สำหรับผู้ภาวนา แล้วคิดว่ามีสติรู้สึกตัว แต่ผิดไปได้ยังไงมาตรองดู

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ได้คับ, 14 มิถุนายน 2012.

  1. ได้คับ

    ได้คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +106
    ผมมีประสบการณ์ภาวนาผิดๆ มาแชร์
    เพื่อประโยชน์แต่ท่านที่สนใจจะได้ไม่หลงไปในความคิด
    <WBR></WBR>ด้วยความปรารถนาดี ผมจึงได้นำสิ่งที่ตนเองรู้เ<WBR></WBR>พียงน้อยมาบอกเพื่อนๆพี่ๆ
    เพื่อสังเกตุว่าขณะ รู้สึกตัวอยู่ กับรู้แล้วไหลไป โดนดึงไป ความเพลิน(นันทิ)
    เป็นอย่างไร แตกต่างกันอย่างไร

    เริ่มต้น ลองพลิกมือ1ครั้งดูนะครับ

    ผู้ฝึกใหม่ๆพอพลิกมือแล้วความรู้สึกที่<WBR></WBR>มือมันจะชัดถูกมั้ยครับ
    ลองพลิกมือหลายๆทีก็ได้
    พอพลิกมือและสังเกตุดีๆนะคร<WBR></WBR>ับจะทราบว่า ผมภาวนาผิดยังไง
    ทีนี้พลิกมือแล้วชัดอยู่ที่<WBR></WBR>มือ รู้สึกมั้ยว่าเหมือนถูกดึงไ<WBR></WBR>ปสนใจอยู่ที่มือ
    ลองพลิกหลายๆทีก็ได้ครับ ผมพลาดจุดนี้แหละครับ
    (แต่ผู้ที่มีสติรู้สึกตัวโด<WBR></WBR>ยไม่ไหลไปกับมือขออนุโมทนาด<WBR></WBR>้วยครับ)
    (ผู้มีสติรู้สึกตัว เวลามือพลิกไปมันจะไม่ไหลไปรู้แต่มือ แต่ยังคงรู้สึกตัว)
    (คุณจะทราบได้ว่าถ้ามีสติรู้สึกตัว จิตจะตั้งมั่นไม่หวันไหวซึ่งแตกต่างกันจริงๆ)
    วิธีนี้ไม่ใช่แค่มือนะครับ จะเดินจงกรมอยู่ที่เท้าก็ผิดครับ

    เมื่อผมเห็นว่ามีการถูกดึงไ<WBR></WBR>ปรู้ที่มือ เพราะมีความรู้สึกเกิดขึ้นบ<WBR></WBR>างอย่าง
    มีความสนใจไปรู้สิ่งนั้น นี่แหละหลุดจากการรู้สึกตัว<WBR></WBR>แล้วครับ
    บางคนก็เพ่งมือ บางคนก็รู้แต่มือที่เคลื่อน แต่ไม่รู้สึกตัว
    มีสติรู้สึกมือ VS มีสติรู้สึกตัว

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายคตาสติ
    เปรียบดัง เสาเขื่อน เสาหลัก ต้องอบรมให้มาก
    กระทำให้เป็นยานเครื่องนำไป<WBR></WBR> กระทำให้เป็นของที่อาศัยได้<WBR></WBR> เพียรตั้งไว้เนืองๆ
    เพียรเสริมสร้างโดยรอบคอบ เพียรปรารถสม่ำเสมอด้วยดี

