ชีวิตพ่อม่าย

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย py123, 14 พฤษภาคม 2012.

  1. py123

    py123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +14
    เรื่องของผม เริ่มจากเมียเก่าผม เขาไม่พอใจที่ผมเป็นคนไม่อ่อนหวาน ไม่เอาอกเอาใจ เขาหันไปติดการเล่นกอล์ฟอย่างมากและเกิดไปมีความสัมพันธ์กับเพื่อนรุ่นน้องในกลุ่ม โดยฝ่ายชายก็มีปัญหากับเมียตัวเอง ผมมาจับได้จึงทะเลาะกันรุนแรง เขาบอกเขาไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตกับผม สิ่งที่ผมทำมาในอดีตผมแค่ทำตามหน้าที่ไม่ได้เกิดจากความรักที่มีต่อเขา เรื่องราวจึงบานปลายใหญ่โต สุดท้ายผมจึงขอฟ้องหย่า โดยขอเลี้ยงดูลูกชาย 2 คน เราต่างมีหน้าที่การงานดีทั้งคู่ ผมตั้งใจจะอยู่บ้านเก่ากับลูก ส่วนเมียเก่าผมไปสร้างบ้านใหม่และพาแม่ยายออกไปอยู่ด้วย ตอนแรกลูกชายคนโต (14ปี) เคยบอกว่าจะอยู่กับผม แต่มาตอนนี้เขาเปลี่ยนความคิดไปหลังจากไปอยู่บ้านแม่เขา แกบอกอยากย้ายไปอยู่กับแม่มากกว่า แล้วจะกลับมาเยี่ยมผมเดือนละครั้ง ผมเสียใจมากกับความคิดที่เปลี่ยนไปของลูกชาย หลังจากเกิดเรื่องใหม่ๆ ผมอุตสาห์ไปทำหมั่นเพราะไม่อยากให้มีปัญหาลูกใหม่กับพวกเขา
    แม่เขามีรายได้มากกว่าผม ซื้อของแพงๆให้และแกคงจะสุขสบายกว่าอยู่กับผม ตอนนี้ผมหมดกำลังใจในการใช้ชีวิต มันเศร้ามากกับการอยู่คนเดียวในบ้าน ผมยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไป บางครั้งก็คิดอยากลาออกจากงานและไปบวช พ่อแม่ผมก็เสียหมดแล้ว จังหวัดที่ผมทำงานอยู่ผมก็ไม่มีญาติพี่น้องเลย ตลอดเวลาที่ผ่านผมก็ใช้เวลากับครอบครัวอยู่กับลูก เพื่อนๆก็หายไปหมดแล้ว ตอนนี้เลยเคว้งมากเวลาหลังเลิกงาน ต้องกินยาคลายเครียดให้ตัวเองนอนหลับทุกคืน
     
  2. maduza

    maduza สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +16
    เป็นกำลังใจให้คุณนะค่ะ คุณอาจจะอ้างว้าง และเดี่ยวดาย แต่คุณไม่ได้เป็นคนเดียวที่เจ็บปวดที่สุดในโลก มนุษย์เราทุกคนล้วนแต่เคยผ่านช่วงเวลาที่เรียกว่า
    "สุดๆ" มาในชีวิตทั้งนั้น สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ ชีวิต และ ลมหายใจ ของเรา
    เก็บรักษา และดูแล ไว้ให้ดีค่ะ ตั้งใจ มีสติ ในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หมั่นเข้าวัด ทำบุญ นั่งสมาธิ สิ่งพวกนี้ช่วยให้คุณหลุดพ้นได้ค่ะ ขอให้คุณเป็นคนใหม่ที่มีจิตใจเข้มแข็งขึ้นค่ะ
     
  3. MirageCity

    MirageCity เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2008
    โพสต์:
    297
    ค่าพลัง:
    +274
    เห็นทุกข์ ก็เห็นธรรม

    ไม่รู้จักทุกข์ ก็ไม่รู้จักธรรม

    เมื่อรู้จักทุกข์ ก็ควรหาทางออกจากทุกข์ ไม่ใช่กระโจนเข้าหากองทุข์เดิมอีก

    มือถูกลวกด้วยก้อนถ่านร้อนแล้ว แต่ก็ยังกำก้อนถ่านไม่ยอมปล่อย แล้วจะให้ใครอื่นมาช่วยได้อีก
     
  4. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    บางทีเราก็นึกอยากอยู่คนเดียว ไปปฏิบัติธรรม แต่ตอนนี้ไม่เคยได้อยู่คนเดียวเลย พันธะเต็มๆไปหมด
     
  5. จิต_กาย1967

    จิต_กาย1967 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +15
    ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะครับ มันเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น สุดท้ายคือความว่างเปล่า อย่าไปเครียดในอดีต อยู่เพื่ออนาคต สวดมนต์ช่วยได้ครับแล้วทำบุญทำทานเพิ่มครับ
     
  6. py123

    py123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +14
    ผมคิดว่าจะได้อยู่กับลูกๆหลังจากหย่ากันแล้ว สุดท้ายเป็นผมต้องอยู่คนเดียว มันทำใจค่อนข้างยาก ผมใช้ชีวิตครอบครัวมาเกือบ15ปี แล้ววันหนึ่งเหลือตัวคนเดียว พูดอย่างไม่อายนะครับ ทุกวันนี้เวลาอยู่ในบ้านมันเงียบ เหงาจับใจ
     
  7. yaka

    yaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2010
    โพสต์:
    647
    ค่าพลัง:
    +1,384
    เข้ามาเป็นกำลังใจให้อีกคนนะค่ะ เข้าใจความรู้สึกนี้มากๆเลยเอาใจช่วยขอให้พ้นช่วงนี้ไปได้นะค่ะ
     
