แจกต่อ ฟรี! พระผงจักรพรรดิ์ ท่านละ 1 องค์ต่อครั้ง(ระงับแจกชั่วคราว)

ในห้อง 'แจกฟรี' ตั้งกระทู้โดย tanakorn_ss, 6 พฤศจิกายน 2010.

  1. บุญญาพัฒน์

    บุญญาพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +411
    กระผมขอรับ 99 องค์ครับกระผมจะนำไปแจกแก่ผู้ที่ศรัทธาและอีกส่วนหนึ่งจะนำไปมอบให้พระอาจารย์ที่วัดถ้ำพระคำเม็กครับเพื่อพระอาจารย์จะได้นำไปแจกแก่สาธุชนผู้ศรัทธาต่อไปอีก
    บุญญาพัฒน์ ทะสา 134/49 หมู่ 3 หมู่บ้านนิรันดร์วิลเลจ
    ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 20230
    กระผมบริจาคร่วมทำบุญด้วยนะครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ สาูธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2012
  2. nutmof

    nutmof เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +3,215
    เตรียมตัวรับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล (12-30 พ.ค. 55)

    ตามหลักความรู้ทางโหราศาสตร์ โดยปกติพระอาทิตย์จะทำการย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่งเป็นประจำทุกเดือน ตัวอย่างเช่น พระอาทิตย์ย้ายจากกลุ่มดาวราศีเมษไปสู่กลุ่มดาวราศีพฤษภ ซึ่งเป็นราศีถัดไปนั่นเอง ซึ่งในกรณีนี้จะขอเรียกว่าเป็นการย้ายราศีของพระอาทิตย์บนโลก

    หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า จริงๆ แล้ว เมื่อมองในภาพของจักรวาล พระอาทิตย์ก็จะต้องมีการย้ายราศีเช่นเดียวกัน แตกต่างกันที่ในภาพของจักรวาล พระอาทิตย์จะทำการย้ายราศีทุกๆ 2,160 ปี ซึ่งการย้ายราศีของจักรวาลนั้นจะวิ่งสวนทางกับการย้ายราศีบนโลก กล่าวคือ เดิมพระอาทิตย์ของจักรวาลได้สถิตย์อยู่ที่ราศีมีน และได้เริ่มทำการย้ายเข้าราศีกุมภ์ตั้งแต่ปี 2540 จนเข้ามาสถิตย์ในราศีกุมภ์เต็มที่เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2555 ที่ผ่านมา จึงเรียกได้อีกนัยหนึ่งว่า วันที่ 21 เม.ย. 2555 คือวันสิ้นปีของจักรวาล สิ้นสุดราศีมีน และเริ่มต้นเข้าราศีกุมภ์ในลำดับถัดไป

    เมื่อราศีของพระอาทิตย์ในจักรวาลได้ทำการย้ายราศี จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งระบบจักรวาล แต่จะขอสรุปผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโลกและระบบกาแลคซี่ของเราง่ายๆ ดังนี้

    1. ผลกระทบต่อดวงอาทิตย์
    กล่าวง่ายๆ ว่า เหมือนเป็นการเริ่มต้นระบบใหม่ (reset) ของดวงอาทิตย์ ถ้าเปรียบดวงอาทิตย์เหมือนแบตเตอรี่รถยนต์ที่ถูกใช้ไปเรื่อยๆ จากเดิมที่ใช้พลังงานได้เต็มที่ 100% ก็จะค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลาของการใช้งาน การเริ่มต้นระบบใหม่นี้ก็เป็นเหมือนกับการที่เราทำการประจุไฟให้แบตเตอรี่ใหม่ ซึ่งจะต้องมีการล้างเอาสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ออกไปจนหมด เมื่อนั้นพลังงานแบตเตอรี่จึงจะกลับมาใช้งานได้เต็มที่ 100% อีกครั้ง

    กล่าวได้ว่าปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับดวงอาทิตย์ในช่วงที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเป็นการระเบิดของดวงอาทิตย์ที่มีมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งส่งผลให้เกิดพายุสุริยะในระดับปานกลางจนถึงขั้นรุนแรงหลายครั้ง (มีการสนับสนุนแนวคิดที่ว่าพายุสุริยะมีผลโดยตรงต่อการเกิดภัยพิบัติต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นสภาวะอากาศแปรปรวน หรือแผ่นดินไหว โดยนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซ่า ดร.ก้องภพ อยู่เย็น) ก็คือการเคลียร์สิ่งต่างๆ ของดวงอาทิตย์ เพื่อเตรียมที่จะกลับมามีพลัง 100% ตามที่ยกตัวอย่างเทียบเคียงกับแบตเตอรี่ เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของดวงอาทิตย์เช่นกัน ซึ่งจะกินเวลาไปจนถึงปี 2560 จึงจะเข้าสู่สภาวะปกติ

    2. ผลกระทบต่อโลก และดวงดาวต่างๆ ในระบบกาแลคซี่ทางช้างเผือก
    จากการที่พระอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางของกาแลคซี่ทางช้างเผือก เมื่อพระอาทิตย์มีการเปลี่ยนแปลง จึงส่งผลให้สิ่งต่างๆ ในระบบต้องเปลี่ยนแปลงตามเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ด้วย

    ในส่วนของโลกนั้น แกนโลกและสนามแม่เหล็กโลกจึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ดังข้อมูลที่มีการกล่าวว่า แกนโลกมีการเอียงไปจากเดิม จึงทำให้เกิดภาวะฤดูกาลผิดเพี้ยน รวมไปถึงน้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น

    3. ผลกระทบต่อมนุษย์บนโลก
    ไม่เว้นแม้กระทั่งมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลก ที่จะต้องได้รับผลกระทบด้วย ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ก็จะต้องมีการล้างระบบ เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่างใหม่ ล้างสิ่งที่ไม่ดี เพื่อเตรียมสร้างสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้น จะมีโรคระบาดแปลกๆ ที่ยาแผนปัจจุบันรักษาไม่ได้ รวมไปถึงภัยธรรมชาติต่างๆ ที่มีมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อทำการเริ่มต้นระบบใหม่ (reset) เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์

    ดังนั้นมนุษย์เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมจิต เตรียมใจ ปรับธาตุขันธ์ของเราเพื่อให้พร้อมรับหรือเข้ากันได้กับพลังงานใหม่ และการรับรู้ของคลื่นพลังงานที่จะต้องไปกับโลกยุคใหม่ ซึ่งจะต้องมีการรีเซ็ทระบบใหม่ทั้งหมดเช่นกัน

    นอกเหนือจากข้อมูลข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว ในสายของพระอาจารย์หลายท่าน ก็มีการแจ้งข่าวให้คณะศิษย์ในสายของตน เตรียมตัว เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เช่นกัน อาทิเช่น

    1. พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

    “พระอาจารย์รัตน์ห่วงเรื่อง จุดดับจากดวงอาทิตย์
    ถ้ามีจุดดับใหญ่ เกิน 7 จุด และจุดดับที่ประกอบด้วยรังสีแกมม่า จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง พอมีการระเบิดจากดวงอาทิตย์ แล้วรังสีนี้พุ่งมายังโลก จะเกิดพลังงานดึงดูด ทำให้โลกดึงพลังงานนี้ลงไปยังศูนย์กลาง ใจกลางโลก ลมจะถูกดึงลงไปใจกลางโลก

    อย่างกรณีที่ผ่านมา ที่ฝนตกหนักที่เมืองไทย มีการระเบิดและมีการดึงลมและความเย็นจากฟ้าลงมาอย่างฉับพลันและจำนวนมาก ทำให้เกิดฝนจำนวนมาก นอกไปจากนี้พระอาจารย์ยังเกรงว่า

    ถ้ามีการดึงลมและพลังงานต่างๆ ลงไปใจกลางโลก พลังงานจะไปกระแทกแผ่นเปลือกหินที่อยู่ใต้แผ่นโลก จะทำให้แผ่นหินขยับตัวขนานใหญ่ อาจจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ได้

