เรื่องเด่น แนวคำสอนสมเด็จโตเรื่องกายทิพย์สมาธิ

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย KWANPAT, 14 เมษายน 2012.

  1. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ฝึกเป็นคนไม่โลภอยากได้
    ด้วยจิตสำนึกที่ละอายเกรงกลัวต่อบาป ไม่อยากได้ของคนอื่น จึงเป็นพลังกุศล
    คอยเตือนให้เราระมัดระวังในโลภทิพย์ อย่าประมาทเข้าไปหลงใหลในสิ่งทั้งปวง
    เพราะความสวยงามหรือสิ่งพิสดารทั้งหลายอาจจะเป็นหลุมบ่อพลางอันตราย
    อันยิ่งใหญ่ได้ กุศลเจตนาที่ตั้งไว้ ยังเป็นพลังใจป้องกันอิทธิพลพลังของกระแส
    จิตวิญญาณฝ่ายต่ำ (มารและวิญญาณร้ายแทรก) ที่คอยดลใจเราให้เราทำชั่วได้

    ฝึกใจเป็นกลางวางเฉยซึ่งการปรุงแต่ง
    ในภาคกายเนื้อแห่ง ความเป็นมนุษย์ ชีวิตประจำวันต้องหัดฝึกใจให้เป็นกลาง
    ที่ไม่หวั่นไหวได้ง่ายกับความรู้สึกตื่นเต้นความรู้สึกปิติยินดี ความกลัวอย่างรุนแรง
    เมื่อเราฝึกใจเป็นกลาง อยู่ในลักษณะสมดุลย์ไม่หวั่นไหวอยู่เสมอแล้ว ก็เป็นการ
    สร้างพลังจิต ที่แข็งแกร่งแน่วแน่สามารถต้านทานแรงกระทบสิ่งแวดล้อม จากกาย
    เนื้อ ทั้งนี้การฝึกนี้ยังส่งผลให้กายทิพย์แข็งแกร่งด้วย
     
  2. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ฝึกเป็นคนให้อยู่ในระเบียบวินัย
    ผู้ที่จะฝึกหัดตนเองให้อยู่ในระเบียบวินัยด้วยตนเอง ต้องอาศัยแรงใจความพยายาม
    อยู่อย่างมาก จึงสามารถสร้างจิตใจให้อยู่ในกรอบที่ดีมีจุดประสงค์มีอุดมคติในทางดีงาม
    เชื่อมั่นในศาสนาด้วยความบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ เตรียมกายให้ปกติแข็งแรงอยู่เสมอ
    ทั้งเตรียมใจที่มีความศรัทธามุ่งมั่นจะทำหน้าที่ตนอย่างจริงจัง และเสียสละด้วยความ
    พร้อมเสมอที่จะแบ่งเวลาและเงินทองส่วนหนึ่ง อุทิศในการช่วยเหลือคนอื่น อันเป็น
    การอบรมใจให้กล้าแกร่งด้วยความบริสุทธิ์มีผลสร้างกายทิพย์มั่นคง มีเสถียรภาพ
    พอที่จะต่อต้านอิทธิพลอันร้ายๆ ในโลกทิพย์ได้ และจะไม่คล้อยทำตามกิเลสอัน
    ชั่วร้ายที่จะมาทำลายอุดมคติเราได้ เมื่อร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาวะสมดุลย์
    สมบูรณ์จริงๆ แล้ววิญญาณอื่นก็ไม่สามารถจะแทรกเข้ามาได้ง่าย

    ผู้ฝึกถอดจิตต้องไม่คะนองโลดโผน
    ผู้ฝึกถอดจิตได้ใหม่ๆ เหมือนคนขับขี่รถเป็นใหม่ๆ เห่อเผลอหลงในความสามารถ
    ฤทธิ์เดชที่ตนได้ ขอจงใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษอย่างยิ่งในการปลุกเร้าความ
    สามารถที่ซ้อนอยู่ในกายเนื้อเราที่จะนำออกมาใช้ โดยไม่โลดโผน อยากรู้
    อยากเห็นตื่นเต้นไปหมดทุกเรื่อง อันเป็นความโง่เขลามากไปหน่อยที่จะพบ
    อันตรายได้

    สรุป จงอย่าสร้างงเหตุผลโต้เถียง ควรลงมือปฏิบัติพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง
    จิตสงบเสมอเท่าระดับเทวดาก็เห็นเทวดา จิตสงบเท่าระดับพรหมก็เห็นพรหม
    จิตหยุดการปรุงแต่งโดยสิ้นเชิงก็จะเห็นพระพุทธองค์


    คนที่ไม่ควรฝึกถอดจิต
    เพื่อป้องกันอันตรายในภาวะถอดจิต บุคคลที่มีอาการต่อไปนี้

    ๑.โรคหัวใจทุกชนิด
    ๒.เคยเป็นบุคคลเป็นโรคประสาทวิกลจริต
    ๓.เคยช๊อคหมดสติ
    ๔.ขวัญอ่อนตกใจง่าย
    ๕.หวาดผวาอยู่บ่อยๆ
     
  3. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    วิชชาที่เป็นศาสตร์แห่งความรู้อันน่าศึกษา ในศาสนาพุทธยังมีอีกมากมาย เช่น
    วิชชา ๘ ประการ อันได้แก่

    ๑.มโนมยิทธิฤิทธิ์สำเร็จด้วยใจรวมทั้งอธิษฐานนิรมิตถอดตัวกายทิพย์ออกจาก
    กายเนื้อดุจชักไส้จากหญ้าปล้อง ชักดาบออกจากฝัก ( หรือที่เรียกว่า "ถอดจิต" )
    ๒.อิทธิวิธี ความรู้ที่ทำให้แสดงฤิทธิ์ได้ต่างๆ
    ๓.ทิพโสต ญาณที่ทำให้มีหูทิพย์
    ๔.เจโตปริยญาณ ญาณที่ทำให้สามารถ กำหนดหยั่งรู้วาระจิตคนอื่น
    ๕.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณอันระลึกชาติปางก่อนได้
    ๖.จุตุปปาตญาณ ญาณที่ทำให้มีตาทิพย์ในการกำหนดที่จะรู้เรื่องการ
    จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นไปตามกรรม และเห็นการเวียน
    ว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลาย
    ๗.วิปัสสนาญาณ ญาณปัญญาที่พิจารณาสังขาร คือ เห็นนามรูปในตัวเรา
    เป็นไปตามพระไตรลักษณ์อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อฝึกไปตามลำดับ
    เป็นขั้นๆ ต่อเนื่องกัน ก็จะเจริญถึง
    ๘.อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ ในธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวกิเลส
    เครื่องเศร้าหมองทั้งหลายที่หมักหมมอยู่ในจิตสันดาน