  8. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    คุณหนีการอยู่คนเดียวไม่ได้หรอกครับ ไม่ว่าคุณจะพยายามขนาดไหน มนุษย์เรา
    ถูกสร้างมาแบบนี้ ทุกคนเกินคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว และตายคนเดียว มันคือ
    ธรรมชาติของเรา ไม่ว่าคุณจะพยายามหนีมันขนาดไหน ด้วยการพยายามอยู่ใน
    ฝูงชน การเข้าหาเพื่อน การเข้าชมรมต่าง การแต่งงานเพื่อมีครอบครัว สิ่งเหล่า
    นี้เพียงแต่ช่วยให้คุณลืมธรรมชาติเรื่องการอยู่คนเดียวเท่านั้น แต่ไม่ทำให้คุณหนี
    มันไปได้ คุณอาจจะพยายามทำทุกทางเพื่อลืมมัน คุณอาจจะทำงานอย่างหนัก
    ทุกวัน หากิจกรรมทำตลอดเวลา ดูทีวี แต่สิ่งเหล่านี้ทำได้แค่ให้เราลืมธรรมชาติ
    ของเราชั่วคราวเท่านั้น ถ้าเพียงแต่คุณยอมรับธรรมชาติของตัวเอง ว่าเราเกิดคน
    เดียว ใช้ชีวิตคนเดียว ตายคนเดียว แค่นี้คุณก็ไม่ต้องทุกข์เพราะความโดดเดียว
    ต่อไป
     
  9. py123

    py123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +14
    ขอบคุณมากสำหรับคำเตือนสติ ผมจะพยายามครับ
    ตอนนี้ผมคงกำลังเคว้ง ขาดกำลังใจกระทันหัน ไม่ทันรับมือกับมัน
    เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
     
  10. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    คุณอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะคุณมองหาความสุขจากภายนอก สิ่งนี้
    ทำให้เกิดประสบการณ์ว่าความสุขไม่ได้อยู่กับคุณแต่อยู่ภายนอก เมื่อเกิด
    ประสบการณ์แบบนี้คุณก็เลยยิ่งหาความสุขจากภายนอก และยิ่งคุณหาความสุข
    จากภายนอกมันก็จะสร้างประสบการณ์ว่าความสุขไม่ได้อยู่กับคุณแต่อยู่ภายนอก
    มากขึ้นไปอีก เป็นวงจรที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นไปตามกฎแห่งการสร้างมายา
    ปฏิจจสมุปบาท กฏแห่งกระจก กฏแรงดึงดูด แล้วแต่จะเรียก คุณแก้ได้ง่ายๆ
    ด้วยการเชื่อว่าสามารถมีความสุขได้แม้อยู่คนเดียว และคุณก็จะมีประสบการณ์
    แบบนั้นจริงๆ
     
