๑๐๑ ปี หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ กับ ๑๑๐ เรื่องราวคำสอนและอภิญญาของหลวงปู่

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย 789987, 12 สิงหาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๖๐. อารมณ์ขันของหลวงพ่อ

    [​IMG]

    ญาติโยมคณะหนึ่ง เป็นกลุ่มที่ชอบแสวงหาพระ หาเจ้า หลวงปู่ หลวงพ่อองค์ไหนที่ว่าดังว่าดี มีคนขึ้นกันมาก โยมคณะนี้จะพากันไปกราบไหว้ ไปทำบุญกัน และก็เป็นธรรมดา ที่หลายคนที่นับถือหลวงพ่อดู่ ในฐานะที่เป็นเกจิอาจารย์ดัง คิดว่าท่านคงให้หวยเบอร์เหมือนอย่างอาจารย์บางองค์

    เมื่อสบโอกาส โยมคนหนึ่งก็เข้ามากราบเรียนขอหวยจากหลวงพ่อ ในวันนั้นเผอิญข้าพเจ้าได้มีโอกาสมากราบนมัสการหลวงพ่ออยู่ด้วย หลวงพ่อมองหน้าโยมคนนั้น พร้อมกับชื้มือไปที่ปฏิทินรายเดือนที่มีรูปในหลวงแบบที่ธนาคารทั้งหลายชอบแจก ซึ่งติดอยู่ข้างฝาที่ด้านหลังท่าน แล้วท่านก็ว่า

    "นั่นแหละ แกไปสลับเลขเอาเอง มีเลขรางวัลครบทุกตัว ข้าให้ตั้งแต่รางวัลที่หนึ่ง ยันเลขท้ายสองตัวเลย ถ้าไม่ถูก ให้มาด่าข้าได้"

    ข้าพเจ้าขำจนแทบกลิ้ง แต่โยมที่ขอหวยจากหลวงพ่อคงขำไม่ออกและคงเข็ด ไม่กล้าขอหวยจากหลวงพ่อไปอีกนาน

    หลังจากที่โยมคนนั้นกลับไปแล้ว หลวงพ่อได้ให้โอวาทกับศิษย์ที่เหลือและข้าพเจ้าว่า

    "คนเรานี่ก็แปลก ให้ธรรมะของดีไม่เอา จะเอาแต่หวยเบอร์..."
    <!-- / message -->
     
  2. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๖๑. ของหายาก

    เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 มีเรื่องประทับใจที่ข้าพเจ้าต้องบันทึกไว้เรื่องหนึ่ง คือวันที่ข้าพเจ้าได้รับตะกรุดของหลวงพ่อ หรือที่เรียกกันในหมู่ลูกศิษย์ของท่านว่า "ตะกรุดมหาจักรพรรดิ์" เรื่องมีอยู่ว่า

    วันนั้นมีคนมากราบนมัสการหลวงพ่อจำนวนมาก หลังจากที่ข้าพเจ้าได้กราบหลวงพ่อและขอโอกาสหลีกมานั่งภาวนาที่หอสวดมนต์ สักครู่ใหญ่ก่อนที่จะเลิกภาวนา จู่ๆ ก็มีนิมิตเป็นองค์หลวงพ่อดู่ลอยเด่น พร้อมรัศมีกายสว่างไสวอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า และมีเสียงท่านบอกข้าพเจ้าว่า "ข้าให้แก"

    ในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่ได้นึกแปลความหมายนิมิตเป็นอื่นใด เข้าใจเพียงว่าท่านคงให้ธรรมะกับเรา ข้าพเจ้าบังเกิดความปีติมาก หลังจากเลิกภาวนาแล้ว ข้าพเจ้าได้เดินไปหลังวัดเพื่อไปนมัสการหลวงน้าสายหยุด ระหว่างทางผ่านกุฏิของหลวงพี่องค์หนึ่งเป็นพระภิกษุที่ข้าพเจ้าเคยเห็นท่านอยู่ที่วัดสะแกหลายปี แต่ไม่เคยได้สนทนาอะไรเป็นกิจจะลักษณะกับท่านมาก่อนเลยประการหนึ่ง และไม่เคยเอ่ยปากขออะไรจากท่านอีกประการหนึ่ง

    แต่วันนั้นนับเป็นเหตุการณ์ประหลาดอัศจรรย์สำหรับข้าพเจ้า ที่หลวงพี่เกิดนึกเมตตาข้าพเจ้าอย่างกระทันหัน ท่านบอกข้าพเจ้าว่า...เดี๋ยวก่อน จากนั้นท่านกลับเข้าไปในกุฏิชั่วอึดใจ ท่านออกมาพร้อมกับพระผงแบบหยดน้ำรูปพระพุทธเจ้าและรูปหลวงพ่อดู่ 2-3 องค์ และตะกรุดขนาดเล็กกระทัดรัดของหลวงพ่อยื่นให้ข้าพเจ้าและบอกว่า "ของหลวงปู่ เก็บเอาไว้ใช้"

    เป็นที่แปลกใจยิ่งสำหรับข้าพเจ้าที่เหตุการณ์เกิดขึ้นภายหลังจากที่ข้าพเจ้าได้นิมิตว่าได้รับ "อะไร" จากหลวงพ่อเมื่อห้านาทีที่ผ่านมา

    ข้าพเจ้าได้มาเรียนเรื่องนี้ถวายให้หลวงพ่อฟัง

    ท่านยังได้ให้โอวาทข้าพเจ้าอีกว่า...

    "...ที่ว่า ข้าให้แกนั้น ข้าให้พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เครื่องรางของขลังภายนอกนั้นหาไม่ยาก พระพุทธัง ธัมมัง สังฆัง หายากกว่า แกไปตรองดูให้ดีเถอะ"
    <!-- / message -->
     
  3. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๖๒. คนหายาก

    ในพระพุทธศาสนาได้พูดถึงบุคคลหาได้ยากในโลกนี้มี 2 ประเภทคือ บุพการี และ บุคคลผู้มีกตัญญูกตเวที

    บุพการี หมายถึง บุคคลผู้ทำอุปการะก่อนหรือคือผู้มีพระคุณนั่นเอง ได้แก่ พระพุทธเจ้า ครูอาจารย์ มารดาบิดา และ พระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม ในที่นี้จะขอพูดถึงพ่อแม่ของเรา

    ในมงคลสูตรได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า มาตาปิตุอุปัฏฐานัง เอตัมมังคละมุตตะมัง การบำรุงมารดาและบิดาเป็นมงคลสูงสุดในชีวิตอย่างหนึ่ง

    มีผู้กล่าวว่า "วันแม่" สำหรับลูกหลายๆ คนมีวันเดียวในหนึ่งปี แต่สำหรับแม่แล้ว "วันลูก" มีอยู่ทุกวัน

    ความข้อนี้เป็นความจริงอย่างที่ไม่มีใครอาจปฏิเสธได้ โดยทั่วไปแล้ว ความรักที่แม่มีต่อลูกนั้น ย่อมมีมากกว่าความรักที่ลูกมีต่อแม่ ในบทสวดเทวตาทิสสทักขิณานุโมทนาได้กล่าวเปรียบไว้ว่า "...มาตาปุตตัง วะ โอระสัง เทวะตานุกัมปิโต..."

    คำแปลตอนหนึ่งของบทสวดมีความว่า

    "...บัณฑิตชาติอยู่ในสถานที่ใด พึงเชิญท่านที่มีศีลสำรวมระวัง ประฟฤติพรหมจรรย์ในที่นั้น เทวดาเหล่าใดมีในที่นั้นควรอุทิศทักษิณาทานเพื่อท่านเหล่านั้นด้วย เทวดาที่ได้บูชาแล้วนับถือแล้ว ท่านย่อมบูชาบ้าง ย่อมนับถือบ้าง ท่านย่อมอนุเคราะห์เขาประหนึ่ง มารดาอนุเคราะห์บุตรผู้เกิดจากอก ผู้ที่ได้อาศัยเทวดาอนุเคราะห์แล้ว ย่อมมีแต่ความเจริญทุกเมื่อ"

    มารดาบิดาเป็นพระพรหมของลูก เป็นครูอาจารย์คนแรกของลูก และเป็นเทวดาองค์แรกของลูก จึงเป็นผู้ควรรับการสักการะบูชาจากลูก

    พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ใน "มาตาปิตุคุณสูตร" ว่า

    บุตรไม่อาจตอบแทนคุณแก่มารดาบิดานั้น ให้สิ้นสุดได้โดยประการใดๆ ด้วยอุปการะอันเป็นโลกียะ แม้จะทำให้ท่านทั้งสองนั่งอยู่บนบ่าขวา บนบ่าซ้ายของลูก ลูกปรนนิบัติดูแลท่านตลอดหนึ่งร้อยปี ก็ไม่สามารถตอบแทนบุญคุณท่านได้

    ส่วนบุตรคนใดทำให้มารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาให้ตั้งอยู่ในศรัทธา ทำให้มารดาบิดาผู้ไม่มีศีลให้ตั้งอยู่ในศีล ทำให้มารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ถี่เหนียวให้ตั้งอยู่ในจาคะ ทำให้มารดาบิดาผู้มีความหลงให้ตั้งอยู่ในปัญญาสัมมาทิฏฐิ บุตรนั้นจึงจะได้ชื่อว่าได้ทำการตอบแทนบุญคุณของมารดาบิดาอย่างเต็มที่

    ลูกที่ไม่มีความฉลาดย่อมไม่เห็นคุณค่าความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ลูกที่มีความฉลาดย่อมเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่