    วิชชาเหล่านี้ ล้วนเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าประโยชน์มหาศาล
    ที่ชาวพุทธควรแก่การศึกษา ตามปรัชชาแห่งพุทธศาสนาสอน
    ให้ศึกษารู้จักตัวเราตั้งแต่ปัจจุบันแล้ว เจาะลึกไปสู่อดีตชาติของเรา
    เพื่อเสาะแสวงค้นคว้าหาถอดถอนกิเลสในตัวเราให้เหลือน้อยที่สุด
    จนสิ้นเชื้อแห่งกิเลส วิชาเหล่านี้ ล้วนแต่ที่ทุกคนมีโอกาสเรียนสำเร็จได้
    ถึงเป้าหมายด้วยการฝึกสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน โดยอาศัยการแนะนำ
    เพิ่มเติมจากครูบาอาจารย์เจริญรอยตามพุทธองค์ เปิดใจกว้างขวาง
    อย่างบริสุทธิ์ คลายจากการยึดมั่นถือมั่น เมื่อใจเราหยุดปรุงแต่งเดี๋ยวนี้
    ก็จะเห็นตัวเราและจักรวาล ตั้งแต่เกิดจนตาย ความรู้โลกนี้้เรียนไม่รู้
    จักหมดสิ้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  4. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ตาทิพย์


    ก่อนอื่นต้องอธิบายให้เข้าใจภาวะกายทิพย์อำนาจก่อน ของทิพย์เป็นของละเอียดอ่อน
    ยิ่งกว่าอณูปรมาณู ซึ่งเรียกว่า " มวลสาร " ดังนั้น เมื่อเราจะมองเห็นของเล็กๆ เราก็ต้อง
    รวบรวมพลังกายในกายจากฝึกอบรมจิตให้สงบละเอียดลงๆ จนอยู่ในสภาพภาวะเดียวกัน
    กับมวลสารที่เราสัมผัส เหมือนปรับสภาพตัวเราให้เป็นเครื่องโทรทัศน์ เพื่อรับภาพที่
    เป็นกระแสคลื่นอยู่รอบๆ ตัวเรา ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ เมื่อท่านฝึกผ่านได้ปฐมฌานแล้ว
    ถ้าท่านฝึกต่อไปเรื่อยๆ ก็มีเพียงสงบอยู่นั่น แม้บางครั้งอาจจะเกิดฤิทธิ์เดชบางอย่างขึ้นบ้าง
    ก็ไม่รู้หนทางที่จะศึกษาให้เจริญขึ้น ไต่ไปสู่การที่จะใช้อำนาจพลังจิตนั้นได้

    ดังนั้นท่านควรฝึกบทนี้ต่อไป เพื่อพิสูจน์ความจริงเรื่องโลกทิพย์ จิตวิญญาณ เพื่อเป็นเครื่อง
    เตือนสติ " ตายแล้วไม่ดับสูญ " กฏแห่งกรรมมีจริง และยังสามารถมองเห็นที่มาของอุปสรรค
    ที่ขวางกั้นจิตใจ ในการเจริญสมาธิ เพื่อที่จะได้หาทางแก้ไขต่อไป เมื่อท่านฝึกปฏิบัติจิต
    สำเร็จผ่านบทปฐมฌานแล้ว ท่านจะมีจิตใจสบาย เห็นดวงแก้วที่เราจดจ่อนั้นค่อยๆ เรืองแสง
    จนค่อยๆ สว่างมากขึ้นถึงขั้นแสงจ้าจัดแรงกล้าไม่แพ้ดวงอาทิตย์และความสว่างนี้จะคงอยู่
    ได้นาน ไม่ลดลงไปอีก เมื่อท่านได้ปฏิบัติจิตอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นท่านรวมกระแสจิตใจ
    ความนึกคิดที่เป็นหนึ่งนั้นค่อยๆ บีบรีดให้ปลายแหลมเหมือนเข็มแล้วค่อยๆ น้อมนำกระแส
    จิตนั้น มุ่งไปเฉพาะที่ส่งเข้าไปศูนย์กลางดวงแก้วนั้น อย่างช้าๆ เรื่อยๆ ไม่ขาดสาย
    มิช้ามินานก็จะเห็นภาพค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างเลือนลาง ขอให้ท่านส่งกระแสจิตใจ
    ความนึกคิดเข้าเพิ่มเติมที่ภาพนั้นอีกต่อไป ภาพนั้นก็จะค่อยๆ ชัดมากขึ้นตาม
    กำลังของสมาธิ จนเห็นภาพนั้นเหมือนของจริงที่มองด้วยตาเนื้อ คือเหมือนลืม
    ตามองเห็น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • open3eye[1].jpg
      open3eye[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.4 KB
      เปิดดู:
      144
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  5. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    คนไม่ฝึกสมาธิจิตจะหยาบ มองเห็นแต่กายหยาบ
    คนฝึกจิตให้ละเอียดสุขุม ย่อมมองเห็นของละเอียด ( ของทิพย์ ) ได้

    ตาทิพย์ มองเห็นได้ ๒ สิ่ง

    ๑.ของทิพย์ เช่น วิญญาณและวิมาน หรือนิมิตแห่งทิพย์
    ๒.วัถตุธาตุ คือ วัตถุที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อ คือ เหมือนลืมตาดู

    คนที่ฝึกตาทิพย์ใหม่ๆ ควรจะทดลองด้วยการ ฝึกหน้าหิ้งพระ ขอชมบารมี
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราบูชา โดยอย่าได้ไปสอดรู้สอดเห็นสิ่งอื่น นอกหิ้งพระ
    มิฉะนั้นแล้วจะได้รับอันตราย

    ภาพที่เห็นครั้งแรกจะเป็นพวกทิพย์ คือ วิญญาณ ส่วนมากจะเป็นนิมิตที่ยัง
    ไม่แน่นอนถูกต้องเสมอ เพราะพลังจิตเรายังอ่อน อาจจะเป็นภาพหลอกหลอน
    หรือภาพเนรมิตมาบังเราได้ ขอให้ท่านวางใจเป็นกลางเฉยๆ ก่อน แล้วส่งกระแส
    ใจภาพนั้น ภาพนั้นก็จะค่อยๆ ชัดขึ้นมา และมองไปโดยไม่ปรุงแต่งแบบไม่มี
    ความอยากรู้ และต้องไม่กลัวภาพที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะน่ากลัว

