารถรักษาให้หายได้ ข้าเองก็ไม่ได้มีสูตรยาวิเศษอะไร
    เพียงจะลองปรับสภาพจิตใจและเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา บางทีอาจจะทำให้เขาอาการดีขึ้นได้
    แต่ว่าพวกท่านต้องทำตามวิธีการของข้า "

    ภรรยาของหว๋าจื๋อเอ่ยรับคำ ขอเพียงแค่รักษาโรคของฮว๋าจื่อได้ นางยินดีทำตาม
    และแล้ว บัณฑิตก็ให้ฮว๋าจื๋อนอนอยู่กลางแจ้ง ฮว๋าจื่อก็หนาวจนต้องขอเสื้อผ้า
    บัณฑิตไม่ให้อาหารฮว๋าจื๋อกิน ฮว๋าจื๋อก็หิวจนต้องขออาหาร
    เขายังขังฮว๋าจื๋อเอาไว้ในห้องมืดสนิท ไม่นานเท่าไหร่ ฮว๋าจื๋อก็ตะโกนว่าต้องการจะออกมาเจอแสงแดดข้างนอก
    หลังจากทำการทดสอบเหล่านี้แล้ว บัณฑิตก็พูดกับลูกชายของฮว๋าจื๋อด้วยความดีใจว่า
    " ดูท่าแล้ว อาการป่วยของพ่อเจ้านั้นมีหวังว่าจะรักษาหายได้
    แต่ว่าวิธีการรักษาของข้าเป็นสูตรลับที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่อาจเปิดเผยได้
    ดังนั้นขอให้ข้าได้อยู่กับพ่อของเจ้าตามลำพังเป็นเวลาเจ็ดวัน
    ในเวลานี้ไม่อนุญาติให้ใครมารบกวนทั้งสิ้น "


    คนในครอบครัวต่างก็เห็นด้วย ไม่มีใครรู้ว่าบัณฑิตใช้วิธีการใด
    แต่อาการป่วยตลอดหลายปีของฮว๋าจื๋อนั้นก็ถูกขจัดไปโดยสิ้นเชิง
    แต่ทว่า ความยุ่งยากยิ่งกว่าเดิมก็เกิดขึ้น นั่นคือ หลังจากที่สมองของฮว๋าจื่อแจ่มชัดแล้ว
    ทันใดนั้นเขาก็โมโหโทโสด้วยความโกรธเกรี้ยว ขับไล่ภรรยาอย่างเดือดดาล
    ทั้งยังด่าทอบุตรชาย จากนั้นก็ถือดาบวิ่งไล่บัณฑิต บัณฑิตตกใจวิ่งหนีสุดชีวิตไปพลาง ตะโกนขอความช่วยเหลือไปพลาง

    เมื่อเหล่าเพื่อนบ้านได้ยินเสียงร้องของบัณฑิตก็ทยอยกันออกมาขวางฮว๋าจื่อเอาไว้ และตะโกนขึ้น
    " ฮว๋าจื่อ เจ้าบ้าไปแล้วรึ เหตุใดจึงต้องไล่ฟันเขาด้วย "
    ฮว๋าจื่อตอบว่า " เฮ้อ ช่วงที่ข้าเป็นโรคความจำเสื่อมอยู่นั้น ล่องไปลอบมา ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวใด ๆ ในโลก
    เบิกบานสบายใจเป็นที่สุด ตอนนี้ข้าจำได้ทุกอย่างแล้ว ทั้งเรื่องความเป็นความตาย
    ได้หรือเสีย สุขและทุกข์ รักและชัง อารมณ์ต่าง ๆ มากมายทั้งหลายแหล่พากันประดังเข้ามาในใจ
    ก่อกวนจนหัวใจของข้ากระวนกระวายไร้ความสงบ
    เกรงว่าต่อไปนี้หากแม้นปรารถนาจะลืมกาลเวลาอีกแม้เสี้ยวนาทีก็คงทำได้ยากแล้ว
    พวกเจ้าว่าข้าจะไม่โมโหได้หรือ "