  11. ทะเล้น

    ทะเล้น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +208
    - กาลครั้งนึง ผมก็มีความทุกข์มากมายไม่ต่างจากที่คุณเป็น อยู่ด้วยความหวังในหัวใจ แม้รู้ว่ามันไม่มีวันเป็นจริง กอดปาฏิหาริย์ตัวน้อยๆซึ่งอายุแค่ 3 ขวบ ร้องไห้ โศรกเศร้า ร่ำไรรำพัน คับแค้นกายใจ ทรมาน อยากหนีไปบวชหรือให้ตายๆไปเสียในเวลานั้น ความพรัดพรากที่เกิดขึ้นมันช่างเจ็บปวดกว่าแผลที่โดนมีดฟัน โดนรถชน โดนทุบตี ซึ่งไม่มีแม้หนทางที่จะทำให้มันหายได้ ผมได้แต่มองดูปาฏิหาริย์ตัวน้อยๆที่มองผมร้องไห้ด้วยน้ำตา แล้วกล่าวกับผมว่า ปะป๊า อย่าทิ้งหนูไปนะ หนูไม่ให้ปะป๊าไปไหน หนูรักปะป๊ะ เรามีกันแค่ 2 คนก็ได้ อย่าทิ้งหนูไปอีกนะ ผมเจ็บปวดไปทั้งกายใจได้แต่กอดเจ้าตัวเล็กร้องไห้ ซึ่งในใจหวังด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับลูกและผม แต่ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง มีแค่ตัวผมที่ทุกข์ทนร้องไห้ แล้วลูกก้อต้องมารับรู้ความเจ็บปวดนั้นตั้งแต่ยังเล็กๆ เพราะภรรยาผู้งดงามทั้งกายใจของผม และ มารดาผู้ควรแก่การกราบไหว้ของปาฏิหาริย์ตัวน้อยๆนั้น อยู่บนฟ้าอันแสนไกลที่มีความงดงามและความสุขอย่างไม่อาจหวนกลับคืน
    -
    กาลครั้งนั้นแลผมทบทวนคำพูดของเจ้าตัวน้อย ผมนั่งลงหลับตาทำสมาธิ น้ำตาก็ไหลพลากไม่หยุด เจ็บปวดไปทั้งกายใจ ทรมานอย่างหาประมาณมิได้ หาความสงบไม่ได้เลย ได้แต่ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ปาฏิหาริย์ย้อนวันเวลากลับไปผมจะไม่ยอมให้วันแห่งความเจ็บปวดนั้นมาถึงโดยเร็วอย่างแน่นอน เมื่อนั่งไปทั้งน้ำตา
    - พอเมื่อมีสมาธิมากขึ้นเกิดความสงบขึ้นแก่จิต
    ผมอธิษฐานระลึกถึงคุณแห่งพระพุทธเจ้าแล้วนึกในใจว่า ขอให้ผมได้เห็นทางพ้นทุกข์นี้ด้วยเทอญ ผมจะกลับมาปฏิบัติธรรมแล้วทำให้แจ่งเป็นส่วนๆแล้วเผยแพร่ธรรมแห่งพระพุทธเจ้า ธรรมแห่งพระพุทธศาสนานี้
    - ไม่นานนักสภาพจิตผมสงบนิ่งเหมือนเวลามันหยุดเดิน
    ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ไม่รับรู้กระทบสัมผัสใดๆ ยังแต่ความนิ่งสงบ ปิติ ผ่องใส อบอุ่น ไม่มีความปรุงแต่งใดๆ
    -
    พออยู่ในสภาพนั้นซักพักเหมือนสติเกิด ความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้น เหมือนจิตมีพลังมากขึ้น ผมรู้สึกตนว่าอยู่สภาวะแห่งอารมณ์นั้น จิตผมมันถอยจากความสงบ ผ่องใส ปิติ อบอุ่นนั้น กลายเป็นมีความตั่งมั่นรับรู้จดจ่อพิจารณาใน พระอริยะสัจ ที่ตถาคตตรัสไว้ดีแล้วนั้น มองเห็นกองทุกข์ เห็นความปรุงแต่งดำเนินไป เห็นเหตุแห่งทุกข์ เมื่อพิจารณาที่ต้นตอของทุกข์นั้นก็ได้เห็นทางพ้นทุกข์อันประเสริฐซึ่งจัดอยู่ในมรรคมีองค์ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
    -
    จิตผมตั้งอยู่ในสัมมาทิฐิ เห็นจริงในอริยะสัจ พิจารณาด้วยสัมมาสติที่เกื้อหนุนด้วยสัมมาสมาธิจนถึงความเกิดมา ตั้งอยู่ ดับไป เห็นในความไม่เที่ยงแท้ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เห็นความไม่มีตัวตนอันเราหรือใครบุคคลใดก็ไม่สามารถยึดถือจับต้องให้เป็นไปดังใจต้องการได้ จนไม่เห็นสิ่งใดๆที่เป็นของเรา
    - มองลงลึกเห็นว่าเพราะเรามองเป็นตัวตนอันเราจะยื้อดึงบังคับได้ มองเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนเอง เมื่อสิ่งที่มองที่พอใจยินดีอยู่ มันไม่เป้นเช่นดังความพอใจ ปารถนา ใคร่ได้ยินดี ก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าความไม่พอใจยินดี เกิดเป็นความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักที่พอใจทั้งหลาย อันเนื่องมาจาก การกระทำที่ผิดพลาดของตน อันมาจากความไม่สมดังความปารถนา ใคร่ยินดี อันมาจากความพรัดพรากจากสิ่งที่รักไป มองเห็นจริงว่าคนเรามีความพรัดพรากเป็นที่สุด ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องพรัดพรากไม่ว่าด้วยกาลเวลา สภาพแวดล้อม ความตาย ไม่สิ่งใดด้วยก็สิ่งหนึ่ง ความไม่สมปารถนาไปทั้งหมดทุกสิ่งเป็นเรื่องจริง เพราะเราไม่สามารถไปบังคับยื้อยึดกับสิ่งใดๆได้ นอกจากความทุกข์
    - ทุกข์นั้นเกิดขึ้นแก่จิตของเรา เพราะเรามีความติดข้องใจกับสิ่งใดๆ ที่รู้อารมณ์จาก หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นก็คือ รูป รส กลิ่น เสียง โผฐฐัพะ(การกระทบสัมผัสทางกาย) ธัมมารมณ์(สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ ความปรุงแต่งสมมติบัญญัติต่างๆ เป็นต้น) ส่งต่อให้เราเสพย์เสวยเป็นอารมณ์ความรู้สึกของความ พอใจยินดี และ ไม่พอใจยินดี แล้วจำสำคัญมั่นหมายไว้ในใจว่า
    สิ่งนี้ สีแบบนี้ รูปร่างโครงสร้างแบบนี้ เสียงแบบนี้ สัมผัสแบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้ เป็นต้น ที่เรามีความพอใจยินดี และ ไม่พอใจยินดี แล้วส่งผ่านให้จิตเรา มีธรรมชาติที่ ตรึกถึง นึกถึง ตรองถึง คำนึงถึง เกิดประกอบกับความ รัก โลภ โกรธ หลง ส่งผ่านเป็น ความทะยาน อยากมี อยากเป็น อยากได้ ทะยานตามความใคร่ได้ที่จะเสพย์ในอารมณ์ความพอใจยินดีนั้นๆ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากได้ ทะยานอยากจะผลักหนีให้ไกลตน จนเกิดเป็นตัวตน เป็นอุปาทาน สุดท้ายก็เกิดเป็นทุกข์จากความรู้สึกนึกคิดนั้นๆ
    - แล้วก็มองเห็นทางออกที่ประเสริฐ คือ ความมีศีล มีสมาธิ มีหรมวิหาร๔ มีทาน คิดดี พูดดี ทำดี ไม่กระทำทางก่าย วาจา ใจ ที่เป็นไปเพื่อความเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น จนถึงซึ่งเห็นจริงในสัจธรรม รู้เห็นสภาพจริงๆที่เป็นปรมัตถธรรม เข้าสู่ความไม่ติดข้องใจกับสิ่งใดๆ เพราะติดข้องใจไปไม่วาจะเป็นสิ่งที่ตนเองพอใจยินดีหรือไม่พอใจยินดีมันต่างก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น หาประโยชน์ใดๆที่จะเกิดแก่ตนและคนอื่นไม่ได้เลย เข้าสู่อุเบกขาจิต
    - ไม่นานเมื่อผมเห็นเช่นนี้ สภาพจิตผมสงบปราศจากความยินดีและไม่ยินดี ซักพักเหมือนมีแสงแวบขึ้นมาแว๊บนึงกลางความมือ แล้วก็มีเสียงหนึ่งก้องกังวาน สงบ อบอุ่น ผ่องใน ควรแก่เคารพนอบน้อมกล่าวขึ้นว่า เธอรู้แล้วหนอ เธอรู้แล้วหนอ เธอรู้แล้วหนอ ยังความปิติแก่ผมยิ่งนัก (แต่เสียงนี้ผมก็คิดเสมอว่า ผมคิดไปเอง ฝันไปเองกระมัง)
    - จากนั้นผมก้อปฏิบัติตามสติกำลัง สั่งสมจนเห็นเป็นแน่ชัด เห็นแจ้ง และ ให้ผลได้จริง แล้วผมก็คอยเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้แก่คนที่มีความทุกข์ ให้เห็นธรรม ได้รู้ธรรม แล้วปฏิบัติกัมมัฏฐาน และ แนวทางแห่งความกุศลในพระพุทธศาสนาเพื่อให้ทุกข์เขาเบาบางลง หรือ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ของเขาด้วยการปฏิบัติของเขาเอง และ อดทนทำงานหาเงินเลี้ยงปาฏิหาริย์ตัวน้อยๆอันมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด แม้มีเงินไม่มากมายแต่พยายามอดทนที่จะหาเงินเอาไว้ใช้ในการกิน การศึกษา เครื่องอุปโภค บริโภคของปาฏิหาริย์ตัวน้อยๆของผมพร้อมทั้งตัวผมเองมาจนถึงทุกวันนี้
    หากไม่รังเกียจลองอ่านข้อธรรมแห่งการเข้าอุเบกขาจิต ที่ผมรู้เห็นดูครับ แล้วในนั้นก็มิ Link เชื่อมต่อไปพิจารณาในข้อธรรม สัจธรรม วิธีทำสมาธิ พิจารณาในอริยสัจ๔ เบื้องต้นเป็นข้อๆที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน ลองค่อยอ่านดูครับ แล้วค่อยๆทำความเข้าใจทีละนิดๆเป็นข้อๆ อาจจะเป็นประโยชน์แก่คุณในเวลานี้ก็ได้ครับ
     
