ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน (ใกล้ 150 ดอลล่าร์/บาร์เรล) VS เศรษฐกิจโลก

คงแตะอยู่ที่แนวรับ 83 วนเวียนอยู่แถวๆนี้แหละครับ แล้วก็ขึ้นใหม่

 

เข้าสู่ยุคแพงทั้งปั้มกันแล้วนะครับพี่น้อง

 

เมื่้อไรจะแตะ150อ่ะ

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ร่วงลง 1.40 ดอลลาร์ หรือ 1.66% ปิดที่ 82.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 82.58 - 86.64 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกอาจจะทำให้ความต้องการน้ำมันดิบหดตัวลงด้วย

 

ผมเห็นว่าเวเน เขาขนทองกลับประเทศแล้วเมืองไทยถ้ามีฝากไว้ก็สมควรเอามาเก็บไว้
ที่แบงค์ชาติได้แล้ว เงินสำรองระหว่างประเทศควรลดเงินยูโรและดอลลาร์
ให้เหลือน้อยที่สุดก่อนที่กรีซประกาศล้มละลายใน2-3เดือนนี้
ตามด้วยสเปนและอิตาลี แล้วก็เกิดปัญหากับเงินยูโร แล้วจะลามไปถึงอเมริกา
และทั่วโลก ถ้าใครมีปัญญาก็ช่วยจัดการให้หน่อย เราสามารถใช้ทองคำแทนเงินทุน
สำรองระหว่างประเทศได้ ดีกว่าถือกระดาษไว้ในแบงค์ชาติ
อยากบอกว่าจะเกิดทางเศรษฐกิจก่อน แล้วจะไปถึงสงครามแล้วภัยธรรมชาติ

สำหรับประชาชนทั่วไปสมควรเตรียมทุกๆอย่างให้พร้อมก่อนสิ้นเดือนกันยายน2555.
เพราะถึงเดือนตุลาคมจะมีปัญหากับเศรษฐกิจทั่วโลก อาจจะต้องใช้เงินมากกว่าที่เราคิด
เพื่อเตรียมของต่างๆ ในเดือนแรก(กค.55.)ให้เตรียมของที่ไม่เน่าเสียก่อนเช่น ปัจจัย4
ในเดือนที่2 เตรียมข้าวสาร ข้าวเปลือก อาหารกระป๋อง(ของที่สามารถเก็บไว้ได้ปานกลาง)
เดือนที่3 ให้เตรียมเก็บอาหารแห้ง อาหารสด น้ำ อื่นๆ
เตรียมอพยพไปในที่ปลอดภัย ตอนแรกนึกว่าเลื่อนออกไป
แต่ตอนนี้รู้ว่าเลื่อนเข้ามานะครับ มาบอกให้แค่ครั้งเดียวนะครับ ไม่มีเวลาแล้วจริงๆ

 

อยากทราบที่มาของข้อมูลที่ว่าเลื่อนเข้ามาน่ะค่ะ เพราะตั้งใจว่าจะอพยพปลายปีประมาณใกล้ปีใหม่ ขอบคุณค่ะ

 

แพงทั้งปั้ม

 

<TABLE class=t_table width="98%"><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table width="98%"><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table width="98%"><TBODY><TR><TD>
<TABLE class=t_table width="98%"><TBODY><TR><TD>'ญี่ปุ่น'จับมือ'จีน'ซื้อขายเงินตรากันโดยไม่ผ่านดอลลาร์สหรัฐฯ

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=t_table width="98%"><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>

​

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=t_table width="98%"><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table><TBODY><TR><TD>โดย โคสุเกะ ทาคาฮาชิ

​

</TD><TD>11 มิถุนายน 2555 22:23 น.

​

</TD><TD>[td]

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>Around the World - Manager Online - 'ญี่ปุ่น'จับมือ'จีน'ซื้อขายเงินตรากันโดยไม่ผ่านดอลลาร์สหรัฐฯ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=t_table width="98%"><TBODY><TR><TD>

​

​

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=t_table width="98%"><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table width="98%"><TBODY><TR><TD>(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Japan, China bypass US in currency trade
By Kosuke Takahashi
01/06/2012​

เมื่อวันศุกร์(1มิ.ย.) ญี่ปุ่นกับจีนเริ่มต้นการซื้อขายเงินตราสกุลเยนและสกุลหยวนกันโดยตรงในโตเกียวและเซี่ยงไฮ้ ไม่ต้องแลกเปลี่ยนเงินตราของแต่ละฝ่ายให้เป็นดอลลาร์อเมริกันเสียก่อนอีกต่อไป ความเคลื่อนไหวคราวนี้ควรที่จะส่งเสริมให้การค้าระหว่างสองประเทศนี้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นหลักหมายอันสำคัญอีกหลักหมายหนึ่ง ในกระบวนการแห่งการทำให้เงินหยวนกลายเป็นสกุลเงินตราระหว่างประเทศ ​

โตเกียว – ญี่ปุ่นกับจีนเริ่มต้นทำการซื้อขายสกุลเงินตราของพวกเขา ซึ่งก็คือ เยน และ หยวน กันโดยตรงในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราอินเตอร์แบงก์ในโตเกียวและเซี่ยงไฮ้แล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา นับเป็นความพยายามประการหนึ่งในการสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้แก่การค้าและการลงทุนระดับทวิภาคี ระหว่าง 2 ประเทศผู้เป็นเจ้าของเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสอง และอันดับสามของโลก​

การซื้อขายสกุลเงินเยน-หยวนโดยตรงเช่นนี้ ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงจากการที่ในระยะยาวแล้วเงินดอลลาร์น่าจะทรุดต่ำลงจากฐานะการเป็นสกุลเงินตราหลักในการชำระหนี้ของโลก และจากฐานะการเป็นสกุลเงินสำรองสำคัญที่สุดในเอเชีย โดยที่เอเชียนั่นเองที่จะกลายเป็นศูนย์กลางแห่งการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกในยุคศตวรรษที่ 21​