    แต่ผมหลุดหมด คือไปรู้เฉพาะส่วน ลองมาดูอีกมุม
    ไม่ต่างกันเลยคือโดนดูดไป หล<WBR></WBR>งไป เพลินไป
    เคยมั้ยครับขณะกำลังดูหนังแ<WBR></WBR>ล้วกำลังอินกับหนังอยู่
    หนังกำลังเศร้าๆเลย แล้วเราก็กำลังอิน ช่วงนี้ลืมตัวเรียบร้อย
    เศร้าไปกับหนัง โดนดูดไปเรียบร้อย มีร่างกายก็เหมือนไม่มี
    แต่พอมีคนมาเขย่าตัวเรา เราก็หลุดจากหนัง กลับมารู้สึกตัวปั๊บ
    พอรู้สึกตัวได้... อามรณ์ที่กำลังอินอยู่หายแว<WBR></WBR>๊บเลย(นี่คือสติรู้สึกตัวครับ)
    แล้วก็พูดว่า โถ...กำลังอินเลย มาเขย่าทีอารมณ์หายหมด
    แล้วก็พาลหงุดหงิดคนที่มาเ<WBR></WBR>ขย่า (เพราะมีความต้องการอามรณ์อ<WBR></WBR>ินนั้นอยู่)
    แล้วก็หลงไปรู้ในความหงุดหง<WBR></WBR>ิดอีกแล้ว ทิ้งความรู้สึกตัวอีกแล้ว (โดนดูดรอบ2)
    คนเราจึงมีความรู้สึกตัวบ้า<WBR></WBR>ง แล้วก็หลงไปในความคิดนึกปรุ<WBR></WBR>งแต่งหมุนเวียนอยูแบบนี้ เพราะเราไม่ค่อยฝึกรู้สึกตัว แต่ฝึกที่จะไหลไปตามกระแสที่เด่นๆ
    พลิกมือไหลไปที่มือ ดูหนัง ไหลไปที่หนัง อาการเดียวกันเลยคือลืมกาย
    (แต่คนที่เจริญสติมาดีแล้วพ<WBR></WBR>ลิกมือรู้สึกตัว ดูหนังก็รู้สึกตัว^^)

    นี่คือสิ่งที่ผมภาวนาหลุดจากกาย แล้วไปดูความรู้สึกต่างๆ
    มันจึงไหลไปตลอด เหมือนไหลไปตามกระแสน้ำ พอมีคนชี้ว่าเห็นเสาเขื่อนม<WBR></WBR>ั้ย
    ก็คือความรู้สึกตัว พอรู้สึกตัวได้ ก็จะหลุดจากความคิดได้ หลุดจากกระแสน้ำ
    วิธีคือกลับมารู้สึกตัว ไม่ใช่ไหลตามกระแสแห่งความค<WBR></WBR>ิด
    เห็นความผิดพลาดตรงจุดนี้ สำคัญมากจริงๆครับ

    บางคนที่รู้สึกตัวเป็นแล้ว พอเกิดสภาวะดีๆ เช่นความสุข ความเย็นวาบ
    ความโล่ง โปร่งเบา ก็หลุดจากความรู้สึกตัวอีก แล้วก็ไหลไปตามสภาวะ
    คือไปดูความรู้สึกแทน ไหลไปกับความคิดนึกปรุงแต่งฝ่ายนาม
    แล้วก็ใช้ความคิด พิจารณา ปรุงแต่ง และสรุปให้ค่า แล้วสภาวะนั้นก็หายไป
    ก็กลับมารู้สึกตัวต่อ ทำแบบนี้เรื่อยไป นี้ก็คือหลุดอีกแล้ว

    สิ่งจึงผมเข้าใจว่า ถ้ายังคิดอยู่ ยังสงสัยอยู่ นั้นไม่ใช่ความรู้สึกตัว
    ยังหลงไปในความคิด ต่อเมื่อรู้สึกตัวได้ จะออกจากความคิดได้เอง
    เหตุเพราะอะไรมั้ยครับ เพราะร่างกายมันซื่อ มันไม่คิด เพียงแค่รู้สึกตัวเฉยๆ
    โดยไม่ต้องทำอะไร ความคิดจะถูกวางเอง อาหารของกิเลสจะถูกตัดไป
    เมื่อรู้สึกตัวบ่อยๆเข้า จิตก็จะไม่ไหลไปตามความคิดฝ<WBR></WBR>่ายนามบ่อยเข้า
    เมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ไม่หวั่นไหว รู้แต่ไม่เข้าไปเป็น คือไม่ไหลเข้าไปเกิดอีก
    ดังนั้นการหลงไปในความคิด หรือสภาวะต่างๆ ล้วนเป็นการลืมกายทั้งสิ้น
    ให้กลับมารู้สึกตัวครับ ไม่หลงไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าหลงไป
    กลับมารู้สึกตัว ดูๆไปบางคนอาจดูว่าธรรมดาจั<WBR></WBR>ง มีเพียงกลับมารู้สึกตัว
    รู้สึกตัวแค่นี้เองหรอ แล้วทำไมไม่ต้องคิดพิจารณาจ<WBR></WBR>ะเกิดปัญญาได้หรือ
    มันเกิดปัญญาความเข้าใจธรรมครับ<WBR></WBR> ปัญญาจากการเห็นโดยไม่ใช่กา<WBR></WBR>รคิด
    หรือจำเอา

