ศาสนาส่วนมากยกพระเจ้าเป็นใหญ่ ทางพุทธบอกว่านี้คือสังขาร โดยพระราชสุเมธาจารย์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 26 กรกฎาคม 2012.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]
    ระลึกถึงครูที่แท้ หลวงพ่อชา สุภัทโท พระราชสุเมธาจารย์

    "เพราะเราไม่รู้ภาษาที่จะเข้าใจหลวงพ่อชาแสดงธรรม ไม่รู้วินัย แต่เรามีความสามารถอย่างหนึ่งคือ รู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ หลวงพ่อชาให้อยู่กับผู้รู้
    "เพราะเราไม่รู้ภาษาที่จะเข้าใจหลวงพ่อชาแสดงธรรม ไม่รู้วินัย แต่เรามีความสามารถอย่างหนึ่งคือ รู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ หลวงพ่อชาให้อยู่กับผู้รู้ ให้อยู่กับคำบริกรรม พุทโธ จนมีสติสัมปชัญญะ อบรมสมาธิให้เกิดปัญญา"

    16 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นวันครูแล้ว ยังเป็นวันสำคัญยิ่งของชาวไทย เนื่องจากเป็นวันที่พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) ผู้ก่อตั้งวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ละสังขารผ่านมา 20 ปี

    คุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่ท่านได้มอบไว้แก่มนุษยชาติก็คือการเผยแผ่พระธรรมคำสอนจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ผ่านการปฏิบัติมาตลอดชีวิต และจากการพบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ต้นสายพระป่าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ท่านก็นำธรรมะจากครูบาอาจารย์มาปฏิบัติขัดเกลาจนหมดสิ้นกิเลส

    หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอย่างสิ้นเชิง มากไปกว่านั้น ท่านยังอบรมสอนชาวไทยและชาวต่างชาติจนได้บวชเรียนปฏิบัติอย่างเข้มข้นจนสุดทางทุกข์ไม่น้อย

    โรเบิร์ต แจ็คแมน นาวิกโยธินชาวอเมริกันเดินทางมาประจำการที่กรุงเทพในฐานะอาสาสมัคร Peace Corps สอนภาษาอังกฤษให้ทหารไทย และนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรเบิร์ตสนใจโลกตะวันออกมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา โดยจบปริญญาตรีสาขาประวัติศาสตร์ของประเทศจีนและยังได้ปริญญาโท สาขาประวัติศาสตร์ของอินเดีย มาอีกใบด้วย

    หนุ่มแจ็คแมนร่างสูงใหญ่ยังมีความสนใจปฏิบัติธรรม และแสวงหาอาจารย์ที่จะชี้นำเส้นทางแห่งธรรมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้

    ทว่า การหาอาจารย์ทางจิตในสหรัฐเมื่อ 50 ปีที่แล้วไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งตำรับตำราเกี่ยวกับพุทธศาสนา และการวิปัสสนาเรียกว่านับเล่มได้

    หลังจากสำเร็จปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนีย เขาสมัครเป็นอาสาสมัคร peace corp เพื่อไปสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศมาเลเซีย และไปอยู่ที่นั่น 2 ปี ถึงมีโอกาสเดินทางมาประเทศไทย

    โรเบิร์ต เกิดความเบื่อหน่ายในความคิดที่ทำให้เกิดทุกข์ จึงตั้งใจแสวงหาอาจารย์ที่สอนทางพ้นทุกข์ กระทั่งมีเพื่อนฝรั่งแนะนำให้ไปบวชเรียนที่หนองคายจึงเดินทางไปที่วัดศรีสะเกษ จังหวัดหนองคาย โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมปริยัติมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ บรรพชาให้เป็นสามเณรสุเมโธ หมายถึง ผู้มีปัญญา

    วันหนึ่งได้พบกับพระสมหมาย ลูกศิษย์หลวงพ่อชาซึ่งไปธุดงค์ที่หนองคายและได้ฟังเรื่องหลวงพ่อชาจึงขอพระอุปัชฌาย์บวชพระและไปจำพรรษาที่วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานีในเวลาต่อมา

    หลังจากนั้น ชีวิตของพระโรเบิร์ต สุเมโธก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงกว่า 40 พรรษาในร่มกาสาวพัสตร์

    " เราได้ยินชื่อของหลวงพ่อชาเป็นครั้งแรก ในปี 2509 ตอนนั้นเป็นสามเณรอยู่ที่หนองคาย ยังไม่อยากบวชเป็นพระ เราปฏิบัติแบบยุบหนอพองหนอ อาจารย์อาตมาให้อยู่ในกุฏิตลอด ไม่ได้ไปไหน ออกมาเดินจงกรมอย่างเดียว ไม่ต้องพูดกับใครเลย"

    ช่วงชีวิตสามเณร สามเณรสุเมโธได้แต่อยู่ในกุฏิ เฝ้าระวังจิตอยู่กับตัวเองเท่านั้น ไม่มีเพื่อน ไม่มีแม่ ไม่มีพ่อ และต้องอดทนกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น สามเณรสุเมโธมีความรู้สึกว่าต้องการแสวงหาอาจารย์เพื่อขัดเกลาอัตตาของตน

    "พอได้เจอกับพระสมหมายที่ไปธุดงค์ที่นั่น ท่านพูดภาษาอังกฤษได้ อาตมาก็เลยพูดไม่หยุด ท่านพูดถึงหลวงพ่อชาตลอดว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ อาตมาก็อยากพบครูบาอาจารย์จึงไปหาพระอุปัชฌาย์ของอาตมาขอบวชเป็นพระ และขอไปจำพรรษาที่วัดหนองป่าพง อยากจะไปกับพระสมหมาย พระอุปัชฌาย์ก็บอกว่า ดีเหมือนกัน เคยได้ยินชื่อหลวงพ่อชา คงจะดี "

    หลังจากบวชเป็นพระแล้ว พระสุเมโธเดินทางไปวัดหนองป่าพง โดยคิดว่าคงเป็นวัดที่ทันสมัย แต่พอไปถึงกลับพบว่ามีพระอยู่ 17 รูปเท่านั้น ไม่มีไฟฟ้า คนไทยไม่เคยเห็นอเมริกันบวชเป็นพระ

    พระสุเมโธพูดถึงสมัยมาจำวัดอยู่หนองป่าพงเมื่ออายุ 32 ปีว่า รู้สึกผิดหวังในชีวิตมาก วิชาความรู้จากการเรียนปริญญา วิชาการรบจากการเป็นทหารและยังเป็นอะไรหลายอย่าง แต่กลับพบว่า ความรู้ทั้งหลาย ประสบการณ์ทั้งหลายไม่มีประโยชน์เลย

    "มาอยู่ที่นี่ ไม่เคยคิดจะสึกเลย ไปบวชเป็นสามเณรที่หนองคาย มีอาจารย์ที่มีปัญญาช่วยให้เราที่เราจะหลุดพ้นจากความคิดสงสัยในใจเราช่วยให้เรามีสติสัมปชัญญะ มีพระวินัยที่ช่วยขัดเกลากิเลสไปสู่ความพ้นทุกข์ได้"

    "เมื่อไปอยู่วัดหนองป่าพงแล้ว เราไม่แสวงหาวัดอื่น เวลาหลวงพ่อชาสอน เราไม่รู้ความหมาย ความจริงหลวงพ่อชารู้จิตใจเราเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เรามีความโกรธก็รู้ว่า อารมณ์เป็นอย่างนี้ เรากลัวอะไร มีท่านเท่านั้นที่เห็น หลวงพ่อชา รู้วาระจิตของเราได้ "

    หลวงพ่อชาให้บริกรรมพุทโธ เป็นผู้รู้อารมณ์ ไม่ให้เห็นว่าตัวตนรู้อารมณ์ ไม่ใช่สุเมโธโกรธอย่างนี้ ท่านบอกว่า สุเมโธโกรธไม่ได้ แต่รู้อารมณ์โกรธได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่พระหนุ่มชาวอเมริกันไม่เคยคิดอย่างนี้มาก่อน บ่อยครั้งเวลาหลวงพ่อแสดงธรรมแล้ว อดีตนาวิกโยธินฟังไม่รู้เรื่อง ขอกลับกุฏิ แต่กลับถูกปฏิเสธ ภิกษุหนุ่มจึงแย้งไปว่า "ท่านไม่แฟร์เลย" แต่ก็ยอมเพิ่งพิจารณาอารมณ์โกรธของตน เห็นอารมณ์เป็นสังขาร และตระหนักว่า "ยังไม่บรรลุขันติบารมี"

    ในวัฒนธรรมอเมริกัน ไม่มีคนสอนเรื่องความอดทน อยากได้อะไรก็ได้ทันทีจึงเป็นเรื่องที่พรุสุเมโธต้องเรียนรู้อย่างหนัก และได้อาจารย์ดีเลิศอย่างหลวงพ่อชา กำหนดพุทโธให้เห็นอารมณ์อย่างเดียว พระอาจารย์ชาสอนให้รู้อารมณ์ว่าเป็นสังขาร (ความคิดปรุงแต่ง) แล้วให้อดทนต่ออารมณ์นั้นแล้วมันจะดับลงได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ หลวงพ่อชาทำให้พระอเมริกันพิสูจน์อริยสัจสี่ในใจ

    "บางทีหลวงพ่อชาส่งไปอยู่กับพระที่วัดอื่นบ้าง ไปอยู่ที่ไหน เราก็ดูอารมณ์ได้ เพราะไปที่ไหนก็มีอารมณ์ ญาติโยมแบบนี้ สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างนี้ อาหารเป็นอย่างนี้ เรามีอารมณ์แบบนี้ มีความสุข มีความทุกข์ มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไว้ใจมันไม่ได้เลย การรู้อารมณ์มากับการมีสติสัมปชัญญะปัจจุบันตลอด เอาปัญญาอบรมสมาธิให้เห็นทุกข์"

    พระพุทธเจ้าสอนอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ซึ่งเป็นกระบวนการต่างไปจากโลกทัศน์ของชาวตะวันตก คำสอนที่บอกว่า ความทุกข์มีอยู่ สร้างความสงสัยให้คนฝรั่งว่า ทำไมพระพุทธเจ้าสอนเรื่องความทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครชอบ ไม่มีใครอยากมีความทุกข์ อยากมีความสุขกันทั้งนั้น เช่นเดียวกับที่หลวงพ่อชาขยายความให้รู้ว่าโลกนี้ มีแต่ขันธ์ 5 เป็นสังขาร เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทำให้พระสุเมโธเริ่มเปรียบเทียบกับศาสนาต่างๆ

    "ทุกศาสนามีพระเจ้าเป็นใหญ่ แต่พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า ไม่เป็นศาสนาอะไร ไม่มีพระเจ้าเลย แล้วยังยกความทุกข์มาเป็นอริยสัจ ให้เรายอมรับทุกข์มีอยู่ในจิตใจของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเรื่องสังขาร หูอยากฟังเสียไพเราะ ไม่อยากฟังเสียงไม่เพราะ พระพุทธเจ้าบอกว่า นี่แหละไม่อยากก็ทุกข์ เป็นอารมณ์ทุกข์ภายใน เป็นสังขารที่เราปรุงแต่งขึ้นเอง และที่สำคัญ มันไม่เที่ยง เอาปัญญามาอบรมจิตใจของเราได้"

    หลังจากได้มาอยู่กับหลวงพ่อชา พระฝรั่งก็เข้าใจตรงนี้ได้

    "หลวงพ่อชาบอกว่า พุทโธ ผู้รู้ ไม่ได้เห็นอารมณ์ แต่อยู่กับรู้ ตัณหา ความอยากได้ อยากมีอยากเป็น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ผู้รู้จะเห็นการเกิดดับของตัณหาได้ ตัณหาเห็นตัณหาไม่ได้"

    พระสุเมโธ เล่าย้อนถึงช่วงที่อยู่รับฟังคำเสนอจากอาจารย์ชาต่อไปว่า "หลวงพ่อตั้งชื่อว่าสุเมโธ เรารู้ความหมายด้วยว่า ผู้มีปัญญาดี เปลี่ยนจากโรเบิร์ต เป็นสุเมโธ ก็ไม่ขัดข้อง เพราะเบื่อโรเบิร์ตแล้ว เป็นสุเมโธ แต่ถ้าเราไปยึดถือโรเบิร์ต หรือ สุเมโธก็ดี เราก็ไม่เห็นเกิดดับของทุกข์ เราก็หลงกับคำว่าสุเมโธได้ เวลาหลวงพ่อชาเทศน์ว่า ไม่ได้เป็นผู้ชาย ไม่ได้เป็นผู้หญิง ไม่ได้เป็นฝรั่ง ไม่ได้เป็นไทย ไม่ได้เป็นอะไร เราก็ขำ ว่าหลวงพ่อชาไม่เป็นผู้ชายหรือ เพราะเราเห็นว่าเราเป็นผู้ชายจริงๆ ไม่สงสัยเลย แต่เมื่อเราพิจารณาอย่างที่หลวงพ่อพูดบ่อยๆ เวลาเราเกิดในอเมริกา เราไม่มีชื่อนะ เรามีรูปร่างเป็นชาย แต่เราไม่รู้ว่าเราเป็นผู้ชายนะ แต่แม่เป็นคนบอกว่าเราเป็นผู้ชาย เด็กทารกไม่มีปัญญาอะไร ในเรื่องวัฒนธรรม ไม่มีชื่อ ไม่มีเชื้อชาติ"

    หลวงพ่อชาเปรียบเทียบให้หวนกลับไปทบทวนตอนเกิดที่ยังไม่มีชาติ ไม่มีภาษา ไปอยู่กับจิตเดิม ไม่มีสังขารเกิดขึ้นที่จะยึดถือตัวเราเป็นตัวเป็นตนได้ ให้พิจารณาได้ จิตใจบริสุทธิ์ จิตใจไม่มีรัก ไม่มีรังเกียจ เป็นจิตสงบ เป็นจิตที่มีปัญญา นำทางอบรมพวกที่มีอวิชชา มีความสงสัย มีความทุกข์ในปัจจุบันได้ เอาพุทโธเป็นหลัก อยู่กับคำบริกรรมพุทโธ ผู้รู้ เมื่อสุเมโธเกิดขึ้นในจิตใจก็ให้ผู้รู้กำกับ

    "เวลาเรารู้ว่าเราเป็นผู้ชาย ผู้รู้บอกว่า จิตเดิมไม่มีเพศ ไม่มีชาย ไม่มีหญิง ความยึดมั่นถือมั่น ทำให้เป็นนั่นเป็นนี่ เวลาปล่อยวางสังขาร ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น นี่คือทางพ้นทุกข์ไปจากจิตใจเราด้วย"
    สู่อนัตตา...

