เมื่อข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคจิตเภท(คนบ้า)

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย kingkaewmath, 31 กรกฎาคม 2012.

  1. kingkaewmath

    kingkaewmath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +773
    ข้าพเจ้ามีอาชีพรับราชการครู จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้วยเกียรตินิยมอันดับที่สอง และไม่คาดคิดว่าข้าพเจ้าจะกลายเป็นคนบ้า หรือเป็นผู้ป่วยโรคจิตเภท ดูเผินๆแล้วข้าพเจ้าก็เป็นคนปกติคนหนึ่งที่ทำงานได้ และนี่เป็นประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า โดยจะขอเล่าไว้เป็นความรู้แก่ผู้ที่สนใจดังนี้
    ปลายปี 2553 ช่วงเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่ข้าพเจ้านั้นหมกมุ่นอยู่กับการเมือง มีความเครียดและกดดันสูง ประกอบกับทั้งการหมกมุ่นอยู่กับเรื่องลึกลับ จู่ๆ ข้าพเจ้าก็คิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ
    ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองระลึกชาติได้ เกิดความสับสน และเกิดการปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกันแบบจับแพะชนแกะ เกิดพฤติกรรมที่ผิดปกติขึ้นกับข้าพเจ้าโดยข้าพเจ้านั้นสะดุ้งตื่นมาในตอนเช้ามืด และรู้สึกว่ามีข้อมูลมากมายไหลออกมาจากสมองจนข้าพเจ้านอนต่อไม่ได้ ต้องลุกมาเขียนหนังสือโดยข้อมูลที่ไหลออกมาจากสมองนั้นข้าพเจ้าได้เขียนออกมาเป็นหนังสือได้หนึ่งเล่มใช้เวลา เจ็ดวัน ความเครียดรุนแรงมากขึ้นเมื่อข้าพเจ้าเชื่อว่ามีเจ้ากรรมนายเวรจำนวนมากรอขอส่วนบุญและกำลังจะมาพรากชีวิตของญาติพี่น้องและคนที่ข้าพเจ้ารักไปทีละคน จนทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจนิ่งดูดายอยู่ได้ ต้องทำพิธีกรวดน้ำสะเดาะเคราะห์ด้วยตัวเอง ข้าพเจ้าคิดว่าตนเองได้ค้นพบสูตรและทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่คนระดับไอน์สไตน์ยังคิดไม่ออก รวมทั้งเชื่อว่าตนเองคือไอน์สไตน์กลับชาติมาเกิดเพื่อสานต่อหน้าที่ที่ทำค้างไว้เมื่อชาติที่แล้ว และยังคิดว่าตนเองล่วงรู้วาระจิตของคนอื่นรู้ว่าคนอื่นคิดอะไร และคิดว่าคนอื่นรับคลื่นความคิดของเราได้ และคิดว่าความคิดที่ตนเองคิดนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ

    วันที่ 4 พฤศจิกายน 2553 ข้าพเจ้าขับรถไปทำงานด้วยความเชื่อที่ว่าขับรถด้วยความเร็วเหนือแสงเมื่อไปถึงที่ทำงานข้าพเจ้าได้คำนวณระยะทาง อัตราเร็วและเวลาโดยใช้สูตรทางฟิสิกส์ ที่คิดว่าตนเองนั้นขับมาได้ด้วยอัตราเร็วเหนือแสง
    ช่วงกลางวันวันที่ 4 เกิดความสับสนขึ้นกับข้าพเจ้าอย่างมาก ข้าพเจ้าคิดว่าตนเองกำลังจะตาย เพราะขับรถมาด้วยอัตราเร็วที่เหนือแสงและร่างกายมนุษย์ทนอยู่ไม่ได้ คงมีแต่มนุษย์ต่างดาวเท่านั้นที่ทำได้ จนเกิดอาการใจสั่นขึ้นมากระทันหันคล้ายหัวใจกำลังจะวาย และเชื่อว่ามีองค์เทพมาสิงผ่านร่างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพูดไปเรื่อยจับใจความไม่ได้
    วันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 ข้าพเจ้าสับสนมากและเกิดอาการลุกลี้ลุกลน ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าพเจ้า จนในที่สุดข้าพเจ้าตัดสินใจบอกให้เพื่อนร่วมงานพาไปโรงพยาบาลจิตเวช(โรงพยาบาลสวนปรุง) เพื่อไปพิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
    ที่โรงพยาบาลข้าพเจ้าได้คุยกับจิตแพทย์และนักจิตวิทยา เล่าสิ่งที่ตนเองเชื่อ ให้พวกเขาฟัง และในที่สุดพวกเขาก็สรุปว่าข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคจิตเภทระยะที่สอง
    และนี่เองที่ทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นคนบ้าและต้องทานยาปรับสารเคมีในสมองทุกวันเพื่อป้องกันอาการกำเริบ (ยาต้านโรคจิต)ความภาคภูมิใจในตัวเองลดลง ความมั่นใจในตัวเองลดลง และจนกระทั่งบัดนี้อาการผิดปกติและความเชื่อแปลกๆได้หายไปจากความคิดของข้าพเจ้าแล้ว แต่ก็เกิดความวิตกกังวลและความไม่มั่นใจในตัวเอง ความสามารถในการพูดของข้าพเจ้าลดลง จนบัดนี้ ผ่านมาปีกว่าแล้วที่ข้าพเจ้าต้องกินยา และต้องกินต่อไปตลอดชีวิต


    อาการป่วยของข้าพเจ้านี้เป็นการป่วยแบบมีอาการหลงผิด คือหมกมุ่นอยู่กับธรรมะมากเกินไปจนหลงไปว่าตนเองบรรลุธรรม หลงไปว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษหยั่งรู้อดีตชาติของตนเองและคนอื่น หลงไปว่าอ่านจิตใจคนอื่นได้ หลงไปว่าตนเองค้นพบสูตรและทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่คนระดับไอน์สไตน์ยังคิดไม่ออก หลงไปว่ามีเทพพรหมมากมายจะมาอยู่ที่บ้านจนตั้งหิ้งบูชาไว้