ด้วยการยกเลิกไม่ต้องนำมาสกุลเงินดอลลาร์มาเป็นตัวการในการทำธุรกรรมระหว่างกัน ย่อมเท่ากับว่ามหาอำนาจใหญ่ที่สุดของภูมิภาคแถบนี้ทั้งสอง ต่างกำลังแสดงเจตจำนงที่จะถอยห่างออกมาจากการตกอยู่ในภาวะต้องขึ้นต่อความเสี่ยงของเงินดอลลาร์ รวมทั้งจะทำให้ทางการผู้รับผิดชอบด้านการเงินของสหรัฐฯมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของเอเชียลดน้อยลง –ซึ่งก็จะกลายเป็นการช่วยเหลือสนับสนุนให้จีนบรรลุเป้าหมายของตนในการลิดรอนอิทธิพลของสหรัฐฯในภูมิภาคแถบนี้ไปด้วยในตัว​

ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่จีนยินยอมให้สกุลเงินตราสำคัญอีกสกุลหนึ่งนอกเหนือจากดอลลาร์ เข้าซื้อขายโดยตรงกับเงินหยวนได้ สำหรับฝ่ายปักกิ่งแล้ว การเดินหมากใหม่ตานี้ย่อมเป็นผลดีต่อการทำให้สกุลเงินหยวนมีลักษณะเป็นเงินตราระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น ขณะที่สำหรับฝ่ายโตเกียว การที่มูลค่าเงินหยวนของจีนยังถูกกำหนดจัดวางให้ต่ำกว่าความจริงอยู่ในเวลานี้ แต่มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการปรับแก้ให้สูงขึ้นไปในอนาคต ก็น่าจะให้ผลบวกเป็นอันมากแก่สกุลเงินเยนที่จะอ่อนค่าลง โดยที่จะเพิ่มพูนผลกำไรของบรรดาผู้ส่งออกชาวญี่ปุ่นอย่างเช่น โตโยต้า และ โซนี่ ในระยะยาว​

ธนาคารยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 เครือของญี่ปุ่น อันได้แก่ มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (Mitsubishi UFJ Financial Group), สุมิโตโม มิตซุย ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (Sumitomo Mitsui Financial Group), และ มิซูโฮ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (Mizuho Financial Group) เริ่มต้นการซื้อขายเงินเยน-หยวนโดยตรง กับทางธนาคารใหญ่ๆ ของจีนตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นไป อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินเยนกับเงินหยวนจะกำหนดโดยการทำธุรกรรมระหว่างพวกเขากันเอง ไม่มีการเชื่อมโยงกับระบบ “ข้ามสกุล” (cross rate) ซึ่งสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเยน-หยวน อีกต่อไป​

“เราสามารถที่จะลดค่าใช้จ่ายในเรื่องการทำธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราให้ต่ำลงมา และลดความเสี่ยงในเรื่องการชำระบัญชี ณ สถาบันการเงินต่างๆ รวมทั้งยังจะทำให้สกุลเงินตราของทั้งสองประเทศถูกใช้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้น และก็เป็นการเพิ่มพลังความคึกคักเข้มแข็งให้แก่ตลาดโตเกียวด้วย” รัฐมนตรีคลัง จุน อาซูมิ (Jun Azumi) ของญี่ปุ่นแถลงแจกแจงในวันที่ 29 พฤษภาคม​

ทางฝ่ายจีนก็แสดงความยินดีต้อนรับข้อตกลงซื้อขายใหม่คราวนี้อย่างเอิกเกริกเช่นกัน​

“เรื่องนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนเงินตราของพวกองค์กรทางเศรษฐกิจต่างๆ ให้ลดต่ำลง, จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่การใช้สกุลเงินเหรินหมินปี้ (ชื่ออย่างเป็นทางการของสกุลเงินหยวน) และเงินเยนในการค้าและการลงทุนระดับทวิภาคี, จะส่งเสริมสนับสนุนความร่วมมือกันในทางการเงิน, และเพิ่มพูนสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเงินระหว่างประเทศทั้งสอง” ธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน (แบงก์ชาติของจีน) ระบุเอาไว้เช่นนี้ในคำแถลงฉบับหนึ่งที่นำออกเผยแพร่เนื่องในโอกาสนี้​

**เลิกพึ่งพาดอลลาร์เป็นตัวกลาง**​

ก่อนหน้าวันที่ 1 มิถุนายน บรรดากิจการของญี่ปุ่นและของจีนต้องเสียค่าธรรมเนียมในการแลกเปลี่ยนเงินตราถึง 2 ต่อ สำหรับเหล่าบริษัทแดนอาทิตย์อุทัยแล้ว ต่อแรกคือต้องจ่ายในเวลาแลกเงินเยนให้เป็นดอลลาร์ จากนั้นก็จ่ายอีกต่อหนึ่งในการแลกเปลี่ยนดอลลาร์ดังกล่าวให้เป็นสกุลเงินตราจีน ขณะที่สำหรับกิจการของแดนมังกรก็ต้องดำเนินการในทำนองเดียวกัน การยกเลิกขั้นตอนตรงกลางด้วยการยุติการพึ่งพาดอลลาร์ในการทำธุรกรรมเสียได้ ผู้คนจำนวนมากคาดหมายว่าจะทำให้ลดค่าใช้จ่ายลงได้เยอะทีเดียว​

ญี่ปุ่นนั้นมีฐานะเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับ 4 ของจีน โดยเป็นรองสหภาพยุโรป, สหรัฐอเมริกา, และ 10 ชาติสมาชิกของสมาคมอาเซียน ขณะที่จีนคือคู่ค้าใหญ่อันดับ 1 ของญี่ปุ่นในตลอดห้วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา​