    ในวาระครบรอบละสังขารผ่านมา 20 ปีของหลวงพ่อชา สุภัทโท ภิกษุหนุ่มผู้มีปัญญาล่วงเข้าสู่วัย 77 เดินทางกลับมาร่วมงานที่วัดหนองป่าพงประจำปี หวนระลึกถึงหลวงพ่อชา และมีอารมณ์เกิดขึ้นว่า กตัญญูกตเวที นี่เป็นอารมณ์ที่เป็นประโยชน์มาก

    "ท่านยอมรับเราเป็นลูกศิษย์ เป็นฝรั่งด้วย สอนลำบาก ตัวใหญ่ด้วย หลวงพ่อชาไม่เคยกลัวอาตมาสักนิดเดียว วันหนึ่ง อาตมากำลังนั่งคิด เรามองดูหลวงพ่อชา ตัวเล็กๆ นะ แต่ในใจเรารู้สึกว่า หลวงพ่อชาใหญ่กว่าเรา ท่านเป็นพระผู้ใหญ่จริงๆ รูปร่างไม่ใหญ่ แต่เรามีความรู้สึกว่า ท่านใหญ่ ท่านเป็นผู้มีปัญญา ปัญญาไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรที่กำจัดได้ มีแต่ร่างกายและจิตใจของเรามีอวิชชาไม่รู้เรื่องอะไรเลย"

    "หลงอารมณ์เรื่อยๆ ไป เป็นทาสอารมณ์ หลงแต่โลกียธรรมตลอด ไม่เคยสงสัยสิ่งเหล่านี้ คนชื่นชมก็ยินดี คนอิจฉาเราก็ภูมิใจ คนโกรธ เราก็โมโหได้ ถูกลอตเตอรี่เป็นมหาเศรษฐีเราก็ยินดี พอเศรษฐกิจตกต่ำ ก็อยากฆ่าตัวตาย อารมณ์มันเปลี่ยนแปลงตลอดตามความคิดความเห็นตลอดเวลา แต่สิ่งที่จะอาศัยที่จะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสังขาร คือ สติสัมปชัญญะ และปัญญา

    พระสุเมโธเทศน์ว่า ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้ายกสติสัมปชัญญะ ปัญญาเป็นใหญ่ ฝรั่งไม่เคยยกสติอย่างนี้เป็นใหญ่ของศาสนา ไม่เคยเห็นในปรัชญาของตะวันตกที่พูดถึงเรื่องสติเป็นใหญ่

    "ศาสนาส่วนมากยกพระเจ้าเป็นใหญ่ พระเจ้าเป็นผู้ที่คิดได้ คิดสูงๆ ถ้าเราคิดมากๆ อาจเป็นพระเจ้า แต่ถ้าเราคิดอย่างนี้ ทางพุทธบอกว่านี้คือสังขาร เราจะบังคับสังขารให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ แต่ผู้รู้สังขารไม่เป็นสังขารแล้ว เป็นผู้อยู่เหนือสังขารที่จะรู้สังขาร "

    "ที่สำคัญคือ อย่าเชื่อที่อาตมาสอน หลวงพ่อชาบอกว่า อย่าไปเชื่อ ให้สงสัยแล้วพิจารณาเอง"

    ท่านบอกว่า นี่เป็นปัญญาของพระพุทธเจ้า พร้อมยกตอนที่ท่านปรินิพพาน พระอานนท์สงสัย พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วไม่มีคนสอน ท่านบอกว่ามีพระธรรมคำสอน พระวินัย ให้เคารพพระวินัย

    "บางทีเราอ่านแล้ว ทำไมมันเยอะ หลวงพ่อชา เคารพพระวินัยมาก ท่านทำให้เราเห็นอารมณ์ของความพอใจไม่พอใจ และไม่ให้กิเลสตัณหามันนำทางเราไปอีก"

    สำหรับอนาคตของประเทศไทย พระฝรั่งร่างใหญ่พูดไทยชัดเปรี๊ยะบอกว่า "เมืองไทยจะเป็นอย่างไร ต่อไปจะเป็นอย่างไร เราเป็นห่วงอนาคต สังคมไทย รัฐบาลไทย เศรษฐกิจไทย จะเปลี่ยนไปอย่างที่ชอบ หรือที่เราไม่ต้องการ แต่ผู้รู้ เห็นสังขาร เห็นความห่วง เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เราก็มีความสบายใจ เราพูดไม่ดี ทำไม่ดี เกิดความสงสัย เป็นคนบาป โกหกอะไรก็ได้ แต่ความจริง เราเห็นเข้าไปในปัจจุบัน ความทรงจำของเรา อดีต อนาคตเป็นเรื่องสังขารทั้งนั้น ปัจจุบันธรรมเป็นเรื่องของทุกข์ การดับทุกข์ ให้เราพิจารณาในใจเรา"

    คัดลอกมาจาก http://www.bangkokbiznews.com/home/...ที่แท้หลวงพ่อชา-สุภัทโทพระราชสุเมธาจารย์.html
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๑ หน้าที่ ๗๙/๒๔๐
    อจินติตสูตร
    [๗๗]ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด
    เมื่อบุคคลคิดพึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็นไฉน
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑
    ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑
    วิบากแห่งกรรม ๑
    ความคิดเรื่องโลก ๑
    ดูกรภิกษุทั้งหลายอจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน ฯ
     
  3. where?

    where? เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    299
    ค่าพลัง:
    +883
    มนุษย์ของพระเจ้า กับ คนของกิเลส

    “ มนุษย์ของพระเจ้า “ “ คนของกิเลส “ เพียงแต่ได้ยินหัวข้อก็เข้าใจได้ บางคนอาจจะทายได้ว่า มีความมุ่งหมายอย่างไร มนุษย์ของพระเจ้า คนของกิเลส บางคนก็ยังจะสงสัยว่าทำไมไปแยกมนุษย์ออกเสียจากคน หรือแยกคนออกไปเสียจากมนุษย์ เอามนุษย์ไปไว้ฝ่ายพระเจ้า เอาคนมาไว้ฝ่ายกิเลสหรือพญามาร ถ้าเป็นมนุษย์ก็เป็นคนของพระเจ้า ถ้าเป็นคนก็เป็นของกิเลสหรือพญามาร ขอให้ท่านทั้งหลายฟังแล้วก็พิจารณาดูโดยหลักกว้างๆ ให้เข้าใจคำว่า มนุษย์กับคน ปัญหาใหญ่ในโลกนี้ก็อยู่ตรงที่ไม่ค่อยจะเป็นมนุษย์กันโดยมาก ไปเป็นเสียแต่เพียงคน เราจึงแยก มนุษย์เป็นของพระเจ้า คนเป็นของกิเลส

    สำหรับมนุษย์กับคน ขอให้สังเกตดูเป็นข้อแรกก่อนว่า ประชาชนในโลกทั้งหมดหรือว่าคนในโลกทั้งหมดนี้ มีทั้งชนิดที่เป็นมนุษย์ของพระเจ้าและมีทั้งชนิดที่เป็นคนของกิเลส ขอให้กวาดตาหรือส่องใจไปดูทั่วๆ โลก ก็จะพบว่าในโลกนี้มีทั้งมนุษย์ของพระเจ้าและมีทั้งคนของกิเลสแล้วอันไหนจะมากกว่ากัน ท่านทั้งหลายก็จะทายได้เอง แล้วยังจะต้องสังเกตดูว่า บุคคลบางคนนี้ เป็นมนุษย์ของพระเจ้าอย่างถาวรอย่างแท้จริง แต่บางคนก็ตลบตะแลงกลับไปกลับมา บางคนเดี๋ยวเป็นมนุษย์ของพระเจ้า เดี๋ยวเป็นคนของกิเลส แล้วก็ยังมีบางคน หรือบางพวกเป็นคนของกิเลสอย่างถาวร ไม่เคยเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเอาเสียเลย ลองส่องใจดูไปทั่วๆ โลกแม้ที่เราไม่เคยเห็น เราก็ยังเชื่อได้ว่าคนบางพวกในโลกนี้เป็นคนของพระเจ้าอย่างถาวร คนบางคนในโลกนี้เป้นคนของกิเลสอย่างถาวร แล้วบุคคลบางพวกเดี๋ยวเป็นมนุษย์ของพระเจ้า เดี๋ยวเป็นคนของกิเลสกลับไปกลับมา แล้วพวกไหนจะมากที่สุด บางทีจะจัดด้วยตัวเองเสียได้เลยว่า เราเองนี่เป็นคนชนิดไหนในโลกนี้
    <O[​IMG]
    ทีนี้จะขอร้องให้ดูให้ละเอียดไปกว่านั้น มันจะได้ใกล้จุดของปัญหามากขึ้น คือว่าในคนคนเดียว ในบุคคลเพียงคนเดียวคือตัวเราเองหรือใครก็ตามเพียงคนเดียว ก็ยังมีทั้ง ความเป็นมนุษย์ของพระเจ้า และ ความเป็นคนของกิเลส บางทีในวันหนึ่งๆ วันเดียวเท่านั้น เราเป็นคนของกิเลสตั้งหลายๆ หน แล้วเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเพียงไม่กี่หน พูดอย่างนี้ท่านก็พอจะเข้าใจรางๆ ว่าเราเองนี่ เวลาไหนชั่วโมงไหนเป็นคนของกิเลส ชั่วโมงไหนเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ชนิดไหนมันเหนียวแน่นกว่ากัน คือความเป็นมนุษย์ของพระเจ้าของเรานี้เหนียวแน่น หรือว่าความเป็นคนของกิเลสมันเหนียวแน่น หมายความว่าเราเกิดมาแล้วจนบัดนี้ มันสะสมอะไรเข้าไว้มาก สะสมอย่างไหนเข้าไว้มาก อันนั้นแหล่ะถึงจะเป็นสิ่งที่เหนียวแน่นมาก<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    เราดูให้ดี เราจะเห็นได้ว่า เวลาที่เราเป็นมนุษย์ของพระเจ้านั้น น่าดู เวลาที่เราเป็นคนของกิเลสนั้น มันไม่น่าดู แล้วคนๆ หนึ่งก็ยังเป็นสองอย่างสลับกันอยู่อย่างนี้ พอดีมันไปเข้ารูปกันกับคำพูดที่พูดกันอยู่ว่า “ คุ้มดีคุ้มร้าย “ เราพูดว่าคุ้มดีคุ้มร้าย เราเป็นผู้พูดเอง แล้วก็รู้สึกว่าเป็นคำดูหมิ่นผู้ที่ฟัง แต่แล้วทำไมไม่ย้อนมาดูตัวเองดูบ้าง ว่าความคุ้มดีคุ้มร้ายนั่นแหล่ะมันได้แก่ตัวเรา เมื่อใดเราเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็เป็นคนคุ้มดี เมื่อใดเราเป็นคนของกิเลสก็เป็นคนคุ้มร้าย เราเองคนเดียวก็เป็นคนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย แล้วแต่ว่าเรากำลังเป็นอะไร นี่ก็คือความคุ้มดีคุ้มร้ายของคนเรา วันหนึ่งๆ เดี๋ยวเป็นคนของกิเลสเดี๋ยวเป็นมนุษย์ของพระเจ้า เรียกว่าคุ้มดีคุ้มร้ายนี้ถูกแล้ว ไม่เป็นการแกล้งด่า แกล้งว่าอะไร แต่แล้วคนก็ไม่ค่อยจะยอมรับ เอาให้เป็นเรื่องของคนบ้าๆ บอๆ คุ้มดีคุ้มร้าย อย่างนั้นมันไม่มีปัญหาอะไร มันไม่มีเรื่องมาก คนที่เรียกตัวเองว่าปกตินี่แหล่ะ มันยังมีคุ้มดีคุ้มร้ายวันหนึ่งหลายๆ หน ถ้ามนุษย์เราแก้ปัญหาข้อนี้ได้ โลกนี้ก็จะหมดปัญหา เพราะฉะนั้น ขอให้มองเห็นกันเสียให้เป็นที่ชัดเจนว่า โรคคุ้มดีคุ้มร้ายนี้กำลังเป็นกันอยู่ทุกคนไม่ยกเว้นใครผู้ใด จะเป็นชาวไร่ชาวนาตาสีตาสา เป็นพ่อค้า ข้าราชการ เป็นนักการเมือง เป็นพระราชามหากษัตริย์พระเจ้าก็เป็นคนคุ้มดี กระทั่งพระจักรพรรดิ กระทั่งเทวดาในเทวโลก<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]
    เกี่ยวกับคนเราก็ลองอ่านดูประวัติศาสตร์ แม้คนที่เป็นพระมหาจักรพรรดิในโลกนี้ ก็ยังคุ้มดีคุ้มร้าย เดี๋ยวก็มีจิตใจขุ่นมัวหม่นหมองอาละวาด เดี๋ยวก็มีใจคนปกติเฉลียวฉลาด เป็นถึงจักรพรรดิแล้วยังเป็นอย่างนี้ กระทั่งเป็นเทวดาในเทวโลกก็ยังหม่นหมองคุ้มดีคุ้มร้าย เดี๋ยวกลัวตาย เดี๋ยวไม่กลัวตาย เดี๋ยวได้อย่างใจ เดี๋ยวไม่ได้ดังใจ ก็มีอารมณ์เปลี่ยนไปเป็นเรื่องคุ้มดีคุ้มร้าย นี้ก็เรียกว่าบางคราวคนเหล่านั้นก็เป็นคนของกิเลสหรือเป็นสัตว์ของกิเลส และบางคราวก็เป็นมนุษย์ของพระเจ้าด้วยเหมือนกัน ดังนั้นขอให้ถือว่า โรคคุ้มดีคุ้มร้ายนี้เป็นกันทุกคน คือเดี๋ยวเป็นมนุษย์ เดี๋ยวเป็นคน สลับกันไปอย่างนี้ ไม่ยกเว้นใครผู้ใดเลย ถ้ายังเป็นปุถุชนธรรมดาสามัญ หรือยังไม่เป็นพระอรหันต์อยู่เพียงใดแล้วมันก็ต้องมีโรคคุ้มดีคุ้มร้ายสลับกันอยู่อย่างนี้เสมอไป นั่นแหล่ะขอให้เข้าใจ ไปพิจารณาดูเอาเถิดว่าหัวข้อของเราสำหรับบรรยายในวันนี้คือ มนุษย์ของพระเจ้า กับคนของกิเลส นี้มันเป็นเรื่องอะไร เป็นเรื่องของใคร ที่ไหน ถ้ามันไม่ใช่เป็นเรื่องของเราโดยตรง และเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันทุกๆ วัน จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ควรเอามาพูดกันอย่างยิ่งหรือไม่ นี่ก็ขอให้ลองคิดดู<O[​IMG]</O[​IMG]

