ถ้าคนตายเป็นผี เเล้วถ้าสัตว์ตายละครับ??

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย boy9999, 10 พฤษภาคม 2012.

  1. boy9999

    boy9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2012
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +196
    อยากถามผู้รู้นะครับช่วยเเสดงความคิดเห้น ว่าสัตว์ที่ตายไปกลายเป็นผีหรือไม่ เเล้วถ้าไม่ เพราะเหตุใดครับ
     
  2. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    จิตนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้แบ่งแยกครับ
    ที่เราเห็นเป็นสัตว์นั้น จิตเขา ก็เหมือนๆ จิตของเรานี่แหละ เพียงแต่ในชาตินี้ เขาเกิดมาเป็นสัตว์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เท่านั้น ตายไปแล้วก็เป็นดวงจิตเหมือนกัน ดวงจิตจะไปไหนต่อ ก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรม ที่ทำไว้ ที่เราเห็นเป็นผี เป็นรูปร่าง นั้นก็เพราะดวงจิตมีอวิชชา ยึดอยู่ในรูปร่างสังขารของชาติก่อนหน้า ก่อนที่จะตายลงไป เท่านั้นเองครับ

    หากเขาชดใช้กรรมเก่าครบตามสมควร มีกรรมดีหนหลังมาหนุนเนื่องต่อ เขาอาจจะข้ามไปเป็นเทวดาเลยก็ได้ครับ ส่วนมนุษย์เรานั้น ถ้ายังไม่รู้ดีชั่ว ทำบาปเสมอๆ ก็อาจจะข้ามการเป็นสัตว์ ลงนรกไปเลยได้เหมือนกัน

    เรานั้นต่างหาก ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา เป็นโอกาสดีมากเหลือเกิน
    แม้กระทั่งในชั้นของเทวดาเอง เมื่อจะหมดอายุขัยจะต้องเกิดใหม่ ยังอวยพรกันเองเลยว่า ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา

    อย่าให้เวลาล่วงเลยเปล่าประโยชน์เลยครับ รีบสะสมเสบียงบุญ ที่จะติดตัวเราไว้ทุกภพทุกชาติดีกว่าครับ อย่าเสียเวลาหลงระเริงกับสิ่งที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่เลยครับ

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2-%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%B0.83583/

    ขอให้ท่านเจริญด้วยพรสี่ประการ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ขอให้ได้มีดวงตาเห็นธรรม เห็นความจริงของโลกครับ
     
  3. มิ่งมังคลา

    มิ่งมังคลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +403
    จิตวิญญาณของคนหรือสัตว์นั้นไม่ต่างกัน ขออย่าให้ท่านไปยึดติดกับรูปกาย เพียงแค่สัตว์กับคนนั้นต่างกันเพียงแค่ความเป็นมนุษย์กับดิรัจฉาน กายมนุษย์ใช้เจริญภาวนาสั่งสมบุญได้ แต่สัตว์ไม่สามารถทำได้ เพราะเขาเกิดมาตามแรงกรรมที่เคยกระทำไว้ เมื่อสัตว์เหล่านั้นตายไป เขาก็อาจจะไปเกิดเป้นอะไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับแรงบุญแรงกรรมที่เคยทำมาในภพมนุษย์
     
  4. พยัคฆ์หลับ

    พยัคฆ์หลับ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +83
    อบายภูมิเรียงจากหนักมาเบาคือ 1.สัตว์นรก 2.เปรต 3.อสุรกาย 4.สัตว์เดรัจฉาน

    ดวงจิตที่เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าประกอบกรรมชั่วที่หนัก ตายไปเกิดเป็นสัตว์นรก ชดใช้กรรมอยู่ในนรก พอใช้กรรมในนรกหมดสิ้น แต่ถ้าเศษกรรมยังเหลืออยู่ ก็ต้องมาเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ตามลำดับ

    เมื่อหมดกรรมจากสัตว์เดรัจฉานแล้ว ก็มาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง แต่ถ้าเคยประกอบกุศลกรรมมาก่อนก็ส่งผลให้เกิดเป็นเทวดา

    มีสัตว์พิเศษอีกพวกหนึ่ง สัตว์ประเภทนี้ เวลาตายจากคนแล้วก็เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน อันนี้เพราะเราสังเกตได้ง่าย สัตว์ประเภทนี้มีการรู้ภาษาคนมาก เราพูดอะไรเธอจะรับฟังรู้เรื่อง
     