    เมื่อท่านฝึกดูเหตุการณ์ในปัจจุบันได้แล้ว และเมื่อฝึกต่อจนเกิดพลังแข็งแกร่งแล้ว
    ก็จะสามารถมองไปข้ามทวีปและเรื่องอนาคตได้ แต่เรืองอนาคตนี้อาจจะไม่แน่นอน
    เสมอไป เพราะยังมีวิบากกรรมเข้ามาปรุงแต่งให้เปลี่ยนแปลงได้ และมองถอยไป
    ในอดีตได้ แต่ยังไม่พอที่จะระลึกชาติได้ ซึ่งส่วนมากจะสามารถมองเห็นเหตุการณ์
    เฉพาะที่เราอธิษฐานจิต เช่น อยากรู้สาเหตุที่นั่งปฏิบัติจิตแล้วจิตไม่สงบ เมื่อน้อมจิต
    ไปตามคำอธิฐาน ก็จะเห้นภาพเหตุการณ์ที่เหตุบังปัญญาไม่ให้บรรลุทางสงบ

    จำไว้ว่า ถ้าได้เห็นเรื่องของโลกวิญญาณแล้ว อย่าได้ทำเป็นคนปากเปราะ
    เห็นอะไรเที่ยวพูดเที่ยวเล่าให้ใครต่อใครฟัง ท่านต้องพิจารณาว่าสมควรบอก
    หรือไม่เพราะถ้าบอกสุ่มๆ ไป ท่านอาจจะต้องรับกรรมในฐานะเอาเรื่องของ
    โลกวิญญาณมาเปิดเผย โดยพูดแล้วอาจจะเกิดความเสียหายกับโลกวิญญาณ

    เหตุทั้งนี้เพราะว่า การเอาเรื่องอีกโลกหนึ่งมาบอกเล่าให้คนอีกโลกฟัง คนส่วนมาก
    จะไม่เชื่อแล้ว ก็จะกล่าวคำพุดหยาบช้าสบประมาทโลกวิญญาณ ทำให้เกิดภาวะ
    กฏแห่งกรรมลงโทษผู้พูดคำสบประมาทนั้นได้ ซึ่งก็อาจจะพาให้ท่านเดือดร้อน
    ไปด้วย ต่อไปพิสูจน์มองวัตถุธาตุด้วยตาทิพย์ คือ เมื่อท่านฝึกจนบรรลุตาทิพย์แล้ว

    หัดหลับตามองเห็นภาพวัตถุธาตุต่างๆ ให้ชัดเหมือนลืมตาดู และจะแน่นอน ต้องฝึก
    จนถึงขั้นหลับตาอ่านหนังสือได้ ไม่ผิดแม้สักตัวเดียวแสดงว่า ท่านจบหลักสูตร
    ตาทิพย์แล้ว ขอแสดงความดีใจกับท่านมา ณ โอกาสนี้

    ระหว่างฝึกตาทิพย์นี้

    ๑.ใบหน้าและลูกตาจะไม่มีอาการบิดเบี้ยว
    ๒.ประสาททุกส่วนจะไม่มีอาการตึงเครียด
    ๓.จำไว้ว่า นี่คือ การฝึกทิพย์อำนาจ ไม่ใช่ฝึกตาเนื้อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7 KB
      เปิดดู:
      149
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  6. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ฝึกรักษาโรค

    โรคภัยไข้เจ็บนั้นเกิดจากกรรม ๒ ประเภท

    ประเภทที่ ๑ เกิดจากกรรมในอดีตชาติส่งผล มาตามล้างตามสนอง
    ให้วิบากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือกรรมที่ก่อไว้ในปัจจุบันส่งผลในชาตินี้

    ประเภทที่ ๒ เกิดจากการเสื่อมโทรมของร่างกายที่เป็นไปตามสภาวะธรรมชาติ
    เกิด แก่ เจ็บ หรือเกิดจากการที่มนุษย์ ไม่รู้จักรักษาพยาบาลร่างกายให้แข็งแรง
    ที่จะไม่ให้ร่างกายเสื่อมเร็วก่อนอายุขัยอันสมควร

    ดังนั้น การรักษาโรคจึงเป็นการดุลกรรมคนป่วย และส่วนมากคนป่วยเล็กน้อย
    ไม่ค่อยจะหาหมอรักษา จะรักษาต่อเมื่อโรคกำเริบจนอาการหนักแล้ว การรักษา
    โรคนี้ เขาพูดกันว่า " มาเป็นภูเขา ไปเป็นเส้นผม " คือเวลาป่วยขึ้นมาส่วนมาก
    จะมีอาการหนัก แต่เวลาป่วยจะหายนั้นต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆไป หายไปทีละเล็ก
    ละน้อย ถ้าท่านคิดจะสงเคราะห์ ช่วยรักษาโรคให้คนป่วยแล้ว ต้องอาศัยตาทิพย์

    พิจารณาดูเรื่องวิบากกรรมของเขาก่อน แล้วจึงค่อยๆ รักษาให้หายได้ พร้อมแนะนำ
    คนป่วยหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ ฝึกสมาธิทำใจ ให้สงบควบคู่กับการทำบุญสร้างกุศล
    ช่วยเหลือคนอื่นด้วยกำลัง หรือปัจจัยตามกำลังความสามารถของตนที่จะทำได้ดีที่สุด
     
  7. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ศึกษาวิธีรักษาโรค

    ๑. ตรวจรักษาโรค ถ้าคนป่วยมาหาท่านบอกว่าปวดตรงนี้ตรงนั้นแล้ว ขอให้ท่านหลับตา
    รวมจิตเป็นหนึ่งให้เป็นดวงแก้วส่งข้ามไปตำแหน่งที่ปวด ท่านจะพบว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์
    ที่เห็นกล้ามเนื้อเส้นเลือดอย่างชัดเจนยิ่งกว่าเครื่องเอ็กซเรย์ และอาจจะพบว่า บริเวณ
    ที่ปวดนั้นเส้นเลือดบวมหรือช้ำหนอง หรือมีเนื้องอกทับอยู่เส้นประสาท ท่านก็บีบดวงแก้ว
    ให้เล็กลงแล้ว ค่อยๆ ละลายบริเวณปวดนั้นให้ค่อยๆ คืนสู่สภาพปกติ โดยใช้วิธีการ
    นึกมโนภาพว่า ค่อยๆ หายไปๆ พอเราถอนดวงจิตกลับคืนสู่ร่างแล้ว อาการคนไข้
    ก็จะบรรเทาได้ แต่ทั้งนี้จะหายเร็วหรือไม่ ต้องพิจารณาขึ้นกับเจ้ากรรมนายเวรด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  8. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ๒.วิธีส่งกระแสจิตเข้าสัมผัส คนป่วยมีอาการป่วยเหมือนข้อ ๑ แต่เราพลังจิตยังไม่
    แข็งแกร่งพอ ให้สัมผัสร่างกายคนป่วยด้วยมือหรือไม้เท้า มีดหมอก็ได้ โดยส่งดวงแก้ว
    ผ่านไปตามมือหรือไม้เท้า หรือมีดหมอเข้าไปในกายเนื้อคนป่วยแล้วค่อยๆ วิ่งไปตาม
    กายเนื้อคนป่วยสู่ตำแหน่งที่ปวด ก็จะพบและรักษาเหมือนข้อ ๑