การค้าระดับทวิภาคีเพิ่มสูงขึ้นในอัตราปีละ 14.3% และไต่ขึ้นแตะระดับ 344,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2011 สำหรับญี่ปุ่นแล้ว มูลค่าในการทำการค้ากับทั่วโลกของตนถึงราว 20% ทีเดียวเป็นการซื้อขายกับจีน ประมาณ 50% ถึง 60% ของจำนวนดังกล่าวมีการชำระหนี้กันเป็นสกุลดอลลาร์ โดยที่มีการชำระหนี้กันเป็นเงินหยวนไม่ถึง 1% สื่อมวลชนจีนรายหนึ่งประมาณการว่า การทำธุรกรรมระหว่างเงินเยน-หยวนโดยตรง จะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึงหลัก 3,000 ล้านดอลลาร์ทีเดียว​

อย่างไรก็ดี ในหมู่ผู้คนฝ่ายญี่ปุ่นที่อยู่ในตลาด ยังคงแสดงความคิดเห็นซึ่งออกจะระมัดระวังตัวมากกว่า ในเวลาพูดถึงขนาดค่าใช้จ่ายที่จะสามารถลดลงได้​

“ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมระหว่างเงินดอลลาร์กับเงินเยนเวลานี้ก็อยู่ในระดับต่ำมากๆ อยู่แล้ว” ไดสุเกะ คาราคามะ (Daisuke Karakama) นักเศรษฐศาสตร์ตลาดการเงิน แห่ง มิซูโฮ คอร์เปอเรต แบงก์ (Mizuho Corporate Bank) ในกรุงโตเกียว กล่าวเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม “การซื้อขายโดยตรงระหว่างเงินเยน-เยน คงจะส่งผลในเรื่องการลดค่าใช้จ่ายได้ในระดับจำกัดเท่านั้น”​

**การทำให้หยวนกลายเป็นเงินตราสากล**​

สำหรับฝ่ายจีนแล้ว ระบบการซื้อขายอย่างใหม่นี้ถือเป็นฝีก้าวหนึ่งในการเคลื่อนตัวไปตามกระบวนการแห่งการทำให้เงินหยวนกลายเป็นเงินตราระหว่างประเทศ โดยที่จะเป็นการเร่งตัวให้มีการใช้สกุลเงินหยวนกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น ตามรายงานของซินหวาเน็ต (Xinhuanet) ในปีที่แล้วการค้าโดยรวมของจีนมากกว่า 9% มีการชำระหนี้กันเป็นเงินหยวน จัดว่าสูงขึ้นเยอะที เดียวจากที่อยู่ในระดับเพียงแค่ 0.7% ในปี 2010​

ก่อนหน้านี้ การค้าระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกงซึ่งคิดคำนวณมูลค่ากันเป็นเงินหยวน ได้เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2009 เมื่อปักกิ่งอนุญาตให้พวกบริษัทในเซี่ยงไฮ้ และอีก 4 นครในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของแดนมังกร ใช้สกุลเงินหยวนในการซื้อขายกับฮ่องกง, มาเก๊า , และพวกประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียน ในเดือนกรกฎาคม 2010 จีนยิ่งเปิดทางให้เงินหยวนสามารถซื้อขายและโอนกันในฮ่องกงได้อย่างเสรีเพิ่มมากขึ้นอีก นับเป็นการก่อตั้งตลาดเงินหยวนออฟชอร์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก​

ทว่าผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายคนทีเดียว เป็นต้นว่า คาราคามะ แห่งมิซูโอ เชื่อว่าในไม่ช้าไม่นานนี้ จีนจะต้องเผชิญความอิหลักอิเหลื่อ โดยที่ต้องตัดสินใจระหว่าง 3 ทางเลือกในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ​

เหตุผลก็คือ ระบบเศรษฐกิจหนึ่งๆ ย่อมไม่สามารถที่จะกระทำทั้ง 3 เรื่องนี้ไปพร้อมๆ กัน อันได้แก่ การมีสกุลเงินตราที่ผูกตรึงกับดอลลาร์อย่างชนิดไม่ลอยตัว, การเปิดให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรี, และการมีอำนาจสิทธิขาดในการกำหนดนโยบายด้านการเงินของตน ทั้งนี้พวกประเทศพัฒนาแล้วอย่างเช่นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ต่างเลือกสละระบบตรึงค่าสกุลเงินตราของตนเอาไว้กับดอลลาร์ เพื่อแลกกับการที่จะมีกระแสเงินระหว่างประเทศไหลเข้ามสู่ประเทศของตน ตลอดจนการที่สามารถดำเนินนโยบายการเงินของตนเองได้อย่างสุขุมรอบคอบ (สำหรับพวกประเทศที่กำลังใช้สกุลเงินยูโรนั้น มีทางเลือกไปอีกแบบหนึ่ง นั่นคือพวกเขาสละละทิ้งนโยบายการเงินของแต่ละประเทศ โดยรวมศูนย์เครื่องมือด้านนโยบายการเงินของพวกเขาไปไว้ที่ธนาคารกลางยุโรป นั่นคือ European Central Bank)​

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีนประกาศว่า จะขยายแถบช่วงที่อนุญาตให้ค่าเงินหยวนขึ้น-ลงในเวลาซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเงินดอลลาร์ในแต่ละวัน จาก 0.5% เป็น 1%​

คาราเคมะชี้ว่า เมื่อกระบวนการทำให้เงินหยวนกลายเป็นเงินตราสากลยิ่งเดินหน้าไปมากขึ้น จีนก็จะประสบความลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ในการควบคุมเงินหยวนให้มีมูลค่าอยู่ในระดับที่ตนเองปรารถนา​