  5. ฤทธิ์ณรงค์

    ฤทธิ์ณรงค์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +4
    ผีหลอกในท้อง ในพุงเฮา แฮงหลายกินลงไปสุมื้อ
    บ่มีเต็ม แต่น้อยจนใหญ่กินลงไป กินลงไปมีแต่ซากเน่าซากผีหลอก
     
  6. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676
    ผีเหมือนกันครับ บางตัวที่มีกำลังใกล้ๆผีคนหน่อย ก็วนเวียนอยู่เหมือนพวกผีตายโหงนั่นแหละ บางตัวก็ไปสู่ปรโลกเลย มันก็คือวิญญาณ เหมือนคนนั่นแหละ แต่เพราะบุญมันยังน้อยอยู่ ผมเคยเห็น บางตัว หัวเป็นควาย ตัวเป็นคน บางตัวก็เป็นหมา แต่เป็นหมาตาแดง บางตัวก็เหมือนลิงแต่หัวเป็นนก ก็มี แต่มันทำไรคนยาก เพราะ บุญนั้นน้อย บางทีตัวเป็นสัตว์ หน้าเป็นคน ส่วนไอ้พวกเหลือบไร ถ้าไม่ฝังตามตัวคนฆ่า ก็ไปเกิดต่อเลยเป็นเหลือบไรนั่นแหละ
     
  7. boy9999

    boy9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2012
    โพสต์:
    112
    ค่าพลัง:
    +196
    เคยเห็นได้ยังไงอะครับ
     
  8. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    เป็นผีซิ แต่ขึ้นกับอุปาทานสุดท้ายที่เกาะอยู่ดี
     
  9. pinkiss

    pinkiss Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2010
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +40
    น่าจะเป็นผี เหมือนคนนะคะ
     
  10. jate2029

    jate2029 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    391
    ค่าพลัง:
    +729
    พูดถึงจิต เดิมทีจิตคนเรานั้น ไม่มีรูปร่างใดๆ ไม่ได้มีลักษณะใดเป็นสำคัญ แต่เมื่อ
    มาเกิด ตามแรงกรรมต่าง ๆ ทั้งหลายแล้ว ก็พาลคิดกันไปว่า ร่างกายนี้ คือเรา คือ
    ของเรา เป็นตัวเราหน้าตาเรา ไปทุกชาติ ๆ เวลาที่ตาย ไปแล้ว ก็ยึดได้หมายสำคัญ
    ว่าเราตายแบบนั้น อาการอย่างนั้น ๆ เลยทำให้จิต ที่ยึดในรูปนั้น ๆ ว่าวิณญาณต้อง
    เป็นแบบนั้น ๆ ไปตลอด ทั้งที่เมื่อ เปลี่ยน ภพ เปลี่ยน ภูมิแล้ว จิตนั้นก็ แปรสภาพไป
    ไม่เคยเห็นมี เทพ เทวดา องค์ใด ตาบอด ปากเบี้ยว แขน ขา ด้วน ซักองค์ แต่เมื่อมา
    เกิด ก็ลืมสัญญาเก่า ทำให้บางคร้ังไปหลง ใน ธาตุขันธ์ จนเพี้ยนไปหมด
     
  11. cirkit

    cirkit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +267
    ถ้ายังมีกิเลส อยู่ ตายแล้วก็เกิดทันทีครับ แต่จะเกิดในภพภูมิไหนแล้วแต่ บุญกรรม ของตนที่ได้ทำไว้
    สัมภเวสี" คือ สัตว์ผู้ยังแสวงหาที่เกิด ซึ่งได้แก่ปุถุชนและ พระเสขะผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดอีก หรือสัตว์ในครรภ์และในไข่ที่ยังอยู่ระหว่างจะเกิด
    คำว่า "โอปปาติกะ" สัตว์ที่เกิดผุดขึ้น คือ เกิดผุดขึ้นมาเต็มตัวในทันใด ตายก็ไม่ต้องมีเชื้อหรือซากปรากฏ
    เช่น เทวดา และ สัตว์นรก เป็นต้น ; บาลีว่า รวมทั้งมนุษย์บางจำพวก