    ๓.วิธีรักษาคนป่วยถูกผีสิง ถ้าบังเอิญหลับตามองเห็นผีสาง ยักษ์ อสูรกายคุมร่างกายเนื้อ

    คนป่วยอยู่่ ไม่จำเป็นแล้วอย่าแตะต้องเขาเหล่านี้จะดีกว่า เพราะถ้าท่านพลังจิตไม่
    แข็งแกร่งพอท่านอาจจะถูกมารร้ายเหล่านั้นทำร้ายท่านได้ หรืออาจจะถูกทำลาย
    กายทิพย์ให้สะเทือนแตกกระจายถึงตายได้ ถ้าต้องการอะไรก็จะให้คนป่วยจัด
    ทำตามความประสงค์ที่สามารถปฏิบัติคำขอได้ และจะทำบุญอุทิศกุศลไปให้ด้วย
    แล้วขอให้ไปเสียดีๆ จะได้หมดเวรซึ่งกันและกัน อย่าได้จองเวรกันต่อไปอีก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  9. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ในขณะเดียวกัน ถ้าท่านคิดว่า ท่านมีความสามารถแลว พร้อมที่จะสงเคราะห์
    ช่วยเหลือคนป่วยแล้ว เมื่อเจรจาดีๆ ไม่ได้ผล ไม่ยอมไป ควบคุมใจให้ตั้งจิตมั่น
    รวมดวงจิตให้เป็นดวงแก้วที่แข็งแกร่งแผ่รัศมีเข้าไปขับไล่วิญญาณนั้น ออกจากกายเนื้อ
    คนป่วยให้ขับออกวันละนิดๆ กายเนื้อคนป่วยจะได้ไม่เสื่อม ขอให้เข้าใจว่า วิญญาณที่
    เข้ามาแฝงนั้นเปรียบเสมือนต้นไทรที่เข้ามาเกาะงอกรากบนต้นไม้จริงคือ กายเนื้อ
    ยิ่งอยู่นานวัน รากไทรยิ่งชอนไชเข้าไปในกายเนื้อคนไข้มากขึ้น ท่านจะต้องค่อยๆ
    ตัดรากไทรไปทีละรากจนกว่าต้นไทรจะล้มคว่ำออกจากกายเนื้อคนป่วย

    ถ้าท่านหวังขับไล่ให้สำเร็จผลโดยเร็ว ระวังคนป่วยจะตาย เพราะกายเนื้อเสื่อม
    กายทิพย์แตก หรือบางครั้งดวงวิญญาณร้ายนั้น ก่อนจะออกไปได้กระชาก
    ดวงวิญญาณคนป่วยออกไปด้วย คนป่วยจะตายทันที ท่านเองต้องระมัดระวัง
    จะต้องติดคุกติดตาราง เพราะความประมาท เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง
    แล้วเอากระดูกไปแขวนคอ และให้ระวังการไปอาบน้ำมนต์ให้คนไข้ที่ป่วย
    เพราะถูกน้ำมันพราย หากท่านไม่ทำน้ำมนต์ชำระร่างกายแล้ว ท่านจะป่วย
    เป็นแผลพุพองทั้งตัว กินยาก็ไม่หาย จนกว่าจะรักษาด้วยการอาบน้ำมนต์ให้ตนเอง

    หมายเหตุ

    การรักษาโรคภัยไข้เจ็บนั้น ส่วนมากเป็นกรรมเก่าของคนป่วย ท่านจะต้องให้
    คนป่วยทำบุญใส่บาตร สร้างกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ท่านในฐานะผู้รักษา
    เป็นการดุลกรรม ก็ต้องปฏิบัติเช่นเดียวกันตามที่กล่าวมา และเพื่อรักษา
    อำนาจฌาน และความบริสุทธิ์ของจิตใจ ต้องถือศีล ๘ อาทิตย์ละ ๑ วัน
    และวันนั้นพยายามเข้าปฏิบัติจิตฝึกสมาธิบ่อยๆ ด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1324996815.jpg
      1324996815.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.6 KB
      เปิดดู:
      192
    • crystalball.jpg
      crystalball.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.4 KB
      เปิดดู:
      568
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  10. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ญาณหยั่งรู้วาระจิตคนอื่น

    เจโตปริยญาณ ญาณที่ทำให้สามารถกำหนดหยั่งรู้วาระจิตตนอื่น
    การหยั่งรู้นั้น จะหยั่งรู้ได้ก็ต้องอาศัยสื่อ เพื่อใช้ในการหยั่งรู้ คือ
    นามสกุล วัน เดือน ปีเกิด และเวลาเกิด รูปถ่าย หรือบุคคล
    สิ่งเหล่านี้ยิ่งมีครบบริบูรณ์ทุกประการยิ่งจะช่วยให้สามารถหยั่งรู้
    ได้ง่ายขึ้น และจะละเอียดลึกซึ้งขึ้นตามลำดับ

    เมื่อเราได้ฝึกปฏิบัติจิตจนถึงขึ้นจตุตถฌานแล้ว ส่งจิตใจความนึกคิด
    เข้าไปยังสื่อที่ได้มา แล้วค่อยหยั่งลึกๆ ลงในสื่อนั้นเหมือนส่งกล้อง
    เข้าไปสัมผัส และกายเนื้อนั้นจะต้องมีความสงบมาก มีจิตใจที่แน่วแน่
    แต่แผ่วเบาพริ้วอ่อนไหว พร้อมที่จะรับกระแสที่ได้จากการสัมผัสที่ส่งมา
    ให้รับรู้เรื่องราว โดยความรู้สึกนั้นจะเกิดที่ท้ายทอยที่ต่อม " เมดูลล่า "
    แล้วส่งต่อไปยังสมองใหญ่ปรุงแต่งแปลรหัสที่ส่งมานั้นว่า หมายถึงอะไร