ถ้าหากจีนปรับเปลี่ยนหันไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวอย่างจำกัด (limited floating exchange rate system) เงินหยวนก็น่าที่จะปรับเพิ่มค่าขึ้นไปเมื่อเทียบกับสกุลเงินตราสำคัญอื่นๆ เป็นต้นว่า ดอลลาร์ จากการที่ธุรกิจซึ่งญี่ปุ่นทำกับจีนกำลังขยายตัว และการที่เงินหยวนมีบทบาทอยู่ในการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น สภาพการณ์ดังกล่าวก็น่าจะส่งผลให้เงินเยนมีค่าลดต่ำลงเมื่อแลกเปลี่ยนกับสกุลเงินตราสำคัญอื่นๆ ไปด้วย ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า มูลค่ารายปีของการค้าระหว่างจีนกับญี่ปุ่นนั้น เพิ่มสูงขึ้นเป็นกว่าสองเท่าตัวทีเดียวในระยะเวลา 10 ปีทีผ่านมา​

โคสุเกะ คาคาฮาชิ เป็นนักหนังสือพิมพ์ชาวญี่ปุ่นซึ่งพำนักอยู่ในโตเกียว ติดตามเขาทางทวิตเตอร์ได้ที่ @TakahashiKosuke ​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

ชาวกรีซวิตกผลเลือกตั้ง แห่ถอนเงิน-กักตุนอาหารหวั่นต้องออกจากยูโร​

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์​

</TD><TD>

13 มิถุนายน 2555 22:30 น.​

</TD><TD>

[td]​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000072774</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

​

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

​

<TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 400px" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=400>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE> ซีเอ็นบีซี - ชาวกรีซแห่ถอนเงินจากธนาคารและกักตุนอาหาร ก่อนหน้าศึกเลือกตั้งครั้งสำคัญในวันอาทิตย์นี้(17) เนื่องจากหลายคนกังวลว่าผลเลือกตั้งจะทำให้ประเทศต้องออกจากการเป็นชาติสมาชิกยูโรโซน

เหล่านายธนาคารเปิดเผยว่าเงินมากกว่า 800 ล้านยูโร(ราว 32,000 ล้านบาท) ถูกถอนออกจากธนาคารหลักต่างๆในแต่ละวัน ขณะที่ผู้ค้าปลีกหลายรายก็ระบุว่าส่วนหนึ่งของเงินเหล่านั้น ประชาชนนำไปซื้อพาสต้าและอาหารกระป๋องท่ามกลางความกังวลว่ากรีซอาจต้องหันกลับไปใช้สกุลเงินแดรชม่า จากข่าวลือที่ว่าพรรคฝ่ายซ้ายจัดอาจชนะศึกเลือกตั้งในช่วงสุดสัปดาห์นี้

จากผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดพบว่าพรรคนิว เดโมเครซี ซึ่งสนับสนุนแผนเงินกู้ฉุกเฉิน 1.3 แสนล้านยูโร มีคะแนนนิยมเบียดกับพรรคไซรีซา ซึ่งต้องการให้ยกเลิกข้อตกลงกู้ยืมเงินดังกล่าว แบบหายใจรดต้นคอ

สำนักโพลต่างๆมีความเห็นตรงกันว่าคราวนี้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงจะละทิ้งพรรคเล็กๆหันไปลงคะแนนให้กับนิว เดโมเครชีและไซรีซามากขึ้น แต่ด้วยผู้มีสิทธิ์ออกเสียงจำนวนมากผิดปกติที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกใคร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาผลเลือกตั้งครั้งนี้

พรรคนิวเดโมเครชีบอกกับผู้สนับสนุนว่าจะต้องเลือกระหว่างยูโรกับแดรชม่า ขณะที่ไซรีซา ให้คำมั่นยกเลิกมาตรการรัดเข็มขัดที่กำหนดเงื่อนไขโดยอียูและไอเอ็มเอฟ ในนั้นรวมถึงการลดเงินเดือนและหั่นเงินบำนาญ ซึ่งจะทำให้ชาวกรีซเข้าสู่ภาวะขัดสนอย่างหนัก

อย่างไรก็ตามสหภาพยุโรปและไอเอ็มเอฟเตือนว่ากรีซ ต้องดำเนินการตามเงื่อนไขกู้ยืมเงินอย่างเคร่งครัด ไม่อย่างนั้นก็เสี่ยงจะถูกตัดความช่วยเหลือ ขณะที่เอเธนส์ เหลือเงินสดพอใช้เพียงแค่อีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเท่านั้น

ความกังวลที่ว่ากรีซอาจต้องล้มละลายและออกจากยูโรโซน ได้กัดเซาะธนาคารต่างๆของกรีซอย่างช้าๆในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และจากข้อมูลของธนาคารกลางพบว่ามีการฝากเงินลดลงถึงร้อยละ 17 หรือ 35,400 ล้านยูโรในปี 2011

ขณะที่ผู้ค้าปลีกก็บอกว่าเหล่าผู้บริโภคเริ่มกักตุนสินค้าที่ไม่น่าเปื่อย ทำให้ยอดขายสินค้าอื่นๆเกือบทั้งหมดิ่งลงอย่างหนัก "ผู้คนผวาดผวาต่อแนวโน้มความเป็นไปได้ที่จะต้องกลับมาใช้แดรชม่า และบางส่วนเชื่อว่าเป็นเรื่องดีที่จะกักตุนผลิตภันฑ์อาหารเอาไว้" วาสซิลิส คอร์คิดิส ประธานสมาพันธ์ผู้ค้าปลีก ESEE "เรื่องนี้มันเลยเถิดเกินไป เราต้องไม่ตื่นตระหนก การกักตุนอาหารไม่ได้หมายความว่าเราจะออกจากวิกฤตได้"</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