    พอรู้แบบนี้ผมจึงรู้ว่าความรู้สึกตัวจะเกิดไม่ได้
    ถ้ายังหลงไปในความคิดนึกปรุงแต่งฝ่ายนาม
    บางคนที่ชอบคิดพิจารณาธรรม ยิ่งคิดมาก
    ยิ่งจมในความคิด ยิ่งติดในอารมณ์ดีๆมากก็ไหล<WBR></WBR>ไปตามกระแสที่ดีๆ
    ยิ่งรู้มากเท่าไหรก็ยิ่งจำ เทียบเคียง และสรุปให้ค่า สุดท้ายคือรู้สึกตัวได้ยากข<WBR></WBR>ึ้น

    ต่อเมื่อรู้สึกตัวได้เต็ม จะเห็นจริง ซึ่งแตกต่างกับการรู้จำหรือคิดเอา
    สิ่งที่จะเตือนเพื่อนๆไม่ให<WBR></WBR>้หลงไปแบบผมคือ
    รู้สึกตัวตามกฏ3ข้อ โดยพี่ผู้แนะนำผมครับ

    1 รู้สึกได้ทั้งกาย รู้หลวมๆ ไม่ระบุเจาะจงอวัยวะใดๆ
    2 รู้แบบไม่คิดเทียบเคียง ตีความหมายหาความหมาย ใดๆทั้งสิ้น
    3 ไม่พูดกำหนด ไม่วิพากษ์วิจารณ์ภายในจิตใ<WBR></WBR>จ หรือพูดออกมาข้างนอกทั้งสิ้<WBR></WBR>น
     
  2. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    ท่าน นี้ ลูกศิษย์ หลวงพ่อ เทียน นี่นา...
     
  3. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ช่างเปรียบเทียบได้เข้าใจง่ายดีแท้ การฝึก"รู้ตัว" ยากแท้ กว่าจะรู้ก็ถูกดูดเหมือนเจ้าของกระทู้บอก ส่วนมากจะถูกดูดไปกับนามมากกว่ารูป ขอบคุณที่แชร์ประสปการณ์และนำมาให้ความรู้ ขออนุโมทนาค่ะ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2012
  4. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    แต่คนที่เจริญสติมาดีแล้วพ<wbr>ลิกมือรู้สึกตัว ดูหนังก็รู้สึกตัว^^
    คนที่เจริญสติเป็นปกนิสัย แม้การพลิกมือ ดูหนังก็มีสติเกิดร่วมด้วย

    สิ่งจึงผมเข้าใจว่า ถ้ายังคิดอยู่ ยังสงสัยอยู่ นั้นไม่ใช่ความรู้สึกตัว
    ความคิด(ธรรมารมณ์)เป็นเรื่องของวิบากทางมโนทวาร ส่งเรื่องให้มาคิด
    ความสงสัย(วิจิกิจฉา) เป็นอกุศลจิตของโมหะ ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนความสงสัยย่อมมีอยู่
    เว้นเข้าภูมิพระโสดาบัน

    ยังหลงไปในความคิด ต่อเมื่อรู้สึกตัวได้ จะออกจากความคิดได้เอง
    เหตุเพราะอะไรมั้ยครับ

    ถ้าทราบว่าจิตเป็นจิตดวงไหน ความคิดนั้นจะจางคลายลง

    เพราะร่างกายมันซื่อ มันไม่คิด เพียงแค่รู้สึกตัวเฉยๆ
    เพราะร่างกายเป็นรูปขันธ์ ตัวที่คิดคือจิตไม่ใช่รูป