    แต่ทั้งนี้ ความถูกต้องจะไม่แน่นอนเสมอไป เพราะยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่หยั่ง
    ถึงได้ยากมาก นั่นคือวิบากกรรมซึ่งเป็นกุศลกรรม และอกุศลกรรมของ
    คนนั้นที่ไม่รู้ว่าจะมาวิบากเมื่อใด ซึ่งอาจจะตามมาสนองวิบากเมื่อใดก็ได้
    ทำให้เรื่องราวเปลี่ยนแปลงได้ พลังจิตนี้ ก็ยังมีประโยชน์บ้างในการหยั่งรู้
    นิสัยใจคอ และวิบากกรรมในระยะใกล้ๆได้ เพื่อช่วยแก้ไขเหตุการณ์บางอย่าง
    ที่พอจะช่วยแก้ไขสถานการณ์จากร้ายเป็นดีได้
     
  11. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ระลึกชาติ

    ปุพเพนิวาสนุสติญาณ เป็นการใช้พลังจิตเพื่อให้สามารถหยั่งรู้ระลึกขันธ์ที่
    อาศัยอยู่ในชาติปางก่อนได้ คือ ระลึกชาติได้

    การระลึกชาติอาจจะเกิดได้ ๒ ทาง

    ๑.ระลึกโดยนิมิตหมายจากการฝัน หรือเกิดเป็นภาพในภาวะจิตนิ่งเหมือนฝัน

    ๒.ระลึกได้โดยอาศัยอำนาจฌาน ก่อเกิดอำนาจญาณ เมื่อท่านฝึกบรรลุถึง
    จตุตถฌาน ทำใจให้สบายๆ นำกระแสจิตใจความนึกคิดค่อยๆ หยั่งลึกเข้า
    สู่ภวังค์ลึกลงๆๆ ค่อยๆ ย่อนนึกถึงอดีตจากใกล้ที่สุด นึกจากปัจจุบันถอยหลัง
    ไปถึงเมื่อครั้งเยาว์วัยอยู่ แล้วค่อยๆ ปล่อยใจให้ลึกลงไปติดตามกระแสความ
    รู้สึกที่หยั่งรู้อยู่ในขณะนั้น ทำใจให้เข้าสู่สมาธิระดับเดียวกันกับภาวะความ
    ละเอียดอ่อนนั้น จะเข้าใจภาวะนั้นจากชาติหนึ่งถอยออกไปอีกชาติหนึ่ง

    ใหม่ๆ ที่ฝึกนั้น จะเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้น แต่เมื่ิอฝึกจนพลังจิตแข็งแกร่งแล้ว
    ก็จะเห็นภาพได้ชัดเจนเหมือนภาพยนตร์ เมื่อได้พบเห็นเช่นนี้แล้ว ก็จะเข้าใจ
    ภาวะนิสัยเดิมในชาติก่อนๆ อันฝังแน่นเป็นอนุสัยในสันดานของการมีชีวิต
    ในปัจจุบันชาติ ท่านก็จะได้รู้อนุสัยที่ไม่ดีนั้นมาปรับปรุงให้ดี ส่วนที่ดีก็จะได้
    นำมาบำเพ็ญสืบเนื่องให้เจริญยิ่งขึ้นไป เมื่อได้ระลึกชาติแล้ว อย่าหลงงมงายดังนี้
    ครั้งก่อนเคยเกิดเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ก็อย่าคิดว่าจะใหญ่ในชาตินี้ ครั้งก่อนเกิดเป็นสัตว์
    เดรัจฉานหรือผีเปรตก็อย่านำมาคิดเสียใจ คนเราถ้าหลงอดีต ก็จะไม่ถึงปัจจุบัน
    ถ้าหลงปัจจุบัน ก็จะไม่สามารถหลุดพ้นวัฏฏะได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2012
  12. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ปากทิพย์

    เมื่อท่านฝึกจนได้บรรลุฌานอย่างน้อยปฐมฌานแล้ว จะเรียนอะไรก็รู้สึกว่าง่าย
    เพียงแต่ท่านปรับภาวะจิตขณะเรียนนั้นให้คล้อยตามไป ยิ่งการล้อเลียนตามเสียง
    ที่ได้ยินนั้นเป็นสิ่งไม่ยากเลย แต่ทั้งนี้เมื่อพูดได้แล้วจะเข้าใจคำพูดนั้นสื่อความ
    หมายอะไร ต้องฝึกหูทิพย์จึงจะเข้าใจในคำพูดนั้นที่พูดไปหมายถึงอะไร

    เมื่อมีพรหมเทพผ่านร่างมนุษย์แล้วพูดเป็นภาษานั้น เรารวมจิตใจให้เป็นหนึ่ง
    ปล่อยให้ความคิดขณะนั้นว่างจากสรรพสิ่ง แล้วส่งจิตใจความนึกคิดแนบไป
    ตามคำพูดที่ได้ยินแล้วค่อยๆ หัดพูดตามไป ซึ่งตามไประยะหนึ่ง เราก็มีความ
    อยากพูดแบบภาษานั้นบ้าง ก็อย่าห้ามใจไม่ให้พูด จงทำใจเปิดให้สบายๆ
    ปากอยากพูดอะไรก็ปล่อยให้พูด เมื่อพูดไปประโยคหนึ่งก็ส่งจิตใจคล้อง
    ตามประโยคแรกที่พูดไปแล้ว ปฏิบัตเช่นนี้แล้ว ก็จะค่อยๆ ต่อกระแสคำพูด
    ให้ต่อเนื่องได้ การพูดภาษาเทพพรหมได้ ก็เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งในการ
    รู้เรื่้องอดีตได้เมื่อเราสามารถหยั่งรู้ความหมายในคำพูดนั้น เพราะส่วนมาก
    จะพูดได้ด้วยกายทิพย์ของเราเอง
     
  13. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    หูทิพย์

    เสียงแห่งคำพูดนั้นเป็นเพียงภาษาสื่อความหมาย ให้หูได้ยินว่าเสียงที่พูดนั้น
    หมายถึงอะไร ก่อนที่จะพูดนั้น คนเราต้องคิดก่อนที่จะพูด หรือพูดโดยใจ
    อยากจะพูดอะไร สมองยังไม่ทันคิด ก็พูดออกมา ดังนั้นภาษาการพูดนั้น
    จึงเป็นกระแสคลื่นที่ซ่อนไว้ ซึ่งความหมายทั้งปวงตามที่คน หรือสัตว์ต้อง
    การพูดหมายถึงอะไร เมื่อท่านฝึกจนบรรลุอำนาจฌานแล้ว เมื่อได้ยินใคร
    พูดกันที่เป็นภาษาเทพพรหม ในขณะที่มีดวงวิญญาณผ่านร่างมนุษย์
    ท่านก็ส่งจิตใจความนึกคิดเข้าไปในคำพูดนั้น ก็จะรู้ว่าเขากำลังสนทนา
    หมายถึงอะไร หรือ ใช้หยั่งรู้ภาษาต่างชาติก็จะรู้ความหมายการพูดได้
    ถ้าฝึกดีๆ ก็ฟังภาษาสัตว์รู้เรื่องได้ ซึ่งการได้ฟังรู้เรื่องนี้ ไม่ใช่แปล
    แต่เป็นการสื่อความหมายเท่านั้น
     
