"เอกจิต" ดำรงอยู่ได้ไม่เกิน 7 วัน แม้บรรลุแล้วยังต้องมีจิตวิญญาณอื่นคุ้มครอง

ช่วงของการบรรลุธรรมในแบบของพระพุทธเจ้า
สมณโคดม จะเป็นช่วงที่จิตในร่างกายเหลือหนึ่ง
ดวง เรียกว่า "เอกจิต" จากนั้น เมื่อบรรลุแล้วจะ
ไม่มี "จิตวิญญาณคุ้มครอง" เจ้ากรรมนายเวรก็
รุมเล่นงาน จนละสังขารภายใน 7 วัน แต่ถ้าใช้
วิธีของพระพุทธเจ้า บวชพระ ห่มผ้าบังสุกุล จะ
ได้ "จิตวิญญาณคุ้มครอง" เพิ่ม 1 ดวง จึงจะมี
ชีวิตยืดยาวต่อไปได้ ดังนั้น การดำรงอยู่ในแบบ
"คน" ไม่มีใครมีเอกจิตที่บริสุทธิ์ได้ 100% ได้
คือ ใส + อะไรบางอย่าง เสมอ


มาดูรายละเอียดกัน ...

 

ช่วงเวลาแห่ง "เอกจิต" สู่กายธรรมหรือ "ธรรมกาย"


คือ ช่วงเวลาเริ่มต้นของการบำเพ็ญ "ตรีกาย" ซึ่งจะบำเพ็ญ
ทั้งหมด 3 กาย คือ สัมโภคกาย หรือกายเนื้อของเรา ต้องมี
"อินทรีย์ห้ารองรับสภาวธรรมภายในได้ ถ้าไม่ได้ จิตที่บรรลุ
ก็จะไม่อยู่ในสังขารนั้นได้นาน จะจรออกหรือนิพพานไปภาย
ใน 7 วัน เพราะอินทรีย์ของสังขาร "อ่อนเกินกว่าจะรับได้"


"ธรรมกาย" จะบำเพ็ญจาก "เอกจิต" ซึ่งปกติ คนเราจะมีจิต
มากกว่า 1 ดวง คนเหนือเรียกว่า 32 ขวัญ (ขวัญ ก็คือ จิต)
ในหนึ่งชีวิตนั้น จิตวิญญาณจะจรออกไปได้เรื่อยๆ ทำให้อายุ
ขัยลดลง จนถึงขั้นมี "จิตเหลือดวงเดียว" หรือ "เอกจิต" จึง
เข้าสู่ภาวะใกล้ตาย ประตูแห่งภพจะเริ่มเปิด มิติใหม่กำลังเข้า
มา ช่วงนี้ บางคนก็อยากตาย หรือคิดฆ่าตัวตาย ก็มี ถ้าได้รับ
ธรรมในช่วงนี้ โอกาสได้ธรรมกาย จะสูงมาก โดยธรรมกายนี้
จะเป็นวิญญาณหรือกายทิพย์ ของ "เอกจิต" นั้น นั่นเอง


"นิรมาณกาย" คือ จิตวิญญาณคุ้มครอง สังขาร ให้ดำรงอยู่ใน
แบบ "มนุษย์โลก" ได้ คือ เป็นคน ที่ละคนปนเป, มีส่วนดีบ้าง
ไม่ดีบ้าง (แต่ไม่มีกรรมถึงขั้นสืบชาติต่อภพ เช่น ไม่ทำอะไร ดี
แต่พูดธรรมะไปวันๆ - ก็พระอรหันต์ดีๆ นี่เอง แต่ถ้าเราไม่เข้าใจ
ก็จะไปต่อว่าด่าเอาได้) คือ จิตดวงที่สองจรเข้ามาร่วมคุ้มครอง
สังขาร ต่อจากเอกจิต (ธรรมกาย) ซึ่งเอกจิตหรือธรรมกายออก
จากร่างไม่ได้ ถ้าออกจะนับว่า "ตาย" ทันที แม้สังขารนั้นมีจิตจร
กลับเข้ามาใหม่ ไม่ตาย แต่ "วิถีกรรมจะเปลี่ยน" เหมือนคนเกิด
ใหม่ มีชีวิตใหม่ และคล้ายเป็นเด็กอีกครั้ง ให้ผู้อื่นเลี้ยงดู ดังนั้น
ท่านที่เข้าใจ จึงไม่ใช้ "ธรรมกาย" จรออกจากร่างเพื่อไปโปรด
สัตว์ในภพภูมิอื่นๆ แต่จะใช้ "นิรมาณกาย" ไปโปรดสัตว์แทนฯ