    "สัมภเวสี" ที่ว่า คือพวกที่ต้องแสวงหาพ่อแม่หรือแสวงหาที่เกิดนั้นพวกเราที่เป็นปุถุชนก็เป็น "สัมภเวสี" ด้วยกันทั้งนั้น
    เพราะยังไม่นิพพาน ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดหรือตายแล้วต้องเกิด หรือแสวงหาที่เกิดกันทุกคน.....
    แต่ที่บอกว่าเป็นวิญญาณที่เร่ร่อนยังหาที่เกิดไม่ได้นั้นและยังไม่เกิดนั้น...ไม่ถูกต้องตามพระอภิธรรมครับ...
    เพราะในพระอภิธรรมบอกว่า เวลาสัตว์ที่อยู่ใน 31 ภพภูมินั้นกำลังตายนั้น "จุติจิต" คือจิตขณะที่กำลังตายจะเกิดขึ้น....และเกิดขึ้น"ขณะ"เดียวเท่านั้น....
    "ปฏิสนธิจิต" ก็จะเกิดต่อทันทีไม่มีจิตดวงใดมาคั่น....และเมื่อเกิด "ปฏิสนธิจิต"แล้วก็คือเกิดในภพใหม่แล้ว...คือ "จุติจิต"เกิด "ปฏิสนธิจิต" ต้องเกิดต่อทันที....
    ยกเว้นพระอรหันต์ที่ไม่มี "ปฏิสนธิจิต" เกิดต่อเพราะท่านไม่ต้องมาเกิดอีกแล้ว.......ดังนั้นที่บอกว่าตายแล้วยังไม่ ไปเกิดนั้นไม่ถูกต้องครับ
    ส่วนที่บอกว่าเป็นวิญญาณหรือมีแต่วิญญาณเร่ร่อนนั้นก็ไม่ถูกอีกเพราะที่พูด ถึงกันนี้คือ กามภูมิ คือ อบายภูมิ 4 มนุษย์ 1 และ เทวดาอีก 6
    กามภูมินี้เป็นภูมิที่มีขันธ์ 5 ครบ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีภูมิไหนที่ไม่มีรูปขันธ์ ดังนั้นที่บอกว่ามีแต่วิญญาณนั้นไม่ถูกต้อง
    ส่วนภูมิที่ไม่มีรูปขันธ์นั้นมีครับคือ "อรูปภูมิ" เป็นภูมิที่มีแค่ 4 ขันธ์ คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สังขารขันธ์นั้นพระองค์หมายถึง เจตสิก ที่ปรุงแต่งจิตครับซึ่งเป็นนาม ไม่ใช่รูป)
    ดังนั้นการที่บอกว่ามีแต่วิญญาณเร่ร่อนและยังไม่เกิดนั้นก็ไม่ถูกต้อง...... ที่ถูกคือ (กามภูมิปุถุชน) ตายแล้วต้องเกิดทันทีไม่มีระหว่างคั่น.....
    คำว่า "สัมภเวสี" นั้นหมายถึงเราทุกคนที่เป็นปุถุชนที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่..... ไม่ใช่ผีหรือวิญญาณเร่ร่อนอย่างที่เข้าใจกัน.

    ...ยังมีอีกคำหนึ่งที่พูดกันสับสน คือ " โอปปาติก" บางคนก็บอกว่าเป็นพวกเทวดาเป็นผีหรือเปรตหรืออสูรกายที่ไม่ใช่มนุษย์
    ที่จริงตามนัยแห่ง พระอภิธรรมเป็นชื่อแห่งกำเนิด 4 คือ ที่ที่สัตว์จะอาศัยเกิด มี4 คือ

    1) ชลาพุชกำเนิด คือพวกที่อาศัยเกิดในท้องมารดาแล้วคลอดมาเป็นตัวเลย

    2) อัณฑชกำเนิด คือ พวกที่อาศัยท้องมารดาเหมือนกันแต่ออกมาเป็นฟองไข่ไม่ได้ออกมาเป็นตัว

    3) สังเสทชกำเนิด คือ ไม่ได้อาศัยเกิดจากท้องมารดา แต่อาศัยเกิดจากต้นไม้ดอกไม้ โลหิต หรือที่เปียกชื้น เกิดมาก็เล็กเป็นทารก
    แล้วจึงค่อยๆเติบโตขึ้นมาเช่นนาง จิญจมานวิกา เกิดจากต้นมะขาม นางปทุมวดีเกิดจากดอกบัวและโอรสของนางปทุมวดีรวม 499 องค์ เกิดจากโลหิตเป็นต้น