  14. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ฝึกอำนาจพลังจิตรักษาตนเองแบบง่าย

    คนส่วนมาก มักรอคอยขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น น้อยนักที่จะคิดช่วย
    ตนเองก่อน ท่านควรที่จะฝึกให้เป็นที่พร้อมจะช่วยเหลือตนเอง " ตนเป็นที่
    พึ่งของตน " ขอให้ท่านพยายามหาโอกาสปฏิบัติฝึกจิต นั่งสมาธิวันละชั่วโมง
    ก็จะสร้างอำนาจพลังจิตเบื้องต้นได้

    ๑. ฝึกจิตรวมเป็นหนึ่ง ถ้าท่านมีจิตใจผวาบ่อยๆ หรือจิตใจหงุดหงิด อ่อนเพลีย
    ปวดหัวอยู่บ่อยๆ โดยหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งหาหมอแล้วก็ไม่หาย ท่านอาจจะตก
    อยู่ภายใต้อำนาจแห่งไสยคุณที่ใครทำมาบังคับท่านให้เกิดมีอาการต่างๆ และบังคับ
    ให้กระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามได้ โดยปกติแล้วคนไข้ที่ถูกไสยคุณไม่ลึกนั้น จะมีสติเป็น
    ของตนเองไม่มากก็น้อย ท่านจะต้องช่วยเหลือตนเองรวมจิตใจความนึกคิดให้เป็น
    หนึ่งด้วยการท่อย " พุท" " โธ" อยู่ตลอดเวลาที่จิตว่าง จะได้ปักใจไม่ให้ไปรับรู้
    อำนาจอื่นที่มาบีบประสาทเรา พยายามปลุกใจตนเองว่า เราจะต้องชนะทุกสิ่ง
    ทุกอย่าง ความชั่วทั้งหลายต้องไม่สามารถทำอะไรเราได้ เราจะต้องหายจาก
    ความเจ็บปวดปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยๆ บ่อยๆ ฝึกจนเกิดความเคยชิน ท่านก็จะได้รวมจิต
    เป็นหนึ่งแข็งแกร่งขึ้น อยู่เหนือสิ่งเลวร้าย จนไสยคุณเกาะท่านไม่ติด เพราะเรามี
    จิตใจเป็นหนึ่งและระลึกบารมีพุทธคุณคุ้มครองเราอยู่ตลอดเวลา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • พระ.jpg
      พระ.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.1 KB
      เปิดดู:
      143
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.2 KB
      เปิดดู:
      140
    • สมอง.jpg
      สมอง.jpg
      ขนาดไฟล์:
      8.5 KB
      เปิดดู:
      117
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2012
  15. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ๒.ฝึกขับไล่ไสยคุณ ท่านที่มีอาการหงุดหงิดปวดหัว หรือปวดตามตัว แน่นหน้าอก
    ไม่ว่าท่านจะถูกไสยคุณหรือว่าไม่ถูกกระทำ ควรปฎิบัติดังนี้ สวดมนต์ไหว้พระแล้ว
    ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครูบาอาจารย์ช่วยรักษา โดยท่านนั่งหันหลังให้กับหิ้งพระ
    แล้วเหยียดเท้าไปข้างหน้า ที่ปลายเท้าจุดเทียนไว้เล่มหนึ่ง เมื่อพร้อมแล้ว
    ก็เพ่งเทียนจนจำเปลวเทียนได้ หลับตานำรูปเปลวเทียนขึ้นบนศีรษะ แล้วนำเปลว
    เทียนค่อยๆ ไล่ลงมาถึงปลายเท้าปลายแขน พอรูปเปลวเทียนหายไป ก็ลืมตา
    เพ่งจนจำเปลวเทียนได้ใหม่ฝึกขับไล่ต่อไป ผู้ที่ฝึกจนชำนาญแล้ว ไม่ต้องจุด
    เทียนก็สร้างเปลวไฟขึ้นไล่ได้ ปฏิบัติเช่นนี้วันละ ๑๕-๓๐ นาที อาการต่างๆ
    ก็จะดีขึ้นตามลำดับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.4 KB
      เปิดดู:
      123
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.2 KB
      เปิดดู:
      148
  16. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ๓.ฝึกช่วยสะเดาะเคราะห์ให้กับตนเอง คนเราไมว่าจะป่วยหรือว่าการเงินการงาน
    ภาวะสิ่งแวดล้อมมีแต่ความคิดขัดบ่อยๆ ติดๆ กัน หรือว่าฝันร้ายอยู่บ่อยๆ ฝันแต่นิมิต
    ที่ไม่ดี ขอให้เข้าใจว่า ดวงกำลังไม่ค่อยจะดี อกุศลกรรมวิบากเริ่มมาหาท่านแล้ว
    ท่านควรระมัดระวังตัว ทำอะไรก็อย่าประมาท อย่าให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
    และหลายๆ ท่านชอบไปหาคนมาช่วยทำการสงเคราะห์ ขอแนะนำท่านช่วยเหลือ
    ตนเองดังนี้ พยายามทำบุญด้วยความไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่น
    ให้พ้นทุกข์เสมอ หมั่นสวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติจิตให้สงบ จะได้ไม่ทำอะไรวู่วาม
    ปล่อยสิ่งมีชีวิตที่ถูกกักขังให้ได้ความอิสระ โดยเฉพาะปล่อยสัตว์ที่เขากำลังจะนำ
    ไปฆ่ายิ่งดี กระทำเป็นระยะหนึ่งจนกว่าจะพ้นดวงมืด และทุกปีก่อนครบวันเกิด ๓๐ วัน
    ก็ควรปฏิบัติทำบุญเช่นนี้

