พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.thaihealth.or.th/cms/detail.php?id=7056
    อาหารหลัก 5 หมู่...คุณรู้ดีแค่ไหน

    กินอย่างไรจึงจะได้สารอาหารครบตามความต้องการของร่างกาย<O:p</O:p
    <O:p [​IMG]</O:p
    มีแรงจูงใจ 2 ประการที่จำเป็นจะต้องนำอาหารหลัก 5 หมู่ มาทบทวนตอกย้ำ ทั้งที่ทราบดีว่าคนไทยส่วนมากรู้จักมักคุ้นอยู่แล้ว แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่พอพูดถึงอาหารหลัก 5 หมู่ มักจะบอกเป็นสารอาหาร 5 ชนิด แทนการบอกชนิดของอาหาร ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญมากนัก แต่อยากจะให้คนไทยได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อีกประการหนึ่ง อาจจะดูเป็นเรื่องตลกแต่สะท้อนใจให้เห็นอะไรบางอย่าง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานมาแล้ว ที่หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งมีนักวิชาการไปสอนใช้ชาวบ้าน กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อธิบายอย่างยืดยาวแล้วบอกชาวบ้านว่า เดือนหน้าจะมาเพื่อติดตามดูว่า ชาวบ้านกินครบ 5 หมู่หรือไม่ พอครบหนึ่งเดือนนักวิชาการกลับมายังหมู่บ้านแห่งนั้น เริ่มด้วยการถามคุณยายคำ อายุ 70 ปี ว่ากินอาหารครบ 5 หมู่ไหม ยายคำตอบชัดถ้อยชัดคำว่าเพิ่งกินได้แค่ 5 หมู่เอง หมู่ที่ 5 ยังไม่ได้กิน นักวิชาการถามกลับไปว่าเพราะเหตุใด ยายคำตะโกนก้องว่าหมู่ 5 อยู่ไกลมากเดินไปกินไม่ไหวยายคำคิดว่านักวิชาการบอกให้กินเป็นรายหมู่บ้าน เรื่องนี้น่าจะเกิดการผิดพลาดแน่นอน หากนักวิชาการมีวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับชาวบ้าน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ส่วนความสับสนระหว่างการเรียกชื่ออาหารให้ครบ 5 หมู่ กับเรียกสารอาหาร 5 ชนิด แทนนั้นจะขอทบทวนให้เข้าใจตรงกันดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หมู่ที่ 1 เรียกว่า นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง และงานให้สารอาหารโปรตีน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หมู่ที่ 2 เรียกว่า ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หมู่ที่ 3 เรียกว่า พืชผักต่างๆ ให้สารอาหารวิตามินและแร่ธาตุเพื่อเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้ปกติ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หมู่ที่ 4 เรียกว่า ผลไม้ต่างๆ ให้สารอาหารและประโยชน์เหมือนหมู่ที่ 3 <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หมู่ที่ 5 เรียกว่า น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ ให้สารอาหารไขมันเพื่อให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ต่อไปนี้เราไม่ควรเรียก อาหารหมู่ 1 โปรตีน หมู่ 2 คาร์โบไฮเดรต หมู่ 3 วิตามิน หมู่ 4 แร่ธาตุ หมู่ 5 ไขมัน อีกต่อไปแล้ว ควรเรียกชื่ออาหารแทน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เหตุผลที่กำหนดอาหารหลัก 5 หมู่ขึ้นก็เพื่อที่จะให้คนไทยกินอาหารให้ได้สารอาหาร ครบ 5 ชนิด โดยนำเอาอาหารที่มีสารอาหารเหมือนกันมาไว้ในหมู่เดียวกัน แต่ร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารให้ครบทั้ง 5 ชนิดในแต่ละวัน ดังนั้น เราจึงต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน เพราะไม่มีอาหารชนิดในชนิดหนึ่งที่จะให้สารอาหารครบทั้ง 5 ชนิด<O:p</O:p

    โดย : อาจารย์สง่า ดามาพงษ์

    <O:pที่มา :<O:p</O:p
    ข้อมูลจาก : หนังสือฉลาดกิน <O:p</O:p
    ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th<O:p</O:p
    </O:p
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.mcot.net/lady/query.php?id=1344&type=2

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>อยากรวยหรือรวยกว่าเก่าก็เปลี่ยนกะเป๋าตังค์ซะ

    ผู้ที่เกิดในวันอาทิตย์

    ไม่ควรใช้ : กระเป๋าสตางค์สีฟ้า สีดำ หรือหนังสัตว์ที่เป็นสัตว์น้ำทะเล
    ควรใช้ : สีโทนสว่างหรือสีน้ำตาลหรือสีเขียว

    ผู้ที่เกิดวันจันทร์
    ไม่ควรใช้ : กระเป๋าสีแดงหรือกระเป๋าที่ทำมาจากหนังสัตว์ที่เป็นจตุรงคบาท (สัตว์สี่เท้า)
    ควรใช้ : กระเป๋าสีน้ำตาล ม่วง

    ผู้ที่เกิดวันอังคาร
    ไม่ควรใช้ : สีน้ำตาลหรือสีครีม หรือกระเป๋าที่ทำมาจากหนังสัตว์
    ควรใช้ : สีชมพู สีแสด สีส้ม

    ผู้ที่เกิดวันพุธ
    ไม่ควรใช้ : สีดำหรือชมพู หรือกระเป๋าที่ทำมาจากหนังสัตว์ โดยเฉพาะหนังที่ทำจากสัตว์ปีก
    ควรใช้ : สีเขียว สีครีมและน้ำตาล

    ผู้ที่เกิดวันพฤหัส
    ไม่ควรใช้ : สีดำ ควรเป็นกระเป๋าที่ใบไม่ใหญ่นัก หรือมีช่องใส่พอประมาณ
    ควรใช้ : สีแดงหรือส้ม

    ผู้ที่เกิดวันศุกร์
    ไม่ควรใช้ : สีดำหรือสีทึมๆ หรือของที่ดูแปลกจนเกินไปจะทำให้เก็บเงินไม่อยู่
    ควรใช้ : สีฟ้าหรือชมพู

    ผู้ที่เกิดวันเสาร์
    ไม่ควรใช้ : สีเขียวหรือน้ำตาล และต้องไม่แลดูเก่าจนเกินไป จะทำให้ไม่มีโชคลาภ
    ควรใช้ : สีฟ้าม่วง


    อัพเดตเมื่อ 29 พฤษภาคม 2550 เวลา 09:11 น.
    </TD></TR><TR><TD>Lady News : เรื่องย้อนหลัง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post588648 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 09:23 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#5357 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>เชน<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_588648", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: เมื่อวานนี้ 09:57 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2006
    อายุ: 34 ปี
    ข้อความ: 27 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 2 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 75 ครั้ง ใน 13 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG][​IMG]






    </TD><TD class=alt1 id=td_post_588648 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->ปาฏิหาริย์หลอกลวง
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->สวัสดีครับทุกท่าน ไอ้รูปที่มีวงกลมเยอะๆนั่นนะมันไม่ไช่ปาฏิหาริย์ที่ไหนหรอกครับ ครๆก็ทำได้ขอแค่กล้องท่านมีความชื้นมันก็สามารถถ่ายห้ออกมาเป็นรูปดวงกลมๆได้ทั้งนั้นล่ะครับ......บอกไว้ห้เป็นวิทยาทานกันนะครับกลัวจะงมงายกันไปหญ่ ศาสนาพุทธไม่สอนห้งมงายนะครับ
    <!-- / message --><!-- attachments -->



    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG]




    </FIELDSET>




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]


    *************************************************
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=22445&page=536

    ขอบคุณครับ แต่ว่าเรื่องนี้ก็ทราบกันอยู่แล้ว (เป็นผงฝุ่น)

    แต่ว่าของจริงๆก็มีนะครับ

    ส่วนสระ ไ ที่เป็นสีแดงนั้น ต้องใช้ไม้ม้วนครับ

    คุณเชนครับ ปลูกข้าวย่อมได้ข้าว ปลูกกล้วยย่อมได้กล้วย ปลูกมะม่วงย่อมได้มะม่วง ไม่เคยมีใครปลูกข้าวแล้วได้กล้วยหรือมะม่วงสักรายนะครับ

    ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • เชน.jpg
      เชน.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94.3 KB
      เปิดดู:
      496
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2007
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.komchadluek.net/2007/05/31/j001_120821.php?news_id=120821


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ธรรมะจากข่าว-นอกเหนือจากเวียนเทียน

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>30 พฤษภาคม 2550 17:41 น.

    </TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG] วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หมายถึง วันที่มีเหตุการณ์พิเศษบางอย่างเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา โดยมากจะเป็นวันที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า
    ซึ่งจะกำหนดเอาวันที่มีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นในชีวิตของพระองค์เป็นหลัก การศึกษาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา นอกจากจะได้ความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องแล้ว ยังจะช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความซาบซึ้ง และเกิดแนวคิดที่จัดเป็นทิฏฐานุคติในการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันต่อไป
    วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ที่นิยมปฏิบัติกิจกรรม เพื่อระลึกคุณของพระรัตนตรัยมี ๔ วัน คือ
    ๑.วันวิสาขบูชา คือ การบูชาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
    ๒.วันมาฆบูชา คือ การบูชาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ แก่พระอรหันตขีณาสพที่มา
    ประชุมพร้อมกัน
    ๓.วันอาสาฬบูชา คือ การบูชาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก เรียกว่า ปฐมเทศนา
    ๔.วันอัฏฐมีบูชา คือ การบูชาในวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งเป็นวันที่ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า
    วันนี้เป็นวัน "วิสาขบูชา" หมายถึง "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" หรือเดือน ๖ เนื่องในโอกาสคล้ายวันพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เวียนมาบรรจบในวันและเวลาเดียวกัน คือ วันเพ็ญเดือนวิสาขะ หลักธรรมอันเกี่ยวเนื่องจากการประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน คือ ความกตัญญู อริยสัจ ๔ และ ความมีสติ ไม่ประมาท
    จุดมุ่งหมายของการเวียนเทียน การบูชาพิเศษในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา คือ การเวียนเทียน นอกเหนือไปจากการประชุมทำวัตรสวดมนต์ และฟังเทศน์กันตามปกติในวันนั้น
    การเวียนเทียน คือ การที่พุทธบริษัทถือดอกไม้จุดธูปเทียน ประนมมือ เดินเวียนขวา ที่เรียกว่า ประทักษิณ รอบปูชนียวัตถุในวัด หรือในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ๓ รอบ ใจน้อมระลึกถึงพระคุณพระรัตนตรัยในขณะเดินเวียน เสร็จแล้วนำดอกไม้ธูปเทียนนั้นปักบูชาปูชนียวัตถุที่เวียนนั้น เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงด้วยเครื่องสักการบูชา

