จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555
    ยังอยู่ค่า.... ยกมือแล้วนะค่า แต่คุณคมวรรณนี่สิไม่รู้ไปไหน

    ช่วงนี้แต่ได้ข่าวร้ายๆรอบๆตัวเกิดขึ้นกับญาติๆ
    เลยหลบมาพิจารณา ให้เห็นพระไตรลักษณ์ แล้วปล่อยวางซะ
    อย่าได้ไปแวะ...เดี๋ยวจะจิตจะตก
    รับรู้แต่ไม่รับเอา....

    ส่งรายงาน การบ้านคุณคูรค่า

    วันนี้อยู่กับพระ และรู้สึกถึงลมหายใจ-ออกที่เบาดีมากเลย
    เป็นเหมือนธรรมชาติเลย ...เอ ยังงัยดีหนอ
    คือมันเหมือนกับว่า เราเห็นว่าเราหายใจเข้า-ออก
    โดยไม่ต้องมาคอยระวังดูเอะ เราหายใจเข้าน่า เอะเราหายใจออกน่า
    จิตเค้าจะอยากอยู่แต่กับลมหายใจอ่ะค่าไม่รู้ยังงัย ( อันนี้ดีหรือไม่ดีค่า)
    ไม่มีนิวรณ์ มีนิวรณ์ปุ๊บ เราก็คิดถึงพระท่านทันที

    อธิษฐานถึงท่านบ่อยๆในใจ
    รู้สึกกลางอกกลางใจอบอุ่นทุกที
    แต่ภาพพระ ก็เห็นท่านไม่เปลี่ยนไปมา
    ภาพพระไม่ได้ชัดเจนอะไร
    บางทีเป็นจางๆสีเหลืองๆมากกว่า
    แต่มีความอบอุ่นใจในใจมากกว่า มั่นใจตัวเองลึกก

     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    " Nibbana "
    นิพพานคืออะไร

    นิพพานนัง ปรมัง สุขัง
    แปลว่า
    นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขในที่นี้ไม่ใช่สุขแบบปรุงแต่ง
    แต่เป็นความสุขที่ปราศจากความปรุงแต่ง เรียกว่า "สุ ข ที่ ไ ร้ สุ ข" ​


    การอธิบายสิ่งต่างๆ โดยใช้ภาษาอธิบายความหมายออาจเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากหากสิ่งนั้นเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ ทว่าหากสิ่งนั้นเป็นนามธรรมแล้ว การใช้คำมาอธิบายสภาวะต่างๆ อาจทำให้เกิดความสับสนได้พอสมควรทีเดียว เราอธิบายให้เข้าใจถึงรสชาติของผลแอ๊ปเปิ้ลแก่ผู้ที่ไม่เคยได้ลิ้มราชาติของมันได้อย่างไร
    นิพพานก็มีนัยเฉกเช่นเดียวกัน

    พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงอธิบายถึงนิพพานไว้ด้วยคำจำกัดที่แน่นอน พระองค์ตรัสไว้กว้างๆ เพียงว่า นิพพานคือการดับทุกข์อย่างหมดจด สิ้นแล้วซึ่งกิเลสตัณหาและอวิชชาใดๆ ในพระไตรปิฎกได้เปรียบนิพพานไว้ว่าเหมือนไฟที่ดับมอดแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครบอกได้ว่าไปที่ดับแล้วนั้นจะกลายไปเป็น สภาวะใดหรือสลายไปอยู่ ณ ที่ใด

    สิ่งที่จะให้คำตอบในเรื่องนิพพานได้ดีที่สุดก็คือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เนื่องจากเป้าหมายหลักพุทธศาสนาคือการดับทุกข์ โดยนิพพานเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นมาหลังจากที่ทุกข์ดับไม่เหลือแล้วโดยสิ้นเชิง คำว่านิพพานในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Nibbana ซึ่งมาจากภาษาบาลี และคำว่า Nirvana ซึ่งมาจากภาษาสันสกฤต หมายถึงสภาวะที่เป็นอิสระจากความทุกข์ หากแปลตรงตามความหมายในรากศัพท์ของคำว่า Nirvana แล้วจะหมายถึงการดับ ตรงกับในบริบทของพุทธศาสนา ซึ่งหมายถึงการดับไปของอวิชชาและตัณหาทั้งปวงในพระอภิธรรมได้อธิบายถึงธรรมชาติของสภาวะนิพพานไว้ว่า เป็นการหลุดพ้นจากสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิด

    ตามพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์อธิบายไว้ว่า นิพพานหมายถึงสภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์แล้ว โดยภาพกว้างแล้ว นิพพานจึงเป็นสภาวะที่ดับแล้วซึ่งทุกข์ทั้งปวงและใจเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ นั่นคือการพ้นไปจากสิ่งร้อยรัดทั้งหลาย ซึ่งตรงกับความหมายในคัมภีร์อุปนิษัทที่กล่าวว่า นิพพานหมายถึงการดับสนิทแห่งความเร่าร้อนและเครื่องร้อยรัดทั้งปวงอันเป็นที่มาของความทุกข์

    อย่างไรก็ตาม คำถามว่านิพพานคืออะไรย่อมไม่สำคัญเท่า คำถามที่ว่าเราจะดับทุกข์ในใจให้ตัวเราเองได้อย่างไร เพราะหากเราดับทุกข์ในใจเราเองได้อย่างหมดจดแล้วเราดับทุกข์ใจผู้อื่นได้ด้วย เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทรงใช้หลักธรรมคำสอนของพระองค์สลายทุกข์ในใจให้แก่หมู่มวลมนุษยชาติ

    หากย้อนไปศึกษาพุทธประวิติแล้ว จะเข้าใจถึงจุดกำเนิดที่แม้จริงของการที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบพระธรรมจนเข้าถึงพระนิพพานสภาวะแห่งการแก่ เจ็บ ตาย อันเนื่องมาจากภาพในพระทัยที่นำมาพิจารณาใคร่ครวญจากผู้ที่พระองค์ทรงพบเห็น ทั้งนี้เพื่อแสวงหาโมกธรรมหรือธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้น

    เมื่อทรงผนวชแล้วพระองค์ทรงแสวงหาสิ่งนั้นจากพระอาจารย์สำนักต่างๆ แล้วทรงพบว่าสิ่งที่ทรงได้รับการอบรมสั่งสอนมาไม่ใช่โมกธรรม แม้จะทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาต่างๆ ก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการจนกระทั่งพระองค์ทรงน้อมเข้ามาสู่ก้นบึ้งแห่งจิตใจพระองค์เอง จึงได้ตรัสรู้ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมืองพุทธคยา ดังที่มีคำกล่าวว่า ”พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง” ณ จุดนั้นพระองค์ได้ทรงค้นพบโมกธรรมที่แท้จริง และทรงเป็นอิสระจากทุกข์ทั้งปวงก่อนที่จะเข้าพระนิพพาน นิพพานจึงเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้เมื่อทุกข์ทั้งหลายดับไปโดยสิ้นเชิงนั่นเอง
     
  3. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    วิธีปฏิบัติจิตเกาะพระ...ธรรมทานจากคุณลูกหว้า จิตบุญ ๘

    สวัสดีค่ะพี่เพ็ญ พี่ภู
    ตอนแรกว่าจะไม่เขียน
    รึว่าจะรอให้ทุกคนเขียนครบก่อนค่อยเขียน
    แต่พออ่านของพี่ๆ เลยอยากเล่ามั่ง แหะๆ


    ของหมูมันเป็นการเล่าสู่กันอ่านซะมากกว่านะคะ
    ไม่ได้จับประเด็นอะไรมาก(ไหม?)
    ไม่รู้ล่ะ หมูอยากเล่ามั่ง คิคิ



