ผีปู่สังกะสาผีย่าสังกะสี...กับความเชื่อของคนอิสาน

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย พระจิรวัฒน์ ญาณวโร, 17 สิงหาคม 2012.

  1. พระจิรวัฒน์ ญาณวโร

    พระจิรวัฒน์ ญาณวโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    5,029
    ค่าพลัง:
    +17,452
    ผีปู่สังกะสาผีย่าสังกะสี
    ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี ตามตำนานและความเชื่อของชาวอีสานบ้านเฮา สมัยก่อน คือผีบรรพบุรุษผู้สร้างและให้กำเนิดลูกหลานมนุษย์ทั้งหลายขึ้นมา เชื่อว่า ตนสืบเชื้อสายมาจากต้นบรรพบุรุษนี้ จึงเรียกว่าปู่ – ย่า ซึ่งความจริง ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี ตามความเชื่อแล้ว จัดเป็นเทพ ไม่ใช่ผี แต่เมื่อเรามองไม่เห็น และน่าจะตายไปนานแล้ว ก็เลยเรียกว่าผี หรือ สัง
    หมายเหตุ : เมื่อเราจะพูดถึง คนที่ตายไปแล้ว เพื่อให้ผู้ฟังใจว่าตายแล้ว และเป็นการให้เกียรติด้วย ก็จะมีคำนำหน้าชื่อผู้ตาย คือ “สัง” หรือ “สาง” เช่น “สังพ่อใหญ่ลี” “สังบักลา” “สังอีลุน” เป็นต้น
    มีคำโบรานเพิ่นกล่าวไว้ว่ามีธาตุทั้งสี่ เกิดก่อนสิ่งมีชีวิต คือ ธาตุ๔ ปฐวี อาโป วาโย และเตโช มีเบาบางกระจัดกระจาย ไม่แสดงความเป็นธาตุของตนได้อย่างชัดเจน ความว่างเปล่า หมุนวนนานตราบนาน
    ปฐวีธาตุ อันเกิดจากเศษซากส่วนเหลือที่ธาตุอื่นๆ สลัดทิ้ง มีกระจัดกระจาย และรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นวัตถุที่มีความแข็งกระด้าง ก้อนเล็กๆ และเมื่อรวมกันก้อนโตขึ้นอีก วัตถุนั้นได้แยกออกจากกันเป็นสองส่วน เพราะแรงลมและแรงผลักดันแห่งเตโชธาตุฝ่ายเย็น
    วัตถุทั้งสองส่วน ได้ลอยอยู่กลางมหาสมุทร ห่างกันออกไป เคว้งคว้าง พร้อมๆ กับดึงดูดเอามวลสารมารวมไว้ ทำให้วัตถุนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น แผ่นดิน หรือปฐวี ลอยไปลอยมากลางมหาสมุทร แผ่นดินทั้งสองผืน ก็ค่อยๆ สะสมรูปร่างให้โตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
    จากนั้น ด้วยความสมดุลแห่งธาตุต่างๆ ได้ก่อกำเนิด พืชพันธุ์ เกิดต้นไม้ นะครับ และต้นกำเหนิดของมนุษย์เฮากะเริ่มขึ้นจาก แผ่นดินผืนหนึ่ง มนุษย์คนแรก ได้ถือกำเนิดจาก “ขี้ตมปวก” หรือก้อนเศษตะไคร้น้ำ ที่เป็นที่สะสมของมวลสารมากมาย มีเพศเป็นชาย ชื่อว่า ไกยสา ซึ่งต่อมา เราเรียกว่า สังกะสา
    และ ที่แผ่นดินอีกผืนหนึ่ง ก็เกิดมนุษย์เพศหญิง จากขี้ตมปวก เช่นเดียวกัน ชื่อว่า ไกยสี ซึ่งต่อมาเราเรียกว่า สังกะสี
