ไม่ควรมีการเททองหล่อพระอีกต่อไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย manforlove, 6 สิงหาคม 2012.

  1. เอื้อมบุญ

    เอื้อมบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    385
    ค่าพลัง:
    +617
    เป็นแนวทางหนึ่งในการปฏิบัติ อนุโมทนาสาธุ
     
  2. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อนุโมทนาครับ :cool:
     
  3. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
    ย่อมพิจารณา เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา
    เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม มีความเพียร มีสติ
    กำจัดความอยากมี อยากได้ อยากเป็นเสีย
    อะไร ๆ ในโลกก็ไม่มี เมื่อยังมีความยาก
    ยึดมั่นถือมั่นแม้สิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็นทุกข์ เช่นที่ทุกข์กันอยู่
    พระพุทธเจ้าไม่สอน เพราะไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์
    พระพุทธเจ้าสอนแต่หนทางพ้นทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    เพราะมีความยากเป็นเหตุ จึงมีความสุข ทุกข์ อุเบกขา
    เพราะมีความสุข ทุกข์ อุเบกขาเป็นเหตุ จึงมีสถานที่เกิด
    เพราะมีสถานที่เกิดเป็นเหตุ จึงมีการเกิด
    เพราะมีการเกิดเป็นเหตุ จึงมีความแก่ ความตาย
    ความแตกสลาย ความคร่ำครวญ ความร่ำไร ความรำพัน
    ความลำบากกาย ความลำบากจิต ความคับแค้นใจ
    กองทุกข์ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้น ด้วยอาการอย่างนี้
     
  4. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    ขอสรุปใหม่ละกัน
    จขกท.ต้องการเตือนว่าการกราบไหว้พระพุทธรูปเป็นสิ่งขัดขวางทางไปนิพพาน
    แต่หลายท่านบอกไปแล้วว่า การกราบไหว้พระพุทธรูปไม่ได้ขัดขวาง แต่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ไปสู่นิพพาน เพราะการจะไปนิพพานได้ก็ต้องมีการสั่งสมบุญบารมีมาก่อน

    พระพุทธเจ้า สร้างบารมี อย่างน้อย 20 อสงไขย เศษ 1 แสนกัปป์
    พระปัจเจกพุทธเจ้า สร้างบารมี 2 อสงไขยกัปป์
    พระอัครสาวก สร้างบารมี 1 อสงไขยกัปป์
    พระอรหันต์สาวก แบบธรรมดา สุขวิปัสโก อย่างน้อย 1 แสนกัปป์

    ดังนั้นถ้ามีวิธีไหนที่ได้บุญก็ไม่เห็นต้องไปห้าม ใครถนัดวิธีไหนก็ทำไป ถ้าบุญไม่พอจะไปนั่งสมาธิให้จิตสงบก็เป็นเรื่องยาก ก็ต้องเริ่มจากให้ทานก่อน ฝึกให้มีเมตตา มีศีล 5 เป็นนิจ ทาน ศีล ภาวนาก็เป็นสิ่งเกื้อหนุนกัน เป็นฆราวาสก็ทำทานง่ายกว่าเพราะมีอาชีพมีรายได้ แต่จะให้นั่งสมาธิเป็นวันๆก็ยากเพราะยังต้องทำงาน ดูแลครอบครัว ต่างกับพระที่จะเน้น ศีล สมาธิ ปัญญาได้เพราะมีเวลาปฏิบัติภาวนา ไม่มีภาระทางโลก
     
  5. ตาดำดำ

    ตาดำดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    420
    ค่าพลัง:
    +732
    ว่าแต่จขกท.มองว่าการสร้างพระพุทธรูปเป็นสิ่งผิดหรือเป็นบาปรึเปล่า
     
  6. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    ก็ทำถูกครับ ผมไม่ได้ห้ามแต่ชี้ให้เห็นตามที่สดับมา
     
  7. manforlove

    manforlove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2012
    โพสต์:
    367
    ค่าพลัง:
    +216
    คนที่พึ่งเริ่มก็สร้างไป พวดกที่เข้าถึงแก่นก็เดินทางต่อ เพราะระบบข้างหน้าต้อนรับคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นธรรมแท้เท่านั้น
     