    ดวงที่ไม่ค่อยดี ส่วนมากเมื่ออายุลงท้ายด้วยเลข ๙-๐ หรือตรงที่ใกล้จะครบวันเกิดใน

    รอบปี หรือเมื่ออายุ ๒๔ จะขึ้น ๒๕ บริบูรณ์ที่เรียกว่าเบ็ญจเพศ เมื่อพ้นกำหนดที่จังหวะ
    ดวงไม่ดีก็ต้องปฏิบัติสร้างบุญกุศลอีก ๓๐ วัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2012
  17. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    รากฐานแห่งความสำเร็จบรรลุฤทธิ์

    ความสำเร็จอำนาจฤทธิ์นั้น บรรลุด้วยปัญญาความรู้แตกฉานจาก
    รากฐานที่จิตไม่หวั่นไหว ๑๖ ประการ

    ๑.จิตที่ไม่ฟุบลง เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความเกียจคร้าน
    ๒.จิตที่ไม่ฟูขึ้น เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความคิดพล่าน
    ๓.จิตที่ไม่โอบไว้ เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความกำหนัดยินดีในกาม
    ๔.จิตที่ผลักออก เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความพยาบาทอาฆาต ผูกใจเจ็บคิดร้ายผู้อื่น
    ๕.จิตที่ไม่เกาะเกี่ยว เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความดื้อดึงที่เชื่อในความเห็นของตน
    ๖.จิตไม่ผูกพัน เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความพอใจ รักใคร่ยินดีในกามเนื่องด้วย
    อารมณ์ที่ชอบใจ มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นต้น
    ๗.จิตที่หลุดพ้น เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความกำหนัดความใคร่ด้วยอำนาจกิเลส
    กามคุณ
    ๘.จิตที่ไม่พัวพัน เพราะไม่หวั่นไหวด้วยกิเลสเครื่องทำใจให้เศร้าหมองได้แก่
    โลภ โกรธ หลง
    ๙.จิตที่ทำให้ไม่มีเขตแดนพื้นที่ที่จำกัดกำหนดขีดคั่นไว้ เพราะไม่หวั่นไหวด้วย
    อำนาจอณาเขตของกิเลส
    ๑๐.จิตที่ถึงความมีอารมณ์หนึ่ง เพราะไม่หวั่นไหวด้วยกิเลสต่างๆ
    ๑๑.จิตที่ศรัทธากำกับแล้ว เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความไม่เชื่อ
    ๑๒.จิตที่วิริยะความขยันกำกับแล้ว เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความเกียจคร้าน
    ๑๓.จิตที่สติกำกับแล้ว เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความเลินเล่อ
    ๑๔.จิตที่สมาธิกำกับแล้ว เพราะไม่หวั่นไหวด้วยคิดพล่าน
    ๑๕.จิตที่ปัญญากำกับแล้ว เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความไม่รู้
    ๑๖.จิตที่สว่างแล้ว เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความมืด คือ อวิชชาความโง่
     
  18. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    อุปกิเลสเครื่องทำใจให้เศร้าหมองขุ่นมัว

    อุปกิเลสเครื่องทำใจให้เศร้าหมองขุ่นมัว ซึ่งจะทำให้จิตไม่สงบ อุปกิเลส
    มี ๑๖ ประการคือ

    ๑.อภิชฌาวิสมโลภะ คิดเพ่งเล็งอยากได้จ้องจะเอาไม่เลือกควรหรือไม่ควร
    ๒.พยาบาท (โทสะ) มีใจเดือดร้อนความอาฆาต ผูกใจเจ็บ คิดร้ายแก่ผู้อื่น
    ๓.โกธะ ความโกรธ อาการกำเริบพลุ่งขึ้นมาในใจความไม่ชอบแต่ยังไม่ถึงโทสะ
    ๔.อุปนาหะ ความผูกใจโกรธ เพียงแต่ผูกใจไม่ยอมลืม แต่ไม่ถึงกับคิดทำร้ายเขา
    เพราะกำลังกิเลสยังอ่อนกว่าโกรธ
    ๕.มักขะ ความลบหลู่คุณท่าน คือใครมีบุญคุณกับเราแล้วไม่นึกถึงบุญคุณท่าน
    เป็นการลบล้างปิดซ่อนคุณค่าความดีของผู้อื่น
    ๖.ปลาสะ ความตีตัวเสมอ เอาตัวขึ้นตั้งทานไว้ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน
    ๗.อิสสา ความริษยา เห็นใครได้ดีก็ทนอยู่ไม่ได้ ต้องตั้งตัวมุ่งขัดปัดเขา
    ทำให้เสื่อมเสีย
    ๘.มัจฉริยะ ความตระหนึ่ เป็นคนหวงที่ไม่อยากให้ง่าย เช่น ตระหนี่ทรัพย์
    ตระหนี่ความรู้
    ๙.มายา มารยาเจ้าเล่ห์ คือลวงพูดอะไรทำอะไรให้เขาเข้าใจผิดพลาด
    ๑๐.สาเถยยะ ความโอ้อ้วดหลอกเขา
    ๑๑.ถัมภะ ความหัวดื้อ กระด้าง เป็นคนหัวแข็ง
    ๑๒.สารัมภะ ความแข่งดี ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะกัน
    ๑๓.มานะ ความถือตัว การยึดมั่นถือตน
    ๑๔.อาติมานะ ความถือตัวว่าดียิ่งกว่าเขา ดูหมิ่นเขา ยกตนข่มท่าน
    ๑๕.มทะ ความมัวเมากิเลส เช่น บ้ายศ บ้ายอ หลงยึดอยู่กับสิ่งต่างๆ
    ๑๖.ปมาทะ ความประมาท ละเลย เลินเล่อ ปล่อยสติ
     
  19. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    อย่าเพิ่งงมงาย

    ขึ้นชื่อว่า "ฤทธิ์" นั้น ไม่ว่าอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ คนที่เชื่อ ก็จะถามอยู่เสมอว่า
    ท่านฝึกสมาธิปฏิบัติจิตแล้ว เห็นผีสาง เทวดา เห็นนรก สวรรค์ เห็นอะไร
    ต่ออะไรที่เป็นทิพย์หรือยัง ซึ่งตามความเป็นจริงนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้
    ก่อตัวในชั่วพลิบตา เด็กไม่ใช่เกิดมาก็พูดได้ เดินได้ วิ่งได้ ความสำเร็จ
    ของงานชิ้นหนึ่งก็ต้องใช้เวบาระยะหนึ่ง