    โดยไม่ต้องทำอะไร ความคิดจะถูกวางเอง อาหารของกิเลสจะถูกตัดไป

    เมื่อรู้สึกตัวบ่อยๆเข้า จิตก็จะไม่ไหลไปตามความคิดฝ
    <wbr>่ายนามบ่อยเข้ากตินิสัย
    เมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ไม่หวั่นไหว รู้แต่ไม่เข้าไปเป็น คือไม่ไหลเข้าไปเกิดอีก

    แล้วความคิดใหม่ก็จะเข้ามาแทน เพราะเป็นธรรมชาติของจิตปุถุชน

    ดังนั้นการหลงไปในความคิด หรือสภาวะต่างๆ ล้วนเป็นการลืมกายทั้งสิ้น
    ให้กลับมารู้สึกตัวครับ ไม่หลงไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าหลงไป
    กลับมารู้สึกตัว ดูๆไปบางคนอาจดูว่าธรรมดาจั
    <wbr>ง มีเพียงกลับมารู้สึกตัว
    รู้สึกตัวแค่นี้เองหรอ แล้วทำไมไม่ต้องคิดพิจารณาจ
    <wbr>ะเกิดปัญญาได้หรือ
    มันเกิดปัญญาความเข้าใจธรรมครับ
    <wbr> ปัญญาจากการเห็นโดยไม่ใช่กา<wbr>รคิด
    หรือจำเอา

    การที่เรารับรู้เรื่องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทาง๖ทวารเข้ามาเป็นผลของวิบากที่ตัวเองเคยทำไว้

    อาการสักแต่ว่า(ตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายรับสัมผัส ใจรับความคิด) เป็นคุณธรรมของพระอนาคามี

    พอรู้แบบนี้ผมจึงรู้ว่าความรู้สึกตัวจะเกิดไม่ได้

    ถ้ายังหลงไปในความคิดนึกปรุงแต่งฝ่ายนาม
    บางคนที่ชอบคิดพิจารณาธรรม ยิ่งคิดมาก
    ยิ่งจมในความคิด ยิ่งติดในอารมณ์ดีๆมากก็ไหล
    <wbr>ไปตามกระแสที่ดีๆ
    ยิ่งรู้มากเท่าไหรก็ยิ่งจำ เทียบเคียง และสรุปให้ค่า สุดท้ายคือรู้สึกตัวได้ยากขึ้น

    เพราะมีสติ จึงใฝ่ในธรรม ตรึกในข้อธรรมที่ลึกซึ้ง

    ต่อเมื่อรู้สึกตัวได้เต็ม จะเห็นจริง ซึ่งแตกต่างกับการรู้จำหรือคิดเอา

    สิ่งที่จะเตือนเพื่อนๆไม่ให้หลงไปแบบผมคือ
    รู้สึกตัวตามกฏ3ข้อ โดยพี่ผู้แนะนำผมครับ

    1 รู้สึกได้ทั้งกาย รู้หลวมๆ ไม่ระบุเจาะจงอวัยวะใดๆ

    ๖ทวาร เวลาเกิดที่ทวารไหนต้องรู้ หากไม่รู้สติเกิดไม่ได้

    2 รู้แบบไม่คิดเทียบเคียง ตีความหมายหาความหมาย ใดๆทั้งสิ้น
    เมื่อรับวิบากเข้ามาทางตา จะเห็นแหวนเพชรเป็นสมมุติบัญญัติคือเป็นแหวนเพชรทันที

    3 ไม่พูดกำหนด ไม่วิพากษ์วิจารณ์ภายในจิตใ
    <wbr>จ หรือพูดออกมาข้างนอกทั้งสิ้<wbr>
    -หากยินดีพอใจ อยากได้มาเป็นของตน (โสมนัสในโลภะ)
    -หากเฉยๆ ต้องรู้ด้วยว่าถ้าเฉยเอาคือเฉยแต่ในใจอยากได้ (อุเบกขาในโลภะ)
    -หากเฉยเพราะนึกว่าเป็นเพชรปลอม หรือหลงชื่นชมในความงามของเพชร (อุเบกขาโมหะ)
    -หากเห็นแล้วไม่พอใจ เม็ดมันใหญ่ไปเกะกะ (โทมนัสในโทสะ)
    -----------------------------------------------------------------------
    -หากเห็นแล้วรู้ว่าเป็นผลของกรรมที่ตัวเองทำไว้เอง ชาตินี้ต้องได้เห็น (กัมมัสสกตาปัญญา)
    -หากเห็นแล้วเกิดปัญญารู้ในรูปนาม/ขันธ์ ๕ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (วิปัสสนาปัญญา)
    -หากเห็นแล้ว สามารถแทงตลอดอริยสัจน์๔ เกิดประจักษ์แจ้งในปรมัตถ์ (โลกุตตรปัญญา)
     