    โดยพื้นฐานนิสัยแล้วเป็นคนคิดมาก หงุดหงิดบ่อย เคร่งเครียดและจริงจังกับทุกอย่างในชีวิต มีนิสัยขี้เบื่อ ไม่ค่อยปล่อยวาง ขี้เกียจ แต่เป็นคนชอบทำทานอยู่บ่อยตามโอกาส จนกระทั่งเข้ามาเรียนรู้ชีวิตในมหาวิทยาลัยได้ปีที่สาม จิตใจก็เริ่มรับกระแสโลกไม่ไหวแล้ว เพราะสังคมของคนรอบข้างวุ่นวายมาก จนได้ตกลงใจกับตัวเองสวดมนต์ นั่งสมาธิ ไหว้พระก่อนนอนทุกวัน แต่ไม่ได้ถือศีลอะไร ก็ปฏิบัติเช่นนั้นอยู่หลายเดือน จวบจนเข้าสู่ พ.ศ.๒๕๕๕ เริ่มปฏิบัติถือศีล๕ อย่างจริงจังอยู่สองเดือน


    เข้าเดือนกุมภาพันธ์ก็นอนสมาธิจนหลับทุกคืน แทบจะไม่ได้นั่งสมาธิจริงจัง หรือสวดมนต์แล้วเพราะงานการเรียนเยอะมาก แต่สุดท้ายอยากหนีภาระทางกาย และใจที่มันแบกรับงานต่างๆ ไว้ กลัวไม่ทันส่งครู อ่านหนังสือสอบไม่ทัน ฯลฯ เลยขอพระเป็นที่พึ่งในใจ ก็เลยได้กลับมาสวดมนต์อีกครั้งในช่วงปลายเดือนนั่นเอง โดยที่ถือศีล๕ ตามปกติด้วย


    และเมื่อกลับมาสวดมนต์ได้สองสามวัน และเริ่มระลึกถึงพระในขณะที่สวดมนต์ ระลึกว่าเรานั่งสวดมนต์อยู่ต่อหน้าพระ เวลาสวดมนต์ภาพพระติดจิตมาก เป็นเช่นนี้อยู่สองสามวัน ขณะที่ก็มีงานทางโลกเข้ามา และดูหนังฟังเพลงปกติ แต่ก็ระลึกถึงพระบ่อยมากขึ้น และพูดกับพระในจิตตนเอง (พูดในจิตตัวเอง เหมือนตัวเองพูดกับตัวเอง เหมือนจะบ้านะ แต่ทำจริงๆ) เวลาทำอะไรก็คิดว่าพระอยู่กับตัวเองเสมอ อีกทั้งได้แขวนพระที่คออยู่ตลอดจึงระลึกว่าท่านอยู่กลางอกเราบ้าง (ส่วนภาพพระได้มองเฉพาะเวลาสวดมนต์นะคะ เพราะตอนนั้นอยู่กับตัวเอง ไม่ได้ไปอ่านธรรมะ หรือวิธีการปฏิบัติธรรมที่ไหน) ทำแบบนี้อยู่เกือบสัปดาห์จนกระทั่งดูซีรีส์ที่ห้องคนเดียว เห็นตัวละครที่เป็นพ่อ ก็พลอยทำให้คิดถึงพระ ดูหนังไปเรื่อยจนจู่ๆ น้ำตาก็ร่วง และไหลออกมาไม่หยุดอยู่สามชั่วโมง จนต้องปรึกษาใครสักคนเพราะไม่รู้จะหยุดร้องไห้ได้ยังไง แล้วในจิตก็บอกว่าต้องเป็นพี่ภู ซึ่งเคยคุยกันไม่กี่ครั้ง แล้วหลังจากนั้นถึงได้รู้ว่าจิตตนเองอยู่กับพระ หรือมีพระในจิตบ้างแล้ว


    หลังจากนั้นก็เริ่มฝึกจิตโดยการวางแนวปฏิบัติทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ นั่งสมาธิ แล้วหันมาเรียนรู้จิตตนเอง ควบคู่กับการงานวิชาเรียนทางโลก ลดภาระทางกายน้อยที่สุด แล้วมาเรียนรู้จิตตนเองให้เต็มที่ และดีที่สุดก่อน แล้วค่อยกลับมาฝึกสมาธิหรือสวดมนต์ภายหลัง


    ในระหว่างที่ฝึกไม่ได้ไปอ่านแนวทางปฏิบัติธรรมที่ไหน หรือเรียนรู้อะไรมากขึ้น ถือปฏิบัติอยู่แค่ศีล๕ และจิตที่มองภาพพระบ่อยๆ อยู่กับตนเอง เรียนรู้ตนเอง เรียนรู้ทุกสิ่งที่โดนกระทบเข้ามา
    และที่สำคัญในช่วงระหว่างการฝึก คือ ระลึกอยู่กับพระตลอดเวลา เสมือนว่าพระท่านอยู่ในกายเราจนกระทั่งจิตเข้าสู่กระแสบุญ กระแสธรรมะในที่สุด


    และขอสรุปวิธีที่ได้ปฏิบัติดังนี้

    ๑. หมั่นมองภาพพระด้วยตาเนื้อ และตาใน (หรือในจิตของตน) บ่อยๆ ตั้งภาพพระไว้หน้าจอคอม, หน้าจอมือถือ และทุกครั้งที่ตาเนื้อมองก็จะจินตนาการภาพพระในจิตไปด้วย ถึงจะเห็นไม่ชัด แต่ก็พอระลึกในจิตได้ว่าภาพพระเป็นลักษณะใดด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลาย สบายๆ

    ๒. ระลึกว่าพระอยู่กับตนเองเสมอ ระลึกว่าท่านอยู่กลางกายตนเอง เวลาไปไหนก็จะมีสติ มีจิตระลึกรู้ว่าพระท่านอยู่กับเราเสมอ และความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อสมเด็จองค์ปฐมคือ พระองค์เป็นพ่อที่แท้จริงของเราจึงทำให้เรารู้สึกรัก เคารพ และผูกพันกับพระมาก เวลาทำอะไรจึงระลึกถึงพระในจิตได้ง่ายมาก เพราะรู้สึกว่ามีพระ มีท่านพ่อ หรือพ่อแท้ๆ อยู่ใกล้เรา อยู่ในจิตเรา และหมั่นพูดกับพระในจิต เช่น บอกพระว่ากำลังจะไปเรียน, ตอนนี้กำลังทานข้าวอยู่ แล้วพระท่านฉันอาหาร (หรือเสวยพระกระยาหาร) ยังหรือยัง, หรือแม้กระทั่งปรึกษาพระในเรื่องต่างๆ ในจิตตนเอง (บ้าไปแล้ว พูดคนเดียวในจิต)

    ๓. ก่อนนอนทุกคืนจะตั้งจิตอธิษฐานกราบขอขมาพระ, ตั้งจิตกราบพระ และทุกครั้งที่มองภาพพระมักจะจินตนาการว่าตนเองอยู่กับพระเสมอ เป็นเด็กชายตัวน้อยที่ขอความเมตตาจากพระ จากท่านพ่อ ด้วยการระลึกว่าตนนั่งอยู่ข้างพระบ้าง, นอนหัวหนุนตักพระบ้าง, กอดพระ (ท่านพ่อ) บ้าง โดยเฉพาะก่อนนอนจะระลึกถึงพระเสมอว่าคืนนี้ลูกขอนอนกับท่านพ่อ ขอท่านพ่อดูแลดวงจิตของลูก กล่อมลูกนอนจนกระทั่งเราหลับไป ในการทำเช่นนี้หลายท่านอาจจะว่าเป็นการปรามาสพระ หรือเปล่านั้นก็ขอให้ดูที่เจตนา เพราะตัวเราเองต้องการอยู่กับพระ และระลึกถึงพระอยู่ตลอด และที่สำคัญพระ หรือท่านพ่อนั้นเป็นที่พึ่งสูงสุดของเราจึงเข้าหาพระ หรืออยู่กับพระทุกเวลาเท่าที่เราจะทำได้ และตอนนั้นรู้มาว่าในโลกทิพย์ไม่มีเพศ ทุกอย่างวัดกันที่ดวงจิต หรือบารมีเท่านั้นจึงระลึกจิตกอดพระได้เต็มที่ ตามแต่ใจจิตเราเองขอให้อยู่กับพระได้ทั้งยามหลับ และยามตื่นก็พอ