    ในทำนองเดียวกัน การฝึกจิตจนบรรลุฌาณ ก็ต้องใช้เวลามากพอสมควร
    จึงสามารถสัมฤทธิ์ผลที่จะสัมผัสเรื่องของทิพย์ คนที่ไม่เชื่อ ก็อย่างเพิ่ง
    ดูถูกเหยียดหยามคนที่ศึกษาเรื่องสมาธิ ปฏิบัติจิตจนได้บรรลุผลแห่ง
    อภิญญา ( หรือวิชา ๘ ) ซึ่งเป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่งให้แจ้งว่าเรื่องงมงาย
    ไร้สาระ ไร้เหตุผลที่จะนำมาอ้างอิงให้เป็นที่น่าเชื่อถือได้

    ความจริงของอภิญญา (หรือวิชา๘) ก็คือความรู้แจ้งอันวิเศษในอิทธิฤทธิ์
    บุญฤทธิ์ที่เป็นอิทธิปาฏิหาริย์เป็นเรื่องอัศจรรย์แปลกประหลาดที่ไม่สามารถ
    พิสูจน์ด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ดังนั้นผลิตผลแห่งพลังจิตก็ไม่มีตัวตน
    ให้จับต้องได้เช่นกัน นอกเสียจากท่านได้ฝึกจิตเข้าสัมผัสด้วยตนเอง

    จึงจะรู้ได้ด้วยตนเอง และเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะนำมาบอกกล่าเป็นภาษา
    ให้คนอื่นรู้แจ้งได้ เพราะภาษาเป็นเพียงคำพูด สมมุติหมายแทนอาการกิริยา
    หรือคุณสมบัตินั้น อย่างเช่นท่านบอกอีกคนหนึ่งว่า "น้ำตาลมีรสหวาน"
    คนที่ไม่เคยกินน้ำตาล อธิบายเปรียบเทียบเท่าใดก็ไม่รู้เรื่อง จนกว่าคนนั้น
    ได้กินน้ำตาล จึงรู้ว่า " หวาน " สรุปก็คือ

    ขอให้ท่านวางตัวเป็นกลาง อย่าเพิ่มงมงาย พิจารณาไปเรื่อยๆ
    "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ" ท่านที่เชื้อหรือท่านที่ไม่เชื่อ
    ขอเชิญท่านทดลองปฏิบัติฝึกสมาธิจิตตั้งแต่เริ่มต้น จนบรรลุถึงขั้นถอดจิตได้
    ท่านก็จะพบว่า เห็นวิญญาณตนเองถอดออกตัวเราเอง ทำให้เชื่อเรื่องวิญญาณ
    มีจริง โลกหน้ามีจริง ตายแล้วไม่สูญ กฏแห่งกรรมมีจริง "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"

    มนุษย์เกิดมาล้วนมีกรรมของตนเป็นที่ตั้ง ขึ้นชื่อว่าเกิดแล้ว เป็นไปด้วย "ทุกข์"ทั้งสิ้น
    ถ้าท่านคิดว่าโลกมนุษย์ไม่หน้าอยู่ ล้วนแต่เป็นทุกข์แล้ว ท่านคงไม่อยากจะมาเกิดอีก
    และอยากจะไปเกิดในภพแห่งที่ดีกว่านี้ ท่่านทำบาปก่อกรรมก็ต้องตกนรก และเมื่อขึ้น
    จากนรก ก็ต้องใช้กรรมในโลกมนุษย์อีกครั้ง โดยอาจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่างๆ

    แต่ถ้าท่านทำบุญสร้างแต่ความดี ก็จะได้เสวยสุข ณ แดนสวรรค์คนที่ขี้นไป
    บนสวรรค์มี ๒ แบบ

    แบบที่ ทำบุญสร้างกุศลอยู่เนืองนิจ จนสิ้นอายุขัย ประเภทนี้ส่วนมากขึ้นไป
    อยู่สวรรค์ชั้นที่ไม่สูงนัก ส่วนมากไม่ได้ฝึกสมาธิและวิปัสสนาละลายกิเลส
    ละลายรูปนาม ทำให้เทวดาประเภทนี้ยังมีการยึดติดตัวตนมีโลภ โกรธ หลง
    เจอปนในนิสัยอยู่บ้าง

    แบบที่ ๒ ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ด้วยอำนาจแห่งฌานญาณ ประเภทนี้ส่วนมากมี
    การฝึกสมาธิวิปัสสนาละลาย รูป นาม และละลายกิเลส โลภ โกรธ หลง มากกว่า
    ประเภทที่ ๑ ซึ่งถ้าท่านฝึกได้ปฐมฌาน ท่านก็มีโอกาสขึ้นไปอยู่ที่เทวโลกแล้ว
     
  20. KWANPAT

    KWANPAT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2009
    โพสต์:
    1,733
    ค่าพลัง:
    +2,394
    เทวดาทั้ง ๒ ประเภทที่กล่าวมานี้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์แล้ว ก็ยังมีโอกาสบำเพ็ญยกระดับ
    จิตให้สูงขึ้น ด้วยการค่อยๆลดละกิเลส โลภ โกรธ หลง และฝึกจิตสร้างอำนาจฌานญาน
    ต่อไปให้แข็งแกร่งสูงยิ่งๆ ขึ้น มิฉะนั้นเมื่อท่านหมดสิ้นอายุขัยแห่งการเป็นเทวดาชั้นนั้นๆ
    ท่านก็ตกลงมากเกิดอีกในโลกมนุษย์ เพื่อใช้กรรมตามวาระ หรือกระทำผิดเพียงเกินเส้น
    ยาแดง ก็ต้องลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อใช้กรรมที่ก่อไว้เช่นกัน

    ทั้งนี้ การที่วิญญาณได้ขึ้นไปสวรรค์เกิดเป็นพรหม เทพ นั้นยังไม่พ้นที่จะต้องเกิดอีก
    ท่านที่หวังหลุดพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง ก็ควรจะปฏิบัติวิปัสสนาละลายรูป นามจนเกิด
    ญาณปัญญาอันเลิศแล้ว พิจารณากำจัดกิเลสจนจิตบริสุทธิ์ สามารถมุ่งสู่แดนนิพพาน
    ซึ่งเป็นเป้าหมายอันแท้จริง ของผู้หวังฝึกจิตให้ไปสู่ในโลกุตระ

    ดังนั้น เพื่อสนับสนุนให้เกิดการรู้แจ้งเห็นจริง ในทางแห่งการหลุดพ้นทุกข์ โดยสิ้นเชิง
    จึงขอให้ศึกษาฤทธิ์ต่างๆ ให้ละเอียดต่อไป และทดลองปฏิบัติ เมื่อฝึกสำเร็จตามขั้น
    ตอนแล้ว ก็จักทำให้ญาณปัญญาเจริญถึงพร้อมได้โดยง่าย
     

แชร์หน้านี้

Loading...