ทำไม....ถึงฝันถึงพระตลอดเลย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย นู๋แจ้, 12 มีนาคม 2012.

  1. นู๋แจ้

    นู๋แจ้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    แปลกมาก !!
    ไม่รู้ช่วงนี้ทำไมถึงฝันถึงพระพุทธรูปตลอดเลย ( พระพุทธเจ้า)
    ....ใครพอรู้มั่งว่าทำไม และหมายความว่าอะไร
    คือเราฝันถึงพระเกือบทุกวันเลย วันมานานนักเดือนแล้วคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2012
  2. JKV

    JKV เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +201
    ฝันดี ดีแล้วแหละ ยินดีด้วย ฝันดีตื่นมาแล้วรู้สึกดี

    เพราะดีกว่าฝันร้ายที่ตื่นมาแล้วทำให้ผู้ฝัน จิตตกหรือไม่สบอารมย์....คริๆๆๆ
     
  3. thaiboy74

    thaiboy74 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +207
    ตอบตามทฤษฎีจิตวิทยาของซิกมั่นฟอยด์ ได้ความว่า
    คุณคงหมกมุ่นอยู่กับมันจนเก็บไปฝัน เมื่อฝันถึงก็ยิ่งย้ำคิดถึงมัน
    เลยทำให้ฝันเรื่องเดิมซ้ำซาก

    ตอบตามแบบคนชอบทำบุญ
    ฝันถึงพระถึงเจ้าก็ดีแล้วไม่ใช่หรอครับ ถือว่าเป็นสิ่งมงคล
     
  4. นู๋แจ้

    นู๋แจ้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    คุณthaiboy74 และคุณJOMKAMUNG
    แจ้เป็นคนที่คอยดีทำดีมาตลอดนะคะ....แต่ทำไม ????????
    ชีวิตของแจ้ไม่เคยได้ดีเลย ไม่เคยประสพความสำเร็จอะไรเลยสักเรื่อง
    ทำดี แต่ไม่เคยมีใครเห็นความดีที่ทำ (ไม่มีเลยสักคน)
    มีแต่คนดูถูกเหยียดยาม มีแฟนกี่คนๆ ก็ไม่จริงใจ มีแต่หลอกลวง
    ไม่เห็นมีใครรักแจ้เลยสักคนแม้แต่ พ่อกับแม่ ก็ไม่รัก
    ทุกวันนี้คิดแต่อยากจะฆ่าตัวตายตลอด แต่กลัวฆ่าแล้วไม่ตาย
    ถ้ามีปืน ก็คงจะดี (เพราะสิ่งนั้นมันทำให้ตายแน่ๆๆ ตายแบบไม่ทรมาน)


    "ทุกวันนี้.....แจ้นั่งถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเกิดมาทำไม เพื่ออะไร
    อยู่ไปทำไม อยูไปเพื่อใคร .....เชื่อไหมว่ามันไม่มีคำตอบกลับมาเลย"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2012
  5. somkun62

    somkun62 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +763
    สาธุครับ คุณนู๋แจ้ ฝันดีจริงๆครับ
    ใหนๆ คุณนู๋แจ้ ก็ฝันถึงพระพุทธรูปบ่อยๆแล้ว ผมไปเจอบทความของสมาชิกท่านหนึ่งเขาเอามาลงไว้ ผมก็เลยนำมาฝากคุณครับ เผื่อจะเป็นประโยชย์ต่อคุณบ้างไม่มากก็น้อยครับ

    วิธีปฏิบัติทำจิตเกาะพระในเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ไม่เคยฝึกมาก่อนเลย​



    การ ดูภาพพระไม่ต้องเพ่งค่ะ แค่ดูเฉย ๆ เหมือนดูภาพถ่ายทั่วไป ดูบ่อย ๆ ดูทุกวัน จะวันละกี่เวลาก็ได้ ขณะมองดูภาพให้มองดูรายละเอียดขององค์พระนิดหนึ่งว่ามีอะไรสะดุดตาเราบ้าง เช่น พระพักตร์ เศียร ไหล่ คอ แขน มือ นิ้ว ตา ปาก จมูก อก ท้อง หน้าตัก ขา เท้า เครื่องประดับ แท่นที่ประทับ และอื่น ๆ ดูแล้วก็ไม่ต้องจำ

    เมื่อมองดูภาพแล้วถ้ารู้สึกว่ามีใจรักจุดใดของพระเป็นพิเศษ หรือมีใจรักชอบพระองค์ใดเป็นพิเศษ ก็ให้ระลึกถึง ณ จุดนั้นบ่อย ๆ

    การระลึกถึงภาพพระ เมื่อใจนึกถึงภาพใดแล้วก็ให้ทำใจจดจ่อหรือจดจ้องอยู่ ณ จุดนั้นจนกว่าจิตจะผ่อนคลายหรือรู้สึกสบายขึ้น อาการที่ใจผ่อนคลายหรือรู้สึกสบายนั้นเป็นอาการจิตเข้าฌาน หรือจิตทรงสมาธิอย่างต่ำ ๆ มาถึงตรงนี้ถ้าจิตไม่อยากจับภาพพระก็ไม่ต้องไปบังคับจิต ปล่อยไปตามสบาย