    เดี๋ยวนี้อาตมายืนยันว่า เรากำลังเป็นโรคคุ้มดีคุ้มร้าย เดี๋ยวเป็นมนุษย์ เดี๋ยวเป็นคนกันอยู่อย่างนี้ และถ้าเมื่อใดในโลกนี้มีกันแต่มนุษย์ของพระเจ้า ไม่มีคนของกิเลสแล้วมันจะเป็นอย่างไร ถ้าในโลกนี้มีกันแต่มนุษย์ของพระเจ้า โลกนี้ก็เป็นโลกพระศรีอาริย์ขึ้นมาทันที โลกพระศรีอาริยเมตไตรยจะเกิดขึ้นมาทันทีในขณะที่คนเป็นมนุษย์ของพระเจ้ากัน เลิกเป็นคนของกิเลสกันเสียที ถ้าจะพูดอย่างภาษาศาสนาอื่นก็มีพูดได้ต่างๆ กัน แต่ใจความมันเหมือนกัน พูดอย่างคริสเตียนก็จะพูดว่า แผ่นดินพระเจ้าปรากฏขึ้นมาทันทีแล้ว พูดอย่างพวกเราก็ว่า โลกพระศรีอาริย์มาถึงแล้ว ถึงศาสนาไหนๆ ก็มีความหมายตรงกันที่ว่าสภาพหรือภาวะที่ปรารถนากันอย่างยิ่งที่สุดนั้นได้มาถึงเข้าแล้ว โดยที่มนุษย์เป็นมนุษย์กันอย่างถูกต้อง เป็นมนุษย์ของพระเจ้าแล้วก็ช่วยกันสร้างโลกพระศรีอาริย์หรือแผ่นดินพระเจ้าขึ้นมาในโลกนี้ได้ทันแก่เวลา ดังนั้น เป็นอันว่าเรื่องการเป็นมนุษย์ของพระเจ้านี้ เป็นเรื่องที่เราควรจะสนใจกันอย่างเต็มที่ จึงได้เอามาพูดเพื่อให้ได้สนใจกันอย่างเต็มที่ ในการที่จะทำตนให้เป็นมนุษย์ของพระเจ้า แทนที่จะเป็นคนของกิเลส

    เอาล่ะทีนี้เราก็จะได้พูดกันต่อไปโดยหัวข้อที่ว่า “ มนุษย์ “ กับ “ คน “ นี้มันต่างกันอย่างไรให้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีบางคนกล่าวหาว่า อาตมาว่าเอาเองว่ามนุษย์เป็นอย่างนั้น คนเป็นอย่างนี้ ที่แท้มนุษย์กับคนนั้นเป็นของสิ่งเดียวกันหรือย่างเดียวกัน นั้นมันก็ถูกต้องแล้ว เป็นความถูกต้อง อย่างลูกเด็กๆ ในโรงเรียนเรียนหนังสือ ครูก็สอนว่ามนุษย์แปลว่าคน นร ก็แปลว่าคน ชน ก็แปลว่าคนไม่เห็นมันต่างอะไรกัน นั้นเป็นเรื่องของลูกเด็กๆ ที่เรียนหนังสือแรกเริ่มเรียน ส่วนเรื่องของธรรมะ ทางภาษาศาสนา ทางภาษาปรัชญา หรืออะไรก็ตามที่มันสูงไปกว่าลูกเด็กๆ แล้ว เราก็ให้ความหมายต่างๆ กัน สำหรับคำที่เคยเข้าใจว่าเป็นคำเดียวกัน หรือหมายถึงสิ่งเดียวกัน ดังนั้น อาตมาจึงแนะให้สังเกตว่า คำว่า “ มนุษย์ “ กับคำว่า “ คน “ นี้มันต่างกัน ทั้งโดยตัวหนังสือและทั้งโดยความหมาย<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ถ้าว่ากันตามตัวหนังสือ คำว่า “ มนุษย์ “ นิยมแปลกันว่า มีใจสูง หรือว่าเป็น เหล่ากอของผู้ที่มีใจสูง มนุษย์แปลว่าใจสูงก็ได้ หมายความว่าเป็นสัตว์ที่มีใจสูง หรือจะแปลว่าเทือกเถาเหล่ากอของผู้ที่มีใจสูงก็ได้ มันหมายถึงว่าเมื่อเป็นเทือกเถาเหล่ากอของผู้ที่มีใจสูง มันก็มีใจสูงอยู่นั่นเอง ทีนี้ส่วนคำว่า “ คน “ นี่ถือเอาความหมายของคำว่า “ ชน “ เป็นหลัก คำว่าชนนี้แปลว่าเกิดมา มีชิวิตเกิดขึ้นมา หรือสักแต่ว่าเกิดมาก็เป็นคน ส่วนมนุษย์นั้นมีคำว่า มนะ ที่แปลว่าใจ อุสสะ ที่แปลว่าสูงมันจึงต่างกัน แม้โดยตัวหนังสือ แต่เรามาสอนกันอย่างหวัดๆ ลวกๆ แปลว่าคนเหมือนกันหมดในภาษาไทย มนุษย์ก็แปลว่าคน ชนก็แปลว่าคน ประชาชนก็แปลว่าคน บุคคลก็แปลว่าคน นร ก็แปลว่าคน อะไรก็แปลว่าคน มันก็เลยทำให้ไม่ฉลาด ไม่ฉลาดก็หมายความว่ายังโง่อยู่บางอย่าง ฉะนั้น ควรจะถือเอาประโยชน์จากคำพูดเหล่านี้ ในลักษณะที่มันจะช่วยให้เราได้รับประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้นไป จึงได้แบ่ง “ มนุษย์ “ ออกไปเสียจาก “ คน “ หรือแบ่ง “ คน “ ออกไปเสียจาก “ มนุษย์ “ ว่ามนุษย์มีใจสูง ว่าคนนี้สักแต่ว่าเกิดมา นี้เรียกว่าตามตัวหนังสือมันเป็นอย่างนี้<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ตัวหนังสือมันก็ยังไม่แน่นอน เราเอาตัวจริง เอาความจริง คืออรรถะหรือความหมายกันอีกชั้นหนึ่ง คำว่ามนุษย์ที่แปลว่ามีใจสูงนั้น มันหมายความว่าเป็นสัตว์ที่มีโพธิ คือ มีปัญญา มีสติปัญญา แล้วกำลังงอกงามไปตามอำนาจ สิ่งที่เรียกว่าโพธิ นี้แหล่ะคือมนุษย์ มนุษย์มีโพธิกำลังงอกงามไปตามอำนาจของโพธิ ส่วนคนนั้นหนาอยู่ด้วยกิเลส แล้วกำลังงอกงามไปตามอำนาจของกิเลส พวกหนึ่งงอกงามไปตามอำนาจของโพธิ พวกหนึ่งงอกงามไปตามอำนาจของกิเลสแล้ว มันจะเหมือนกันได้อย่างไร ก็เป็นที่เข้าใจได้ไม่ยาก แก่ทุกๆ คนแล้ว ทีนี้เราก็สรุปเอาใจความสั้นๆ ว่า มนุษย์นี้แปลว่ามีใจสูงสูงอยู่เพราะมีโพธิแล้วเป็นไปตามอำนาจของโพธิ อย่างนี้เรียกว่า “ มนุษย์ “ ส่วนคนธรรมดาที่ไม่ใช่มนุษย์นั้นมันสักแต่ว่าเกิดมาแล้วหนาขึ้นด้วยกิเลส แล้วเป็นไปตามอำนาจของกิเลส ดังนั้นโพธินั่นแหล่ะเป็นเครื่องทำความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับคน ถ้าเป็นมนุษย์ก็มีโพธิ ถ้าเป็นคนยังไม่ต้องมีโพธิก็ได้<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    เราดูกันต่อไปอีกว่าสิ่งที่เรียกว่า “ โพธิ “ นี้ คืออะไรกันแน่ คำว่าโพธิ ตัวหนังสือแปลว่าความรู้ หมายถึงสติปัญญาที่จะช่วยให้รอดได้ และถือกันว่าสิ่งที่เรียกว่าโพธินี้เป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของจิตใจ คือว่าจิตใจทุกๆ ชนิดจะมีเชื้อของความเป็นโพธิให้มาด้วยเสร็จ คืออย่างน้อยมันก็รู้จักอะไรตามที่ควรจะรู้จักในขั้นแรกแล้วมันจะค่อยๆ เจริญงอกงามไปจนรู้จักสิ่งที่ยากที่ลึกที่สูงขึ้นไป จึงขอให้ยอมรับกันเสียทุกคนว่า เรานั้นธรรมชาติได้ให้เชื้อแห่งโพธิมาแล้วทั้งนั้น แต่เราไม่ปลูกไม่ฝังหรือไม่เพาะหว่านให้มันเจริญงอกงาม มันก็เลยเป็นช่องว่างเป็นที่สำหรับกิเลสอันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามจะงอกงาม เราเกิดมาแทนที่โพธิจะงอกงามกลับหดหู่ลงไป ให้ช่องแก่กิเลสที่จะงอกงามเจริญยิ่งขึ้น เราจึงกลายเป็นไม่มีโพธิ ทั้งที่มีเชื้อแห่งโพธิ ทั้งที่ธรรมชาติได้มอบหมายให้มาเสร็จแล้ว ส่วนโพธิแท้ๆ นั้นมันเป็นเรื่องของสติปัญญา ที่ได้เชื้อมาแล้วจะต้องอบรมด้วยการศึกษา ด้วยการประพฤติ กระทำให้ให้เจนจัดในสิ่งเหล่านั้น นี่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ต้องอบรมขึ้นมา นอกจากจะต้องอบรมขึ้นมาแล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ทำได้ยากด้วย อบรมได้โดยยาก แล้วมันยังมีลักษณะฝืนกระแสโลก มันไม่คล่องหรือสะดวก หรือลื่นไปตามกระแสโลก มันฝืนกระแสโลก เพราะว่าโลกนี้มันต้องการแต่จะไปในทางที่ง่าย คือตกไปในทางต่ำ ส่วนสิ่งนี้มันก็ฝืนกระแสโลก คือต้องการจะไปในทางสูงที่เราเรียกกันว่าดี

    นี่แหล่ะ สติปัญญาหรือที่เรียกว่าโพธินั้นมีลักษณะอย่างนี้ คือต้องอบรมขึ้นมา แล้วก็ต้องทำโดยยากลำบาก แล้วก็ต้องยอมฝืนกระแสโลก ถ้าเราจะเอาแต่ง่ายๆ เข้าว่าแล้ว จะเอาตามชอบใจ ตามสะดวกสบายของกิเลสแล้ว ไม่มีช่องทางที่ต้นโพธินี้จะเจริญงอกงามได้ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    สิ่งที่เรียกว่าโพธิ หรือสติปัญญา นี่แหล่ะพอที่จะเรียกได้ว่าเป็น “ พระเจ้า “ ที่จะช่วยมนุษย์ให้มีความเป็นมนุษย์ ให้ถึงขีดความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ ถ้าปราศจากสิ่งนี้ คือโพธินี้แล้ว ก็เหมือนกับไม่มีพระเจ้าที่จะมาช่วยให้มนุษย์งอกงามถึงความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ มนุษย์จะเป็นมนุษย์ของพระเจ้าได้ก็เพราะมีสิ่งเรียกว่า “ โพธิ “ ฉะนั้นเราจึงสรุปความสำคัญว่า โพธินี้คือสติปัญญาที่จะต้องอบรมขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ทวนกระแสโลกเรื่อยไปจนกว่าจะถึงที่สุด นั่นแหล่ะคือสิ่งที่จะช่วยมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ ในฐานะที่เป็นพระเจ้าผู้ช่วยมนุษย์<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ทีนี้ดูถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามคือกิเลส ว่าคืออะไร ถ้าจะจำกัดความกันให้ง่ายๆ สำหรับคนสมัยนี้ถือเป็นหลักโดยสะดวกก็อยากจะพูดว่า กิเลสนั้นคือความโง่ต่ออารมณ์ ที่ชิงโอกาสวิวัฒนาการแทนโพธิเสียเรื่อยๆ มาตั้งแต่เกิด กิลสนี้คือความโง่ต่ออารมณ์ เป็นความโง่ที่มันชิงโอกาสของโพธิเสียเรื่อย จึงเข้ามาอยู่แทน แล้วมันก็วิวัฒนาการเจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นมาแทนโพธิ แล้วเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแรกเกิดมาจากพ่อแม่ นี้เป็นคำจำกัดความสั้นๆ แล้ว