    วันนี้...เราได้ทำสิ่งดีๆ ให้พ่อกับแม่...แล้วหรือยัง
     
  4. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๖๓. ด้วยรักจากศิษย์

    ...หลวงพ่อครับ ถ้าหากหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินย้อนกลับได้ ผมขอหมุนกลับไปเป็นปี พ.ศ. 2525 ปีที่พวกเราได้เริ่มมากราบหลวงพ่อ รอยยิ้มและภาพอากัปกิริยาของหลวงพ่อเมื่อคราวที่สอนพวกเรา หลวงพ่อหัวเราะและเอามือตบที่หน้าตัก พวกเรายังจำได้ดี พวกเรายังจำได้ และจะพยายามทำตามที่หลวงพ่อสอน ไม่ให้ถอยหลัง ไม่ให้หลวงพ่อต้องผิดหวังครับ

    ...หลวงพ่อขา หลวงพ่อเคยบอกว่าปฏิบัติมากๆ เถอะจะดี สมบัตินอกกายไม่จีรัง กินเข้าไปเดี๋ยวก็ขี้ออกมา เสื้อผ้าสวยๆ หามาแต่ง เดี๋ยวก็ต้องทิ้ง เงินตอนตายญาติเอาใส่ปาก สัปเหร่อก็เอาไปซื้อเหล้า เสื้อผ้าก็ถอดออก เหลือแต่ตัวเปล่าให้เขาเอาไปเผา ...ที่แท้เราไม่มีอะไรสักอย่าง

    ...หลวงพ่อเจ้าคะ หนูรู้ตัวดีว่าใจตัวเองถ้าเผลอ มันก็จะลงต่ำอยู่ร่ำไปถ้าไม่มีหลวงพ่อคอยเป็นกำลังใจ ขอหลวงพ่ออยู่เป็นกำลังใจให้หนูตลอดไปนะคะ

    ...หลวงปู่ครับ ได้เจอะเจอหลวงปู่ในชีวิตนี้ผมถือเป็นบุญหลาย พระท่านว่า ปูชา จะ ปูชนียานังเอตัมมังคะละมุตตะมัง การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นมงคลสูงสุดของชีวิต

    ...ได้มาเจอหลวงปู่ ผมถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้วครับ

    หลวงพ่อครับ...ใครจะคิดว่าหลวงพ่อดู่กับหลวงปู่ทวดเป็นองค์เดียวกันหรือไม่ ผมไม่สนใจหรอกครับ

    หากหลวงพ่อเป็นหลวงปู่ทวดจริงๆ ผมถือว่าพวกเราโชคดีที่สุดครับ ความที่หลวงพ่อ...เป็นหลวงพ่อดู่เป็นหลวงพ่อดู่...อย่างเดียว ก็ทำให้ผมรักและเคารพหลวงพ่อจนเต็มล้นหัวใจ ไม่มีอะไรจะทำให้เต็มไปกว่านี้อีกแล้วครับ
    <!-- / message -->
     
  5. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๖๔. ด้วยรักจากหลวงพ่อ

    เมื่อครั้งที่หลวงพ่ออาพาธในช่วง 2-3 ปี ก่อนที่ท่านจะจากพวกเราไป คุณธรรมอันโดดเด่น คือความอดทนและความเมตตาของท่านยิ่งชัดเจนในความรู้สึกของข้าพเจ้า

    บ่อยครั้งที่ศิษย์จอมขี้แยอย่างข้าพเจ้า ไม่สามารถที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ในความคิดคำนึงว่าไอ้ความขี้เกียจ ความไม่เอาไหน ไม่เอาถ่านของเรา ทำให้ท่านต้องทนนั่งแบกธาตุขันธ์ที่เจ็บป่วยสอนศิษย์โง่ๆ อย่างเรา ทั้งอบรมก็แล้ว พร่ำสอนก็แล้ว ว่ากล่าวตักเตือนก็แล้ว ศิษย์จอมขี้เกียจก็ยังไม่สามารถเอาตัวเองเป็นที่พึ่งได้

    สรีระของหลวงพ่อเปลี่ยนแปลง ผ่ายผอมและซูบซีดลง แต่ตรงกันข้ามกับกำลังใจของท่านที่เอ่อล้นด้วยความรักและห่วงใยศิษย์ที่กลับเพิ่มทวีคูณขึ้นในหัวใจของท่าน จนยากที่ศิษย์ทุกชีวิตจะปฏิเสธได้ในความรักและปรารถนาดีของท่าน

    ในโลกของข้าพเจ้า ความรักของหลวงพ่อยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ท่านสอนให้ศิษย์ทั้งหลายรู้จักวิธีที่จะหยิบยื่นความรัก...ความปรารถนาดี...ให้กับคนรอบข้าง ดังที่ท่านได้ปฏิบัติเป็นแบบอย่าง ได้อย่างเหมาะสมและกลมกลืน...อย่างสม่ำเสมอและยาวนาน และยืนยันคำพูดของท่านที่ว่า

    "แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก

    แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็ยังคิดถึงแก"
    <!-- / message -->
     
  6. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๖๕. จิ้งจกทัก

    พูดถึงเรื่องลางสังหรณ์แล้ว คนโบราณเชื่อปรากฎการณ์ต่างๆ ที่ผิดไปจากชีวิตประจำวัน อย่างเช่น การเขม่นตา อาการกระตุกที่เปลือกตา การจาม หรือการที่จิ้งจกตกใส่ มีงูหรือสัตว์บางอย่างเข้าบ้าน ถือเป็นสิ่งบอกเหตุเช่นกัน คนสมัยก่อนเชื่อเรื่องจิ้งจกทักอยู่มาก เวลาสั่งสอนหรือห้ามปรามใครไม่ฟังแล้วมักพูดว่า แม้จิ้งจกทักโบราณยังเชื่อ คนทักทำไมไม่เชื่อ

    หลวงปู่เคยบอกให้ศิษย์ฟังว่า ถ้าข้าไปหาพวกแก ให้ฟังเสียงจิ้งจกให้ดี

    มีศิษย์ผู้หนึ่งถามว่า ทำไมต้องเป็นจิ้งจกคะ ท่านตอบว่า

    ลองนึกดูว่า หากแกสวดมนต์ไหว้พระอยู่ที่บ้าน จู่ๆ ข้าก็มาที่บ้านแก จะเป็นยังไง

    ก็ช็อคสิเจ้าคะ ศิษย์ตอบ

    ก็นั่นน่ะซิ หลวงปู่ตอบและยิ้มเกลื่อนด้วยเมตตาเป็นบทสรุปแทนคำตอบ

    ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาว ท่านมักมีความปรารถนาดี เมื่อเห็นผู้น้อยจะคิด จะพูด จะทำในสิ่งที่ไม่ควร ท่านจึงเตือนหรือปรามไว้ล่วงหน้า เป็นทำนองกันไว้ดีกว่าแก้ หลายคนที่ยังไม่มีประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง บางครั้งอาจไม่แน่ใจว่าเสียงจิ้งจกนี้ใช่เสียงหลวงพ่อเตือนหรือไม่ หากยังมีความตั้งใจที่จะทำดีจริง ก็จะพบว่าหลวงพ่อจะเตือนผ่านจิ้งจกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนผู้นั้นเกิดความมั่นใจด้วยตนเอง มิต้องไปซักถามผู้ใด เสียงจิ้งจกมีหลายลักษณะแตกต่างกัน เช่น เสียงดังๆ สั้นๆ เสียงพอให้ได้ยินให้รู้ตัว หรือเสียงทักให้ได้ยินพร้อมกันหลายคน ความหมายก็แตกต่างกันไป เช่น เป็นการดุ เป็นการบอกกล่าวหรือเป็นการเตือนให้ระวังตัว

    เรื่องที่ข้าพเจ้าประสบกับตัวเองคือ ครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าขับรถยนต์จะเดินทางไปต่างจังหวัด ขณะจะออกจากบ้าน ก็ได้ยินเสียงจิ้งจกทัก และเหตุการณ์ในวันนั้นคือมีรถมอเตอร์ไซค์มาเฉี่ยวชนรถ เรื่องราวที่ศิษย์ผู้อื่นเล่าให้ฟังก็มี เช่น เกือบทุกครั้งที่สวดมนต์หน้าหิ้งพระก่อนออกจากบ้านไปทำงาน ก็จะได้ยินเสียงจิ้งจกทักออกมาจากหิ้งพระ ซึ่งศิษย์ท่านนั้นก็รู้สึกอุ่นใจเหมือนท่านรับรู้ด้วยทุกครั้ง ศิษย์อีกท่านเล่าว่าในยามคับขันของชีวิตครั้งหนึ่ง ได้นึกถึงหลวงปู่และขอให้ท่านช่วยเหลือ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงจิ้งจกทัก โดยที่บริเวณนั้นไม่เห็นตัวจิ้งจกเลย สุดท้ายปัญหาและอุปสรรคของเขาก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดี หลวงปู่เคยฝากข้อคิดแก่ข้าพเจ้าในเรื่องนี้ไว้ว่า คนโบราณเขาว่าหากจิ้งจกทัก จะไปไหนมาไหนก็ต้องเตรียมเครื่องให้ครบ หากไม่รบก็อาจต้องสู้ แกว่าจริงไหม

    จากนี้ไป เราคงจะเงี่ยหูฟังเสียงจิ้งจกทักกันมากขึ้นแล้วล่ะ จุ๊... จุ๊... จุ๊
    <!-- / message -->
     