    การทรงฌานต่ำ ๆ ในเบื้องต้นนี้จะทรงอยู่ได้นานหรือไม่ขึ้นอยู่กับความนิ่งของจิตผู้ฝึกฝน แต่ส่วนใหญ่เมื่อเริ่มฝึกใหม่ ๆ ก็เหมือนกันทุกคนคือจิตไม่นิ่ง ในเมื่อมันไม่นิ่งเราก็จะทำให้มันนิ่งด้วยการระลึกถึงภาพพระ หรือจุดใดจุดหนึ่งของพระอยู่บ่อย ๆ แม้จะเป็นการนิ่งในระยะสั้น ๆ ก็ถือได้ว่าจิตเข้าฌานหรือจิตเป็นสมาธิแล้ว และถ้าทำให้จิตเข้าฌานยิ่งบ่อยก็ยิ่งดี มิมีอะไรเสียหาย

    ถ้าคนที่ไม่เคยทำจิตเกาะพระ ใหม่ ๆ จะทำไม่ได้เพราะไม่รู้จะเกาะอย่างไร เกาะตอนไหน เอาอย่างนี้ เรามาเริ่มต้นด้วยการฝึกทำจิตเกาะพระเป็นเวลาก่อนก็แล้วกัน ตั้งเวลาไว้ให้อย่างนี้

    1. ก่อนนอนเมื่อล้มตัวลงนอนหลับตา แต่ความรู้สึกยังไม่หลับ ให้เอาสติไปมองหาพระที่เราถูกใจ หรือติดตาติดใจ หรือรักชอบเป็นพิเศษ เห็นภาพไหนชัด หรือเห็นส่วนไหนของท่านชัดที่สุดก็ให้มองตรงจุดนั้น เอาสติไปจดจ้องหรือจดจ่ออยู่กับองค์พระหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของพระ (สติก็คือจิตตัวหนึ่ง) จนกว่าจิตจะเกิดอาการคลายจิตแล้วมีความรู้สึกเบาสบายตามมา เหมือนตอนเราเข้าฌาน ตัวจะเบา ๆ ชา ๆ ว่าง หวิว ใช่ไหม ความรู้สึกคล้ายกัน เพียงแต่เราเปลี่ยนวิธีเข้าฌานจากภาวนาพุท – โธ มาเป็นดูภาพพระเข้าฌานแทน ให้มองดูภาพพระหรือจุดใดจุดหนึ่งของพระจนกว่าจะหลับไป

    2. ตื่นนอนแต่ยังไม่ลืมตา ก็ให้นำสติไปมองหาภาพพระก่อน ทำเหมือนเมื่อคืนก่อนหลับทุกอย่าง เมื่อจิตสบายหรือจิตทรงฌานจึงค่อยลุกไปทำธุระส่วนตัว

    3. ก่อนทานอาหารเช้าให้ระลึกถึงภาพพระที่จำได้แล้วแผ่เมตตาให้อาหารที่เราทาน แม้ว่าจะทานกาแฟเพียงถ้วยเดียวก็ให้แผ่เมตตาก่อน แผ่เมตตาให้ใครก็แผ่เมตตาให้คนปลูกกาแฟและต้นกาแฟ การแผ่เมตตาให้อาหารก็ทำเช่นเดียวกัน ใครที่เกี่ยวข้องเราระลึกแผ่เมตตาให้หมดทุกคนหรือสัตว์ทุกตัว

    การระลึกแผ่เมตตาก็เช่น ขอให้คนปลูกข้าว คนสีข้าว คนหุงข้าว คนทำอาหารในมื้อนี้จงมีแต่ความสุขความเจริญ และขอให้อาหารในจานนี้ อาหารทั้งหมดบนโต๊ะนี้จงมีความบริบูรณ์พูนสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป เราขออุทิศบุญกุศลของเราให้หมดด้วยกัน อย่างนี้เป็นต้น หรือท่านจะระลึกแผ่เมตตาว่าอย่างไรก็ย่อมทำได้ มิมีอะไรผิด เพียงแต่ขอให้จิตในขณะแผ่เมตตานั้นเป็นกุศล คือไม่คิดร้ายกับใครก็เป็นพอ

    4. ก่อนทานอาหารกลางวันก็ทำเช่นเดียวกัน

    5. ก่อนทานอาหารเย็นก็ทำเช่นเดียวกัน

    6. ก่อนจะสวดมนตร์ไหว้พระก็ทำเช่นเดียวกัน(ถ้ามี)

    7. ก่อนจะนั่งสมาธิประจำวันก็ทำเช่นเดียวกัน(ถ้ามี)

    เริ่มต้นลองทำเป็นเวลาอย่างนี้ก่อนค่ะ เพียงเท่านี้ท่านก็จะสามารถระลึกถึงพระได้วันละหลายเวลา เมื่อทำแล้วได้ผลเป็นประการใดช่วยบอกเล่าให้ทราบด้วยค่ะ จะได้แนะนำกันต่อไป

    การทำจิตเกาะพระเป็นการทำกรรมฐาน-พุทธานุสสติ แต่แทนที่เราจะนั่งภาวนาเฉย ๆ เหมือนเราฟังวิทยุ คือหลับตาฟังก็ยังได้ยินแต่มันไม่เห็นภาพนะ เราก็มาฝึกระลึกดูภาพด้วย คล้ายกับเราขยับฐานะขึ้นมาหน่อย คือ มีโทรทัศน์ดูกับเขาด้วย จึงได้ยินทั้งเสียงและได้ชมทั้งภาพ ที่กล่าวมาเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างสักเล็กน้อย