  5. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    สิ่งที่ ท่านบอกว่า ผิดๆนั้น มันไม่ผิดหรอกครับ

    เพียงแต่เป็น วิธีทางเดินเข้าด้วยการเพ่งจ้อง นั่นเรียกว่า
    สร้างฐานสมถะ ก่อนเดินวิปัสนา

    การทำสมถะจะ จดจ้องอยู่ที่อะไรก็ได้ซักอย่างหนึ่ง อย่างแน่วแน่ มั่นคง
    เมื่อมีการทำให้มาก ทำบ่อยๆทำเนืองๆ มันก็จะพัฒนาไปตามลำดับวิธี

    การเดินแบบนี้ ไม่ได้เป็นวิธีที่ผิดเลย

    ยกตัวอย่างในส่วนการเดิน กายคตาสติ

    ขอยกตัวอย่าง การใช้ การพิจารณากายในภายใน
    เช่น เมื่อดำเนินในท่านั่งหลับตา ก็น้อมนึก อวัยวะในส่วนใดส่วนหนึ่ง ในอาการ 32 มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ยกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง

    นึกให้เห็นในจิตในใจ สร้างมโนภาพขึ้นมา สอนจิตตัวเองในภายใน
    เมื่อทำบ่อยๆเข้า จนชำนาญ จนสามารถนึกภาพได้จนชัดเจนและน้อมนึกไปในทางเปลี่ยนแปลงจากเริ่มมีจนเริ่มสลาย
    เมื่อทำได้จนชำนาญไปอีก จนไม่มีเจตนาตั้งใจน้อมนึก แต่จิตกลับสร้างได้ด้วยตัวเอง เมื่อชำนาญเข้าไปอีก ก็จะเดินเข้าวิปัสนาได้ง่ายด้วย
    และยังได้อภิญญามาเป็น ของแถมเป็นผลพลอยได้อีก
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    วิธีนี้เป็นอีกวิธีการหนึ่งแล้วแต่จริตคนด้วยนะครับ เพราะใช้กำลังสมาธิไม่มาก อนาคตมีโอกาสเกิดญานทัศนะต่างๆได้ถ้า ระดับกิเลสที่เกาะกับจิตค่อยๆน้อยลง โดยไม่ต้องไปฝึกให้ยุ่งยาก(แต่อาจจะนาน) ไม่ใช่ว่าไ่ม่ดีนะครับ
    แต่มีโอกาสสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดมานะทิฐิได้โดยไม่รู้ตัว และมีโอกาสเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนไปนานแล้วก็จะวนกลับไปกลับมาที่เดิมได้ ยกเว้นคนที่เดินตามสายนี้แล้วสามารถเข้าถึงโหมดอรูปฌานได้จริงๆ และมักจะเกิดบัญญัติคำศัพย์ใหม่ๆขึ้น....ตามแต่สภาวะที่ตนประสบมา.และพยายามจะอธิบายด้วยเจตนาที่ดีตามสัญญาของตนเอง.
    เนื่องจากมันเห็นอะไรไม่ชัดเจนครับ เหมือนคนไม่เคยเห็นผีแต่ก็รู้ว่าผีเป็นยังไงเพราะเคยได้ยิน ได้ฟังมา จะพูดได้หลายร้อยคำ....ต่างกับคนที่เห็นผีเป็นปกติครับไม่จำเป็นต้องพูดแต่เข้าใจได้ว่าเป็นยังไงแต่มีปัญหาในการอธิบายให้คนไม่เคยเห็นผีเข้าใจประมาณนี้ครับ.​
    .
    .
    .​
     