    ประสพการณ์นี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าตัวเองนั้นเคยเชื่ออะไรง่ายๆโดยไม่พิจารณาไตร่ตรองเสียก่อนและบัดนี้ข้าพเจ้ากลายเป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆแม้แต่ความคิดของตนเองก็เชื่อไม่ได้สิ่งที่เราคิดว่ามีจริงมันอาจจะไม่มีจริง สิ่งที่เราคิดว่ามันไม่มีจริง มันอาจจะมีจริง และขณะนี้ข้าพเจ้ายังต้องทนทุกข์อยู่กับโรคนี้ซึ่งมันทำให้ชีวิตข้าพเจ้าไม่มีความสุขสารแห่งความสุขไม่หลั่ง เบื่อหน่าย ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2012
  2. nuzmul

    nuzmul Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +57
    ธรรมดาครับ เรื่องธรรมดา

    หากอยากหายสนิท ต้องเปลี่ยนมารับประทานอาหารสดจากธรรมชาติ เช่น พืชผัก ผลไม้ หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ เพราะคุณไวต่อวิญญาณรอบตัว

    หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะสามารถ ลดขนาดของยา ที่รับประทานอยู่

    เดพากิน Depakin,ริสเพอตัล Risperdal ,โลลาซีแพรม Lorazapram, ใช่มั้ยครับ ที่รับประทานอยู่

    ยาพวกนี้ หากทานในระยะยาว ส่งผลต่อ สมอง และ ดัชนีตับ

    ฉะนั้น ให้พยายาม สังเกต อาการทั้งหมด และกำหนดรับรู้ เท่านั้น ไม่ต้องเล่าให้ใครฟัง แต่ให้กำหนดว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป

    แค่นี้เอง

    โดยไม่ต้องพยายามเข้าใจอะไร ทั้งนั้น

    อาการจะดีขึ้น และสามารถ ลดขนาดยาลงได้ครับ

    เป็นกำลังใจให้นะครับ
     
  3. jamroll

    jamroll เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +295
    มีเพื่อนสนิทเป็นเหมือนกันค่ะ ปัจจุบันก็ดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่ก็ทานยาสม่ำเสมอ ในสังคมปัจจุบันมีคนเป็นแบบนี้เยอะค่ะ อย่าไปวิตกกังวลนะคะ เอาใจช่วยด้วยคนค่ะ
     
  4. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ติงเห็นรุ่นพี่ท่านหนึ่งท่านเป็นครู มีอาการแบบนี้เลยค่ะ
    ท่านเคยเป็นคนที่เก่งมากๆ
    สนใจการเมืองระดับแกนนำ
    ปัจจุบัน ท่านก็ยังเป็นครู
    มีหน้าที่ไปจ่ายตลาด ทำกับข้าว ซักผ้า รีดผ้า ขัดรองเท้า ทำความสะอาดบ้าน
    ท่านยังอ่านหนังสือการเมืองอยู่นะคะ
    มีอาการหลอนบ่อย ต้องทานยาประจำ
     
  5. kingkaewmath

    kingkaewmath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +773
    ขอบคุณทุกคำแนะนำและทุกกำลังใจนะคะ จะพยายามปรับตัวให้อยู่ได้และทำงานได้แบบปกติที่สุด ตอนนี้มีีปัญหาคือเบื่อง่าย กิจกรรมที่สนุกสนานไม่มี ก็ทานยาสม่ำเสมอนะคะ แล้วจะมาอัพเดทอาการบ่อยๆคะ
    ส่วนยาที่กินตอนนี้มีอยู่ สี่ตัวคือ
    - Duloxetine hcl 60 MG
    - Risperidone 2 MG
    - Trihexyphenidyl 2MG
    - Reboxetine 4 MG
    แล้วก็มีวิตามิน บีหนึ่งบำรุงประสาทคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2012
  6. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    น่าจะตามสติไม่ทันค่ะ..ของแบบนี้เมื่อถึงเวลาน่าจะเป็นทุกคน..ขึ้นอยู่กับว่าจะควบคุมอารมณ์และตามสติทันหรือเปล่าน่ะค่ะ
     
  7. kingkaewmath

    kingkaewmath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +773
    วันนี้เอารายระเอียดเกี่ยวกับโรคจิตเภทมาฝากค่ะ
    โรคจิตเภทคือ กลุ่มอาการของโรคจิต ที่มีความผิดปกติของความคิด มีลักษณะ
    อาการแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ ลักษณะอาการทางบวก และลักษณะอาการทางลบ

    กลุ่มลักษณะอาการทางบวกหมายถึง อาการที่มีเพิ่มมากกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่
    - ประสาทหลอน เช่นได้ยินเสียงคนพูดคุย ได้ยินเสียงคนพูดตำหนิ พูดโต้ตอบเสียง
    นั้นเพียงคนเดียว
    - อาการหลงผิด เช่นคิดว่ามีเทพวิญญาณอยู่ในร่างกาย คอยบอกให้ทำสิ่งต่างๆ
    - ความคิดผิดปกติ เช่นพูดไม่เป็นเรื่องเป็นราว พูดไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนเรื่องพูด
    โดยไม่มีเหตุผล
    - พฤติกรรมผิดปกติ เช่นอยู่ในท่าแปลกๆ หัวเราะหรือร้องไห้ สลับกันเป็นพักๆ

    กลุ่มลักษณะอาการทางลบหมายถึง อาการที่ขาดหรือบกพร่องไปจากคนปกติทั่วๆไป ได้แก่
    - สีหน้าอารมณ์เฉยเมย ชีวิตไม่มีจุดหมาย ไม่มีสัมพันธภาพกับใคร ไม่พูด ไม่มีอาการยินดียินร้าย
    </TD><TD valign="top" colspan="2"></TD></TR><TR><TD valign="top" height="1364" colspan="3">