    นอกจากนี้รังสีแกมม่านี้ ยังอันตรายต่อมนุษย์มาก กรณีที่สัมผัสกับผิวหนังของมนุษย์ รังสีนี้จะไปทำปฏิกิริยากับกรดอะมิโน (พวกโปรตีน) โดยเฉพาะโปรตีนที่ถูกสร้างมาจากเนื้อสัตว์ (คนที่บริโภคเนื้อสัตว์) แต่ถ้าเป็นโปรตีนที่สร้างมาจากพื้นจะไม่เป็นอะไร เมื่อโปรตีนนี้ทำปฏิกิริยาเซลล์มนุษย์ตรงนั้นก็จะเสีย จะทำให้เซลล์เกิดเป็น สีม่วง และเน่าไปในที่สุด
    (แจ้งข่าวโดยคุณ Falkman ที่มา : เวบพลังจิต)

    2. หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ วัดเพชรบุรี สุสานทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์

    “หลวงปู่เมตตาเตือนภัยพิบัติเรื่อง
    1. น้ำท่วม
    2. โรคปากแห้ง (อดอยาก ขาดแคลนข้าวปลาอาหาร ปล้นฆ่ากัน)
    3. โรคระบาดที่มาทางอากาศ เกี่ยวกับทางเดินหายใจ

    หลวงปู่เมตตาบอกว่าให้ถือ ศีลห้า ให้ได้ แล้วทุกคนที่ถือได้ จะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติ
    เพราะว่าไม่มียาชนิดใดรักษาได้

    สำหรับเรื่องที่หลวงปู่เมตตาเตือนนั้นท่านเตือนตั้งแต่กลางปี 2553 แล้วว่าประมาณต้นปี 2554 จะเกิดการนองเลือด และตอนปลายปีจะเกิดน้ำท่วมกรุงเทพ (เกิดแล้ว ซึ่งครั้งนี้แค่มาเตือนยังมีครั้งใหญ่ที่จะตามมาอีก ซึ่งถ้าเกิดครั้งนี้ก็คงอยู่ไม่ได้แล้วต้องหนีอย่างเดียว น้ำจะท่วมกรุงเทพสูง 5 เมตร และน้ำจะไม่ลดเลย) และเมื่อประมาณกลางปี 2554 หลวงปู่ยังเมตตาเตือนอีกว่าซื้อเรือรึยัง (หลังจากนั้นไม่กี่เดือนน้ำก็เริ่มท่วมเลย)

    และเมื่อตอนปลายปี 2554 หลังจากที่น้ำเริ่มลดแล้วหลวงปู่เมตตาเตือนอีกว่าของกินของใช้ที่เก็บไว้อย่าพึ่งเลิกเก็บ เพราะว่าเดี๋ยวจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่อีก และล่าสุดที่ท่านเตือนอยู่ทุกวันคือให้ลูกศิษย์ตัดผมให้สั้นทั้งชายและหญิง”

    (สรุปใจความและแจ้งข่าวโดยลูกศิษย์หลวงปู่หงษ์ ชมคลิปต้นฉบับได้จากลิงค์ [ame=http://www.youtube.com/watch?v=2fLGBg8-bi4&feature=player_embedded]หลวงปู่หงษ์ เมตตาเตือนภัยพิบัติ - YouTube[/ame])

    -------------------------​

    วันที่ 21 พ.ค. 2555 เป็นวันที่สำคัญมากวันหนึ่ง เนื่องจากมีปรากฏการณ์สุริยคราส หรือที่เรียกกันว่า สุริยุปราคา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อจักรวาลและโลกของเรา เนื่องจากการเกิดสุริยคราสไปตรงกับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลพอดี จึงส่งผลให้ดวงอาทิตย์มีการ reset มากเป็นพิเศษ

    นอกเหนือจากนี้ ในทางโหราศาสตร์ การเกิดคราสยังหมายความถึง จุดดับ จุดบัง ถ้าท่านใดที่ชะตาอยู่ในช่วงนี้จะมีปัญหา จะได้รับผลกระทบ ซึ่งเรียกกันว่า ”ถูกคราส” อีกทั้งเลข 21 ยังหมายถึงจักรวาล ซึ่งเมื่อถอดความตามตัวเลขแล้ว อาจหมายถึง “จักรวาลกำลังมีปัญหาหรือความแปรปรวน”

    จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์จึงให้คณะศิษย์อย่าได้ประมาท ให้เตรียมตัว เตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าว และเตรียมรับพลังจากการเกิดสุริยคราสในวันที่ 21 พ.ค. 2555 ซึ่งตามศาสตร์โบราณ จะทำการบวกลบเอาจากวันที่เกิดไปอีก 7 วัน เมื่อนับว่าวันที่ 21 พ.ค. คือวันที่มีพลังงานรุนแรงที่สุด (Peak) และพลังจะลดลงมาเป็นลำดับในวันก่อนและหลังจากวันนั้นอีก 7 วัน จึงจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ (Normal)

    หากเป็นไปได้ให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 -30 พ.ค. 2555 แต่หากจะนับเอาวันที่โลกรับเอาพลังงานสูงสุดจากจักรวาลอย่างเต็มที่นั้นจะเป็นวันที่ 12-23 พ.ค. 2555 นับรวมแล้วเป็นจำนวนทั้งสิ้น 12 วัน ซึ่งเลข 12 นั้นมีความหมายถึง “จักรวาล” แต่หากติดภารกิจ หรือไม่สะดวกปฏิบัติตามจริงๆ วันที่สำคัญที่สุด และควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดคือวันที่ 20-22 พ.ค. 2555 ซึ่งถือเป็นช่วงใจกลางคราสและเป็นจุดรวมพลังที่สำคัญมาก ดังนี้

    1. ให้ทานอาหารมังสวิรัติ หากเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงหรืองดของที่มีน้ำมันหรือเนื้อสัตว์
    เพราะเป็นของแสลง เนื่องจากเนื้อสัตว์มีโปรตีน ซึ่งรังสีจากนอกโลกจะไปทำปฏิกิริยาต่อเซลล์ และเกิดผลเสียต่อร่างกาย (ตามคำกล่าวของพระอาจารย์รัตน์)

    สำหรับน้ำมันนั้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันจากสัตว์ หรือน้ำมันพืช อาจจะเกิดการหืน (rancidity) ซึ่งทำให้เกิดสารตัวนึงที่ชื่อ peroxide และทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นโทษต่อร่างกาย

    หากมีความจำเป็นที่จะต้องทานเนื้อสัตว์ สามารถทานเนื้อปลา และกุ้งแทนได้ นอกจากนี้หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร ขอให้เลือกใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันงาแทน

    2. ให้รักษาศีลอย่างน้อยคือศีล 5 โดยศีลข้อ 3 ให้เปลี่ยนจาก “กาเมสุมิจฉาจารา ฯ” เป็น “อพรหมจริยา ฯ”

    การรักษาศีล จะเป็นการทำให้สนามแม่เหล็กในตัวเราเกิดรัศมีหรือเกราะคุ้มกัน ซึ่งส่งผลให้สนามแม่เหล็กในตัวเราเกิดความเข้มแข็ง ป้องกันไม่ให้รังสีอันอาจจะเกิดขึ้นจากภายนอกเข้ามาทำอันตรายได้ เราจึงจำเป็นต้องเสริมภูมิคุ้มกันของเราด้วยตนเอง ดังที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ก็นี่แหละ เพราะกระแสแม่เหล็กในตัวเรานั้น ถ้ามีสภาพที่ดี แข็งแกร่ง พลังปรานก็จะดีด้วย

