เรื่องของพลังจิต

ประเด็นที่ว่า

เวลาใครเข้าวิญญาณัญจายตน ฌาณที่เจ็ด เพ่งวิญญาณเป็นอารมณ์จะเห็นจิต
แทรกซ้อนอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์เป็นธาตุสากลมีอยู่ในทุก
สิ่ง


อันนี้ อันตรายมาก เป็นการบอกว่าทุกอย่างมี "จิต" แม้นกระทั่งก้อนหินหรือไม่?
เพราะอ่านแล้วเข้าใจว่าทุกอย่างมีจิตแทรกอยู่ อนึ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าการดูด้วยตา
ทิพย์ ย่อมเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ คือ พลังงาน เช่น ออร่า (พลังที่มีในสิ่งมีชีวิต)


ชินโตของญี่ปุ่นเชื่อว่า ทุกสิ่งมีวิญญาณ ทว่า วิญญาณที่เขาพูดถึง ก็คือ มวล
พลังงานเท่านั้นเอง ไม่ใช่สิ่งที่มีจิตใจ ไม่ใช่สิ่งที่จะรู้ได้เหมือนจิต ดังนั้น ไม่ได้
แปลว่าก้อนหินมีจิตไปด้วยนะครับ


นี่คือ มวลพลังงานที่เห็นได้ด้วยตาทิพย์ แต่ไม่ใช่จิต
ต้องมีสติ ใจจึงจะทำหน้าที่ หากเข้าฌานสี่ จิตเป็น
อิสระจากกายใจ จะไม่รู้อะไรเลย นี่เรียกว่าจิตพัก
และใจก็ไม่รับรู้จิตไปด้วย

ดังนั้น จะเห็นจิตได้ ต้องมีสติ คือ ใช้ใจทำหน้าที่ดูจิตด้วย
แปลว่าจะดูในภาวะไม่รู้เนื้อรู้ตัวไม่ได้ ต้องมีสติรู้ตัวตลอด
จึงเห็นจิตได้ โดยการใช้ใจดู คือ การให้สมองร่วมทำงาน
กับจิต ประสานการทำงานเข้ากันนั่นเอง


ประเด็นนี้คิดว่าอย่างไร?...

 

จิต คือ ธาตุรู้ หากเปรียบเป็นบุคคลแล้ว บุคคล จะรู้ได้อย่างไรว่าตนเอง
มีตัวตนอยู่ และมีอยู่ในลักษณะใด? บุคคล จำต้องหากระจกส่องตัวมิใช่หรือ?
การเห็นสิ่งนอกตัวเอง จะบอกว่านั่นเป็นตัวเองได้อย่างไร? เพราะมันนอกตัว
เอง มันจะเป็นจิตได้อย่างไร?


ดังนี้ จิตดูจิต ในขณะเข้าวิญญาณสานัญจายตนะ นั้น ไม่ใช่ฐานะที่จะเห็นได้
จิตย่อมเห็นวิญญาณนั้นได้ชัดในขณะเข้าวิญญาณสาณัญจายตนะ แต่จิตจะ
ไม่อาจเห็นตัวเองได้ หากไม่ใช่ "ใจดูจิต" คือ "สติปัฏฐานสี่ดูจิตนั่นเอง"


ขาดสติแล้ว ใจไม่ทำหน้าที่ดูจิต จิตดูอะไร เห็นอะไร สิ่งนั่นนอกจิต ย่อมไม่ใช่จิต

 

นิพพาน ไม่ใช่อนัตตา และ ไม่ใช่อัตตา นิพพานคือ นิพพาน พระไตรฯบทไหนครับที่บอกว่านิพพานเป็นอนัตตา

วิญญาณ ไม่ใช่ออร่า หรือ ปราณครับ ปราณยังหยาบกว่าวิญญาณธาตุ หรือ มโนธาตุ หรือจิต (ถ้าสัมผัสได้นะครับ) ^0^


คุณ VANCO เล่าต่อเถอะครับ อยากฟังอีก

 