    http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7455.0

    ทำทุกวันนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้เป็นประโยชน์สุขที่เป็นกุศล แก่ตนเองและคนอื่นให้มากที่สุด แล้วไม่นานสิ่งที่เรียกว่าความปิติสุขของคุณจะกลับมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤษภาคม 2012
  12. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    การพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจย่อมทำให้ทุกข์ การประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจก็เป็นที่มาแห่งทุกข์..

    ท่านpy123พึงทราบว่า สิ่งทั้งหลายย่ิอมไหลมาแต่เหตุ มิได้เกิดเพราะบังเอิญ หรือโชคร้าย แต่ด้วยอำนาจประชุมพร้อมของเหตุปัจจัยเป็นอันมาก..

    สัพเพธรรมาอนัตตา....สภาพธรรมทั้งปวงไม่ใช่เราหรือของเรา ไม่ใช่ใครหรือของใคร ไม่ใช่ตัวตนอะไรๆอย่างที่เราหลงยึดอยู่ จึงไม่อยู่ในอำนาจทีใครๆจะบังคับบัญชาเอาได้ตามใจปรารถนา ..อาศัยเหตุคือเจตนาเก่าที่เราเคยทำมาไว้ ผลจึงมีตามมาได้ ..หากว่าใครๆจะสามารถบังคับอะไรๆให้ได้สมใจแล้ว ในโลกนี้จะไม่มีความทุกข์เกิดแก่ใครเลย เพราะทุกคนรักสุขเกลียดทุกข์กันทั้งนั้น..นี้เป็นความจริงขั้นสูงสุดที่มีอยู่ในธรรมชาติที่แม้ใครจะยอมรับหรือไม่ หรือจะนับถือศาสนาใดก็ยังคงเป็นไปเช่นนี้เสมอ..

    ท่าน กำลังเศร้าโศกปริเทวนาการพิไรรำพัน เพราะเหตุที่ท่านนั้น"รักตน"ยิ่งกว่าใครอื่นทั้งหมด...ดูเถิด แม้บุตรที่คิดย้ายไปอยู่กับแม่ แม้ท่านก็ทราบว่าลูกคิดเช่นนั้นเพราะทราบดีว่าจะมีความสุขสบายว่าที่จะอยู่กับท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดท่านจึงกลับเอาความเหงาโดดเดี่ยวของท่านขึ้นมาอ้างเพื่อความชอบธรรมในการที่จะให้ลูกๆมาอยู่กับท่าน..เช่นนี้..ท่านไม่นึกแคลงใจตนบ้างหรือว่า การปริเทวนาการนี้ สมควรแล้วหรือ..?..

    จริงอยู่ที่ท่านจะเสียใจและเป็นเรื่องที่เข้าใจได้อย่างยิ่งว่า ท่านเสียสิ่งที่รักไปถึง๒อย่างคือภรรยาและลูกๆ..ทั้งสองนี้ต่างหลีกหนีห่างหายไปก็เพราะเขาเองแสวงหาความรักความสุขสบายที่เขาคาดหวังไว้ว่าจะมี มาจากคนอื่นที่ไม่ใช่ท่าน ..เรื่องของจิตใจความต้องการของใครๆนั้น ใครเล่าจะห้ามปรามบังคับได้ ? ..เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็ทำได้แต่เพียงการยอมรับ .เพราะถึงท่านไม่ยอมรับเรื่องราวก็คงดำเนินไปบนวิถีที่ไม่น่ายินดีนี้อยู่ดี..จริงใหมครับ?

    ท่านพึงระงับความโศกเศร้านี้เสียโดยเร็ว เพราะการปล่อยใจให้เศร้าโศก ย่อมมีแต่ความเสียหายแก่ตัวเองเท่านั้นคือ นอกจากทำให้ร่างกายเสียหาย ทรุดโทรมแก่เร็วเครียดแล้ว..ยังทำสติปัญญาให้ทุรพลคือหมดกำลังไป อย่าลืมว่า บุคคลจะล่วงพ้นทุกข์ได้ก็ด้วยปัญญา นะครับ...