    กาลต่อมา ลมได้พัดพาให้แผ่นดินสองผืน ลอยมาพบบรรจบกัน ทำให้สังไกยสา และสังไกยสี ได้พบกัน พูดคุยกัน ต่อมา ได้สังวาสกัน และให้กำเนิดมนุษย์ลูกหลาน ชายหญิงมากมาย ลูกหลานปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี ก็จับคู่สมสู่กัน มนุษย์ทั้งหลาย จึงเกิดมีมากมายทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ และด้วยกิเลสตัณหา ที่มีพอกพูนขึ้น ทำให้ ต่อมา มีโรคเบียดเบียนกาย ภัยไข้เจ็บ ภัยธรรมชาติ มีเฒ่าชรา และมีมรณะ เวียนว่ายตายเกิด เพื่อรักษาสมดุล นะครับ
    ที่เขียนมาทั้งหมดคือที่มาของ ผีปู่สังกะสา และ ผีย่าสังกะสี บ่แมนสังกะลี...ได๋
    ผีปู่ตา
    ผีปู่ตา เป็นผีที่ชาวบ้านให้ความเคารพ นับถือ บูชา จนเรียกว่า ปู่ ตา เสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของตน ศาลสำหรับผีปู่ตา มักปลูกไว้ในที่ดอน จึงนิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดอนปู่ตา หรือ ดอนตาปู่
    บางแห่ง อาจเป็นผีสองสามีภรรยา ชาวบ้านก็อาจเรียกว่า ผีตายาย หรือ ผีปู่ย่า ก็มี
    ผีปู่ตา จัดเป็นผีประเภทบรรพบุรุษ ผู้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เคยอยู่อาศัยในสถานที่นั้นๆมาเก่าก่อนนมนาน ครั้นตายไปแล้ว ด้วยความอาลัยรักในสถานที่นั้นๆ ดวงวิญญาณจึงยังคงสิงสถิต วนเวียน คอยปกปัก ดูแล คุ้มครอง รักษาสถานที่นั้นๆ อยู่
    ผีปู่ตา เมื่อพูดตามลักษณะทางภพชาติ ก็มีทั้งที่เป็นภูตผีจริงๆ(เป็นผีประเภทอสุรกาย) และที่เป็นเทวดา(รุกขเทวดาก็มี ภูมเทวดาก็มี)
    ผีปู่ตา เป็นผีระดับสูง คือมีอำนาจมาก มีบารมีมากเหนือภูตผีและสัมภเวสีทั่วไปในแถบนั้นบริเวณนั้น
    ผีปู่ตา มีทั้งที่มีบริวารมาก และที่มีบริวารน้อย หรืออยู่เพียงลำพังก็มี
    สมัยก่อน หมู่บ้านตามภาคอีสานแทบทุกหมู่บ้าน เมื่อแรกสร้างหมู่บ้าน เป็นความเชื่อที่ว่า ณ สถานที่นั้น อาจมีคนเคยอยู่อาศัยมาก่อน อาจมีเจ้าที่หวงแหนรักษาไว้ เมื่อจะตั้งหมู่บ้าน จึงต้องบอกกล่าวเล่าแจ้งขออนุญาต และก็ต้องสร้างที่พักให้เจ้าที่ด้วย เราเรียกที่พักนี้ว่า ศาล ซึ่งศาลเจ้าที่ แต่ละแห่ง ก็แตกต่างกันแล้วแต่ผู้สร้าง และจุดที่สร้างศาลเจ้าที่ โดยมาก ก็จะสร้างไว้นอกหมู่บ้าน ในที่ที่เป็นป่าละเมาะ หรือเป็นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง และชาวบ้าน ก็จะกำหนดขอบเขตไว้เลยว่า ขอบเขตเท่านี้ เป็นอาณาเขตของผีปู่ตา ห้ามใครก็ตามเข้าไปถากถางทำกิจส่วนตน และมอบสิ่งของทั้งหลายในอาณาเขตนั้น ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ สัตว์ต่างๆ ให้เป็นทรัพย์สมบัติของผีปู่ตา(ที่ดินและทรัพย์สินส่วนที่เหลือ ขออนุญาตให้ชาวบ้านไว้ทำมาหากิน)