    3. ท่านที่เกิดในวันที่ 15 – 27 พ.ค. ถือว่าอยู่ในช่วงวันที่มีพลังงานรุนแรงมาก จึงควรถือศีล 8 ควบคู่ไปกับการทานอาหารข้างต้น และถ้าเป็นไปได้ควรเว้นไม่ออกจากบ้านในวันที่ 20 – 22 พ.ค. 2555 หากมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทาง ขอให้กลับเข้าที่พักก่อนอาทิตย์ตกดิน เพราะผู้ที่เกิดในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าได้รับอิทธิพลจากคราสเท่ากันกับท่านที่เกิดวันที่ 21 พ.ค. ซึ่งเป็นวันที่เกิดสุริยคราสพอดี ถือเป็นวันแรง จะได้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลาย

    ในรายละเอียดวิธีการข้างต้นนั้น อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ได้กล่าวย้ำคณะศิษย์ว่า หากมีความจำเป็นที่จะปฏิบัติไม่ได้ตามนั้นทั้งหมดทุกข้อ ในช่วงเวลาดังกล่าว (12 – 30 พ.ค. 55) อย่างน้อยขอให้ปฏิบัติให้จริงจังครบทุกข้อในช่วงที่พลังงานรุนแรงคือวันที่ 20 – 22 พ.ค. 2555

    นอกจากนี้อาจารย์ยังได้สรุปเป็นแนววิธีการให้เข้าใจง่ายๆ 2 ข้อดังนี้

    1. อย่ารับเอาสารอาหารที่เป็นของแสลงเข้าไปทางปาก อันจะทำให้พลังปรานในตัวลดลง
    2. เพิ่มพลังปรานในตนเองด้วยการปฏิบัติ และรักษาศีล สวดมนต์ ภาวนา


    หากมีรายละเอียดเพิ่มเติม อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์จะทำการชี้แจง บอกกล่าว ให้คณะศิษย์ทราบในโอกาสถัดไป และสุดท้ายอาจารย์ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอให้คุณพระคุ้มครอง และจงพยายามสร้างคุณพระในใจ”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2012
  3. krunoie

    krunoie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2012
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +95
    วันนี้ผมได้แจกพระผงจักรพรรดิที่ได้รับความเมตตาจากท่าน ในงานบวชหลาน จำนวน 50 องค์และเหรียญสตางค์ทำน้ำมนต์ อฐิษฐานโดยหลวงตาม้า จำนวน 50 เหรียญ (ได้จากคุณรุชชานนท์) ตอนนี้ยังมีพระผงเหลืออยู่อีกจำนวนไม่มากและผมได้แบ่งใส่ถุงพลาสติก ถุงละ 50 องค์ไว้สำหรับแจกในงานบุญต่างๆ อีกเรื่อย ๆ ครับ แจ้งข่าวงานบุญให้เพื่อนสมาชิกได้ทราบ วันที่ 15 ธันวาคม 2555 ที่โรงเรียนบ้านห้วยยาง อ.กระนวน จ.ขอนแก่น ของผมได้รับความเมตตาจากหลวงปู่เณรคำ จาก จ.สกลนครจะมาร่วมสร้างโรงอาหารสำหรับนักเรียน ซึ่งยังขาดปัจจัยอีกจำนวนมากให้แล้วเสร็จ ซึ่งผมคิดว่าจะนำพระผงจักรพรรดิที่มีอยู่ไปขอให้หลวงปู่อฐิษฐานจิตให้ เืพื่อไว้สำหรับแจกเพื่อเป็นทานบารมีต่อไปครับ
     
  4. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุ สาธุ ขอน้อมอนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งปวงนะครับ

    [​IMG]

     
  5. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุ สาธุ ขอน้อมอนุโมทนาบุญทั้งหมดทั้งปวงนะครับ

    [​IMG]
     
  6. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุ ขอโมทนาคุณณัฐด้วยนะ ที่มีจิตใจงดงามนำข้อคิดดีๆหลักธรรมดีๆมาแป่งปันกันให้พิจารณา

    โปรดใช้วิจารณญาณ(เล่าสู่กันฟัง)
    ยังไงก็ขอเสริมหน่อยนะครับตามความคิดเห็นส่วนตน
    ควรระมัดระวังภัยที่เิกิดจากไฟและลมด้วยจากคนและธรรมชาติ



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2012
  7. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ด่วน
    แจกฟรี พระผงจักรพรรดิ์ แจกเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด

    <hr style="color:#ffffff;background-color:#ffffff" size="1">
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ด่วนขออนุญาติ เปลี่ยนกติการแจกพระผงจักรพรรดิ์
    เนื่องจากทางคุณณัฐและทีมงานติดภารกิจต่างๆมากมายทำให้ไม่มีความสะดวกเต็ม ที่ในการจัดสร้างพระผง มีความเป็นห่วงเกรงว่าจะจัดส่งพระให้ท่านที่แจ้งความประสงค์ขอรับพระครั้งละ หลายๆองค์ล้าช้าและอาจขาดตกบกพร่องซึ่งอาจจะมีผลทำให้หลายๆท่านเข้าใจเจตนาของทีมงานผิดไป จึงมีความเห็นว่าจะขออนุญาติแจกได้จำนวนมากสุดท่านละ ๒๐ องค์เท่านั้น

    โดยเจตนาแจกสำหรับท่านที่ จะขอรับไปบูชา
    เพื่อใช้ในการปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ ทำน้ำมนต์ หรือบูชาติดตัว ไป แจกให้กับบิดา มารดา ครูอาจารย์ เจ้านายผู้ใหญ่ ญาติพี่น้องที่ต้องการนำไปปฏิบัิติธรรมบูชาจริงๆ หรือนำไปบรรจุกรุ บรรจุองค์พระ ใต้ฐานพระหรือเจดีย์ตามสถานที่ต่างๆ หรือนำไปถวายพระ ถวายวัด หรือนำไปบอกบุญเพื่อให้บูชายังประโยชน์ต่อทางพระพุทธศาสนา ตามท่านที่คิดว่าดีแล้ว เหมาะสมแล้ว สมควรแล้วอย่างไร

    กติกา
    ทุกท่านที่ขอรับพระให้ทำตามกติกา ตามที่ระบุไว้เท่านั้น
    -โพสแจ้งรายละเอียดที่ต้องการดังนี้
    - วันที่ ที่จะใช้งานหรือนำไปแจก วัตถุประสงค์ในการนำพระไปใช้
    - จำนวนพระที่ต้องการ
    - ที่อยู่ในการจัดส่ง
    โดยละเอียด
    - ส่งกล่องพลาสดุและติดสแต็มป์มาเท่านั้นๆ เพื่อไม่เป็นภาระให้ผู้เสียสละจัดส่งพระ

    ส่งกล่องพัสดุกันกระแทกมาตามที่อยู่ด้านล่างนี้เท่านั้น

    สุรชัย ศรีอรุณลักษณ์

    48/9 ม.9 ถ.บางกรวย-ไทรน้อย
    ต.บางเลน อ.บางใหญ่ นนทบุรี 11140
    โทร. 081-551-7374



    (ถ้ามีความประสงค์ให้ลงทะเบียนแบบ ems เพื่อป้องกัันการสูญหาย ให้ท่านส่งเงินมาเพื่อทำการลงทะเบียน เงินที่เหลือขออนุญาตินำไปร่วมทำบุญกับงานบุญต่างๆในโครงการคุณณัฐตามที่ เห็นว่าสมควรต่อไป)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2012
  8. ก ฯลฯ ฮ

    ก ฯลฯ ฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    858
    ค่าพลัง:
    +1,174

    ได้รับกล่องแล้ว จัดส่งให้บ่ายวันนี้ครับ
    โมทนาครับ
     
  9. บุญญาพัฒน์

    บุญญาพัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +411
    กระผมได้รับแล้วครับขออนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. krunoie

    krunoie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2012
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +95
    สวัสดีครับ เนื่องด้วยในวันที่ 4 มิ.ย. 2555 นี้ ทางวัดเจติยภูมิ (วัดพระธาตุขามแก่น) จ.ขอนแก่น จะได้จัดงานฉลองพุทธชยันตรี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ผมมีความตั้งใจจะได้นำพระผงจักรพรรดิ จำนวน 300 องค์ ไปแจกให้พุทธศาสนิกชนที่ไปร่วมงานที่วัด เพราะโรงเรียนของผมได้เข้าร่วมงานด้วยทุกปี ขอแจ้งข่าวงานบุญใหญ่นี้ให้ทุกท่านได้ทราบครับ