    ท่านพึงรักตนเองในทางที่ถูก คือไม่เอาใจหรือความรักไปแขวนไว้กับคนอื่นๆ เมื่อท่านรักเขา ก็พึงรักด้วยเมตตาปรารถนาให้เขาได้ดีมีสุข ไม่เพ่งเล็งคาดหมายว่าเขาจะทำหรือเป็นอย่างที่ท่านต้องการเพราะเมื่อคาดหมายแล้วเขาไม่เป็นอย่างต้องการ เราก็ย่อมได้แต่ความผิดหวังเเละเศ้ราโศกเท่านั้นเป็นรางวัล...


    อนึ่ง แม้ไม่จากกันเวลานี้ ก็ต้องจากกันอยู่ดีภายในไม่เกิน๑๐๐ปีแน่ๆ เพราะมัจจุราชไม่เคยหยุดหน้าที่คร่าชีวิตทุกคนในโลก เวลานี้ เขาเหล่านั้นเพียงจากเป็น ท่านยังมีโอกาสได้พบเจอเขาอีกในบางคราว ไม่พึงท้อใจเสียก่อน

    ท่านคงเคยชินกับการแบกภาระคือขันธ์๕ ไม่เฉพาะของตนเท่านั้นในกาลก่อน ดังนั้นเมื่อท่านเหลือเพียงขันธ์๕ชุดเดียว ..เพราะขันธ์๕อื่นๆจากไป .. ท่านกลับไม่รู้สึกว่า"เบา"ลง แต่กลับทุกข์หนักเพราะไม่ต้องแบกภาระอย่างที่เคยทำ นี่เพราะเหตุใด?...เพราะความ ความที่คุ้นชินมาก่อน กับการที่ต้องมีภาระ.. ..

    แ ม้แต่การที่ท่านกลัวความเวิ้งว้างก็เพราะไม่เคยฝึกให้ตนมีตนเองเป็นเพื่อนมาก่อน
    ..ได้แต่คุ้นชินกับการมีคนอื่นๆเป็นเพื่อน...เรื่องเช่นนี้ไม่ยากที่ท่านจะเริ่มฝึกดู .. การจะชำนาญในเรื่องใด ก็ต้องอาศัยการฝึกหัด ตั้งแต่แรกเริ่มทีเดียว..ไ ม่มีใครที่จู่ๆกลายเป็นผู้ชำนาญอะไรๆได้ทันทีหรอก.. เมื่อท่านอยู่กับตนเองได้ มีตนเป็นเพื่อนแล้ว แม้ท่านจะไปในที่ๆอันปราศจากใครๆ ท่านก็จะไม่หวั่นไหวไม่สะทกสะท้านด้วยความอ้างว้างโดดเดี่ยวอีกต่อไป...

    แต่คนเราที่โดดเดี่ยวตนเองไปโดยไม่มีหลัก ถ้าไม่ชอกช้ำเศร้าซึมก็ตกเป็นเหยื่อของช่องทางที่ไม่เกษม เพราะไ่ม่มีเครื่องคุ้มครองตนที่ดี จึงใคร่แนะนำว่า ในขั้นแรก ให้เข้าหากัลยาณมิตรเสียก่อน... คือการถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง..ศึกษาพระธรรม ประพฤติศีลให้มั่นคง...... เมื่อสามารถคบกัลยาณมิตรคือพระพุทธเจ้า พระธรรมแลพระสงฆ์ได้ ทั้งมีศีลรองรับสนับสนุน อำนาจแห่งกุศลที่เกิดขึ้นย่อมเข้าอุปถัมภ์ เป็นปัจจัยขจัดปัดเป่าทุกข์ให้หมดหรือลดลงได้.. ในไม่ช้า ท่านจะพบว่า ที่ท่านรำพันโศกในบัดนี้นั้น เป็นเรื่องที่หาสาระอันใดมิได้เลยเพราะได้ปัจจัย แห่งปัญญาจากการเข้าหากัลยาณมิตรที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือพระ
    พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ดีแล้วนั่นเอง...

    ขอให้พ้นทุกข์โดยไวครับ..


     
  13. ชูนุ่น

    ชูนุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +699
    มันมีเหตุผลในตัวเอง..ในอดีตคุณเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ลองปรับตัวเข้าหากับคนรอบข้าง..ใช่..อาจนิสัยที่มีมา..เปลี่ยนกันยาก แต่ความจริงใจคุณมีอยู่เปี่ยมล้น คุณอาจจะโดนทิ้งไปในตอนนี้..เพราะผลกรรมที่ทำมา..แต่ไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกนะ..คนเราหากไม่ท้อถอยหรือยอมแพ้แล้ว..ชีวิตวันข้างหน้าย่อมสดใสเสมอ..อดทน..ลูกๆจะมาหาคุณเอง..พวกเขาต้องคิดถึงคุณแน่ๆ คุณเคยเลี้ยงดูมาด้วยความจริงใจความรักที่มีให้..ส่วนเวลาที่คุณอยู่คนเดียว..ก็ขอให้พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส..อย่างเช่นเรียนต่อ..หารายได้เสริม..กิจกรรมที่เป็นประโยชน์..ออกกำลังกายฯลฯ :cool:
     
  14. ทะเล้น

    ทะเล้น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +208
    - หากเมื่อคุณไม่สามารถเข้าสู่อุเบกขาจิตตาม Link