(๑) จิตปรมัตถ คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์
(๒) เจตสิกปรมัตถ คือ ธรรมชาติที่ประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิต ให้เกิดการรู้ อารมณ์และรู้สึกเป็นไปตาม
ตนเองที่ประกอบ
(๓) รูปปรมัตถ คือ ธรรมชาติที่แตกดับย่อยยับด้วยความเย็นความร้อน
(๔) นิพพานปรมัตถ คือ ธรรมชาติที่สงบจากกิเลสและขันธ์
ทั้ง ๔ นี้เป็นธรรมชาติที่มีอยู่จริงๆ มีอยู่โดยความเป็นปรมัตถ พิสูจน์ได้ รู้ได้ ด้วยปัญญา เป็นอารมณ์ของปัญญา จากการเรียนการศึกษา จากการพิจารณาหาเหตุ ผล และจากการปฏิบัติ คือภาวนามัย <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-comfficeffice" /><o></o>
ปรมัตถธรรม คือ สิ่งที่มีเนื้อความอันไม่วิปริตผันแปรนั้นมีสภาวะ หรือมี ลักษณะ ๒ อย่าง ได้แก่ สามัญญลักษณะ ๑ และวิเสสลักษณะ ๑ <o></o>
<?xml:namespace prefix = v ns = "urn:schemas-microsoft-com:vml" /><v:line id=_x0000_s1026 style="Z-INDEX: 1; POSITION: absolute" strokeweight="1.75pt" strokecolor="#d4d4d4" o:allowincell="f" to="468pt,12.05pt" from="0,12pt"><v:shadow offset="0,-1pt" origin=",32385f" on="t"></v:shadow></v:line><o> </o>


หน้า ๓<o></o>
ก. สามัญญลักษณะ เป็นลักษณะสามัญเป็นลักษณะธรรมดาที่ธรรมทั้งหลาย ที่สิ่งทั้งหลายมีเหมือน ๆ กัน
เป็นลักษณะทั่ว ๆ ไป ที่ธรรมทั้งหลายจะต้องเป็นไป อย่างนั้น สามัญญลักษณะมี ๓ อย่าง คือ อนิจจลักษณะ ๑
ทุกขลักษณะ ๑ และ อนัตตลักษณะ ๑ <o></o>
อนิจจลักษณะ เป็นสภาวะหรือเป็นลักษณะที่ไม่เที่ยง ไม่มั่นคง ไม่ยั่งยืน อยู่ได้ตลอดกาล
ทุกขลักษณะ เป็นสภาวะหรือเป็นลักษณะที่ทนอยู่ไม่ได้ จำต้องแตกดับ เสื่อมสลายไป
อนัตตลักษณะ เป็นสภาวะหรือเป็นลักษณะที่ว่างเปล่า ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ หมายว่าจะให้เป็นไปตามใจชอบ หาได้ไม่ เพราะเหตุว่า สามัญญลักษณะ มีสภาพ ๓ อย่าง ดังที่ได้กล่าวแล้วนี้ จึงได้ชื่อ ว่า ไตรลักษณ์

<o></o>
จิต เจตสิก และรูป มีไตรลักษณ์ คือ สามัญญลักษณะ ครบบริบูรณ์ทั้ง ๓ อย่าง แต่นิพพานมีสามัญญลักษณะ
เพียง ๑ คือ อนัตตลักษณะเท่านั้น ส่วนบัญญัติธรรม ไม่มีสามัญญลักษณะ ๓ อย่าง คือ ไตรลักษณ์นี้แต่อย่าง หนึ่งอย่างใดไม่เพราะบัญญัติไม่ใช่ ปรมัตถธรรมแต่เป็นบัญญัติธรรมคือ สมมติสัจจะ ที่สมมติขึ้นบัญญัติขึ้น ตามโวหารของโลกเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่มีเองเป็นเองแต่อย่างใด <o></o>

 

ส่วนนี้คัดลอกมาจาก

รูปสังคหวิภาค พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๖​

(หน้าที่ ๑)

รจนาโดยพระอนุรุธาจารย์ครับ

 

ให้สังเกตุประโยคที่ว่า

จิต เจตสิก และรูป มีไตรลักษณ์ คือ สามัญญลักษณะ ครบบริบูรณ์ทั้ง ๓ อย่าง แต่นิพพานมีสามัญญลักษณะ
เพียง ๑ คือ อนัตตลักษณะเท่านั้น

นี้หมายถึง นิพพาน ไม่ใช่ ทั้งอนัตตา และอัตตา แต่มีลักษณะสามัญเพียง
อย่างเดียว คือ "อนัตตาลักษณะ" แม้นไม่ใช่อนัตตา แต่มีลักษณะของ
อนัตตา


ยืนยันที่ได้โพสไว้ว่าถูกต้องครับ...

 

นึกถึงสมัยพุทธกาลที่ สมัยสัจจนิครนก์ โต้แย้ง วาทะ กับ พระพุทธองค์

นึกถึงสมัยพระยามิลินทร์ โต้แย้งวาทะ กับพระอรหันต์ทั้งหลาย

จนร้อนถึงเทวดา นิมนต์ พระนาคเสน ( ตอนนั้นเป็นเทวะ) มาเกิดในโลกแล้ว
บวชเป็นพระอรหันต์มาตอบปัญหา ( เพราะท่านเป็นคู่ปรับกัน การที่พระอรหันต์ หรือ พระอริยะเถียงสู้พระยามิลินทร์ไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่า
ท่านไม่ถูก หรือ ไม่รู้จริง )

ผมบ่นไปอย่างนั้นแหละครับ.....อย่าถือสานะครับ

 

ส่วนเรื่อง "วิญญาณ", "ออร่า" และ "ปราณ" จะเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่?