 

นิรมาณกาย เป็นเปลือกนอกห่อหุ้มธรรมกายไว้ ทำให้ดูไม่เหมือนผู้บริสุทธิ์


เช่น พระสารีบุตร มีอดีตชาติเป็นลิง ติดวิสัยลิง มีเทพวานร คุ้มครองร่างอยู่ทำให้
"เปลือกนอก" ของท่าน เหมือนคนไม่มีระเบียบเรียบร้อยนัก ครั้งหนึ่ง ท่านนั่งฉัน
อาหารเพล ริมกำแพง ข้างทางเดิน หญิงคนหนึ่ง ไม่รู้อะไร ก็เข้าไปด่าท่านว่าเป็น
พระสาวกในพระพุทธศาสนา ทำไม จึงฉันไม่เรียบร้อยอย่างนี้ พอท่านตอบให้เป็น
ธรรมะกลับไป หญิงคนนั้นได้ "สติ" รู้ว่าล่วงเกินพระอรหันต์แล้ว จึงขอขมาแล้วก็
ลาจากไป ทว่า "คนปัจจุบันนี้" จะหามีสติอย่างหญิงผู้นี้ได้หรือ? อาจยังยึดติดอยู่
กับ "เปลือกนอก" หรือ "นิรมาณกาย" ของใครบางคน วนเวียน ก่อกรรมไม่สิ้นสุด


เปลือกนอกของคน ทำให้คนอยู่ร่วมโลกกันได้ ก็เท่านั้น แต่ "แก่นแท้ภายใน" ของ
คนละ เข้าใจหรือยัง? เข้าถึงหรือยัง? เห็นหรือยัง? หรือยัง "ติดเปลือก" กันอยู่ต่อไป

 

เรื่อง "ธรรมกาย" นั้น คนทั่วไปยังไม่เข้าใจ
หลวงพ่อสด อุตส่าห์บุกเบิกเปิดทางสอนให้
แต่คนที่เข้าใจ ก็ยังน้อยอยู่มาก


เรื่อง "ตรีกาย" นี้ ครบองค์มากกว่าธรรมกาย
หลวงปู้เทพโลกอุดร ได้ถ่ายทอดสิ่งนี้ สืบมา
ด้วยการใช้ "นิรมาณกาย" ถอดมาโปรดพระ
ธุดงค์บ่อยๆ แต่ก็น้อยคนนักจะเข้าใจได้หมด
ถึง 3 กายนี้


เรื่อง "นิรมาณกาย" ในอดีต เทพบริวารของ
พระพุทธเจ้าสมณโคดม ยังอยู่ ดูแลได้ แต่ใน
ยุคนี้ พุทธบริษัทของท่านหมดแล้ว โพธิสัตว์
แต่ละองค์ร่วมแรงใจ เอาบารมีเฉพาะของตน
มาช่วยคุ้มครอง ดังนั้น นิรมาณกาย หรือ จิต
วิญญาณที่คุ้มครองร่าง "จึงต่างกัน" เช่น ใน
บริวารของพญามาราธิราช จะมี "มาร" คอย
ค้มครองร่างเป็นนิรมาณกายเปลือกนอก คน
ที่ไม่เข้าใจ ก็ต่อว่าเป็น "มารศาสนา" ส่วนคน
ที่ล่มหลง ก็ถูกมารตนนั้น ครอบงำ มืดบอดไป


นิรมาณกาย ในยุคปัจจุบัน มาจากสี่เหล่าใหญ่
คือ "ยักษ์, มาร, เทพ, พรหม" ต่างจากอดีต

 

จิตฟุ้งเฟ้อ คิดไปเอง ทรมานตนเล่นๆซะงั้นแหละ

 

เคยได้ยินใครเล่ามาหรือเปล่าหรือรู้เองตามสภาวะหรือจำมาจากตำรา

 