    การทำจิตดูภาพพระในช่วงแรกจะเป็นการนึกหรือระลึกถึง เหมือนเรานึกถึงภาพวิวที่เราเคยเห็นแล้วประทับใจ หรือรูปดารา รูปนักร้อง รูปคนที่เรารัก หรือรูปสิ่งของที่เรารักและชอบเป็นพิเศษ เราเพียงใช้อุบายนี้มาช่วยให้จิตจดจำและระลึกถึงภาพพระบ่อย ๆ

    เมื่อจิตชินกับภาพพระ ต่อไปจิตจะนึกหรือระลึกถึงพระได้เอง ภาษาสมมุติท่านว่าอัตโนมัติ หรือเป็นไปโดยมิต้องกำหนด คือเมื่อเวลาใดที่จิตมันว่าง หมายถึงว่างโดยตัวจิต มิใช่รอให้ขันธ์ห้า(ร่างกาย)ว่างการว่างงานนั้นไม่ใช่นะ เมื่อจิตว่างหรือคิดถึงพระ จิตก็จะวิ่งเข้าไปหาภาพพระเหมือนมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน

    ขออธิบายสักเล็กน้อยเกี่ยวกับอาการจิตทรงฌานหรือจิตเป็นสมาธิ ให้สังเกตว่าถ้าจิตทรงฌานอย่างน้อยปฐมฌานจิตจะมองหาภาพพระได้ง่ายและเร็ว ขึ้น แต่ถ้าหลุดจากฌานจะมีอาการว่าจิตส่งสายออกไปในกระแสโลกมาก จิตจะรู้สึกอึดอัด หงุดหงิด และรำคาญ ก็ให้รู้ว่าหลุดฌานหรือฌานเสื่อมแล้ว ก็ให้เริ่มต้นจับภาพพระขึ้นมาใหม่ มองดูภาพพระไปจนกว่าจิตจะเบาสบาย ถ้าจิตเข้าฌานแล้วให้สังเกตที่ลมหายใจ ลมหายใจจะเบา ละเอียด เย็น

    ให้ฝึกทำตามที่แนะนำไปก่อน ถ้ามีเวลาว่างช่วยรายงานผลให้ทราบด้วย ส่งฉบับเดียวถึงพี่เพ็ญกับพี่ภูพร้อมกันก็ได้ค่ะ พี่ภูจะได้เห็นความก้าวหน้าในการฝึกปฏิบัติด้วย ท่านจะได้ช่วยแนะนำเพิ่มเติมได้

    ขอให้ท่านจงมีจิตตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ขอให้ท่านจงเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ

    เพ็ญ


    เป็นประสบการณ์ของท่านที่จิตเกาะพระแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นท่านใด ผมเอามาจากกระทู้ท่าน อ.ฮั้วโต๋ ครับ
     
  6. dumrongvit2519

    dumrongvit2519 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2011
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +50
    ลองไปปฏิบัติธรรมดูครับ
     
  7. เด็กแวนซ์

    เด็กแวนซ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +35
  8. นู๋แจ้

    นู๋แจ้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะ....(deejai)
    และก็ขอให้โชคดีจริงๆๆ อย่างทีทุกคนบอกนะคะ

    เพราะชีวิตของแจ้ ตอนนี้ย่ำแย่มาก (มากซะจน ไม่รู้จะบอกอย่างไงได้แล้วจริงๆ)
     
  9. kony

    kony Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +57
    การที่นู๋แจ้ทำดี แล้วไม่ได้ดี มีแต่คนดูถูก เพราะเป็นกรรมเก่า เป็นกรรมตัดรอน ไม่ให้ได้ตามที่ทำ ต้องรอให้กรรมเก่าหมด หรือไม่ก็ต้องปฏิบัติธรรม สวดมนต์ไหว้พระ อธิฐานจิตให้ดี ให้คนรัก ให้คนยอมรับ อย่าไปรอให้กรรมเก่าหมด ต้องทำให้กรรมเก่าไล่ตามเราไม่ทัน แล้วจะดีเองนะ
     
  10. light worker

    light worker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +446
    สวัสดีครับ...ท่านผู้ทรงภูมิปัญญา พ่อแม่ของท่านรักท่านตลอดนะครับ ส่วนที่เราเกิดมาบนดาวโลกแห่งนี้ก็เพื่อเรียนรู้ :)
     
  11. thaiboy74

    thaiboy74 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +207
    ผมมองว่าปัญหาในชีวิตที่คุณเผชิญ มันเริ่มต้นที่ทัศนคติของคุณที่มีต่อตัวคุณเอง
    เช่นเรื่องที่ใครไครไม่รัก ผมมองว่า เพราะคุณขาด คุณโหยหาสิ่งที่ขาดหายไป แต่เรียกร้องหาจากข้างนอก ซึ่งมันไม่เคยตอบสนองได้เต็มร้อย
    แต่ไม่มองกลับเข้าหาตัว เติมตัวเองให้เต็ม มองว่าสุข ทุกข์ ดี ไม่ดีเป็นเรื่องธรรมชาติเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของความคาดหวัง ใครดีไม่ดีก็เรื่องของเขา ใครรักไม่รักก็เรื่องของเขา บังคับกันไม่ได้ แต่สุขทุกข์ เป็นเรื่องที่จิตคุณเองสร้างขึ้นทั้งนั้น อย่าเอาเวลาไปสร้างแต่ทุกข์ มันเสียชาติเกิดเปล่า ๆ ทุกข์สุขเกิดจากกระบวนการเดียวกัน ทำความเข้าใจ แล้วชีวิตจะดีเอง