    วิธีการเข้าถึงอุเบกขาจิต

    ที่ผมให้แล้วนั้นให้พึงระลึกเสียว่าลูกเมียไม่ได้ไปไหนจากคุณเลยเขาอยู่ตรงที่อกข้างซ้ายของคุณนั่นเองไม่ได้จากคุณไปไหนเลยเมื่อคุณเข้าสู่กุศลจิตได้ลูกเมียที่อกข้างซ้ายของคุณย่อมรับผลบุญกุศลนั้นด้วย
    - ลูกและเมียคุณไม่ได้เปลี่ยนไปไหนหากแต่ใจคุณต่างหากที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนไปเพราะความพรัดพรากจากสิ่งที่รักเปลี่ยนไปเพราะไม่สมปารถนาใคร่ได้ยินดีทำให้วิถีชีวิตวิถีความคิดคุณนั่นเปลี่ยนไปไม่สงบไม่อบอุ่นไม่มีความเอื้ออารีย์ไม่มีความแบ่งปันแห่งสุขมีแต่ความทะยานต้องการที่จะได้มาความปารถนาเป็นที่สุดของใจจนเลือนหมดซึ่งคำว่าการให้โดยไม่หวังจะได้รับสิ่งตอบแทนใดๆกลับคืนให้โดยไม่มานึกเสียดายเสียใจในภายหลังอย่างที่คนที่เรียกว่าพ่อและสามีที่เคยให้ลูกเมีย
    - เมื่อปารถนาด้วยตัณหาอุปาทานโดยปราศจากความเมตตาและทานความปารถนานั้นย่อมกลายเป็นคมมีดมาทำร้ายเราเองจึงมีพุทธวจนะดังนี้ว่า
    ปารถนามากก็ทุกข์มาก
    ปารถนากลางๆ
    ก็ทุกข์กลางๆ
    ปารถนาน้อย
    ก็ทุกข์น้อย
    ไม่ปารถนาเลย
    ก็ไม่ทุกข์เลย

    - ลองอ่านประวัติ ท่านภิกษุณีพระปฏาจาราเถรี ตาม Link นี้ดูครับ

    http://www.dharma-gateway.com/bhikunee/pra-pata-jara.htm

    - ทำวันนี้ที่ยังพอมีเวลาอยู่ให้คู่ควรแก่คำว่าพ่อมากที่สุดแม้ลูกไม่อยู่กับคุณคุณยังสมารถให้คำปรึกษาเก็บเงินเลี้ยงดูเป็นทุนการศึกษาหรือไว้ภายหน้าที่ลูกคุณโตไว้ให้เลี้ยงชีพหยิบยื่นความอบอุ่นให้อยูเสมอวันหนึ่งเมื่อลูกคุณโตคุณจะเห็นคุณเป็นพ่อที่ควรแค่การกราบไหว้และเคารพมากที่สุด หากคุณก้าวข้ามความทุกข์นี้ไปได้ มันจะเป็นประสลบการณ์อันล้ำค่าแก่คุณ และจะเป็นสิ่งที่ใช้คอยสั่งสอนลูก เมื่อลูกคุณพบเจอปัญหา
    - ผมบอกลูกเสมอว่ามาม๊าอยู่บนสรรค์คอยมองดูหนูอยู่บนฟ้าคอยดูแลหนูและปะป๊าจากบนสวรรค์หนูมองดูดาวที่ส่องสว่างบนฟ้าสินั่นคือดวงตาของมาม๊าที่คอยมองและดูแลเราอยู่หนูต้องเป็นคนดีอนทนขยันเพียรสู้ตั้งใจเรียนกตัญญูและพยายามทำงานหนักแม้บางวันได้นอนแค่ 30 นาที - 1 ชม. ก็ตั้งใจที่จะหาเงินให้มากๆเพื่อเป็นทุนการศึกษาและค่าเลี้ยงชีพให้ตัวน้อยไม่ขาดตกบกพร่องและขาดความอบอุ่น

    - ด้วยคุณแห่งพระพุทธเจ้าด้วยคุณแห่งพระธรรมด้วยคุณแห่งพระสงฆ์ขอบุญแห่งการปฏิบัติและเผยแพร่พระพุทธศาสนาของผมดลบันดาลให้พรทั้งหลายเหล่านี้คือความสุขกายสบายใจความปราศจากทุกข์ความเห็นชอบในพระธรรมแห่งพระพุทธศาสนาจงมีแก่คุณในกาลบัดนี้เทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤษภาคม 2012
  15. py123

    py123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +14
    การพลัดพรากจากกันทั้งที่ยังมีความรักต่อกัน เวลานึกถึงมัน ผมว่ามันดีกว่าตรงที่มีความรู้สึกอบอุ่นเหลือยู่เหลือภายในใจของคุณกับลูกนะครับ
     
  16. ทะเล้น

    ทะเล้น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +208
    - ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามแต่ ความพรัดพรากย่อมหยั่งลึกลงแก่จิตคนที่ตรึกนึกถึงด้วยความจดจำเก่าๆ และ ความหวังปารถนาจะให้เป็นดั่งใจ
    - คุณรู้ไหม เมื่อเรื่องร้ายๆผมเกิดขึ้น ผมได้แต่ร้องไห้ร่ำสุรา ไม่ทำการ ไม่ทำงาน ไม่เอาใคร ไม่มีสติ มีแต่กินเหล้าร้องไห้ มีคนมาว่ากล่าวผมอย่างไร หรือ ชี้แนะอย่างไร ผมพูดด่ากลับไปว่า "มึงไม่ใช่กู มึงไม่รู้หรอก กูเจ็ยมึงไม่ได้เจ็บแบบกู มึงจะมารู้อะไร คนอย่างพวกมึงก็ดีแต่ปาก หากปัญหานี้เกิดกับพวกมึงบ้าง พวกมึงจะรู้ว่าเป็นยังไง" นี่ไงครับ คนมันโง่อยู่กับความสลดเสียใจจากความพรัดพราก น้ำตามันไหลพรากมากกว่ามหาสมุทรอีกแน่ะ เพราะคิดเอาว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา เพราะคิดว่ามันเป็นของจีรังสำหรับเรา เรารั้งมันไว้ได้ ผมนี่มันโง่นะ โง่มากด้วย เมื่อย้อนกลับไปดูตนเองในเวลานั้น เป็นผู้ที่ไม่คู่ควรแก่คำว่า "พ่อ" ของลูกเลย

    - ที่สำคัญ.."มันเป็นแค่กุสโลบายเท่านั้นที่เกิดขึ้นแล้วกล่าวกับลูก เมื่อผมมีสติ มีกุศลจิต มีเมตตาจิต กรุณาจิต มีทานจิต มีมุทิตาจิต ให้แก่ลูก"