    4) โอปปาติกกำเนิด ไม่ได้อาศัยเกิดจากท้องมารดา ไม่ได้อาศัยสิ่งใดเกิด แต่เกิดโดยโผล่ขึ้นมา และโตใหญ่เต็มที่ในทันทีทันใดเลย สัตว์ที่เป็นโอปปาติกกำเนิดได้แก่

    ก) มนุษย์ มีสมัยต้นกัปป์

    ข) เทวดาทั้งหมด ๖ ชั้น (เว้นเทวดาชั้นต่ำ ที่เกิดได้ทั้งชลาพุช,อัณฑช,สังเสทชกำเนิด)

    ค) พรหมทั้งหมด

    ง) สัตว์เดรัจฉาน (ซึ่งมีกำเนิดได้ทั้ง 4 )

    จ) เปรต (ซึ่งมีกำเนิดได้ทั้ง 4 ยกเว้น นิชฌามตัณหิกเปรต ที่มีโอปปาติกกำเนิดเพียงอย่างเดียว)

    ฉ) อสูรกาย (ซึ่งมีกำเนิดได้ทั้ง 4)

    ดังนั้นคำว่า "โอปปาติก" คือชื่อกำเนิด 1 ใน 4 กำเนิด ไม่ใช่พวก "อมนุษย์" เท่านั้น เพราะมนุษย์ ก็เกิดโดย "โอปปาติก" ได้ ในสมัยมนุษย์ต้นกัปป์
     
  12. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    คุณ เอ้ย พอคุณ ปฏิบัติ สมาธิ ภาวนา มากๆเข้า ผ่านอะไร ไปเรื่อยๆ คุณก็จะเห็นแม้ ใอ้คนที่เป็นคนเนี้ย เป็น อะไร เลย ตอบได้คำเดียว แรงกรรมของบุคคลนั้นๆ เป็น ปัจจัยครับกระผม
    ถ้าบุญในการปฏิบัติ เยอะ ก็ สามารถช่วยได้ ตามกำลังกรรมของ ทั้งผู้แผ่เมตตา และ บุคคลที่ได้รับคะ
     
  13. starcom1

    starcom1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +726
    เจ้าอาวาสวัดท่าขนุ่นบอก หมาที่วัดท่าซุงเข้าญาณฟังเทศ เทศเสร็จถอนออกจากญาณ ตายไปเป็นพรหม อีกตัวชอบฟังธรรมตายไปดาวดึงส์ เป็นหมาพระโพธิสัตว์ ไม่ไปดุสิต ขี้เกียจพวกเทวดาชอบมาเชิญไปเทศที่จุฬามณี พระท่านไม่มุสาครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2012
  14. starcom1

    starcom1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +726
    ^
    ^
    ^
    เอ่อไม่ใช่ว่าไม่เชื่อที่พระท่านเทศน์นะคะ แต่งงตรงที่บอกหมาเข้าฌาณหน่ะค่ะ
    คือสัตว์เดรฉานเขาศีล 5 ไม่ครบนี่ค่ะ นั่งสมาธิกำหนดสติก็ไม่ได้ เขาเข้าฌาณไปเป็นพรหมได้ไง ถ้าฟังธรรมแล้วไปสวรรค์หน่ะเชื่อ รบกวนอธิบายหน่อย __________________
    Plz donate to the BornFree foundation,everything you do is worth for all animals in the world www.bornfree.org.uk

    --------------------------------------------
    ไม่ใช้แค่หมา คางคาว กบ งู นก ก็ได้ และอีกหลายอย่าง ไม่ใช้เบรรลุธรรม แค่ฌาณ เป็นสมาธิที่แนวแน่ระดับหนึ่ง หมาวัดเข้าญาณมันธรรมดาครับ เดี๋ยวเป็นเป็ดเข้าฌาณให้ดูเลย เป็นคนอย่าแพ้หมานะครับ หมอดูหลายคนว่าผมฆ่าข้าศึกมาเยาะ ตอนตายก็เข้าฌาณตายแล้วไปอยู่กับพวกหมาครับ ลงมานี้เพื่อทำงานเดี๋ยวก็กลับไปที่เดิมถ้าไม่ทำบุญเพิ่ม สาธุครับ

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81.338733/



    หมาเกิดเป็นเทวดา โดยหลวงพี่เล็ก


    อดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๗๙ : หมาเกิดเป็นเทวดา
    ๗๙. หมาเกิดเป็นเทวดา

    มีด้วยหรือ หมาเกิดเป็นเทวดา...?” มีซิจ๊ะ...บรรดาสัตว์ต่าง ๆ ก็สร้างบุญทำบาปได้เหมือนคนเรานี่แหละ มีทั้งไปสุคติและตกอบายภูมิ อย่างเอราวัณเทพบุตรก็ช้างไปเกิดเป็นเทวดา กากะเปรตก็กาไปเกิดเป็นเปรตอย่างไรล่ะ...