ขอเชิญท่านพิสูจน์ในงานพบญาติธรรมของอาจารย์อาชวิน (ตาที่สาม)
เพราะเวลานักออร่าบำบัด ก็ใช้วิธีการถ่ายปราณนี่ละ ถ่ายไปที่ฝ่ามือ
แล้วถ่ายภาพนั้นด้วยกล้องออร่า มันก็ออกมาเป็นแสงออร่า เวลาเอา
กล้องออร่าไปถ่ายภาพที่มีวิญญาณดุๆ ก็เห็นเป็นกลุ่มพลังงานออร่า
แบบนี้เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่?



ผมขอไม่สรุปว่าถูกหรือผิด แต่ขอทิ้งไว้ให้นักวิทยาศาสตร์ทางจิตทดสอบครับ


เพราะของแบบนี้พูดเอง ไม่น่าเชื่อถือ ต้องใช้ "วิทยาศาสตร์พิสูจน์ประจักษ์แก่ตาครับ"

 

ฮ่าๆๆ ดีๆๆ ท่านมาช่วยให้ข้าพเจ้าพัฒนาตัวเอง
(ถ้าไม่เนียนพอ ข้าพเจ้าก็ไม่ตอบใช่มะละ)

ต้องขอขอบคุณครับ...

 

พระอนุรุทธาจารย์เป็นใครครับ

 

ออร่าไม่ใช่วิญญาณ หรือจิต แต่เป็นตัวบ่งชี้สภาพของจิตบางส่วนได้

นิ้วชี้ที่ชี้ไปยังพระจันทร์ ไม่ใช่พระจันทร์ครับ

ไม่ต้องใช้เครื่อง ก็มีคนเห็นออร่าได้ครับ แต่ ออร่าไม่ใช่จิต แต่เนื่องมาจากปฏิกิริยาจากจิต

 

**********


ก็อ่านจากที่ท่านเอามาให้อ่านนี่ไง ^0^

 

พระอนุรุธาจารย์ ท่านเป็นพระอรหันต์ที่รจนาและแปลคัมภีร์เป็นภาษาที่ง่ายขึ้น
เราเรียกผู้มีภูมิธรรมสูงระดับนี้ว่า "พระอรรถาจารย์" (ไม่แน่ใจว่าสะกดถูกไหม?
ซึ่งหากมีผู้มีปัญญาสูงๆ มาศึกษาต่อ


ท่านก็จะเขียนแย้งหรือเสริมไว้ เรียกว่า "ฎีกา"
และหากมีคนมาอ่านฎีกาแล้วเขียนเสริมไว้อีก
ก็เรียกว่า "อนุฎีกา"


นี่คือ การศึกษาแนวปริยัติ ที่มีการศึกษาจากพระอาจารย์ที่บรรลุธรรมจริงๆ
ที่เรียบเรียงคัมภีร์ให้ง่ายขึ้น หากต้องการสืบสาวด้วยตนเอง ก็ต้องศึกษา "บาลี"
ก็ต้องดูไตรปิฎกฉบับบาลี แปลเอง ทำความเข้าใจเองเลย

 

ความเห็นบางประการไม่ตรงกัน แต่ ใช่ว่าจะเป็นศัตรูกัน

นับว่า เป็นหนทางของบัณฑิต ซึ่งคนโง่อย่างผมกำลังเดินทาง คงไม่ถือสานะครับ

สาธุ

 

*** นั่นสิครับ อ่านดีๆ ( ถ้าติดในอักษร )

เพราะพระนิพพานไม่ได้อยู่ที่อักษร

 

ใช่ เห็นด้วย ออร่าไม่ใช่จิต
แต่ออร่าเป็นอะไรนะ?
จิตสร้างอะไรขึ้นมา?
ไตรปิฎกอธิบายไว้ไหม?


แล้ววิญญาณละ คือ อะไร? ตัวมันจริงๆ น่ะ
นักวิทยาศาสตร์จะเห็นมันในรูปไหน?

 

โทษทีผมรีบโพสจนไม่ทันดู.. (เอาออกแล้ว)


เห็นด้วยว่าจิตไม่ได้บังคับนะ

 

ต้องเดินทางแล้วครับ พรุ่งนี้เจอกันใหม่

 

ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ สัวสดีครับ...