การโปรดสัตว์ใด จำจะต้องใช้ "นิรมาณกาย" ที่สอดคล้องกัน


เช่น การไปโปรดคนที่มีจิตเป็นเทพ โดยที่เรามีนิรมาณกายเป็นพรหม
นั้น ไม่อาจเข้ากันได้ หรือไม่มี "บุญกรรม" เกี่ยวเนื่องให้เจอกันเลย ก็
มีได้ เป็นไปได้ ดังนั้น ผู้บรรลุธรรมแล้ว ไม่อาศัยนิรมาณกาย ก็จะไม่
อาจโปรดสัตว์ได้ ด้วยเพราะ "สูงเกินไป บริสุทธิ์เกินเอื้อมเกินไป" แต่
การเลือกนิรมาณกายนั้น ก็เป็นไปได้ด้วย "อำนาจแห่งบุญกรรม" ด้วย
คือ ถ้าไม่มีบุญกรรมหรือบารมี เกี่ยวเนื่องกับจิตวิญญาณนั้นๆ ก็ไม่อาจ
เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันได้, จะไปโปรด ก็ไปไม่ได้ ไม่มีกรรมเกี่ยวเนื่อง
กัน นั่นเอง ใน "เว็บไซต์" นั้น ผู้โปรดธรรม จะโปรดได้ เกี่ยวเนื่องปวง
สัตว์ได้ จำต้องใช้ "จิตวิญญาณมืด" เป็น "นิรมาณกาย" เนื่องจาก ใน
เว็บไซต์ เกิดจากอำนาจการสร้างมิติซ้อนภพโลกของเหล่าซาตานและ
บริวาร การเข้าสู่ภพนี้ มิตินี้จะเข้ามาได้ จึงต้องใช้นิรมาณกายที่มาจาก
"จิตวิญญาณมืด" เป็นเครื่องเชื่อมโยง ไม่เช่นนั้น จะไม่มีเวรกรรมเกี่ยว
เนื่องเชื่อมโยงกันจะโปรดธรรมสู่ปวงสัตว์ในเว็บไซต์ ก็ไม่อาจจะทำได้
ดังนั้น "การใส่ร้าย" บุคคลว่าเขาเป็นมาร ซาตาน นั้น ควรพิจารณาให้
รอบคอบก่อนว่าเขาเป็นจากแก่นแท้หรือ? หรือว่าเขาเพียงใช้สิ่งนั้นใน
การ "ห่อหุ้มธรรม" เพื่อขนส่งไปยังมิติภพภูมิที่ถูกต้องตามกฏของการ
ส่งพัสดุในมิติ หรือภพภูมินั้นๆ กันแน่? มิใช่ ยึดแต่เปลือก จนลืมดูแก่น

 

สรรพสิ่งล้วนเป็น "ธรรม" ทั้งสิ้น
มีสิ่งใดไม่เป็นธรรมหรือ? แม้แต่
รูปภาพอนาจารในเว็บไซต์ต่างๆ
ก็ตาม ...


เช่นนี้แล้ว ไยต้องอ้างอิง ว่านี่เอา
มาจากแหล่งธรรมจริง นอกนั้นไม่
ใช่แหล่งธรรมจริง?


เคยเห็นธรรมะใน "ก้อนขี้" ไหม?
เวลาเห็นแล้วถามไหม ว่าเป็น ขี้
ของพระอรหันต์ หรือเปล่า?


(ถ้าเป็นแล้ว หนูจะเชื่อ อะไรแบบนั้น)

 

ขี้ของพระอรหันต์หรือเปล่า คะ?

 

อืม....

 

แหมๆ เป็นบ่อยเองอ่ะดิ ถึงได้รู้ หุ หุ

 

เออ.....chearr

 

เมาน้ำแข็งแห้งเหรอคะ หรือเมาตด
ดิฉันมีแต่โทจิตต้องทำอย่างไรบ้าง

 

อันนี้ วิชาวัชระ ฝึกสัมโภคกาย (กายเนื้อ) เน้นอยู่งงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า

 

กินขี้ ดมตดเข้าไปสิ

 

เคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น สัมโภคกาย

 

ธรรมะ นี้คุ้นๆแฮะ โดนๆๆๆ ตรงที่โตแต่ตัวแต่สมองกลวง....อิอิอิ มันก็เป็นเช่นนั้นเอง