    ตอนนี้ได้ทำภาระกิจบุญเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ บรรยากาศในงานมีแต่คนอิ่มบุญกันทั้งนั้นเลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC03968.JPG
      DSC03968.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      50
    • DSC03971.JPG
      DSC03971.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      79
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2012
  11. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    พุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า


    เชิญดาวน์โหลด

    บทสวดมนต์ ธรรมจักร ทำนองอินเดีย

    <table class="tborder" style="margin:10px 0" cellpadding="6" cellspacing="1"> <thead> <tr> <td class="tcat" colspan="2" style="text-align:center"> [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Wyp_euqJKQk"]บทสวดมนต์ ธรรมจักร ทำนองอินเดีย พร้อมคำแปล ปรับปรุงใหม่ - YouTube[/ame] </td> </tr> </thead> <tbody> <tr> <td class="panelsurround" align="center">
    </td> </tr> </tbody> </table>​


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. ก ฯลฯ ฮ

    ก ฯลฯ ฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    858
    ค่าพลัง:
    +1,174

    สาธุ อนุโมทนาครับ
     
  13. ก ฯลฯ ฮ

    ก ฯลฯ ฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    858
    ค่าพลัง:
    +1,174
    ส่งพระเมื่อว้นเสาร์ครับ
    - เทศบาลพังงา
    - วัดศรีสุพรรณ สามชุก สุพรรณบุรี
    - อ. เมือง ภูเก็ต

    อนุโมทนาครับ
     
  14. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    ขออนุญาตประชาสัมพันธ์บอกบุญ


    มีงานหล่อหลวงปู่ดู่ 2 งาน

    1.บุญใหญ่มาแล้ว! 3 มิ.ย. 55 ขอเรียนเชิญหล่อหลวงปู่ดู่หน้าตัก 86 นิ้ว ณ โรงหล่อลาดหลุมแก้ว
    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> <ins style="display:inline-table;border:none;height:280px;margin:0;padding:0;position:relative;visibility:visible;width:336px"></ins>
    [​IMG]

    ที่มา:บุญใหญ่มาแล้ว! 3 มิ.ย. 55 ขอเรียนเชิญหล่อหลวงปู่ดู่หน้าตัก 86 นิ้ว ณ โรงหล่อลาดหลุมแก้ว


    2.ขอเชิญร่วมเททองหลวงปู่ดู่ 108 นิ้ว 4 มิ.ย. 55

    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> <ins style="display:inline-table;border:none;height:280px;margin:0;padding:0;position:relative;visibility:visible;width:336px"></ins>
    ขอเชิญผู้ที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาในบารมีธรรมแห่งองค์หลวงปู่ดู่-หลวงปู่ทวด ร่วมพิธีเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ขนาดหน้าตัก 108 นิ้ว วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 4 มิถุนายน 2555 (วิสาขบูชา) เพื่อประดิษฐาน ณ ลานโพธิ์ วัดสะแก ให้เป็นที่เคารพสักการบูชากราบไหว้แก่บรรดาพุทธศาสนิกชนโดยทั่วกัน

    07.00 น. พิธีบวงสรวงถวายเครื่องสักการบูชาแด่คุณพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ มี องค์หลวงปู่ดู่-หลวงปู่ทวด เป็นที่สุด

    09.00 น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์

    เปิดจิต เปิดใจ เปิดฟ้า เปิดบารมี เปิดโลก เปิดจักรวาล ส่องทางพระนิพพาน ด้วยบารมีแห่งพระศรีอารยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ นำถวายตัวเป็นศิษย์กรรมฐานแด่องค์หลวงปู่ดู่-หลวงปู่ทวด โดย พระอาจารย์ พ.ธรรมรังสี


    หมายเหตุ : กรุณาแต่งชุดขาว ผู้ที่เป็นศิษย์องค์หลวงปู่อยู่แล้ว ไม่ต้องเตรียมดอกไม้ธูปเทียนไปเพื่อถวายตัว นำไปตามความศรัทธา แต่ท่านใดที่จะถวายตัวเป็นศิษย์ กรุณาเตรียมพวงมาลัยดอกไม้ 1 พวง ดอกบัว 10 ดอก และธูปหอม 9 ดอก มาด้วย (ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ให้มาด้วยใจก็พอ)

    อนึ่ง ถ้าจะร่วมบุญเททองให้เตรียมแผ่นทองคำเปลวมาตามศรัทธา แจกพระหลวงปู่ทวดในงาน


    ที่มา:http://palungjit.org/threads/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%88-108-%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%A7-4-%E0%B8%A1%E0%B8%B4-%E0%B8%A2-55-a.338249/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2012
  15. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    พุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
    เชิญดาวน์โหลด
    บทสวดมนต์
    ปฏิจจสมุปบาท ทำนองอินเดีย
    เป็นธรรมทาน
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=9cYpZ_wphAw"]บทปฏิจจสมุปบาท ต้นเหตุของทุกข์ - YouTube[/ame]



    (โปรดใช้หลักกาลามสูตร)

    ศัพท์ว่า ปฏิจจสมุปบาท: ปฏิจจ แปลว่า อาศัย อุปปาทะ

    แปลว่า เกิดขึ้น สํ บวก อุปปาทะแปลว่า เกิดขึ้นพร้อม


    รวมเป็นปฏิจจสมุปบาท อาศัยเกิดขึ้นพร้อมกันหมายความว่าอาศัยกัน คือ

    อาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น จึงเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท เช่น สังขารเกิดเพราะ

    อาศัยอวิชชา วิญญาณเกิดเพราะอาศัยสังขาร นามรูปเกิดเพราะอาศัย
    วิญญาณ เป็นลำดับไป


    พระอาจารย์แต่ปางก่อน แสดงไว้ต่าง ๆ กัน

    เช่น ใน วิภังคปกรณํ ท่านแสดงว่าวิญญาณ ๖ คือ จักขุวิญญาณ

    โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ แต่ในอรรถกถาแสดงว่า ปฏิสนธิวิญญาณวิญญาณที่สืบต่อมา

    นี่ท่านเถียงกันมาแล้ว เพราะท่านไม่แน่ว่าอย่างไรจึงจะแสดงให้เข้าใจ ท่าน

    ก็ต้องแยกออกไปเป็น อัทธา คือ กาล ๓ ได้แก่
    อตีตอัทธา กาลที่ล่วงมาแล้วคือ อวิชชาสังขาร นี่ตอนหนึ่ง ปัจจุปันนอัทธาตั้งแต่วิญญาณไปจนถึงภพ

    ภพก็แยกเป็น ๒ คือ กัมมภพ ภพคือกรมคือกิจการที่สัตว์ทำอย่างหนึ่ง
    อุปปัตติภพภพคือความเกิดขึ้นหรือภพที่เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง


    ท่านจัดวิญญาณจนถึงกัมมภพเป็นปัจจุปันนอัทธา คือกาลปัจจุบัน นี่ตอนหนึ่ง

    ท่านจัดอุปปัตติภพและชาติชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ

    อุปายาส เป็น อนาคตอัทธา กาลอนาคตท่านแบ่งเป็น ๓ กาลดังนี้

    เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อวิชชากับสังขารก็ล่วงมาแล้ว มีแต่ในชาติก่อน