    หมาเกิดเป็นเทวดา ต้องดูตัวอย่างนายโกตุหลิกะ นายนี่ประสบทุพภิกขภัย พาเมียอพยพไปหาที่อุดมสมบูรณ์ใหม่ อดแทบตายกลางป่า ขนาดลูกยังต้องทิ้งให้ตาย ข้ามป่าข้ามเขาไปเจอบ้านของเศรษฐีต่างเมืองก็เข้าไปของานทำ เศรษฐีกำลังกินข้าวอยู่พอดี เห็นสองผัวเมียหิวซ่กมาก็สงสาร ให้คนใช้จัดอาหารมาให้ ส่วนท่านเศรษฐีเองกินข้าวมธุปายาส มีหมาตัวหนึ่งที่ท่านรักมากอยู่ใกล้ ๆ กินไปก็ป้อนหมาไปด้วย น่าอร่อยนิ...

    นายโกตุหลิกะหิวตาลายมาหลายวัน ได้อาหารมาก็ฟาดเรียบในพริบตา ฝ่ายภรรยาก็แสนดี เห็นสามีหิวจัดตัวเองก็สู้ยอมอด ยกอาหารส่วนของตนให้สามีกินต่อไป นายโกตุหลิกะก็ยอดสุภาพบุรุษ เห็นผู้หญิงยอมอดก็รีบฉลองศรัทธา (ให้ตายเถอะโรบิ้น...) กินไปมองหมาไป “หมา ตัวเมียซะด้วย นางนี่วาสนาดีกว่าตูเป็นร้อยเท่า ตูอดแทบตายห่...มันมีข้าวมธุปายาสกินทุกวัน อ้วนท้วนขนเป็นมันเชียว อิจฉาเว้ย ตูไม่ไปเกิดเป็นหมาท่านเศรษฐีบ้างก็แล้วไป...” แดก...ขออภัย...กินแบบไม่ยอมหายใจ แทนที่จะดีกลับกลายเป็นโทษ อดกระเพาะกลวงมาหลายวัน ยัดทะนานลงไปแบบนั้น ลมเลยตีขึ้นจุกชักตาตั้ง ยังไม่ทันจะช่วยปฐมพยาบาล จิตวิญญาณก็ปิ๋วออกจากร่าง เท่งทึงไปทันที (ตายจริง ๆ ว่ะโรบิ้น...)

    ก่อนตายจิตจับอยู่กับหมา เลยวิ่งจู๊ดเข้าท้องหมาไปเลย (ชิงหมาเกิด) สามเดือนต่อมาก็โผล่หน้ามาเป็นหมาท่านเศรษฐีสมใจนึก พอเติบโตเจริญวัย ก็ติดตามท่านเศรษฐีไปไหนมาไหนตลอด อาศัยตายจากคนไปเป็นหมา เลยมีความฉลาดมาก...

    ท่านเศรษฐีมีกิจวัตรที่น่าโมทนาอย่างยิ่งประการหนึ่ง คือทุกวันต้องไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามา รับบาตรที่บ้าน เจ้าหมาน้อยก็ตามไปทุกวัน มาภายหลังอาศัยความฉลาดของมัน จำงานประจำของท่านเศรษฐีได้ เลยไปนิมนต์ซะเอง... ไปถึงก็เห่านิมนต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็มารับบาตร โดยมีเจ้าหมาน้อยนำทางให้ เป็นแบบนี้ทุกวัน จนเจ้าหมาน้อยผูกพันรักใคร่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นหนักหนา จนกระทั่งวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าจะเสด็จกลับภูเขาคันธมาศ ก็บอกลาท่านเศรษฐี...