    ๔. ทุกเช้าพอมีสติรู้ตัวตื่นนอนก็ระลึกถึงพระก่อน และมองภาพพระในจิตก่อนลืมตา และลุกจากเตียงอยู่สม่ำเสมอ และอาราธนาบารมีพระท่านคุ้มครอง ดูแลดวงจิตเราตลอดวัน


    และเมื่อเราระลึกถึงพระว่าอยู่กับเราตลอดวัน ไม่ว่าจะทำอะไรจิตจะคิดถึงพระก่อนเสมอ แม้กระทั่งยามตกใจ ยามเศร้า หัวเราะ เหงา ทุกข์ วุ่นวาย สงบ ฯลฯ คิดถึงพระอยู่ตลอด และมองภาพพระบ่อยๆ หรือแม้ตอนแต่ขับรถก็ระลึกถึงภาพพระไปด้วย ทำการบ้านก็มองภาพพระ คิดถึงพระ ฝากจิตไว้ที่พระอยู่บ่อยครั้งจนรู้สึกว่าทั้งโลกมีแค่เรา (จิต) และพระเท่านั้น ไม่ได้สนใจโลกภายนอก ไม่สนใจผู้อื่น


    เมื่อมีพระในจิต หรือมีจิตเกาะพระได้แนบแน่นแล้วก็จะเห็นภาพพระได้ชัดเจนทั้งตอนลืมตา และหลับตา


    และในส่วนของการส่งการบ้าน หรือรายงานครูประจำวันนั้น โดยส่วนตัวเป็นคนใช้อินเทอร์เน็ตอยู่เกือบตลอดวัน เวลาเจออะไรกระทบก็ได้รายงานให้ครูทราบบ่อยๆ บางวันก็รายงานสามถึงสี่ครั้งต่อวันก็มี และในการส่งการบ้านนั้น ไม่ได้คิดว่าเป็นการรายงานปฏิบัติมากจนเกินไป คิดแค่ว่าวันนี้เจออะไรมาก็เล่าให้ครูอ่าน เล่าให้ครูทราบเหมือนพี่น้องคุยกันมากกว่า ทำให้การปฏิบัติจิตเกาะพระเป็นไปแบบสบายๆ ตามประสาพี่น้องคุยกัน ปรึกษากัน สั่งสอนกันเสียมากกว่าจึงทำให้จิตสบายตลอดการฝึกค่ะ

    ลูกหว้า จิตบุญ ๘
     
  4. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    วันก่อนขับรถอยู่ รถติดมาก ไปติดอยู่ด้านหลัง รถกระบะคันหนึ่งซึ่งบรรทุกวัวมา 1 ตัว เห็นวัวมีเชือกผูกที่จมูก ผูกส่วนอื่นๆด้วยไว้กับตัวรถ

    คิดว่าสงสัยคนเอาวัวไปฆ่า สงสารวัว แล้วฝนก็ตกหนักมาก ฟ้าร้องเสียงดัง วัวตัวนั้นก็ยืนตากฝนอยู่อย่างนั้น พยายามมองไปทางอื่น คิดว่าทำไมเราต้องมารถติดหลังวัวตัวนี้ด้วยนะ

    ดูไปดูมา ก็เข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้า กำหนดให้มีอุเบกขา

    วัวตัวนั้นกลัวเสียงแตร และแสงไฟหน้ารถเลนอื่นที่แซงขึ้นมา พยายามถอยหลังหนี แต่ขยับไปได้น้อยมาก เพราะถูกผูกเอาไว้

    พิจารณาไตรลักษณ์ของวัว ก็เห็นเนื้อหนังกระดูก ของวัวตัวนี้ถูกแยกไปเป็นส่วนๆ เป็นธาตุ 4 กลับคืนแก่โลก ในที่สุดก็ไม่เหลืออะไรเลย

    วัวตัวนี้จะว่ายวน อยู่ใน วัฎฏสงสาร อีกนานเท่าไรก็ไม่รู้ พิจารณาแล้วรู้สึกว่าในวัฎฏนี้ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปจริงๆ

    ถ้าใครยังปิดวัฎฏสงสาร ไม่ได้ก็น่ากลัวนัก

    คิดย้อนมาถึงตัวเรา วันนั้นเป็นวันแรกที่ดีใจที่จิตยก (ประมาณ 4 วันหลังจิตยก) หลังพิจารณาเรื่องนี้ ;39
    ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกทำนองว่า เออจบ... ซะที



    ปล. จิตก็ไม่เที่ยง ตอนแรกสงสาร ตอนพิจารณาก็อุเบกขา ต่อมาก็ดีใจ ไตรลักษณ์หมุนต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา รู้สึกว่าเป็น dynamic
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2012
  5. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    วิธีปฏิบัติจิตเกาะพระ...ธรรมทานจากคุณแทนนี่ จิตบุญ ๓๘

    เรียนพี่ภู คุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]แม่สุมาลี ครูเพ็ญ</st1:personName> ครูดัช และกลุ่มชาวจิตบุญทุกๆท่าน

    <O:p
    กราบขอบคุณทุกๆท่าน ซาบซึ้งตรึงจิตที่ได้มีโอกาสได้เข้ามารู้จักทุกท่าน ณ ทุกวันนี้ แรกๆ ก็สับสนคะว่า เอ.......จับภาพพระได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนไหนเพราะ การจับภาพพระช่วงแรกๆ จะเป็นลักษณะใช้ ความคิด ความอยาก จินตนาการ ซะมากกว่า เลยไปไม่ถึงไหน ผลที่ได้คือภาพเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา จิตไม่นิ่งสักกะที ปน ตัวสงสัย โน่นนี่นั่น เข้าไปด้วย ประกอบกับเกิดนิมิตคอยหลอกล่อให้ได้ใจว่าเกิดความพิเศษขึ้นจากการฝึก จบเลย จบตรงนี้ที่แทนนี่คนเดียว 5555

    <O:p
    อาจเป็นเพราะแทนนี่เองไม่มีพื้นฐานการนั่งสมาธิแบบใดมาเลย ครูอธิบายจนหืดขึ้นคอก็แล้ว เหนื่อย เมื่อยก็แล้ว ยังไม่เก็ท และความเพียรแทนนี่ก็น้อยมากคิดว่าภาพพระต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยากให้ภาพพระเป็นประกายอย่างนั้นอย่างนี้ แทนนี่ใส่ แสง สี เพิ่ม เอฟเฟ็คเข้าไปด้วย ความที่อยากสำเร็จไวๆๆ 5555 อวิชชาจริงๆ ทำไปได้ ตอนนั้นงี่เง่าบรมแล้วก็จบที่เดิม ที่แทนนี่คนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ครูก็ใจดี เมตตาจิตจริงๆ มีพลังงานเยอะ ในการดึง ฉุด เหนี่ยว รั้ง แทนนี่กันอย่างเต็มที่
    <O:p

    และคงเป็นความเมตตาของท่านพ่อจริงๆ แม้จะความเพียรในการฝึกน้อย แต่ความอยากอ่านกะทู้ อยากอ่านอีเมลล์ แบบเกาะขอบก็ไม่หยุดยั้ง แทนนี่หยุดถามตัวเองว่า เราอยากขึ้นนิพพานไม่ใช่เหรอ เรารู้สึกได้ไม่ใช่เหรอ แล้วจะยอมแพ้เหรอ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอก ทุกอย่างต้องมีเหตุและผล <O:p


    เลย<O:p
    <O:p

    ***1.สวดมนต์ อธิษฐานจิตกับพระพุทธเจ้า ขอพร ให้ตาของตัวเองตาสว่าง มองเห็น และ เข้าใจแก่นการฝึก ตั้งใจยกเลิก การใช้ความคิด ความอยาก จินตนาการใดๆ จิตเห็นภาพพระเป็นอย่างไร ก็ตามนั้น ตั้งใจว่าจะคิดถึงพระให้มากที่สุด บ่อยที่สุด แล้วก็จับภาพพระได้ดีขึ้น เร็วขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ เกิดปิติ เกิดสุข*** จนได้มีโอกาส เรียนรู้การติดเฉย ติดทุกข์ ติดสุข มีประสบการณ์จิตตก จิตหลุด ด้วย แต่ดึงกลับมาได้ใหม่ เหมือนจิตดวงใหม่ เพราะครูเพ็ญครูดัชสร้างมวลกล้ามเนื้อมาเพื่อ ฉุด ดึง รั้ง โดยเฉพาะ ครูสองท่านนี้แข็งแกร่งและแข็งแรงมาก อย่างน่าอัศจรรย์
    <O:p