  8. เอื้อมบุญ

    เอื้อมบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    385
    ค่าพลัง:
    +617
    จะข้ามน้ำไปฝั่งโน้น
    --ว่ายน้ำเก่งแล้วแข็งแล้วว่ายไปเลย(แล้วสอนคนอื่นว่ายก้อได้)
    --เดินอ้อมนิดก้อได้อาจไม่ไว ค่อยๆลัดเลาะไปแต่ไม่เสี่ยงจมเท่าว่ายน้ำเอง
    --หรือจะสร้างสะพานเอาไว้ข้ามกันดี?ปลอดภัย..ลูกหลานไว้ใช้ข้ามต่อไปได้อีก

    ปล.
    ๑.ก่อนจะว่ายน้ำเก่งอาจต้องใช้สะพานไปพลางก่อน(เก่งแล้วค่อยว่ายเอง)
    ๑.ก่อนจะเดินอ้อมมองหาสะพานก่อน
    ๑.ข้ามสะพานไปแล้วจะรักษาไว้หรือรื้อถอนไป ก้อแล้วแต่ใจจะคิดเอง

    ก่อนจะเจอทางลัดต้องรู้ว่าทางไหนตรง..ทางไหนยาว..ทางไหนอ้อม
    ทางลัดสำหรับเราอาจเป็นทางยาวสำหรับเขา






     
  9. ผีอีแพง

    ผีอีแพง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +117
    [​IMG]