  7. ได้คับ

    ได้คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +106
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย น้ำนมของมารดานับเป็นโลหิตในอริยวินัย ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย กุมารนั้นอาศัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ย่อมเล่นด้วยเครื่องเล่น
    สำหรับกุมาร คือ ไถเล็ก ตีไม้หึ่ง หกขะเมน จังหัน ตวงทราย รถเล็ก ธนูเล็ก ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย กุมารนั่นนั้นอาศัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย พรั่งพร้อม
    บำเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕ คือ รูปที่รู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก
    ประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดและความรัก เสียงที่รู้แจ้งด้วยโสต ... กลิ่นที่รู้แจ้งด้วย
    ฆานะ ... รสที่รู้แจ้งด้วยลิ้น ... โผฏฐัพพะที่รู้แจ้งด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ
    น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดและความรัก กุมารนั้น เห็นรูปด้วยจักษุ
    แล้ว ย่อมกำหนัดในรูปที่น่ารัก ย่อมขัดเคืองในรูปที่น่าชัง ย่อมเป็นผู้มีสติในกายไม่ตั้งมั่น
    และมีจิตเป็นอกุศลอยู่ ย่อมไม่ทราบชัดเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับหมดแห่งเหล่า
    อกุศลธรรมอันลามก ตามความเป็นจริง เขาเป็นผู้ถึงพร้อมซึ่งความยินดียินร้ายอย่างนี้ เสวยเวทนา
    อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ย่อมเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจ
    เวทนานั้นอยู่ เมื่อกุมารนั้นเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจเวทนานั้นอยู่ ความเพลิดเพลินก็เกิดขึ้น
    ความเพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลายเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพ
    เป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
    และอุปายาส ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้อย่างนี้ กุมารนั้น ได้ยินเสียงด้วย
    โสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ลิ้มรสด้วยลิ้น ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วย
    ใจแล้ว ย่อมกำหนัดในธรรมารมณ์ที่น่ารัก ย่อมขัดเคืองในธรรมารมณ์ที่น่าชัง ย่อมเป็นผู้มีสติใน
    กายไม่ตั้งมั่น และมีจิตเป็นอกุศลอยู่ ย่อมไม่ทราบชัดเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับหมด
    แห่งเหล่าอกุศลธรรมอันลามกตามความเป็นจริง เขาเป็นผู้ถึงพร้อมซึ่งความยินดียินร้ายอย่างนี้
    เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดีมิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ย่อมเพลิดเพลิน
    บ่นถึง ติดใจ เวทนานั้นอยู่ เมื่อกุมารนั้นเพลิดเพลิน บ่นถึง ติดใจเวทนานั้นอยู่ ความเพลิด
    เพลินก็เกิดขึ้น ความเพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลายเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
    เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
    โทมนัสและอุปายาส ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ อย่างนี้.

    (ผู้ไม่มีสติในกายตั้งมั่น ย่อมมีจิตเป็นอกุศล ดังนี้แล เหตุเพราะกามคุณ5)
    เจริญสติรู้สึกตัว ได้ จะพบเส้นทางดังคำพระพุทธเจ้าครับ สาธุๆๆกราบๆๆๆ
     
  8. เด็กใหม่คับ

    เด็กใหม่คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +152
    ผมเหมือนจะเข้าใจนะ แต่ไม่รู้ใช่เหมือนกันป่าว
    คือเหมือนเราจะใช้ ปัญญา พิจารณาอยู่ พยายามค้นๆหา พยายามตั้งจิต แต่จริงๆแล้วมันเป็นสังขาีรที่หลอกให้เราปรุงแต่งไปเรื่อยๆว่า ให้เราค้นหาธรรมไปเรื่อยๆ แต่จริงๆแล้วมันไม่มีตัวตน ทำให้เราหลงค้นหา หลงปรุงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นปัญญาจริงๆ ผมเคยเป็นมันน่ากลัวมากๆเลย มันสับสนไปหมด
     
  9. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    ทำสมถะ บ้างนะครับ หาเวลา แบบ เป็น กิจประจำทุกวัน ทำ ให้เป็นนิสัย
    ภาวนา สมถะบ้าง จิจจะ จัดระเบียบ ตัวมันเอง..คงามฟุ้งซ่านจะลดลงบ้าง
    การใช้ ปัญญาพิจารณามากๆ จะฟุ้งซ่านยได้ ครับ..เพราะเป็นการ คิด วกไปวนมา..