    ในปัจจุบันนี้ สัตว์ก็มีตั้งแต่วิญญาณไปจนถึงกัมมภพ ยังไม่มีอุปปัตติภพ คือ

    ความเกิด ต่อชาติหน้าจึงจะมีอุปปัตติภพ ภพคือความเกิดแล้วก็มี ชาติ

    ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัสสะ อุปายาส

    และท่านแสดงสนธิ คือหัวต่อไว้ ๓ คือ เหตุอดีตได้แก่อวิชชา สังขารซึ่งต่อ

    กับวิญญาณเป็นต้นอันมีปัจจุบัน นี่เรียกว่าสนธิ ๑ ในปัจจุบันนี้ ก็มีสนธิ

    คือ กายอันนี้ ที่มีวิญญาณเป็นต้นจนถึงกัมมภพ แบ่งเป็นส่วนผลมีมาจาก

    เหตุเก่าส่วนหนึ่ง เป็นส่วนเหตุที่เกิดขึ้นใหม่อันได้แก่กรรมอีกส่วนหนึ่ง


    ผลเก่ากับทำเหตุใหม่นี้ต่อกัน เรียกว่าสนธิหนึ่ง


    กรรมที่ทำในปัจจุบันนี้อันเรียกว่าเหตุใหม่ จะให้ผลต่อไปในอนาคตเป็น

    อุปปัตติภพ และชาติ ชรา มรณะเป็นต้น นี่เป็นสนธิอีกหนึ่ง


    จึงมีสนธิ ๓ นี่แบบเก่าท่านแสดงไว้เช่นนี้

    แต่ถ้าเป็นเช่นนี้จริงแล้ว อวิชชาสังขารเป็นอตีตอัทธาไม่ใช่ปัจจุบัน ใคร

    จะประพฤติดีประพฤติชอบเท่าไร ก็ละไม่ได้ เพราะเป็นอดีตล่วงมาแล้ว

    เหมือนอย่างเมื่อวานนี้เราทำอะไรไว้แล้ว จะมาละในวันนี้ละไม่ได้

    และปัจจุปันอัทธา คือ ตั้งแต่วิญญาณจนถึงกัมมภพเป็นปัจจุบัน ถ้าเช่นนั้น

    ตั้งแต่อุปปัตติภพ จนถึง ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ

    โทมนัสสะ อุปายาส เป็นอนาคตยังไม่มาถึงเมื่อเป็นเช่นนี้ในปัจจุบันนี้ใครก็

    ละไม่ได้เพราะยังไม่มาถึง จะไปละอย่างไร เหมือนดังพรุ่งนี้จะมีอะไรขึ้น

    เราจะละในวันนี้ไม่ได้ จะละได้ต่อเมื่อมาถึงเข้า ค้านกันอยู่เช่นนี้

    และถ้าแบ่งแยกออกไปเป็น ๓ กาล ชาตินี้ เราก็ไม่มีอวิชชา สังขาร

    เพราะนั่นเป็นเหตุอดีตล่วงมาแล้ว ทั้งไม่มีชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ

    ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาส เพราะเป็นอนาคตยังไม่มาถึง

    นึกถึงพระอรหันต์ พระอรหันต์ละอวิชชา สังขารได้

    อวิชชาสังขาร เป็นอดีตหรือ ? ก็จะเห็นได้ว่าไม่ใช่อดีต ปัจจุบันนี้แหละ

    ท่านจึงละได้ และอุปปัตติภพ ชาติ ชรา มรณะโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ

    โทมนัสสะ อุปายาส ท่านละเมื่อไร ? ท่านก็ละในปัจจุบันนี้เอง

    ไม่ใช่ละในอนาคต เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เห็นได้ว่า

    ปฏิจจสมุปบาทไม่ใช่แบ่งเป็นอดีต เป็นปัจจุบัน เป็นอนาคต

    เป็นอดีต ก็อดีตทั้งสาย เป็นปัจจุบันก็ปัจจุบันทั้งสาย

    เป็นอนาคต ก็อนาคตทั้งสาย

    เช่นในอดีตที่เราได้เกิดมาแล้วเราก็มีตั้งต้นแต่อวิชชาสังขารไปจึงถึง

    ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาส มาถึงปัจจุบันนี้

    เราก็มีอวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป ไปจนถึง ชรา มรณะ โสกะ

    ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาส ในปัจจุบันนี้แหละ

    ถ้าจะมีต่อไปในอนาคตก็มีเต็มที่ทั้งสาย ตั้งแต่อวิชชาไป เพราะฉะนั้น

    ในบัดนี้เรา ต้องมีตั้งต้นแต่อวิชชา สังขาร จนถึงชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ

    ทุกขะโทมนัสสะ อุปายาส พระอรหันต์ละกิเลส ก็ละอวิชชาสังขาร จนถึง

    ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาส ในปัจจุบันนี้เอง

    ปฏิจจสมุปปาท ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อมแยกเป็น ๒ คือ

    ปฏิโลม จับผลสาวขึ้นไปหาเหตุ ซึ่งในปฏิจจสมุปบาทท่านเรียกว่า ปัจจัย

    คือจับผลสาวขึ้นไปหาปัจจัยโดยลำดับ

    อนุโลม จับเหตุหรือปัจจัยสาวลงไปหาผลโดยลำดับจึงเป็น ๒

    ถ้าจะเรียกว่า อริยสัจ ๒ ก็ได้ คือสายหนึ่งทุกข์กับทุกขสมุทัย

    อีกสายหนึ่งทุกขนิโรธกับมรรค

    ตามแบบเก่าแยกออกเป็น ๓ กาล คืออวิชชา สังขารเป็นอดีต ตั้งแต่

    วิญญาณมาถึงภพจัดเป็นปัจจุบัน ตัวภพยังแยกออกเป็น ๒ คือ กัมมภพ

    ภพคือกรรม อุปปัตติภพ ภพคืออุปบัติ ความเข้าถึงหรือความเกิดขึ้น

    ท่านแสดว่าตั้งแต่วิญญาณจนถึงกัมมภพเป็นปัจจุบัน

    ตั้งแต่อุปบัติภพไปเป็นอนาคต ถ้าเช่นนั้นแล้ว อวิชชากับสังขาร

    ก็ล่วงมาแล้ว มีมาแต่ชาติก่อน ตั้งแต่อุปปัตติภพไปยังไม่มีมาถึง

    เมื่อเป็นเช่นนี้ ในปัจจุบันนี้ก็ต้องมีแต่วิญญาณจนถึงกัมมาภพเท่านั้น


    ชาติก็ไม่มี ชรา พยาธิ มรณะ ก็ไม่มี

    แต่ว่าพิจารณาดูไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะอวิชชา สังขาร

    เป็นอดีต พระอรหันต์จะละสิ่งที่เป็นอดีตไม่ได้ ต้องละได้แต่ที่เป็นปัจจุบัน

    ส่วนที่เป็นอนาคตก็ละไม่ได้ เพราะยังไม่มาถึงมีพระบาลีในภัทเทกรัตตคาถา

    แสดงไว้ว่า

    " อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ไม่คิดถึงอดีต ไม่ควร

    หวังอนาคต ยทตีตมฺหีนนฺตํ อปฺปตฺตญฺจอนาคตํ ( เพราะ ) ส่วนที่เป็น

    อดีต ก็ได้ละเสียแล้ว ส่วนที่เป็นอนาคตก็ยังไม่ถึง


    ปจฺจุปฺปนฺนนญฺจ โย ธมมํ ตตฺถ วิปสฺสติ อสํหิรํ อสงฺกุปฺปํ ตํ วิทฺธา

    มนุพฺรูหเย ผู้ใดเห็นแจ้งธรรมที่เป็นปัจจุบัน ในที่นั้น ๆ ในกาลนั้น ๆ ไม่

    ง่อนแง่นไม่คลอนแคลน ผู้นั้น ครั้นรู้ธรรมนั้นแล้ว ก็พึงเจริญเนือง ๆ "


    เมื่อจับหลักพุทธประวัติ คือเรื่องของพระพุทธเจ้าเมื่อตอนตรัสรู้ ท่าน

    แสดงว่าพระพุทธเจ้าจับผลสาวไปหาเหตุ คือจับตั้งแต่ ชรา มรณะไปว่า มี

    เพราะอะไรก็สาวขึ้นไปหาเหตุไปจนถึงอวิชชา ไม่ได้ปรากฏว่าปันเป็น ๓ กาล


    คือ อดีต ปัจจุบันอนาคต เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า ที่ท่าน

    ปันปฏิจจสมุปบาทออกเป็น ๓ กาล ไม่สมกับพระพุทธประวัติ

    ถ้าอดีตก็ต้องอดีตทั้งหมดสาย ปัจจุบันก็ตลอดสาย

    อนาคตก็ตลอดสายเหมือนกัน.