    คำอธิบายก็พอจะมองเห็นได้ว่า พอเราเกิดมาในโลกนี้จากท้องแม่ สิ่งแวดล้อมที่มันแวดล้อมตัวเรานี้ล้วนแต่เข้ามาทำให้เราโง่ โง่ต่อความจริงที่จะให้เป็นมนุษย์ ที่อาจจะดับทุกข์ได้ สิ่งที่สวยงามก็มาล่อเราให้หลงใหลในความสวยงาม สิ่งที่ไพเราะก็มาล่อให้เราหลงใหลในความไพเราะ สิ่งที่หอมหวนก็มาล่อให้เป็นคนหลงใหลไปในสิ่งที่หอมหวน สิ่งที่เอร็ดอร่อยทางลิ้นก็ล่อให้คนหวังแต่เรื่องกิน เรื่องอร่อยทางลิ้น แล้วความเอร็ดอร่อยทางผิวหนัง สัมผัสทางผิวเนื้อนี้ก็มีเพิ่มมากขึ้นที่จะมาล่อให้เราหลงต่อสัมผัสทางผิว แล้วก็ความรู้ที่ผิดๆ โดยไม่รู้สึกตัวก็มีมาล่อให้เราหลงไปอย่างผิดๆ หลงว่าพ่อของกูแม่ของกู บ้านของกู เงินของกู เด็กเล็กๆ ก็พูดเป็นทั้งนั้น ว่าอะรๆ ก็ของกู<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    นี้แปลว่าถูกแวดล้อม หรือถูกหลอกถูกล่อ ให้เกิดความโง่ต่ออารมณ์ทุกๆ ชนิดที่เข้ามาแวดล้อมตน ไม่มีใครสอนเด็กๆ ลูกเล็กๆ ว่าอย่าไปหลงเรื่องรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส แล้วอย่าไปถือว่าอะไรเป็นตัวกูเป็นของกู มีแต่จะสอนให้หลงไปในเรื่องตัวกูของกู เรื่องเอร็ดอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางผิวหนังอะไรทั้งนั้น นี่ก็เพราะว่าพ่อแม่หรือะไรก็โง่มาก่อนแล้วและกำลังโง่อยู่อย่างนั้น ก็สอนลูกให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ทีนี้ลูกเกิดมาก็ได้รับการแวดล้อม ที่ทำให้เกิดความโง่ต่ออารมณ์ต่างๆ ที่มาแวดล้อมตัว แล้วความโง่นี้ได้โอกาส ก็ชิงโอกาสของสติปัญญาไว้ได้หมด ฉะนั้นความโง่ก็เจริญ โพธิหรือสติปัญญาก็ถอยไป<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ตรงนี้ต้องสังเกตดูให้ดีๆ ว่า การที่เราให้เด็กเล็กๆ เรียนหนังสือหนังหา เรียนวิชาความรู้ กระทั่งเรียนปรัชญา เรียนวิชาสูงสุดของมนุษย์นี้มันกลับกลายเป็นทำให้โง่ คือโง่ไปในทางที่จะยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวกู – ของกูทั้งนั้น วิชาที่เขาสอนกันอยู่ในโลกสมัยนี้ นับแต่ชั้นอนุบาลขึ้นไปถึงขั้นมหาวิทยาลัยล้วนแต่ทำให้โง่เรื่องตัวกู – ของกู คือยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกู – ของกูทั้งนั้น ยิ่งเรียนก็ยิ่งโง่ในทางนี้ คือยิ่งฉลาดในการที่จะโง่ในทางนี้ ฉลาดแต่ที่จะโง่ในทางนี้เรื่อยไป มนุษย์จึงเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไม่ได้ กลายเป็นคนของกิเลส ก็เลยได้รบราฆ่าฟันเบียดเบียนกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง ใต้ดินบนดิน จนกระทั่งวันนี้มนุษย์ก็ยังมีจิตใจทารุณโหดร้าย เป็นทาสของอารมณ์ หลงในอารมณ์ มีเรื่องตัวกู – ของกูหนาแน่นขึ้นทุกทีนี่แหล่ะคือคำอธิบายหรือความหมายของคำว่ากิเลสคืออะไร
    <O[​IMG]</O[​IMG]</O[​IMG]
    โดยสรุปความ คำว่ากิเลสคือความโง่ต่ออารมณ์ ที่ชิงโอกาสของโพธิมาวิวัฒนาการเสียเต็มปรี่ในจิตใจดังนี้เรื่อยๆ มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แล้วผลก็ดูเอาเองว่ามันเป็นอย่างไร ทีนี้ถ้าจะพูดกันอย่างบุคลาธิษฐานก็กล่าวได้อีกว่ากิเลสนั้นคือพญามารหรือซาตาน แล้วแต่จะเรียกโดยคำภาษาไหน กิเลสนั้นถ้าพูดโดยสมมติก็คือพญามาร อย่าไปดูพญามารที่อื่น มารอย่างอื่นไม่ร้ายเท่าพญามารคือกิเลสชนิดที่กล่าวมาแล้ว ว่าคือความโง่ทางอารมณ์ที่ชิงโอกาสวิวัฒนาการเรื่อยมาจนบัดนี้<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]
    มารนี้เราจะมองดูกันได้ใน 2 แง่ ข้อนี้อาจจะผิดแปลกแตกต่างไปจากที่ท่านทั้งหลายเคยฟังมาแล้วก็ได้ คือท่านมักจะมองสิ่งที่เรียกว่ามารหรือกิเลสกันแต่ในแง่ร้ายด้านเดียว ถูกแล้วมันเป็นเรื่องร้าย หรือทำให้เกิดความทุกข์หรือทำให้ตายจากความดี นี้เรียกว่า “ มาร “ แต่ถ้าเราจะมองในมุกกลับ ที่จะแก้ลำมันให้ได้ก็จะต้องมองว่า มารนี้มันเป็นสิ่งที่ควรจะมี หรือว่าถ้ามีพระเจ้าที่สร้างอะไรได้ทุกอย่าง ก็สร้างพญามารขึ้นมาให้มนุษย์ เพื่อเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ เพื่อจะฝึกฝนมนุษย์ให้มันเข้มแข็ง เพื่อให้เป็นบทเรียนหรือบทสอบไล่ ฉะนั้นขอให้ถือว่าความโง่นี้มันเป็นบทเรียนที่จะทำให้ฉลาด ถ้าไม่เคยโง่แล้วมันจะฉลาดได้อย่างไร ถ้าไม่มีความโง่แล้วความฉลาดก็ไม่มีราคา ไม่มีความหมาย ฉะนั้นต้องถือเอาความโง่เป็นบทเรียน ก ข ก กา สำหรับสร้างความฉลาด เมื่อความโง่เป็นพญามาร ก็จงถือว่าพญามารนี้ มาเพื่อทำให้เราดีขึ้น อย่าไปยอมแพ้จะกลายเป็นคนโง่หนักขึ้นไปอีก มันโง่อยู่แล้ว ถ้าไปยอมแพ้ความโง่อีกมันก็โง่หลายซับหลายซ้อน ถ้าจะคิดเสียใหม่ว่าความโง่นี้มันมาทำให้เราฉลาดทีเดียว มันก็หายโง่ ฉะนั้นให้จัดการให้ถูกต้องกับเรื่องของความโง่ เพื่อความเป็นคนฉลาด โดยถือเอาความหมายอีกทางหนึ่งว่า กิเลสหรือมารนี้คือบทเรียนและบทสอบไล่ของเรา เราต้องเรียนและสอบไล่ผ่านไปให้ได้<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ถ้าพูดอย่างเป็นเขาเป็นเรากันอย่างสมมุติ พระเจ้ากับมารนี้ก็อย่าได้คิดว่าเป็นคนละเรื่องกันไปเสียทีเดียว ให้ถือว่า พระเจ้าสร้างพญามารขึ้นมาสำหรับทำให้มนุษย์ดีขึ้น คนอื่นเขาจะถืออย่างไรก็ตามใจเขา เรานี้จะถือว่าพระเจ้าสร้างซาตาน สร้างมาร สร้างอะไรขึ้นมา ก็เพื่อจะให้มนุษย์มันดีขึ้นเร็วๆ ให้ซาตานหรือมารร้ายคอยเล่นงานคนโง่ ให้ฉลาดขึ้นมาเสียเร็วๆ พอฉลาดรู้ทันแล้ว มันก็เลยไม่มีมาร ไม่มีซาตานอะไรอีกต่อไป ทีนี้เราก็สรุปความกันเสียเลยว่า สิ่งที่เรียกว่ากิเลสหรือมารหรือพญามารนี้ มันเป็นของขวัญที่ธรรมชาติหรือพระเจ้าให้แก่เรา เพื่อให้เราเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องของพระเจ้าได้โดยเร็ว ถ้ามันยุ่งฟั่นเฝือนักก็ถือสั้นๆ แต่เพียงว่า มารคือสิ่งที่มีไว้สำหรับให้เราเอาชนะให้ได้ อย่าให้แพ้เป็นอันขาด ถ้าแพ้ก็บ้าหรือตายเลย ใครแพ้แก่พญามารคนนั้นต้องบ้า หนักเข้าก็ตายเลย พ่ายแพ้แก่ความรู้สึกฝ่ายชั่วฝ่ายต่ำฝ่ายเลว แล้วทำลงไปตามอำนาจของความรู้สึกฝ่ายชั่วมันก็คือคนบ้า แต่เมื่อมันบ้ากันมากๆ เข้าก็เลยไม่หาว่าบ้า กลายเป็นดีไปก็ได้ เพราะมันบ้ากันหมดทุกคน แต่ถ้าเอาธรรมะเป็นหลักแล้ว คนที่ทำอะไรไปตามอำนาจของมารเพราะพ่ายแพ้แกมารนั้นแหล่ะคือคนบ้า ไม่ได้ใส่โซ่ตรวนอะไรที่ไหน เมื่อบ้าหนักเข้าก็ตาย คำว่า “ ตาย “ ในที่นี้หมายถึงตายจากความดีไม่มีความดีอะไรเหลืออยู่ก็เหมือนคนตายแล้วฉะนั้นขอให้ทุกคนระวังไว้ว่ามาร นี้คือสิ่งที่เราจะต้องเอาชนะเขามีไว้หรือธรรมชาติมีไว้ให้เรา เพื่อให้เราเอาชนะ ขืนแพ้ก็บ้าหรือตาย นี่แหล่ะคือสิ่งที่เรียกว่ากิเลส<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ถ้าไม่เคยเข้าใจสิ่งที่เรียกว่ากิเลสมาในลักษณะอย่างนี้ ก็ขอให้เข้าใจกันใหม่เสียเดี๋ยวนี้ว่า กิเลสคืออย่างนี้ กิเลสคือความโง่ต่ออารมณ์ ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ มันเป็นมารทำให้เราสูญเสียความดี แต่ว่ามันก็มิใช่อะไรอื่น มันเป็นบทเรียนบทสอบไล่ที่เราจะต้องเรียนและสอบไล่ให้ได้ เพื่อให้เราเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ไม่บ้าและไม่ตาย ฉะนั้นมารคือสิ่งที่มีไว้สำหรับให้มนุษย์เอาชนะให้ได้ ดังนั้นท่านผู้ใดต้องการที่จะเป็นมนุษย์ ก็จงตั้งหน้าในการที่จะชนะมาร อย่าปล่อยให้ตกอยู่ในอำนาจของมารหรือพ่ายแพ้แก่พญามาร