    เรื่องการประสบความสำเร็จในชีวิต อยากถามว่า ความสำเร็จของคุณคืออะไร
    หวังว่าคงไม่ใช่การที่คุณเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ถ้าใช่ ก็กรุณาเลิกทำเสีย เพราะมันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
    ความสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ควรเป็นแค่แรงผลักดันให้เกิดการเรียนรู้
    ไม่ใช่เพื่อให้เกิดความทุกขื ของการอยากได้อยากเป็น และทุกข์จากความไม่สามารถเป็นในสิ่งที่ต้องการ
    ผมไม่อยากให้มองว่ามันเป็นเรื่องของกรรมเก่า เพราะนั่น มันสอนให้เรายอมจำนนกับโชคชะตา
    แต่อยากให้มองว่า กรรมปัจจุบันกำหนดชีวิตในอนาคต ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรในอดีต เราสามารถกำหนดอนาคตได้ และจงทำมันให้ดี
    และมันคงจะไปได้ดีที่สุดเท่าที่เราพยายาม เท่าที่ปัจจัยต่าง ๆ จะอำนวย
    อย่ารอโอกาส เพราะเราต้องสร้างมันขึ้นมาเองด้วย และเมื่อโอกาสอำนวย จงทำให้ดีที่สุด จงเป็นมืออาชีพที่สุด เพราะทุกโอกาส ทุกวันที่ผ่านมา อาจเป็นครั้งเดียว ที่เราจะได้สัมผัสกับมัน

    นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่คนส่วนใหญ่รู้สึกว่า การสวดมนต์นั่งสมาธิทุกวัน ทำให้ชีวิตดีขึ้น
    นั่นก็เพราะว่า เขาเหล่านั้นได้สะสมพลังงานที่ดี นั่นทำให้เขาเริ่มสะสมความรู้สึก และทัศนคติที่ดีต่อตัวเองวันละเล็กละน้อย
    นั่นเอง ทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นในระยะยาว และดีขึ้นจากข้างใน
    ซึ่งนี่เองก็อาจไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดี แต่ที่แน่ ๆ ความรู้สึกของคนเหล่านั้นที่มีต่อตัวเอง มันเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดี
    จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ นี่เอง มันจะเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิต และมันเป็นสิ่งที่มีพลังในการสร้างสรรค์อะไรอีกหลายอย่างที่คุณนึกไม่ถึงทีเดียว

    ล้างความคิดที่ไม่ดีออกจากสมอง คนเรามีหนึ่งชีวิตเท่ากัน คุณจะมัวจมกับทุกข์ที่คุณสร้างขึ้นทำไม ในเมื่อคุณสร้างสุขขึ้นได้ ทุกอย่างอยู่ที่คุณมอง
    มองให้เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่อย่าหลอกตัวเอง มันก็แค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป
    ยึดมากก็ทุกข์มาก ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์
    มองอย่างไม่ทุกข์ ไม่ต้องมีการศึกษาที่สูงเข้าช่วย
    ยิ่งรู้มาก ยิ่งวนเวียนในอวิชชาหาทางออกไม่เจอ

    หวังว่าคงพอช่วยได้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2012
  12. thaiboy74

    thaiboy74 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +207
    อีกเรื่อง คุณต้องหัดที่จะรักตัวเองก่อน
    รักให้มาก จนมันล้นออกมา จนคุณสามารถเผื่อแผ่มันให้คนรอบตัว
    คุณเฝ้าทำร้ายตัวเองนานไปหน่อย จนลืมมองเห็นคุณค่าของลมหายใจที่คุณมี

    ใช้ชีวิตที่เกิดมานี่ให้คุ้ม ใช้ทุกลมหายใจด้วยสติ และการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดปัญญา
    ใช้ทุกวันให้คุ้มค่า ปฏิบัติกับทุกคน เหมือนคุณจะมีแค่โอกาสเดียวในชีวิต
     
  13. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    นู๋แจ้<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_5837873", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    แจ้เป็นคนที่คอยดีทำดีมาตลอดนะคะ....แต่ทำไม ????????
    ชีวิตของแจ้ไม่เคยได้ดีเลย
    ทำดี แต่ไม่เคยมีใครเห็นความดีที่ทำ (ไม่มีเลยสักคน)
    ความดีทำเพื่อให้ตัวเองดู เราทำ เราดู เรารู้ เป็นข้อมูลของเรา เวลาอิ่มใจ ก็อิ่มเอง สุขเอง ปิติเอง
    ไม่เห็นต้องสนใจคนอื่นเลย ว่าจะเห็นหรือไม่เห็น จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ


    ไม่เคยประสพความสำเร็จอะไรเลยสักเรื่อง
    ไม่จริงหรอก... ความสำเร็จตั้งมากมาย อย่าไปมองแต่เรื่องที่ไม่สำเร็จสิ