    สิ่งซึ่งกีดขวาง หรือเป็นกำแพงมหึมาอยู่ข้างหน้าซึ่งทำให้คนเราเข้าถึงไม่ได้ ทั้งๆ ที่ผู้นั้นก็มีความภักดีต่อพุทธธรรมอย่างเต็มที่อยู่เสมอ พระพุทธเจ้า นั่นเองที่กลับกลายมาเป็นภูเขามหึมาบังพระนิพพาน โดยเฉพาะ พระพุทธเจ้าตามทัศนะของแต่ละคน นี่แหละที่ขวางหน้าคนผู้นั้นไม่ให้เข้าถึงพุทธธรรม
    เพราะคนเราเข้าใจเข้าถึง ความจริง ได้แค่ไหน ก็มีความเข้าใจเข้าถึง “พระพุทธเจ้าของเขา” ได้แค่นั้น ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ถูกขนานนามว่า พระพุทธเจ้า รวมทั้งการนิยามว่าอะไรเป็นพระพุทธเจ้า จึงมีอยู่ในลักษณะและขนาดมาตรฐานต่างๆ กัน แล้วแต่ ความยึดถือ ของแต่ละคนเป็นชั้นๆ ไป
    คนที่เข้าถึงพระพุทธเจ้า แต่ในทางวัตถุโดยไม่สูงถึงทางจิตย่อมเข้าใจได้แต่เพียงว่า พระพุทธเจ้าคือเลือดเนื้อกลุ่มหนึ่งที่เดินท่องเที่ยวสั่งสอนประชาชนในประเทศอินเดีย เมื่อสองพันกว่าปีก่อน ทั้งๆ ที่พระพุทธองค์ทรงเคยปฏิเสธว่า เลือดเนื้อกลุ่มนั้น ยังไม่ใช่ตถาคต คนที่ไม่เห็นธรรมะของตถาคต คือคนที่ไม่เห็นตถาคต แม้ผู้นั้นจะคอยจับจีวรของพระองค์ดึงเอาไว้ ไปทางไหนไปด้วยกันทั้งกลางวันกลางคืน แต่ถ้าไม่เห็นธรรมะแล้ว ไม่ชื่อว่าเห็นตถาคตเลย
    แม้คนที่มุ่งเข้าถึงพระพุทธเจ้าในทางจิต หากหลงไปยึดว่า พระพุทธเจ้าเป็น อัตตาที่บริสุทธิ์ ไม่เกิดไม่ตาย มีอยู่ในทุกแห่ง พร้อมที่จะปรากฏทุกเมื่อในสมาธิ อินทปัญโญก็ยังบอกว่า วิถีแห่งพุทธธรรมของผู้นั้นจะถึงทางตันและสิ้นสุดลงเพียงนั้น เพราะเป็นการหลงไปยึดถือเอาตามความรู้ ตามการศึกษาและศรัทธาของตนเองอันคับแคบอยู่
    แม้แต่ความรักในองค์พระพุทธเจ้าของบุคคลบางคนที่เป็นอริยบุคคลขั้นต่ำยังไม่ถึงพระอรหันต์ เช่น พระอานนท์ ในสมัยที่พระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่ ทั้งๆที่พระอานนท์รู้จัก ลู่ทางแห่งพุทธธรรมอย่างถูกต้อง วิถีแห่งพุทธธรรมของท่านก็ยังไม่วายถูกสกัดได้ด้วยภูเขาหรือองค์พระพุทธเจ้าที่ท่านยึดถือไว้ด้วยความรักของท่านเอง ไม่มีภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมอะไรอื่น นอกไปจาก ความยึดถือเกี่ยวกับตัวตน และ ไม่มีความยึดถือเกี่ยวกับตัวตนอะไรอื่น ยิ่งไปกว่า ความยึดถือในสิ่งที่ตนถือเอาเป็นที่พึ่งของตน เพราะฉะนั้น นอกไปจาก “พระพุทธเจ้า” ตามทัศนะของเขาแล้ว แม้ “พระธรรม” ของเขา ก็ยังอาจเป็นภูเขาขวางวิถีแห่งพุทธธรรมของผู้นั้นได้ เพราะอาศัยความยึดถือทำนองเดียวกัน ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง “พระสงฆ์ที่เป็นอาจารย์หรือคุรุ” ของเขา ซึ่งกลับเป็นภูเขาขวางวิถีแห่งพุทธธรรมของเขาได้ เพราะอาศัยความยึดถือเช่นเดียวกัน
    บางคนได้ยึดถือเอาเครื่องมือหรือหนทางที่จะปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพุทธธรรมมาเป็นตัวพุทธธรรมเสียเอง
    บางคนก็ถือเอาเล่มหนังสือหรือพระคัมภีร์เป็นตัวพระธรรมเสียเลยก็มี
    บางคนกลับต้องการให้พระนิพพานหรือพุทธธรรมเป็นบ้านเมือง เป็นโลกอันแสนสุข สำหรับตนจะไปจุติไปเกิดที่นั่น แล้วก็ตั้งบำเพ็ญสมาธิเพื่อความเป็นอย่างนั้น ด้วยอำนาจความยึดถือในด้านวัตถุอันแรงกล้า
    บางคนยึดถือในศีลของตนจนดูหมิ่นผู้อื่น ก่อการแตกร้าวทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องศีล เพราะความยึดมั่นถือมั่นในศีลด้วยความสำคัญผิด ยึดมั่นทุกตัวอักษรอย่างงมงาย
    ศีล จึงอาจกลายเป็นภูเขาขึ้นมาขวางวิถีแห่งพุทธธรรมก็ได้ เมื่อมีผู้ยึดถือว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ ซึ่งมันก็เป็นแค่ความจริงของบุคคลผู้นั้น ซึ่งไม่สามารถจะเห็นเป็นอื่นไปได้ ผลก็คือ ความเนิ่นช้ากว่าจะปีนป่ายภูเขาลูกนี้ข้ามพ้นไปได้
    สมาธิ ก็อาจกลายเป็นภูเขาสกัดทางตัวเองในการเข้าถึงพุทธธรรมของผู้ปฏิบัติ หากเป็นที่ตั้งของความยึดถือโอ่อวด พอใจ หลงใหลในสมาธิของตนตามที่ตนปฏิบัติได้ เพราะความจริงของใคร ก็เป็นความจริงของคนนั้น เท่าที่เขารู้และพอใจยึดถือ จึงยากที่จะยอมเชื่อกันด้วยใจจริง เมื่อยังหลงผิดอยู่ด้วยความยึดถือเช่นนี้ ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมก็ยังตั้งสูงตระหง่านขวางหน้าอยู่เพียงนั้น
    แม้แต่ ปัญญา เอง หากเป็นปัญญาที่ไม่รู้จักตัวเอง ยังมีมูลฐานตั้งอยู่บนความจริงของความเชื่อ ความคาดคะเน ก็ย่อมเกิดเป็นภูเขาขวางวิถีทางแห่งพุทธธรรมขึ้นเหมือนกัน ปัญญาของผู้ใดสิ้นสุดหยุดลงตรงไหน ก็บัญญัติเอาเพียงแต่ตรงนั้นว่าเป็นความจริงด้วยบริสุทธิ์ใจของตนและยึดมั่น จนเกิดเป็นลัทธินิกาย ปรัชญาต่างๆ ต่อให้เฉียบแหลมแค่ไหน ก็ไม่วายที่จะเป็นภูเขากั้นขวางทางอยู่ระหว่างตัวเขากับนิพพานจนได้ ด้วยความยึดถืออีกเช่นกัน
    ปัญญาคือแสงสว่างก็จริง แต่คนเราจะรับรู้ได้เท่าที่ปัญญาหรือแสงสว่างของเขาจะอำนวยให้ว่านั่นคือ ความจริง แต่หากผู้นั้นมีปัญญามากขึ้น เขาจะมองต่างไปจากเดิม สิ่งที่เรียกว่าความจริงของเขา ย่อมเปลี่ยนไปตามแสงสว่างหรือปัญญาที่เพิ่มขึ้นของเขา ความแตกต่างจึงขึ้นอยู่กับแสงสว่างหรือปัญญาที่ส่องไปยังวัตถุเรื่องราวนั้น จึงเห็นได้ว่า แสงสว่างนั้นเองที่เป็นผู้บังความจริง ทั้งในด้านจิตและด้านวัตถุ เพราะแสงสว่างชนิดหนึ่งๆ ย่อมให้ความจริงแก่เขาในการเห็นเป็นอย่างหนึ่ง นอกนั้นคือส่วนที่แสงสว่างนั้นบังเอาไว้ กล่าวโดยสรุปคือ อัตตวา ทุปาทาน หรือ ความยึดมั่นว่ามีตัวตน นี่แหละที่เป็นมูลฐานของภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม ทำให้ ความว่างจากตัวตน ถูกปิดบังอย่างมิดชิด เพราะ ตัวเองที่บังตัวเองที่เป็นความว่าง เป็นสิ่งกีดขวางอันเร้นลับที่สุด
    เพราะไม่มีการรู้จักตัวเองอย่างถูกต้อง จึงเกิดความต้องการพระพุทธเจ้า และสร้างพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยตัณหาของตัวเอง ตามทัศนะของตัวเอง หุ้มห่อตนเอง จนเหลียวไปทางไหนก็พบแต่สิ่งนี้ จนกระทั่งเป็นสัญญาความทรงจำอันเหนียวแน่น เหลือที่จะปัดเป่าออกไปได้
    เมื่อใดที่สามารถรู้จักตัวเองอย่างถูกต้อง คือรู้จักความว่างจากตัวตน เมื่อนั้นก็ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีผู้บังและไม่มีผู้ที่ถูกบัง ไม่มีการแสวงหาเพราะไม่มีผู้ที่มีความอยาก ไม่มีผู้แสวงที่พึ่งและไม่มีผู้ที่จะเป็นที่พึ่ง
    เพราะ ผู้นั้นมีความว่างจากตัวตนแล้ว “พระพุทธเจ้า” ของเขา ก็เป็นความว่างจากตัวตนด้วยเช่นกัน ตราบใดที่คนเรายังคลำตัวเองไม่พบว่าเป็นอะไรกันแน่ ตราบนั้นก็ต้องมีการยึดถือ เที่ยววิ่งตะครุบนั่นนี่ไปตามความยึดถือเป็นธรรมดา จึงไม่อาจพบและเข้าถึงพุทธธรรมได้