    นี่แหล่ะเราได้พูดกันแล้วว่า มนุษย์คืออะไร คนคืออะไร และได้พูดกันถึงคำว่าพระเจ้า ทีนี้ก็มาถึงมนุษย์ของพระเจ้าและคนของกิเลส ต่อไป เราถือว่าโพธิหรือสติปัญญาว่าเป็นใจความของพระเจ้า ถ้ามนุษย์มีใจสูงได้จริง ก็เป็น มนุษย์ของพระเจ้า ถ้าใจต่ำก็เป็น คนของกิเลส สรุปความก็คือว่ามนุษย์ของพระเจ้านั้น คือบุคคลที่กำลังอยู่กับโพธิ กำลังมีโพธิอยู่ในใจ มีสติปัญญาของพระเจ้าอยู่ในใจ เขากำลังมีความสะอาด ความสว่าง ความสงบ ระดับใด ระดับหนึ่งอยู่แม้ชั่วขณะหนึ่งๆ ก็ยังดี มนุษย์จะต้องมีความสะอาด ความสว่าง ความสงบ อยู่แม้ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี แม้แต่ระดับใดระดับหนึ่งก็ยังดี เพราะมันเป็นลักษณะของโพธิทั้งนั้น นี้เรียกว่า “ มนุษย์ของพระเจ้า “ ส่วน “ คนของกิเลส “ นั้นก็คือ บุคคลที่กำลังปล่อยตัวไปตามสัญชาตญาณที่ปราศจากการควบคุม ดังนั้นเขาจึงกำลังสกปรก มืดมัว เร่าร้อนไปตามขณะๆๆ ที่ว่าอะไรมากระทบเข้าแล้วทำให้เขามืดมัวไปอย่างไร “ มนุษย์ของพระเจ้า “ กำลังสะอาด สว่าง สงบ ส่วน “ คนของกิเลส “ นั้นกำลังสกปรก มืดมัว และเร่าร้อน มันจึงต่างกันมากอย่างนี้<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    วันนี้เรากำลังพูดกันถึงเรื่องของมนุษย์ของพระเจ้ากับคนของกิเลส เพื่อจะเปรียบเทียบกันให้เห็นชัดเจนยิ่งๆ ขึ้นไปจนเป็นที่แจ่มแจ้ง และปัญหาใหญ่มันอยู่ตรงที่คำว่า “ พระเจ้า “ เพราะมันกว้างขวางลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจ เมื่อเราไม่ต้องการที่จะเป็นคนของกิเลส เรื่องกิเลสยังไม่ต้องพูดกันก็ได้ แต่เราต้องการจะเป็นคนของพระเจ้า เราก็ต้องพูดกันเรื่องพระเจ้าให้ชัดเจน ฉะนั้นขอให้ท่านทนฟังความรู้ความคิดเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าต่อไปอีก<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    คำว่า “ พระเจ้า “ บางคนจะรู้สึกว่าเป็นของแปลกเป็นของพิเศษ หรือวิเศษ หรือนอกเหนือธรรมชาติธรรมดา มักจะรู้สึกกันอย่างนั้น เพราะว่าไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่เรียกกันว่า “ พระเจ้า “ เพราะไม่ได้รับคำสั่งสอนอบรมให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า “ พระเจ้า “ เดี๋ยวนี้อาตมาอยากจะพูดว่า “ พระเจ้า “ นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตามความรู้สึกทางสัญชาตญาณของสัตว์อีกเหมือนกัน สัตว์มีสัญชาตญาณคือความรู้ที่เกิดได้เองไม่ต้องมีใครมาสอน นี้เป็นตัวสัญชาตญาณมีอยู่ประเภทหนึ่งต่างจากความรู้ที่จะต้องอบรมสั่งสอน ส่วน “ พระเจ้า “ นั้นเกิดมาจากสัญชาตญาณโดยไม่รู้สึกตัว คือสัญชาตญาณแห่งความกลัว สัญชาตญาณแห่งการต้องการที่พึ่ง สุนัขของเราพอมันกลัวอะไรขึ้นมา มันจะวิ่งมาหาเราให้เป็นที่พึ่ง นี่ สัญชาตญาณแห่งความกลัว ไม่ต้องมีใครสอน เช่น สุนัขที่อาตมาเลี้ยงไว้ มันก็จะวิ่งมาหาอาตมาพอถูกเบียดเบียนอย่างใดอย่างหนึ่งเข้า นี่เรียกว่าเป็นไปตามอำนาจของสัญชาตญาณ ความต้องการที่พึ่ง คือมันต้องการสิ่งที่เป็นที่พึ่งนั่นแหล่ะคือพระเจ้า เมื่อมนุษย์กลัวอะไรขึ้นมา ต้องการที่พึ่งขึ้นมา ก็นึกหาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หวังในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามที่ตนจะคิดนึกเอาได้ด้วยสติปัญญาหรือด้วยความโง่ก็ตามใจ ในขณะนั้น มีความรู้สึกอย่างไรก็จะต้องถือเอาสิ่งนั้นแหล่ะเป็นที่พึ่ง ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่า “ พระเจ้า “ หรือสิ่งสูงสุดนี่แหล่ะมันเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณของสัตว์ ที่มีความกลัวและต้องการที่พึ่ง ฉะนั้นเราอย่าไปคิดว่าพระเจ้านี้วิเศษวิโสอะไรนัก มนุษย์นี้แหล่ะสร้างขึ้นมา<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    เมื่อมนุษย์เกิดกลัว เกิดต้องการที่พึ่ง เกิดต้องการที่พึ่งยึดเอาอะไรเป็นที่พึ่ง อันนั้นก็เป็น “ พระเจ้า “ ทีนี้พระเจ้าก็แปลกแตกต่างกันออกไป สูงขึ้นไปๆๆๆ ตามสติปัญญาของมนุษย์ที่วิวัฒนาการขึ้นไปตามลำดับจากสัญชาตญาณ แต่ว่าจุดตั้งต้นริเริ่มทีแรก มันมาจากสัญชาตญาณแห่งความกลัว และความต้องการที่พึ่ง ฉะนั้นถือว่าพระเจ้านี้เกิดขึ้นตามอำนาจของสัญชาตญาณ พระเจ้ายังเป็นสิ่งที่เราอาจจะรู้สึกหรือรู้สึกได้ทางสัญชาตญาณอีกนั่นเอง เป็นสัญชาตญาณแห่งการหนีภัย ถ้าเราไม่มีสัญชาตญาณแห่งการหนีภัย เราจะไม่มีโอกาส หรือไม่มีหวังที่จะรู้จักพระเจ้า ฉะนั้นเราอาศัยสัญชาตญาณของการที่จะหนีไปจากอันตราย แล้วเราก็พยายามจะหนีจากอันตรายนั้น โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง และเมื่อหนีได้เท่าไร มันก็เป็น “ พระเจ้า “ ให้แก่เราเท่านั้น เราหนีจากอันตรายได้เท่าไร พระเจ้าก็เกิดขึ้นแก่เราได้เท่านั้น คือช่วยเราได้เท่านั้น นี้พูดเป็นคำกว้างขวางตลอดกาลนิรนดร ตั้งแต่มนุษย์ยังเป็นสัตว์หรือยังคล้ายสัตว์ แล้วเป็นมนุษย์ขึ้นมาทีละน้อยๆ จนเป็นมนุษย์สูงสุด แล้วต่อไปข้างหน้าในอนาคตอีกยืดยาวไม่รู้จบไม่รู้สิ้น เราจะต้องอาศัยสัญชาตญาณแห่งการหนีภัยนี้ เป็นเครื่องมือสำหรับจะรู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าคือสิ่งที่จะช่วยเราให้ปลอดจากภัย พ้นไปจากภัยได้ พ้นไปจากภัยได้เท่าใด เราก็รู้จักพระเจ้าเท่านั้น ขอให้รู้จักพระเจ้าอย่างนี้กันก่อน ซึ่งเป็นพระเจ้าที่จริงและเป็นจุดตั้งต้น ถ้ารู้จักพระเจ้าชนิดนี้แล้ว ต่อไปจะรู้จักพระเจ้าทุกๆ ชนิดซึ่งมีมากมายแล้วแต่มนุษยชาติไหน ภาษาไหนจะบัญญัติขึ้นมาอย่างไร<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    เอาล่ะ ทีนี้เราจะลองจำแนกพระเจ้าดูบ้าง อยากจะอวดดี เป็นมนุษย์นี่แหล่ะจำแนกพระเจ้าดูบ้าง เพราะว่าได้อวดดีมาตั้งแต่ทีแรกแล้ว ว่ามนุษย์นี่แหล่ะสร้างพระเจ้าขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณแห่งความกลัว การหาที่พึ่ง การเอาตัวรอด เพื่อเราจะได้รู้จักพระเจ้าเป็นพวกๆ ไป เราก็มองดูพระเจ้าพวกแรกที่สุด คือพระเจ้าในความรู้สึกสามัญสำนึกของคนทุกคน ความรู้สึกสามัญสำนึกนี้ ไม่ต้องเรียนจากหนังสือ ไม่ต้องเชื่อใครด้วย เราจะต้องถือว่าทุกคนจะเป็นคนดีก็ตาม คนชั่วก็ตามมีความรู้สึกสามัญสำนึกและบางทีก็ตรงกันเลย ทั้งคนดีและคนชั่ว แต่คนชั่วนั้น เขายังบังคับไม่ได้ มันฝืนความรู้สึกแม้สามัญสำนึก เขาจึงไปทำความชั่ว เพราะเห็นแก่ปากแก่ท้องหรือเห็นอะไรทำนองนั้น แต่ในใจนั้นอาจจะรู้สึกอยู่ว่า ของดีของจริงของประเสริฐนั้นไม่ใช่อย่างนี้ อย่างนี้ก็มี แต่เมื่อเขาบังคับไม่ได้หรือเขาบังคับได้เท่าไร เขาก็ยุติเอาที่นั่น ว่าเป็นที่พอใจของเขาและก็เอาเป็นพระเจ้าไปเสียเลย ฉะนั้นเราจึงมีพระเจ้าตามสามัญสำนึกที่ผิดแปลกกัน<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]
    อันแรกก็ดูจะเรียกว่า พระเจ้าเงินตรา เพราะเดี๋ยวนี้มีสามัญสำนึกว่าเงินช่วยอะไรได้ทุกอย่าง มันจะโง่หรือฉลาดไว้ค่อยพูดกัน แต่คนโดยมากจะถือว่าเงินนี้ช่วยอะไรได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเงินเป็นพระเจ้า เพราะว่าจะช่วยเราได้ทุกอย่าง ก็เลยบูชาเงินเป็นพระเจ้าองค์แรก คือพระเจ้าแห่งเงินตรา เงินตรานี้หมายถึงอำนาจแห่งการซื้อหาสิ่งที่เราต้องการ จะเป็นกระดาษหรือโลหะหรืออะไรก็สุดแท้ เรียกว่าเงินตรา มีอำนาจในการซื้อหาสิ่งที่เราต้องการ ใครมีมากก็มีอำนาจที่จะซื้อหาหรือเอาอะไรได้มาก คือเรียกว่ามันช่วยได้มาก แล้วเราก็ลองทดสอบดูตัวเราเองว่าเรามีพระเจ้าเงินตรา มีเงินตราเป็นพระเจ้ากันหรือเปล่า บางทีแม้เวลานี้ ในสภาพปัจจุบันนี้ เราก็ถือพระเจ้าเงินตรากันอยู่เป็นส่วนมาก โดยเฉพาะพวกวัตถุนิยมก็ถือพระเจ้าเงินตรากันทั้งนั้น ไม่รู้จักพระเจ้าอย่างอื่น แล้วเรานี่แหล่ะบางทีบางเวลาบางโอกาส เราก็คุ้มดีคุ้มร้ายไปเป็นวัตถุนิยมเป็นคนของกิเลส เราก็ต้องถือพระเจ้าเงินตรา เงินตราเป็นพระเจ้าไปพักหนึ่ง จนกว่าจะนึกได้ แล้วละอายขึ้นมา นี่พูดกันตรงๆ ก็ต้องพูดกันอย่างนี้<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    พระเจ้าถัดไปก็คือสิ่งที่ตนรัก ตนชอบ ตนพอใจ เขาใช้คำว่า พ่อทูนหัว แม่ทูนหัว คำว่าแม่ทูนหัวก็หมายถึงผู้หญิงพ่อทูนหัวก็หมายถึงผู้ชาย คือไม่มีอะไรดีกว่านั้น จึงได้พูดคำนี้ออกมา นี้ก็ด้วยความรัก ถ้ารักอะไรเข้า อันนั้นก็เป็นพระเจ้าขึ้นมาทันที พระเจ้าอื่นไม่รู้ไม่ชี้ เวลานี้สิ่งที่เรารักที่สุดนั้นเป็นพระเจ้าสำหรับเรา นี้ก็เป็นพระเจ้าอย่างหนึ่ง ตามสามัญสำนึกที่คนทุกคนจะมอบกายถวายชีวิตจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นให้แก่พระเจ้านี้ โดยไม่เห็นแก่หน้าพระเจ้าอื่น อยากจะพูดให้มันหยาบคายสักหน่อย ว่าคนก็หันหน้าไปหาแฟนของตัวมากกว่าที่จะหันหน้าไปหาพระพุทธเจ้า เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาก็ยังไม่สนใจจะไปหาแฟนของตัวก่อน นี้ลองเทียบดูเถิดว่าพระเจ้าที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจของความรัก ความหลงนี่มันเป็นอย่างไร มันใหญ่หรือเล็ก มันมากหรือน้อย นี้ก็เป็นพระเจ้าตามสามัญสำนึกจริงๆ เป็นพระเจ้าจริงๆ ด้วยเหมือนกัน