    มีแต่คนดูถูกเหยียดยาม มีแฟนกี่คนๆ ก็ไม่จริงใจ มีแต่หลอกลวง
    ไม่เห็นมีใครรักแจ้เลยสักคนแม้แต่ พ่อกับแม่ ก็ไม่รัก
    อยู่เป็นโสดก็สบายดีนะ... ถ้าไม่ได้เจอแบบที่ดีแบบที่ถูกใจ ก็ใช้ชีวิตคนเดียว ก็ไม่เลวนะ
    ถ้าพ่อกับแม่ไม่รักเขาก็คงทิ้งไปตั้งแต่เด็กๆเลย เขาก็ให้ตามสมควรที่เขาให้แล้ว แนะนำว่าอย่าไปคิดมากเรื่องพ่อแม่รักเราหรือเปล่า เอาเวลามานั่งคิดดีกว่า ว่าพ่อกับแม่จะอยู่ไปกับเราไปได้นานแค่ไหน อยากทำอะไรให้พวกท่านบ้าง ก็รีบทำ เพราะวันเวลาชีวิตของพวกเราทุกคน มันกำลังถอยหลังน้อยลงๆ อยู่ตลอดเวลา
    นาฬิกายิ่งเดินไปข้างหน้า... เวลาของชีวิตพวกเราก็ค่อยลดน้อยลง

    ทุกวันนี้คิดแต่อยากจะฆ่าตัวตายตลอด แต่กลัวฆ่าแล้วไม่ตาย
    ถ้ามีปืน ก็คงจะดี (เพราะสิ่งนั้นมันทำให้ตายแน่ๆๆ ตายแบบไม่ทรมาน)
    เฮ๊ยๆๆ... ใจเย็นๆ
    ไม่ต้องไปฆ่าทำลายมันหรอก... เดี๋ยวถึงวาระ มันก็ได้ตายแน่ๆอยู่แล้วล่ะ
    ถ้าทำล่ะก็เรื่องยาวเลยนา ไม่เวิร์คหรอก
    อยู่ๆไปเหอะ ชีวิตมนุษย์น่ะ ก็งี้แหละ ทนๆกันไป คนอื่นๆเขายังอยู่กันได้ แล้วทำไมเราถึงจะอยู่ไม่ได้


    "ทุกวันนี้.....แจ้นั่งถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเกิดมาทำไม เพื่ออะไร
    อยู่ไปทำไม อยู่ไปเพื่อใคร .....เชื่อไหมว่ามันไม่มีคำตอบกลับมาเลย"<!-- google_ad_section_end -->
    ก็อยู่รอดูคำตอบไง... วันหนึ่งคงได้คำตอบเอง
    มันคงต้องใช้เวลาบ้าง กว่าจะเข้าใจ กว่าจะได้คำตอบให้กับตนเอง




    ภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า... ชีวิตคนเรา มันก็ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน
    สุขทุกข์ปะปนระคนกันไป เป็นอย่างใจบ้าง ไม่เป็นไปอย่างใจบ้าง


    แค่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ร่างกายสมบูรณ์ ไม่พิกลพิการ มีโอกาสได้ศึกษาพระสัทธรรม... นี่ยังไม่โชคดีอีกเหรอ
    ถ้าเกิดมาสมประกอบคือความโชคไม่ดี... แล้วคนที่พิการตั้งแต่เกิดเขาจะเป็นคนมีโชคแบบไหนล่ะ

    มองโลกกว้างๆ คิดหลายๆมุม อย่าจมปลักกับความคิดเดิมๆ ถ้าความคิดกระแสไหนมันสร้างความทุกข์อัดอั้นตันใจ ไม่สบายใจ หนักใจ... เราก็ระงับกระแสความคิดนั้น แล้วค่อยๆเรียนรู้ที่จะสร้างกระแสความคิดที่สร้างความสุขสบายใจให้กับตนเอง

    ต้องเรียนรู้ที่จะบริหารสมองด้านขวาใช้ เพราะปัญหาของเธอตอนนี้ ไม่ใช่ที่มาจากรอบข้าง
    แต่เป็นที่เธอยังไม่สามารถใช้สมองแบบที่มีดุลยภาพ ขาดการใช้กระแสความคิดที่มาจากสมองฝั่งขวา



    เคยคิดฆ่าตัวตาย ก็ไม่ผิดหรอก เพราะมันเป็นกระแสความคิดที่เกิดขึ้นเฉพาะมนุษย์เท่านั้น
    สัตว์เดรัจฉาน ไม่มีโปรแกรมนี้ติดตั้งไว้
    แต่ถ้ามนุษย์คิดและทำสำเร็จ... ก็อาจได้กลับไปเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก 55555

    ลืมเรื่องฆ่าตัวตายไปซะ นะจ๊ะ... เอาสมองไปคิดเรื่องอื่นดีกว่า


    ฟังเพลงบริหารสมองฝั่งขวาหน่อยนะ... EQ จงเจริญ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=k299hcByOHQ"]สบายมาก - Buddha Bless - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2012
  14. นู๋แจ้

    นู๋แจ้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    วันนี้เราฝันถึงพระอีกแล้วแหละ แต่นี่เป็นพระสงฆ์
    เมื่อวานก็ฝัน คุณว่ามันแปลกไหมละ ฝันแบบนี้ติดต่อกัน

    เมื่อเดือนมกราคมนะ เราฝันถึงเด็กทารก ฝัน5ครั้งใน 1เดือนเลย (เป็นการฝันซ้ำๆ)

    เมื่อปีที่แล้วแจ้ฝันถึงงูติดต่อกัน 2อาทิตย์เลย (เวลาผ่านไปสักพัก แม่ของแจ้จะให้แจ้ไปแต่งงานกับใครก้ไม่รู้ )แต่แจ้ไม่เอา ไม่ยอมแต่งเพราะรู้จักก็ไม่รู้จักจะให้ไปแต่งกันได้ยังไงว่าจริงไหม