    ***2.ส่วนหนึ่งในระหว่างที่ฝึกจิตเกาะพระ จำที่ครูเพ็ญครูดัชบอกว่า พระมีที่ให้เกาะตั้งเยอะแยะ ใช่ ไม่เห็นต้องเคลียด ต้องใช้ความคิดอะไรเลย ตั้งหน้าตั้งตาเกาะพระไปแบบสบายสบาย อย่าเคลียด อย่าบังคับจิต ไล่ทีละส่วน ตามแต่จิตนะคะ ไม่ใช่ความคิด เริ่มจาก เศรียรพระ พระพักตร์ ไหล่ซ้าย ไหล่ขวา แขนซ้าย แขนขวา เข่าซ้าย เข่าขวา พระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวา จิตก็จะทำอย่างนั้นของเขาไปเอง ทุกวัน ทุกเวลา ทุกสถานที่ บ่อยขึ้น ถี่ขึ้น*** <O:p


    ***3.ที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ก่อนนอนเกาะพระให้แนบแน่นแล้วให้ร่างกายผลอยหลับไปเอง ก่อนลืมตาตื่น ก็เกาะพระให้แน่นก่อน แทนนี่คิดว่านี่เป็นหัวใจหลัก ของการทำให้จิตเกาะพระให้แนบแน่นและสนิท เพราะเคยลืมคำสอนครูมาแล้วในการฝึกแบบนี้ เลยรู้สึกว่ามันเป็นวิธีที่สำคัญอย่างไร***
    <O:p

    ***4.อย่าขาดเรียน และ ศึกษาธรรมะ ไม่ว่าจะด้วยการอ่านกะทู้จิตพร้อมฯ จากครูโดยการขยันส่งการบ้านทางอีเมลล์ หรือ คุยกับครู หรือถ้าไม่มีเวลาคุยทางอีเมลล์ หรือเข้ากะทู้ ก็ปริ้นออกมาไว้อ่าน อ่านซ้ำซ้ำยิ่งเกิดปีติ ยิ่งเกาะพระได้แน่นขึ้น วิเคราะห์ตาม หรือ อย่างไรก็ได้ ที่ยังวนเวียนอยู่กับครู เราอย่าทิ้งครู เพราะ ครูไม่เคยทิ้งเรา เราอย่างห่างครู เพราะ จิตจะตกและถูกกระแสโลก วิบากกรรม ขัดขวาง จนทำให้จิตตกได้***
    <O:p
    มีต่อ
     
  6. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ต่อ

    สี่ข้อด้านบนคือวิถีการฝึกจิตเกาะพระของแทนนี่คะ อยากจะขอแชร์ว่าขั้นตอนสุดท้ายก่อนจิตยก ที่ทำให้แทนนี่ติดอยู่นานคือ ติด สงสัย และความสงสัยในที่นี้ ทำไมจิตเรายังไม่ยกนะ ทำไมเกาะพระไม่แนบแน่นนะ ทำไมเพื่อนเขายกกันเร็วจังแล้วเรายังไม่ยก ทำไมแสงพระบางครั้งก็สว่างบางครั้งก็จ้า ทำไมภาพพระเดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่ ทำไมภาพพระเปลี่ยนไปเรื่อย ทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ แล้วถ้าอย่างนั้นจะอย่างนี้มั๊ย แล้วยังไงต่อ <O:p

    <O:p
    ความอยาก ก็เหมือนกัน เฮ้อเพื่อนยกจิตกันหมด (เกิดสงสัยโดยอัตโนมัติ) อยากยกเร็วๆบ้างจัง อยากไปนิพพานเร็วๆจัง อยากทำได้แบบนั้นบ้างจัง อยากอย่างนั้น อยากอย่างนี้คืนวันที่ 12 สิงหาคม วันที่จิตแทนนี่ยก ช่วงเวลาห้าทุ่ม แทนนี่เชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะ แทนนี่ตัดสองเกลอนี้ได้เด็ดขาด ฉึบฉับจริงๆ รู้สึกได้ รับรู้ได้ กับจิต กับความรู้สึก กับ ความคิดของตัวเอง
    <O:p

    วันนั้นทั้งวันเป็นวันที่ยุ่งมากกับงานโรงแรม รวมถึงวันก่อนหน้านั้น ไม่มีเวลาตอบอีเมลล์ ไม่มีเวลานั่งพัก ไม่เวลาคิดเรื่องอื่น เป็นวันที่ต้องจัดงานวันแม่ของโรงแรม แทนนี่เห็นอีเมลล์ ประกาศแจ้งจิตบุญยกกัน แบบชนิดที่ตามกันติดๆ และ เราเองไม่ทันแม้จะขอ อนุโมทนาผ่านทางอีเมลล์ แต่จิตก็ได้ขออนุโมทนาบุญไปแล้ว พอเลิกงานกินข้าวต่อกับเพื่อนๆ แล้ว กลับบ้าน ในจิตบอกท่านพ่อว่า ไม่คะ จิตแทนนี่ไม่จิตตกคะ ไม่เป็นไรจริงๆคะ ไม่อยากรู้แล้ว ไม่สงสัยแล้ว ไม่เร่งจิตตัวเองแล้ว แทนนี่รู้อย่างเดียวว่าต้องทำให้ดีที่สุดแบบสบายๆ เรียนรู้ธรรมะให้มากที่สุดแบบสบายๆ ท่านพ่อเมตตาลูกมาก ขอให้ลูกได้มีโอกาสช่วยเหลือครูจิตบุญ ช่วยกันยกจิต เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของท่านพ่อคะ แล้วก็คิดว่าหลับประมาณเที่ยงคืน<O:p
    <O:p

    ขออาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ สมเด็จองค์ปฐม พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า ได้โปรดช่วยส่งบุญบารมีของแทนนี่ที่มีมาแต่อดีตชาติใดๆจนถึงปัจจุบัน ณ ชาตินี้ ส่งไปถึง พี่ภู คุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]แม่สุมาลี ครูเพ็ญ</st1:personName> ครูดัช และกลุ่มชาวจิตบุญ จิตบำเพ็ญ จิตเกาะพระ ทุกๆท่านคะ<O:p
    <O:p

    แทนนี่ จิตบุญ ๓๘<O:p
    <O:p
     
  7. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    วิธีปฏิบัติจิตเกาะพระ...ธรรมทานจากคุณอุษาวดี จิตบุญ ๓๑

    วิธีการทำจิตเกาะพระ ในแนวทางตนเอง

    1. นึกถึงภาพพระสมเด็จองค์ปฐมสีทอง แว๊บไปนึกถึงตลอดทั้งวัน
    <O:p</O:p
    2. ก่อนนอน นึกถึงภาพพระ จนหลับไป
    <O:p</O:p
    3. ตื่นนอน นึกถึงภาพพระ จนอารมณ์ใจสบาย จึงลุก
    <O:p</O:p
    4. เมื่อภาพพระเปลี่ยนเป็นแก้ว ก็ save ภาพพระที่ใกล้เคียงกับที่เห็น ไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ติดรูปพระไว้ที่โต๊ะทำงาน ในรถ ใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์
    <O:p</O:p
    5. อธิษฐานขอบารมีท่านพ่อ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ช่วยให้บรรลุ มรรคผลนิพพาน โดยเร็ว ทุกคืน หลังสวดมนต์ และขอให้อย่าลืมนึกถึงพระ ถ้าจะลืมขอให้มีสติระลึกได้
    <O:p</O:p
    6. ถวายดอกบัวแก้ว แด่ท่านพ่อ และพระพุทธเจ้า ตอน ก่อนนอน ตื่นนอน ระหว่างวัน ก่อนกินอาหาร
    <O:p
    7. ก่อนกินอาหาร แผ่เมตตาให้ผู้ที่ผลิตอาหารให้เรากิน ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง
    <O:p</O:p
    8. ส่วนใหญ่พอนึกถึงภาพพระแล้วอารมณ์ใจสบาย ก็แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ผู้ที่เราอยากแผ่ให้
    <O:p</O:p
    9. รักษาศีล แต่ถ้าเผลอ เช่น บังเอิญไปปัดมดตาย (ไม่ผิดศีลเพราะไม่เจตนา แต่ขาดสติ เลยไม่ระวัง) ก็ขอขมาพระรัตนตรัย ลูกจะสำรวมระวังในครั้งต่อไป และพยายาม รักษาสัจจะให้เป็นไปตามนั้น
    <O:p</O:p
    10. ขอขมา พ่อแม่ผู้มีพระคุณที่เราได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ด้วยประการใดๆก็ตาม ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็โทรไปขอขมา ถ้าล่วงลับไปแล้วก็ขอขมากับพระประธานในโบสถ์<O:p</O:p
    <O:p
    อุษาวดี
    <O:p</O:p
    จบ. ๓๑<O:p</O:p