    0 พระราชญาณวิสิฐ (หลวงป๋า) 0



    -->
    วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หมายถึง วันที่มีเหตุการณ์พิเศษบางอย่างเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา โดยมากจะเป็นวันที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า
    ซึ่งจะกำหนดเอาวันที่มีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นในชีวิตของพระองค์เป็นหลัก การศึกษาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา นอกจากจะได้ความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องแล้ว ยังจะช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความซาบซึ้ง และเกิดแนวคิดที่จัดเป็นทิฏฐานุคติในการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันต่อไป
    วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ที่นิยมปฏิบัติกิจกรรม เพื่อระลึกคุณของพระรัตนตรัยมี ๔ วัน คือ
    ๑.วันวิสาขบูชา คือ การบูชาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
    ๒.วันมาฆบูชา คือ การบูชาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ แก่พระอรหันตขีณาสพที่มา
    ประชุมพร้อมกัน
    ๓.วันอาสาฬบูชา คือ การบูชาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก เรียกว่า ปฐมเทศนา
    ๔.วันอัฏฐมีบูชา คือ การบูชาในวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งเป็นวันที่ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า
    วันนี้เป็นวัน "วิสาขบูชา" หมายถึง "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" หรือเดือน ๖ เนื่องในโอกาสคล้ายวันพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เวียนมาบรรจบในวันและเวลาเดียวกัน คือ วันเพ็ญเดือนวิสาขะ หลักธรรมอันเกี่ยวเนื่องจากการประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน คือ ความกตัญญู อริยสัจ ๔ และ ความมีสติ ไม่ประมาท
    จุดมุ่งหมายของการเวียนเทียน การบูชาพิเศษในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา คือ การเวียนเทียน นอกเหนือไปจากการประชุมทำวัตรสวดมนต์ และฟังเทศน์กันตามปกติในวันนั้น
    การเวียนเทียน คือ การที่พุทธบริษัทถือดอกไม้จุดธูปเทียน ประนมมือ เดินเวียนขวา ที่เรียกว่า ประทักษิณ รอบปูชนียวัตถุในวัด หรือในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ๓ รอบ ใจน้อมระลึกถึงพระคุณพระรัตนตรัยในขณะเดินเวียน เสร็จแล้วนำดอกไม้ธูปเทียนนั้นปักบูชาปูชนียวัตถุที่เวียนนั้น เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงด้วยเครื่องสักการบูชา
    0 พระราชญาณวิสิฐ (หลวงป๋า) 0


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews02&content=49112

    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780 border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 30px">ปริศนาค่าการกลั่น ไทยสมรู้..ต้มไทย [2 มิ.ย. 50 - 16:50]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780 border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]โดนใจคนทั้งประเทศ เมื่อ นางเพ็ญจิตร ปัญญวัณศิริ กับพวก 9 คน ร่วมใจยื่นฟ้องหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและ ปตท. ต่อศาลปกครอง
    ประเด็นฟ้อง ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนจากการแบกรับภาระค่าน้ำมัน ที่นับวันสูงขึ้น โดยไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงว่า น้ำมันที่คนไทยใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มันแพงขึ้นตามสภาพความเป็นจริงหรือเปล่า
    สิ่งที่คณะผู้ยื่นฟ้องและคนไทยทั้งประเทศตั้งข้อสงสัยที่สุดคือค่าการกลั่น...
    น้ำมันยิ่งแพง ค่าการกลั่นแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว
    ค่าการตลาด...ให้กันยังไง น้ำมันแพง บริษัทค้าน้ำมันรวย แต่ทำไม ปั๊มถึงได้แข่งกันเจ๊ง
    ที่สำคัญค่าการกลั่น ค่าการตลาด มักจะถูกผู้ค้าน้ำมันหยิบยกเป็นข้ออ้างทวงบุญคุณจากประชาชน บีบให้รัฐบาลปรับขึ้นราคาน้ำมันมาโดยตลอด
    “ถ้าคิดกันแบบง่ายๆ ความจริงแล้วค่าการกลั่น ค่าการตลาดของธุรกิจน้ำมัน ไม่แตกต่างไปจากธุรกิจผลิตสินค้าอื่นๆแต่อย่างใด”
    ดร.สีหศักดิ์ อารีราชการัณย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด บริษัทลานนารีซอร์สเซส นักวิชาการปิโตรเลียม ผู้ได้ทุนรัฐบาลไทยเรียนจบปริญญาตรี-โท-เอก ด้านวิศวกรรมปิโตรเลียมโดยตรง...กล่าว
    ค่าการกลั่นก็เปรียบได้กับค่าแปรรูปสินค้า แปรรูปอ้อยเป็นน้ำตาล แปรรูปน้ำมันดิบเป็นน้ำมันสำเร็จรูป...ต้นทุนในการแปรรูปน้ำมันดิบเป็นเบนซิน เป็นดีเซลมีเท่าไร ค่าการกลั่นก็ควรจะเท่านั้น
    ค่าการตลาดก็เช่นกัน ก็เงินเปอร์เซ็นต์ เงินกำไร ที่ทางบริษัทน้ำมันจ่ายให้กับปั๊ม แบบเดียวกับบริษัทผลิตสินค้าอย่างอื่นจ่ายให้กับห้างร้านที่ขายปลีก ให้ผู้บริโภคนั่นแหละ
    ฟังคำอธิบายแล้ว ค่าการกลั่น ค่าการตลาด ไม่เห็นจะแปลกพิสดารตรงไหน เหมือนธุรกิจทั่วไป...แล้วที่มันมีปัญหาวุ่นวายขายปลาช่อน สับสนเสียจนชาวบ้านรู้สึกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบนั่นเป็นเพราะอะไร
    ดร.สีหศักดิ์ชี้ว่า เป็นเพราะการคิดค่าการกลั่นต่างจากสินค้าอย่างอื่นตรง...
    บริษัทน้ำมันคิดมาให้อย่างไร หน่วยราชการไทยเชื่อว่ามันเป็นจริงอย่างที่เขาว่า
    “หน่วยราชการไทยไม่มีข้อมูล ไม่มีมาตรฐานในการคิดคำนวณว่าค่ากลั่นน้ำมันที่แท้จริงของโรงกลั่นแต่ละแห่งนั้นมีต้นทุนเท่าไร
    น้ำมันดิบกลั่นออกมาเป็นดีเซล เป็นเบนซิน เป็นน้ำมันก๊าด น้ำมันเจ๊ทสำหรับเครื่องบิน เป็นก๊าซแอลพีจี แต่ละตัวมีต้นทุนเท่าไรกันแน่ ตัวเลขที่แท้จริงเราไม่รู้
    ตัวเลขที่ผู้ค้าน้ำมันบอกมาเป็นตัวเลขจริง หรือตัวเลขลวง หน่วยราชการไทยที่รับผิดชอบไม่มีตัวเลขมาตรฐานเปรียบเทียบ เพราะที่ผ่านมา ไม่มีการศึกษาวิจัยเรื่องต้นทุนค่าการกลั่นน้ำมันที่แท้จริงเลย”
    [​IMG]ที่สำคัญไปกว่านั้น ค่าการกลั่นที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้...คิดกันแบบรวบหัวรวบหาง....แล้วมัดมือชก
    “เขาคิดแบบซื้อน้ำมันดิบมาในราคาเท่าไร เมื่อกลั่นเสร็จ เอาผลผลิตที่ได้จากการกลั่นทุกอย่างไปเปรียบเทียบกับราคาขายในตลาดโลก ซึ่งก็คือราคาที่สิงคโปร์
    ผลิตภัณฑ์ที่กลั่นได้ทั้งหมดขายได้ในราคาเท่าไร เอาราคานั้นไปหักลบกับราคาน้ำมันดิบที่ซื้อมา ได้ผลลัพธ์ออกมาเท่าไรนั้นก็คือ ค่าการกลั่น”
    เช่น ซื้อนํ้ามันดิบมาในราคาบาร์เรลละ 60 เหรียญสหรัฐฯ พอนำมากลั่น ผลิตภัณฑ์ที่กลั่นได้ทั้งหมดเปรียบเทียบกับราคาในตลาดโลก ณ วันที่กลั่นออกมา สมมติว่า รวมกันแล้วขายได้ 100 เหรียญ
    เอา 100 ไปลบ 60...ค่าการกลั่นจะตกบาร์เรลละ 40 เหรียญ ส่วนจะเป็นลิตรละเท่าไรให้เอา 159 หาร...1 บาร์เรล เท่ากับ 159 ลิตร
    ฉะนั้น ค่าการกลั่นที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้....ไม่ได้คิดจากต้นทุนที่แท้จริงของการกลั่น
    ซ้ำร้าย...ค่าการกลั่นก็ไม่ได้คิดจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ซื้อมาจริง
    ประเด็นนี้ วิศวกรปิโตรเลียมระดับปริญญาเอกอธิบายว่า ปกติแล้วการซื้อน้ำมันดิบมากลั่น ประเทศไทยจะสั่งซื้อน้ำมันจากตะวันออกกลางเป็นหลัก เพราะในละแวกแถวบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม อินโดนีเซีย ถูกสิงคโปร์กว้านซื้อไปหมดแล้ว
    เราต้องไปซื้อไกล กว่าน้ำมันดิบจะมาถึงโรงกลั่นในบ้านเราจะต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ฉะนั้น การจะคิดค่า ก็ควรจะต้องคิดจากราคาน้ำมันดิบในวันที่ซื้อจริง
    แต่เขากลับคิดราคาต้นทุนน้ำมันดิบ ณ ปัจจุบัน...ที่มักจะแพงกว่า
    แม้ผู้ผลิตจะอ้างว่าราคาน้ำมันไม่แน่นอน มีความเสี่ยงสูง มีขึ้นมีลงตลอดเวลาก็ตาม...แต่โดยส่วนใหญ่ราคาปัจจุบันจะแพงมากกว่าราคาในอดีต เพราะมีขึ้นมากกว่าลง
    ถ้าลงมากกว่าขึ้น...ราคาน้ำมันต้องลงไปอยู่ต่ำกว่าลิตรละ 20 บาท ไม่ใช่ 30 บาทอย่างนี้
    เมื่อเอาราคาน้ำมันดิบปัจจุบันมาคิด ทำให้ตัวเลขที่ทำมาเสนอหน่วยราชการ ค่าการกลั่นจะออกมาต่ำกว่าความเป็นจริง
    โชว์ตัวเลขให้พอเชื่อได้ว่า...ฉันไม่ได้เอาเปรียบ
    แค่นั้นยังไม่พอ สิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้นั่นก็คือ...น้ำมันดิบที่ซื้อมา 1 ลิตร เวลากลั่นแล้วผลิตภัณฑ์ที่ออกมามีปริมาตรมากกว่า 1 ลิตร
    หลายคนอาจจะงง เป็นไปได้ยังไง?
    ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ เป็นวิทยาศาสตร์ล้วนๆเหมือนอย่างที่เราเรียนกันมา สสารทุกอย่างในโลกนี้ เมื่อโดนความร้อนแล้วโมเลกุลจะขยายตัว
    การกลั่นน้ำมันต้องใช้ความร้อน...ร้อนในระดับที่ ดร.สีหศักดิ์บอกว่า... น้ำมันดิบ 1 ลิตร กลั่นออกแล้วได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 ลิตร
    คิดดูก็แล้วกัน การคิดค่าการกลั่นตามสูตรแบบนี้ จะทำให้บริษัทน้ำมันโกยกำไรจากค่าการกลั่นมากมายขนาดไหน
    [​IMG]นี่ยังไม่รวมกรณีโรงกลั่นรู้ข้อมูลภายในล่วงหน้า โรงกลั่นโรงไหนจะหยุดซ่อม ซึ่งส่งผลให้น้ำมันสำเร็จรูปขาดตลาด มีราคาแพง โรงกลั่นจะรีบสั่งซื้อน้ำมันดิบมากักตุน รอกลั่นขายตอนน้ำมันสำเร็จรูปแพง ฟันกำไรค่าการกลั่นมโหระทึก
    ฟังคำอธิบาย บริษัทค้าน้ำมันฟันกำไรจากค่าการกลั่นมหาศาล แล้วทำไมยังเรียกร้องขอเพิ่มค่าการกลั่นอยู่อีก?
    “นี่เป็นเทคนิคพื้นๆของบริษัทค้าน้ำมัน...” ดร.สีหศักดิ์ บอก
    “ถึงจะได้ค่าการกลั่นมหาศาล แต่เขามีเทคนิคที่สามารถนำค่าการกลั่นไปซุกไว้ตามที่ต่างๆไม่ให้เราได้รู้ทัน
    วงการค้าน้ำมันสามารถนำกำไรจากค่าการกลั่นไปซุกได้ทั้งที่โรงกลั่นที่ จ็อบเบอร์หรือธุรกิจขนส่งน้ำมัน และซุกไว้ที่ปั๊มหรือค่าการตลาด ขึ้นอยู่กับว่า เขาต้องการอะไร
    ถ้าอยากได้เงินไปลงทุนสร้างขยายโรงกลั่น ก็จะโชว์ตัวเลขว่าโรงกลั่นมีผลกำไรดี เพื่อจะได้ปั่นหุ้นเอาเงินมาลงทุน ยิ่งสร้างตัวเลขให้รัฐบาลเชื่อว่า ได้ค่าการกลั่นน้อยแล้วรัฐบาลเพิ่มค่าการกลั่นให้ หุ้นก็จะยิ่งพุ่งถล่มทลาย เมื่อได้ดั่งใจก็เอาค่ากลั่นไปซุกไว้ในธุรกิจอื่นเพื่อหากำไรต่อ”
    ค่าการตลาดก็เหมือนกัน ดร.สีหศักดิ์ ให้ข้อคิด...ทำไมน้ำมันแต่ละชนิดถึงได้ค่าการตลาดไม่เท่ากัน ทั้งที่ให้เท่ากันก็ได้
    เพราะน้ำมันไม่เหมือนสินค้าอย่างอื่นๆ ที่ให้ค่าตลาดไม่เท่ากัน จ่ายให้ มากกว่า เพื่อคนขายได้เชียร์ให้ผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าของตัวเอง
    ธุรกิจน้ำมัน...เคยเห็นไหมที่มีเด็กมาเชียร์น้ำมัน เหมือนเชียร์เบียร์
    มีไหมที่เด็กปั๊มมาเชียร์คนขับรถให้เติม 95 ดีกว่า 91 หรือเชียร์ให้เติมดีเซลดีกว่าเบนซิน...ไม่มี
    เพราะในความจริง รถใช้อะไรก็เติมอย่างนั้น แต่ทำไมบริษัทค้าน้ำมันถึงให้ค่าการตลาดน้ำมันแต่ละชนิดไม่เท่ากัน...เพื่ออะไร?
    จะเพื่อสร้างความสับสนงงงวยให้เกิดขึ้นในระบบ และจะได้นำไปเป็นข้ออ้างขอขึ้นราคาไม่จบสิ้นหรือเปล่า?
    ในเมื่อค่าการตลาด ค่าการกลั่นเป็นเช่นนี้...เลยมีคำถามว่า หน่วยราชการไทยมีความสามารถที่จะรู้ให้ทันและปรับเปลี่ยนแก้ไขความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมได้หรือไม่
    วิศวกรปิโตรเลียมระดับด็อกเตอร์ บอกเพียงแต่ว่า ธุรกิจน้ำมันมีเงินเป็นแสนๆล้าน มีความสามารถที่จะจ่ายอะไรก็ได้
    เลยทำให้นักการเมือง ข้าราชการและคนที่เกี่ยวข้อง อยากแกล้งโง่...มากกว่าอยากฉลาดกันทั้งนั้น.
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระเครื่องใดมีพลังสูง?
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=1857&page=4