    "แจ้ว่าการฝันครั้งนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆๆ เพราะแจ้ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันฝันซ้ำอีกแล้ว
     
  15. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    ผมไม่เคยฝันเห็นพระพุทธรูปแฮะ แต่ฝันเห็นพระพุทธเจ้าเลย ครั้งแรก
    ในฝันเห็นร่างสูงใหญ่มาก แต่ไม่ได้กล่าวอะไรเลย
    เพราะวันนั้นผมตั้งจิตอธิฐานไว้ว่าอยากเห็น ฝันเห็นถึง 2 ครั้ง
     
  16. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    -----------------------

    ผมเข้าใจความรู้สึกผู้ที่กำลังตกต่ำในชีวิต เพราะตัวผมเองก็ประสบมาเช่นกัน

    ไม่มีคำพูดอะไรจะปลอบโยนนะครับ เพียงแค่อยากให้อ่านเรื่องนางปฎาจารา

    ในเรื่องนั้นต้องอ่านเอง เผื่อจะได้สติบ้างไม่มากก็น้อย
    เพราะไม่มีใครในโลกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันและอนาคต จะมีชีวิตที่เลวร้ายกว่านางปฎาจารา อีกแล้ว...

    ถึงกระนั้นท่านก็ยังได้บรรลุมรรคผล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2012
  17. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    พระปฏาจาราเถรี
    เอตทัคคะในฝ่ายผู้ทรงพระวินัย

    พระปฏาจาราเถรี เป็นธิดาของมหาเศรษฐีในเมืองสัตถี เมื่ออายุย่างได้ ๑๖ ปี เป็นหญิงมี
    ความงดงามมาก บิดามารดาทะนุถนอมห่วงใยให้อยู่บนปราสาท ชั้น ๗ เพื่อป้องกันการคบหากับ
    ชายหนุ่ม
    ดอกฟ้าได้ยาจก
    แม้กระนั้น เพราะนางเป็นหญิงโลเลในบุรุษ จึงได้คบหาเป็นภรรยาคนรับใช้ในบ้านของ
    ตน ต่อมาบิดามารดาของนางได้ตกลงยกนางให้แก่ชายคนหนึ่ง ที่มีชาติสกุลและทรัพย์เสมอกัน
    เมื่อใกล้กำหนดวันวิวาห์ นางได้พูดกับคนรับใช้ผู้เป็นสามีว่า:-
    “ได้ทราบว่า บิดามารดาได้ยกฉันให้กับลูกชายสกุลโน้น ต่อไปท่านก็จะไม่ได้พบกับ
    ฉันอีก ถ้าท่านรักฉันจริง ท่านก็จงพาฉันหนีไปจากที่นี่แล้วไปอยู่ร่วมกันที่อื่นเถิด”
    เมื่อตกลงนัดหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วชายคนรับใช้ผู้เปลี่ยนฐานะมาเป็นสามีนั้น ได้
    ไปรออยู่ข้างนอกแล้วนางก็หนีบิดามารดาออกจากบ้าน ไปร่วมครองรักครองเรือนกันในบ้าน
    ตำบลหนึ่งซึ่งไม่มีคนรู้จัก ช่วยกันทำไร่ ไถนา เข้าป่าเก็บผักหักฟืนหาเลี้ยงกันไปตามอัตภาพ
    นางต้องตักน้ำตำข้าวหุ้งต้มด้วยมือของตนเอง ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส เพราะตนไม่เคยทำ
    มาก่อน

    คลอดลูกกลางทาง
    กาลเวลาผ่านไป นางได้ตั้งครรภ์บุตรคนแรก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นนางจึงอ้อนวอนสามีให้พา
    นางกลับไปยังบ้านของบิดามารดาเพื่อคลอดบุตร เพราะการคลอดบุตรในที่ไกลจากบิดามารดา
    และญาตินั้นเป็นอันตราย แต่สามีของนางก็ไม่กล้าพากลับไปเพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษอย่างรุน
    แรง จึงพยายามพูดจาหน่วงเหนี่ยวเธอไว้ จนนางเห็นว่าสามีไม่พาไปแน่ วันหนึ่ง เมื่อสามีออกไป
    ทำงานนอกบ้าน นางจึงสั่งเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันให้บอกกับสามีด้วยว่านางไปบ้านของบิดา
    มารดาแล้วนางก็ออกเดินทางไปตามลำพัง
    เมื่อสามีกลับมาทราบความจากเพื่อนบ้านแล้ว ด้วยความห่วงใยภรรยาจึงรีบออกติดตาม
    ไปทันพบนางในระหว่างทาง แม้จะอ้อนวอนอย่างไรนางก็ไม่ยอมกลับ ทันใดนั้น ลมกัมมัชวาต
    คือ อาการปวดท้องใกล้คลอด ก็เกิดขึ้นแก่นาง จึงพากันเข้าไปใต้ร่มริมทาง นางนอนกลิ้งเกลือก
    ทุรนทุรายเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างหนัก ในที่สุดก็คลอดบุตรออกมาด้วยความยากลำบาก
    เมื่อคลอดบุตรโดยปลอดภัยแล้ว ก็ปรึกษากันว่า “กิจที่ต้องการไปคลอดที่เรือนของบิดา
    มารดานั้นก็สำเร็จแล้ว จะเดินทางต่อไปก็ไม่มีประโยชน์” จึงพากันกลับบ้านเรือนของตน อยู่
    รวมกันต่อไป