เวิลด์แบงก์จี้ปท.กำลังพัฒนารับมือ หนี้ยุโรปฉุดศก.โลกซวนเซหลายปี​

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์​

</TD><TD>

13 มิถุนายน 2555 23:22 น.​

</TD><TD>

[td]​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000072782</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

​

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

เอเอฟพี - ธนาคารโลกเตือนประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ให้เพิ่มปราการป้องกันตัวเองด้วยการลดหนี้ระยะสั้นและการขาดดุลงบประมาณ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันจากวิกฤตหนี้ยุโรปที่คาดว่าจะฉุดเศรษฐกิจโลกซวนเซไปอีกหลายปี และทำให้เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาปีนี้โตช้าที่สุดในรอบ 10 ปี

ในรายงานรอบครึ่งปีว่าด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันอังคาร (12) เวิลด์แบงก์คาดว่า ปี 2012เศรษฐกิจทั่วโลกจะมีอัตราเติบโตอ่อนแอในระดับ 2.5% และเฉพาะพวกประเทศกำลังพัฒนาก็อยู่ที่ 5.3% ซึ่งถือเป็นการเติบโตเชื่องช้าที่สุดในรอบทศวรรษ

สำหรับประเทศที่มีรายได้สูงจะมีอัตราขยายตัวเพียง 1.4% เท่านั้น แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าพวกสมาชิก 17 ชาติของยูโรโซนที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) มีแนวโน้มติดลบ 0.3% โดยเป็นผลจากวิกฤตทางการเงิน

ฮันส์ ทิมเมอร์ หัวหน้าแผนกทิศทางแนวโน้มการพัฒนา ของธนาคารโลก แจกแจงว่า ประเทศที่มีรายได้สูงทั้งหมด ไม่เฉพาะในยุโรปเท่านั้น จะต้องใช้เวลาหลายปีในการแก้ไขความเสียหายจากวิกฤตการเงินโลกปี 2008 หรือให้ตรงประเด็นกว่านั้นคือ การรับมือปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจบูมก่อนวิกฤตคราวนั้น

รายงานยังระบุว่า ในปัจจุบันพวกประเทศกำลังพัฒนามีภูมิป้องกันผลกระทบจากภายนอก ต่ำกว่าเมื่อปี 2007 หรือก่อนเกิดวิกฤตการเงินโลก

ทิมเมอร์เตือนด้วยว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดวิกฤตการเงินอย่างร้ายแรงขึ้นอีกครั้ง

เขายังมองว่า หากประเทศที่มีรายได้สูงยังคงเติบโตเนือยลง เป็นไปได้ที่อัตราเติบโตที่ยังเข้มแข็งอยู่ของพวกประเทศกำลังพัฒนาอาจเกิดการพลิกผัน และยิ่งหากเกิดวิกฤตการเงินอันร้ายแรงด้วยแล้ว จะไม่มีชาติกำลังพัฒนาแห่งใดที่จะรอดพ้นจากปัญหา

ในรายงานฉบับนี้ เวิลด์แบงก์คาดการณ์ว่า ปีนี้ สหรัฐฯ ประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก จะขยายตัวช้าลงอยู่ที่ 2.1%, ญี่ปุ่น 2.4% เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว 0.5% และจีน 8.2% จากที่คาดไว้ 8.4% ในเดือนมกราคม

รายงานระบุว่า ความไม่แน่นอนในยูโรโซนที่ปะทุขึ้นมาใหม่ ทำให้สถานการณ์ทางการเงินในเดือนที่ผ่านมาเสื่อมถอยลง ฉุดมูลค่าตลาดหุ้นในประเทศมั่งคั่งและประเทศกำลังพัฒนาหายไป 7% กระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างรุนแรง และยังทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเนื่องจากนักลงทุนต้องการแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย

แอนดริว เบิร์นส์ ผู้เขียนหลักของรายงานฉบับนี้ กล่าวว่าการไหลเวียนของเงินทุนทั่วโลกรูดลงถึง 44% ระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม

กระนั้น สถานการณ์ในประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ไม่ได้เลวร้ายลงรุนแรงเหมือนในไตรมาสส่งท้ายปี 2011

ทิมเมอร์เสริมว่า ขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา 60% เข้าใกล้ภาวะร้อนแรงเกินไป หลังจากมีการเพิ่มการใช้จ่ายและการลงทุนเพื่อป้องกันตัวเองจากภาวะขาลงในยุโรปและอเมริกา

เขาแนะนำให้ประเทศกำลังพัฒนาปรับนโยบายเศรษฐกิจทันที เพื่อเปลี่ยนสถานะจากการตามแก้ไขปัญหา มาเป็นการส่งเสริมศักยภาพการเติบโตที่ซ่อนอยู่

รายงานเน้นย้ำความจำเป็นที่ประเทศกำลังพัฒนาจะต้องเริ่มลงทุนใหม่ในทุนมนุษย์ และทุนทางกายภาพ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรับประกันการเติบโตอย่างยั่งยืน

พร้อมกันนั้น รายงานก็ตั้งข้อสังเกตว่า เงินทุนที่เคยมีอยู่อย่างมากมายและมีต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในทศวรรษที่ผ่านมานั้น อาจจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว

เบิร์นส์ย้ำว่า ประเทศกำลังพัฒนาควรลดความเสี่ยงด้วยการลดระดับหนี้ระยะสั้นและการขาดดุลงบประมาณในส่วนที่สามารถทำได้ เพื่อให้มีช่องทางสำหรับการผ่อนคลายนโยบายในกรณีที่สถานการณ์โลกตกต่ำรุนแรง​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

ยูโรโซนยังป่วน'ตลาด'วิตกสเปน-กรีซแถมลามถึงอิตาลี​

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์​

</TD><TD>

14 มิถุนายน 2555 01:34 น.​

</TD><TD>

[td]​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000072804</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