    ลองศึกษาพระของวังหน้าดูนะครับ

    พระพิมพ์ของวังหน้า<O:p</O:p
    พระวังหน้า เริ่มมีการจัดสร้างจากพระบัณฑูรย์ของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (ท่านเป็นพระราชโอรสองค์ต้นของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า) โดยเริ่มมีการจัดสร้างขึ้นครั้งแรก ประมาณปี พ.ศ.2400 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    การจัดสร้างพระของวังหน้านั้น จะมีมวลสารที่นำมาสร้างอยู่หลายอย่าง เช่น ปูนเพชร (ซึ่งนำเข้ามาจากเทือกเขาเมืองอันฮุย ประเทศจีน โดยท่านกรมเจ้าคุณท่า ท่านเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี นามเดิมว่า ท้วม บุนนาค ส่วนกรมเจ้าคุณท่านั้น หน้าที่ราชการของกรมท่า มีหน้าที่ชำระความระหว่างคนไทยกับชาวต่างประเทศ ,รับรองพ่อค้าชาวต่างประเทศ รวมไปถึงการรับรองฑูตานุทูตของต่างประเทศ ,การนำฑูตานุฑูตของไทยไปเจริญความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ,การค้าขายกับต่างประเทศ ถ้าเปรียบเทียบในสมัยปัจจุบัน คือกระทรวงการต่างประเทศ) ,ผงอิทธิคุณ (เป็นผงที่เกิดจากการที่พระสงฆ์เขียนบาลี หรือยันต์ต่างๆ ) ซึ่งได้จากวังหน้าเอง หรือสำนักมูลกจายย์ ทั่วพระนคร ,เศษผงทองคำ(ใช้ในการโรยที่หน้าพระพิมพ์ แต่ในบางพิมพ์ก็จะไม่มี) เป็นหลักใหญ่ ส่วนในการผสมผง ตำผงนั้น 1 ครกใช้ระยะเวลา 4 ชั่วโมง จึงจะใช้ได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในการพุทธาภิเษกนั้น เป็นพิธีพุทธาภิเษกหลวง ที่วัดบวรสถานสุทธาวาส (อยู่ในวังหน้า ปัจจุบันสถานที่ของวังหน้า คือม.ธรรมศาสตร์ ,พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร ,วิทยาลัยนาฎศิลป์ ,โรงละครแห่งชาติ) องค์พระประธานที่วัดบวรสถานสุทธาวาสคือพระพุทธสิหิงค์ โดยเชิญสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี มาเป็นประธานการปลุกเสก แต่ท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ท่านเชิญหลวงปู่เทพโลกอุดร มาปลุกเสกให้ด้วย <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ตัวอย่างของพระวังหน้านั้น เช่น สมเด็จวังหน้า ,สมเด็จกรมเจ้าคุณท่า ,หรืออย่างกรุวัดท้ายตลาด, ท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญท่านได้นำพระไปบรรจุกรุที่วัดท้ายตลาด หรือพระหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ท่านกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญท่านนำพระไปถวายให้กับหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ (ท่านอ.ประถม อาจสาคร ท่านบอกว่า ชื่อของหลวงพ่อแก้ว นั้น ท่านชื่อ สุข แต่ที่ผู้คนเรียกท่านว่าหลวงพ่อแก้วนั้น เนื่องจากพระที่ท่านแจก เปรียบกับแก้วสารพัดนึก นั้นเอง)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    หากท่านใดมีพระวังหน้า ท่านสามารถนำไปพิสูจน์ได้โดยนำพระวังหน้าไปให้พระหรือครูบาอาจารย์ที่ท่านได้วิปัสสนาญาณแล้ว ท่านตรวจดูได้ว่าอิทธิคุณขององค์พระเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้เสก ส่วนที่ผมใช้คำว่าอิทธิคุณนั้น ปกติทั่วๆไปจะใช้คำว่าพุทธคุณ แต่ท่านอ.ประถม ท่านบอกว่า คำว่าพุทธคุณ นั้นหมายถึงคุณของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพระพิมพ์ แต่อย่างใด

    พระของวังหน้า มีจำนวนมาก มีเป็นร้อยๆพิมพ์ มีทั้งสร้างทันสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี กับไม่ทันท่าน ส่วนพิธีพุทธาภิเษกหลวงของวังหน้า จะมีพิธีใหญ่ๆอยู่ 3 พิธีด้วยกัน คือปีพ.ศ.2408 ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นวังหน้าของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ,ปี พ.ศ.2411 เป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านขึ้นครองราชย์ และประมาณปี พ.ศ.2451 ซึ่งเป็นปีที่ฉลองพระชนมพระษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ไม่ใช่จะมีพิธีพุทธาภิเษกเฉพาะ 3 ปีนี้เท่านั้นนะครับ มีการสร้างพระและมีพิธีพุทธาภิเษกอยู่บ่อยครั้งครับ
    เฉพาะตัวผมเอง มีพระสมเด็จกรมเจ้าคุณท่า ซึ่งเป็นพิมพ์คะแนนร้อยอยู่ประมาณ 500 กว่าองค์ แล้วยังมีลูกศิษย์ของอาจารย์ประถม ที่มีพระคะแนนร้อยของสมเด็จกรมเจ้าคุณท่า อีก 1,000 กว่าองค์ แค่นี้ ก็พอเดาได้แล้วว่า พระของวังหน้า มีจำนวนมากขนาดไหน ท่านใดที่มีพระของวังหน้าแล้ว ควรเก็บรักษาให้ดีนะครับ เพราะในสมัยนี้ จะไม่มีการสร้างพระ ,การพุทธาภิเษกพิธีหลวง ,ผู้สร้างพระเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง อีกแล้วนะครับ


    ผู้ที่ทำพระพิมพ์ของวังหน้าเป็นช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า ทั้งตำผงที่ใช้ทำพระ ซึ่ง 1 ครกใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ทั้งกดพิมพ์พระ นำพระไปตากแดดบ้าง หรือถ้าทำในเวลาเย็นก็ผึ่งลม ทำให้พระที่ได้ จะมีทั้งที่แตกลายงา (เนื่องจากการตากแดด ถ้าตากแดดในตอนเช้า พระจะแตกลายงา น้อย แต่พระที่ตากแดดในเวลากลางวัน พระจะแตกลายงามาก) และไม่แตกลายงา (เนื่องจากในเวลาเย็นหรือในตอนกลางคืน พระจะไม่มีการแตกลายงา) ส่วนช่างสิบหมู่นั้นประกอบไปด้วย
    1.หมู่ช่างเขียน เช่นช่างเขียน ช่างปิดทอง ช่างลงรัก ช่างแกะ ฯลฯ
    2.หมู่ช่างแกะ เช่น ช่างแกะตรา ช่างแกะพระหรือภาพ รวมไปถึงช่างเงิน ช่างทอง ช่างเพชรพลอย
    3.หมู่ช่างปูน มีช่างไม้สูง ช่างเลื่อย ช่างทำหุ่นรูปหัวโขน ฯลฯ
    4.หมู่ช่างปั้น มีช่างขี้ผึ้ง ช่างปูน ฯลฯ
    5.หมู่ช่างปูน มีช่างปั้น ช่างก่อปูน ช่างปูนฉาบ ฯลฯ
    6.หมู่ช่างรัก มีช่างรัก ช่างประดับกระจก ช่างปิดทอง ช่างมุก ฯลฯ
    7.หมู่ช่างบุก เป็นช่างเดี่ยว แต่ก็หมายรวมถึงช่างโลหะด้วย
    8.หมู่ช่างกลึง เป็นช่างไม้ ช่างแกะงา ฯลฯ
    9.หมู่ช่างสลัก มีช่างฉลุ ช่างกระดาษ ช่างหยวก ฯลฯ
    10.หมู่ช่างหล่อ มีช่างหุ่นดิน ช่างขี้ผึ้ง ช่างผสมโลหะ