    วันหลัง หาก สงสัย อะไร ก็ รู้ทันไปว่า กำลังสงสัย..พอแล้วดู ว่า อะไรเกิด อีก ในใจ..
     
  10. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134

    จะพูดอีกอย่างนึง มันคือกิเลสละเอียด ครับ
    พอเจอสภาวะแปลกๆ เข้า ด้วยความที่เรายังมี มานะ อยู่ เราเลยคิดว่า นี่มันเป็นสิ่งวิเศษ เราก็จะแอบติดตรงนี้ หาสภาวะไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ทันเห็นจิตที่คิดแบบนี้ เพราะมันละเอียดว่า โทสะ เยอะ แล้วทีนี้ จิตคุณก็จะไม่ถูกชักนำไปโดยกิเลสแบบหยาบๆ ที่คนอื่นเห็นได้ เช่น ไปโกรธคนอื่น ด่าคนอื่น หรือทำผิดศีลธรรม แต่จิตคุณจะแอบเสพความพอใจ จากการไล่หาสภาวะแล้วเจอ ถ้าสังเกตให้ละเอียด จิตมันจะมีความยินดี พอใจ หรือ ตื่นเต้น หรือ สนุก กับการหาสภาวะเจอครับ

    ดูไปเรื่อยๆ ครับ ถ้าเจอแรกๆ มันก็ไม่แปลก ที่จะอยากหา แต่ถ้าพิจารณาไม่เที่ยง เห็นไปเรื่อยๆ แล้ว เดี๋ยวมันก็เลิกหาเอง หรือว่าจะฝึกจิตให้ละเอียด แล้วเห็นตัวจิตที่ปรุงแต่งให้ไปแอบเสพ ก็ได้ครับ
     
  11. ได้คับ

    ได้คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +106
    ให้รู้ซื่อๆนี่แหละ อย่าเข้าไปอยู่
    อย่าไปเอา อย่าไปเป็น เป็นผู้ผิด
    เป็นผู้ถูก เป็นผู้ให้ เป็นผู้ไม่ได้
    ถ้าอย่างนั้นมันก็เหมือนกับมีม่านมาขวางกั้น

    มันไม่ซื่อ มันไม่ตรง มันไม่เปิดออก มันไม่เปิดเผย

    หลงแล้วรู้ใหม่ หลงแล้วรู้ ถือเป็นยอดแห่งศิลปะ
    อย่าไปห้ามความคิดไม่ให้ปรุ<WBR>ง และ อย่าไปตามความคิด "หลงแล้วรู้"


    ( หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ )

    ที่ทำอยู่ลองสังเกตุดูตัวเองนะครับ ถ้าเข้าไปในความคิด
    หรือ หลงไปกับสิ่งภายนอก มันจะลืมกายบ่อย เหมือนเข้าถ้ำ
    ให้กลับมารู้สึกตัวใหม่ หลงแล้วก็ชั่ง กลับมารู้สึกตัวใหม่
    จากหลงบ่อย ก็จะหลงน้อย และจะออกมาจากความคิดได้ครับ
    ด้วยความรู้สึกตัวนี่เอง พอความคิดเกิด จะเห็นได้ทันที
    ไม่ไหลตามความคิด มีสติรู้สึกตัวอยู่เพียรมีสติรู้สึกตัวให้บ่อยนะครับ
    ทำเล่นๆสบายๆ พลิกมือไปเอามือมาก็รู้ คือรู้สึกตัวนะครับ สาธุ
     
  12. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747

    ขอเกริ่นก่อนว่า ที่คุณได้คับ กล่าวมาทั้งหมดนี้
    เป็นแนวทางการปฏิบัติของหลวงพ่อเทียนครับ


    ซึ่งแนวทาง หรือเทคนิคบางอย่างอาจไม่ตรงกับสายอื่นๆ
    ครูบาอาจารย์แต่ละท่านก็จะมีวิธี มีเทคนิค แตกต่างกันออกไป ตามจริตของท่านเอง และความเหมาะสมกับจริตของศิษย์ด้วย