    ยินดีให้เผยแพร่เป็นธรรมทาน โดยไม่ต้องขออนุญาต


    ปล. ขออภัยค่ะคุณหมอ พี่เพ็ญลืมของคุณหมอไปได้ไงเนี่ย - -'

    จิตบุญท่านใดส่งบทความมาแล้วแต่พี่เพ็ญยังไม่ได้นำขึ้นกระทู้ให้ โปรดช่วยกระทุ้งพี่เพ็ญบนกระทู้ได้เลยค่ะ หรืออีกวิธีหนึ่งจิตบุญทุกท่านสามารถนำส่งบทความบนกระทู้ได้ทันทีเช่นกันค่ะ

    ลูกหว้าอย่าลืมตามเก็บข้อมูลด้วยนะ พี่เพ็ญเก็บมาแล้วแต่กลัวพลาดเพราะตาลาย ฮ่าๆ หนูแก่เย้ว ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2012
  8. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    วิธีปฏิบัติจิตเกาะพระ...ธรรมทานจากคุณเมิล จิตบุญ 24

    เมิลขอเล่าบ้าง อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมากคะ เพราะว่าก่อนที่จะมาทำจิตเกาะพระเมิลคุ้นเคยกับการจับภาพพระอยู่แล้ว เมิลมักจะจับภาพหลวงปู่ดู่แล้วก็สวดจักรพรรดิไปพร้อม ๆ กัน บางทีก็คุยกับหลวงปู่บ้างคะ ซึ่งเมิลมักจะชอบทำตอนอิริยาบถเคลื่อนไหวมากกว่านั่งสมาธินะคะ เพราะว่านั่งแล้วเมิลชอบฟุ้งตอนที่มาเห็นกระทู้พี่ภูตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าเราก็จับภาพพระอยู่แล้วนี่นะ ไม่มีอะไรใหม่ ประกอบกับอ่านที่พี่ภูเขียนไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย 555 ไม่เข้าใจว่าพี่เขาพูดเรื่องอะไร

    แต่ก็แปลกดีอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ก็ไม่เลิกอ่านซะที ตามอ่านอยู่ได้พอตามอ่านเกาะกระทู้ไปเรื่อย ๆ ก็มาชอบภาพพระสีขาวอยู่ภาพหนึ่ง เป็นภาพพระที่พุทธอุทยาน ดอยอินทรีย์ ก็เลยลองทำจิตเกาะพระดู ช่วงแรกก็เกาะพระและก็เกาะทู้ไปพร้อม ๆ กัน มีแอบเข้ามาบอกว่าร้องเพลงไปจับภาพพระไปไรเนี่ยแหละ ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีครู พี่เพ็ญนี่เป็นใครเหรอ ทำไมต้องอีเมลล์ไปหา ทำไมพี่เขาขยันแจกอีเมลล์มากเลย ก็เลยถามหน้ากระทู้ เมิลก็เข้าใจโอเคเข้าใจว่า ก็เหมือนเรียนหนังสือนะ มีครูคอยให้คำแนะนำให้กำลังใจจะได้เรียนจบไว ๆ เมิลก็ได้ครูวิทย์สอนคู่กับครูพี่เพ็ญคะ เมิลก็เริ่มทำจิตเกาะพระอย่างจริงจัง อาศัยว่าเคยฝึกจับภาพหลวงปู่ดู่มาก่อนก็ทำแบบเดียวกันนะคะ คือว่า



    มีต่อ<O:p</O:p
     
  9. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ต่อ

    1. พอรู้สึกตัวตื่น ยังไม่ลืมตา (รอโทรศัพท์ปลุก) ก็คิดถึงพระท่านก่อนเลยเป็นอันดับแรก พอเมิลคิดถึงพระท่าน รูปพระท่านก็ปรากฏขึ้นในใจนะคะ
    <O:p
    2. แปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว นั่งมอเตอร์ไซด์ ใส่บาตร เดิน ยืนรอรถไฟฟ้า อยู่ในรถไฟฟ้า กิจกรรมตั้งแต่ตื่นนอนถึงก่อนเข้าที่ทำงานนะคะ เมิลจะคอยระลึกถึงพระท่านอยู่บ่อย ๆ พอเรานึกถึงท่านก็จะมีภาพท่านปรากฏขึ้นในใจ อยู่ได้ไม่นานไม่เกิด 5 วินาทีก็หายไป<O:p
    <O:p
    3. พอรู้ตัวว่าภาพพระหายไป เพราะมัวแต่ดูโฆษณาบนบีทีเอส ก็จะถามตัวเองในใจว่าภาพพระละ ภาพพระอยู่ไหน เรากลับมาก็คิดถึงท่านอีก ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดอะไร บางทีก็คุยกับท่านด้วยคะ คุยไปเรื่อย ๆ คุยได้ทุกเรื่อง บางทีก็มีเสียงตอบกลับมา
    <O:p
    4. เวลางาน ช่วงเดินไปติดต่องาน ช่วงนี้ก็เดินไปจับภาพพระไป เมิลจะชอบนึกว่าพระท่านอยู่บนศีรษะของเมิลนะคะ พอนึกถึงท่านว่าท่านอยู่ไปก็ส่งจิตขึ้นไปบนหัว ก็จะมีภาพพระปรากฏขึ้นมา<O:p
    <O:p
    5. เวลาที่ทำงานที่ไม่ได้ใช้่สมองมาก ก็จะกำหนดให้มีภาพพระอยู่ข้างหน้าเรา องค์ใหญ่เต็มชั้น มองง่ายดี กำหนดเป็นความรู้สึกภาพพระก็ปรากฏขึ้นในใจตรงหน้าเรานะคะ<O:p
    <O:p
    6. ช่วงเลิกงานกลับบ้านก็ทำแบบเดียวกัน จนหลับไป<O:p
    <O:p
    7. เวลาออกกำลังกายก็จับภาพพระไปด้วย พอรู้ตัวว่าท่านหายไปก็คิดถึงท่านอีก
    <O:p
    8. บางทีเบื่อ ๆ ก็เปลี่ยนการมองแบบมองทั้งองค์ มาเป็นไล่มองภาพพระทีละส่วนเช่น ค่อย ๆ ไล่มองท่านจากศีรษะลงมา จนเห็นเป็นองค์พระทั้งตัว<O:p
    <O:p
    9. เวลาเบื่อ ๆ จะจับภาพพระก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นบ้าง สวดมนต์ในใจบ้าง คุยกับหลวงปู่ อยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ บ้าง ดูจิตไหลไปมาบ้าง<O:p
    <O:p
    <O:p
    10. พอฝึกไปสักพักแล้วช่วงนี้พอฟุ้งแล้วเหมือนมีคน2คนในตัวมาตีกันนะ ประมาณว่าจะคิดไปทำไมแบบนี้แหละคะ คิดไปแล้วได้อะไร ช่วงนี้คุณครูก็จะคอยให้กำลังใจ คอยบอกให้นึกถึงท่านบ่อย ๆ บอกว่าทำถูกแล้ว เมิลก็ทำไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คาดหวังอะไร ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภาพพระก็จะชัดขึ้นเรื่อย ๆ สีสันก็เปลี่ยนไปเอง จากขาว เป็นใส เป็นใสแล้วมีประกายวิบวับด้วย สลับกันไป แล้วแต่ หลังจากที่ภาพพระเป็นประกายวิ้ง ๆ แล้วเมิลก็เริ่มมีอาการ จับภาพพระแล้วน้ำตาไหล แล้วทุกอย่างก็เดินไปตามทางของมันเองคะ<O:p
    <O:p
    อันที่จริงตอนที่ปฏิบัติจิตเกาะพระเมิลก็ไม่เคยสงสัยอะไร บอกให้ทำอะไรก็ทำ เพราะเมิลไม่รู้ว่าที่พี่พูดกันนี้คืออะไรคะ มีแอบหนีเที่ยวไม่ได้ส่งการบ้านบ้าง เพราะเห็นว่าไม่มีอะไรต้องเล่า เล่าไปก็เหมือนฉบับที่แล้ว ภาพพระก็เหมือนเดิมนี่นะ เราก็ปฏิบัติแบบเดิม บางทีเราควรจะส่งการบ้านเรื่องอารมณ์ความคิดของเราแต่ก็ไม่ได้เล่า เพราะมันแว๊บขึ้นมาแป๊ปเดียว แล้วเราก็ไปสนใจเรื่องอื่นต่อ แล้วก็ลืมไป จนมันมากระทบใจจริง ๆ จังๆ ถึงได้เขียนเล่าในอีเมลล์ บางทีไม่เขียนก็รู้สึกร้อนรนทนไม่ได้ต้องเล่า ต้องส่งการบ้าน พอเรียนจบแล้วมาอ่านกระทู้อีกรอบถึงได้เข้าใจที่พี่ภูเขียนนะคะ<O:p
    <O:p
    เมิล จิตบุญ 24<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2012
  10. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุกับทุกท่านที่ส่งแชร์ประสบการณ์มาเป็นธรรมทานค่ะ
     