    สามีถูกงูกัดตาย
    ต่อมาไม่นานนักนางก็ตั้งครรภ์อีก เมื่อครรภ์แก่ขึ้นตามลำดับนางจึงอ้อนวอนสามีเหมือน
    ครั้งก่อน แต่สามีก็ยังคงไม่ยินยอมเช่นเดิม นางจึงอุ้มลูกคนแรกหนีออกจากบ้านไป แม้สามีจะ
    ตามมาทันชักชวนให้กลับก็ไม่ยอมกลับ จึงเดินทางร่วมกันไป เมื่อเดินทางมาได้อีกไม่ไกลนัก
    เกิดลมพายุพัดอย่างแรงและฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก พร้อมกันนั้นนางก็ปวดท้องใกล้จะคลอดขึ้น
    มาอีก จึงพากันแวะลงข้างทาง ฝ่ายสามีได้ไปหาตัดกิ่งไม้เพื่อมาทำเป็นที่กำบังลมและฝน แต่
    เคราะห์ร้ายถูกงูพิษกัดตายในป่านั้น นางทั้งปวดท้องทั้งหนาวเย็น ลมฝนก็ยังคงตกลงมาอย่าง
    หนัก สามีก็หายไปไม่กลับมา ในที่สุดนางก็คลอดบุตรคนที่สองอย่างนาสังเวช
    ลูกของนางทั้งสองคนทนกำลังลมและฝนไม่ไหว ต่างก็ร้องไห้กันเสียงดังลั่นแข่งกับลม
    ฝน นางต้องเอาลูกทั้งสองมาอยู่ใต้ท้อง โดยนางใช้มือและเข่ายืนบนพื้นดินในท่าคลาน ได้รับ
    ทุขเวทนาอย่างมหันต์สุดจะรำพันได้ เมื่อรุ่งอรุณแล้วสามีก็ยังไม่กลับมาจึงอุ้มลูกคนเล็กซึ่งเนื้อ
    หนังยังแดง ๆ อยู่จูงลูกคนโตออกตามหาสามี เห็นสามีนอนตายอยู่ข้างจอมปลวกจึงร้องไห้รำพัน
    ว่าสามีตายก็เพราะนางเป็นเหตุ เมื่อสามีตายแล้ว ครั้นจะกลับไปที่บ้านทุ่งนาก็ไม่มีประโยชน์ จึง
    ตัดสินใจไปหาบิดามารดาของตนที่เมืองสาวัตถี โดยอุ้มลูกคนเล็ก และจูงลูกคนโตเดินไปด้วย
    ความทุลักทุเลเพราะความเหนื่อยอ่อนอย่างหนักดูน่าสังเวชยิ่งนัก

    หัวใจสลายเพราสูญเสียลูกน้อยทั้งสอง
    นางเดินทางมาถึงริมฝั่งแม่น้ำจิรวดี มีน้ำเกือบเต็มฝั่งเนื่องจากฝนตกหนักเมื่อคืนที่ผ่าน
    มา นางไม่สามารถจะนำลูกน้อยทั้งสองข้ามแม่น้ำไปพร้อมกันได้เพราะนางเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น
    แต่อาศัยที่น้ำไม่ลึกนักพอที่เดินลุยข้ามไปได้ จึงสั่งให้ลูกคนโตรออยู่ก่อนแล้ว อุ้มลูกคนเล็กข้าม
    แม่น้ำไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อถึงฝั่งแล้วได้นำใบไม้มาปูรองพื้นให้ลูกคนเล็กนอนที่ชายหาดแล้วกลับ
    ไปรับลูกคนโตด้วยความห่วงใยลูกคนเล็ก นางจึงเดินพลางหันกลับมาดูลูกคนเล็กพลาง ขณะที่มี
    ถึงกลางแม่น้ำนั้น มีนกเหยี่ยวตัวหนึ่งบินวนไปมาอยู่บนอากาศ มันเห็นเด็กน้อยนอนอยู่มี
    ลักษณะเหมือนก้อนเนื้อ จึงบินโฉบลงมาแล้เฉี่ยวเอาเด็กน้อยไป นางตกใจสุดขีดไม่รู้จะทำอย่าง
    ไรได้ จึงได้แต่โบกมือร้องไล่ตามเหยี่ยวไป แต่ก็ไม่เป็นผล เหยี่ยวพาลูกน้อยของนางไปเป็น
    อาหาร ส่วนลูกคนโตยืนรอแม่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เห็นแม่โบกมือทั้งสองตะโกนร้องอยู่กลางแม่น้ำ ก็
    เข้าใจว่าแม่เรียกให้ตามลงไป จึงวิ่งลงไปในน้ำด้วยความไร้เดียงสา ถูกกระแสน้ำพัดพาจมหาย
    ไป