    มาถึงปฏิจจสมุปบาทที่ไม่ปันเป็น ๓ กาล แต่ที่ว่านี้ว่าตามทัศนะคือ

    ความเห็นหรือตามมติความรู้ แต่ก็รู้เพียงธรรมและอรรถคือเนื้อความ

    เมื่อพิจารณาดู ต้องไปจับหลักพระบาลีที่แสดงในธาตุวิภังคสูตรว่า

    ฉธาตุโร ปุริโส คนมีธาตุ ๖ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ อันรวมเข้า

    เป็นรูปกาย กายที่เป็นส่วนรูปไม่มีความรู้ กับวิญญาณธาตุ ธาตุรู้อีกส่วนหนึ่ง

    รวมเป็น ๖

    ถ้าลำพังแต่ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ไม่มีวิญญาณธาตุ ธาตุรู้เข้าผสมด้วย

    ก็ไม่เป็นคน ถ้ามีแต่วิญญาณธาตุ ไม่มีดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ที่เป็นที่

    อาศัยของวิญญาณธาตุ ๆ ก็ไม่ปรากฏเหมือนไฟไม่ติดเชื้อ เพราะฉะนั้น


    เราตรวจดูเราในบัดนี้ว่า เรามีอะไรบ้าง จะเห็นได้ว่า กายอันนี้ที่แยกออก

    เป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ส่วนหนึ่ง มีธาตุรู้อีกส่วนหนึ่งผสมกันอยู่

    ธาตุรู้นั้นแหละออกมาทางจักษุคือตาก็มาประสบรูป ออกมาทางโสตะคือหู ก็

    มาประสบเสียง ออกมาทางฆานะคือจมูก ก็มาประสบกลิ่น ออกมาทาง

    ชิวหาคือลิ้น ก็มาประสบรส ออกมาทางกายก็มาประสบโผฏฐัพพะ ออกมา

    ทางมนะหรือมโน ก็มาประสบธรรมคือเรื่อง ก็เกิดจักขุวิญญาณ โสต

    วิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ

    นี่ตรวจดูเราเองเป็นอยู่เช่นนี้

    อายตนะภายใน อายตนะภายนอกกับวิญญาณ ๓ อย่างรวมประชุมกัน

    เข้า ก็เป็นผัสสะ ความกระทบ ต่อจากผัสสะก็ให้เกิดเวทนาเป็นสุขเป็น

    ทุกข์ หรือไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ตรวจดูเราเองอาจเห็นได้

    ถ้าเป็นอยู่เพียงเท่านี้ เราจะพูดกันไม่ได้ฟังกันไม่รู้เรื่อง เพราะขาดสัญญา

    ความจำพูดไม่ต่อกันฟังไม่รู้เรื่อง ต้องมีสัญญาความจำ

    เมื่อมีสัญญาความจำเกิดขึ้น ต่อไปก็เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

    สังขาร ในที่นี้ ไม่มุ่งส่วนที่เป็นบุญคือดี ไม่มุ่งส่วนที่เป็นบาปคือชั่ว

    แต่มุ่งถึงส่วนที่เป็นกลาง ๆ

    เพราะฉะนั้น สังขารโดยปริยายคือทางหนึ่ง ท่านจึงแสดงไว้ ๓ ได้แก่

    ลมหายใจเป็น กายสังขาร คือปรุงกายหมายความว่า กายจะเป็นอยู่ได้

    ก็เพราะลมหายใจ ถ้าไม่มีลมหายใจ กายเป็นอยู่ไม่ได้ ลมหายใจจึงกลาย

    เป็นสังขาร ปรุงกาย นี่อย่างหนึ่ง

    วิตก ตรึกนึก วิจาร ตรอง รวมกันเรียกว่าวิตกวิจาร เป็น วจีสังขาร

    คือปรุงคำพูด เพราะคนเราจะพูดอะไร ต้องตรึกต้องตรองก่อนว่าจะพูดเรื่อง

    อะไร จะพูดอย่างไร วิตกวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร เมื่อเปล่งคำออกมาก็

    เป็นวจีกรรม กิจการที่ทำทางวาจา

    พิจารณาดูไม่ใช่วิตกวิจารจะปรุงเพียงวจีกรรม ย่อมปรุงกายกรรม คือ

    กิจการที่ทำทางกายด้วย เช่นคนจะทำการงานอะไรต้องตรึกก่อน ต้องตรอง

    ก่อน รวมกันไปแล้วจึงทำ เพราะฉะนั้น วิตกวิจารก็เป็นสังขารปรุง

    กายกรรมด้วย นี่ส่วนหนึ่ง

    สัญญา กิริยาที่จำ เวทนา กิริยาที่เสวยสุขทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข


    ทั้งสองนี้เป็น จิตสังขาร ปรุงแต่งจิต เพราะจิตที่จะนึกคิดอะไร ต้องอาศัย

    สัญญากิริยาที่จำ และอาศัยเวทนากิริยาที่ได้เสวยแล้ว จึงคิด จึงนึก ตัวคิด

    ตัวนึกเรียกว่า มโน

    จิต เป็นต้นเดิม สัญญาเวทนาปรุงจิต ปรุงออกมาเป็น มโน คือมา

    เป็นตัวคิดมโนออกมาคิดเรื่องที่เรียกว่าธรรม นี่อีกส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้น

    ลมหายใจจึงเป็นกายสังขารปรุงแต่งกาย

    วิตกวิจารเป็นวจีสังขาร ปรุงแต่งวาจาให้เป็นวจีกรรมตลอดถึงปรุงแต่ง

    กายกรรม สัญญาเวทนาเป็นจิตสังขารปรุงแต่งจิต เพียงเท่านี้ มีทั่วไปหมดทั้ง

    แก่พระอรหันต์ทั้งแก่สามัญชน นึกดูตามเรื่องพระอรหันต์

    มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ก็มี ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ที่เป็นธาตุไม่รู้

    เป็นส่วนรูป มีวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ผสมกันอยู่ และธาตุรู้ก็ออกมาทางอายตนะ

    มาประสบ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมคือเรื่อง แล้วก็เกิด

    เวทนา แล้วก็ถึงสัญญา แล้วก็ถึงสังขาร สังขารในที่นี้น่าจะมุ่งถึงความนึก

    คิดของจิต เพราะสืบต่อจากเวทนา สัญญา

    พระอรหันต์ก็มีเช่นนี้ คนสามัญก็มีเช่นนี้ เพราะฉะนั้น สังขาร ๓ ดังกล่าวมา

    นี้ไม่เป็นบุญ คือปุญญาภิสังขาร ไม่เป็นบาปคืออปุญญาภิสังขาร

    ไม่เป็นอเนญชาภิสังขาร เป็นไปตามเรื่องของสรีรยนต์เครื่องยนต์คือสรีระ


    อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

    ถ้าจะถามว่า ทำไมธาตุรู้คือวิญญาณธาตุ จึงมาผสมกับ ดิน

    น้ำ ลม ไฟ อากาศ ซึ่งเป็นธาตุไม่รู้เล่า ?