    พุทธทาสภิกขุ ปาฐกถาเรื่อง “ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม” ณ พุทธสมาคม กรุงเทพฯ ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948)

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Ww_U6aXtO4U"]????????? - ??????? - YouTube[/ame]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2012
  10. ผีอีแพง

    ผีอีแพง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +117
    "หากท่านทั้งหลายไม่ตัดทำลายมายาภาพทางความคิดที่ท่านยังคงยึดมั่นถือมั่นอยู่ ภูเขาหิมาลัยที่บดบังหนทางทางแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม ก็จะยังคงตั้งตระหง่านขวางหน้าท่านบดบังพุทธธรรมอยู่ตลอดไป”
    พุทธทาสภิกขุ

    [​IMG]
     
  11. เอื้อมบุญ

    เอื้อมบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    385
    ค่าพลัง:
    +617
    สร้างพระไม่ผิดหรอกคุณเอ๋ย
    พระเจ้าอโศกฯบรรพบุรุษเราท่านยังสร้าง
    สวนโมกข์เองก้อยังสร้างยังต้องสืบทอดกันต่อเลย

    การสร้างก้อควบไปกับการปฏิบัติอย่างที่คุณbadeหรือใครๆเค้าปฏิบัติ
    มันต้องควบกันไป คนที่สร้างพระใหญ่บารมีก้อต้องมี
    (ขอแต่อย่าไปเบียดเบียนใคร)

    พุทธานุสตินี่ใหญ่นะ..เหมือนสะพานใหญ่ให้พวกเราใช้ข้ามกันไป
    ใครจะรื้อสะพานใหญ่ให้คิดกันเอาเอง