  7. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๖๖. หลวงพ่อกับศิษย์ใหม่

    หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ ท่านเป็นพระที่มีความเมตตาเป็นห่วงเป็นใยแก่ศิษย์และผู้ที่ระลึกถึงท่านทุกคนอย่างที่ไม่ต้องสงสัย มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับความรักความเมตตาอาทรของท่านที่มีต่อศิษย์ หนึ่งในหลายๆ เหตุการณ์นั้นก็คือเรื่องของพระเพื่อนสหธรรมิกของข้าพเจ้า

    ในปี พ.ศ. 2532 ระหว่างช่วงเทศกาลเข้าพรรษาพระนวกะจากวัดบวรนิเวศวิหาร จำนวน 3 รูป ได้เดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อมานมัสการหลวงพ่อดู่ ที่วัดสะแก ทั้งสามองค์ต่างมีความตั้งใจตรงกันว่าจะนำดอกไม้ ธูปเทียน มาถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเพื่อกราบนมัสการ และถวายตัวเป็นศิษย์เพื่อขอเรียนพระกรรมฐาน

    ครั้นกำหนดวันได้เรียบร้อยตรงกันดีแล้ว ก็ออกเดินทางโดยไม่มีโอกาสได้กราบเรียนให้หลวงพ่อทราบล่วงหน้าก่อน เมื่อเดินทางมาถึงที่หมายคือวัดสะแกก็เป็นช่วงเวลาใกล้เพลแล้วที่บริเวณปากทางเข้าวัด ต่างองค์ต่างปรึกษาหารือกันว่าจะไปกราบหลวงพ่อก่อนดีหรือจะแวะฉันเพลก่อนดี ถ้าหากแวะฉันเพลก่อนก็จะติดเวลาที่หลวงพ่อพักหลังเวลาเพล จะทำให้หลวงพ่อมีเวลาพักผ่อนน้อยลง ต้องเสียเวลามานั่งรับแขก แต่หากไปกราบนมัสการท่านเลย ทั้งสามองค์ต่างก็มีกังวลว่าแล้วจะได้ฉันเพลกันหรือไม่

    ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าไม่ได้ฉันก็ไม่เป็นไร ไปกราบหลวงพ่อให้สมความตั้งใจก่อนดีกว่า ครั้งพอเดินเข้าประตูวัดได้ประมาณสักร้อยเมตร ก็มีศิษย์ฆราวาสของหลวงพ่อคนหนึ่งตรงเข้ามาหาแล้วบอกว่า "หลวงพ่อนิมนต์ให้ฉันเพลที่นี่ ท่านไม่ต้องกังวล หลวงพ่อให้เด็กจัดอาหารให้แล้ว"

    ทุกองค์ต่างแปลกใจ เหมือนกับหลวงพ่อจะ...รู้ล่วงหน้าว่าจะมีพระเดินทางมาหาจึงให้ลูกศิษย์จัดเตรียมอาหารไว้ถวายพระด้วย

    จากนั้นพระทั้งสามองค์ได้ขึ้นมาที่หอสวดมนต์บริเวณตรงข้ามกุฏิของหลวงพ่อก้มลงกราบพระ 3 ครั้ง แล้วหันมาทางหลวงพ่อยกมือไหว้ท่านจากระยะไกล ก่อนที่จะเข้ามากราบท่านแต่จะนั่งพับเพียบก็ยังไม่กล้านั่ง ได้แต่คุกเข่าอยู่ ต่างองค์ต่างก็ยังนั่งกระสับกระส่ายด้วยคิดกังวลกันว่า คงต้องอาบัติหากต้องนั่งฉันโดยไม่มีอาสนะในที่เดียวกับที่นั่งฆราวาส เพราะตามพระวินัยแล้ว ภิกษุจะไม่นั่งเสมอหรือร่วมอาสนะเดียวกับอนุปสัมบัน ซึ่งหมายถึง ผู้ที่ยังไม่ได้อุปสมบท ได้แก่ คฤหัสถ์และสามเณร หรือผู้ที่ไม่ใช่ภิกษุหรือภิกษุณี

    สักครู่หนึ่ง ฆราวาสคนเดิมก็เข้ามาบอกว่า

    "หลวงพ่อท่านถามว่า ธรรมยุตินี้ต้องมีอาสนะใช่หรือไม่ ท่านให้จัดเตรียมอาสนะมาให้แล้ว"

    ทั้งสามองค์จึงได้อาสนะมาปูนั่งฉํนจนเรียบร้อย ไม่ต้องอาบัติ นี้เป็นอัศจรรย์เหมือนหลวงพ่อสามารถรู้วาระจิตของพระทั้งสามเป็นครั้งที่สอง

    เมื่อฉันเสร็จจึงได้มากราบนมัสการท่าน ได้แต่นั่งข้างล่างไม่กล้านั่งเสมอกับท่าน หลวงพ่อท่านได้เมตตาเป็นที่สุดโดยเรียกให้พระใหม่นั่งข้างบนเสมอกับท่านและบอกว่า "เราลูกพระพุทธเจ้าเหมือนกัน"

    จากนั้นทั้งสามองค์ต่างถวายตัวเป็นศิษย์ หลวงพ่อท่านกล่าวอนุโมทนาแล้วได้แนะนำให้ไปเรียนพระกรรมฐานกับพระสายหยุด ภูริทัตโต ที่กุฏิหลังวัด
     
  8. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๖๗. คาถาของหลวงพ่อ

    ท่านที่เคยมีโอกาสไปเยือนเจดีย์พิพิธภัณฑ์ของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชษโฐ ณ วัดเจติยาคิรีวิหาร จังหวัดหนองคาย จะสังเกตบานประตูไม้ประดู่แผ่นเดียว แกะสลักด้วยลายที่เรียบง่ายปิดทองและกระจกสีเพื่อรักษาเนื้อไม้ กลางประตูด้านในสลักเป็นรูปนกยูง ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ หมายถึง คาถายูงทองของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ที่ศิษย์ของท่านทุกองค์ต่างให้ความเคารพและระลึกถึงโดยสวดสาธยายเป็นประจำว่า

    "...นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตตยา"

    คืนวันหนึ่งข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบนมัสการเรียนถามหลวงพ่อดู่ว่า "ลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น มีคาถายูงทองเป็นเครื่องระลึกถึงครูบาอาจารย์ แล้วลูกศิษย์ของหลวงพ่อควรใช้คาถาบทใดเป็นเครื่องระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์บ้าง"

    หลวงพ่อได้วิสัชนาโดยให้ข้าพเจ้าไปเปิดดูอุณหัสสวิชัยสูตรในหนังสือมุตโตทัย ซึ่งเป็นคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ (รวบรวมและเรียบเรียงโดยพระอาจารย์วิริยังค์ สิรินธโร วัดธรรมมงคล)

    พระสูตรนี้มีความไพเราะทั้งอรรถและพยัญชนะที่ควรศึกษา จดจำ และทำความเข้าใจให้แยบคายโดยยิ่ง ท่านได้กล่าวไว้ว่า "ผู้ใดมาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งแล้ว ผู้นั้นย่อมชนะได้ซึ่งความร้อน"

    อุณหัสส คือ ความร้อนอันเกิดแก่ตน มีทั้งภายในและภายนอก ภายนอกมีเสือสางค่างแดง ภูตผีปีศาจเป็นต้น ภายในคือกิเลส

    วิชัย คือ ความชนะ ผู้ที่มาน้อมเอาสรณะทั้งสามนี้เป็นที่พึ่งแล้วย่อมจะชนะความร้อนเหล่านั้นไปได้ทั้งหมดทุกอย่าง ที่เรียกว่า
    อุณหัสสวิชัย

    อุณหสฺสวิชโย ธมฺโม โลเก อนุตฺตโร

    พระธรรมะเป็นของยิ่งในโลกทั้งสาม สามารถชนะซึ่งความร้อนอกร้อนใจอันเกิดแต่ภัยต่างๆ

    ปริวชฺเช ราชทนฺเฑ พยคฺเฆ นาเค วีเส ภูเต

    จะเว้นห่างจากอันตรายทั้งหลายคือ อาชญาของพระราชา เสือสาง นาค ยาพิษ ภูผีปีศาจ

    อกาลมรเณน จ สพฺพสฺมา มรณา มุตฺโต

    หากว่ายังไม่ถึงคราวถึงกาลที่จักตายแล้ว ก็จักพ้นไปได้จากความตายด้วยอำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ตนน้อมเอาเป็นสรณะที่พึ่งที่นับถือนั้น


    ความข้อนี้มีพระบาลีสาธกดังจะยกมาอ้างอิง ในสมัยเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ราวป่ามหาวันใกล้กรุงกบิลพัสด์ พร้อมด้วยพระอรหันต์หนุ่ม 500 รูป เทวดาทั้งหลายพากันมาดูแล้วกล่าวคาถาขึ้นว่า

    เยเกจิ พุทธํ สรฺณํ คตา เส น เต คมิสฺสนฺติ

    บุคคลบางพวกหรือบุคคลใดๆ มาถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งแล้ว

    อปายภูมิ ปหาย มานุสํ เทหํ เทวกายํ ปริปูเรสฺสนฺติ

    บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ไปสู่อบายภูมิทั้ง 4 มีนรก เป็นต้น เมื่อละร่างกายอันเป็นของมนุษย์นี้แล้วจักไปเป็นหมู่แห่งเทพยดาทั้งหลาย ดังนี้