    ยังมีพระเจ้าแบบอื่นต่อไปอีก คือโดยเหตุที่เรามีสัญชาตญาณแห่งความกลัว เมื่อความกลัวครอบงำแล้ว มันไม่รู้จักสิ่งอื่นนอกจากสิ่งที่ตนกลัวก็อยากจะพ้นจากความกลัว ฉะนั้น อะไรที่มันจะทำให้รู้สึกบรรเทาความกลัวได้แล้วก็ยอมรับหมด ฉะนั้นเราไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เคยเห็นพระเจ้า แต่เราก็บูชาพระเจ้าในฐานะที่ว่าเป็นสิ่งที่เรากลัว คนเป็นอันมากในโลกนี้ถือพระเจ้าชนิดนี้ แล้วก็ถือแต่ตามพิธีรีตอง เพราะเขาไม่เคยเห็นพระเจ้า ไม่อาจจะรู้จักพระเจ้า แต่เขากลัวก็ต้องทำไปตามพิธีรีตองที่จะช่วยบรรเทาความกลัว จึงมีพิธีรีตองบนบานศาลกล่าวเซ่นสรวงพิธีทางไสยศาสตร์นานาชนิด เพื่อขจัดความกลัว แล้วก็สมมติเอาว่าพระเจ้ามีอยู่ ทั้งที่เราไม่เคยเห็นตัว ไม่เคยรู้จักหน้า แล้วก็เชื่ออย่างนั้นด้วยแล้วทำการบนบานศาลกล่าว ฉะนั้น พระเจ้าชนิดนี้ก็คือผู้หรือสิ่งที่เรากลัว แล้วบนบานศาลกล่าวกันอยู่ ทั้งที่ไม่รู้จักตัวและเห็นตัว มีอยู่ทั่วไป จะเรียกว่าเป็น “ พระเจ้าหมอผี “ หรือ “ พระเจ้ามายา “ ทำนองนั้นแหล่ะจะถูกกว่า เพราะไม่เห็นตัวไม่เคยรู้จักตัว แต่ทำไปโดยอำนาจของความกลัวตามพิธีรีตองนั้นๆ พระเจ้าอย่างนี้ก็ครอบครองจิตใจมนุษย์อยู่มากที่สุดเหมือนกัน<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ทีนี้อยากจะพูดถึงพระเจ้าอีกแบบหนึ่งซึ่งน่าหัว แล้วก็มีจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็สมัยใหม่ปัจจุบันหยกๆ นี้เอง จะเรียกว่าพระเจ้าชนิดไหน ท่านทั้งหลายลองตั้งชื่อเอาเองจะดีกว่า คือว่าคนสมัยปัจจุบันนี้ หลงใหลกันอย่างยิ่งก็คือการงานที่จะนำมาซึ่งประโยชน์ตามที่ตัวต้องการ คนคนหนึ่งเขาเล่าให้ฟังไม่ใช่ประสบกับอาตมาเอง ว่าเพื่อนของเขาคนหนึ่งเป็นญี่ปุ่นเป็นคนหนุ่ม พอคุ้นเคยกันพอสมควรแล้วเขาแอบกระซิบถามว่าท่านถือพระเจ้าอะไร หรือศาสนาอะไร เพื่อนญี่ปุ่นคนนั้นก็บอกว่าเขาถือพระเจ้า Hitachi เพราะว่าเขาทำงานอยู่กับบริษัท Hitachi มีเงินเดือนสูงเป็นช่างเทคนิค บริษัท Hitachi เลี้ยงไว้ ถ้าบริษัทนี้ไม่เลี้ยงไว้เขาจะต้องเป็นอย่างไร คือไม่มีงานทำ เมื่อสังเกตดูตามน้ำเสียงและสีหน้าของเขาก็รู้สึกว่า เขาไม่มีศาสนาอย่างอื่น ไม่มีพระเจ้าอย่างอื่นจริงๆ นอกจากพระเจ้า Hitachi สินค้าญี่ปุ่นยี่ห้อ Hitachi มันแพร่หลายมาก ทำเงินได้มากเขาถือพระเจ้า Hitachi พระเจ้าชนิดนี้คือพระเจ้าอะไรชนิดไหน ลองตั้งชื่อเอาเองก็อยากจะตั้งชื่อเอาได้ทุกคน มันก็ยิ่งกว่าพระเจ้าเงินตราอย่างที่กล่าวทีแรก เพราะพระเจ้าเงินตรามันทั่วๆ ไป เป็นมาแต่ก่อนโบราณกาล หลายพันหลายหมื่นปีมาแล้วก็ได้ แต่พระเจ้า Hitachi เพิ่งเกิดหยกๆ นี้ คือมันแรงมาก หรือเพิ่งจะเดือดจัดกันมากถึงที่สุดในเวลานี้ ฉะนั้น ใครที่ฝากเนื้อฝากตัวอยู่กับบริษัทไหนการงานไหน องค์การไหน นักการเมืองคณะไหน พรรคไหน ก็คงจะเอานั่นแหล่ะเป็นพระเจ้า นี่แหล่ะพระเจ้าใหม่ หยกๆ สดๆ ร้อนๆ ก็มีขึ้นมาอีกพวกหนึ่งอย่างนี้<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    นี้เป็นตัวอย่างพอแล้ว พูดไปก็ไม่รู้จักจบจักสิ้น ว่าพระเจ้าในความรู้สึกสามัญสำนึกที่เกิดขึ้นมาได้เองในจิตใจนั้นมันเป็นอย่างนี้ แล้วเราคนไหนกำลังมีพระเจ้าชนิดนี้กันอย่างไร มากน้อยเท่าไร ลองสำรวจดูตัวเองก็แล้วกัน เอาล่ะพอกันเสียทีสำหรับพวกพระเจ้าที่เกิดขึ้นตามความรู้สึกสามัญสำนึก ใครบังคับใครไม่ได้นี่มันเป็นอย่างนี้<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ทีนี้ก็มาถึงพระเจ้าอีกประเภทหนึ่ง คือพระเจ้าที่ถูกบัญญัติขึ้น ตามหลักเกณฑ์หรือตามทางแห่งศาสนา สิ่งที่เรียกว่าศาสนานี้กว้างขวางลึกซึ้งพูดกันไม่จบ แต่รวมความว่าเป็นสถาบันที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ พระเจ้าที่บัญญัติขึ้นตามทางศาสนา นี้ก็พลอยมีอำนาจอย่างยิ่งไปด้วยตามเครดิตของศาสนานั้น ๆ พระเจ้าที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยกฏเกณฑ์ตามทางศาสนานี้ ก็มีมากเหมือนกันเอากันแต่ที่เราจะเห็นกันได้ง่ายๆ เช่นว่าพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า นี้ก็ย่อมาจากคำที่ว่า พระพุทธเป็นเจ้า พระธรรมเป็นเจ้า พระสงฆ์เป็นเจ้า สำเร็จเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมา นี้ก็เรียกว่า “ พระเจ้า “ ล้วนมีทั้งอย่างงมงายและไม่งมงาย คนถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้ มีทั้งอย่างที่งมงายและไม่งมงาย แต่จะงมงายหรือไม่งมงายก็ตามใจ อยู่ในรูปของพระเจ้าทั้งนั้น ถ้าถือกันในรูปของความขลังหรือความศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้ด้วยสติปัญญา งมงายมันก็ถือด้วยชีวิตจิตใจด้วยความงมงาย ถ้ามีสติปัญญาก็ถือสุดชีวิตจิตใจ เพราะมีสติปัญญามองเห็นชัดเจน ฉะนั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่แหล่ะอยู่ในรูปที่เป็นพระเจ้า หรือเป็นพระเป็นเจ้าของพุทธบริษัททั้งที่งมงาย และไม่งมงาย คือทั้งพุทธบริษัทแท้จริงและพุทธบริษัทไม่จริง คืองมงาย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพระเจ้าอย่างไรนี้ เราไม่จำเป็นต้องอธิบายกันในที่นี้แล้ว มันจะกินเวลามากไป คราวอื่นก็ได้อธิบายแล้ว ไปหาความเข้าใจเอาได้ แต่ว่าสรุปความว่า เรากำลังมอบกายถวายชีวิตจิตใจแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นับถือเป็นสิ่งสูงสุด จะช่วยเราให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงที่พระเจ้าอย่างอื่นช่วยไม่ได้ ก็เลยมีพระเจ้าที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เรียกว่าเป็นพระเจ้าที่บัญญัติขึ้นด้วยเหมือนกัน โดยทั่วไปเป็นสิ่งที่บัญญัติขึ้น แต่เฉพาะคนบางคนนั้นเขารู้จักด้วยใจเอง โดยไม่ต้องมีใครมาช่วยบัญญัติให้ นี้ก็ยังมี แต่ว่าทีแรกเขาถือพระเจ้าเหล่านี้ตามการบัญญัติของคนที่บัญญัติไว้แต่ก่อน<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    พระเจ้าถัดไปอีก คือคำพูดว่า “ พระเจ้า “ ที่บัญญัติไว้ในภาษาไทยแต่บรมโบราณ คำว่าบรมโบราณนี้ขอจำกัดระบุว่า ก่อนที่ศาสนาคริสเตียนหรือศาสนาอะไรจะเข้ามาในเมืองมีในประเทศไทย คนไทยเราก็มีคำว่า “ พระเจ้า “ ใช้อยู่แล้ว ก่อนแต่ศาสนาคริสเตียนเป็นต้นจะเข้ามา ฉะนั้น คำว่า “ พระเจ้า “ ไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่พวกคริสเตียนนำมาให้ เพราะว่าไทยเราก็มีสิ่งที่เรียกว่า “ พระเจ้า “ อยู่ก่อนแล้ว บัญญัติใช้อยู่ในคำพูด อยู่ในภาษาไทย คำว่า “ พระเจ้า “ เฉยๆ ในภาษากฎหมายโบราณสมุดข่อยนั้น หมายถึงพระพุทธเจ้า หมายถึงพระเจ้าพระสงฆ์”ก็มี ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าอย่างของคริสเตียนมาแต่ก่อน เพราะว่าก่อนคริสเตียนเข้ามาในเมืองไทย เราก็มีคำว่า “ พระเจ้า “ ใช้อยู่ในภาษาพูดแล้ว ฉะนั้น เขาหมายถึงสิ่งไร นั้นก็คือพระเจ้าที่เขาบัญญัติขึ้นตามหลักเกณฑ์ของภาษาทางศาสนา หรือทางวัฒนธรรม เป็นต้น<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ยังมีพระเจ้าที่เขาบัญญัติกันขึ้นมาเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเทวดาหรือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์พิเศษเป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ทางวิญญาณศาสตร์ทางอะไรที่เขาบัญญัติขึ้นเฉพาะศาสตร์นั้นๆ อย่างนี้เราพลอยถือตามๆ เขาไปเพราะว่าเรายังมีความโง่ ทั้งที่ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพระเจ้าอยู่แล้วก็พลอยไปมีพระเจ้าที่เขาบัญญัติตามทางฝ่ายไสยศาสตร์นั้นเข้ามาอีก นี้เป็นคนไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเป็นหลักเป็นเกณฑ์ มันมีความกลัวพร่าๆ ไปหมดก็รับพระเจ้าอย่างพร่าๆ ไปหมด คือรับเอามาหมด เป็นพุทธบริษัท มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพระเจ้าสูงสุดอยู่แล้ว ยังไปรับเอาพระเจ้าไสยศาสตร์ที่น่าหัวเราะนั้นเข้ามาอีก นี้ก็เรียกว่าไปถือพระเจ้าที่เราบัญญัติขึ้นมาอีกเหมือนกัน ไม่ใช่ความรู้สึกตามสามัญสำนึกของตัวเองเลยไปพลอยโง่ไปกับเขาเท่านั้น<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]
    ทีนี้ก็มีพระเจ้าที่บัญญัติขึ้นมาอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งลึกซึ้งหรือออกจะลึกซึ้งคือพระเจ้าที่อาศัยหลักปรัชญา หรือหลักพระธรรมทางศาสนาโดยตรงบัญญัติขึ้นจะเป็นทางศาสนาพุทธหรือศาสนาไหนก็ตาม มันมีหลักเกณฑ์ที่ตายตัวแน่นอนลงไปว่ามีอะไรที่จะทำให้โลกนี้เกิดขึ้น หรือทำให้โลกนี้ตั้งอยู่หรือเปลี่ยนไป หรือทำให้โลกนี้ดับลง พุทธศาสนาก็มีหลักแห่งความเชื่ออย่างนี้ว่า โลกนี้มันเกิดเองไม่ได้ มันต้องมีเหตุ ปัจจัยอะไรทำให้มันเกิดขึ้นมา แล้วให้ตั้งอยู่ ให้เป็นไป แล้วดับลง สิ่งนั้นก็มีอยู่ ที่นี้ตามทางปรัชญาหมายความว่า เมื่อได้ศึกษาสิ่งต่างๆ รอบด้านทั้งทางศาสนา ทั้งทางวิทยาศาสตร์ ทางอะไรอื่นๆ เสร็จแล้วมาสรุปเอาเป็นเหตุผลของตัว ก็มีความรู้สึกว่าต้องมีอะไรอย่างหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งทำหน้าที่สร้างโลกนี้ขึ้นมาควบคุมโลกนี้อยู่ หรือว่าจะทำลายโลกนี้ให้สิ้นไปในวาระหนึ่งๆ ก็เลยบัญญัติสิ่งนี้ให้เป็นพระเจ้า เกิดเป็นพระเจ้าซึ่งมีหน้าที่สร้างโลกขึ้นมา มีหน้าที่ควบคุมโลกนี้ไว้ และมีหน้าที่ทำลายโลกนี้ให้ดับไปคราวหนึ่งๆ นี้พระเจ้าที่บัญญัติขึ้นตามหลักเกณฑ์ทางปรัชญา หรือทางธรรมะ หรือทางศาสนาซึ่งเป็นขั้นสูงสุด<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    สิ่งเหล่านี้จะเป็นรากฐานของพระเจ้าที่ถาวรได้ ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดไว้ให้ดีๆ ว่า รากฐานของพระเจ้าที่แท้จริงนั้นมันมาจากหลักที่ว่า โลกนี้ต้องมีอะไรสร้างขึ้นมา หรือควบคุมอยู่หรือทำลายให้ดับไป มันจะเป็นคนเป็นสัตว์หรือเป็นสิ่งของเป็นอะไรยังรู้ไม่ได้ แต่ว่ามันมีแน่ ทีนี้พวกที่เขาเชื่อในความเป็นบุคคลเขาก็ถือว่ามีสัตว์ มีบุคคลหรือมีเทวดา มีอะไรที่มองไม่เห็นตัวเรียกว่าพระเจ้า พระเจ้าผู้สร้างโลกเช่นพระพรหมของศาสนาฮินดู มีพระเจ้าผู้ควบคุมโลก คือพระนารายณ์ของศาสนาฮินดูและมีพระเจ้าผู้ทำลายโลกเป็นคราวๆ คือพระศิวะ หรือพระอิศวร ของศาสนาฮินดู เราฟังไม่ได้ศัพท์ จับมากระเดียดก็พลอยเข้าใจไปว่ามีคนเป็นอย่างนั้น แล้วเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ที่เชื่อก็มี ไม่เชื่อก็มี ทีนี้เอาคนออกไปเสียสิ มันก็จะหมดปัญหา คือเอาตัวพระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร ที่เป็นคนออกไปเสีย มันก็เหลืออยู่แต่อำนาจอะไรอันหนึ่งซึ่งใครก็ไม่รู้ไม่รู้จัก มีอำนาจในการที่จะสร้างอะไรขึ้นมา มีอำนาจที่จะควบคุมสิ่งต่างๆ อยู่ และมีอำนาจที่จะยุบหรือดับสิ่งต่างๆ ลงไปเป็นคราวๆ นี่ เมื่อพูดอย่างนี้ มันก็เป็นความจริง แม้วิทยาศาสตร์ของปัจจุบันหยกๆ นี้ก็จะค้านความคิดอันนี้ไม่ได้ คือความคิดที่ว่ามีอำนาจอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งเราไม่รู้จักที่สร้างโลก ควบคุมโลก แล้วก็ยุบโลกเสียเป็นคราวๆ แล้วสร้างใหม่ นี่คือรากฐานอันแท้จริงของพระเจ้า ในทางพุทธศาสนาก็ให้ชื่อไปอย่างหนึ่ง ในทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องให้ชื่อไปอีกอย่างหนึ่ง ในศาสนาฮินดู สำหรับคนโง่เขาเรียกว่า พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร ส่วนศาสนาฮินดูที่ฉลาดเขาก็ไม่พูดอย่างนั้น ศาสนาฮินดูที่ฉลาดเช่นลัทธิเวทานตะ เขาพูดเป็นอย่างอื่น เป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์อะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งให้ชาวบ้านเรียกว่า พระพรหม พระนารายณ์ พระศิวะกันไปตามชอบใจก็แล้วกัน แต่ตัวจริงมันเป็นอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งเอามาพูดให้คนเหล่านั้นฟังไม่ได้ เพราะฟังไม่ถูก เพระยังโง่ ก็เลยให้เชื่อว่ามีพระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวรไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน แต่ตัวจริงของพระเจ้าทั้งสามนั้นคืออะไร ไว้ค่อยรู้ทีหลังนี่แหล่ะคือพระเจ้าที่ถูกบัญญัติขึ้นตามหลักเกณฑ์ทางศาสนาทางปรัชญา หรือทางวิทยาศาสตร์ มันก็ต้องมีอย่างนี้

    เอาล่ะ ทีนี้เราไม่ต้องการที่จะมาพูดให้เสียเวลากับเรื่องที่ไม่จำเป็น เราจะพูดแต่เรื่องที่จำเป็น ที่จะทำให้ลุล่วงไป เราก็ต้องมีพระเจ้าชนิดที่จะเป็นประโยชน์แก่เรา และเป็นพระเจ้าที่มีอยู่จริง เราก็ต้องเลิกพระเจ้าชนิดที่ไม่จำเป็นแก่เราเสีย หรือพระเจ้าที่ต่ำเกินไป สำหรับเด็กเกินไป ก็เลิกเสีย เช่นพระเจ้าเงินตรานี้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็คงจะละอายกันมาก พอที่จะเลิกไปเสียได้ ไม่ตั้งให้เป็นพระเจ้าแล้ว พ่อทูนหัวแม่ทูนหัว สิ่งที่เรากลัว หรือพระเจ้า Hitachi อย่างนี้เราก็ไม่ตั้งให้เป็นพระเจ้าแล้ว เราจะมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หรือเทวดา หรือพระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวรบ้าง ก็ตีความให้มันถูกต้อง คือให้เป็นสิ่งที่มีอำนาจในการสร้าง ในการคุ้มครอง ในการดับทำลายอะไรได้จริงๆ