    และนอกจากนั้น ก็ขอให้ผีปู่ตา ช่วยดูแล ปกปักรักษา คุ้มครอง หมู่บ้าน และคนในหมู่บ้านด้วย ซึ่งก็จะมีพิธีกราบไหว้ ขอขมาผีปู่ตา ปีละครั้ง ในช่วงประมาณเดือนหก หรืองานบุญเบิกบ้าน หรือตามที่หมู่บ้านนั้นๆกำหนด
    ผีปู่ตาสามารถคุ้มครองรักษาหมู่บ้าน จากสิ่งชั่วร้ายที่มองไม่เห็นได้ เช่นป้องกัน ขับไล่ผีตายโหง ผีปอบ ผีร้ายอื่นๆ รวมถึงอาถรรพ์อาคมร้ายทั้งหลาย ไม่ให้เข้ามาในหมู่บ้าน เป็นต้น นอกจากนั้น ก็ช่วยดูแลผืนป่ารวมถึงสรรพสัตว์ที่อยู่ในอาณาเขตให้ปลอดภัยจากการทำลายถาง ถากด้วย
    มักจะเป็นเรื่องราวอยู่เสมอ เมื่อมีคนเข้าไปตัดต้นไม้ ไปยิงสัตว์ ในอาณาเขตผีปู่ตา นั่นคือ ผีปู่ตาก็จะมาสั่งสอน ผ่านการเข้าสิงใครคนใดคนหนึ่ง แล้วบอกเล่า ว่ากล่าว ตักเตือน หรือกรณีสั่งสอนหนักหน่อย ก็จะทำให้เจ็บป่วยแบบไม่รู้สาเหตุ หมอธรรมดารักษาไม่หาย เป็นต้น เป็นเหตุให้ชาวบ้านกลัวเกรง ไม่ค่อยมีใครกล้าตอแยกับผืนป่าอาณาเขตผีปู่ตา ปัจจุบัน จึงมักพบเห็นร่องรอยดอนปู่ตา อยู่ในหลายๆ หมู่บ้าน
    ผีปู่ตา ไม่ใช่ภูตผีร้าย ที่หลอกหลอนคนแบบนึกสนุก ไม่ใช่ภูตผีร้าย ที่ทำร้ายคนแบบไร้เหตุผล ผีปู่ตา เพียงทำหน้าที่ปกป้อง ดูแล คุ้มครอง หมู่บ้านและคนในหมู่บ้าน แต่หากใครผิดกฎระเบียบ หรือทำสิ่งไม่ดีไม่งาม ผีปู่ตา ก็จะมาสั่งสอน การสั่งสอน หากเป็นคนด้วยกันเอง ก็พอทำเนา แต่หากเป็นสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นมาสั่งสอน ก็จะน่ากลัว และอาจไม่เรียกว่าถูกสั่งสอน เรียกว่าถูกผีหลอกแทน
    เรื่องราวของ ผี ยังมีอีก ส่วนมากทางอิสาน จะมีผีที่ดี ผีที่เป็นประโยชน์ นำมาเป็นกุศโลบาย วิถีที่ทำให้ผู้คน รู้จักธรรมเนียมปฎิบัติ ไม่ให้ผิดจารีต หรือ ทำนองครองธรรม แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนหรือกลุ่มคน ที่ไม่เชื่อเรื่อง ผี ในปัจจุบันอาจเป็นเพราะเป็นยุควิทยาศาสตร์ ยุคดิจิตอลไปซะแล้วนะครับ จะเห็นได้ว่าบางหมู่บ้านก็ไม่มีศาลปู่ตา ถ้ามีก็รกร้าง หมดความศักดิ์สิทธิ์ไปซะแล้ว ปู่ตาก็ไม่สิงสถิต ไม่มีผีปู่ตา มาช่วยปัดเป่าความทุกข์ที่มองไม่เห็น ทำให้เกิดอาเพศ อยู่เนืองๆ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2012
  2. ฉัตรชัย พรหมแก