    สรณะทั้ง 3 คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มิได้เสื่อมสูญ อันตรธานไปไหน ยังปรากฏอยู่แก่ผู้ปฏิบัติเข้าถึงอยู่เสมอผู้ใดมายึดถือเป็นที่พึ่งของตนแล้ว ผู้นั้นจะอยู่ในกลางป่าหรือเรือนว่างก็ตาม สรณะทั้งสามปรากฏแก่เขาอยู่ทุกเมื่อ จึงว่าเป็นที่พึ่งแก่บุคคลจริง เมื่อปฏิบัติตามสรณะทั้งสามจริงๆ แล้ว จะคลาดแคล้วจากภัยทั้งหลาย อันก่อให้เกิดความร้อนอกร้อนใจได้แน่นอนทีเดียว สมดังที่หลวงพ่อดู่ท่านพร่ำย้ำเตือนศิษย์อยู่เสมอว่า

    "พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ใครเชื่อจริง ทำจริง ก็จะเจอของจริง"
     
  9. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๖๘. อย่าให้ใจเหมือน

    ในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเขียนโดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เล่าถึงคราวที่หลวงปู่ขาวเกิดความสงสัยในการปฏิบัติและได้เรียนถามหลวงปู่มั่นว่า

    "ในครั้งพุทธกาล ตามประวัติว่ามีผู้สำเร็จมรรคผลนิพพานมากและรวดเร็วกว่าสมัยนี้ ซึ่งไม่ค่อยมีผู้ใดสำเร็จกัน แม้ไม่มากเหมือนครั้งโน้น หากมีการสำเร็จได้ ก็รู้สึกจะช้ากว่ากันมาก"

    หลวงปู่มั่นท่านตอบว่า..."กิเลสของคนในพุทธสมัยมีความเบาบางมากกว่าในสมัยปัจจุบัน แม้การอบรมก็ง่าย ผิดกับสมัยนี้อยู่มาก ประกอบกับผู้สั่งสอนในสมัยนั้นก็เป็นผู้รู้ยิ่งเห็นจริงเป็นส่วนมาก มีพระศาสดาเป็นพระประมุขประธานแห่งพระสาวกในการประกาศสอนธรรมแก่หมู่ชน การสอนจึงไม่ค่อยผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความจริง ทรงถอดออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์ล้วนๆ หยิบยื่นให้ผู้ฟังอย่างสดๆร้อนๆ ไม่มีธรรมแปลกปลอมเคลือบแฝงออกมาด้วยเลย

    ผู้ฟังก็เป็นผู้มุ่งต่อความจริงอย่างเต็มใจซึ่งเป็นความเหมาะสมทั้งสองฝ่าย ผลที่ปรากฏเป็นขั้นๆ ตามความคาดหมายของผู้มุ่งความจริง จึงไม่มีปัญหาที่ควรขัดแย้งได้ว่าสมัยนั้นคนสำเร็จมรรคผลกันทีละมากๆ จากการแสดงธรรมแต่ละครั้งของพระศาสดาและพระสาวก

    ส่วนสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครสำเร็จได้ คล้ายกับคนไม่ใช่คน ธรรมไม่ใช่ธรรม ผลจึงไม่มี ความจริงคนก็คือคน ธรรมก็คือธรรมอยู่นั่นเอง แต่คนไม่สนใจธรรม ธรรมก็เข้าไม่ถึงใจ จึงกลายเป็นว่า คนก็สักว่าคน ธรรมก็สักว่าธรรม ไม่อาจยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ แม้คนจะมีจำนวนมากและแสดงให้ฟังทั้งพระไตรปิฎก จึงเป็นเหมือนเทน้ำใส่หลังหมา มันสลัดออกเกลี้ยงไม่มีเหลือ ธรรมจึงไม่มีความหมายในใจของคนเหมือนน้ำไม่มีความหมายบนหลังหมาฉะนั้น"

    ข้าพเจ้าอดนึกถามตัวเองไม่ได้ว่า...

    "แล้วเราล่ะ เวลานี้ ใจเราเป็นเหมือนหลังหมาหรือเปล่า"
     
  10. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๖๙. วัตถุสมบัติ ธรรมสมบัติ

    [​IMG]

    ท่ามกลางความหลากหลายของอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และกระแสแห่งความแสวงหา ใจทุกดวงที่มีความเร่าร้อน วุ่นวาย สับสน เป้าหมายคือเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา แต่เมื่อได้สิ่งที่คิดว่าต้องการมาแล้ว ก็ดูเหมือนว่ายิ่งแสวงหา ก็ยิ่งต้องดิ้นรนมากขึ้น สิ่งที่ได้มานั้นมีสุขน้อยมีทุกข์มาก หากจะมีสุขบ้าง ก็เป็นเพียงสุขเล็กน้อยในเบื้องต้น แต่ในที่สุดก็กลับกลายเป็นทุกข์อีก เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อารมณ์ต่างๆเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะให้เกิดความชุ่มฉ่ำเย็นใจอบอุ่นได้ยาวนาน หากแต่เป็นอารมณ์ที่ค้างใจอยู่ตลอดเวลา ทำให้ดิ้นรนแสวงหาสิ่งใหม่มาทดแทนอยู่เสมอ นี้เป็นธรรมดาของ...วัตถุสมบัติ

    ส่วน...ธรรมสมบัตินั้น จะยังความชุ่มชื้น เพียงพอให้เกิดขึ้นแก่จิตใจได้ มีลักษณะเป็นความสุขที่ไม่กลับกลายมาเป็นความทุกข์อีก วัตถุสมบัติยิ่งใช้นับวันยิ่งหมดไป ต้องขวนขวายแสวงหาเพิ่มเติมด้วยความกัววลใจ ธรรมสมบัติยิ่งใช้นับวันยิ่งเจริญงอกงามขึ้น ก่อให้เกิดความสุข สงบ เย็นใจแก่ตนและคนรอบข้าง

    คงไม่มีใครที่รู้จักหลวงพ่อปฏิเสธว่า หลวงพ่อท่านเป็นแบบอย่างที่ดีของบุคคลที่ใช้..ธรรมสมบัติ ยังความสงบเย็นให้แก่ใจทุกดวงที่ได้เข้ามาใกล้ชิดท่านไม่เฉพาะคนหรือสัตว์ แต่รวมไปถึงเหล่าเทพยดาและอมนุษย์ทั้งหลายที่ศิษย์ของหลวงพ่อหลายคน ต่างมีประสบการณ์อันเป็น ปัจจัตตัง และสามารถเป็นประจักษ์พยานได้อย่างดี

    หลวงพ่อเคยบอกข้าพเจ้าว่า

    "คนทำ (ภาวนา) เป็นนี่ ใครๆก็รัก
    ไม่เฉพาะคน หรือสัตว์ที่รัก
    แม้แต่เทวดาเขาก็อนุโมทนาด้วย"
    <!-- / message -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2007
  11. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๗๐. ทำไมหลวงพ่อ...

    สมัยที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปลงอายุสังขารแล้วนั้น ได้ทรงปรารภเรื่องพระติสสะเถระในคราวที่พระองค์จวนจะปรินิพพาน มีความตอนหนึ่งที่ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโนได้นำมาถ่ายทอดอบรมศิษย์ไว้ในหนังสือ "ความรักเสมอตนไม่มี" ความว่า

    "...ก่อนจะปรินิพพานจากวันปลงพระชนม์ไปถึงเดือนหกเพ็ญ พระสงฆ์ยุ่งกันใหญ่ พอปลงพระชนม์ว่าจะปรินิพพานเดือนหกเพ็ญเท่านั้น ยุ่งกันเกาะกันเป็นฝูงๆว่า งั้นเลย อย่าว่าเป็นคณะๆเลย เป็นฝูงๆ คือจิตใจมันยุ่งแต่ภายนอก

    มีพระติสสะองค์เดียวไม่ยุ่งกับใคร เข้าอยู่ในป่าตลอดทั้งวันทั้งคืน แล้วพระบ้าเหล่านี้หาว่าพระติสสะไม่มีความจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานทั้งองค์ พระติสสะไม่เห็นมาปรารถอะไรเลย อยู่แต่ในป่า จึงพากันเข้าฟ้องพระพุทธเจ้า ว่าพระติสสะไม่มีความหวังดีในพระพุทธเจ้า ไม่มีความเยื่อใยในพระพุทธเจ้า หลีกไปอยู่ แต่องค์เดียว

    พระองค์เป็นผู้ทรงเหตุผลอยู่แล้ว รับสั่งพระติสสะมาท่ามกลางสงฆ์ ไหนว่าไง พระติสสะเวลานี้ พวกบ้านี้ ถ้าเป็นหลวงตาบัวจะพูดอย่างนั้น เวลานี้พวกบ้านั่นว่าเธอไม่มีความจงรักภักดีต่อเราตถาคต ไปแอบอยู่คนเดียวทั้งวันทั้งคืน ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องมั่วสุมกับหมู่เพื่อนเลย ว่าไงพระติสสะ รับสั่งถาม

    ข้าพระองค์มีความจงรักภักดีต่อพระองค์สุดหัวใจ นั่นเวลาตอบ เท่าที่ข้าพระองค์ไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับหมู่เพื่อน ก็เพราะเห็นว่าเวลาของพระองค์นั้นกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว จากนี้ถึงวันนั้นจะปรินิพพาน ความเป็นไปในจิตของเราเป็นยังไง แล้วรีบเร่งขวนขวายจิตใจของเราให้ทันการณ์ จะควรบรรลุธรรมก็ให้ได้บรรลุในระยะเวลาที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ข้าพระองค์ต้องรีบเร่งขวนขวายทางด้านจิตใจ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครเลยทั้งวันทั้งคืน เอ้อ ถูกต้องแล้วติสสะ สาธุๆ ถูกต้องแล้ว"

    จากนั้นก็ยกขึ้นเป็นภาษิตว่า "ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาเราตถาคต..." คำว่าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมนี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงครั้งที่มีเพื่อนผู้ปฏิบัติท่านหนึ่งมาปรารภให้ฟังเกี่ยวกับการภาวนาของตนว่า "ไม่ก้าวหน้าเลย ทำไมหลวงพ่อไม่มาสอนผม ทำไมหลวงพ่อไม่ช่วย ทำไมหลวงพ่อ..."