  11. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    วิธีปฏิบัติจิตเกาะพระ...ธรรมทานจากคุณลูกพลัง จิตบุญ ๑๙

    การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระ โดยจิตบุญดวงที่ 19 (ลูกพลัง)

    สวัสดีครับ
    ก่อนอื่นก็ต้องขอเล่าพื้นฐานการปฎิบัติของตนเองมาก่อนว่าเป็นอย่างไรก่อนที่จะมาฝึกปฎิบัติจิตเกาะพระนะครับ
    เราก็ปฎิบัติเองโดยอาศัยจากการอ่านตำราหนังสือธรรมะมา มีโอกาสก็สอบถามครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระสงฆ์บ้าง
    แต่เรานี่ถือได้ว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ(ทางตำรา) อ่านตำราของหลวงพ่อมากที่สุดเลยครับ เข้าใจง่าย ปฎิบัติตามก็เห็นผลตามที่ท่านแนะนำเลยครับ..



    ตอนนั้นประมาณปี2540น่ะ อ่านตำราท่านเล่มแรกคือเรื่อง"หลวงพ่อปาน" เมื่อ15ปีที่แล้ว พออ่านจบก็บึ่งไปวัดท่าซุงเลยครับ ตั้งใจว่าจะไปกราบสรีระสังขารของหลวงพ่อฤาษีท่านที่วิหารแก้ว ก็ได้เข้าไปกราบ พอดีเขามีการฝึกมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลัง ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไร แต่มีพระพี่เลี้ยงมาบอกให้เรากับคนอื่นๆที่เราก็ไม่รู้จักซัก4-5คนนั่งล้อมวงกัน แล้วท่านก็นำพวกเราไปที่จุฬามณี เราก็เห็นตามที่เขาว่ามาน่ะ กลับมาบ้านยังงงๆสงสัยโดนพระสะกดจิต..555


    แต่สมัยนั้นตำราของหลวงพ่อหาไม่ง่ายเลย ไม่ค่อยจะมีขาย ก็เลยได้อ่านไม่กี่เล่มเอง แต่อาศัยอ่านการปฎิบัติสมาธิของผู้เขียนท่านอื่นๆเอา จนพอเข้าใจเรื่องกรรมฐาน40กองและต้องทำให้ได้ถึงฌาน4เป็นอย่างต่ำ จากนั้นก็ค่อยไปฝึกวิปัสสนาต่อเพื่อที่จะไปมุ่งสู่การหลุดพ้น(ก็แค่คิดว่าทำไปๆเดี๋ยวมันคงได้ที่ของมันเองแล้วก็คงหลุดพ้นเองแหล่ะ..555 เด็กเอ๋ยเด็กน้อยจริงๆเลยเรา..555 แต่ว่าวิธีคิดของเราน่ะ มันเป็นสัมมาทิฐิ!..) เราก็เลยฝึกมันทุกกองเลยเพื่อที่จะหาว่า"จริต"เราถูกกับกองไหนมากที่สุดก็จะเอากองนั้นล่ะ.. ฝึกไปฝึกมาค้นพบว่า

    - เจริญอสุภะกรรมฐาน10 (เราออกแบบเองควบรวมทีเดียว10กองเลย) ทำแล้วระงับนิวรณ์5 ได้เป็นอย่างดีเลย

    - กำหนด"ความว่าง" เป็นกุศโลบายกรรมฐาน ซึ่งเป็นกรรมฐานที่เราสามารถทำสมาธิได้ดีที่สุดคือ จิตดิ่งเร็วที่สุดในการเข้าฌาน4 ส่วนกรรมฐานอานาปานสติก็ทำได้ เข้าฌาน4ได้ (นั่งจนตัวหายไปหมดเลย..เหลือแต่วิญญาน(จิต+สติ)รวมเป็นหนึ่งเดียว) เพียงแต่ว่ามันจะช้ากว่าการกรรมฐานกำหนด"ความว่าง"

    (คงจะเนื่องจากวาสนาบารมี ในภพชาติปางก่อนเราคงจะเจริญอรูปฌานเอาไว้เยอะนั่นเอง..เพราะว่ามันเริ่มมาจากตั้งแต่ตอนเรายังเป็นเด็กๆเห็นในหนังจีนกำลังภายใน เขานั่งสมาธิกันเราก็ทำตามแต่ก็ไม่รู้ว่ามันมีกุศโลบายกรรมฐาน ไอ้เราก็หลับหูหลับตานั่งแต่ว่าเรากำหนดให้มันเป็นความว่างและสมาธิมันก็ทรงตัวได้ดี..จึงติดทำแบบนั้นมาตลอด อย่างเวลาถ้ามีเรื่องทุกข์ใจอะไรมากๆก็จะทำสมาธิกำหนดความว่าง เพื่อจะได้ไม่ทุกข์แค่นั้นเอง ก็ทำมันตั้งแต่เด็กจนโต แต่ไม่ได้ทำทุกวันนะครับ จะทำเฉพาะเวลาทุกข์ใจแล้วก็มาข่มมันเอาไว้ การปฎิบัติธรรมทางพุทธศาสนาไม่ต้องพูดถึงเลยเพราะว่าที่บ้านเป็นคนจีน ส่วนใหญ่จะไปไหว้ตามศาลเจ้าไหว้ผีบรรพบุรุษ เน้นๆไปเรื่องทานบารมีซะมากกว่า ที่บ้านจะชอบทำบุญทำกุศลแบบจีนๆเยอะมาก เราก็ซึมซับเรื่องทานบารมีมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว..)