    อาการโดยรวมที่พบได้ในภาวะความเจ็บป่วยของโร1. มองโลกผิดไปจากความเป็นจริง ผู้ป่วยโรคจิตเภทมักมองโลกผิดไปจากความจริง ซึ่งแตกต่างจากคนทั่วๆไป ผู้ป่วยอาจจะมีอาการวิตกกังวล รู้สึกสับสน อาจจะดูเหินห่าง แยกตัวจากสังคม บางครั้งอาจนั่งนิ่งเป็นหิน ไม่เคลื่อนไหวและไม่พูดจาใดๆ เป็นชั่วโมงๆ หรืออาจเคลื่อนไหวช้า ทำอะไรช้าๆ ผู้ป่วยอาจมีพฤติกรรมแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา
    2. ประสาทหลอน ผู้ป่วยอาจคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น เช่น ได้ยินเสียงคนมาสั่งให้ตนทำโน่นทำนี่ ได้ยินคนมาพูดคุยกับตน มาเตือน หรือมาตำหนิในเรื่องต่างๆ ทั้งๆ ที่ความจริงไม่มีคนพูดหรือไม่มีต้นกำเนิดเสียงเหล่านี้เลย ซึ่งเราเรียกอาการนี้ว่า "หูแว่ว" ผู้ป่วยบางคนอาจมองเห็นคน ผี หรือสิ่งของต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มีสิ่งเหล่านี้และไม่มีใครเห็น เหมือนผู้ป่วย เราเรียกอาการนี้ว่า "เห็นภาพหลอน"
    3. ความคิดหลงผิด ความคิดหลงผิดเป็นความเชื่อของผู้ป่วยที่ผิดไปจากความเป็นจริงและไม่ได้เป็น ความเชื่อในวัฒนธรรมของผู้ป่วย ซึ่งความคิดหลงผิดในผู้ป่วยจิตเภทนี้มักจะแปลกประหลาดมาก เช่น เชื่อว่าพฤติกรรมของเขาหรือของคนอื่นๆถูกบังคับให้เป็นไปด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าจากต่างดาว เชื่อว่าความคิดของตนแพร่กระจายออกไปให้คนอื่นๆที่ไม่รู้จักรับรู้ได้ว่าตน คิดอะไรอยู่ หรือเชื่อว่าวิทยุหรือโทรทัศน์ต่างก็พูดถึงตัวผู้ป่วยทั้งๆที่ในความเป็น จริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
    4. ความคิดผิดปกติ ผู้ป่วยจะไม่สามารถคิดแบบมีเหตุมีผลได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยพูดคุยกับคนอื่นไม่ค่อยเข้าใจ เมื่อคนอื่นคุยกับผู้ ป่วยไม่ค่อยเข้าใจก็มักจะไม่ค่อยคุยด้วย ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยถูกแยกให้อยู่คนเดียว
    5. การแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสม ผู้ป่วยมักจะแสดงอารมณ์ไม่เหมาะสมกับเรื่องที่กำลังพูด เช่น พูดว่าตนกำลังถูกปองร้ายจะถูกเอาชีวิต ซึ่งขณะพูดก็หัวเราะอย่างตลกขบขัน (โดยไม่ใช่คนปกติที่ต้องการทำมุขตลก)พบได้บ่อยเช่นกันที่ผู้ป่วยจิตเภท จะไม่ค่อยแสดงสีหน้า หรือความรู้สึกใดๆ รวมทั้งการพูดจาก็จะใช้เสียงระดับเดียวกันตลอด ไม่แสดงน้ำเสียงใดๆ (monotone)ซึ่งอาการของผู้ป่วยจิตเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื้อรังมีบ้างใน บางคนที่มีอาการเพียงช่วงเวลาสั้นๆและ สามารถหายเป็นปกติได้ แต่ก็มักต้องการการรักษาที่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเหมือนๆ กัน
    6. ในเรื่องของการฆ่าตัวตาย การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายมากสำหรับผู้ป่วยจิตเภท ถ้าผู้ป่วยพยายามฆ่าตัวตายหรือมีการวางแผนที่จะทำอย่างนั้น ควรจะต้องให้การช่วยเหลืออย่างรีบด่วน เพราะผู้ป่วยจิตเภทมีการฆ่าตัวตายสูง
    อะไรคือสาเหต
    เชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติของสมองบางส่วน โดยอาจขาดการกระตุ้นให้ทำงาน จากสารสื่อสารของใยประสาทในสมอง ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่

    ในปัจจุบันยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงของโรคจิตเภท ดูเหมือนว่ากรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมจะมีอิทธิพลต่อการเกิดโรคนี้พอๆกัน นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ตรงไปตรงมาว่ายีนส์อะไร สารเคมีตัวไหน หรือความเครียดแบบใดที่เป็นสาเหตุของโรคจิตเภทนี้โดยตรง
    โรคจิตเภทมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งทางร่างกายนั้นเกิดจากความผิดปกติในการทำงานของสมองในการสร้างสาร บางอย่างที่มีปริมาณมากหรือน้อยเกินไป ส่วนทางด้านจิตใจนั้น เกิดจากความเครียดในชีวิตประจำวันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเจ็บป่วยขึ้น ดังนั้นหากสงสัยว่าท่านหรือผู้ใกล้ชิดมีอาการดังกล่าว ขอแนะนำให้รีบไปปรึกษาแพทย์ เพื่อจะได้ให้การบำบัดรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มแรก

    การรักษาโรคจิตเภท เป้าหมายของการรักษามี 3 ประการคือ
    1. รักษาอาการให้หายหรือบรรเทาลง
    2. ป้องกันไม่ให้ป่วยอีก โดยการให้ยากินติดต่อกัน หลีกเลี่ยงสาเหตุที่จะทำให้ป่วย หรืออาการกำเริบขึ้นควรสังเกตุอาการก่อนที่จะมีอาการกำเริบใหม่ เพื่อปรับ การรักษาก่อนที่จะมีอาการรุนแรง
    3. การฟื้นฟูสมรรถภาพ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่นฝึกทักษะ การใช้ชีวิตในสังคม ทักษะในการประกอบอาชีพ ทักษะในการสื่อสาร