    หลวงพ่อดู่ได้เคยให้กำลังใจในการปฏิบัติแก่ข้าพเจ้าว่า "หมั่นทำเข้าไว้ พระท่านคอยจะช่วยเราอยู่แล้ว เราได้ช่วยเหลือตัวเองก่อนหรือยัง"

    ข้าพเจ้าจึงตอบเพื่อนผู้นั้นกลับไปว่า อย่ามัวแต่ถามว่าทำไมหลวงพ่อ... ทำไมหลวงพ่อ... แต่ควรถามตัวเราเองว่า

    "ทำไมเราไม่ทำตัวให้สมกับที่ท่านสอนล่ะ
    เราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้วหรือยัง"

    ถ้าเราปฏิบัติสมควรแก่ธรรมแล้ว ได้เตรียมใจของเราให้เป็นภาชนะอย่างดีสำหรับรองรับธรรม สามารถเก็บรักษาธรรมมิให้ตกหล่นสูญหายไปได้ ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่า...

    พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อไม่ทิ้งเราแน่นอน
    <!-- / message -->
     
  12. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๗๑. "งาน"ของหลวงพ่อ

    ทุกชีวิตย่อมมีงาน เพราะงานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต บางทีเราอาจลืมไปว่า งานของชีวิตที่เราทำอยู่ดีแล้วพอแล้ว แต่ยังมีงานอื่นที่นอกเหนือจากหน้าที่การงานหรืองานประจำที่เราทำอยู่ ท่านพุทธทาสภิกขุเคยให้โอวาทตอนหนึ่งว่า

    "...ให้เอางานในความหมายของคนทั่งไปเป็นงานอดิเรก เอางานคือการปฏิบัติธรรมเป็นงานหลักของชีวิต เป็นงานที่แท้จริงของชีวิต"

    ถ้าเราเข้าใจในความหมายนี้ ชีวิตจะสดใสขึ้น ปลอดโปร่งขึ้น ความกังวล ความกลัดกลุ้มจะลดลง ความโลภ ความโกรธ ความหลงจะลดลง หากได้ฝึกสังเกตความคิดและความรู้สึกของตนเอง นี่เป็นงานของชีวิตอีกระดับหนึ่ง ที่ควรทำความเข้าใจและปฏิบัติให้ถูกต้อง หลวงพ่อดู่มักจะใช้คำศัพท์ที่ว่าให้ไป "ทำงาน" กับลูกศิษย์ ซึ่งหมายถึง ให้ไป "ภาวนา" หรือ อีกนัยหนึ่ง "งาน" ในความหมายของท่าน ก็คือ "งานรื้อวัฏฏะ" นั่นเอง

    ท่านเคยบอกข้าพเจ้าว่า

    "ทุกอย่างที่เราทำวันนี้ เพื่อเอาไว้กินวันข้างหน้า พอตายแล้ว โลกเขาขนเอาบาปกันไป แต่เราจะขนเอาบุญ เอานิพพานไป"

    ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์และพระอรหันต์ทั้งหลายว่า

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้จะไปสู่สุคติได้นั้น น้อยมากเท่ากับโคสองเขาเท่านั้น ผู้ที่จะตกอยู่ในห้วงของอบายภูมินั้นมีเท่ากับขนโคทั้งตัว"

    อันที่จริงมนุษย์แต่ละคนอยู่ในโลกนี้ชั่วระยะเวลาสั้นเหลือเกิน ถ้าเทียบกับอายุของโลกหรืออายุของจักรวาล

    ถูกของหลวงพ่อเป็นที่สุด...

    เวลาไม่กี่ปีบนโลกใบนี้ เรายังเตรียมอะไรกันตั้งมากมาย ขวนขวายหาซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ซื้อรถยนต์ หาเงินเก็บเงิน ฝากธนาคาร แสวงหาสมบัติพัสถานจิปาถะ และยังต้องแสวงหาไว้เผื่อลูกเมีย บางคนถึงรุ่นหลานก็ยังกินไม่หมดเลยทีเดียว ทุกชีวิตสิ้นสุดที่ ตาย คำเดียวเสมอกันหมด เราพร้อมสำหรับวันนั้นหรือยัง

    มาทำงานถวายหลวงพ่อกันเถอะ
     
  13. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๗๒. ขอเพียงความรู้สึก

    นักปฏิบัติภาวนาหลายท่านชอบติดอยู่กับการทำสมาธิแบบสงบ ไม่ชอบที่จะใช้ปัญญาพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ให้เห็นเหตุและผล ให้ลงหลักความจริง หากจะถามว่าพิจารณาอย่างไร?

    ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อเคยยกตัวอย่างให้ข้าพเจ้าฟังว่า หากใจเราว่างจากการพิจารณาเรื่องเกี่ยวกับความจริงของชีวิต แล้วเรื่องที่ควรสนใจศึกษาน้อมนำมาพิจารณาให้มากอีกเรื่องหนึ่งคือ พุทธประวัติ ประวัติของครูบาอาจารย์องค์ต่างๆ ได้แก่ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นต้น การพิจารณานั้น ขอให้เทียบเคียงความรู้สึกว่า เรามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ศึกษามากขึ้นเพียงใด เช่น ในช่วงปีแรกที่เราได้รู้จักท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน เรามีความรู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านอย่างไร ต่อมาเราได้ไปอยู่ปฏิบัติภาวนาที่วัดของท่าน ได้เห็นข้อวัตรปฏิบัติต่างๆของท่าน ได้เห็นสาธารณประโยชน์หลายอย่างที่ท่านพาทำ ความรู้สึกเคารพเลื่อมใสศรัทธาของเราย่อมมีมากขึ้นฉันใด การศึกษาพุทธประวัติก็ฉันนั้น

    ในระยะแรกของการศึกษา...เราอาจจะยังไม่มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธเจ้ามากนัก แต่เมื่อเราได้ปฏิบัติภาวนามากขึ้น ได้พิจารณามากขึ้น การได้อ่านเรื่องของเจ้าชายสิทธัตถะจะไม่เป็นเพียงการอ่านเรื่องราวของเจ้าชายที่ละทิ้งปราสาทราชวัง ทิ้งพระชายา พระโอรส เหมือนสมัยเราเป็นเด็กที่เพิ่งเริ่มศึกษาพุทธประวัติ

    หากแต่เราจะสามารถเข้าใจ ความรู้สึก ของเจ้าชายสิทธัตถะ ในแต่ละเหตุการณ์ของพุทธประวัติได้อย่างดี จากศรัทธาธรรมดาที่เคยมีในใจ จะเริ่มก่อตัวมั่นคงยิ่งขึ้น จนกลายเป็น ตถาคตโพธิสัทธา คือ ความเชื่อในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เมื่อนั้นความปีติ อิ่มเอิบ และสงบเย็นจะปรากฏขึ้นในใจ ใจกับธรรมที่เคยแยกเป็นคนละส่วนกัน จะกลายเป็นใจกับธรรมที่ผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    การฟังเทศน์จากครูอาจารย์ ที่เคยฟังผ่านเพียงโสตวิญญาณ จะกลายเป็นการฟังธรรมที่การฟังนั้นสัมผัสลงสู่มโนวิญญาณ สามารถเข้าถึง ความรู้สึกของใจ อย่างแท้จริง
     
  14. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๗๓. ปาฏิหาริย์

    ข้าพเจ้าขออนุญาตเขียนเรื่องนี้ เพื่อที่ท่านผู้อ่านจะได้มีความเข้าใจในวิธีการสอนของหลวงพ่อดู่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ "ปาฏิหาริย์" ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกันแต่เพียงความหมายของ "อิทธิปาฏิหาริย์" และเหมารวมว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เท่าที่ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังจากเพื่อนหมู่คณะและที่ประสบด้วยตนเอง จึงเชื่อเหลือเกินว่าศิษย์หลวงพ่อหลายๆท่านเคยมีประสบการณ์และเห็นชัดด้วยตนเองมาแล้ว

    ในพระพุทธศาสนานี้ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องปาฏิหาริย์ไว้มี 3 อย่างคือ

    1. อิทธิปาฏิหาริย์ คือ ปาฏิหาริย์ในเรื่องการแสดงฤทธิ์ แสดงความเป็นผู้วิเศษ ดลบันดาลสิ่งต่างๆ เหาะเหินเดินอากาศ นิรมิตกายให้เป็นหลายคนได้ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นต้น

    2. อาเทศนาปาฏิหาริย์ คือ การทายใจ ทายความรู้สึกในใจ ทายความคิดของผู้ถูกสอนได้

    3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนที่แสดงความจริงให้ผู้ฟังรู้และเข้าใจ มองเห็นความเป็นจริงของโลก ให้ผู้ฟังได้ปฏิบัติตามอย่างนี้ ละเว้นการปฏิบัติอย่างนั้น และยังสามารถนำไปประพฤติปฏิบัติตาม จนรู้เห็นได้ผลจริงด้วยตนเอง

    ปาฏิหาริย์ทั้ง 3 อย่างนี้ พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ 2 อย่างแรก คือ อิทธิปาฏิหาริย์ และอาเทศนาปาฏิหาริย์ หากแสดงเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งและไม่นำไปสู่อนุศาสนีปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นปาฏิหาริย์ที่พระองค์ทรงสรรเสริญมากที่สุด