    มีต่อ
     
  12. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ต่อ

    เราจึงสรุปเอาว่า อสุภะกรรมฐาน10ขึ้นก่อนแล้วตามด้วยกรรมฐานกำหนดความว่าง ก็สามารถทำได้อย่างคล่องเลยล่ะ

    แต่พอมาพลิกในตำรากรรมฐานความว่าง มันไม่มีนี่หว่าในกรรมฐาน40 แต่มันไปมีอยู่ที่ฌาน7 (อรูปฌาน) เราก็เอ้า..ไม่เป็นไรตรูนั่งสมาธิฌาน4ของตรูได้ก็แล้วกัน.. จากนั้นก็ไม่สนใจว่าจะต้องเหมือนตำรา

    พอว่ามันทำฌาน4ได้อยู่บ่อยและทรงตัวในระดับนึงแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ(ทำอภิญญาไม่เป็น ไม่มีคนสอน) ตอนอยู่ในสมาธิฌาน4น่ะก็คิดว่างั้นเราก็วิปัสสนาซิว่ะ(ทำตามตำราเมื่อสำเร็จสมถะก็ต้องไปวิปัสสนา) แล้วมันจะวิปัสสนายังไงล่ะ?(พอดีว่ายังอ่านตำราวิปัสสนาน้อยอยู่เพราะมัวแต่หมกมุ่นกับสมถะอยู่) เอ้าคิดได้พระพุทธเจ้าเราตรัสรู้อะไร?(ได้มาจากตอนเด็กๆเรียนประถมมันมีวิชา"ศีลธรรม"สอนเกี่ยวกับพุทธศาสนา) เราจำได้ว่าคือ อริยสัจ4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เราก็เอาอริยสัจ4นี่ไปจับกับทุกๆเรื่องในชีวิตที่เรายกมันขึ้นมาคิด(พิจารณา สมัยนั้นมันไม่รู้จริงๆคือปฎิบัติไปลำ้หน้าปริยัติมากๆ ทำไปก็งงๆไป) แล้วรู้สึกได้ว่ามันปล่อยวาง วางลงได้ทุกๆเรื่อง

    พอทำไปได้หลายๆวันเข้า มันเกิดเหมือนคล้ายๆกับว่า"เราทรงฌาน(แต่ไม่ใช่ฌานสูงแบบฌาน4) มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เห็นอะไรก็ซักแต่ว่าเห็น รู้อะไรก็ซักแต่ว่ารู้ มีอะไรเข้ามันก็วางลง ใจเบาสบาย ไม่สุขไม่ทุกข์ ออกไปแนวเฉยๆ แต่ว่ารู้เรื่องทั้งหมด" เป็นอยู่อย่างนี้หลายวันเกือบอาทิตย์เลย เราก็งงๆว่าเราเป็อะไรหว่า? แต่ก็รู้สึกดี..

    พึ่งจะมาทราบภายหลังเมื่อไปพลิกหาเทียบเคียงกับตำรา เขาเรียกว่า"โคตรภูญาณ" คืออาการของจิตเราอยู่ระหว่างกึ่งโลกียะและโลกุตระ คราวนี้มาดูสังโยชน์3 เราก็ละได้หมด(แบบสบายๆไม่ได้ลำบากยากเย็นเลย.. ความจริงแล้วเรารู้สึกว่ามันจะมากกว่า3ข้อด้วยซ้ำไป..) เราจึงพอที่จะเข้าใจแล้วว่า"ปัญญา" ที่มันรู้แจ้งแล้ววางลงมันเป็นอย่างไร? องค์ธรรมในขณะนั้นก็คงจะได้สัมผัสความเป็นอริยบุคคลเบื้องต้น "พระโสดาบัน ปฎิมรรค" คือพึ่งจะหลับหูหลับตาได้มาแบบไม่รู้เรื่อง(มาเข้าใจในภายหลังจากการที่ไปอ่านเทียบกับตำราทั้งนั้นเลย) นี่เมื่อ15ปีที่แล้ว..


    จิตเราก็ทรงตัวปฎิมรรคอยู่ได้ไม่นานซัก2-3เดือนมั้ง.. เพื่อนมาชวนไปทำงานกับบริษัทต่างชาติ(ได้เงินเดือนเยอะดี) เราก็ไปทำกับเขา.. งานมันก็เยอะมากๆ หน้าที่ต้องรับผิดชอบก็ไม่น้อย ที่แสบสุดคือมันต้องเดินทางบ่อยๆนี่ซิ มันทำให้การจัดระบบชีวิตประจำวันมันไม่ค่อยจะลงตัว + ขี้เกียจด้วยมั้ง + กิเลส"หลง" จึงทำให้การทำสมาธิลงน้อยถอยลง.. หนักๆเข้า..ศีล5 ก็รักษาไม่ได้(แค่บางข้อเท่านั้น) จิตหลงอยู่ในกิเลสกับตัณหา เรารู้วาระจิตตนเองเลยแหล่ะครับว่า


    - ล่วงหล่นลงมาแล้วจากโลกุตระ"ปฎิมรรค" กำลังใจที่เคยเข้มแข็งในการปฎิบัติ หายไปกับสายลมและแสงแดด..


    - แต่ในจิตตนเองก็คิดอยู่ลึกๆว่า"ไม่เป็นไร.. ถ้าเราตั้งใจจะทำใหม่ให้ได้เหมือนเดิมนั้น.. ไม่ยากไม่เกินความสามารถเพราะว่า ตรูเคยทำมาได้แล้วนี่!..ไว้วันหนึ่ง I will be back! or BADman return!.."
    แล้วหลังจากนั้นก็ด้วยภาระหน้าที่การงาน+หลงในกระแสโลก จึงหยุดหายไปหลายปีเลย(ไม่แม้แต่นั่งสมาธิเลย) กลับไปทำตัวเหมือนผู้ชายปกติที่เขาๆทำกันเลยแหล่ะ.. (กิเลสตัณหาพอกพูน ศีลกระจายไม่มีเหลือเลยซักข้อนึง) แล้วก็ทำมาหาเงินสร้างเนื้อสร้างตัวสร้างฐานะสร้างมันเข้าไปทุกสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งเราบอกกับตนเองว่า"ตรูพอแล้วๆๆๆ! ตรูมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ปุถุชนคนธรรมดาพึงจะมีได้แล้ว.. ตรูก็มีครบหมดแล้ว..ดังนั้นตรูพอแล้วจริงๆ..(แต่ก็ยังทำไปตามสภาพที่มันยังเกี่ยวเนื่องและยังไม่หมดกรรมอยู่.. แต่ไม่ค่อยจะยึดติดแล้ว).."


    จนมาภายหลังเราก็ค่อยๆเริ่มเข้าใจในสรรพสิ่งต่างๆแบบทางโลกมากขึ้นๆเริ่มเบื่อหน่าย.. จึงบอกกับตนเองว่า เรารู้เป้าหมายปลายทางของชีวิตตนเองแล้วว่ามันคืออะไร.. เพียงแค่เราเหลือเศษกรรมในทางโลกอีกหน่อย.. แต่ว่าก็อีกไม่นาน อีกไม่นาน..

    มีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2012
  13. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ต่อ

    จนเมื่อ2-3ปีที่ผ่านมาจึงเริ่มหันกลับมาปฎิบัติใหม่อ่านใหม่เข้าใจมากขึ้น ปฎิบัติต่อเนื่องมาตลอดแบบเรื่อยๆไม่ซีเรียส แต่ไม่หยุด..โดยมีวิธีคิดว่า ปฎิบัติไปเหมือนหยอดเหรียญลงในกระปุกออมสิน(หยอดมันไปเรื่อยๆหยอดโร้ดดด..) รอคอยวาระกรรมให้มันหมดลงก่อน.. จากนั้นเราก็จะเข้าสู่โลกุตระธรรมแบบไม่หวนกลับมาอีกแล้ว.. "พอแล้ว" enough!..