    เส้นทางต่างสาย แต่จุดหมายเดียวกัน

    บอกกล่าวเล่าสิบกันไว้ เพื่อมิให้เป็นไปเพื่อความขัดแย้งกันนะครับ
     
  13. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    สายหลวงพ่อ เทียน หลวงพ่อคำเขียน..ที่สุดก็แค่ฝึกสติ..สมถะนั่นเองครับ
     
  14. ได้คับ

    ได้คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +106

    ไม่ทราบว่าคุณสับสนเอาอะไรมาเป็นตัวชี้วัดอย่างที่กล่าวมาครับ
     
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ดูจากการฝึก และวิธีฝึก เพื่อให้เกิดสติสมาธิ..โดยวิธีเคลื่อนไหวครับ ..
     
  16. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    มือมันคลำหางช้าง มันก็ว่าช้างเนี่ย มีลักษณะ เป็น หางครับ
    ตามันบอด นานแล้ว แต่อยากอวด..หุหุหุ
     
  17. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    บุญพิชิต..นี่กระทู้คนอื่นเขามีมารยาทด้วยครับ:mad:
     
  18. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    หลวงพ่อ เทียน
    ท่าน เป็นพระ ที่ไม่เคยคิด จะ ปฏิบัติ สมถะกรรมฐานเลย ท่านเคยเทศนา ไว้ ว่า การทำสมถะมากๆจะเนิ่นช้า ท่านเดิน เจริญสติ รู้สึกตัวมาแต่ต้น..จนจิตท่าน แยก รูป แยกนามได้..ตั้งแต่ ท่านัยงไม่บวช..การ ขยับมือ ตามแนวทางที่ท่านสอนนั้น เมื่อเกิดการขยับ ท่านรู้สึกตัว ทันที จิตท่าน เข้าฐาน ตั้งมั่นตลอด การ เกิด จิต เข้าฐานเอง..แล้ว ออก แล้วเข้า ถี่ๆ นี่เอง..ที่เรียกว่า ขณิกสมาธิ เป้น สัมมาสมาธิ อันเกิด มาจาก การเจริญสติ ที่ถูกต้อง เรียกว่า สัมมาสติ ทำให้เกิด สัมมาสมาธิ และ สัมมาสมาธิ ทำให้เกิด ปัญญา..และ ปํญญา จะไป ชำระ กิเลส ในใจ ได้...

    ในที่สุดหลวงพ่อ ท่านเล่าว่า.. จิตท่าน แจ้งว่า จบพรหมจรรย์ แล้ว กิจ ควรทำ ได้ทำหมดแล้ว...

    ผม มี ซีดี..ที่หลวงพ่อ เทียนเทศนาไว้ครับ...ผม กล่าวตามที่ผม ฟังมา..สาธูๆๆ

    อีกอย่าง..ผม จะกล่าวเพิ่มเติมไว้...คือ
    การปฏิบัติ ของหลวงพ่อ เทียนนั้น..มีบทแห่งการปฏิบัติ ในแนวทาง กายานุปัสสนากรรมฐาน..ในบรรพพะ ที่ 3 เรื่อง สัมปชัญญะบรรพพะ..ครับ...แนวทางนี้ วิปัสสนาล้วนๆ ไม่มี สมภะ ปนครับ...หาก เป็น บรรพพะ แรก ชื่อ อาณาปาณสติ นั้น..บทเริ่ม แรก จะมี สมถะ ปน...หาก เป็น อาณา ที่ลงลึก จะ มีแต่ วิปัสสนา ล้วนๆ เช่นกันครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2012
  19. โฟร์0

    โฟร์0 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +12
    ผู้ปฏิบัตธรรมทั้งหลาย ปฏิบัติเพื่อละกิเลศ เพื่อพ้นทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลาย
    สมถกรรมฐานและวิปัสสนา จะว่าอันเดียวก็ใช่ คนละอย่างก็ใช่
     
  20. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748

    ลักษณะ คล้ายกัน ครับ..แต่ คุณสมบัติ ต่างกันสิ้นเชิง

    สมถะ ได้ อารัมณูปนิฌาณ
    วิปัสสนา ได้ ลักขณูปนิฌาณ

    ครับผม.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...