    ถูกต้อง ในชีวิตของเราหากจดจำทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในใจทั้งหมด
    ทั้งลาภยศสรรเสริญ ทรัพย์สินเงินทอง ความสำเร็จความล้มเหลว
    ความรัก ความแค้น ความถูกความผิด และปล่อยให้ความผิดหวัง เจ็บปวด
    ความยุ่งยากใจที่เคยมีมาบั่นทอนความคิดอยู่ตลอดเวลา ก็เท่ากับเอาสัมภาระอันหนักอึ้งมาแบกไว้
    สวมเครื่องพันธนาการที่มองไม่เห็น ทำให้การก้าวย่างของเราหนักหน่วง
    เหนื่อยทั้งกายและใจ
    รู้สึกทรมานและอ่อนล้ายิ่งนัก จนกระทั่งขาดความเชื่อมั่นและความหวังในชีวิต
    หากว่าเรารู้จักการลืม ลืมในสิ่งที่ควรลืมให้หมด
    จิตใจก็จะเบิกบานและประสาทก็จะผ่อนคลาย ไยจึงไม่ทำละ !! "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มกราคม 2012
  19. worawuta

    worawuta Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +30
    ได้รับความรู้และแง่คิดดีมากๆ ขอบคุณมากครับ
     
  20. Mr.Lawrence

    Mr.Lawrence เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,520
    ค่าพลัง:
    +3,542
    โยนความกลุ้มกังวลไปไกล ๆ


    บางครั้ง สำหรับเรื่องความรัก ใคร โกรธ เกลียดในชีวิตนั้น
    เราอาจวางลงได้อย่างอิสระ ปล่อยให้มันผ่านไปตามกาลเวลา
    ทว่าสำหรับเรื่องจุกจิกกวนใจที่มักจะพบเจอในชีวิตประจำวัน เรากลับทำตัวไม่ถูก
    อยู่ไม่เป็นสุข อย่างเช่น เป็นหวัดตามฤดูกาล ความกดดันในชีวิต
    ข้อผิดพลาดในการงาน ลูก ๆ ซุกซนไม่เชื่อฟัง ความตึงเครียดในเรื่องมนุษยสัมพันธ์เป็นต้น
    มีคำกล่าวว่า " การงานไม่ทำให้คนเหนื่อยตาย ความกลุ้มใจต่างหากที่อาจทำร้ายคนเราได้ "
    ความยุ่งยากรำคาญใจทำลายสุขภาพของเราได้ทุกที่ทุกเวลา
    ทั้งบั่นทอนความเชื่อมั่นในตนเอง ลดประสิทธิภาพในการทำงาน แม้กระทั่งฉกฉวยชีวิตอันล้ำค่านี้ไปด้วย
    ทุกวันนี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกกดดันเพราะปัญหากวนใจ
    ความยุ่งยากกลุ้มกังวลใจ กลายเป็นเงามืดในจิตวิญญานที่ยากจะขับให้พ้น



    โรคซึมเศร้าที่ได้ชื่อว่าเป็น " ฆาตกรทางใจอันดับหนึ่ง " นั้น
    โดยมากมีสาเหตุมาจากความวุ่นวายที่อยู่ภายในใจไม่อาจถูกระบายออก
    พอนานวันเข้า ความกลัดกลุ้มก็สะสมกลายเป็นความเจ็บป่วย
    ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะกลุ้มอกกลุ้มใจ สภาพจิตตกต่ำ เป็นคนท่เศร้าสลดหดหู่ทุกข์ทรมานที่สุดในโลก
    และมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงถึง 12 - 14 %
    นับเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากทีเดียว ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ
    โรคซึมเศร้าเป็นอาการป่วยทางจิตที่พบได้บ่อยที่สุด จำนวนของผู้ป่วยโรคนี้คิดเป็นราว ๆ 5 % ของจำนวนประชากรโลก
    ทว่าโรคนี้กลับยังไม่สามารถสร้างความตื่นตัวให้แก่ผู้คนได้

    ด้วยเหตุนี้ ความกลุ้มกังวลใจจึงนับเป็นยาพิษเข้มข้นร้ายแรงขนานหนึ่ง
    ทำร้ายทุกสิ่งของตัวเรา ต่อเมื่อหาทางสลัดมันออกไปให้ไกล ๆ ได้แล้ว
    ถึงจะรักษาความสุขเอาไว้ในใจได้ตลอดกาล

    อันดับต่อไปจะนำเสนอกลยุทธ์ในการขจัดความกลุ้มกังวลใจหลาย ๆ แบบ
    เชื่อว่าหลังจากผู้อ่านทุกคนจับจุดได้ ย่อมสามารถกำจัดปัดเป่าความกลุ้มกังวลใจให้หมดไปจากตัว
     

แชร์หน้านี้

Loading...