    แต่ยังมีอีกหนึ่งช่างคือ ช่างทอง ในการทำทองคำ เพชรพลอย จะเรียกว่า สุวรรณกิจ

    พระของวังหน้านั้น ช่างหนึ่งคน สามารถทำพระได้วันละประมาณ 500 องค์
    จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมพระของวังหน้า จึงมีจำนวนมากมาย

    <!-- / message -->
    <O:p</O:p
    <!-- / message -->
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระเครื่องใดมีพลังสูง?
    http://www.palungjit.org/board/showt...?t=1857&page=4

    พระเครื่องใดที่มีพลังสูง ในความคิดเห็นส่วนตัวผม<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ผมจะขออธิบายศัพท์ที่ผมจะใช้นะครับ ผมจะใช้คำว่าอิทธิคุณ แต่จะไม่ใช้คำว่าพุทธคุณ เนื่องจากว่า พุทธคุณนั้น หมายถึงคุณของพระพุทธเจ้า ไม่เกี่ยวกับพลังของพระพิมพ์แต่อย่างใด<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พลังของพระเครื่องจะสูงหรือไม่ มีองค์ประกอบอยู่หลายอย่าง เช่น<O:p</O:p
    1.พระผู้ทำการปลุกเสก ว่าท่านมีฌาณ หรือญาญ หรืออภิญญา แค่ไหน<O:p></O:p
    2.ฤกษ์ในการกดพิมพ์พระ นั้นสำคัญมาก เนื่องจากว่าถ้าเวลาที่กดพิมพ์พระไปโดนฤกษ์ที่เรียกว่าดอกลูกพิษแล้ว ไม่ว่าพระองค์ไหน ก็เสกไม่เข้าทั้งสิ้น<O:p</O:p
    3.พิธีการในการปลุกเสกพระ ต้องทำให้ถูกวิธี ถ้าเชิญเบี้องบนลงมาช่วยปลุกเสกได้ ก็ยิ่งดี<O:p</O:p
    4.มวลสารในการทำพระพิมพ์ ต้องไม่มีซากสัตว์เดรฉานเป็นอันขาด เนื่องจากในพระพิมพ์ทุกองค์ จะมีเทวดาเข้ามาอยู่ในทุกองค์ ถ้าเป็นซากสัตว์เดรฉานแล้ว จะไม่มีเทวดาเข้ามาอยู่ในองค์พระ แต่ที่มีพระบางองค์เช่น หลวงพ่อเดิม หรือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย ที่มีเขี้ยวเสือ หรืองาช้างนั้น เป็นฤทธิ์ของพระผู้เสกแต่เพียงผู้เดียว ,ผงวิเศษ ที่มีอยู่ในพระพิมพ์สมเด็จ(ทั้งพระพิมพ์สมเด็จวังหน้า ,สมเด็จกรมเจ้าคุณท่า ,พระสมเด็จวัดระฆัง ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ได้มีผู้เขียนบางท่านกล่าวว่า พระพิมพ์สมเด็จสร้างขึ้นด้วยผงวิเศษ 5 ประการ ความจริงผงวิเศษหลักมีเพียง 4 ประการเท่านั้น คือผงปถมัง ผงอิธะเจ ผงตรีนิสิงเห และผงมหาราช ส่วนผงพุทธคุณนั้น เป็นผงเกล็ดซึ่งแยกจากผงปถมัง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อาจกล่าวได้ว่า ผงวิเศษ 4 ประการนี้ มิใช่ผลวิเศษ สำหรับใช้ในการสร้างพระพิมพ์ ผงวิเศษ แต่ละแขนงล้วนจบลงด้วยสูญนิพพาน แต่ในทางปฎิบัติใช้ลงเป็นตอนๆ สำหรับใช้เฉพาะกิจเท่านั้น เช่นการลบผงอิธะเจ ลบเพียงถึงอิธะเจตะโสทัฬหังคณหาหิถามะสา 13 คำขาดตัวในสูตรสนธิ ใช้ในทางเสน่ห์ เมตตา หากลบเลยไปจะเปลี่ยนรูปเป็นอิทธิฤทธิ์ ไม่ตรงกับความหมายของผู้ต้องการจะใช้ผง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ้าต้องการให้เกิดอิทธิฤทธิ์ ต้องลบผงด้วยคัมภีร์ปถมัง เช่นการให้ผู้คนเห็นเราคล้ายดั่งนนทยักษ์ มีอำนาจน่าเกรงขาม ท่านให้เริ่มแต่นะปถมังลบไปจนถึงโองการมหาไวยเอาผงที่ลบเสกด้วยพระคาถาที่ใช้บังคับมาลูบหาตัว ฯลฯ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นักเขียนไม่ใช่นักทำ นักอ่านก็ไม่ใช่นักทำ .....<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระเครื่องที่ได้รับการปลุกเสกแล้วนั้น จะไปให้พระอีกองค์ปลุกเสกซ้ำ ถ้าพระองค์ที่ปลุกเสกครั้งหลังอภิญญาท่านเหนือกว่าพระองค์แรก ท่านสามารถปลุกเสกครอบลงไปได้อีก แต่ถ้าพระที่ปลุกเสกครั้งหลังมีอภิญญาน้อยกว่าพระองค์แรกแล้ว ไม่สามารถปลุกเสกซ้ำได้อีก <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อิทธิคุณขององค์พระในแต่ละองค์ทำไมถึงไม่เหมือนกัน ทั้งๆที่อยู่ในพิธีเดียวกัน คำตอบก็คือฤกษ์ในการกดพิมพ์พระไม่ตรงกัน บางฤกษ์เป็นเมตตา บางฤกษ์เป็นแคล้วคลาด บางฤกษ์เป็นคงกระพัน และขึ้นอยู่กับอภิญญาของผู้เสกด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในการปลุกเสกนั้น ถ้าเป็นการปลุกเสกเดี่ยว ถ้าพระผู้เสกมีอภิญญาสูงๆแล้ว ใช้ระยะเวลาในการปลุกเสกไม่นาน เช่นหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ยังไม่ได้มองถังน้ำ ที่มีคนไปขอน้ำมนต์ท่าน ท่านก็บอกว่าเสกเสร็จแล้ว แต่ผู้ที่ไปขอไม่เชื่อกลับออกไปเทน้ำมนต์ทิ้ง แต่ปรากฏว่าเทน้ำมนต์ไม่ออก เป็นก้อนอยู่ในถ้ง ผู้ที่ขอจึงรีบกลับขึ้นไปขอขมาหลวงพ่อ (ลองไปศึกษาประวัติท่านดูนะครับ) แต่ถ้าเป็นการปลุกเสกหมู่ ถ้าพระที่มาปลุกเสกนั้น เป็นพระที่ดีทั้งหมด พระพิมพ์อาจได้รับกระแสในการปลุกพระคนละองค์ก็ได้ หรือบางที่พระที่มาปลุกเสกหมู่นั้น อาจมีการลองของซึ่งกันและกัน จะทำให้พระพิมพ์ไม่ได้รับกระแสเลย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ส่วนในเรื่องการเลี่ยมพระนั้น ควรเลี่ยมเปิดพลาสติก หรือเจาะรูที่พลาสติก เนื่องจากว่า อิทธิคุณในพระพิมพ์นั้น ไม่สามารถที่จะออกมาได้ ผมจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้ดูนะครับ เช่น ปรมาณู ถ้าอยู่ในที่เก็บ รังสีไม่สามารถออกมาได้ แต่ถ้ามีรอยรั่วที่ใดที่หนึ่ง รังสีก็จะออกมาตามรอยรั่วนั้นได้ เช่นที่เชอร์นาบิว รัสเซีย <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เรื่องการจับพลังขององค์พระนั้น ถ้าผู้มีมีญาณ หรืออภิญญา สามารถตรวจดูพระพิมพ์ได้ว่า พระนี้อายุกี่ปีแล้ว ใครเป็นผู้เสก หรือใครเป็นผู้ทำ เช่นท่านอาจารย์ประถม ท่านได้นำพระสมเด็จวัดระฆังองค์หนึ่ง ไปให้เซียนใหญ่ท่านหนึ่งดู ปรากฎว่าเซียนใหญ่ท่านนั้น บอกว่า สมเด็จวัดระฆังองค์นี้ปลอม แต่ท่านอาจารย์ประถมท่านนำพระองค์เดียวกัน ไปให้หลวงพ่อเกษม เขมโก ลำปาง ท่านดูให้ ปรากฎว่าหลวงพ่อเกษมท่านบอกว่า พระองค์นี้ สร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว โดยมีท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสีเป็นผู้ปลุกเสกในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วอย่างนี้จะเชื่อเซียนพระหรือหลวงพ่อเกษม ดีครับ???<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ส่วนอิทธิคุณขององค์พระนั้น จะไม่มีทางเสื่อมได้ ยกเว้นศีลข้อที่ 3 คือนำพระไปในซ่อง ,อาบอบนวด หรือสวมพระในขณะร่วมประเวณี หรือเจตนาไปจับต้องในสิ่งที่ไม่ควรที่จะจับ ครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สิ่งที่ผมได้เขียนนี้ เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านเป็นผู้ที่เล่าประสบการณ์ของท่านให้ผมฟัง ขอขอบพระคุณท่านมากที่ท่านให้เผยแพร่ เพื่อเป็นวิทยาทาน ขอขอบพระคุณมากครับ <O:p</O:p
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จากกระทู้ "ให้ร่วมกันสร้าง เราจะมาโปรดสัตว์ไม่ให้สร้างคนเดียว"
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=57546&page=138

    และกระทู้ ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณร - เชิญร่วมบริจาคค่าขุดบ่อบาดาล สนส บ่อเงินบ่อทอง
    บัญชีออมทรัพย์ 2030-06304-5 บัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง ปริยัติศึกษา บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม

    <TABLE class=tborder id=post588899 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 05:21 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1372 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>พสภัธ<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_588899", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 05:25 AM
    วันที่สมัคร: Nov 2005
    สถานที่: //////////////
    ข้อความ: 2,587 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 3,883 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 19,839 ครั้ง ใน 2,439 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2357 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_588899 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->[​IMG]