    ในเกวัฏฏสูตรได้เล่าถึงครั้งพุทธกาล ก็เคยมีชาวบ้านที่เมืองนาลันทาชื่อเกวัฏฏะ ได้กราบทูลพระพุทธเจ้ ขออนุญาตให้พระภิกษุรูปหนึ่งกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ เพื่อให้ชาวเมืองนาลันทาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงตอบเกวัฏฏะสรุปได้ความว่า ทรงรังเกียจปาฏิหาริย์ประเภทฤทธิ์ เนื่องจากปาฏิหาริย์ประเภทฤทธิ์ แม้จะมีฤทธิ์มากมาย แต่ก็ไม่อาจทำให้ผู้ถูกสอนรู้ความจริงในสิ่งทั้งหลาย ไม่สามารถแก้ข้อสงสัยในใจตนได้ เมื่อแสดงแล้วผู้ได้พบเห็นหรือได้ยินได้ฟังก็จะงง ดูเหมือนผู้ที่แสดงเก่งแต่ผู้ถูกสอนก็ยังมีความไม่รู้อยู่เหมือนเดิม แต่อนุศาสนีปาฏิหาริย์จะทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญา ได้รู้ความจริง ไม่ต้องมัวพึ่งพาผู้ที่แสดงปาฏิหาริย์ แต่จะสามารถพึ่งพาตนเองได้

    เหตุผลอีกประการหนึ่ง คือหากชาวพุทธมัวแต่ยกย่องผู้มีปาฏิหาริย์แล้วอาจทำให้เสียหลักศาสนาได้ เนื่องจากพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แต่ไม่มีอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก จะไม่ได้รับการบำรุงจากชาวบ้าน แต่ผู้ที่ไม่มีคุณธรรมเป็นสาระแก่นสาร หากแต่มีอิทธิปาฏิหาริย์จะมีผู้คนศรัทธาให้ความเคารพนับถือแทน

    อย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าก็มิได้ทรงละการทำฤทธิ์ และดักทายใจ ถ้าเราได้ศึกษาพุทธประวัติในบทสวดพาหุง จะพบว่า พระองค์ทรงใช้ฤทธิ์ปราบ เช่น เรื่องพระองคุลิมาล หรือ ทรงใช้ฤทธิ์ปราบฤทธิ์ เช่น เรื่องปราบพญานาคที่ชื่อนันโทปนันทะ หรือ เรื่องปราบทิฏฐิท้าวพกาพรหม เมื่อปราบเสร็จก็เข้าสู่อนุศาสนีปาฏิหาริย์ คือ ทรงแสดงคำสอนที่ทำให้เห็นหลักความเป็นจริง ซึ่งเมื่อผู้ใดปฏิบัติตามก็ย่อมจะพบความจริงแห่งความพ้นทุกข์

    หลวงพ่อดู่ท่านก็ได้ดำเนินตามพุทธวิธีการสอนนี้เช่นกัน ข้าพเจ้าและเพื่อนหมู่คณะหลายท่านขอเป็นประจักษ์พยาน ในระยะแรกที่ข้าพเจ้าได้มาวัดสะแกและพบกับเหตุการณ์ต่างๆที่เรียกกันว่า "ปาฏิหาริย์" อันเกี่ยวเนื่องกับหลวงพ่อดู่นี้ ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจและงุนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ต่อมาเมื่อได้ศึกษาคำสอนของครูบาอาจารย์มากขึ้น จึงเริ่มมีความเข้าใจที่ถูกและเริ่มรู้ว่าหลวงพ่อต้องการจะสอนอะไรกับเรา

    การเรียนธรรมะ การฟังธรรมะของผู้เริ่มสนใจศึกษาหลายๆท่านเปรียบเสมือนการกินยาขมดังนั้น หลวงพ่อจึงได้ใช้กุศโลบาย นำเอา"ปาฏิหาริย์" ทั้งสามอย่างมาใช้กับศิษย์ประกอบกันจึงสำเร็จประโยชน์ด้วยดี

    เหมือนกับท่านให้เราทานยาขมที่เคลือบด้วยขนมหวานเอาไว้ เมื่อทุกคนตระหนักและเข้าใจในคุณประโยชน์ของยาขมดีแล้ว ขนมหวานนั้นก็จะหมดความหมายไป
     
  15. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๗๔. เรื่องบังเอิญที่ไม่บังเอิญ

    ในชีวิตของเราทุกๆคน คงเคยได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆหลากหลายรส และในบรรดาเหตุการณ์หลายเรื่องที่ผ่านไปนั้น คงมีบางอย่างที่เราเคยมีความรู้สึกว่า...ช่างบังเอิญเสียจริงๆ

    คำว่า "บังเอิญ" นี้สำหรับนักปฏิบัติภาวนาแล้วดูเหมือนจะขัดกับ "หลักความจริง" ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าของเราดังเรื่องที่ข้าพเจ้าขอยกมาเป็นตัวอย่างนี้

    ภายหลังที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และได้แสดงธรรมโปรดฤาษีทั้ง 5 หรือปัญจวัคคีย์ จนได้บรรลุธรรมะเป็นพระอรหันต์แล้ว วันหนึ่งพระอัสสชิ หนึ่งในปัญจวัคคีย์ได้เข้าไปบิณฑบาตในเมือง ยังมีปริพาชกหรือนักบวชนอกพุทธศาสนารูปหนึ่ง ชื่อ อุปติสสะ เดินมาพบพระอัสสชิเจ้า ได้แลเห็นท่าทางอันสงบ น่าเลื่อมใส จึงเข้าไปถามท่านว่า

    "ใครเป็นศาสดาของท่าน ศาสดาของท่านสอนว่าอย่างไร"

    พระอัสสชิตอบว่า

    "เย ธมฺมา เหตุปปฺภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสญฺ จ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ"

    แปลได้ความว่า "ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ ถ้าต้องการดับ ต้องดับเหตุก่อน พระพุทธองค์ทรงสอนอย่างนี้"

    อุปติสสะเมื่อได้ยินคำตอบก็เกิดความแจ้งในจิต จนได้บรรลุธรรมเบื้องตนในที่นั้นเองและขอเข้าบวชกับพระพุทธเจ้า ต่อมาท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา ที่เรารู้จักกันในนามของ พระสารีบุตร นั่นเอง

    พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ว่าด้วยเหตุกับผล ผลย่อมเกิดแต่เหตุเท่านั้น จะเกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้

    หลวงพ่อเคยบอกข้าพเจ้าว่า

    "ถ้าเรามีญาณหยั่งรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดในชีวิตเรา ไม่มีเรื่องบังเอิญเลย"

    ผู้ปฏิบัติภาวนาต้องให้ความสำคัญที่เหตุ มากกว่าให้ความสำคัญที่ผล จึงขอให้ตั้งใจสร้างแต่เหตุที่ดีๆ เพื่อผลที่ดีในวันพรุ่งนี้...และต่อๆไป
    <!-- / message -->
     
  16. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๗๕. คลื่นกระทบฝั่ง

    ข้าพเจ้าขอเล่าเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2540 มานี้ที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลวงพ่อดู่ท่านเมตตามาโปรด โดยเฉลยปัญหาข้อขัดข้องใจในการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า

    เรื่องมีอยู่ว่าในระหว่างนั้น ข้าพเจ้ามีข้อขัดข้องในการปฏิบัติว่าจะมีอุบายวิธีอย่างไรจึงจะสามารถควบคุมอารมณ์ ควบคุมจิตใจของเราให้เป็นไปในทางที่เราต้องการได้ ในคืนนั้นขณะที่ข้าพเจ้าเดินจงกรมภาวนา เมื่อใจเกิดความสงบดีแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหลวงพ่อดู่บอกข้าพเจ้าว่า คำตอบที่ข้าพเจ้าต้องการนั้นอยู่ในหนังสือ "อุปลมณี" ซึ่งเป็นหนังสือเรื่องราวชีวิตและการปฏิบัติธรรม ตลอดจนรวมธรรมคำสอนของท่านพระโพธิญาณเถระหรือหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี

    ข้าพเจ้าจึงเดินไปที่ตู้หนังสือ และหยิบเอาหนังสืออุปลมณีมาพลิกดู เป็นทีอัศจรรย์สำหรับข้าพเจ้าว่า หนังสืออุปลมณีซึ่งเป็นหนังสือเล่มโต มีความหนาถึง 585 หน้า ข้าพเจ้าพลิกดูเพียงสองสามหน้าก็บังเกิดความปีติขนลุกขนชัน เนื่องจากได้พบกับเรื่องที่ต้องการในหน้า 276 มีใจความว่า

    ธรรมอุปมา

    การอุปมาเป็นวิธีการสอนธรรมะที่ดูเหมือนหลวงพ่อชอบมากที่สุด และเป็นวิธีที่ท่านถนัดมากที่สุดด้วย ท่านยกเอาธรรมชาติรอบด้านเข้ากับสภาวะ เข้ากับปัญหาถูกกับจริตนิสัยของคนนั้น อุปมาอุปไมยประกอบการสอนธรรมะ จึงทำให้ผู้ฟังเกิดภาพพจน์ตามไปด้วย ทำให้ผู้ฟังสามารถมองปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หมดความสงสัยในหลักธรรมที่นำมาแสดง ตัวอย่างการอุปมาของหลวงพ่อ ได้แก่

    "การทำกรรมฐาน ทำเหมือนระฆังใบนี้ ระฆังนี้ตั้งไว้เฉยๆ เสียงไม่มีนะ สงบ สงบจากเสียง เมื่อมีเหตุกระทบขึ้นมา (หลวงพ่อตีระฆังดัง 1 ที) เห็นไหมเสียงมันเกิดขึ้นมา นักปฏิบัติเป็นคนมักน้อยอย่างนั้น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นมา แก้ไขทันท่วงทีเลย ชนะด้วยปัญญาของเรา แก้ปัญหาแล้วก็สงบตัวของเราเหมือนระฆังนี้"...