    เจ้าหมาน้อยทราบเข้าก็สุดแสนจะเสียใจ ทั้งเห่าทั้งหอนอย่างไรพระผู้เป็นเจ้าท่านก็ไม่กลับมา เลยเกิดอาการหัวใจสลาย (สมัยหนุ่ม ๆ เคยเป็น แฮ่...) ตายไปอีกที คราวนี้อาศัยจิตผูกพันกับพระปัจเจกพุทธเจ้า เลยไปเกิดเป็นเทวดา... อาศัยทำบุญมาด้วยเสียง แค่เจ้าประคุณกระซิบก็ดังไปเป็นโยชน์ ถ้าพูดเต็มเสียงจะได้ยินไปทั่วดาวดึงส์ (หนวกหูตายห่...) เลยได้นามใหม่ว่า “โฆษกเทพบุตร” คอยทำหน้าที่เป็นโทรโข่ง มีเรื่องต้องการประชุมเทวดา พ่อเรียกทีเดียวได้ยินกันทั่วเลย...

    นั่นเป็นหมาในธรรมบท ทีนี้มาดูหมาที่อาตมาพบเองบ้าง หลวงพ่อเล่าว่า เมื่อมาอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ ไม่มีหมาสักตัว พักเดียวเท่านั้น มาซะ ๒๐ กว่าตัว ท่านบอกว่าดูลักษณะแล้วเป็นหมาดีทั้งนั้น... วิธีดูลักษณะหมาดูอย่างนี้...

    ให้ ดูตรงตุ่มใต้คาง จะมีขนแข็ง ๆ ขึ้นอยู่ที่ตุ่มนั้น ถ้าขน ๒ – ๓ เส้น ส่วนใหญ่เป็นหมาที่เกิดจากเทวดาหรือพรหม ถ้าขนเส้นเดียวเป็นราชาหมา ไปไหนหมาอื่นจะกลัวเกรง ส่วนใหญ่มาสูง ถ้าเจ้าของมาต่ำกว่าเขาจะไม่อยู่ด้วย จะหนีไปหาผู้ที่มาเสมอกัน หรือผู้ที่มาสูงกว่า ถ้าขน ๔ เส้นขึ้นไปจะเป็นหมาดื้อ เลี้ยงยาก พูดกันไม่รู้เรื่อง...

    อาตมาเองเข้ากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ไม่มีหมาสักตัว อยู่ไปจนก่อนบวชมีซะ ๑๑ ตัว หมาคนอื่นหนีมาอยู่ด้วยทั้งนั้น เจ้าของมาลากตัวกลับไปก็ไปพักเดียว เดี๋ยวหนีมาอีกแล้ว มาบวชอยู่วัดท่าซุงก็เหมือนกัน หมาคนอื่นเขาเลี้ยงแท้ ๆ อาตมาไม่ได้เลี้ยงมันสักนิด มาอยู่ด้วยซะ ๘ ตัว ถึงเวลากลับไปกินที่เจ้าของเดิม อิ่มแล้วมาออกันเต็มหน้ากุฏิเลย...

    หมาของวัดท่าซุงส่วนใหญ่ประเภทขน ๒ – ๓ เส้นทั้งนั้น เคยเจอขนเส้นเดียวแค่ ๒ ตัว คือ “เจ้ามะดัน” เจ้านี่อายุไม่เต็มสองเดือนก็ป่วยตาย มันแน่ขนาดกัดตัวโตกว่าเพื่อแย่งอาหาร...อีกรายก็ “เจ้าตี๋น้อย” รายนี้ตามออกบิณฑบาตทีไร ทำเอาหมาเจ้าถิ่นเสียฟอร์มทุกที วิ่งมาจะรุมฟัด กลายเป็นโดนเจ้าตี๋น้อยไล่กระเจิงทุกทีไป...

    หมาที่วัดท่าซุงมีอยู่มาก แต่ประเภทเด่น ๆ ควรแก่การจดจำมีไม่กี่ราย รายแรกก็ “เจ้าใหม่” เจ้านี่แสบมาก ทำสถิติกัดคนมานับไม่ถ้วน กระทั่งพระก็ไม่ละเว้น กัดจนหลวงพี่วิรัช (พระครูปลัดวิรัช โอภาโส) กลัวมันยิ่งกว่าเสือ ขนาดถือไม้มาเตรียมป้องกันตัวเต็มที่ เจ้าใหม่คำรามแฮ่เดียว มืออ่อนตีนอ่อนร่วงไปให้มันกัดแต่โดยดี...! อาตมาเองเป็นคนเดียวที่กล้าจับมันทายาแก้ขี้เรื้อน ขนาดนั้นก็ตาม พอมันไม่พอใจขึ้นมา มันฟัดจนอาตมามือแปไปเกือบสี่เดือน ซึ่งก็พอกันกับเวลามันไล่กัดคนอื่น ก็จะถูกอาตมายิงกบาลด้วยหนังสติ๊กเป็นประจำ กลายเป็นคู่กัดไปโดยปริยาย