    พระบาลีไม่ได้แสดงไว้ แต่ถ้าจะพิจารณาดูสืบเข้าไปก็สันนิษฐานว่า เพราะ

    ธาตุรู้ถึงเป็นธาตุรู้ก็จริง แต่ว่าเป็นธาตุรู้ที่ไม่บริสุทธิ์มีกิเลสเข้าผสม กิเลสก็มี

    อวิชชาเป็นต้น อวิชชา ก็คือรู้ไม่ถูกตามเป็นจริง

    เหมือนดังทองคำ ทองคำแท้เป็นธาตุบริสุทธิ์อยู่ตามธรรมดา แต่ว่าไม่

    บริสุทธิ์ เพราะมีธาตุอื่นเข้ามาผสม จึงทำให้เนื้อทองต่ำไป ธาตุอื่น

    เข้ามาผสมมาก เนื้อทองก็ต่ำมาก ธาตุอื่นมาผสมน้อย เนื้อทองก็ต่ำน้อย

    ธาตุรู้ก็เหมือนกัน ถ้ากิเลสมาผสมมาก ธาตุรู้ก็รู้ต่ำรู้ทราม ถ้ากิเลส

    มาผสมน้อย ธาตุรู้ก็รู้มากรู้ละเอียดมากขึ้นไป

    ท่านผู้บำเพ็ญเพียรใช้ปัญญารู้พิจารณาจนเห็นจริงถึงที่สุด บรรลุ

    วิชชาและวิมุตติแล้ว ก็พ้นจากปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิ

    สังขาร คงมีแต่กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร อันเป็นผล

    ของเหตุเก่าซึ่งยังคงเหลืออยู่กว่าจะถึงที่สุด

    ถึงมีประวัติปรากฏว่า พระอรหันต์เข้าฌาน

    นั่นเพียงเป็นการหยุดพักของท่านแต่ท่านไม่ได้ติดในฌานนั้น

    ส่วนสำหรับปุถุชนนั้น เมื่อกิเลสมาผสมกับธาตุรู้ ก็ทำให้รู้ผิด

    จากความจริงเป็นอวิชชา ดังพระบาลีว่า

    " ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ, ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิอุปกิเลเสหิ อุปกิลิฏฺฐํ

    แปลว่า : ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เป็นธรรมชาติ ปภัสสรคือผุดผ่อง แต่จิตนั้น

    แลเศร้าหมองแล้วเพราะอุปกิเลส คือเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายที่จรมา. "

    เมื่อรู้ผิดจากความจริง ก็คิดดี เป็นปุญญาภิสังขารบ้าง

    คิดชั่วอันเป็นอปุญญาภิสังขารบ้าง คิดอยู่ในอารมณ์เดียว

    เป็นอเนญชาภิสังขารบ้าง
    อีกส่วนหนึ่ง ( นอกจากกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขารที่แสดงมาแล้ว )

    มีอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เมื่อคิดเรื่องที่ดี ที่เป็นปุญญาภิสังขาร ก็

    ปรุงแต่งจิตให้ดี ภพก็ดีไปตาม คิดเรื่องที่ชั่วเป็นอปุญญาภิสังขาร ก็ปรุงแต่ง

    จิตให้ชั่วภพก็เป็นภพชั่วไปตาม

    คิดอยู่ในเรื่องเดียวที่ดี จนแน่วแน่มั่นคงเป็นอเนญชาภิสังขาร ก็ปรุงแต่ง

    จิตให้แน่วแน่ ภพก็ตั้งมั่นเป็นอเนญชภพไปตาม แต่ว่าปรุงแต่งภพทั้งนั้น

    ไม่ใช่ทำลายภพ นี่อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

    สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ สายสมุทัย

    เมื่อสังขารเกิดขึ้น วิญญาณ ความรู้สึกก็เกิดต่อเนื่องกันไป

    เราตรวจดูที่เรา เราคิดอะไร ชั่วก็ตาม ดีก็ตาม หรือเราตั้งใจกำหนด

    อารมณ์ให้แน่นอน ซึ่งเรียกว่า สมถกัมมัฏฐานก็ตาม ความรู้สึก

    ซึ่งเรียกว่าวิญญาณก็เกิดขึ้น ถ้าไม่มีสังขาร

    คือคิดนึก ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ และธาตุรู้ถึงมีประจำอยู่ แต่ไม่

    ทำการงานอะไรก็สงบอยู่ เหมือนดังคนนอนหลับ ร่างกายส่วนรูป คือ ดิน

    น้ำ ไฟ ลม อากาศ ก็มี วิญญาณธาตุ ธาตุรู้ก็มี แต่ถึงมีก็ไม่ได้ทำงาน

    จึงไม่เกิดวิญญาณความรู้สึก ต่อเมื่อตื่นขึ้นธาตุไม่รู้กับธาตุรู้ที่ผสมกันทำงาน

    คือนึกคิด ก็เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณความรู้สึก

    นี่สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ


    วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป

    เมื่อมีวิญญาณเกิดขึ้นสืบมาจากสังขารนาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร

    ซึ่งต่อเนื่องกับวิญญาณ และรูปคือร่างกายที่มีประจำอยู่ก็พร้อมกันทำหน้าที่


    นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ๖

    เมื่อนามรูปเตรียมพร้อมที่จะทำหน้าที่อายตนะทั้ง ๖ ก็ทำหน้าที่ทีเดียว

    คือ ตาก็มีหน้าที่เห็น หู ก็มีหน้าที่ได้ยิน จมูกก็มีหน้าที่ได้กลิ่น ลิ้น ก็มี

    หน้าที่ลิ้มรส กาย ก็มีหน้าที่ถูกต้อง มนะ ก็มีหน้าที่นึกคิดประกอบกันไป

    นี่นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ๖

    อายตนะ ๖ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ

    เมื่อนามรูปเตรียมพร้อมเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะภายใน ๖

    ต่อกับอายตนะภายนอก ๖ ดังนี้ ก็เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะคือความกระทบ

    หรือ สัมผัสสะ ความกระทบพร้อม

    ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา


    เมื่อผัสสะเกิดขึ้นก็เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา สุขบ้าง ทุกข์บ้าง

    ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง เช่นนี้เกิดแก่พระอรหันต์ก็ได้ เกิดแก่ปุถุชนก็ได้

    แต่ที่เกิดแก่พระอรหันต์ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา เพราะสืบเนื่องมาจากวิชชา

    จึงเป็นเรื่องของสรีรยนต์เท่านั้น


    เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา

    แต่ว่าในปฏิจจสมุปบาทนี้ท่านแสดงว่าเวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา

    เพราะสืบเนื่องมาจากอวิชชา จึงหมายถึงเวทนาที่เกิดแก่ปุถุชน ถ้าสุขเวทนา

    เกิดขึ้นก็ต้องการได้ ทุกขเวทนาเกิดขึ้นก็ต้องการเสีย ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขเกิด

    ขึ้นก็หลงไม่รู้ตามเป็นจริง จึงเกิดความรำคาญ

    เวทนาจึงเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา


    ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน

    เมื่อตัณหาเกิดขึ้นแล้ว ตัณหาไม่ใช่เกิดคงที่อยู่เสมอ เกิดขึ้น

    ชั่วขณะแล้วก็ดับ แต่ไม่ดับสูญไปหมดทีเดียว เพราะมีอุปาทาน ความยึดถือ

    ต่อเนื่องจากตัณหา เพราะฉะนั้น ท่านจึงว่า เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานความยึดถือ


    อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ

    เพราะยึดถือนั้นแหละจึงเกิด ภพ คือตัวเป็น หรือ ความเป็น

    ยึดถืออย่างไร ภพคือตัวเป็นหรือความเป็น ก็เป็นอย่างนั้น

    เหมือนเช่นมือเรามีอยู่ แต่เราไม่ยึดอะไร ก็เป็นมืออยู่เฉย ๆ ไม่ติดกับ

    อะไร แต่ถ้าเราไปยึดสิ่งใดเข้า ความติดกับสิ่งนั้นก็เกิดมีขึ้น เพราะฉะนั้น

    อุปาทานจึงเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพก็คือตัวเป็นหรือความเป็น เป็นไปตาม