    มีใครเกิดมาแล้วจำหน้าพระพุทธเจ้าได้บ้างล่ะ
    จำความได้ครั้งแรกก้อพระพุทธรูปนี่แหละที่ทำให้เรารู้จักพระพุทธเจ้า
    กตัญญุตา..องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     
  12. mikycar offroad

    mikycar offroad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    264
    ค่าพลัง:
    +255
    มินาโก๊ะจ๋า...บางคนเข้าวัดทำบุญถ่ายชีวิตโคกระบือ ไหว้พระพุทธรูป เขาอาจอธิฐานให้คนที่เขาเคารพหรือป่วยอยู่ก็ได้ ไม่ได้ทำให้ตัวเองก็เยอะแยะ ที่เขาไห้วพระเขาคงไม่ได้คงไม่ได้สะสมบุญหรือหรือยึดติดกับบุญก็ได้ เราไม่ควรคิดเองเออเองเน้อะ
    ผมหมายความว่าอย่าคิดแทนผู้อื่นก็เท่านั้น (ขี่ตู้พระธรรมท่องweb siteโปรดสัตว์)
    หมายถึงแบบนั้น ไปดูวัดร้างที่อยุธยาดิ
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002

    ปุถุชนสร้างพระพุทธรูปไม่ผิด แต่ภิกษุปลุกเสก ทำติรัจฉานวิชา ต้องอาบัติครับ
     
  14. เอื้อมบุญ

    เอื้อมบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    385
    ค่าพลัง:
    +617
    ใช่ตามที่บอกว่า "แต่อย่าเบียดเบียนใคร"
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    การกราบไหว้วิงวอนขอพร ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์
    เหมือนก้อนหินจมน้ำอยู่ กราบไหว้ขอให้มันลอยขึ้น
    มันก็ยังคงจมอยู่อย่างนั้นเอง เช่นเดียวกันคนป่วย
    ป่วยเพราะมีเหตุ กราบไหว้วิงวอนขอพรให้หายป่วย
    ก็ไม่ช่วยให้หายป่วย ทางที่จะหายคือไปหาหมอ
    ให้หมอรักษา และหมอก็ช่วยได้ชั่วคราวเท่านั้น
    หมอจะช่วยใครได้ ตัวหมอเองก็ไม่พ้น "ความตาย"
     
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ห้ามพระขายพระด้วยนะครับ พระรับเงินทอง ใช้จ่ายเงินและทองอาบัติครับ
     
  17. ผีอีแพง

    ผีอีแพง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +117
    แทนที่จะเอาเงินมาสร้างวัตถุ สู้เอาไปเป็นทุนการศึกษา เลี้ยงข้าวคนอดอยากในสังคมไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะมีอีกมากนักเชียวที่สังคมไม่ได้ดูแลเลย เด็กบาคนอายุสิบขวบนิดๆๆก็ต้องไปค้าแรงงานเยี่ยงทาส ต้องขายตัว รู้ไหม?เจ้าค่ะว่าโสเภณีในเมืองไทยนี่เยอะกว่าพระที่เรามีเกือบสองเท่าตัว นี่ยังไม่นับโสเภณีชายนะเจ้าค่ะ จะบอกเขาไม่รักศักดิ์ศรีมันก็ไม่ได้คนมันไม่มีเงินไม่มีกาทรศึกษามันเกิดในสลัม มันจะอดตาย อีกทั้งสังคมรอบข้างมันก็เป็นอย่างงี้จะให้มันทำไงล่ะค่ะ ยุคพระเจ้าอโศกก็สร้างไปสิค่ะ ยุคนั้นเราไม่มีมากเท่านี้นี่ค่ะ แต่ยุดนี้มากเกิดไปไหม? อ้างว่าทำนุบำรุพระพุทธศาสนา แต่ประเด็นคือแค่ปริมาณอย่างเดียวนะ มันยังไงๆๆอยู่ของบางอย่างมันต้องดูคุณภาพด้วย คนไทยบอกเราเป็นชาวพุทธ เรามีเยอะกว่าเขาหมด แต่ประเด็นคือเป็นพุทธแค่ว่าเป็นวัฒนธรรมนะ พ่อแม่เราเป็น
    เราก็เป็นตาม หรือเข้าใจเห็นธรรม จบสาระแก่นแท้ได้ละเจ้าค่ะ