    วันหนึ่ง...เจ้าตัวแสบหายสาบสูญไป ปกติมันต้องวิ่งนำหน้ารถหลวงพ่อทุกวัน ถ้าใครขวางหรือเข้าใกล้หลวงพ่อตอนนั้นกระจุยแน่ มันหายไปสองวัน พวกเราตามหากันให้ควั่ก หาเท่าไรก็ไม่เจอ คืนนั้นเอง...มันก็ไปหาอาตมาถึงบนกุฏิ...

    มันตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา กลัวอาตมาจะจำมันไม่ได้ มาหาทั้งทีแบกเอาหน้าหมามาอย่างเดิม บอกว่า “ผมตายแล้วครับ...” พลางทำภาพให้ดู เสือกทะลึ่งไปดึงผักตบชวาเล่น พลัดตกน้ำจมตายขึ้นอืด กลิ่นเหม็นหึ่งไปทั่วห้องเลย... เล่นสีกลิ่นรสพร้อมแบบนี้ไม่ค่อยโสภาว่ะ มีอะไรก็ว่ามา...ไอ้ท่านใหม่ขอส่วนกุศลนะซิ...เจริญนะเอ็งนะ...ขอใครไม่ขอ มาขอคู่กัดเลย อุทิศให้ไปแล้วพร้อมสัญญาว่า จะถวายสังฆทานให้ด้วย รุ่งขึ้นก็แจ้งเรื่องกับเพื่อนพระและตำรวจ...

    ตำรวจวัดไม่มีปัญหา เขาเชื่อง่าย ๆ แต่พระซิ จ้องจับผิดกันจัง ไปรายงานหลวงพ่อเพื่อขอคำยืนยัน หลวงพ่อบอกว่า “ท่าน ใหม่เขาไปเป็นเทวดาจริง ๆ ตอนนี้อยู่ชั้นดาวดึงส์ ปกติเขาต้องอยู่ดุสิต เพราะเป็นพระโพธิสัตว์ ถามเขาดูแล้วว่าทำไมไม่ไปอยู่ดุสิต เขาตอบว่า ไม่อยากถูกนิมนต์มาเทศน์ที่เทวสภาตอนวันพระ เลยหลบมาแค่ดาวดึงส์...

    อีกรายก็ “เจ้าทหาร” รายนี้ตามไปทำวัตรนั่งกรรมฐานทุกวัน พอรถออกจากหน้าโบสถ์ไปวิหาร ๑๐๐ เมตร เจ้าทหารต้องปร๋ออยู่บนรถก่อนแล้ว เวลาพระนั่งลงตามลำดับเพื่อทำวัตร ตรงไหนว่างเจ้าทหารจะไปเกาขี้เรื้อนประจานพระรูปนั้น ว่าเอาเข้าจริงแล้ว ขี้เกียจกว่าหมาอย่างมันซะอีก...!

    พระขึ้นโยโส ภควา...เจ้าทหารหมอบลงปั๊บ จิตทรงฌานนิ่งเลยนะ...พอจบทำวัตรกราบพระ เจ้าทหารจะคลายจิตออกมา สะบัดเนื้อสะบัดตัว วิ่งไปหาที่เตรียมทำกรรมฐานต่อ พอเริ่มสมาทานมันก็เข้าฌานปั๊บเลย อุทิศส่วนกุศลเสร็จก็สะบัดตัวพรืด วิ่งไปขึ้นรถเตรียมกลับ มันแน่ขนาดทรงฌานตั้งเวลาได้เป๊ะเชียวล่ะ...! พอเจ้าทหารตาย หลวงพ่อบอกว่า “ไปเป็นพรหม เนื่องจากอานิสงส์ทรงฌาน...!” เป็นอย่างไร...? อาตมานี้อายหมาแทบแย่...!