    ฉัตรชัย พรหมแก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +590
    กำเนิดมนุษย์ในสุวรรณภูมิ

    เหมือนตำนานของเมืองคูบัว ราชบุรี ในตอนปู่สรวง ย่าสาง นะครับ จะมีแตกต่างกันบ้างตรงที่ในตำนานว่ามนุษย์เกิดจากพรหมแสงฟ้า ลงมากินง้วนดิน เป็นไปได้หรือไม่ว่าคำว่า มนุษย์เกิดจากขี้ตมปวก ( ขี้ปวกตมคือง้วนดิน ) พรหมแสงฟ้าได้กินเข้าไป ผมจึงได้ นำเอามาให้ท่านได้อ่านพอสังเขป จากเว็ป ตามรอยพระพุทธบาท อ่านแล้วก็สนุกดีมีสาระครับ

    ยุคที่ ๑ ขุนสรวง และ นางสาง


    ..........เหตุที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงพระสูตรนี้ ก็ป็นเพราะว่าสมัยพุทธกาลนั้น พวกพราหมณ์ถือชาติ ถือตระกูล ถือว่าเป็นพวกประเสริฐ พวกอื่นเป็นพวกเลวทราม ถือว่าพราหมณ์เป็น โอรสของพรหม เป็นผู้เกิดจากปากพรหม แต่ความเป็นจริงนั้น ผู้ที่อุบัติขึ้นในโลกนี้ มีสภาพเหมือนกันหมด ดังเช่นเรื่องราวที่เกิด ขึ้นในบ้านเมืองของเรา ก็มีเรื่องราวการสร้าง โลกดังรายละเอียดต่อไปนี้

    ...........จริงอยู่ รูปนี้หล่อทําชั้นหลังมามาก แต่คงทําเลียนแบบเก่า ลักษณะแบบเปลือย ทํามือ เท้าเป็นแผ่น ๆ แม้รูปใหญ่ ๆ ก็เห็นทําเป็นแผ่น ๆ คล้ายตีนเป็ด ซึ่งเป็นเครื่องหมายรู้ว่า ขุนสรวง ขุนนางสาง ยุคสมัย เมืองสรวง อีสาน เรียก "ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี" มีชื่อว่า "สัง" หรือ "สาง" เหมือนกัน

    ...........รูปอย่างนี้พบทั่วไปยืนยันนับถือผีสางเหมือนกัน ซึ่งเป็นคนสมัยต้นภัททกัป ถึงสมัย พระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธ สําหรับผีฟ้าคล้าย อาภัสสรเทพพรหม ต่างเพียงมีเพศหญิงเท่านั้น อาภัสสรพรหมว่ามีแต่เพศชาย และรูปเคารพนี้ ที่ราชบุรีหมอไทยเอาขึ้นตั้งในพานแก้วทั้งคู่ ขุนสรวง ชื่อว่า "พ่อหมอ" ขุนหญิงนางสาง เรียกชื่อ "แม่มด" คือ "หมอมดลูก"

    ............ขุนสรวงและนางสางนี้ "เป็นต้นผีไทย" เมื่อมาเป็นมนุษย์ตามที่ปรากฏเรื่องนั้น “เป็น ต้นคนไทย” คือเป็นต้นชายหญิงไทย เมื่อตาย ไปเป็นผีอยู่ในสรวงสวรรค์ ก็ได้เป็น ผีฟ้า หรือ จ้าวฟ้า เป็นต้นผีไทย แม้ในระยะกาล ยาวนานหนักหนา ถึงกระนั้นก็ยังระลึกเคารพ บูชากัน กระทั่งเป็นประเพณีแบบไทย เช่นชื่อ บวงสรวง เซ่นสรวง เซ่นไหว้ กันมา คนไทย ได้รักษากันตลอดกาล จึงอยู่กับไทยได้ทั้งคน กับทั้งจ้าวผีทั้งหลาย
    ..........ที่เป็นยอดสุดก็คือ สร้างแบบอย่างไทยกัน ไว้ได้ปฏิบัติกันมา กระทั่งเป็นประเพณีในทุกๆ อย่าง และคงสืบกันมา จึงชื่อว่าเป็นของที่อยู่แก่ คนไทย ยืนยันว่าไทยมีอยู่นานสมัยโบราณกาล มาแล้ว และไทยทําเป็นกันมาจนกระทั่งเป็น สายเลือด สายจิตใจไทย นี่แล ที่เป็นไทยมีอยู่ แก่ไทยและคงไทยมาถึงปัจจุบัน