​

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

เอเจนซีส์ - สเปนต้องจ่ายอัตราผลตอบแทน (ยีลด์) พันธบัตรรัฐบาล ซึ่งก็คือต้นทุนในการขอกู้ยืมเงินจากตลาดการเงิน ในอัตราแพงที่สุดเป็นสถิติใหม่นับตั้งแต่ที่มีการสถาปนาสกุลเงินยูโรเป็นต้นมา เนื่องจากความเคลือบแคลงที่มีต่อแผนอัดฉีดภาคการธนาคารของแดนกระทิงดุ ตลอดจนความหวาดกลัวที่ว่าผลการเลือกตั้งในสุดสัปดาห์นี้จะทำให้กรีซต้องอำลาจากยูโรโซน ขณะเดียวกัน อิตาลีก็กำลังถูกเพ่งเล็งว่าอาจเป็นโดมิโนตัวต่อไปที่จะล้มครืน ถึงแม้พวกผู้นำแดนมักกะโรนียืนยันเสียงแข็งว่าโรมไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือเพื่อต่อลมหายใจเศรษฐกิจตามที่เป็นข่าว

เงินยูโรถูกกดดันอย่างหนักในการซื้อขายช่วงเช้าวันพุธ (13) เนื่องจากนักลงทุนไม่เชื่อมั่นในข้อตกลงจาก 17 ชาติสมาชิกยูโรโซนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในการให้เงินกู้อุ้มภาคการธนาคารของสเปนสูงสุดถึง 100,000 ล้านยูโร (125,000 ล้านดอลลาร์)

สองประเด็นหลักที่เป็นที่กังวลอย่างกว้างขวางในขณะนี้คือ เศรษฐกิจโดยรวมของสเปนยังจะตกลงสู่วิกฤตถึงแม้ได้เงินช่วยเหลือดังกล่าวแล้ว กับการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาของกรีซวันอาทิตย์นี้ (17) ซึ่งในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดอาจนำพาเอเธนส์กลับไปใช้สกุลเงินแดรกมาของตน

แทนที่จะทำให้ตลาดสงบลงตามที่พวกผู้นำยุโรปคาดหวังกัน แต่ข้อตกลงอุ้มแบงก์สเปนกลับทำให้เกิดข้อสงสัยใหม่ๆ เกี่ยวกับผลจากข้อตกลงดังกล่าว รวมทั้งรายละเอียดแนวทางการดำเนินการ อีกทั้งเกิดคำถามว่า นั่นคือขั้นตอนแรกที่จะนำไปสู่การอัดฉีดเพื่ออุ้มเศรษฐกิจทั้งระบบหรือไม่ ในภาวะที่แดนกระทิงดุกำลังก้มหน้าก้มตาลดยอดขาดดุลงบประมาณและแก้ปัญหาอัตราว่างงานซึ่งพุ่งสูงเป็นกระสวยอวกาศ

เป็นที่คาดว่า มาดริดจะขอเงินกู้จากบรรดารัฐมนตรีคลังยูโรโซนอย่างเป็นทางการในการประชุมวันที่ 21 นี้ และตัวเลขสุดท้ายจะได้มาหลังการศึกษาทบทวนของสหภาพยุโรป (อียู), ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)

รายงานจากบาร์เคลย์ แคปิตอลระบุว่า เงินกู้แม้เพียงแค่ 70,000-80,000 ล้านยูโร ก็จะทำให้หนี้สาธารณะของสเปนเพิ่มขึ้นอีก 7-7.5% จากระดับ 68.5% ของมูลค่าเศรษฐกิจ ณ สิ้นปี 2011

บาดแผลของสเปนยังสาหัสยิ่งขึ้นหลังจากฟิตช์ เรทติ้งลดอันดับแบงก์แดนกระทิงดุอีก 18 แห่งในวันอังคาร หรือหนึ่งวันหลังจากลดอันดับแบงก์ใหญ่สุด 2 แห่งของประเทศนี้คือ ซานตานเดร์ และ บีบีวีเอ ไปแล้ว แม้ภาคการธนาคารเพิ่งได้ข่าวดีเงินอัดฉีดก้อนโตจากยูโรโซนก็ตาม รวมทั้งเพิ่งลดความน่าเชื่อถือตราสารหนี้รัฐบาลสเปน 3 ขั้นรวดจนลงมาอยู่ที่ BBB เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ปัจจัยลบทั้งหมดนี้ส่งให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 10 ปีของรัฐบาลสเปนพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 6.834% สูงสุดนับจากก่อตั้งระบบเงินตราสกุลเดียวแห่งยุโรป และเป็นระดับที่ถือกันว่าไม่น่าจะสามารถแบกรับไหวในระยะยาว

ขณะเดียวกัน แม้ชื่นชมการร้องขอความช่วยเหลือให้แก่ภาคการเงินของสเปน แต่นายกรัฐมนตรีอังเงลา แมร์เคิลแห่งเยอรมนี ย้ำว่าความช่วยเหลือดังกล่าวจะมาพร้อมเงื่อนไขคือการปฏิรูปภาคการธนาคาร และเตือนยุโรปว่าการชะลอการปฏิรูปคือ “หายนะ”

ที่โรม นายกรัฐมนตรีมาริโอ มอนติ ยืนยันว่าอิตาลีไม่ต้องการเงินอัดฉีดเพื่อให้อยู่รอดจากวิกฤตหนี้

การประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่รัฐมนตรีคลังออสเตรีย มาเรีย เฟกเตอร์ ให้สัมภาษณ์ว่า อิตาลีอาจต้องการความช่วยเหลือทางการเงินเนื่องจากมียอดขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะสูง เช่นเดียวกับต้นทุนการกู้ยืม ทว่า หลังจากถูกวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจากผู้นำอิตาลีที่ระบุว่า การแสดงความคิดเห็นดังกล่าวไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เป็นรัฐมนตรีคลังในอียู ในที่สุดเฟกเตอร์ก็ออกมาเปลี่ยนท่าทีว่า โรมไม่มีแผนขอความช่วยเหลือแต่อย่างใด

กระนั้น ตลาดลงดาบอิตาลีหนักหน่วงจากความเสี่ยงที่แดนมักกะโรนีอาจเป็นโดมิโนตัวถัดไปที่จะล้มในวิกฤตยูโรโซน ขณะที่รัฐบาลพยายามกระตุ้นการเติบโตและลดหนี้สาธารณะที่สูงถึง 1.9 ล้านล้านยูโร โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีระยะ 10 ปีทะยานขึ้นไปอยู่ที่ 6.301% จากระดับปิดของวันอังคารที่ 6.032%

แต่ประเด็นที่เป็นห่วงกันมากที่สุดยังคงเป็นสถานการณ์ของกรีซ และแนวโน้มที่พรรคไซริซา ที่ต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดอาจชนะการเลือกตั้งวันที่ 17 นี้ และปฏิเสธเงื่อนไขเงินกู้ที่ทำไว้กับนานาชาติ นำไปสู่ความเป็นไปได้ที่เอเธนส์จะออกจากยูโรโซน​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

มูดีส์หั่นอันดับน่าเชื่อถือสเปนลง 3 ขั้น หลังรับเงินช่วยเหลือยูโรโซน​

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์​

</TD><TD>

14 มิถุนายน 2555 06:05 น.​

</TD><TD>

[td]​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000072821</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

​

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

​

<TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 350px" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=350>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE> เอเอฟพี - “มูดีส์” ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสเปน ลง 3 ขั้นเมื่อวันพุธ (13) ไม่กี่วันหลังจากรัฐบาลแดนกระทิงดุรับเงินกู้จากยูโรโซนมูลค่า 100,000 ล้านยูโร เพื่อช่วยให้ธนาคารหลายแห่งพ้นสภาพวิกฤตจากหนี้เสีย

“มันยิ่งแต่จะเพิ่มภาระหนี้ของประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดนับตั้งแต่ถูกจู่โจมโดยวิกฤตการเงิน” มูดีส์ระบุ “อันดับความน่าเชื่อถือของสเปน ถูกปรับลง 3 ขั้นจาก A3 สู่ Baa3 ต่ำที่สุดของระดับที่ยอมรับว่าเหมาะสมแก่การลงทุน หรือเหนือระดับที่มีความเสี่ยงอยู่ในเกณฑ์สูงนิดเดียว”

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือครั้งนี้มีขึ้นหลังจากสเปนร้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนฉุกเฉินของสหภาพยุโรปเมื่อวันเสาร์ (9) เพื่อเพิ่มทุนเหล่าธนาคารที่เผชิญวิกฤตจากหนี้เสียในภาคอสังหาริมทรัพย์ เงินกู้จำนวนกว่า 100,000 ล้านยูโร ที่จะส่งผ่านรัฐบาลไปยังธนาคารต่างๆ ที่กำลังเจอปัญหา ซึ่งนั่นหมายความว่ามันจะยิ่งเพิ่มภาระแก่สเปนที่มีหนี้สินกองพะเนินอยู่ก่อนแล้ว

“รัฐบาลสเปนมีข้อจำกัดอย่างมากสำหรับเข้าถึงตลาดการเงิน” มูดีส์ระบุ

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

นายกฯอิตาลีเร่งแผนปฏิรูปพาชาติรอด -หลังมูดี้ส์หั่นเรตติ้งบอนด์สเปน3ขั้น​

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์​

</TD><TD>

14 มิถุนายน 2555 23:29 น.​

</TD><TD>

[td]​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000073305</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

​

</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 98%" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD>

​

<TABLE class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD><TABLE style="WIDTH: 500px" class=t_table cellSpacing=0><TBODY><TR><TD width=500>
</TD></TR><TR><TD>

นายกรัฐมนตรีมาริโอ มอนติของอิตาลี(ขวา) จับมือกับ ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศส(ซ้าย)​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE> เอเจนซี - มูดี้ส์หั่นเรตติ้งพันธบัตรสเปน 3 ขั้นรวด ด้วยเหตุผลแผนการรับเงินอียู 1 แสนล้านยูโรมาช่วยอัดฉีดภาคแบงก์ ถึงอย่างไรก็คือการเพิ่มภาระหนี้สาธารณะ ขณะเดียวกัน ผู้นำอิตาลีกระตุ้นนักการเมืองในประเทศสนับสนุนแผนปฏิรูปเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศกลายเป็นเหยื่อวิกฤตหนี้รายต่อไป ด้านขุนคลังเมืองเบียร์ยาหอมโรม-มาดริดมาถูกทาง เชื่อไม่ต้องขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมแต่อย่างใด

วันพุธที่ผ่านมา (13) มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส หนึ่งในบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือพันธบัตรรัฐบาลสเปนลง 3 ขั้นจาก A3 อยู่ที่ Baa3 พร้อมระบุว่า ทางการมาดริดยังคงมีช่องทางเข้าถึงตลาดหนี้ระหว่างประเทศได้อย่างจำกัดมาก ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในสภาพอ่อนแอ

แคทริน เมิห์ลบรอนเนอร์ นักวิเคราะห์ของมูดี้ส์ในลอนดอนแจงว่า มูดี้ส์จะทบทวนเพื่อลดเรตติ้งสเปนเพิ่มเติมภายใน 3 เดือนหน้าโดยพิจารณาจากขนาดและเงื่อนไขเงินกู้ฟื้นฟูระบบการธนาคาร ภาพรวมของยูโรโซนหลังการเลือกตั้งในกรีซวันอาทิตย์นี้ (17) และการประชุมสุดยอดยุโรปปลายเดือนนี้