    ๕ ตุลาคม ๒๕๓๕
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    <table style="width: 63px; height: 30px;" id="post6112980" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr valign="top"><td class="alt1" id="td_post_6112980" style="border-right: 1px solid #FFFFFF">
    </td></tr><tr><td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px">
    </td><td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right">
    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 พฤษภาคม 2012
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    แปลกว่า ทำไมเรากลัวผี(คน) แต่เราไม่กลัวผียุง ผีมด ผีปลวก หรือผีวัว ผีควายฯลฯ
     
  16. starcom1

    starcom1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +726
    สัตว์ไม่อาฆาตร เท่าคนครับอันนี้ ดูทีวีหมอดู อ.แบงค์ขยำกระดาษ ว่าไว้ ไม่อาฆาตรข้ามภพข้ามชาติ และสัตว์ไม่แขวนคอตาย หรือกินยาฆ่าตัวตายครับ มนุษย์ฉลาดหรือโง้พิจารณาดูครับ อีกอย่างสัตว์ไม่กินเหล้า มีคนไปป้อนมัน บางตัวมันก็เลยโง้ตามคน เวลาหมามันอกหัก ไม่มีหมาตัวไหนมันฆ่าแฟนแล้วก็ฆ่าตัวตายตามเลยสักตัว ยิงตัวตายก็มีเพราะไม่มีนิ้ว กินเหล้าสร้างอารมณ์อินเลิฟก่อน หมอดูอ.พุธโธ ว่าไว้ในทีวี จะจำมา แต่จำบาลีไม่ได้ แปลไทย มันก็เป็นอย่างนั้นเอง สาธุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤษภาคม 2012
  17. cirkit

    cirkit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +267
    ผีไก่ ผีหมู ผีปลา ไม่เคยเห็นมีใครโดนผีแบบนี้หลอกเลยครับ:boo:
     
  18. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ลองนั่งกรรมฐานแก้กรรมดูสิครับ แล้ว..พวก...เขา...จะ..มา.... :boo:
     
  19. starcom1

    starcom1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +726
    เมื่อกี้ไปหาคลิปที่หลวงพ่อฤือษีลิงดำพูดเกี่ยวกับ การเผ่ากระดาษให้บรรพบุรุตยังไม่เจอ เจอท่านพูดว่า เห็นเทวดาที่มาจากหมากว่าร้อยองค์ เล่าถึงมนุษย์ต่างดาว ตามดาวต่างอีก มีเยาะมาก แทบทุกดาวรอบเรามีเขาอยู่ทั้งนั้น และเฝ้ามองเราอยู่ แต่เขาก็มีการตาย มีลูกมีหลานเหมือนเราครับ สร้างกล้องส่องดูโลกมนุษย์ก็เกิดตายไป 5รุ่นแล้ว ฟังพระพูดนี่ เชื่อได้ท่านไม่มุสาครับ สาธุ
     
  20. นายดอกบัว

    นายดอกบัว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +5,676

    เอ่อ จะบอกว่า สมัยก่อน พวกผีควาย คนเจอกันเยอะครับ ตอนพลบค่ำ มันไล่ควิดเลย แต่กับไม่ควิดโดนคนสักที ทำเอาพวกใจไม่ดี จับไข้กับไปหลายวัน บ้างก็พวกผีโป่ง ผีค่าง พวกสัตว์ที่ถูกยิงตาย พวกที่ยังอาฆาต ที่ยังแค้น พวกที่ยังติด มีเยอะครับ ขนาดแมวที่ตายมันยังคอยตามคนฆ่าไปจนกว่า ได้ที เล่นงานโน่น มันก็จิตดวงเดียวนี่แหละครับ คิดไรมาก ส่วนเรื่องญาณ พรหม ไม่รู้นะ ไม่แน่ใจว่าเคยไปหรือเปล่า แต่ปัจจุบันชาติผมไม่เคยไปแน่นอนครับ ฟันธง ถ้าให้เดา จิตดวงสุดท้ายก่อนตายทำอย่างไร นึกคิดอย่างไร ปล่อยวางอย่างไร หรือภาวนา อย่างไร ที่รู้แน่ๆ คือ สัตว์เดรัจฉาน นั้นไม่สามารถ บรรลุธรรมเป็นโสดาบันขึ้นไปได้ เพราะติดในกรรมอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นพรหมไม่ได้นิ และก็ไม่ได้หมายว่า ผุ้เป็นพหรม เป็นเทวดา จำเป็นต้อง บรรลุธรรมเป็นโสดาบันขึ้นไปนิ :'(
     

แชร์หน้านี้

Loading...