    "เหมือนกับคลื่นในทะเลที่กระทบฝั่ง เมื่อขึ้นมาถึงแค่ฝั่งมันก็สลายเท่านั้น คลื่นใหม่มาก็ต่อไปอีก มันจะเลยฝั่งไปไม่ได้ อารมณ์มันจะเลยความรู้ของเราไปไม่ได้เหมือนกัน เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะพบกันที่ตรงนั้น มันจะแตกร้าวอยู่ที่ตรงนั้น มันจะหายก็อยู่ตรงนั้น เห็นว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ฝั่งทะเล อารมณ์ทั้งหลายผ่านขึ้นมาเหมือนคลื่นทะเล"

    ขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว ข้าพเจ้าจึงคิดว่า สมควรแก่เวลาพักผ่อน จึงได้ขึ้นมาที่ห้องนอน ที่ตู้หัวเตียงมีหนังสืออยู่หลายเล่ม แต่เหมือนมีสิ่งใดดลใจให้ข้าพเจ้าหยิบ หนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ชื่อ "พุทธทาส สวนโมกขพลาราม กำลังแห่งการหลุดพ้น" เป็นหนังสือขนาดพอๆ กับอุปลมณี ซึ่งรวมคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุไว้มีเนื้อหา 356 หน้า และมีความหนาถึงหนึ่งนิ้ว ข้าพเจ้าเปิดหนังสือ พลิกดู 2-3 หน้า ก็บังเกิดควาปีติจนขนลุกขนชันอีกครั้ง เนื่องจากได้พบกับธรรมอุปมาในเรื่อง คลื่นกระทบฝั่ง ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันอีก คัดลอกจากเทปบันทึกเสียงท่านพุทธทาสภิกขุ ซึ่งอยู่ในหน้า 146 มีใจความว่า

    หลักปฏิบัติเกี่ยวกับพลังงานเพศ

    มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่ได้มีแผนการคือ เราทำงานที่เราชอบหามรุ่งหามค่ำ แล้วพลังงานที่เหลือที่รุนแรงทางนั้นมันก็ลด มันก็หมดไป แรงกระตุ้นอยากมีชื่อเสียง อยากให้มีประโยชน์แก่ผู้อื่นที่เขาคอยรอผลงานของเรา อันนี้มันมีมากกว่า นี่ก็เลยทำเสียจนหมดแรง พอเพลียก็หลับไป พอตื่นขึ้นมาก็ทำอีก ไม่มีโอกาสใช้แรงไปทางเพศตรงกันข้าม เราไม่ได้เจตนาโดยตรง มันเป็นไปเองเหตุการณ์มันบังคับ ให้เป็นไปเอง คือ เราหาอะไรทำให้มันง่วนอยู่กับงาน พอใจในงาน เป็นสุขในงาน มันก็ซับบลีเมท (sublimate หมายถึง กลั่นกรอง ทำให้บริสุทธิ์ - ผู้เขียน) ของมันเอง เอาแรงทางเพศมาใช้ทางสติปัญญา เอาแรงงานกิเลสมาใช้เป็นเรื่องของสติปัญญา ต้องมีงานอันหนึ่งซึ่งพอใจ หลงใหลขนาดเป็นนางฟ้า เหมือนกับเรียนพระไตรปิฏก ต้องหลงใหลขนาดนางฟ้า ความรู้สึกทางเพศมันก็ต้องเกิด แต่ว่าความรู้สึกนี้ (ความคิดที่จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม) เหมือนกับสิ่งต้านทาน เช่นว่า คลื่นกระทบฝั่ง คลื่นมันก็แรงเหมือนกัน แต่ว่าฝั่งมันแข็งแรงพอจะรับ (หัวเราะ)

    ถาม-วิกฤตแบบจวนเจียนจะไปไม่ไป ตัดสินใจอย่างไร

    นั่นมันเรื่องคิดฝัน เวลามันช่วยได้หรือว่าไม่รู้ไม่ชี้ (หัวเราะ) มันช่วยได้ มันเหมือนกับคลื่นกระทบฝั่ง พอพ้นสมัย พ้นเวลา มันก็ไม่รู้หายไปไหน แต่สรุปแล้วมันต้องทำงาน พอถึงเวลาเข้า มันต้องทำงาน มันรักงานอยู่ ไปทำงานเสีย ความคิดฝันนั่นก็ค่อยๆซาไปๆมันไปสนุกในงาน

    ข้าพเจ้าได้มาพิจารณาแล้วเห็นว่าเรื่องนี้เป็นอุปมาธรรมที่มีประโยชน์มาก หากไม่บันทึกไว้เป็นหลักฐานก็เกรงว่าตนเองจะหลงลืมในภายหลัง และจะไม่เกิดประโยชน์อะไร หากไม่น้อมนำมาพิจารณาบ่อยๆ เรื่อง คลื่นกระทบฝั่งนี้ จึงกลายเป็น เรื่องบังเอิญที่ไม่บังเอิญ ที่ข้าพเจ้า "ประสบ" อีกเรื่องหนึ่ง
    <!-- / message -->
     
  17. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๗๖. หลวงพ่อบอกข้อสอบ

    ในราวปี พ.ศ. 2527-2528 สมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นนักศึกษาอยู่ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลวงพ่อดู่ท่านเคยบอกข้อสอบให้ข้าพเจ้าทราบล่วงหน้าและช่วยเหลือข้าพเจ้าในการทำข้อสอบ เท่าที่ข้าพเจ้าจำความได้ถึง 5 วิชาด้วยกัน

    ข้าพเจ้าจะขอเล่าเฉพาะวันที่หลวงพ่อบอกข้อสอบ วิชาที่อาจารย์ฉายศิลป์ เชี่ยวชาญพิพัฒน์ เป็นผู้สอน คือวิชาแรงงานสัมพันธ์ คืนวันนั้นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ก่อนวันสอบ 1 วัน ข้าพเจ้านั่งอ่านตำราและทบทวนความรู้ที่อาจารย์ได้สอนมาตลอดเทอม ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังมีสมาธิกับตำราที่อยู่เบื้องหน้า ข้าพเจ้ารู้สึกเย็นวาบขึ้นที่ใจพร้อมกับมีเสียงบอกข้าพเจ้าว่า พระธาตุหลวงปู่ทวดเสด็จ ข้าพเจ้าหันหลังกลับไปมองที่โต๊ะหมู่บูชาในห้องทันทีและเกิดความสงสัยว่า พระธาตุเสด็จมา แล้วท่านอยู่ที่ไหนล่ะ...อยู่ที่กระถางธูป เสียงตอบข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าหยุดอ่านหนังสือ เดินตรงมายังโต๊ะหมู่บูชา สายตาหยุดอยู่ที่กระถางธูปใบน้อย...แล้วข้าพเจ้าจะทราบได้อย่างไรล่ะ ว่าอันไหนเป็นเม็ดกรวด เม็ดทราย อันไหนเป็นพระธาตุ แต่แล้วข้าพเจ้าก็มองเห็นองค์พระธาตุสีน้ำตาลเกือบดำ มีสัณฐานค่อนข้างกลม ขนาดเล็กมากเหมือนไข่ปลา ข้าพเจ้าจึงแยกออกมาจากกระถางธูปเพื่อนำมาบูชา

    จากนั้นข้าพเจ้าได้มานั่งอ่านหนังสือต่อ สักครู่ก็มีความรู้สึกเหมือนมีคนบอกให้ข้าพเจ้าเขียนจดหมายวิจารณ์การสอนของอาจารย์ผู้สอน ข้าพเจ้าก็เลยนึกสนุกขึ้นมา นั่งเขียนจดหมายอย่างเอาจริงเอาจัง แทนที่จะนั่งอ่านหนังสือ เขียนเสร็จก็พับใส่ซอง ตั้งใจไว้ว่าวันรุ่งขึ้นเมื่อสอบเสร็จ จะนำไปมอบให้อาจารย์ที่ห้องพักของท่าน

    วันรุ่งขึ้นเป็นวันสอบ เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นข้อสอบซึ่งเป็นข้อสอบบรรยายเสียส่วนใหญ่ ข้าพเจ้าต้องแปลกใจที่หนึ่งในข้อสอบบรรยายข้อใหญ่นั้นให้วิจารณ์การเรียนการสอนของท่านอาจารย์ฯ ในตอนแรกข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยจะแน่ใจตนเองเท่าใดนักว่าเราคิดเอาเองหรือเปล่า เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่

    เรื่องพระธาตุเสด็จ หลวงพ่อบอกข้อสอบ ข้าพเจ้าเชื่อว่า หากเป็นคนอื่นก็คงไม่แน่ใจตนเองเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็มีเรื่องที่ยืนยันให้ข้าพเจ้าแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริง เพราะเหตุการณ์เกิดซ้ำรอยเดิม

    หากเป็นเรื่องบังเอิญ คงไม่สามารถเกิดเรื่องทำนองเดียวกันได้หลายครั้ง หลวงพ่อบอกข้อสอบข้าพเจ้า อีกเป็นครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3และครั้งที่ 4 ต่างกรรมต่างวาระกัน จนผลการสอบของข้าพเจ้าออกมาได้เกรดเอ หลายวิชา