    การรักษาให้หายหรือบรรเทาลง
    การรักษาด้วยยา เป็นวิธีการรักษาโรคจิตเภทที่สำคัญที่สุด ยาที่ใช้ัีรักษาโรคจิตเภทมี 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
    1. ยารักษาโรคจิตเภททั่วๆไป เช่น คลอโพรมาซีน ฮอโลเพอริดอล เป็นต้น การออกฤทธิ์ส่วนใหญ่โดยปิดกั้นการทำงานของสารสื่อสารประสาท โดปามีน อาการข้างเคียง และข้อควรระวัง อาจเกิดอาการข้างเคียงได้ ขึ้นกับตัวยาและบุคคล เช่นการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อผิดปกติ โดยอาจเกิดอาการกล้ามเนื้อเกร็ง มือสั่น ตัวแข็ง คอแข็งได้ อาจแก้ไขด้วยยาแก้แพ้ อาการข้างเคียงอื่นๆที่อาจพบได้เช่น ง่วง น้ำหนักตัวเพิ่ม ซึ่งแก้ไขโดยการควบคุมอาหารและการหมั่นออกกำลังกาย เป็นต้น
    2. ยารักษาโรคจิตกลุ่มใหม่ เช่น โคลซาปีน ริสเพอริโดน โดยจะออกฤทธิ์ปิดกั้นการทำงานของสารสื่อสารประสาท ทั้งโดปามีนและซีโรโทนิน ซึ่งจะเหมาะกับผู้ป่วยที่มีกลุ่มลักษณะทางบวก หรืออาการลบหลงเหลืออยู่หรือมีผลข้างเคียงจากการใช้ยารักษาโรคจิตจากตัว อื่นๆ เช่น การเคลื่อนไหวผิดปกติ
    ข้อดีของยารักษาโรคจิตกลุ่มใหม่นี้ คือ
    - ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
    - ประสิทธิภาพดีเท่ากับหรือดีกว่ายากลุ่มแรก
    - อาการข้างเคียงต่อการเคลื่อนไหวผิดปกติ จะน้อยลง
    - ลดอัตราการฆ่าตัวตายของผู้ป่วยได้

    โรคจิตเภทสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่
    การรักษาโรคจิตเภท ผู้ป่วยควรต้องกินยาอย่างต่าเนื่อง ตามแพทย์สั่ง อาจต้องใช้เวลาหลายปี แต่ยาจะช่วยควบคุมอาการและทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กลับเข้าสู่สังคมได้ ดูแลตนเองและทำงานได้

    การดูแลผุ้ป่วยให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้
    - กระตุ้นให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด เช่น อาบน้ำ แต่งตัว ซักผ้า
    - ให้ช่วยทำงานบ้านอย่างง่ายๆ เช่น รดน้ำต้นไม้ ถูบ้าน ล้างชาม
    - ให้ประกอบอาชีพเดิมที่เคยทำอยู่ตามความสามารถของผู้ป่วย เช่น ค้าขาย ทำสวน
    - ให้ประกอบอาชีพใหม่ใกล้บ้านตามความสนใจและตามความถนัด


    ญาติมีส่วนช่วยในการดูแลผู้ป่วยจิตเภทในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ญาติต้องให้ความเข้าใจ และ เห็นใจผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยมิได้มีเจตนาจะสร้างความเดือดร้อน ความรำคาญให้กับญาติ ควรให้อภัยและไม่ถือโทษโกรธผู้ป่วย ไม่ควรขัดแย้งหรือโต้เถียงกับผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการทางจิต แต่ควรแสดงความเห็นใจในความทุกข์ที่ผู้ป่วยได้รับจากอาการทางจิตเหล่านั้น พร้อมทั้งเสนอความช่วยเหลือแก่เขา ซึ่งทั้งหมดต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก อันดับต่อไปคือให้การดูแลเรื่อง การกินยา การดูแลสุขภาพอนามัย การพาไปพบแพทย์ตามนัด และหากในระหว่างอยู่บ้าน ผู้ป่วยมีอาการกำเริบขึ้น ก็ให้ขอคำแนะนำปรึกษาจากแพทย์ หรือพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่สถานบริการใกล้บ้านเพื่อผู้ป่วยจะได้รับการดูแล ที่เหมาะสมต่อไป
    • ช่วยดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ควรเพิ่ม หยุด หรือลดยาเอง
    • ช่วยพาผู้ป่วยไปรับการบำบัดรักษาให้สม่ำเสมอ ตรงตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้การดูแลตัวเองได้ไม่ดีพอ
    • ถ้าผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่ดูสับสน วุ่นวาย ดื้อ ไม่ยอมกินยา ไม่ยอมมาพบแพทย์ ญาติควรจะมาติดต่อกับแพทย์เพื่อเล่าอาการของผู้ป่วยให้แพทย์ทราบซึ่งญาติจะ ได้รับคำแนะนำเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป
    • หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของผู้ป่วย ถ้าพบความผิดปกติ เช่น พูดพร่ำ พูดเพ้อเจ้อ พูดคนเดียว เอะอะ อาละวาด หงุดหงิด ฉุนเฉียวหัวเราะหรือยิ้มคนเดียว เหม่อลอย หลงผิด ประสาทหลอน หวาดกลัว ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที
    • จัดหากิจกรรมให้ผู้ป่วยทำโดยเฉพาะในเวลากลางวัน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยคิดมาก ฟุ้งซ่าน แต่ก็ไม่ต้องถึงกับบังคับมากเกินไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR>ที่มา โรคจิตเภท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2012
  8. noawarat pakdee

    noawarat pakdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +682
    คุณพี่มาถูกทาง แล้วค่ะ การยอมรับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองนั้น ย่อมเป็นนิมิตหมายว่าคุณอาจจะหายได้หรือเกือบหายเป็นปกติ ใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนคนปกติทั่วไป ขอเพียงให้พี่พยายาม อย่าเครียด อย่าเก็บเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาคิด ใช้หลักทางพระพุทธศาสนา คือการปล่อยวาง หากิจกรรมสนุกๆทำ อย่าเช่น ออกไปสร้างสรรค์กับเพื่อนบ้าง หรือ นั่งร้องเพลงคาราโอเกะ เพื่อเป็นผ่อนคลายอารมณ์ ออกกำลังกาย ศึกษาธรรมมะ ควบคู่กันไป ที่สำคัญ ดูใจของเราให้เป็นปกติ ถ้ายังไม่เคยลองนั่งสมาธิ ก็ลองนั่งดูนะค่ะ กำหนดแค่รู้ลมหายใจเข้าออกของเราก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องเอามาพิจารณา ค่อยๆฝึกนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ถ้าพี่ทำได้ สิ่งที่สูญเสียคือความมั่นใจในตัวเองนั้น มันจะกลับคืนมาดั่งเดิมค่ะ สู้ สู้ ค่ะ
     