    อุปาทาน คือความยึดถือ ท่านแสดงไว้ว่า กามภพ รูปภพ อรูปภพ


    ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ

    เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ต่อไปภพก็เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ คือเกิด

    เป็นโน่น เป็นนี่เป็นนั่น เช่นเป็นคนชาตินี้ ชาตินั้น เป็นชาย เป็นหญิง

    เป็นเศรษฐี เป็นคนจนเป็นต้น เป็นไปต่าง ๆ ที่เป็นโน่น เป็นนี่

    เป็นนั่น ต่าง ๆ ก็เพราะภพ คือ ตัวเป็น คือ เป็นตัว เป็นเรามาก่อน จึง

    เป็นนั่น เป็นนี่ เป็นตัว เป็นเราก็เพราะยึดถือ นี่ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ

    เมื่อพิจารณาดูน่าจะเห็นว่าชาติก็คือองค์อันหนึ่งของภพ


    ชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ ฯ ล ฯ


    เมื่อมีชาติเป็นอะไรขึ้นแล้ว ชรามรณะ ก็เกิดมีสืบต่อ เพราะ

    ฉะนั้น ชาติจึงเป็นปัจจัยให้เกิด ชรา มรณะ และเกิด โสหะ ปริเทวะ

    ทุกขะ โทมนัสสะ อุปายาสะ ด้วย นี่เป็นสายสมุทัย คือ สายเกิด

    เมื่อท่านผู้บำเพ็ญเพียร ได้บำเพ็ญเพียรไปจนเห็นแจ้ง รู้จักอวิชชาตาม

    เป็นจริง อวิชชาก็ดับ วิชชาที่ตรงกันข้ามก็เกิด เหมือนดังมืดกับสว่าง

    อวิชชาเหมือนมืด วิชชาเหมือนสว่าง เมื่อวิชชาเกิดขึ้น ก็กำจัดอวิชชาคือ

    มืดให้ดับไป เมื่อดับอวิชชาเพราะรู้เห็นตามเป็นจริง

    แล้วที่นี้เห็นอะไรก็รู้ตามเป็นจริงหมด ไม่ต้องนึกต้องคิดที่เป็นสังขารอันปรุง

    แต่งภพชาติต่อไป เพราะเห็นตามเป็นจริงก็ดับสังขาร

    เมื่อดับสังขารก็ดับวิญญาณอันสืบมาจากอวิชชา เมื่อดับวิญญาณก็ดับนามรูป

    เป็นลำดับไปจนถึงดับภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ

    โทมนัสสะ อุปายาสะ นี่เป็นสายนิโรธคือความดับ

    ปฏิจจสมุปบาท ท่านแสดงสายสมุทัยคือทุกข์กับสมุทัยสายหนึ่ง

    สายนิโรธ คือนิโรธกับมรรคอีสายหนึ่งเป็นคู่กัน

    ถ้าดับสายสมุทัยก็ต้องดับอวิชชาเป็นต้น เพราะวิชชาเกิดขึ้น และก็ดับต่อกัน

    ไปโดยลำดับ แต่ว่าธาตุไม่รู้กับธาตุรู้ที่รวมกัน และอายตนะ ๖

    วิญญาณ ผัสสะ เวทนา และสังขาร

    คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร ยังคงมีอยู่กว่าจะถึงที่สุด

    เพราะสืบเนื่องมาแต่กรรมเก่าเพราะฉะนั้น พระอรหันต์ดับอวิชชา

    เพราะวิชชาเกิดขึ้น แต่ก็ยังเป็นอยู่ ไปบิณฑบาตก็ได้ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ได้

    ร่างกายเจ็บก็ได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องของสรีรยนต์ ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่บาป

    แต่ส่วนคนสามัญ เพราะอวิชชาเป็นต้นเดิมมีอยู่ จึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร

    ปรุงแต่ง ปรุงแต่งก็ปรุงแต่งชั่วบ้างดีบ้าง ปรุงแต่งอเนญชะบ้าง แล้วก็เกิด

    ภพ นี่ว่าข้ามไปทีเดียว ถ้าไม่ข้ามก็เกิดสังขาร เกิดวิญญาณ แล้วก็เกิด

    นามรูป ดังที่แสดงมาแล้ว นี่เป็นสายสมุทัย ว่าถึงสายนิโรธซ้ำอีกก็คือ

    ท่านผู้รู้ตามเป็นจริงดับอวิชชาได้

    วิชชาเกิดขึ้นดังพระบาลีว่า อวิชฺชาวิหตา อวิชชาท่านกำจัดเสียได้

    วิชฺชาอุปฺปนฺนา วิชชาเกิดขึ้น ตโม วิหโต มืดท่านกำจัดเสียได้

    อาโลโก อุปฺปนฺโน แสงสว่างเกิดขึ้น นี่เป็นสายนิโรธ.

    ถ้ายังดับอวิชชาไม่ได้ ก็เดินสายสมุทัย กองทุกข์ทั้งปวงก็เกิดอยู่เสมอ

    ต่อเมื่อดับอวิชชาได้ กองทุกข์ทั้งปวงก็ดับ ส่วนสรีรยนต์ก็เดินไปตามเรื่อง

    กว่าจะถึงที่สุดแต่ว่าเป็นเรื่องของสรีรยนต์ ไม่เป็นบาป ไม่เป็นบุญ ไม่เป็น

    อเนญชะ แต่เป็นทุกขสัจ.



    ที่มา:( โอ. ๒/๑๖๑-๑๗๕ ).

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. Nooneoui

    Nooneoui สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +9
    กระผมขอรับ 20 องค์ ครับ เพื่อนำไปแจกผู้ศรัทธา และญาติพี่น้องครับ
    กรุณาส่ง จตุพร กุลวงศ์ 190 การประปาส่วนภูมิภาค ถ.ชลประทาน-ท่าบ่อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี 34000

    กระผมจะส่ง ค่าลงทะเบียน เป็นธนานัติ สั่งจ่ายคุณ สุรชัย ศรีอรุณลักษณ์ นะครับ รบกวนส่งเป็นพัสดุลงทะเบียน ส่วนที่เหลือ ก็ทำบุญตามแต่เหมาะสมครับ
     
  17. ก ฯลฯ ฮ

    ก ฯลฯ ฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    858
    ค่าพลัง:
    +1,174

    ผม สุรชัย รับทราบครับ
    โมทนาครับ
     
  18. ก ฯลฯ ฮ

    ก ฯลฯ ฮ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    858
    ค่าพลัง:
    +1,174
    เงินที่เหลือจากค่าส่ง จะนำไปร่วมบุญหล่อหลวงปู่ดู่ หนาตัก 86 นิ้ว นะครับ
    ตามโพส หมายเลข 1505 ด้านบน


    (แก้ไขตัวสะกด และวรรณยุกต์)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2012
  19. tanakorn_ss

    tanakorn_ss ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,792
    ค่าพลัง:
    +5,747
    สาธุขออนุโมทนาบุญ
    คุณสุรชัยครับถ้าพระผงหมดแล้วแจ้งให้ทราบด้วยนะครับ
     
  20. สหวัฒน์

    สหวัฒน์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +15
    ขออนุโมทนาบุญครับ
    ผมขอเพื่อนำไปแจกครอบครัวในเดือนสิงหาคม ครับเนื่องจากเป็นวันเกิดของ บิดาและพี่สาวของผม รวมถึงแฟนผมด้วย จึงอยากจะนำไปให้คนในครอบครัวได้เอาไปบูชากัน
    ขอแบบใดก็ได้ จำนวน 9 องค์ครับ

    สหวัฒน์ รุ่งแจ้ง
    ซอยถนอมจิตร ถนนสุทธิสาร
    เขตดินแดง แขวงดินแดง
    กทม 10400
    โทร 0802274124

    แล้วจะจัดส่งซองติดแสตมป์ไปให้ครับผม
     

แชร์หน้านี้

Loading...