    โต(กุมารน้อย) ภาพนี้ก็แปลกดีนะ..เป็นช่วงที่พระ อ. ท่านอ่าน "พระราชสาน์"หนังสือที่พระสังฆราชพระราชทาน "พระสารีริกธาตุ" ก่อนที่จะบรรจุ ช่วงนั้นไฟฟ้าดับหมดแล้ว มีแต่สายฝนและแรงลมอย่างแรง....(มีพยานญาติโยมพระ-เณร เป็นร้อยคน) สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้เราได้มั่นใจในการทำความดี..แม้แต่พรหมเทวดาท่านก็มาอนุโมทนาบุญ....
    <!-- / message --><!-- attachments --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ****************************************************************

    กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://webboard.mthai.com/5/2007-06-02/325732.html

    <CENTER>* * * เตือนภัย * * * ท่านคือผู้โชคดี </CENTER>
    <!--detail--><!--images--><!--images-->วันที่ 2 มิถุนายน 2550

    ตอนเช้าดิฉันได้นั่งดูข่าวช่อง 11 ซึ่งกำลังเตือนเรื่องที่ว่า ขณะนี้มีการแอบอ้างจากกลุ่มมิจฉาชีพที่ชอบโทรเข้ามาในมือถือแล้วบอกว่าท่านคือผู้โชคดี ได้รับการสุ่มการระบบ (ระบบอะไรไม่ทราบ) ได้รับรางวัลซึ่งส่วนมากจะเป็นหลักหมื่นบาท เพราะเราจะต้องเสียค่าภาษี ณ ที่จ่ายให้ทางสายที่โทรมา 5% หรือไม่ก็อ้างว่าเป็ค่าดำกเนินการในการโอนเงิน

    และแล้วตอนเวลา 9.20 วันนี้เอง โชคดีก็บังเกิดขึ้นกับดิฉัน เนื่องจากมีหมายเลขลึกลับ 097365 โทรเข้ามาที่มือถือ แวบแรก งง เบอร์อะไรเนี่ยทำไมมีแค่ 6 ตัว และแล้วผู้หญิงที่โทรเข้ามาก็บอกว่า " สวัสดีค่ะ...ดิฉันเป็นตัวแทนจากบริษัท....(ฟังไม่ทันพูดเร็วมาก) ยินดีด้วยค่ะ คุณคือผู้โชคดีได้รับรางวัล" ดิฉันก็ค่ะ ....
    จากนั้นก็ถามว่าสนใจติดต่อรับรางวัลไหมคะ ดิฉันตอบว่า "สนใจค่ะ" ผู้หญิงปลายสายบอกว่าให้กด 9 เพื่อคุณกับเจ้าหน้าที่ พอสายโอนไปคราวนี้ผู้ชายเป็นผู้รับสายแทนและตอบเหมือนเดิม ยินดีด้วยครับ คุณคือ ผู้โชคดี ได้รับการสุ่มการระบบ ได้รับรางวัล 60,000 บาท ทางเราจะโอนเงินให้นะครับ แต่ว่าต้องเสียค่าดำเนินการและ
    ภาษี ณ ที่จ่าย ให้กับบริษัทของเรา ก็เลยถามกลับไปว่า แล้วเอาเบอร์มาจากไหน ก็บอกว่าสุ่มมาจากระบบ
    ซึ่งแบบ...สุ่มมาจากไหนไม่ทราบเนอะ แล้วเอาเงินมาให้ชั้น 60,000 บาท แหม...เงินหาง่ายจังเลย
    เลยถามกลับว่า เคยดูทีวีบ้างไหมที่บริษัทคุณน่ะ ข่าวเค้าเพิ่งเตือนเมื่อเช้าว่าให้ระวังแก๊งค์มิจฉาชีพแบบคุณ
    เค้าตอบว่า เอางี้คุณมาติดต่อ ผมได้เลย ชื่อ ธีรพล สังข์ไพรัตน์ เบอร์บริษัท 02-4521151 มาหาผมที่บริษัทละกัน (กล้ามาก) แล้วก็วางไปอย่างด่วน ตามระเบียบซึ่งก็เป็นไปตามคาดว่า เบอร์ปลอม ชื่อคนอื่น
    เลยอยากมาเตือนเพื่อนๆ ให้ช่วยกันบอกต่อ ๆ กันไป เพราะถึงจะแจ้งตำรวจก็คงจามจับไม่ได้ เพราะพวกมันใช้วิธีการจ้างคนอื่นไปเปิดบัญชีให้ (เนื่องจากวันก่อนไปเดินตลาดยังมีแม่ค้าคุยกันบอกว่า ไปเปิดบัญชีมั๊ย มีคนจ้างได้ 200 แน่ะ) ก็นะเตือน ๆ กันไว้เด๊วนี้โจรมันเยอะ ไม่กลัวกฎหมายด้วย
    <!--detail--><!-- [​IMG].... -->

    <HR>

    อ่านข่าวเด่น ประเด็นร้อนได้ที่นี่


    [​IMG]
    โดย : bb (Guest !)
    อีเมล์ : ch.benancy@gmail.com
    วันที่ : 2007-06-02 10:08:26
    Tags : เตือน ภัย

    ****************************************************

    http://webboard.mthai.com/5/2007-05-25/324249.html

    <CENTER>เจอพวกเล่นปาหี่ขายของที่ โลตัส อ่อนนุช ไม่น่าเชื่อจะมีคนตกเป็นเหยื่อให้มันหลอก กับมุขตื้น ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะหากินได้ </CENTER>
    <!--detail--><!--images--><!--images-->ขอเล่าย่อ ๆ นะครับ

    วันที่ 25 นี้ ผมไปโลตัส อ่อนนุช ที่ชั้น 1 ตรงหน้าบรรไดเลื่อนยาว ๆ ของรถเข็นที่ลงมาจากชั้น 2 ผมเห็นคนมุง เลยไปมุงด้วย รู้สึกจะเป็นแผงขายอัญมณีและเครื่องประดับทองชุบ ที่มีการเล่นเกมจากคนที่มามุงด้วย

    มีผู้ชายตัดผมสั้น มือจับไมด์คอยบรรยายเชียร์ พูดจาฉะฉาน ถึงการขายสร้อยคอทอง ( ชุบ ) และพระสมเด็จวัดระฆังใส่กรอบทอง ( ชุบ ) ผู้ชายคนนั้นได้บรรยายถึงสรรคุณและที่มาของพระสมเด็จและเรื่องอภินิหารต่าง ๆ และบอกว่า

    " พระสมเด็จพร้อมสร้อททองและกรอบพระทองชุดนี้ ราคา 7,000 บาท เฉพราะพระก็ 900 แล้ว ให้ฟรีสำหรับ 1 ท่าน เพียงหยิบแบงค์ร้อยในกระเป๋าออกมา 875 รับฟรีเลย .......อ้าว.. ไม่มีคนถูก เปลื่ยนเป็นเลข 458 มีไหม.......... อ้าวไม่มีอีก เอางี้ให้มีเลขโต๊ด 542 ถ้าเลขท้ายตรงกับ 542 กลับหัวกลับหาง รับฟรีเลย นับ 1 นับ 2 มารับเลยครับ "

    ปรากฏว่า มีผู้ชาย คนหนึ่งเลขท้ายแบงค์ร้อยตรงพอดี เลยมารับ แล้วคนขายก็บอกว่า " ขอค่าบูชาแค่ 300 บาท ค่าน้ำชาพี่ ๆ ทีมงาน " คนนั้นก็คงดีใจได้ของถูก จ่ายตังไปทันที 300 บาท

    แล้วคนขายก็บอกว่า " ไม่ต้องเสียใจ ๆ ถ้าอยากได้จริง ๆ งั้นจะเปิดโอกาสให้คนที่พลาดโอกาสบูชา เพียง 999 บาท เท่านั้น เท่นั้นจริงๆ ด้านซ้าย 4 เส้น ตรงกลาง 3 เส้น ด้านขวา 3 เส้น เฉพาะคนมีเลขในธนบัตรเลข 3 ปรากฏว่าคนโลภคิดว่าได้ของดีราคาถูกเฮโล ซื้อตรึม บางคนทำท่าดีใจมาก มีผู้หญิงคนหนึ่งซื้อมาแล้ว ผมเลยพูดเบา ๆ กับเขาว่า " ทั้งสร้อยทั้งพระ 300 ก็กำไรแล้ว ไม่มีใครบ้ามายอมขายขาดทุนให้หรอกนะ ค่าเช่าที่ขายของก็แพง ของดีราคาถูกไม่มีในโลกหรอก " เธอคงคิดได้ เธอเริ่มอึ้ง ๆ ....

    ไม่น่าเชื่อปาหี่ง่าย ๆ ก็มีคนเชื่อ มีคนหลง คนที่หลงเชื่อคนพวกนี้เหมาะนักที่ชีวิตจะโดนต้มต่อไปเรื่อย ๆ .... <!--detail--><!-- [​IMG].... -->

    <HR>

    อ่านข่าวเด่น ประเด็นร้อนได้ที่นี่


    [​IMG]
    โดย : ... (Guest !)
    อีเมล์ :
    วันที่ : 2007-05-25 18:11:51
    Tags : ปาหี่
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=40429&NewsType=2&Template=1

    [​IMG]
    วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2550 เวลา 11:54 น.

    เชื้อโรคในธนบัตร
    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>ธนบัตรและเหรียญที่ใช้เปลี่ยนมืนกันหลายมือ รู้ไหมว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เกร็ดความรู้มีคำอธิบายในเรื่องนี้....
    ดร.แฟรงก์ วีรีสคูป จากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร ประเทศนิวซีแลนด์ ตรวจพบเชื้อแบคทีเรียในธนบัตร ประมาณ 1 - 2 เซลล์ ต่อพื้นที่เล็ก ๆ 1 ตารางเซนติเมตร ซึ่งมีหลายชนิด เช่น เชื้อ Escherichia coli, Staphylococcus aureus, Bacillus cereus และ Samonella spp. ซึ่งก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร
    แต่ที่น่าห่วง คือ เชื้อโรคเหล่านี้ดื้อยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ที่ใช้ในการรักษา ดังนั้นนักวิจัยจึงได้คิดพัฒนากระดาษที่ผลิตจากวัสดุสังเคราะห์พอลิเมอร์ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียมาผลิตแทนธนบัตรแทนกระดาษที่ใช้กันอยู่
    รู้อย่างนี้แล้ว ก็ควรระวังเชื้อโรคในธนบัตรกันด้วย.