    เมื่อ ต้นขุนสรวง และ นางสาง ได้ตั้ง เป็นต้นแรกแล้ว เป็นประเพณีแบบอย่างบวง สรวงกันมา ต่อมาคนไทยเกิดมาแล้ว เป็นคน ค้นทําอะไรขึ้น เมื่อตายไปก็ขึ้นเป็นผีต้น เช่น ขุนอิน นางกวัก เป็นต้นความเจริญ ตั้งความ เจริญ ตั้งกาลเวลา ปี เดือน วัน นี้เป็นต้นผี
    ขอมฟ้าไทย ขุนสือไทย ขุนเลกไทย ขุนหญิงไทยงาม เป็นผู้สร้างลายสือ และลาย เลข อ่านรู้เรื่องก็ขึ้น เป็นต้นครูบาอาจารย์ เมื่อตายไปก็ขึ้นเป็นต้นผีครูบาอาจารย์ ฯลฯ

    "เมื่อถึงกาล "ขอม" คือ ครอบ ก็มาทรง สรรสร้างให้ขลัง ศักดิ์สิทธิ์เป็นขึ้น แม้จะล่วงไป นานแล้ว ก็ยังอนุเคราะห์มาสืบสาย "สาง" ไว้ ไทยจึงต้องมีแบบไทย คือ มีขุน มีขอม เป็น แบบไทย คือมีผี มีต้นจ้าวขุน มีขอมคือ ครูบาอาจารย์ เป็นสิ่งของขลัง คือ ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคนได้จากสาง คือ จ้าว ในสรวงสวรรค์ ชั้นหนหาวนั้น อันยืนยันว่า แบบไทยมีโลกนี้ โลกหน้า โลกคนสร้าง สางสรรทรง ทั้งนี้มีอยู่ และเป็นแบบไทยที่คงมาถึงปัจจุบัน
     
  3. ฉัตรชัย พรหมแก

    ฉัตรชัย พรหมแก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +590
    ต้นกำเนิดชายหญิง

    ขุนสรวง เดิมเป็นผีฟ้าแสง ( อาภัสสรกาย ชั้นอาภัสสรเทพ พรหม ) ได้เที่ยวมาสู่หล้านี้ ได้กลิ่นอาย "ง้วนดิน" หอมติดใจ จึงลงมาและ ใช้มือจับกินเข้าไป มีรสอร่อยหวานมัน กลืนเข้า ไป เข้าไปมากกระทั่งอิ่ม เกิดง่วงนอนจึงนอน หลับ ด้วยอํานาจธรรมชาติอายดิน และอายฟ้า กระทําร่างผีฟ้าแสงให้กลับเป็นร่างคนแล้ว ได้เปลี่ยนให้ลืมหมดในขณะหลับนั้น

    นานเท่าไรไม่ปรากฏ เมื่อตื่นขึ้นกลับรู้สึก สมบูรณ์แล้ว ได้มองดูรอบ ๆ รู้แต่ว่าอยู่ที่ ภูเขาเป็นเกาะ มีน้ำล้อมรอบ มีกลางคืน กลาง วัน มีนก ปลาอยู่แล้ว และที่มีอยู่คนเดียว ขุนสรวงจึงยังไม่มีคําพูด และไม่มีข้อคิดละอาย จึงอยู่อย่างธรรมชาติ คือไม่มีเครื่องแต่งตัว