    พอพูดถึงพุทธพาณิชย์ โอ้ๆๆ อย่ามาทำลานศรัทธาผม.....พูดเรื่องดีๆๆสิ นี่เรียกว่าหนีปัญหาค่ะ เราต้องรู้ทั้งข้อดีข้อเสียแล้วแก้ไปสิค่ะ ไอ้ที่เขาสร้างๆๆกันนะ คิดว่าเขามีศรัทธาจริงๆๆหรือค่ะสมภารทั้งหลายนะหรือแค่ต้องการสมณศักดิ์ ต้องการเข้าวัง คิดดูเถิดเจ้าค่ะ
    ยิ่งวัดหลวงเดียวนี้พระเป็นเจ้าของ
    ที่ดิน เจ้าของคอนโด 100ล้านพันล้าน ใครเคยรู้ไหม? เช่นเจ้าคุณวัดระ....นั้นนะเจ้าค่ะ เรื่องพวกนี้เขารู้กันทั่วน่าเศร้าใจค่ะ อื่นๆๆอีกมากมาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2012
  18. ผีอีแพง

    ผีอีแพง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +117
    คนไทยนะใจดีนะเจ้าค่ะ เรื่องทานนะไม่มีใครสู้คนไทยได้หรอกเจ้าค่ะ เรื่องความโอบอ้อมอารีขี้สงสารนะ ไม่มีชาติใดสู้ได้หรอกค่ะ เรื่องศรัทธาด้วย
    แต่น่าเสียดายที่คนไทยไม่ค่อยมีภูมิคุ้มกันทางปัญญาถึงได้โดนพวกพระปลอม นักการเมือง ฝรั่งหลอกไงค่ะ เราต้องยอมรับความจริงค่ะ อีกข้อหนึ่งคือความเพียรด้วยเจ้าค่ะเขาถึงได้มีคำว่าคนไทยเป็นคนเรื่อยๆๆ ยังไงก็ได้ชอบสบายๆๆไม่แข่งขันใครในที่นี้เขาอาจจะแซวว่าเราไม่ขยัน
    ศึกษาทำมาหากินด้วยเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2012
  19. เอื้อมบุญ

    เอื้อมบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    385
    ค่าพลัง:
    +617
    ว่าด้วยหัวข้อกระทู้เรื่องเดียวนะ..( ไม่ควรมีการเททองหล่อพระอีกต่อไป[.2/COLOR] )
    ตามที่บอกไป"ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น""ไม่เบียดเบียนตัวเอง"
    ใครจะรู้ได้ ก้อตัวเองนี่แหละรู้
    "จะสร้างพระหรือให้ทุนการศึกษาการกุศล ผู้ให้..หรือผู้ทำบุญนั่นแหละรู้
    และเลือกเอง หากเป็นเงินเราหรือท่านก้อเลือกเองว่าจะต่อยอดตรงไหน"
    วัตถุมงคลต่างๆนั้น ก้อดูไปว่า"ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น""ไม่เบียดเบียนตัวเอง"
    ผิดถูกตามวินัยไม่นอกกระทู้..
    เรื่องเดียวแตกได้หลายประเด็น
    เหมือนโลกนี้มีหลายสายพันธุ์
    เหนือโลกมีหลายระดับชั้น
    ต่ำกว่าโลกมีหลายภพภูมิ
    ชาวพุทธเองก้อมีหลากหลายขนบและชนชาติ
    ศีล สมาธิ ปัญญา หรือศรัทธาย่อมมีหลายแบบ
    แตกต่างกันบ้างแต่อย่าไปแตกแยก
    ทำมาอย่างไร สะสมไว้อย่างไร ได้ไปอย่างนั้น
    ลูกพระพุทธเจ้า โต้แย้งกันอย่างไร เถียงกันไป
    สุดท้ายก้อล้วนจะช่วยกันดำรงค์ไว้ซึ่งความดี
     
  20. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    พี่บ้าดีบอกว่า

    ไม่ควรมีการเททองหล่อพระอีกต่อไป
    ไม่ได้หมายถึงที่เทมาแล้วนี่คะ?..ที่เทมาแล้วก็เทไปแล้ว.อิอิ.. ใช่มั้ยคะ? หนูเข้าใจถูกป่ะ? เเพราะว่าที่เทมาแล้ว มันเยอะอ่ะค่ะ ก็ควรจะหยุดเทได้แล้ว น่าจะนำเงินไปช่วยเด็กพิการซ้ำซ้อนดีกว่ามังคะ?
    บุญช่วยสิ่งมีชีวิตบุญใหญ่น้า.
     

แชร์หน้านี้

Loading...