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: left"><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-bold>คอลัมน์ย้อนหลัง</TD></TR><TR><TD><TABLE id=ctl00_ContentPlaceHolder1_ctl00_Popup_news_15_oldcolumn1_dlsOColumn style="WIDTH: 100%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">การจีบสาวของหนุ่ม ๆ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ประโยชน์ของหน่อไม้

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วิธีเลือกซื้อรองเท้า

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">เชื้อโรคในธนบัตร

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ประโยชน์ของกล้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">การดูแลรักษาถุงน่อง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">น้ำมันมะพร้าว ป้องกันรังสี UV

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">อาหารสำหรับลดความอ้วน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ประโยชน์และโทษของช็อกโกแลต

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วิธีป้องกันปลวก

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ฝากรูปเอนิเมชั่นเผื่อทุกๆท่านไว้ใช้กันครับ
    ที่มา http://www.kapook.com/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สธ.ออกประกาศเตือน 9 โรค เผยเดือนเดียวป่วยกว่า 2 หมื่น ตาย 6 ราย
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=81261
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>3 มิถุนายน 2550 11:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>สธ.ออกประกาศเตือนประชาชน ระวังภัยจาก 9 โรคติดต่อที่พบบ่อยที่มาพร้อมฤดูฝน เช่น โรคท้องร่วง โรคฉี่หนู ปอดบวม ไข้เลือดออก ระบุเดือนพฤษภาคม 2550 ทั่วประเทศพบผู้ป่วยแล้ว 2 หมื่นกว่าราย เสียชีวิต 6 ราย พร้อมสั่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจับตาโรคไข้หวัดนก
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01bud03030650&day=2007/06/03&sectionid=0121


    วันที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10676​

    ความกลัวไม่ได้เป็นเรื่องของเหตุผล


    คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ

    โดย นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ drwithan@hotmail.com



    อาชีพศัลยแพทย์ของผมทำให้ผมได้มีโอกาสพบกับผู้คนที่จะต้องเผชิญหน้ากับความกลัวอยู่ทุกวี่ทุกวัน ในสมัยเมื่อหลายปีก่อนที่ยังทำการผ่าตัดใหญ่ๆ นั้นผมไม่ค่อยสนใจเรื่องความกลัวของคนไข้สักเท่าไร และมักจะยกหน้าที่ให้กับวิสัญญีแพทย์ที่จะทำการดมยาสลบคนไข้เหล่านั้น อย่างมากผมก็จะบอกกับคนไข้ว่า "ไม่ต้องกลัวอะไรหรอก"

    ในระยะหลังๆ นี้ด้วยเหตุผลบางอย่างผมเลิกทำผ่าตัดใหญ่ๆ เหลือเพียงการผ่าตัดเล็กๆ ซึ่งสามารถใช้ยาชาผ่าตัดได้เหมือนกับการถอนฟัน ผมก็ไม่ได้คิดว่าสำหรับคนไข้แล้ว "ความกลัวผ่าตัด" แบบเล็กๆ นั้นบางครั้งจะเหมือนหรือมากกว่าการกลัวผ่าตัดใหญ่ๆ เสียอีก

    ด้วย "การคิดเชิงเหตุผล" ในตอนนั้นทำให้ผมไม่เข้าใจว่า "ทำไมจะต้องกลัวด้วย" ก็กับแค่การผ่าตัดเล็กๆ แบบที่บางครั้งการถอนฟันยังเจ็บมากกว่าเสียอีก เออ...ถ้าคุณกลัวผ่าตัดใหญ่ก็ไม่แปลกเพราะมีความเสี่ยงอะไรมากมาย แต่การผ่าตัดเล็กๆ อย่างเช่นการตัดไฝสักเม็ดสองเม็ดก็ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย

    แต่ผมก็ต้องเผชิญหน้ากับคนไข้ที่ "กลัวผ่าตัด" เสมอๆ เรียกได้ว่ามากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

    การเลิกใช้บริการของวิสัญญีแพทย์ทำให้ผมต้องรับหน้าเสื่อในการดูแลเรื่อง "ความกลัวผ่าตัด" ของคนไข้ด้วยตัวเอง ในช่วงนั้นใหม่ๆ ผมก็มักจะพึ่งพิงการใช้ "ยานอนหลับ" เพื่อช่วยกล่อมให้คนไข้หลับก่อนที่จะฉีดยาชาในรายที่ต้องผ่าตัดนานกว่ายี่สิบหรือสามสิบนาที แต่ผมก็พบว่ากับคนไข้ที่กลัวจริงๆ "ยานอนหลับขนานเด็ด" ของผมนั้นใช้ไม่ได้ผลเลย คนไข้มักจะกลับไปหลับที่บ้านมากกว่าหลับตอนที่จะทำการผ่าตัด

    ต่อๆ มาผมก็เริ่มพยายามที่จะ "ใช้เหตุผล" กับคนไข้และพยายามให้คนไข้ "ลองแยก" ความกลัวกับความเจ็บออกจากกันว่าคุณกลัวอะไรกันแน่ ส่วนใหญ่คนไข้ก็จะตกหลุมผมเพราะส่วนใหญ่จะบอกว่า "กลัวเจ็บ" และเมื่อผมสามารถทำการฉีดยาชาแบบที่คนไข้ไม่ค่อยเจ็บเรียบร้อยแล้ว ผมก็ยังงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อพบว่า

    "คนไข้ส่วนใหญ่ที่ไม่เจ็บแล้วก็ยังกลัวอยู่ ตราบเท่าที่การผ่าตัดยังไม่เสร็จหรือใกล้จะเสร็จ" ผมจำได้ว่าบางครั้งผมก็อดไม่ได้ที่จะถามเหตุผลและไล่บี้กับคนไข้ไปว่า "เอ๊ะ...ก็คุณบอกผมเองว่ากลัวเจ็บ แต่ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วคุณยังกลัวอะไรอยู่เหรอ?

    ถึงผมจะ "เถียงชนะ" ในเชิงเหตุผล แต่คนไข้ก็ยังคงกลัวอยู่เหมือนเดิม ผมเองก็ค่อยๆ เรียนรู้ว่า "เหตุผลใช้ไม่ได้เสมอไป" ความจริงในช่วงนั้นผมได้เรียนรู้และเขียนเรื่องของการนำปัญญาอารมณ์มาใช้ให้มากขึ้นตามที่ท่านผู้อ่านก็คงจะได้เคยอ่านบทความเหล่านั้นมาบ้างแล้ว

    แต่ปรากฏการณ์ที่ทำให้ผม "คลิก" และพบว่าตัวผมเองยังไม่ได้นำเรื่องของอารมณ์มาใช้ได้อย่างครบถ้วนในชีวิตจริงๆ เลย อย่างน้อยก็ในเรื่องของการดูแลคนไข้ก่อนผ่าตัดของผมนั้นก็คือในช่วงเดือนมีนาคม 2550 นี้เองที่ในวงสุนทรียสนทนาของพวกเราครั้งหนึ่งที่เชียงรายมีคุณหมอสกล สิงหะแห่งคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มาร่วมแจมด้วย พวกเราพูดคุยกันถึงเรื่องทั่วๆ ไปอย่างอื่น คุณหมอสกลเล่าถึงงานวิจัยจากรัสเซียชิ้นหนึ่งไว้ว่า มนุษย์ใช้อารมณ์ในชีวิตเป็นส่วนใหญ่ถึง 96% ใช้เหตุผลเพียงแค่ 4%

    คำพูดของคุณหมอสกลในเรื่องนี้ทำให้ผมคลิกไปถึงเรื่องคนไข้ของผมได้อย่างประหลาด ผมเพิ่งสังเกตว่า แม้ผมจะพยายามนำ "ปัญญาอารมณ์" มาใช้เพิ่มมากขึ้นจากเดิมสักเพียงใดก็ตาม ในแง่กับคนไข้ก่อนผ่าตัดของผม ที่ผ่านมาผมยังใช้เหตุและผลมากมายเสียเหลือเกิน

    หลังจากที่ "ได้คลิก" ในเรื่องนี้แล้ว

    เมื่อผมจะทำการผ่าตัดคนไข้แต่ละราย ผมจะถามพวกเราเหล่านั้นเหมือนเช่นเคยก่อนว่า "รู้สึกอย่างไรบ้างครับ" ซึ่งแน่นอนว่าคนไข้ส่วนใหญ่ก็จะตอบว่ากลัวหรือตื่นเต้น

    ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็จะใช้เหตุผลอธิบายว่า "ไม่ต้องกลัวนะครับ ไม่มีอันตรายอะไรหรอก" หรือแม้แต่พยายามที่จะคาดคั้นเหตุผลกับคนไข้ตามที่เล่ามาข้างต้น

    แต่ตอนนี้ผมจะบอกเขาเหล่านั้นว่า "อ๋อ กลัวเหรอครับ ดีครับ ไม่ต้องพยายามที่จะไม่กลัว" คือเปิดโอกาสใช้คนไข้ได้แสดงอารมณ์กลัว โดยที่ไม่ต้องพยายามไปกดแต่สิ่งสำคัญที่จะต้องฝึกให้กับคนไข้ก็คือ "การรับรู้" ว่า "ตัวเองกำลังกลัว"

    "คนที่กำลังกลัว" กับ "คนที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังกลัว" นั้นจะแตกต่างกันอย่างมาก คนที่กำลังกลัวโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกลัวนั้นจะแก้ปัญหาได้ยากมาก แต่คนที่รับรู้ว่าตัวเองกำลังกลัวนั้นก็ไม่แตกต่างไปจากคนที่ "กำลังตื่นรู้" กับสภาวะที่เป็นปัจจุบัน ณ ขณะนั้น

    ในทางปฏิบัติเมื่อคนไข้ขึ้นมานอนที่เตียงผ่าตัดแล้ว ผมมักจะให้คนไข้ "ลองสังเกตความกลัว" ของตัวเขาเองว่า "ใหญ่ขนาดไหน" ถ้าเต็มสิบจะประมาณสักเท่าไร อาจจะลองมองเห็นเป็นสเกลแบบหน้าปัดเวลาขับรถยนต์ก็ได้ แล้วขอให้ลองเฝ้าดู

    ในขั้นต้น ให้ลองสังเกตและรับรู้เฉยๆ ยังไม่ต้องพยายามไปทำอะไรกับความกลัว อาจจะสอนการหายใจด้วยท้อง หรือนำพาทำบอดี้สแกนให้กับคนไข้ คือให้คนไข้ลองหันมาสนใจกับร่างกาย สังเกตร่างกายว่าตอนที่กลัวนั้นร่างกายมีปฏิกิริยาอย่างไรโดยที่ให้ชายตามองความกลัวอยู่

    ในบางรายผมยังบอกพวกเขาพวกเธอเหล่านี้ด้วยว่า ไม่ต้องพยายามที่จะกล้าหรือไม่กลัวแต่ขอให้ยอมรับอารมณ์กลัวที่เกิดขึ้น ศิโรราบต่อมัน ลองเดินเข้าไปอยู่ตรงกลางความกลัวที่ใหญ่ก้อนนั้นและให้นำพาเรื่องราวผู้คนเหตุผลต่างๆ ออกไปไว้ที่ขอบนอก คุณลองนั่งอยู่กับความกลัวตรงใจกลางของมัน แล้วคุณจะพบว่าที่ใจกลางของความกลัวนั้นช่างเหมือนกับใจกลางของพายุหมุนที่เป็นความนิ่งสงบจริงๆ

    ผมพบกับความมหัศจรรย์ครับว่า วิธีการนี้ได้ผลดีกว่าวิธีการใช้เหตุผลเป็นอย่างมาก เพียงแค่ปล่อยให้คนไข้ได้อยู่กับอารมณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญจริงๆ "ด้วยการเฝ้าสังเกต" ที่แม้จะเป็นอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนักอย่างความกลัว ก็สามารถทำให้ "สเกลหน้าปัดแห่งความกลัว" นั้นลดลงมาอย่างรวดเร็ว