  9. kingkaewmath

    kingkaewmath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +773
    หลังจากที่ข้าพเจ้าได้กินยาต้านโรคจิตครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้านอนสะลึมสะลือไม่ได้สติอยู่ที่บ้านห้าวัน พูดจาไม่รู้เรื่อง เบลอ ได้ยินเสียงโทรทัศน์ก็ คิดว่าโทรทัศพูดถึงตัวเอง หลังจากได้สติมาบ้างแล้ว อาการยังไม่หมด การที่ข้าพเจ้าเป็นบรรณารักษณ์ห้องสมุดเห็นหน้าปกหนังสือ ก็คิดว่าหน้าปกนั้นต้องการสื่อสารถึงข้าพเจ้า คิดว่ามีเทพพรมคอยกำหนดสิ่งต่างๆ และยังคิดว่าสูตรที่คิดได้นั้นถูกต้อง จนกระทั่งทานยาไปได้ประมาณหกเดือน จึงได้รู้ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นมันไม่จริงมันเป็นอาการของโรค
    ก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะป่วยนั้นข้าพเจ้าเคยมีความสุขและสนุกอยู่กับกิจกรรมยามว่าง แต่บัดนี้ไม่มีกิจกรรมยามว่างใดๆเลยที่ข้าพเจ้าทำแล้วรู้สึกเพลิน
     
  10. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ก่อนอื่นขอบคุณเจ้าของกระทู้ ที่เอาเรื่องน่าสนใจอย่างนี้มาบอกเล่า มีประโยชน์มาก เรื่องกลไกทางสมองแปรปรวน

    ไม่ว่าจะสาเหตุจากสารเคมีในสมองผิดปกติ รึจากพันธุกรรม มันก็ส่งผลกับการใช้ชีวิตทั้งนั้น ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง อย่างข้อมูลเรื่องข้างล่างนี้ บางทีนึกไม่ถึง เพราะเหมือนจะเล็กๆ น้อยๆ แต่มันส่งผลจริง

    [​IMG]

    jchaichana: 360 องศา: นอนไม่พอกลไกสมองเปลี่ยน มองโลกดีไป-กล้าได้กล้าเสีย

    นอนไม่พอ กลไกสมองเปลี่ยน

    การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพออาจทำให้คนเรากล้าได้กล้าเสียมากขึ้น เนื่องจากสมองส่วนที่ประเมินผลบวกทำงานหนักกว่าสมองส่วนที่ประเมินผลลบ

    เอเอฟพี – ผลศึกษาพบคนที่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอมีแนวโน้มตัดสินใจโดยที่มองโลกแง่ดีเกินความเป็นจริง ทำให้กล้าเสี่ยงในเกมพนันมากขึ้น

    งานศึกษาที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสารนิวโรไซนส์ แสดงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในสิ่งที่ผู้จัดการกาสิโนมากมายรู้มานานแล้วว่า แสงไฟกะพริบและเสียงกังวานใสของเครื่องสล็อตแมชีนกระตุ้นให้นักพนันหยอดเหรียญเดิมพันชนิดหยุดไม่ได้จนกว่าเงินจะหมด

    นักวิจัยอเมริกันใช้เครื่องเอ็กซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอ็มอาร์ไอ.) ตรวจสอบสมองของผู้ที่นอนหลับไม่สนิทและพักผ่อนไม่เพียงพอ เทียบกับผู้ที่หลับเต็มอิ่มตลอดคืน

    ผลการสแกนแสดงให้เห็นว่าในกลุ่มคนนอนน้อย สมองส่วนที่ประเมินผลลัพธ์แง่บวกทำงานหนักขึ้น ขณะที่สมองส่วนที่ประเมินผลแง่ลบทำงานเนือยลง

    “เมื่อใช้ภารกิจที่ต้องมีการตัดสินใจที่อิงกับความเสี่ยง เราพบว่าการอดนอนทำให้คนส่วนใหญ่มีความโน้มเอียงจากการหลีกเลี่ยงการเสียเงินไปหาการลองเสี่ยงเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น” นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดุ๊คในนอร์ธแคโรไลนากล่าว

    การศึกษาใช้อาสาสมัครวัยผู้ใหญ่สุขภาพดี 29 คน อายุเฉลี่ย 22 ปี โดยอาสาสมัครเหล่านี้ถูกขอให้ทำภารกิจที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ หลังจากได้นอนพักผ่อนตามปกติหนึ่งคืน และครั้งที่ 2 หลังจากนอนหลับไม่เพียงพอ

    นักวิจัยเผยว่า การอดนอนดูเหมือนทำให้เกิดอคติแง่บวก ตัวอย่างเช่นอาสาสมัครตัดสินใจราวกับว่าสิ่งที่ทำจะเกิดผลดี (ได้รับรางวัลที่มีมูลค่าสูงขึ้น) และแนวโน้มที่จะได้ผลลบน้อยมาก (หรือมีอันตรายน้อยลง)

    ไวน็อด เวนคาทราแมน จากคณะจิตวิทยาและประสาทวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยดุ๊ค ซึ่งเป็นแกนนำการจัดทำรายงาน ระบุว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน สูดอากาศบริสุทธิ์ หรือออกกำลังกาย ไม่เพียงพอต่อสู้ผลลัพธ์จากความอ่อนเพลียหลังอดนอน


    [​IMG]

    ส่วน John Nash รายนี้ ตามประวัติที่ถูกสร้างเป็นหนังเรื่อง A Beautiful Mind บอกว่า เขาเห็นภาพหลอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จนแทบจะแยกไม่ออกจากของจริง