    ผมขอความกรุณาของคุณให้แก่ผม แล้วคุณลองอ่านตาม Link นี้ดูจนครบนะครับ

    วิธีการเข้าถึงอุเบกขาจิต


    ลองดูข้อที่ 2 ยอมรับความจริงตามสัจธรรม // หวังว่าคุณจะเห็นความหมายที่แท้จริงและประโยชน์ของคำว่า เมตตา กรุณา ทาน มุทิตา

    - เรื่องที่ผ่านมาแล้วกล่าวพูดไปก็ขุ่นข้องขัดเคืองใจตนเอง

    - เรื่องปัจจุบันมันเป็นกุศโลบายของจิต ที่จะทำให้ชีวิตความนึกคิดของเจ้าตัวน้อย ไม่ขาดตกเสียใจ ขุ่นเคืองใจ หรือ ประนามคนที่สมควรแก่การเคารพกราบไหว้บูชา

    - หากคุณอ่านแล้วไม่เกิดประโยชน์แก่คุณ ผมขอโทษ และ ขออโหสิกรรมด้วยครับที่ช่วยคุณไม่ได้ คงไม่ขอแนะแนวทางใดๆให้คุณอีก เพราะผมคงไม่สามารถหาทางออกให้ใครได้ หากผู้นั้นเขาไม่คิดที่จะตั้งใจทำเพื่อลดทุกข์และพ้นจากทุกข์ มากกว่าการพูดระบายเพื่อให้จิตใจดีขึ้น ขอโทษคุณ Py123 ด้วยนะครับที่ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้เลย

    - ผมและทุกท่านทั้งหลายที่ตอบกระทู้ ทุกคนนั้นทำได้แค่ให้กำลังใจ และ แนะนำแนวทางเพื่อการลดละและออกจากทุกข์ให้แก่คุณ ส่วนการปฏิบัติกระทำนั้นมันอยู่ที่เจ้าของเรื่องว่าจะทำหรือไม่ทำครับ

    ขอบคุณที่รับฟังและอ่านกระทู้ผมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 พฤษภาคม 2012
  17. ชูนุ่น

    ชูนุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +699
    คุณกำลังน้อยใจ..เหงา..พยายามหากำลังใจให้ตัวเองอ่ะนะ..เราเข้าใจ

    ขอให้ผ่านพ้นไปให้ได้นะ..คุณก็เข้ามาคุยมาปรึกษาอ่านและออกความคิดเห็นได้ในบอร์ดนี้นะ..คุณจะพบว่าปัญหาที่คุณกำลังประสพอยู่นั้น อาจเพียงเสี้ยวหนึ่งของคนอื่นเท่านั้นเอง และไม่ใช่เพียงคุณคนเดียวที่กำลังเผชิญกับปัญหา ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ทุกข์ทน..ที่บอร์ดนี้..พอเป็นที่พึ่งทางใจได้มากทีเดียว..
    เราเองก็คงหนีการอยู่คนเดียวไม่ได้เหมือนกัน..เมื่อถึงเวลาของเราบ้าง..ก็ไม่ต่างจากคุณ..เข้มแข็งเป็นกำลังใจให้ก็แล้วกันนะ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2012
  18. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    <big><big> ...การวิ่งไล่ตามสิ่งที่ไม่มีวันได้ครอบครอง ทำให้ทรมานใจแสนสาหัส...

    </big></big>
    หลายคน ที่มีทุกวันนี้ ยอมลำบากทุกอย่าง ก็เพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก คนที่ตัวเองปรารถนา หรือสิ่งใดสักอย่าง ที่ชีวิตนี้ขอทุ่มเทให้ เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วม เพื่อให้ได้ครอบครอง เพื่อให้ได้มอง เพื่อให้ได้กอด เพื่อให้ได้จูบ เพื่อให้ได้จับมือ หรือแม้แต่เพื่อให้คิดถึง


    การได้อยู่ร่วมกันกับสิ่งที่เรารัก เป็นความสุขอย่างล้นเหลือ แต่ก็ระคนด้วยทุกข์ ไม่ใช่ความสุขเต็มประดาอย่างที่หวังไว้ อย่างน้อย ทุกข์ในปัจจุบัน หากไม่สมหวังที่จะได้ใช้ชีวิตกับสิ่งนั้นคนนั้น น้ำตาก็หลั่งริน แต่เมื่อได้มาการอยู่ด้วยกัน ทุกข์เห็น ๆ คึอทำมาหากิน เมื่อไม่มีกินพอ ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ หรือไม่มีความสุข ต่อมาเมื่อมีกินมีใช้แล้วก็กังวลว่าจะรักษาทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ให้ยั่งยืน อย่างไร ต่อมาเมื่อวันหนึ่งทรัพย์เหล่านั้นที่สร้างกันมาหมดสิ้นไปด้วยเหตุใดก็ตาม ความทรมานใจก็เข้ามาเยือน เพราะว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมด หมดกัน จะไม่เหลือแม้แต่ภาพลาง ๆ ของสิ่งนั้น เพราะว่า ทุำกสิ่งทุกอย่าง จะถูกความไม่เที่ยง ทำลายในที่สุด แม้จะจับมือกันไว้ก็ไม่อาจจะอยู่ด้วยกันตลอดไปได้

    และแม้วันสุดท้าย เมื่อรู้ว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกำลังจะจากไป คำว่า ใจจะขาด ที่ไม่เคยได้คิดถึง ก็จะเข้ามาแสดงความหมายที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร ทรมานแค่ไหน

    ไม่มีตรงไหนที่ "อุ่นใจ" ได้เลย ว่าได้สิ่งใดมาแล้ว "เรื่องจะจบ" แต่หลายคน ยังอยู่กับการแสวงหา "สิ่งนั้น" "เขาคนนั้น" "เธอคนนั้น" ...ของชีวิตฉัน