    เรามาเอาแต่ความหมายที่จริงที่อาจจะเข้าถึงได้เสียดีกว่านี้ก็เลยต้องแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ว่าพระเจ้าประเภทที่พูดให้เป็นบุคคลอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมานี้เรียกว่า พระเจ้าโดยบุคลาธิษฐาน อย่างนี้เรามีไว้สำหรับคืนที่ไม่ฉลาด ( ขออภัยที่จะพูดอย่างนี้ ซึ่งคนโง่ก็จะโกรธเอา ) สำหรับคนส่วนมากที่ยังไม่ฉลาดก็ต้องมีพระเจ้าประเภทบุคลาธิษฐาน เป็นบุคคลในสวรรค์หรือในโลกของพระเจ้า ในวิมานอะไรของท่าน เป็นบุคคลโกรธก็ได้รักก็ได้ ต้องประจบท่านอะไรอย่างนี้ นี่พระเจ้าบุคลาธิษฐานมีไว้สำหรับคนที่ไม่ชอบทำสิ่งที่ยากๆ เพราะโง่ หรือไม่สามารถทำสิ่งที่ยากๆ เพราะโง่ ต้องการที่จะทำง่ายๆ คือเชื่อ แล้วก็ทำไปตามพิธีรีตองไปก่อน อย่าไปทำความชั่วก็แล้วกัน ทำให้ถูกใจพระเจ้านั้นต้องทำความดี พระเจ้าที่แท้จริงต้องการให้มนุษย์ทำความดี ถ้าต้องการให้มนุษย์ทำความชั่วแล้วไม่ใช่พระเจ้าถอดเสียจากพระเจ้าได้เลย ถ้ายังเป็นพระเจ้าแล้วละก็ ต้องหมายความว่าต้องการให้มนุษย์ทำความดี แม้จะทำอย่างพิธีรีตองมันก็มีความหมายอยู่ตรงที่ทำความดี ฉะนั้น เชื่อพระเจ้ามันก็ปลอดภัยอยู่ในข้อนี้ คือว่าอย่างไรเสียก็ต้องทำความดีแล้วก็ต้องช่วยตัวเองก่อน แล้วพระเจ้าจึงจะช่วย นั้นเป็นพระเจ้าอย่างบุคลาธิษฐาน มีอยู่จริงในฐานะเป็นสิ่งที่ต้องตีความพูดสมมติไว้เป็นบุคคล ต้องตีความให้เป็นธรรมาธิษฐานออกมาอีกทีหนึ่ง ทีนี้เราปัดทิ้งออกไปอย่างบุคคล เรามาเอาพระเจ้าอย่างเป็นธรรม เป็นนามธรรม เป็นธรรมาธิษฐาน<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    บัดนี้เราจะพูดกันถึง พระเจ้าโดยธรรมาธิษฐาน ท่านช่วยฟังให้ดี เพราะมีประโยชน์อยู่ที่ตรงนี้ หรือจะช่วยกันได้จริงก็อยู่ที่ตรงนี้ จะมีจริง จะถึงจริง จะอะไรจริงมันก็อยู่ที่ตรงนี้ พระเจ้าโดยธรรมาธิษฐาน คือว่าไม่เพ่งที่บุคคลแต่เพ่งที่ธรรมะหรือตัวพระธรรม ทีนี้คำว่า “ พระธรรม “ นี้ อันแรกที่สุดสิ่งแรกที่สุดสำหรับเป็นความหมายของคำว่าธรรม นั่นคือธรรมชาติ ฉะนั้น พระเจ้าที่แท้จริงเราจะต้องเพ่งเล็งไปถึงตัวธรรมชาติ การเพ่งเล็งไปถึงตัวธรรมชาติต้องแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ 1. ตัวธรรมชาติแท้ๆ ล้วนๆ นั้นอย่างหนึ่ง คือปรากฏการณ์ทั้งหลายที่ปรากฏอยู่เป็นธรรมชาตินี้อย่างหนึ่ง 2. ก็คือกฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวธรรมชาตินั้น นี้ระบุไปยังตัวกฏหรือหลักหรือเกณฑ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวธรรมชาตินั้นๆ แล้ว 3. ก็คือหน้าที่ที่เฉียบขาด ที่มนุษย์จะต้องกระทำตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ อันสุดท้ายข้อ 4 ก็คือว่า ผลที่เกิดมาจากการทำหน้าที่นั้นๆ นี้เป็นผลจากการทำหน้าที่ตามธรรมชาติ เมื่อครบทั้ง 4 อย่างนี้แล้วจึงจะเรียกว่าเป็นตัวธรรมชาติที่สมบูรณ์ คือเป็นทั้งหมด ไม่ยกเว้นอะไร ไม่เหลืออะไร<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ในศาสนาอื่นที่เขามีคำว่าพระเจ้าใช้เป็นหลักนั้น เขาจะพูดว่าพระเจ้าเป็นทุกสิ่ง พระเจ้าคือทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไร ในศาสนาพุทธเรา เมื่อพูดโดยหลักธรรมชาติอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นทุกสิ่ง ธรรมชาติ กฎธรรมชาติ หน้าที่ตามธรรมชาติ และผลตามธรรมชาติรวมกันเป็น 4 อย่าง นี้แหล่ะคือทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่มนุษย์จะรู้จักหรือพูดถึงได้ ธรรมชาติทั้ง 4 อย่างนี้ เป็นหลักในพุทธศาสนาด้วย ธรรมชาติทั้งปวงเรียกว่า สภาวธรรม, กฎของธรรมชาติเรียกว่า สัจธรรม หน้าที่ตามธรรมชาติบังคับไว้นั้นเรียกว่าธรรมหรือธรรมะ ธรรมะนั้น แปลว่าหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติ จึงได้แก่ ปฏิปัตติธรรม แล้วผลที่จะเกิดขึ้นมาเป็นบุญเป็นบาป เป็นดี เป็นชั่ว เป็นนรกสวรรค์ หรือว่าเป็นมรรค ผล นิพพานอะไรก็ตาม ผลเหล่านี้ก็เรียกว่า วิปากธรรม ดังนั้นในพุทธศาสนาจึงมีหลักที่เกี่ยวกับธรรมชาติครบถ้วนทั้ง 4 ประการ คือว่าตัวธรรมชาติก็ดี ตัวกฎธรรมชาติก็ดี หน้าที่ตามธรรมชาติก็ดี ผลของหน้าที่ตามธรรมชาตินั้นก็ดี รวมกันทั้งหมดนี้เรียกสั้นๆ คำเดียวว่า “ ธรรม “ หรือ “ ธรรมชาติ “ ตามภาษาบาลีที่พุทธศาสนาใช้อยู่ และนี่แหล่ะคือ “ พระเจ้า “ ใน 4 อย่างนี้ เมื่อเอามารวมกันหมดแล้ว นี่แหล่ะคือพระเจ้า ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ พระเจ้าคือทุกสิ่ง ก็คือ 4 สิ่งนี้รวมกัน แล้วพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับเรามากที่สุด คือหน้าที่ที่จะต้องทำให้ถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ แล้วมันก็ต้องมีธรรมชาติสำหรับให้เราเข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าไม่มีธรรมชาติอะไรเสียเลย เราก็ไม่ได้เกิดขึ้นและทำอะไรไม่ได้

    เนื้อหนังร่างกายของเรานี้มันคือตัวธรรมชาติ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สิ่งต่างๆ ที่ประกอบกันอยู่เป็นโลกคือธรรมชาตินี้ ก็คือตัวธรรมชาติมันต้องมีธรรมชาติพื้นฐานอย่างนี้แล้วก็มีกฎอยู่ในธรรมชาตินั้น เราพบมันแล้วเราจึงปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ ได้ เช่นเรารู้เรื่องกฏเกณฑ์ของธรรมชาติที่เกี่ยวกับร่างกายเราจึงปฏิบัติต่อร่างกายอย่างถูกต้องได้ เราปฏิบัติต่อสิ่งทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลกได้ ทีนี้เราก็ได้ผลเหมือนกับว่าพระเจ้าประทานให้ ตามที่เราประพฤติกระทำถูกผิด ดีชั่ว มากน้อยอย่างไร นี้คือพระเจ้าที่เด็ดขาดที่สุด แล้วมีอยู่จริง ถึงกับมีอยู่ในเลือดในเนื้อของเรา<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    กฏเกณฑ์ของธรรมชาตินั้นมีอยู่ในเลือดในเนื้อของเราคอยควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วร่างกายจิตใจนี้ต้องทำหน้าที่ของมัน ตามอำนาจบังคับบัญชาของพระเจ้า แล้วเกิดผลขึ้นมาจากการประทานของพระเจ้า ฉะนั้นเราเลยเป็นพระเจ้าอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัว ผู้อื่นก็เหมือนกัน สิ่งทั้งหลายต่างๆ ที่รวมเป็นโลกนี้ก็เรียกว่า มีพระเจ้าเป็นเนื้อเป็นตัวอยู่ในนั้นทั้งนั้น ฉะนั้นขอให้มองดูพระเจ้าชนิดที่มีอยู่จริง กระทั่งว่าอยู่ในตัวเราเป็นเนื้อเป็นตัวของเราอย่างนี้ นี่แหล่ะพระเจ้าโดยธรรมาธิษฐานมันเป็นอย่างนี้ มันต่างจากพระเจ้าที่เป็นบุคคลาธิษฐาน เป็นตัวเป็นตนเป็นคนอยู่บนสวรรค์วิมาน อยู่ที่ไหนเหลือที่จะกล่าวได้ นั้นมันอย่างสมมติพูดให้เป็นบุคลาธิษฐาน<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    เดี๋ยวนี้เรามีอำนาจที่จะสร้างโลกหรือควบคุมโลก หรือยุบโลกเป็นคราวๆ อยู่ในเนื้อในตัวของเรา ถ้าเรารู้จักสิ่งที่เรียกว่า “ โลก “ อย่างถูกต้องเหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า “ โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ตถาคตบัญญัติไว้ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งที่มีพร้อมทั้งสัญญาและใจ “ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ในร่างกายคนเป็นๆ ไม่ใช่คนตาย ต้องคนเป็นๆ นั้นมีโลก มีเหตุให้เกิดโลก มีความดับสนิทแห่งโลก มีทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลก อยู่พร้อมเสร็จแล้ว คือหมายความว่าในร่างกายคนเป็นๆ คนหนึ่งมีพระเจ้าทุกชนิดอยู่ครบถ้วน ผู้สร้าง ผู้ควบคุม ผู้ทำลาย มีอยู่เสร็จ<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    เราจงศึกษาพิจารณาให้รู้จักอำนาจอันลึกลับน่าอัศจรรย์ข้อนี้ก็แล้วกัน อำนาจทำให้เกิดขึ้น อำนาจที่ทำให้ตั้งอยู่ชั่วขณะ อำนาจที่ทำให้ดับลงเพื่อเกิดใหม่แห่งสังขารธรรมทั้งปวง ถ้าหนีวัดมากเกินไปจนไม่รู้จักคำว่า “ สังขารธรรมทั้งปวง “ มันก็ฟังยากมันก็ช่วยกันยาก ถ้ารู้จักคำว่า สังขารธรรม อยู่เป็นปกติแล้วละก็จะฟังเรื่องนี้ง่าย สังขารธรรมคือธรรมชาติที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แล้วก็กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ตั้งอยู่เพราะเหตุปัจจัย ดับไปเพราะเหตุปัจจัย นี้เรียกว่า “ สังขารธรรม “ อำนาจที่ทำให้เกิดสังขารธรรม ก็มีอยู่ในร่างกายนี้ อำนาจที่ทำให้สังขารธรรมเป็นไปอยู่ เปลี่ยนไปอยู่ ก็มีอยู่ในร่างกายนี้ อำนาจที่จะทำให้สังขารธรรมอันหนึ่งดับไปเพื่อให้อันอื่นเกิดขึ้นมาแทนใหม่ มันก็มีอยู่ในร่างกายนี้ เรียกว่า อำนาจลึกลับอะไรก็ไม่รู้เหลือที่จะพูดได้ ที่ทำให้มีการเกิด มีการตั้งอยู่ มีการดับลงไปแห่งสังขารธรรมทั้งหลาย ทีนี้อำนาจที่ทำให้เกิดสังขารธรรมนี้คือ ผู้สร้างโลก อำนาจที่ทำให้สังขารธรรมตั้งอยู่ชั่วขณะเปลี่ยนไป นี้เรียกว่า ผู้ควบคุมโลก อำนาจที่สังขารธรรมดับลงไปแล้วเกิดใหม่นี้เรียกว่า ผู้ทำลายโลก เพราะฉะนั้นพระเจ้าผู้สร้างโลก ควบคุมโลก และทำลายโลก ก็อยู่ที่นี่ หรือว่า พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวรก็อยู่ที่นี่ อยู่ตรงอำนาจที่กำลังทำหน้าที่เพื่อสร้างสังขารธรรม ควบคุมสังขารธรรม หรือทำให้ดับไปเป็นครั้งคราว เมื่อเป็นอย่างนี้เราก็จะระบุไปยังสิ่งลึกลับอะไรอันหนึ่งซึ่งทำให้เกิดการเกิดขึ้นแห่งสังขาร ตั้งอยู่แห่งสังขาร ดับไปแห่งสังขาร นั่นแหล่ะว่าเป็นพระเจ้า

    เมื่อตะกี้นี้เราใช้คำว่า “ ธรรมชาติ “ ตัวธรรมชาติ กฎธรรมชาติ หน้าที่ตามธรรมชาติ ผลตามธรรมชาตินั้นคือพระเจ้า เดี๋ยวนี้เรามาพูดว่าอำนาจลึกลับอะไรอันหนึ่งซึ่งเราก็ไม่รู้ แต่เขาเรียกกันว่า “ ธรรม “ ที่ทำความเกิด ทำความตั้งอยู่ทำความดับไป นี้ก็เรียกว่า “ ธรรมชาติ “ ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันก็คือธรรมชาติอีกนั่นแหล่ะ แม้ว่าอำนาจนี้จะเป็นอำนาจลึกลับวิเศษน่าอัศจรรย์เข้าใจไม่ได้ ก็คือธรรมชาตินั่นเอง นี่แหล่ะพระเจ้าคืออำนาจที่ลึกลับเหลือประมาณที่ทำหน้าที่สร้าง ควบคุม และทำลาย นี้เราได้พระเจ้ามาถึง 2 ชนิดแล้ว<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ทีนี้จะกล่าวถึงชนิดสุดท้าย คือพระเจ้าจริงๆ คือตัวเองนี้ ตนเองมันก็มีพระเจ้าอย่างที่ว่าอยู่แล้ว คือสังขารธรรมในตัวคนเรานี้ มันก็มีกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ มีลักษณะสร้าง ควบคุม และทำลายอยู่แล้ว ทีนี้เมื่อได้อบรมให้ดีถึงที่สุด ตนเองก็จะเป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ไม่มีอะไรอื่น ดังพุทธภาษิตว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนนั่นแหล่ะเป็นที่พึ่งแห่งตน คำว่า “ ตน “ นี้มันไม่ใช่ตนโง่ๆ อย่างทีแรกที่เกิดมาแล้วไม่รู้อะไร ก็โง่ต่ออารมณ์ที่เข้ามาแวดล้อม ตนอย่างนั้นใช้ไม่ได้ มันก็ต้อง “ ตน” ที่อบรมดีแล้ว ศึกษาดีแล้ว ผ่านมาพอแล้ว เป็นตนที่เข้าถึงธรรมชาติแล้ว เป็นตนที่ประกอบอยู่ด้วยอำนาจตามกฎของธรรมชาติ อำนาจอันสูงสุดของธรรมชาติเดี๋ยวนี้ได้มามีอยู่ในตนนี้แล้ว เพราะว่ามันได้อบรมดีแล้ว ฉะนั้นมันต้องการอะไรก็ได้ ตนที่อบรมดีแล้วนี้ต้องการอะไรก็ได้ ต้องการมรรค ผล นิพพานก็ได้ หรือต้องการอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้มันเป็นตนที่อบรมดีแล้วเท่านั้นแหล่ะ ต้องการเงินก็ได้ ต้องการชื่อเสียงก็ได้ ต้องการความสุขอย่างไหนก็ได้ ต้องการมรรค ผล นิพพานก็ได้ นี่คำว่า “ ตน “ นี่คือพระเจ้าที่แท้จริง นอกจากจะเป็นพระเจ้าที่แท้จริงแล้ว ยังเป็นพระเจ้าที่อยู่กับเนื้อกับตัวของเราตลอดเวลาอีกแล้วด้วย แล้วจะเอาอย่างไรกันอีก เป็นพระเจ้าที่แท้จริงคือช่วยได้ แล้วยังเป็นพระเจ้าที่อยู่กับเราตลอดเวลา คือตัวเรานั่นแหล่ะเป็นพระเจ้าเสียเอง คนที่อบรมดีแล้วทุกอย่าง ทุกทางตั้งแต่ต้นจนปลาย นี้เป็นพระเจ้า
    <O[​IMG]</O[​IMG]<O[​IMG]</O[​IMG]
    เราก็จะต้องนึกกันต่อไปอีกสักหน่อยหนึ่งว่า ทำอย่างไรจึงจะเกิด “ ตน “ หรือพระเจ้าชนิดนี้ขึ้นมา เพราะว่าเราต้องการที่จะเป็น มนุษย์ของพระเจ้า ทีนี้คิดทบทวนไปมามันก็เข้ารูปลงรอยกันไปได้ว่า ถ้าเราต้องการจะเป็นมนุษย์ของพระเจ้า เราก็จงอบรมตนให้มีวิวัฒนาการ หรือความเจริญก้าวหน้าถึงที่สุดก็แล้วกัน เราจะเป็นคนของพระเจ้า เราจะมีพระเจ้า เราจะถึงพระเจ้า เราจะอยู่กับพระเจ้าได้ ก็โดยที่มีการอบรมตนให้ถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ คือ ประกอบอยู่ด้วยธรรม ประกอบอยู่ด้วยพระธรรมเท่านั้น แล้วตนนี้ก็จะถึงสภาพสูงสุด เพราะประกอบอยู่ด้วยธรรม มีคุณสมบัติ มีความสามารถหรือมีสมรรถภาพในการที่จะช่วยตนได้ทุกอย่าง ต้องการอะไรก็ได้ทั้งนั้น แล้วไม่มีอะไรที่ต้องกลัว ไม่มีอะไรจะเหลืออยู่สำหรับกลัวสำหรับเป็นปัญหา ต้องการอะไรที่ควรต้องการ มันมีปัญหาว่าอะไรควรต้องการ มันต้องการอะไรในทางที่ควรต้องการ มันก็ได้ทั้งนั้น กระทั่งมรรค ผล นิพพานก็ได้<O[​IMG]</O[​IMG]