    [​IMG]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=aS_d0Ayjw4o]A Beautiful Mind Trailer - YouTube[/ame]
     
  11. maenamping

    maenamping เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +183
    มาให้กำลังใจค่ะ ขอให้คุณkingkaewmathหายเป็นปกติไวๆนะคะ
     
  12. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ผมน่ะเป็นนับร้อยๆเรื่องร้อยๆครั้ง มิอาจมาพูดในนี้ให้จบลงได้ครับ เป็นวันกว่าจะจบ เอาว่าคุณเคยปฏิบัติธรรม หรือไม่ ถ้าเคย ถ้าปฏิบัติ นอกคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือครูบาอาจารย์ จิตจะไคว้เขว ตามมารไปโดยดี ก็จะเป็นดัง ในข้อตอบ ของคุณในนี้ครับ ตอบไปแล้ว ถ้าไม่เคย มี ๒ กรณี ที่ผ่านมา แลกเปลี่ยน ความรู้ กันครับ บุญเก่า หรือของเก่าคุณมีอยู่ แต่ไม่มีใครสอน แนะนำ จิตตามไม่ทันจนจิตหลอน นึกว่าตัวเองบ้า ไอ้คนรู้ตัวว่าบ้า น่ะ มันไม่เป็นหรอก แค่ตามมันไม่ทันเท่านั้นเองครับ อีกในหนึ่ง ผมเคยเอายา สมุนไพร โบราณ จำชื่อไม่ได้ ผสม กับ ยาปัจจุบัน ซึ่งตัวยามันไปทำ ปฏิกริยา ไม่เข้ากันนั่นเอง เมื่อกินเข้าไป ทำให้ สมองเกิด อาการ คุ้มครั่ง ในขณะที่ริทธิยาออก คุมอารมย์แทบจะไม่อยู่ เหมือนคนบ้า คิดมาก ร้อยแปดพันประการ เรียกว่าผิดปรกติทั่วไป ที่เรา อยู่ประจำ นอนก็ไม่หลับ กระสับกระส่าย ฟุ้งไปทั่ว จะเรียกว่าอย่างไร อธิบายไม่ละเอียด เห็นภาพต่างๆ มากมาย ถ้าเราไปยึดมันมากเสร็จ จิตเศร้าหมองจริงๆ ขณะที่เป็น จะใช้อะไรมาแก้ ก็ไม่หาย เพราะเราทำไม่ถึง และคุมอารมย์ไม่อยู่เลย ใครไม่เป็น ก็ไม่รู้อ่าการหรอกครับ พูดเท่าใดก็ผิด เพราะไม่ได้เป็นเอง หรือผู้รู้ ทรงฌาณ สมองตึงเคลียด แทบละเบิดเชียว และอีกอย่าง ผู้ที่ปฏิบัติธรรม กรรมฐาน เห็นโน้นเห็นนี่ พอไม่ได้ อารมย์ไปยึด อยากเห็นอีก ทำไม่ได้ เกิดอาการคุ้งครั่ง ประเภทนี้ก็มี เห็นแล้วติด การยึดมั่น ถือมั่น ว่าข้าเก่ง กว่า ใครๆในโลก เป็ผู้วิเศษ มารจึงดึงลงในที่ต่ำ เกิดอุปาทาน ต่างๆนาๆ จนหลงผิ ก็มีมาก ในยุคปัจจุบัน ถ้าเราตามมันไม่ทัน หรือหลงมัน ก็จะเสียผู้เสียคนไปเลย ก็มี บางคน รู้วาระจิต เรานึกอะไรอยู่ รู้ ถึง กับเปล่ง อุทานออกมาต่อหน้าคน ก็มีเราจะบวช ตลอดชีวิต ประเภทนี้ ไม่ถึงพรรษา ก็แหก พรรษาแล้ว อย่างดีออกพรรษาศึก ก็ประกาศตัวมาแรงมันก็จะโดน อะไรแรงๆนั่นแหละมารมาทดสอบกำลัง ว่าไอ้หมอนี่ มันเก่งขนาดไหนเชียวถึงได้ประกาศต่อหน้า มหาชน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ ในปีนั้น ผมบวช ไปอยู่ที่ หลังเขา หลากฉลาม ใกล้ ค่ายทหาร ธนรัตน อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในพรรษานั้นผมเอาจริงจัง อย่างไม่ลดละ ความเพียร มีพระ ๕ รูปเณร ๑ รูป มีคืนหนึ่ง เมื่อผมปฏิบัติ มารมาสิงใจ เมื่อจิตสงบ ถึงขั้น มันมาบอกว่า มึง สำเร็จ อรหันต์แล้ว จบกิจในพระศาสนา และทำภาพต่างๆ ในอดีดที่เราเกิดมา ภพนั้นภพนี้ ให้เห็น เกิดเป็น วัวควาย ช้างม้า เทพ พรหม คนจน คนรวย มันเห็น เป็นภาพ ลางๆคล้ายตะวัน กำลัง ตกดิน และ บอก ท่านอย่าไปคุยกับใครนะ มันสอนเสร็จ นอกจากคนๆนี้ เท่านั้น คือใหคุยกับอีกคน ที่อยู่ในวัด ตอนนี้ได้ข่าวว่า เขาไปอยู่ที่อินเดียแล้ว ครับ ผมทำตามมัน ทุกอย่าง และ ถึงกลางพรรษา มีเรื่องเกิดขึ้นที่ผม นึกไม่ถึงที่จะเกิดขึ้นกับผม คนนี้เลยครับ มาเล่ากันต่อครับ ต่อมาผมไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ให่ท่านอาจารย์ผมฟัง และต่อว่าผมอุปมา ถ้ามีคนมาบอกเราจบกิจ แต่เราต้องการ จะรู้ ว่าจริง ตามนั้น หรือไม่ และทำให้อสุจิ เลคื่อน จะสังฆาทิเสล หรือไม่ เราสนธนากัน เป็นชั่ว โมงให้หายคล่องใจครับ และผมก็กลับ สำนัก อ้อลืมบอกไป เมื่อก่อน เป็นสำนักสงฆ์ แต่เดี๋ยวนี้เป็นวัดแล้ว ครับ เปลี่ยนชื่อมาหลายหน ชื่อวัดวังยาว นะปัจจุบัน ต่อมาไม่อีกกี่ วัน เมื่อจิตสงบ ถึงที่ มารมาบอกว่า มึงขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว อ่ะ โอ้โฮ ที่ไปคุย ให้ฆราวาสฟัง เหมือนดังว่า ฟ้าฟาดหัว นับประมาณไม่ได้ จิตตกจากสมาธิ จากที่สูงลงที่ต่ำทันทีทันใด ใจเริ่มเก็บมาคิด เศร้าหมอง หดหู่ เป็นจริงดังนั้นหรือ กะวนกะวายใจบอกไม่ถูกไม่รู้ จะเล่าให้ใครฟัง หนอ จิตเราตามมารไม่ทันนั่นเอง ยิ่งเดินสูง ยิ่งเจอหนัก ไปไหนอยากจะอธิบายให้ท่านฟัง ไปอยู่ปริวาสที่วัดเกตุม เมื่ออกพรรษา เขียนจดหมาย ให้พระสำคัญฟัง และเมื่อไปออกอัพพาน ที่วัดกาหลง ท่านก็บอกเป็นในๆ ไม่ต้องกังวน อะไรทำนองนี้ ต่อมาไปจำวัดที่ ถ้ำ อ.ปากท่อ ราชบุรี นั่งสมาธิอยู่ดี ก็มีพวก เทวดา หรือผีไม่ทราบ มาตีหลังคา กุฏิ บางที ก็มาทำให้กุฏิสั่น ทั้งหลัง โยกโครง เมื่อเป็นบ่อยๆ ทำให้ประสาทแดก ประสาทหลอน เพราะตามรู้ไม่ทัน แต่ก็มีกำลังใจต่อสู้ๆๆกับมัน เอากรรมฐานต่างๆมาหักล้าง ให้มันจบสิ้น แต่ก็ยิ่ง ทวีคูน ขึ้นไปตามลำดับ วันหนึง ใกล้จะค่ำแล้ว เดินขึ้นไปบนศาลา คนเดียว เจ้าแม่โว๋ย มันเล่นดิบๆเลย มันทำให้ ศาลา สั่นทั้งหลัง แทบจะยกศาลาขึ้น ทำให้ผมนั้นกลัวหนักขึ้น แต่ก็ยังมีสติอยู่บ้างครับ ขอโทษ พวกท่านเคยเห็นศาลาวัดตามบ้านนอก หลังใหญ่ๆ ไหม นั่นแหละมันยกทำให้สั่น ทั้งหลัง ผมต้องรีบกลับลงมา และต่อมาเมื่อมีโอกาศไปกราบพระทางภ่าคเหนือ หลวงครูบาธรรมชัย ท่านได้ให้ยา โบราณ ประมาณ ๓-๔ อย่างแก่ผม โรคหัวใจ โรคประสาท และอะไรอีกจำไม่ได้ครับ กินหมดก็เป็นปรกติดีครับ ไม่ค่อยกลัว แล้ว แต่ยังกลัวอยู่ เดี๋ยวนี้ นานๆมันเป็นปีหรือหลายปีที เวลาจิตสงบ หลายปีมีครั้ง หนึ่ง ผมว่าคงเป็นกรรมเก่าในชาตินี้ เมื่อตอนบวชใหม่ ไปว่าเขาไหว้ แต่ไม่เจตนา เพราะความโกรธ ที่เขาบวชแล้ว เป็นบ้า คุ้มครั่ง คุยคนเดียว หัวเราะร้องให้ ลักของคนอื่น หยิบของไปทั่ว ดันเสือกมาเอาของเราไปด้วย เลยพูดออกไปไม่ได้ คิด ผมบอกขาดจากพระแล้ว แบบนี ว่าหลายอย่าง จนขนาด คนที่มาบวช เป็นนักมวย เตะต่อยถีบ ตบ ไม่เป็นไรแฮะ ไม่เป็นอะไร เลยหรือ ซัดไหม่ครับ ท่านพี่น้อง เอาไม้ด้ามจอบ ใหญ่ๆประเคนตีเข้าไป ถ้าใครรู้ว่าด้ามจอบมันใหญ่ขนาดไหน ไม่เป็นไรแฮะยิ้ม ร้องไห้ เดินหนี ผมเห็นเข้า เกิดความสลดใจ อ้อลืมบอกไปว่าที่เกิดเหตุ อยู่ที่จ.นครปฐมครับ และต่อมาทำให้ผมไม่อยากอยู่วัดบ้านเกิด เลยไปจำพรรษาที่ อ.ปราณบุรีครับ ดังที่เอ่ยมาแล้วครับ แค่นี้ก่อน มันมากจัด คนอ่านไม่ไหวจะลำคาญมากๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2012
  13. aorsuay