ทั้งนี้ วันเสาร์ที่ผ่านมา (9) รัฐมนตรีคลังยูโรโซนตกลงปล่อยกู้สเปนสูงสุด 100,000 ล้านยูโร (125,000 ล้านดอลลาร์) เพื่อช่วยเหลือแบงก์ที่มีปัญหา โดยมาดริดจะระบุจำนวนเงินที่แน่นอนหลังจากได้รับรายงานจากผู้ตรวจสอบบัญชีอิสระภายในหนึ่งสัปดาห์

เมิห์ลบรอนเนอร์สำทับว่า สเปนมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะต้องขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมภายในไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีนี้

เรตติ้งของสเปนจากการจัดอันดับของมูดี้ส์ขณะนี้อยู่เหนือกว่าระดับขยะเพียงขั้นเดียว ขณะที่ทางสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ก็ให้ไว้ที่ BBB+ โดยมีแนวโน้มติดลบ ส่วนของฟิตช์ เรตติ้งอยู่ที่ BBB หรือสูงกว่าของมูดี้ส์ 1 ขั้น พร้อมแนวโน้มติดลบ

นอกจากนั้น ผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ 35 จาก 39 คนคิดว่า สเปนจะตามกรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส ขอรับความช่วยเหลือเพื่อกู้เศรษฐกิจทั้งระบบภายใน 12 เดือนข้างหน้านี้ กระนั้น 37 คนคาดว่ายูโรโซนจะอยู่รอดต่อไปอย่างน้อยอีก 1 ปี แม้เภาวะศรษฐกิจที่อ่อนแอมากจะขัดขวางความพยายามของผู้นำยุโรปในการคลี่คลายวิกฤตหนี้สาธารณะที่เรื้อรังมากว่า 2 ปีก็ตาม

ในวันพุธ(13)เช่นกัน นายกรัฐมนตรีมาริโอ มอนติของอิตาลีเรียกร้องให้นักการเมืองในประเทศสนับสนุนแผนปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้ประเทศกลายเป็นเหยื่อรายถัดไปของวิกฤตหนี้ยูโร

สัญญาณเตือนภัยล่าสุดคืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 1 ปีของอิตาลี ประเทศเศรษฐกิจอันดับ 3 ของยูโรโซน อยู่ที่เกือบ 4% ในการเปิดประมูลเมื่อวันพุธ สูงสุดในรอบ 6 เดือน จากความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้สาธารณะที่สูงถึง 1.9 ล้านล้านยูโรหรือ 120% ของมูลค่าเศรษฐกิจ อันถือเป็นสัดส่วนสูงสุดอันดับ 2 รองจากกรีซ

มอนติ นั้นเป็นอดีตกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) เขาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นเทคโนแครตมืออาชีพมิใช่นักการเมืองแท้ๆ

ขณะเดียวกัน วูล์ฟกัง ชะออยเบิล รัฐมนตรีคลังเยอรมนี ตอบข้อซักถามของหนังสือพิมพ์ลา สแตมปาของอิตาลี โดยระบุว่า หากโรมดำเนินการปฏิรูปการคลังและเศรษฐกิจตามแผนของมอนติก็จะสามารถรอดพ้นจากแดนอันตรายได้ เช่นเดียวกับสเปนที่แก้ไขตรงประเด็นที่ภาคการธนาคาร ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องขอรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>น้ำมันขึ้นเล็กน้อยจับตาผลเลือกตั้งกรีซ-หุ้นมะกันบวกแรง</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 มิถุนายน 2555 05:04 น.</TD><TD vAlign=center align=left><SCRIPT type=text/javascript src="http://platform.twitter.com/widgets.js"></SCRIPT>

<SCRIPT type=text/javascript src="https://apis.google.com/js/plusone.js" gapi_processed="true"> {lang: 'th'}</SCRIPT>

<TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><IFRAME style="BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-LEFT: medium none; WIDTH: 450px; HEIGHT: 35px; OVERFLOW: hidden; BORDER-TOP: medium none; BORDER-RIGHT: medium none" src="http://www.facebook.com/plugins/like.php?href=http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrshort.aspx?NewsID=9550000073814&layout=standard&show_faces=false&width=450&action=like&colorscheme=light&height=35" frameBorder=0 allowTransparency scrolling=no></IFRAME></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=right><TBODY><TR><TD width=5></TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300><TBODY><TR><TD vAlign=top width=300 align=middle> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE> เอเอฟพี - ราคาน้ำมันขยับเพียงขึ้นเล็กน้อยวานนี้(15)เหตุนักลงทุนจับตาผลเลือกตั้งในกรีซที่จะชี้ชะตาว่าเอเธนส์จะอยู่ในยูโรโซนต่อไปหรือไม่ ขณะที่วอลล์สตรีท ปิดบวกแรง คาดเหล่าธนาคารกลางจะคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อบรรเทาความยุ่งเหยิงทางเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกันราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนเล็กน้อย จากกรณีที่โอเปกมีมติคงกำลังผลิตต่อไประหว่างการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดี(14)

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 12 เซนต์ ปิดที่ 84.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 44 เซนต์ ปิดที่ 97.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(15) ปิดบวกพอสมควร ตามตลาดทุนอื่นๆในยุโรป ท่ามกลางความเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางชาติต่างๆจะคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อบรรเทาความยุ่งเหยิงที่อาจเกิดขึ้นตามหลังศึกเลือกตั้งของกรีซและกระตุ้นการเติบโต

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 155.26 จุด (0.91 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 12,767.17 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 36.47 จุด (1.29 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,872.80 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 13.74 จุด (1.03 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,342.84 จุด
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>