    ทราบข่าวการตายของบิดามารดาถึงกับเสียสติ
    เมื่อสามีและลูกน้อยทั้งสองตายจากนางไปหมดแล้วเหลือแต่นางคนเดียวนางจึงเดินทาง
    มุ่งหน้าสู่บ้านเรือนของบิดามารดา ทั้งหิวทั้งเหนื่อยล้า ได้รับความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ รู้
    สึกเศร้าโศกเสียใจสุดประมาณ พลางเดินบ่นรำพึงรำพันไปว่า:-
    “บุตรคนหนึ่งของเราถูกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไป บุตรอีกคนหนึ่งถูกน้ำพัดไปสามีก็ตายในป่า
    เปลี่ยว”
    นางเดินไปก็บ่นไปแต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้างได้พบชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา สอบถาม
    ทราบว่ามาจากเมืองสาวัตถี จึงถามถึงบิดามารดาของตนที่อยู่ในเมืองนั้น ชายคนนั้นตอบว่า:-
    “น้องหญิงเมื่อคืนนี้เกิดลมพายุและฝนตกอย่างหนักเศรษฐีสองสามีภรรยาและลูกชาย
    อีกคนหนึ่ง ถูกปราสาทของตนพังล้มทับตายพร้อมกันทั้งครอบครัวเธอจงมองดูควันไฟที่เห็นอยู่
    โน่น ประชาชนร่วมกันทำการเผาทั้ง ๓ พ่อ แม่ และลูกบนเชิงตะกอนเดียวกัน”
    นางปฏาจารา พอชายคนนั้นกล่าวจบลงแล้วก็ขาดสิตสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัวว่าผ้านุ่งผ้า
    ห่มที่นางสวมใส่อยู่หลุดลุ่ยลงไป เดินเปลือยกายเป็นคนวิกลจริตร้องไห้บ่นเพื่อรำพันเซซวนคร่ำ
    ครวญว่า:-
    “บุตรสองคนของเราตายแล้ว สามีของเราก็ตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายของ
    เราก็ถูกเผาบนเชิงตะกินเดียวกัน”
    นางเดินไปบ่นไปอย่างนี้ คนทั่วไปเห็นแล้วคิดว่า “นางเป็นบ้า” พากันขว้างปาด้วย
    ก้อนดินบ้าง โรยฝุ่นลงบนศีรษะนางบ้าง และนางยังคงเดินต่อเรื่อยไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง

    หายบ้าแล้วได้บวช
    ขณะนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ทรงทราบด้วยพระฌาณ
    ว่านางปฏาจารามีอุปนิสัยแห่งพระอรหัต จึงบันดาลให้นางเดินทางมายังวัดพระเชตวัน นางได้
    เดินมายืนเสาศาลาโรงธรรมอยู่ท้ายสุดพุทธบริษัทหมู่คนทั้งหลายพากันขับไล่นางให้ออกไป แต่
    พระบรมศาสดาตรัสห้ามไว้แล้วตรับกับนางว่า “จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง”
    ด้วยพุทธานุภาพ นางกลับได้สติในขณะนั้นเอง มองดูตัวเองเปลือยกายอยู่ รู้สึกอายจึงนั่ง
    ลง อุบาสกคนหนึ่งโยนฝ้าให้นางนุ่งห่ม นางเข้าไปกราบถวายบังคมพระศาสดาที่พระบาท แล้ว
    กราบทูลเคราะห์กรรมของนางให้ทรงทราบโดยลำดับ พระพุทธองค์ได้ตรัสพระดำรัสว่า:-
    “แม่น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ยังน้อยกว่าน้ำตาของคนที่ถูกความทุกข์ความเศร้าโศก
    ครอบงำ ปฏาจารา เพราะเหตุไร เธอจึงยังประมาทอยู่”
    ปฏาจารา ฟังพระดำรัสนี้แล้วก็คลายความเศร้าโศกลง พระบรมศาสดา ทรงทราบว่านาง
    หายจากความเศร้าโศกลงแล้ว จึงตรัสต่อไปว่า:-
    “ปฎาจารา ขึ้นชื่อว่าบุตรสุดที่รัก ไม่อาจเป็นที่พึ่ง เป็นที่ต้านทานหรือเป็นที่ป้องกันแก่
    ผู้ไปสู่ปรโลกได้ บุตรเหล่านั้น ถึงจะมีอยู่ก็เหมือนไม่มี ส่วนผู้รู้ทั้งหลายรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว
    ควรชำระทางไปสู่พระนิพพานของตนเท่านั้น”
    เมื่อจบพระธรรมเทศนา นางปฏาจาราดำรงอยู่ในโสดาปัตผล เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระ
    โสดาบันแล้ว กราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ทรงอนุญาตแล้วจึงบวชเป็นภิกษุณี ไม่นานนัก
    ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล
    เมื่อนางปฏาจาราได้อุปสมบทแล้ว ปรากฏว่าเป็นพระเถรีผู้มีความรอบรู้ในเรื่องพระวินัย
    เป็นอย่างดี อาศัยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องเธอไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่า
    ภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้ทรงพระวินัย
     
  18. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    มีเพลงเพราะๆความหมายดีๆ มามอบให้ผู้ที่ชีวิตกำลังถูกทำร้าย


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=n1bcQMCZ5gU]Pink (P!nk) - Fuckin' Perfect (Music Video) HQ [2011 NEW ] - YouTube[/ame]



    m25.gif
     
  19. นู๋แจ้

    นู๋แจ้ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +6
    อ่านเรื่องของนางปฏาจารา จบแล้วคะ เรื่องของนางเศร้ามากจริงๆๆคะ
    เพราะมันเป็นการสูญเสียทุกอย่างที่มีแล้วจริงๆๆ
    ขอบคุณมากนะคะ ที่เอาเรื่องดีๆๆมาให้อ่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...