    ถ้าเราจะต้องการตนชนิดนี้ หรือว่าต้องการพระเจ้าชนิดนี้แล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไร มันมีคำตอบอย่างกำปั้นทุบดินว่าต้องปฏิบัติตามพระเจ้า คือตามกฏเกณฑ์ที่มีอยู่สำหรับตนนี้ปฏิบัติตามพระเจ้า ในทางพุทธศาสนาก็ว่าจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง พูดสั้นๆ ก็ว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ ถ้าภิกษุทั้งหลายจะเป็นอยู่กันโดยชอบแล้ว โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ “ นี้เอาหลักมาง่ายๆ ก็ว่า “ เป็นอยู่ให้ถูกต้อง “ เป็นอยู่ให้ถูกต้อง นี้มันเป็นคำที่ชัดดีอยู่แล้ว แต่บางคนอาจจะมองไม่ทั่วถึง ดังนั้นจึงต้องจำแนกออกเป้นอริยมรรคมีองค์ 8<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ที่เราเรียกกันว่ามรรคมีองค์ 8 ประการ คือความถูกต้องในความคิดเห็นเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องของความปรารถนาและใฝ่ฝันเรียกว่า สัมมาสังกัปโป ความถูกต้องในการพูดจาเรียกว่า สัมมาวาจา ความถูกต้องในการประกอบการงานทางกาย เรียกว่า สัมมากัมมันโต ความถูกต้องในการหาเลี้ยงชีวิตเรียกว่า สัมมาอาชีโว ความถูกต้องในการพากเพียร ขยันขันแข็งตะบึงตะบันไปไม่มีที่สิ้นสุดเรียกว่า สัมมาวายาโม ความถูกต้องในการดำรงสติไว้ตลอดเวลานี้เรียกว่า สัมมาสติ ความถูกต้องในการมีกำลังใจเข้มแข็งถึงที่สุดอยู่ตลอดเวลานี้ เรียกว่า สัมมาสมาธิ รวมกันเป็น 8 ความถูกต้อง คือทางปฏิบัติ นี่แหล่ะคือหนทางหรือทางปฏิบัติ เพื่อให้เราเป็นคนของพระเจ้า มีพระเจ้า ถึงพระเจ้าและอยู่กับพระเจ้า นี้เรียกว่าปฏิบัติตามพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าต้องการให้ทำอย่างนี้ ถ้าพระเจ้าองค์ไหนไม่ต้องการให้ทำอย่างนี้ ถอดออกจากตำแหน่งพระเจ้าได้เลย ถือว่าเป็นพระเจ้าไม่ได้<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    มีคำง่ายๆ สั้นๆ คำเดียวที่เป็นหลักของการปฏิบัติรวบรัดเรียกว่าทางลัดหรือเคล็ด ก็คือการปฏิบัติที่ตนทำตนให้เป็นคนของผู้อื่นเสีย ทำตนให้เป็นคนของผู้อื่นเสีย อย่าเป็นคนของตัว อย่าเป็นตัวของตัว อย่าเพื่อตัว อย่าเห็นแก่ตัว คล้ายๆ กับว่า เราลืมตัวเลย เรื่องตัวของเรานี้ไม่ต้องนึกถึง มุ่งหน้าแต่จะทำประโยชน์ของผู้อื่นเท่านั้น อย่าเพ่อตกใจว่าจะไม่มีข้าวกิน มันจะโง่เกินไป ถ้ามาตกใจว่ามัวแต่ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นแล้วจะไม่มีข้าวกิน นั่นเป็นคนที่มองอะไรอย่างลวกๆ มากเกินไป ถ้าเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นล้วนๆ จริงแล้ว จะมีข้าวกินจนกินไม่ไหว ขอท้าไว้อย่างนี้และจะไม่อธิบาย ขออ้างหลักฐานพระพุทธเจ้าเป็นพยานว่า มัวแต่ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น แล้วมีข้าวกินจนกินไม่ไหว คือพระพุทธเจ้า ฉะนั้น ขอให้เราลืมนึกถึงประโยชน์ของตัวเราเถอะ เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาเถอะ มันจะเกิดความถูกต้อง 8 ประการ ขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ แล้วก็จะเป็นการปฏิบัติชนิดที่พระเจ้าต้องการ รวมความว่าพระเจ้าต้องการให้คนทุกคนลืมตัวเอง นึกถึงแต่ผู้อื่น ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แล้วทุกคนทำอย่างนั้นแล้วแต่ละคนจะมีข้าวกินไม่ไหว นี้เรียกว่าวิธีที่จะให้มนุษย์เป็นคนของพระเจ้า เลิกเป็นคนของกิเลสกันเสียที อย่าเป็นคนของกิเลสซาตานพญามารเลย จงเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเถิด<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    คำสุดท้ายที่จะพูดก็เหลืออยู่แต่ว่า เราจะเป็นพระเจ้าเสียเอง ถ้าเราได้ปฏิบัติโดยหลักที่กล่าวมาอย่างนั้นแล้ว คือมีตนที่ชนะกิเลสแล้ว เราเป็นพระเจ้าเสียเอง เหมือนกับที่ได้อธิบายมาแล้วเมื่อตะกี้นี้คือ เป็นพระเจ้าด้วยตนเอง ตนเองที่อบรมดี ฝึกฝนดี ก้าวหน้าถึงที่สุดแล้ว เรียกว่ามีตนชนิดที่เห็นแก่ตนนั้นออกเสียแล้ว ชนะกิเลสแล้ว ชนะตัวเองที่เป็นกิเลสเสียแล้ว ก็เรียกว่ามีตนอันชนะแล้ว ตนชนิดนี้ไม่มีความยึดมั่นว่า ตัวกู – ของกู ไม่มีกิเลสอะไรจะเกิดขึ้นได้ ก็เลยเป็นตนสูงสุด ที่ต้องการอะไรก็ได้ทั้งนั้น ต้องการความสุข อย่างมรรค ผล นิพพานก็ได้ตามที่ต้องการ เรียกว่า เป็นตนที่สามารถทำอะไรที่ควรทำได้ทุกอย่าง ทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อผู้อื่น นี่แหล่ะคือพระเจ้าที่แท้จริง มันเป็นตนที่ไม่มีปัญหาเหลืออยู่ต่อไป ถ้าไม่มาถึงขั้นนี้ ปัญหาจะยังเหลืออยู่สำหรับความเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ แต่ถ้ามันมาถึงขั้นที่ตนชนะตนแล้ว ชนะกิเลสแล้วมันก็ถึงที่สุด คือมีธรรมะเป็นตน มีตนเป็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู กลายเป็นธรรมหรือธรรมชาติไปเสีย เดี๋ยวนี้จิตใจไม่มีความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวเพื่อตัว เพื่อของตัว นี้เรียกว่ามันเป็นสิ่งสูงสุดในทางคุณค่า สูงสุดในทางสมรรถภาพ สูงสุดในความประเสริฐวิเศษทุกๆ ทาง นี้เราเรียกโดยโวหารว่า “ เราเป็นพระเจ้ากันเสียเองทุกๆ คน “ แล้วความเป็นพระเจ้านั้นจะเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะไปอยู่ในโครงร่างไหน ถ้าเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องแล้ว มันจะเป็นมนุษย์เหมือนกันหมด เรียกว่ามนุษย์ที่ปราศจากกิเลส เหมือนกันหมด เรียกว่ามีธรรมะเป็นตน มีตนเป็นธรรมะนั่นแหล่ะคือพระเจ้า เพราะฉะนั้นพระเจ้าก็คือตน ตนก็คือพระเจ้า คือตนที่เป็นธรรมะ ความเป็น คนของกิเลส หมดไปไม่มีเหลือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ขอให้ทบทวนดูให้ดีทุกๆ คนว่า มีความแตกต่างอย่างไร ระหว่าง ความเป็นมนุษย์ของพระเจ้า กับความเป็นคนของกิเลส เอาไปทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง ชัดเจนแล้ว มันจะง่ายที่สุด ในการที่จะแยกตนออกมาเสียจากความเป็นคนของกิเลส มาสู่ความเป็นมนุษย์ของพระเจ้า มีผลเท่ากับช่วยกันสร้างโลกพระศรีอาริย์ขึ้นมาในโลกนี้ได้ในพริบตาเดียว ไม่ต้องมีปัญหาเรื่องการเมือง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องก่อการร้าย หรือเรื่องอะไรที่มันเป็นกันอยู่ทั่วโลกอย่างในปัจจุบันนั้น เพราะว่ามันขบถต่อพระเจ้า ไม่นับถือพระเจ้า นับถือกิเลส เป็นคนของกิเลส เดี๋ยวนี้มาทำให้เป็น มนุษย์ของพระเจ้า เสียเท่านั้น ปัญหาก็จะหมดไป<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    เดี๋ยวนี้ปัญหาในโลกมาติดชะงักอยู่ตรงที่ว่า ไม่มีมนุษย์ของพระเจ้า มีแต่ที่เป็นคนของกิเลส เพราะฉะนั้นวิชาความรู้มันจะดีเท่าไรก็ช่วยไม่ได้ แผนการจะดีอย่างไรเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะไม่มีคนดีที่จะปฏิบัติตามแผนการ มีแต่คนของกิเลส พอยื่นแผนการที่ดีให้ไป ก็ไปทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเขาเอง ความรู้จะดีเท่าไร แผนการจะดีเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์แก่คน หรือแก่ประเทศชาติอยู่นั่นเอง เพราะว่าขาดมนุษย์ของพระเจ้า มีอยู่แต่ คนของกิเลส<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    มันมีความสำคัญอย่างยิ่งอยู่อย่างนี้ ในการที่ว่าโลกนี้จะรอดอยู่ได้อย่างเป็นโลกของมนุษย์นั้น จะต้องมีการแก้ไขกันที่ตรงนี้ มิฉะนั้นแล้วมันจะเป็นโลกของคนที่เต็มอยู่ด้วยกิเลสอยู่ตลอดไป


    พุทธทาสภิกขุ
    http://palungjit.org/threads/คุณคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนามีความสัมพันธ์กันหรือไม่.266146/page-14
    <O[​IMG]</O[​IMG]
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ท่านจงทรงจำเราไว้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๑
    [๓๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จดำเนินทางไกลในระหว่างเมืองอุกกัฏฐะและ
    เมืองเสตัพยะ แม้โทณพราหมณ์ก็เดินทางไกลในระหว่างเมืองอุกกัฏฐะและเมืองเสตัพยะ
    โทณพราหมณ์ได้เห็นรอยกงจักรในรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาคมีซี่ตั้งพัน ประกอบด้วยกงและดุม
    บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวงครั้นเห็นแล้วจึงรำพึงว่า อัศจรรย์จริงหนอท่านผู้เจริญ สิ่งไม่เคยมีมามีขึ้น
    รอยเท้าเหล่านี้ชะรอยจักไม่ใช่รอยเท้ามนุษย์ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จแวะออกจากทาง
    ประทับนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ทรงคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ครั้งนั้น
    โทณพราหมณ์ติดตามรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาค ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งที่โคนไม้แห่งหนึ่ง
    น่าพอใจ ควรแก่ความเลื่อมใส มีพระอินทรีย์อันสงบ มีพระทัยอันสงบ ถึงความฝึกฝนและความสงบ
    อันยอดเยี่ยมมีตนอันฝึกแล้วคุ้มครองแล้ว มีอินทรีย์อันรักษาแล้ว เป็นผู้ประเสริฐ ครั้นเห็นแล้ว
    จึงเข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ แล้วทูลถามว่า ท่านผู้เจริญเป็นเทวดาหรือ
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์ เรามิใช่เป็นเทวดา ฯ
    โท. ท่านผู้เจริญเป็นคนธรรพ์หรือ ฯ
    พ. ดูกรพราหมณ์ เรามิใช่เป็นคนธรรพ์ ฯ
    โท. ท่านผู้เจริญเป็นยักษ์หรือ ฯ
    พ. ดูกรพราหมณ์ เรามิใช่เป็นยักษ์ ฯ
    โท. ท่านผู้เจริญเป็นมนุษย์ใช่ไหม ฯ
    พ. ดูกรพราหมณ์ เรามิใช่เป็นมนุษย์
    โท. เราถามท่านว่า เป็นเทวดาหรือ ท่านตอบว่าไม่ใช่ เราถามว่าเป็นคนธรรพ์หรือ
    ท่านตอบว่าไม่ใช่ เราถามว่าเป็นยักษ์หรือ ท่านตอบว่าไม่ใช่ เราถามว่าเป็นมนุษย์หรือ ท่านก็
    ตอบว่าไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นท่านผู้เจริญเป็นอะไรแน่ ฯ
    พ. ดูกรพราหมณ์ เราพึงเป็นเทวดา เพราะยังละอาสวะเหล่าใดไม่ได้ อาสวะเหล่านั้น
    เราละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วนกระทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีก
    ต่อไปเป็นธรรมดา ดูกรพราหมณ์ เราพึงเป็นคนธรรพ์ ... เราพึงเป็นยักษ์ ... เราพึงเป็นมนุษย์
    เพราะยังละอาสวะเหล่าใดไม่ได้อาสวะเหล่านั้น เราละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดุจตาล
    ยอดด้วนกระทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนดอก
    อุบล ดอกปทุม หรือดอกบัวขาว เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ตั้งอยู่พ้นน้ำ แต่น้ำมิได้แปดเปื้อน
    แม้ฉันใด ดูกรพราหมณ์ เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดในโลกเติบโตขึ้นในโลก อยู่ครอบงำโลก
    อันโลกมิได้แปดเปื้อน ดูกรพราหมณ์ ท่านจงทรงจำเราไว้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า ฯ
    ความบังเกิดเป็นเทวดา หรือคนธรรพ์ ผู้เที่ยวไปในเวหา
    พึงมีแก่เราด้วยอาสวะใด เราพึงถึงความเป็นยักษ์ และ
    เข้าถึงความเป็นมนุษย์ด้วยอาสวะใด อาสวะเหล่านั้นของ
    เรา สิ้นไปแล้ว เรากำจัดเสียแล้ว กระทำให้ปราศจาก
    เครื่องผูกพัน ดอกบัวตั้งอยู่พ้นน้ำ ย่อมไม่แปดเปื้อน
    ด้วยน้ำ ฉันใดเราก็ย่อมไม่แปดเปื้อนด้วยโลก ฉันนั้น
    ดูกรพราหมณ์ เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นพระพุทธเจ้า ฯ
    จบสูตรที่ ๖
     

แชร์หน้านี้

Loading...