    aorsuay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +491
    เป็นกำลังใจให้นะคะ

    แนะนำว่า ถ้ารู้สึกผิดปกติไปจากตอนเริ่มกินยา สุขกว่าเคย เศร้ากว่าเคย หรือเบื่อหน่ายกว่าเคย
    ให้ปรึกษาแพทย์ค่ะ

    แพทย์อาจจะปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับเรา

    สิ่งที่อ่านแล้วรู้สึกดีใจกับ จขกท. ก็คือ การยอมรับในสิ่งที่เป็น และยินยอมเข้ารับการรักษา รวมถึงการสังเกตอาการตัวเอง ผู้ป่วยกลุ่มนี้แหละคะ ที่จะทำให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพ
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2012
  15. 00000000

    00000000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2007
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +161
    มีสติรู้ตลอด ทั้ง ยืน เดิน นั่ง นอน สำคัญที่สติครับ อย่าปล่อยให้ใจสอดส่ายไปตามเรื่องราวที่แว่ว ที่คิดขึ้นมาเอง กำหนดให้มาก จะแยกออกว่า สิ่งนี้รับรู้จริงๆแล้วเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นจริงๆ เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นจริงกับญาติผมเอง ท่านหายด้วยการเจริญสติครับ แต่จะเจริญสติเรื่องใด แนะนำเรื่องสติปัฎฐาน 4 เป็นขั้นต่อไปครับ
     