    เมื่อหนาว เข้าถ้ำหินดิน เมื่อร้อน เข้าร่มไม้ เข้าเพิง เมื่อหิวกินดิน กินไม้ กินมะ ( ลูกไม้ ) กินน้ำ กินปลา กินไข่นก มีผีฟ้าแสงมาเที่ยว หลายคราว แต่ไม่มีคําพูดได้แต่นึก ไม่รู้จัก เพียงว่าเขามาเที่ยวแล้วก็จากไป นานเนิ่นมา นาน มีผีฟ้าแสงมาหลายคราว และหลายผู้ และนานเท่าไรไม่รู้ เที่ยวไปทางไหนบ้างก็จํา ไม่ได้ พักอยู่หลายแห่งหน

    กระทั่งคราวหนึ่ง มีผีฟ้าเหลืองทองพุ่ง ลอยมาลงอยู่ ณ พื้นราบขาวสะอาด ขุนสรวง แฝงร่างเข้าไปดูมองเห็นผีฟ้าแสงนั้นคุกเข่า ใช้สองมือควัก "ง้วนดิน" กินอย่างเอร็ดอร่อย จึงนึกเรื่องของตัวได้ว่า ตัวเองก็เคยเป็นผีฟ้าแสงอย่างนี้ และมากินง้วนดินอย่างนี้ จึงง่วงและหลับไป พลังแสงหายหมด จึงกลับไปที่เดิม ไม่ได้ เมื่อนึกรู้แล้ว นึกว่าคงจะกินมากแล้วจะหลับ พลานุภาพแสงนั้นจะหายหมด และกลับไม่ได้ จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน จึงสงบนิ่งมองดูอยู่

    ผีฟ้าแสงเหลืองทองนั้น เมื่อกินง้วนดิน นั้น ได้เกิดติดรสอร่อยหวานมันนั้น ก็กินเข้าไป กินเข้าไปชนิดเพลิดเพลิน กระทั่งอิ่มและบังเกิดง่วงนอนโงกไปมา ที่สุดแสงแดดอ่อนลงก็ล้มตัวลงนอนหงายเหมือนรูปกองไฟมีแสงกระจ่างออก เมื่อตะวันลับไปก็ยังปรากฏแสงกระจ่างโพลงอยู่อย่างนั้น

    ขุนสรวงมองดูอยู่กระทั่งรุ่งขึ้น ผีฟ้านั้นก็ยังหลับอยู่ตามเดิม เข้าคืนที่ ๒ แสงค่อย จางและหรี่ลง ปรากฏร่างขึ้น มีเงาที่อกทั้งสอง ข้างสูง ขุนสรวงมองดูทั้งของผีฟ้าและของตัว ปรากฏว่าไม่เหมือนกัน กระทั่งตะวันขึ้น แสงนั้นจางลงไปมาก แต่ก็ยังหลับอยู่ เมื่อเข้าคืนที่ ๓ แสงนั้นมีอาการหรี่และโพลงขึ้นเป็นระยะ ๆ ร่างก็ชัดเจนขึ้นปรากฏพร้อม กระทั่งรุ่งเช้า แสงจางไปเกือบหมด เมื่อแสงแดดกระทบร่างแผดส่องอยู่นาน แสงเดิมก็ค่อยหายไปในแสงแดด และผีฟ้านั้นสะดุ้งตื่นขึ้น

    เมื่อมองดูตัวแล้ว ไม่มีแสงอาภรณ์ประดับอยู่ ได้ทะลึ่งลุกขึ้นกระโดดเพื่อลอยไปก็ไม่ได้ กลับลงมาตามเดิม ขุนสรวงคิดว่านางจะหนีไป จึงวิ่งออกไปกระโดดจับไว้ เมื่อจับถูกตัวนาง ปรากฏว่านิ่มมือ นางหลับตากระโดดจะเหาะลอยหนีก็ไม่ขึ้น เมื่อถูกจับยึดไว้ได้ตกใจร้อง ดุว่า "อะ...อ้า..!" ซึ่งเป็นคําต้นที่พูดกันในกาล นั้น เมื่อนั้นยังไม่มีชื่อและคําพูดใดอื่น
     
  4. porntips

    porntips เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,410
    กราบนมัสการหลวงพี่ด้วยครับ ทางโน้นสบายกันดีก่อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...