    คนไข้ส่วนใหญ่ที่กลัวแปดถึงเก้าในสิบนั้น เพียงแค่เฝ้าดูความกลัวของตัวเองสักสองสามรอบลมหายใจ ความกลัวก็ลดลงมาอยู่ที่สี่หรือห้าได้เองโดยที่ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ

    บางทีความกลัวก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องมาใช้เหตุผลอะไรกัน ยอมรับมันและดำรงอยู่กับความกลัวน่าจะเป็นเรื่องที่น่าทดลองฝึกฝนดูไม่น้อยกระมัง?
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.matichon.co.th/matichon/...g=01lad02030650&day=2007/06/03&sectionid=0115


    วันที่ 03 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10676​

    โรงพยาบาลสงฆ์


    คอลัมน์ วัยทวีนส์

    โดย เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล



    [​IMG]รูปแบบการทำบุญนั้นสามารถทำความเข้าใจได้จากหลายมุมมอง ซึ่งตามหลักการทำบุญต้องเริ่มจากจิตใจเบื้องลึกเสียก่อน กล่าวคือ เป็นความรู้สึกที่เราต้องการกระทำจริงๆ เป็นการกระทำที่ไร้ความคาดหวังใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งรูปแบบนั้นอาจเป็นทั้งการบริจาคเงิน การตักบาตร การถวายสังฆทาน ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมของชาวพุทธด้วยกันทั้งสิ้น

    แต่ในความเป็นจริงนั้น การทำบุญไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ศาสนาใดก็ตาม ย่อมยึดหลักคิดดี ทำดี ประพฤติดี และมีจุดประสงค์ที่ต้องการช่วยผู้อื่นจากใจจริง ซึ่งต้องเริ่มต้นจากจิตใต้สำนึกของตัวเองเสียก่อน

    ทั้งนี้ โดยส่วนมากแล้วคำว่า "บุญ" มักจะถูกมองในมิติของการสะสมเหมือนกับการสะสมทรัพย์ที่ไม่อาจสามารถมองเห็นได้ เป็นความคาดหวังที่หวังผลตอบแทนไม่ชาตินี้ก็ภายในชาติหน้า

    มิติดังกล่าวมักจะเป็นความคุ้นเคยที่พวกเราเข้าใจกัน แต่สำหรับตัวผมเองนั้น การทำบุญคือการขัดเกลาจิตใจของตัวเราเอง ซึ่งเป็นความรู้สึก "การอยากช่วยเหลือ" โดยไม่คาดหวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ถึงจะเป็นการทำบุญที่แท้จริง

    ดังนั้น ไม่ว่าผู้คนจะทำบุญในรูปแบบใดก็ตามย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่จะดีมากเลยครับถ้าเราไม่หวังผลตอบแทน ดั่งการให้ที่ไม่หวังผลตอบรับไงล่ะครับ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงประเด็นการทำบุญแล้ว ผมขออนุญาตแนะนำสถานที่แห่งหนึ่งที่ผมรู้สึกปลาบปลื้มยินดีทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเยียน

    "โรงพยาบาลสงฆ์" ครับ ถือว่าเป็นโรงพยาบาลแห่งเดียวในประเทศไทยและในโลกที่รัฐได้จัดสร้างขึ้นเพื่อมอบบริการรักษาพยาบาลแก่พระภิกษุสงฆ์สามเณรอาพาธทั่วทั้งประเทศ ซึ่งเป็นความตั้งใจของ ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้มีการสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นในปี พ.ศ.2492 ตราบจนปัจจุบันนี้

    ผมและครอบครัวได้มีโอกาสไปเยี่ยมโรงพยาบาลสงฆ์บ่อยครั้ง และรู้สึกยินดีที่ทางภาครัฐได้มีบริการเช่นนี้แก่พระภิกษุสงฆ์สามเณรอาพาธ และเชื่อไหมครับว่า ทุกครั้งที่ได้ไปเยี่ยมต้องรู้สึก "ปลง" กับคำว่าชีวิต เพราะขนาดพระยังอาพาธจนบางรูปถึงขั้นมรณภาพที่เตียง ไม่สามารถหลบหลีกจากวัฏจักรของ "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" ไปได้

    ทั้งนี้ หลายคนคงรู้สึกชินตากับภาพของพระที่ดูอิ่มเอิบและอิ่มบุญตามวัดวาอารามต่างๆ แต่สิ่งที่สามารถพบเห็นได้จากที่นี่คือสัจธรรม เป็นความจริงของชีวิตที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้

    ที่สำคัญคือ พระแต่ละรูปที่อาพาธนั้นอยู่ในอาการค่อนข้างหนักทีเดียว บางรูปถึงขั้นมีเครื่องช่วยหายใจติดไว้ข้างเตียงเลยครับ

    ผมและครอบครัวนิยมเดินบริจาคเงินสดแก่พระภิกษุสงฆ์ที่เตียง เมื่อบริจาคเสร็จแล้วพระผู้อาพาธทั้งหลายก็จะสวดมนต์ให้พรแก่พวกเราอันเป็นความรู้สึกที่ปลาบปลื้มปีติยินดีเสียจริงๆ จนบางรายถึงขั้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เลยทีเดียวครับ

    อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลสงฆ์ก็มีจุดบริจาคเงินส่วนกลางที่ท่านผู้อ่านสามารถนำเงินไปบริจาคช่วยเหลือทางโรงพยาบาลได้อีกที่หนึ่ง ซึ่งค่าบริจาคนั้นจะถูกนำไปใช้จ่ายในการพัฒนาตัวตึกอาคาร อุปกรณ์ทางการแพทย์ และเป็นค่าอาหาร ค่ายาแก่พระทั้งหลายด้วยนะครับ

    สถานที่ตั้งของโรงพยาบาลสงฆ์รับรองว่าหาไม่ยากครับ ตั้งอยู่บนถนนศรีอยุธยานี่เองครับ

    สาเหตุที่ผมหยิบยกประเด็นนี้มาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังก็มิได้มีอะไรมากหรอกครับ เพียงแต่ว่ารูปแบบการทำบุญนั้นมีอยู่หลากหลายวิธี ซึ่งผู้คนส่วนมากมักนิยมนำเงินไปบริจาคที่วัดซะเป็นส่วนมาก แต่ยังมีอีกหลายท่านที่อาจไม่รู้ว่าโรงพยาบาลสงฆ์นั้นยังต้องการความช่วยเหลืออีกมาก

    เราคงต้องทำใจและยอมรับว่าเดี๋ยวนี้วัดรวยก็มีเยอะ แต่สถานที่อย่างโรงพยาบาลสงฆ์ผู้คนกลับยังไม่ให้ความสนใจมากเท่าไรนัก

    เชื่อผมเถอะครับว่า เมื่อท่านผู้อ่านได้มีโอกาสไปเยี่ยมพระภิกษุสงฆ์สามเณรอาพาธแล้ว ท่านจะลืมคำว่า "บุญ" ไปเลยทีเดียว เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นกลับกลายเป็นความรู้สึกของการอยากช่วยเหลือนั่นเองครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มีพี่ที่ผมเคารพท่านหนึ่ง ได้บอกกับผมในเรื่องของการทำบุญกับพระอาพาธ และให้ข้อคิดมาว่าน่าจะทำกองทุนขึ้นมาสักกองทุนหนึ่งที่โรงพยาบาลสงฆ์ ผมเองก็จะไปปรึกษากับหลายๆท่านที่เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถม ว่าจะทำเรื่องกองทุนนี้อย่างไร

    ส่วนทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านในกระทู้นี้นั้น ผมแนะนำให้ไปทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์บ้างนะครับ การทำบุญต้องทำหลายๆอย่าง จึงจะดีครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.bangkokbiznews.com/2007/05/28/WW55_5501_news.php?newsid=74455


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=866 border=0><TBODY><TR><TD width=5></TD><!--เปิด Column Center --><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=590><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" background=/images2007/cus_bg.jpg border=0><TBODY><TR><TD width=327>[​IMG]</TD><TD width=327>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>อย.เตือนน้ำมันรำข้าว-จมูกข้าว โฆษณาเกินจริง
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>28 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 17:22:00
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=180 align=left bgColor=#ffffdd border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=180>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    อย.เตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อน้ำมันรำข้าว-จมูกข้าว ช่วยลดไขมัน ต้านมะเร็ง พร้อมแจ้งเตือนผู้ประกอบการให้ระงับโฆษณา และเตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับการโฆษณาน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว
    โดยระบุสรรพคุณช่วยลดไขมัน ต่อต้านโรคมะเร็ง ซึ่งจากการตรวจสอบไม่มีข้อเท็จจริงทางวิชาการยืนยันถึงความน่าเชื่อถือ และ อย.ได้แจ้งเตือนไปยังผู้ทำโฆษณาให้ระงับการโฆษณา และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้บริโภคอย่างได้หลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพราะมุ่งหวังรักษาโรคโดยเด็ดขาด อาจทำให้เสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้อง หากจะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารควบคู่ไปกับการรักษา ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด และไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่หวังผลทางการค้ามากเกินไป หากผู้บริโภคพบเห็นการอวดอ้างสรรพคุณผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่าสามารถรักษาโรคได้หรือโฆษณาหลอกลวง ขอให้แจ้งเบาะแสโดยละเอียดผ่านสายด่วน อย.1556 เพื่อทางราชการจะได้ดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวดต่อไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/01/WW55_5503_news.php?newsid=75993


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ไทยเฝ้าระวังวัณโรคเอ็กซ์ดีอาร์ไม่มียาชนิดใดรักษาได้
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>1 มิถุนายน พ.ศ. 2550 16:24:00
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>