  16. พระศุภกิจ ปภัสสโร

    พระศุภกิจ ปภัสสโร เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    2,015
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +11,166
    ป่วยเพราะคิด

    ที่จริงโยมเองก็เข้าใจปัญหาของตนเองว่ามาจากความคิด.... ความคิดอันเกิดจากจิตที่คิดไปต่าง ๆ นา ๆ แล้วมายึดเอาความคิดนั้นเชื่อมั่นจนเป็นตัวเป็นตนจนกายแปรปรวน การรักษากับแพทย์ทางจิตเวช ก็เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ เมื่อต้นเหตุของโรคยังไม่ถูกกำจัด และยังคงยังคงสร้างทุกข์ให้กับจิตเพิ่มเติมด้วย (ข้าพเจ้า)ก็เกิดความวิตกกังวลและความไม่มั่นใจในตัวเอง ความสามารถในการพูดของข้าพเจ้าลดลง จนบัดนี้ ผ่านมาปีกว่าแล้วที่ข้าพเจ้าต้องกินยา และต้องกินต่อไปตลอดชีวิต.....
    นี่เป็นประโยคที่เรียบเรียงมาเป็นประโยคปิดท้าย
    ความเข้าใจ ความเห็นใจ ที่ดีที่สุดควรมาจากตนเองเพื่อจะได้หายจากโรคทางจิตวิญญาณ ทุกข์อันเกิดจากความคิด กำจัดมันด้วยการพิจารณาเป็นไตรลักษ์ เห็นเป็นธรรมดา หากเรายังให้ความสำคัญกับความคิดจนสร้างทุกข์ให้ตนเอง ไม่อยู่เหนือความคิดจิตก็ขาดอำนาจชอบธรรม ขาดสติ ทุกข์ก็เกิดไม่หยุด เพราะยึดเสพอารมณ์จนเป็นตัวเป็นตน พอยึดก็ทุกข์ ทั้งที่มันต้องผ่านเราไปวันใหม่ตะวันใหม่ ชีวิตใหม่ได้ทุกวันไปทุกข์ทำไม

    เจริญพร
     
  17. รากบัว บัว

    รากบัว บัว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +45
    ไห้กำลังใจ ท่านจขกท นะครับสู้สู้ เรียนรู้ตัวเองไปเลื่อยๆนะครับ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องค่อยๆคิดครับ ณ เวลานี้ความคิดเรา เราคิดอะไรก็เพี้ยนไปหมด เราก็พยายามอย่าคิดไห้มากปล่อยไปไห้ผ่านไปบ้าง ปล่อยวางนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2012
  18. kingkaewmath

    kingkaewmath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +773
    [​IMG]

    ส่วน John Nash รายนี้ ตามประวัติที่ถูกสร้างเป็นหนังเรื่อง A Beautiful Mind บอกว่า เขาเห็นภาพหลอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จนแทบจะแยกไม่ออกจากของจริง

    [​IMG]

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=aS_d0Ayjw4o"]A Beautiful Mind Trailer - YouTube[/ame][/QUOTE]

    โรคที่ข้าพเจ้าเป็นนี้เป็นโรคเดียวกับ John Nash นักคณิตศาสตร์ชื่อดังค่ะ หนังเรื่องนี้ข้าพเจ้าเคยดูแล้วสมัยเรียนมหาลัย
    แตกต่างตรงที่ ข้าพเจ้าไม่เห็นภาพหลอน เพียงแต่ตอนนั้นแยกแยะไม่ออกว่าความคิดอันไหนจริง หรือไม่จริง ข้าพเจ้ายังมีการพยายามถอดรหัสตัวเลขที่เห็นด้วย แถมยังพูดกับสุนัข พูดคนเดียว สอนสุนัขเดินจงกลม มันเกิดอาการหลงผิดไปอย่างมาก แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมีอาการกำเริบ ข้าพเจ้าสนใจในเรื่องของปรัชญา ศาสนา อย่างมาก สนใจเรื่องลึกลับ แต่ตอนนี้ความสนใจเหล่านั้นหมดไป รู้สึกเฉยๆ และที่สำคัญรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมด ต้องต่อสู้กับความเบื่อหน่ายของตนเอง เบื่อทุกอย่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2012
  19. kingkaewmath

    kingkaewmath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +773
    จากประสพการณ์ป่วยนี้ทำให้ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ไม่เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นหรือยังไม่ได้รับการพิสูจน์ให้รู้เห็นว่าเป็นความจริง ทั้งๆที่เมื่อก่อนนั้นข้าพเจ้าเชื่อในสิ้งเร้นลับ เชื่อในอำนาจลึกลับที่มองไม่เห็น ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณ เมื่อย้อนคิดไปแล้วข้าพเจ้าคิดว่าทำไมตัวเองเชื่ออะไรง่ายๆได้ถึงขนาดนี้ และจากการที่ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่เชื่ออะไรง่ายๆแล้วทำให้ความสนใจในสิ่งลึกลับของข้าพเจ้าหมดไป ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดที่กำลังสนใจอยู่เป็นพิเศษ เลย อีกทั้งต้องไปพบจิตเพทย์เพื่อประเมินอาการทุกเดือน และรับยามาทานทุกเดือน ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจข้าพเจ้า
     
  20. kingkaewmath

    kingkaewmath เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +773
    ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้ค่ะ ข้าพเจ้าจะสังเกตุตัวเองบ่อยๆ และจะเล่าให้จิตแพทย์ฟังทุกเดือน เพราะพยาบาลจะคอยถามอาการ เล่าเรื่องราวที่ทำให้ไม่สบายใจ เรื่องที่เป็นปัญหา เรื่องที่กังวลใจให้พวกเขาฟัง แล้วก็จะได้รับคำแนะนำกลับมา ถ้าเดาไม่ผิดคุณ aorsuay คงจะทำงานเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือไม่ก็เป็นคุณหมอนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...