    แต่หาก ได้วางใจไว้ ไม่ติด ไม่ผูกพัีนธ์กับสิ่งใดมาก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความทุกข์ก็จะไม่อาจถามหาได้

    นี้ไม่ใช่เพื่อการมองโลกในแง่ร้าย แต่เพื่อไม่ให้มองพลาด จนถูกโลกทำร้าย


    ธรรมหัวข้อนี้ พระสาีรีบุตรได้อธิบายขยายความจากพระพุทธดำรัส ดังนี้

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙
    ชราสุตตนิทเทสที่ ๖


    [๑๘๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    คนทั้งหลายย่อมเศร้าโศก ในเพราะวัตถุที่ถือว่าของ เรา ความยึดถือทั้งหลายเป็นของเที่ยงมิได้มีเลย
    การยึดถือนี้ มีความพลัดพรากเป็นที่สุด
    อย่างเดียวเท่านั้น

    กุลบุตรเห็นดังนี้แล้ว ไม่ควรอยู่ครองเรือน.


    ว่าด้วยคนเศร้าโศกเพราะการยึดถือ

    [๑๘๗] คำว่า คนทั้งหลายย่อมเศร้าโศก ในเพราะวัตถุที่ถือว่าของเรา มีความว่า คนทั้งหลาย คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์ บรรพชิต เทวดา มนุษย์. คำว่ายึดถือว่าของเรา ได้แก่ ความยึดถือว่าของเรา ๒ อย่าง คือ ความยึดถือว่าของเราด้วยตัณหา ๑
    ความยึดถือว่าของเราด้วยทิฏฐิ ๑


    ชนทั้งหลาย แม้ผู้มีความหวาดระแวงในการแย่งชิงวัตถุที่ถือว่าของเรา ย่อมเศร้าโศก คือ

    - ย่อมเศร้าโศกเมื่อเขากำลังแย่งชิงเอาบ้าง

    - เมื่อเขาแย่งชิงเอาไปแล้วบ้าง

    - แม้ผู้มีความหวาดระแวงในความเปลี่ยนแปลงของสิ่งใด ๆ ก็ตามที่ถือว่าของเรา ย่อมเศร้าโศก คือ ย่อมเศร้าโศก ลำบาก คร่ำครวญ ทุบอกร่ำไร ถึงความหลงใหล เมื่อวัตถุนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไปอยู่บ้าง

    - เมื่อวัตถุนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วบ้าง


    เพราะฉะนั้น
    จึงชื่อว่า ชนทั้งหลายย่อมเศร้าโศกในเพราะวัตถุที่ถือว่าของเรา.


    ที่มา...

    PANTIP.COM : Y12055377
     
  19. py123

    py123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +14
    ขอบคุณทุกคนที่แนะนำ ผมอาจไม่รู้จักใครในที่นี่เลยแต่ก็จะถือว่ากำลังใจจากกัลยาณมิตรยามจิตใจทุกข์ยาก ที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปที่ห่างไกลวัดมาก การปรับเปลี่ยนวิถีความคิดจึงอาจจะยากหน่อยและต้องใช้เวลาให้มันค่อยๆซึมซาบ ตอนนี้นอนทุกคืนผมจะเปิดธรรมะของหลวงพ่อไพศาลฟังตลอด ซึ่งผมฟังเข้าใจได้ง่ายๆ และผมค่อยๆลดการยึดติดสิ่งต่างๆได้พอสมควรบ้างแล้ว แต่ยังมีบางเวลาที่จิตใจมันยังกลับไปฟุ้งซ่านนึกถึงเหตุการณ์ร้ายๆที่เพิ่งเกิดขึ้น
     
  20. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    ที่จริงไม่มีใครรู้จักใครอื่นเลยเเม้อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน เพราะ ใจของแต่ละคนมีความคิดวิจิตรต่างกันมากมายจนหยั่งถึงได้ยาก...แม้ใจตนก็เถิด กลับกลอกหลอกลวงตนมานานจนชินแล้ว ใครจะแก้ไขได้นอกจากตนเองเป็นไม่มีเลย..

    เหล่ากัลยาณชนในที่นี้ ต่างมีใจกรุณา เพราะเห็นท่านระสบทุกข์มา ท่านเหล่านั้นต่างเคยผ่านทุกข์สาหัสมาในหลายรูปแบบเช่นกัน ท่านเหล่านั้นทราบดีว่าอะไรทำให้ทุกข์ และวิธีการดับหรือพ้นทุกข์จึงเข้ามาแสดงความเห็น..เพราะท่านเคยใช้มาแล้วพบว่าได้ผลจริงๆ จึงพึงเลือกรับเอาตามที่เห็นว่าเหมาะควรแก่ตน..

    ว่ากันที่จริงแล้ว ก็ไม่มีใครห่างหรือใกล้วัดหรอก.บางคนอยู่ติดวัดแต่ไม่
    ติดธรรม ก็ไม่เป็นประโยชน์อันใดเลย....ที่แน่ๆคือเมื่อใจอยู่ใกล้ธรรม ย่อมได้คุณเครื่องแห่งความเกษมปลอดภัย เพราะธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเสมอ

    ขออนุโมทนาในการสดับพระธรรมจากพระคุณเจ้าไพศาล...นี่เป็นนิมิตรหมายที่ดีมากในการเริ่มเดินทางใหม่ ขอเพียงอย่ายอมให้กิเลสตัณหาของตนมาบั่นทอนการเข้าหาพระธรรมเท่านั้น.. เพราะสัตว์สังขารอื่นใดที่จะติดตามไปช่วยเหลือเกื้อกูลเราในภพหน้่าอย่างแท้จริงนั้นไม่มี แต่ปัญญา ที่ได้จากการสดับพระธรรมนี้เท่านั้น ที่ท่านสั่งสมไว้ในสันดานตนแล้ว..จะตามรักษาท่านในอัตภาพต่อๆไปอีกยาวนาน..

    เป็นกำลังใจให้ครับ
    ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...