    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นพ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการประสานงานข้ามทวีปเพื่อติดตามตัวผู้ป่วยวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยาอย่างรุนแรง หรือวัณโรคเอ็กซ์ดีอาร์ (extreme drug resistant : XDR TB) ที่เดินทางจากสหรัฐอเมริกาไปท่องเที่ยวในหลายประเทศเช่นฝรั่งเศส กรีซ อิตาลี แคนาดา เนื่องจากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อวัณโรคเอ็กซ์ดีอาร์ ซึ่งเชื้อชนิดนี้ ไม่มียาชนิดใดในโลกนี้รักษาหายขาดได้ เพราะเกิดการดื้อยาทุกชนิดที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ การประสานงานเพื่อตามกักตัวผู้ป่วยที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม และเพิ่งพบตัวชายคนดังกล่าวเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถือเป็นรายล่าสุดในรอบ 44 ปีที่ถูกติดตามตัว ซึ่งเมื่อปี 2506 เป็นครั้งสุดท้ายที่หน่วยงานควบคุมโรคติดตามตัวผู้ป่วยต้องสงสัยเป็นไข้ทรพิษ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคตามด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศทั้งทางเรือ อากาศและทางบก กรณีที่เกิดขึ้นเป็นอุทธาหรณ์อย่างดีซึ่งหากเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์จากไข้หวัดนกจะสร้างสูญเสียจนประมาณค่ามิได้
    นพ.ธวัช กล่าวว่า วัณโรคเอ็กซ์ดีอาร์ ตรวจพบผู้ป่วย 234 คนจาก 19 ประเทศ โดย 5 อันดับแรกที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ เกาหลีใต้ 136 คน ตามด้วย อาเจนตินา โปรตุเกส เชค และสหรัฐอเมริกา สำหรับประเทศไทยยังไม่มีคนไทยติดเชื้อวัณโรคเอ็กซ์ดีอาร์ แต่ตรวจพบคนต่างด้าวในศูนย์ผู้อพยพ 3 คน ได้กักตัวไม่ให้แพร่เชื้อแล้ว ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก แจ้งว่า พบวัณโรคเอ็กซ์ดีอาร์ และไม่สามารถรักษาได้ในหลายภูมิภาคทั่วโลก เช่น สหรัฐ ยุโรปตะวันออก และแอฟริกา องค์การอนามัยโลก รายงานเมื่อปี 2549 ว่า แต่ละปีพบผู้ป่วยวัณโรคที่ดื้อยารักษาขั้นแรกอย่างน้อย 2 ขนาน หรือวัณโรคเอ็มดีอาร์ (multi-drug resistant TB) ประมาณ 425,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยในอดีตสหภาพโซเวียต จีน อินเดีย ผู้ป่วยต้องเปลี่ยนไปใช้ยาขั้นที่ 2 ซึ่งแรงกว่า แพงกว่า และต้องใช้เวลารักษานานขึ้น ส่วนวัณโรคสายพันธุ์ดื้อยาอย่างรุนแรง หรือวัณโรคเอ็กซ์ดีอาร์ (extreme drug resistant TB) นั้น ไม่เพียงดื้อยารักษาขั้นแรกเท่านั้น แต่ยังดื้อยารักษาขั้นที่ 2 ไม่ต่ำกว่า 3 ขนาน ผู้ป่วยวัณโรคสายพันธุ์นี้ จึงหมดหนทางรักษา “เชื้อวัณโรคทั่วไปมียาที่มีประสิทธิภาพสูง รับประทานต่อเนื่อง 6 เดือนรักษาโรคให้หายขาดร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งระบบการรักษาผู้ป่วยในบ้านเราใช้ระบบ DOT หรือการรักษาแบบมีพี่เลี้ยง ติดตามให้กินยาอย่างต่อเนื่อง มีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ปีละประมาณ 58,000 คน อยู่ในระยะแพร่เชื้อ 3,300 คน แต่จากการใช้แบบจำลองคาดการณ์จำนวนผู้ป่วยทางระบาดวิทยา คาดว่า น่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่ 91,000 คน อยู่ในระยะแพร่เชื้อ 40,000 คน การค้นหาผู้ป่วยรายใหม่ นำมากินยาต่อเนื่องเป็นวิธีที่จะควบคุมโรคได้”นพ.ธวัช กล่าวและว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีความเสี่ยงสูงในการรับเชื้อวัณโรคการรักษาให้หายขาดก็ยุ่งยากกว่าติดวัณโรคอย่างเดียว นพ.ธวัช กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรคให้กับทารกแรกเกิดทุกราย แต่วัคซีนดังกล่าวจะป้องกันวัณโรคเอ็กซ์ดีอาร์ได้หรอืไม่ ต้องมีการศึกษาวิจัยต่อไป ทั้งนี้ วัณโรคแพร่จากคนสู่คนโดยการหายใจ ไอ จาม โดยเชื้อวัณโรคก่อโรคในอวัยวะทุกส่วนของร่ายกาย แต่ร้อยละ 80 มักจะเกิดขึ้นที่ปอด อาการสำคัญที่ควรพบแพทย์ คือ ไอแห้ง ๆ ต่อมามีเสมหะ ลักษณะใสเหนียว เมื่อเป็นมากขึ้นจะรู้สึกเจ็บชายโครงเวลาไอ ไอนานกว่า 3 สัปดาห์ น้ำหนักลด ไม่มีแรง อ่อนเพลีย มีไข้ต่ำ ๆ มักเป็นช่วงหัวคำ เหงื่อออกเวลากลางคืน ผิวหนังซีดและมีสีเหลืองใสบาง ไอเป็นเลือด ไอมีเสมหะปนเลือด หรือมีเลือดสด ๆ ปนออกมาหรือเป็นลิ่มเลือด
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.bangkokbiznews.com/2007/05/28/WW55_5503_news.php?newsid=74454


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>หมอเตือนหน้าฝนไข้หวัดใหญ่ระบาด
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>28 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 17:16:00
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=180 align=left bgColor=#ffffdd border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=180>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle width=180>ระวังไข้หวัดใหญ่ระบาด
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    หมอเตือนหน้าฝนไข้หวัดใหญ่ระบาด วอนผู้สูงอายุเร่งฉีดวัคซีนป้องกัน แนะแนวทางป้องกันโรค พักผ่อนเพียงพอ หลีกเลี่ยงการชุมนุม ถือเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อ โดยเฉพาะ 30 พ.ค.นี้ระวังชุมนุมติดโรคได้
    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ แถลงข่าว “วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุ : ป้องกันสุขภาพของคนที่คุณรักจากโรคร้ายที่มากับหน้าฝน” ว่า ช่วงนี้สภาพอากาศแปรปรวนทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะระบาดในช่วงฤดูฝนประมาณเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่าอัตราการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ช่วงนี้สูงถึงร้อยละ 55 มีผู้ป่วยที่ได้รับรายงานประมาณ 20,000 คน และมีอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ถูกวินิจฉัยว่าเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน ดังนั้น คาดว่าตัวเลขจริงๆในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยสูงถึง 4-5 ล้านคน โดยในจำนวนนี้พบมากในผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และคนที่มีโรคประจำตัว อาทิ โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต เบาหวาน ฯลฯ
    ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวอีกว่า สาเหตุการเสียชีวิตมาจากภาวะแทรกซ้อนของโรค อาทิ ปอดบวม โดยเฉพาะในคนที่มีภูมิต้านทานต่ำ คือ ผู้สูงอายุ เด็กที่อายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ โดยจะมีอาการไข้สูง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกใส ไอแห้งๆ สำหรับไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งส่วนใหญ่พบมากในกลุ่มผู้สูงอายุ เพราะภูมิต้านทานโรคต่ำต้องรีบนำพบแพทย์ทันที อย่างไรก็ตาม การป้องกันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ จึงอยากรณรงค์ให้ผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปรับการฉีดวัคซีน เพื่อรับมือการเจ็บป่วยที่จะเกิดขึ้นมากในช่วงฤดูฝน ทั้งนี้ ราคาก็ไม่แพงนักเพียง 400-500 บาทต่อเข็มเท่านั้น ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า การฉีดวัคซีนควรฉีดเป็นประจำทุกปี ในช่วงก่อนเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงต้นระบาด โดยภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นภายหลังได้รับวัคซีนประมาณ 14 วัน ซึ่งจะป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้มากกว่า 1 ปี นอกจากนี้ ต้องดูแลสุขภาพตัวเองด้วย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ที่สำคัญต้องไม่อยู่ในที่ที่มีคนรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เพราะถือเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรคอย่างดี โดยเฉพาะการชุมนุมที่อาจจะมีขึ้นในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่เพียงอย่างเดียว พญ.ประภาศรี จงสุขสันติกุล ผอ.สำนักโรคไข้หวัดใหญ่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้เพียง 350 ล้านโดส ซึ่งประเทศไทยมีโอกาสซื้อเพียง 5-6 แสนโดส โดยวัคซีนดังกล่าวมีอายุเพียง 1 ปี ซึ่งการรณรงค์ให้กลุ่มเสี่ยงติดโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ไม่ถือเป็นการสิ้นเปลืองวัคซีน เพราะ สธ. ได้เก็บบางส่วนให้แก่ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับสัตว์ปีก แพทย์พยาบาล ที่ต้องฉีดวัคซีนดังกล่าวเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดนก ดังนั้น ในกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ที่เจ็บป่วยง่ายก็จำเป็นต้องใช้ เพื่อคุณภาพชีวิตของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันวัคซีนไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 3 สายพันธุ์ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1.ชนิดเอ มีสายพันธุ์ H1N1 ประมาณร้อยละ 60 สายพันธุ์ H3N2 ร้อยละ 30 และ 2.ชนิดบี ซึ่งปีนี้สายพันธุ์ H3N2 พบมากขึ้น เนื่องจากเพียงไม่กี่เดือนมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่เสียชีวิตถึง 3 ราย ดังนั้น ควรรีบฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคดีที่สุด
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
    รบกวน ขอเรียนถามคุณ สิทธิพงศ์ ด้วยครับ
    ผงราชวรมันต์ คืออะไร ใครเป็นผู้ทำ มีอิทธิคุณเช่นไร
    หากนำพระที่ที่ได้ เช่นล็อกเก็ตให้เด็กใส่ จะดีหรือไม่เพราะว่าเด็กบางครั้งก็ชอบวิ่งลอดใต้ขาผู้ใหญ่ เช่นพี่เลี้ยงผู้หญิง หรือราวผ้า
    กรณีเด็กโต หรือผู้ใหญ่แขวนติดตัวตลอดเวลาจะมีปัญหาบ้างมั้ย เช่นใส่นอนจะทำให้พระอยู่ต่ำกว่าเราบ้างเมื่อนอนคว่ำ หรือใส่อาบน้ำจะไม่ดีต่อผิวพระผง(ชำรุดง่าย) หรือใส่เล่นน้ำ ในสระ ริมหนองคลองบึง ย่อมมีผู้อื่นอยู่ในน้ำด้วย ทั้งหญิงชาย
    คืออยากให้มีสิ่งศักดิ์คุ้มตัวอยู่ตลอดเวลานะครับ โดยเฉพาะ กับลูกและเมีย
    ขอบคุณครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผงราชวรมันต์ เป็นผงที่ได้จากพระแตกหัก น่าจะเป็นยุคศรีวิชัย แต่ผมจะไปถามข้อมูลมาให้อีกครั้ง

    หากให้เด็กใส่นั้น สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรทำก็คือการลอดใต้ขาผู้หญิง ซึ่งยังมีประจำเดือนอยู่ พระนั้นไม่เสื่อม แต่จะไม่ดีกับพี่เลี้ยงเด็กและตัวเด็กเองครับ ส่วนการใส่อาบน้ำนั้นใส่ได้ ใส่นอนก็ใส่ได้ แต่ข้อห้ามอีกอย่างที่มักจะเหมือนๆกันก็คือ ห้ามใส่พระเวลามีเพศสัมพันธ์ครับ พระที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรท่านอธิษฐานจิตไม่เสื่อม แต่ผลที่ไม่ดีจะเกิดกับผู้ที่สวมใส่ครับ จึงต้องเตือนเด็กและพี่เลี้ยงไว้ด้วยครับ

    ผมส่งลูกแก้วสารพัดนึกไปให้แล้วครับ สามารถใส่ได้ตลอดเวลาครับ ลูกแก้วก็เหมือนพระนะครับ ใช้การอาราธนาเหมือนอาราธนาหลวงปู่ครับ บทอาราธนาหลวงปู่จะอยุ่ในหน้าแรกของกระทู้นี้ครับ

    โมทนาสาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...