    ข้าพเจ้าได้พิจารณาดูแล้วคิดว่าเรื่องนี้หลวงพ่อต้องการสอนอะไรบางอย่างแก่ข้าพเจ้า คงมิใช่เพียงแค่การบอกข้อสอบและก็คงมิใช่เอาไว้ให้ข้าพเจ้านำมาเล่าให้หมู่คณะฟังเท่านั้น

    ปริศนาธรรมจากนิมิตครั้งนี้ จะจริงหรือเท็จประการใดพระธาตุเสด็จมาจริงหรือไม่ หรือหลวงพ่อบอกข้อสอบจริงหรือไม่ สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่หลวงพ่อเมตตาให้บทเรียนบทต่อมากับข้าพเจ้า

    เป็นบทเรียนที่นำไปสู่ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ให้ข้าพเจ้าได้มีความเข้าใจในธรรมมากขึ้น และเป็น สัมมาทิฏฐิ มากขึ้นในเวลาต่อมา
    <!-- / message -->
     
  18. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๗๗. ตัวประมาท

    หลังจากที่หลวงพ่อได้บอกข้อสอบให้ข้าพเจ้าทราบครั้งแรกแล้ว ท่านก็ได้ช่วยข้าพเจ้าทำข้อสอบอีกเป็นครั้งที่ 2 ที่ท่านช่วยเหลือข้าพเจ้าคราวนี้เป็นวิชา พบ.283 วิชาการบริหารงานผลิตซึ่งมีอาจารย์ผู้สอนหลายท่าน ข้อสอบมีหลายลักษณะ ทั้งบรรยาย ทั้งเติมคำ ให้กากบาทหน้าข้อที่ถูกต้องที่สุด ฯลฯ

    หลวงพ่อดู่ท่านเคยสอนวิธีทำข้อสอบแบบปรนัย (ให้กากบาทหน้าข้อที่ถูกต้องที่สุด) ให้ข้าพเจ้าว่า เวลาที่เราไม่แน่ใจ แทนที่เราจะเดาสุ่มหรือที่เรียกว่ากาส่งเดช เราจะไม่ทำอย่างนั้น หลวงพ่อท่านสอนให้ข้าพเจ้าหลับตาและนึกถึงหลวงพ่อทวด (หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด) แล้วกราบเรียนถามท่าน

    ขณะที่อยู่ในห้องสอบ เมื่อข้าพเจ้าทำข้อสอบเสร็จ แต่เวลายังไม่หมด และยังมีข้อสอบประเภทกากบาทเหลืออีกประมาณ 10 ข้อที่ข้าพเจ้าไม่แน่ใจ ข้าพเจ้าไม่รอช้า นึกถึงที่หลวงพ่อสอนทันที ค่อยๆพิจารณาทีละข้อ หากข้อใดถูกต้อง เมื่อข้าพเจ้าเอาปากกาจิ้มไปที่ตัวเลือก จะเกิดเป็นแสงสว่างขึ้นทันที แต่ถ้าไม่ถูกต้อง ก็จะมืดและไม่มีแสงสว่าง

    ข้าพเจ้าทำข้อสอบส่วนที่เหลือด้วยวิธีนี้จนเสร็จเรียบร้อย หลังจากประกาศผลสอบออกมา ข้าพเจ้าได้เกรด A เช่นเคย เดือนต่อมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสนำเรื่องนี้ไปเรียนถวายให้หลวงพ่อทราบ ในครั้งนั้นมีเพื่อนของข้าพเจ้าซึ่งเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยอีกแห่งหนึ่งมากราบหลวงพ่อด้วยเช่นกัน เพื่อนข้าพเจ้าคนนี้ได้ฟังเรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าถวายหลวงพ่อ เขาจึงได้กราบเรียนหลวงพ่อว่า

    ผมได้ทำข้อสอบกากบาทแบบนี้เหมือนกัน ข้อสอบมี 100 ข้อ พอเข้าห้องสอบผมก็หลับตานึกถึงหลวงพ่อ ขอให้ช่วยทำข้อสอบด้วย จากนั้นก็ทำข้อสอบโดยใช้วิธีหลับตาเช็คทีละข้อจนครบ 100 ข้อ ผลสอบออกมาปรากฎว่าได้ F คือ สอบตก ทำไมเป็นอย่างนี้ครับหลวงพ่อ เพื่อนข้าพเจ้าถามหลวงพ่อ

    หลวงพ่อมองหน้าเพื่อนของข้าพเจ้าและเมตตาอบรมเตือนสติทั้งเพื่อนและข้าพเจ้าว่า

    "แกไม่พิจารณาให้ดี นั่นแหละตัวประมาท จำไว้ตัวประมาทนี่แหละตัวตาย"

    ตรงกับพระพุทธพจน์ที่ว่า ปมาโท มัจจุโน ปทัง ความประมาทเป็นหนทางไปสูความตายนั่นเอง
     
  19. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๗๘. ของโกหก

    มีพระพุทธพจน์ว่า

    "บุคคลใด เห็นสิ่งอันไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และเห็นสิ่งอันเป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ บุคคลนั้นมีความดำริผิดประจำใจ ย่อมไม่อาจพบสาระได้

    ส่วนบุคคลใด เห็นสิ่งอันเป็นสาระว่าเป็นสาระ สิ่งอันไม่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ บุคคลนั้นมีความดำริถูกประจำใจ ย่อมสามารถพบสิ่งอันเป็นสาระ"

    เรื่องราว เหตุการณ์ บุคคล สัตว์ สิ่งของต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั้น

    สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่คงที่ และไม่สามารถคงอยู่ตลอดไป

    หากเรารู้จักสังเกต ฝึกหัดพิจารณาหาเหตุหาผล จนใจคุ้นเคยกับความเห็นตามความจริง

    เราจะเห็นถึง ความเปลี่ยนแปลง ทั้งบุคคลและสิ่งของทุกอย่างรอบตัวเราได้ไม่ยากนัก
    <!-- / message -->
     
  20. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    ๗๙. ถึงวัดหรือยัง

    [​IMG]

    ธรรมะเป็นสิ่งที่มีอยู่รอบๆ ตัวเราทุกๆ คน เพียงแต่ว่าเราจะสามารถมองเห็นและนำมาพิจารณาได้แค่ไหนอย่างไร ในสมัยพุทธกาล ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ แพทย์ประจำองค์พระพุทธเจ้าของเรา สมัยที่ศึกษาอยู่กับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ก่อนจะสำเร็จวิชาการแพทย์ ท่านให้ถือเสียมไป เที่ยวหาดูว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ใช้เป็นยาไม่ได้ ให้นำมาให้ โดยให้ไปเที่ยวหา 4 วัน วันละทิศ ทิศละ 1 โยชน์ รอบเมืองตักศิลา ท่านหมอชีวกรับคำสั่งอาจารย์แล้วถือเสียมไปเที่ยวหาตามคำสั่งของอาจารย์ ก็ไม่ได้พบเห็นสิ่งใดที่ไม่ใช่ยาเลย เมื่อกลับมาแล้วเข้าพบอาจารย์ แจ้งความนั้นให้ทราบ อาจารย์จึงกล่าวว่า เธอเรียนวิชาแพทย์สำเร็จแล้ว ความรู้เท่านี้พอเพียงที่เธอจะใช้เป็นอาชีพได้แล้ว

    ต้นไม้ทุกชนิด หิน ดิน แร่ต่างๆ มีคุณค่า สามารถนำมาเทียบเป็นยาได้ฉันใด บุคคลผู้มีความฉลาดก็ฉันนั้น รอบๆ ตัวเราทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ เรื่องราวเหตุการณ์ใดๆก็ตามที่เกิดขึ้น และผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวันของเรานั้น ไม่มีเรื่องใด ที่ไม่สามารถนำมาพิจารณาให้เป็นธรรมะได้เลย

    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรามีความเข้าใจในโลกธรรมทั้ง 8 อย่าง ได้แก่

    ได้ลาภ เสื่อมลาภ
    ได้ยศ เสื่อมยศ
    ได้รับความสุข ประสบกับความทุกข์
    มีคนสรรเสริญ และมีคนนินทา

    ...ถ้าใจเปรียบเหมือนน้ำนิ่ง เมื่อใจเรากระทบกับโลกธรรม 8 อย่างนี้แล้วกระเพื่อมไหวไปตามอารมณ์ ก็เป็นโลก แต่ถ้าพิจารณาอย่างมีสติจนเท่าทันโลกธรรม 8 อย่างแล้ว ไม่ซัดส่ายไปตามอารมณ์ทั้งหมดนี้ ใจก็เป็นธรรมอยู่โดยตลอด

    ธรรมะแท้อยู่ที่ใจ มิใช่ที่วัด พระสงฆ์ หรือคัมภีร์ใบลานที่ล้วนเป็นศาสนสถาน ศาสนบุคคล หรือศาสนวัตถุ เท่านั้น หากเราเข้าใจได้อย่างนี้ ศาสนธรรมอันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็จะเกิดขึ้นที่ตัวเรา เมื่อนั้น เราก็จะเข้าใจคำว่า พระที่คล้องใจ มิใช่ พระที่คล้องคอ
    หลวงพ่อดู่ ท่านสรุปเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟังว่า

    "ถึงแกมาวัด แต่ใจยังมีโกรธ โลภ หลง ไปตาม 8 อย่างที่ว่านี้ แกยังมาไม่ถึงวัด แต่ถ้าแกอยู่บ้านหรือที่ไหนๆ แต่ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่มี 8 อย่างนี่มากวนใจ ข้าว่าแกมาถึงวัดแล้ว"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_8091.jpg
      IMG_8091.jpg
      ขนาดไฟล์:
      238.3 KB
      เปิดดู:
      2,219
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2007
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...