    ก่อนมาเข้าฝึกจิตเกาะพระ เรามีพื้นฐาน:-

    - ศีลเราบริสุทธิ์ (รักษาศีล7 เว้นข้อวิกาลโภชนา-ด้วยหน้าที่การงาน+เรารู้ว่ายังไม่ถึงเวลา.. แต่ก็กินน้อย2มื้อ จนนน.ลด10กก. ภายใน5เดือน)

    - สวดมนต์และเจริญกรรมฐานต่างๆร่วม20กอง ออกไปแนวอนุสสติและวิปัสสนากรรมฐาน


    - ตอนเจริญกรรมฐานพุทธานุสสติ เราก็กำหนดภาพระเอาไว้ด้วยแล้วท่องคาถาพุทธะนิมิต (ดูซิ.. ช่างบังเอิญไหมล่ะ.. ว่าเราต้องมาเกี่ยวเนื่องกับจิตเกาะพระนี่)


    - ทำสมาธิด้วยการกำหนด"ความว่าง"ไว้ที่กึ่งกลางกายเพื่อความสงบ สลับไปมากับ"ดวงจิต"ของตนเองและ"ลูกพลัง"(เป็นวิชามโนธาตุแปรเปลี่ยนเป็นดินน้ำไฟลมได้ตามนึก-มันมาเองไม่มีใครสอน.. คล้ายกับเป็นความรู้เก่ามันผุดขึ้นมาสอนตนเอง) แล้วแต่ว่าเราจะทำอะไรกับมัน แต่โดยรวมแล้วมันก็เป็นหมวดอรูปฌาน ฌาน5, 6, 7


    - ก็สัมผัสถึงอภิญญาได้บ้างหลายๆอย่างเช่นมโมฯรุ่นเต็มกำลัง(แบบครึ่งกำลังทำไม่เป็นไม่รู้ว่าเขาทำกันอย่างไรเพราะว่าไม่ได้สนใจ), เจโต, อดีต, อนาคต แต่ว่าเรายังฝึกไม่ได้ถึงชนิดที่จะควบคุมมันให้ได้100%เพราะว่ารู้ตัวว่ากำลังฌานสมาบัติที่มีอยู่+ชีวิตทางโลก มันไม่มีเวลาจะไปเล่นกับมันได้ถึงขนาดนั้น..(ต้องเป็นกำลังฌาน4 แบบชนิด อยากเข้าก็เข้าได้ทันทีและจะต้องให้ทรงตัวได้นานตราบเท่าที่เราต้องการ"ไม่ล่วงหล่นลงมาเอง".. จะต้องใช้ความเพียร+เวลาอีกไม่น้อยเลย) แต่เราก็ไม่ค่อยจะอะไรกับมันมาก..ก็มีตื่นเต้นบ้างตอนแรกๆที่พึ่งจะทำได้.. ก็จะพยายามคิดอยู่เสมอๆว่ามันเป็นอุปทานนิมิต ไม่ใช่ของจริง.. แต่ความจริงแล้วถ้าเรามีสติที่ดีน่ะ.. เราจะรู้ได้ด้วยตนเองเลยว่าอันไหนอุปทานอันไหนของจริง.. (แต่ก็ไม่อยากให้ใครไป"หลง"ยึดติดกับมัน ไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ มีแต่จะเป็นหนทางเอาทุกข์ใส่ตัวเองมากขึ้นนะครับ..)


    - ทำสมาธิก่อนนอนและเช้า ถ้าวันหยุดก็เพิ่มช่วงบ่าย


    - เคยไปถือศีล8ฝึกสติปัฏฐาน4ที่วัดมาก่อนนานมากแล้ว


    - และกำลังเริ่มหัดทรงฌานระหว่างวันอยู่โดยกำหนดความว่างไว้ที่กลางกายแล้วก็ทำการทำงานไปเพราะรู้สึกเสียดายเวลาในระหว่างวันที่มันผ่านไปแต่เราไม่ได้เข้าฌาน เพื่อจะเพิ่มกำลังฌานสมาบัติให้กับตนเองแบบต่อเนื่องและเข้มแข็ง..


    - ส่วนกำลังใจเรานะ คือเราสามารถละสังโยชน์ได้3ข้ออยู่แล้ว แถมพวกกิเลสรักโลภโกรธหลงก็เบาบางลงมากๆแล้ว แต่ยังคงเหลือ"อนุสัยกิเลส" ตัวโทสะและกามราคะตัวนึงเล็กน้อย.. คือว่าถ้าปกติมันจะไม่มีเลย..(จนทำให้บางทีก็สงสัยตนเองว่า"อนาคามี"?..) แต่พอมาวันดีคืนดีมันโผล่ขึ้นมาเอง.. เราก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับมัน.. ก็ช่างหัวมันคิดไปคิดมาว่าทำไปๆ.. เดี๋ยวมันคงหายไปเองมั้ง..555 (ปรากฏว่าทราบภายหลังครับ.. ว่า"คิดผิดครับ" คือถ้าเราไม่เดินมรรคให้ถูกต้องมันก็จะยังอยู่แอบซ่อนอยู่ของมันอย่างนั้นน่ะ..)

    มีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2012
  14. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ต่อ

    ก็มาบังเอิญได้เจอกระทู้จิตเกาะพระนี่.. ก็แอบเกาะขอบจออยู่เดือนนึงมั้ง.. รู้สึกว่าครูฝึกที่นี่"ใช่เลย" เขาสอนเรื่องการเดินมรรค ศีล สมาธิ ปัญญา (เราเองมีอยู่แล้ว2ข้อ ขาดแต่เรื่องปัญญาวิมุติ) จึงขอสมัครเรียนและได้พี่ภูเมตตารับเข้ามา..แล้วก็ส่งไปให้ฝึกกับครูเพ็ญครูดัช.. ความจริงตอนนั้นที่สมัครก็เพราะว่า เราสนใจเรื่อง"สติ" + "ปัญญาวิมุติ" มุ่งสู่ความหลุดพ้น ส่วนการทรงฌานเราเป็นของเราอยู่ก่อนแล้ว แต่เราก็มาได้เรื่องการทรงฌานระหว่างวันที่กำลังฝึกเองอยู่และได้เรื่องความต่อเนื่องของกำลังสมาธิบาตรฐาน แล้วต่อยอดไปวิปัสสนา..

    "สาธุตรูโชคดีจริงๆเลย..555" ที่บังเอิญได้โผล่มาเจอกระทู้นี้ มีคนเอาลิ้งค์ไปวางไว้ที่กระทู้ภัยพิบัติอะไรซักอย่างจำไม่ได้แล้ว เราจึงตามไปดู อ่านเจอพี่ภูเข้า..

    ตอนที่เรามาดูใหม่ๆน่ะกระทู้พึ่งอยู่ที่หน้า2-3เอง.. เราก็อ่านหมดทุกหน้าเลย พออ่านไปๆ ไอ้หย๋า..ที่นี่มันสอนถึงขั้นนิพพานเลยหรือว่ะ!..555 มันโม้หรือเปล่าว่ะ.. (ก็แหม่..เราเรียนจบตั้งป.ตรีและป.โทวิศวะ..นะครับ จะให้ตรูเชื่อใครง่ายๆได้อย่างไร แถมเราก็พอจะอ่านมาเยอะและปฎิบัติมาไม่น้อย แถมเคยเข้าถึงโลกุตระธรรมมาแล้วครั้งนึงในอดีต ก็เรามันจำพวกปัญญาจริตอยู่แล้ว.. จึงตามอ่านและเข้ามาถามตอบ ขอทราบในสิ่งที่เราสงสัย ก็พอที่จะทำให้เราสรุปได้ว่า เออ..ของจริงว่ะ.. ส่วนจะอรหันต์จริงหรือไม่นั้นตรูไม่สนหรอก.. ขี้หมูขี้หมาตรูทำได้ถึงขั้นพระอนาคามี.. ตรูก็คุ้มค่าที่ได้ลองฝึกแล้ว..บวกกับคนที่เรารู้จักทั้งหมดรวมถึงพระด้วยก็ไม่มีใครอาจหาญกล้าสอนให้ถึงขั้นบรรลุ"นิพพาน"บนดินเลย.. เราจึง why not? let try..) ความจริงแล้วตัวเราเองรู้ว่าการเดินมรรคไปถึงขั้นสูงๆแล้วจำเป็นที่จะต้องมีผู้สอบอารมณ์ เพราะเราไม่ใช่พระสัพพัญญู(พระพุทธเจ้า)หรือพระอริยสงฆ์เจ้าผู้มากล้นซึ่งบารมีที่ท่านสามารถตรัสรู้บรรลุธรรมได้ด้วยตัวท่านเอง อ้ายเรามันก็แค่คนธรรมดาๆคนนึงจึงจำเป็นจะต้องอาศัย"ตัวช่วย" นั่นคือครูฝึกนั่นเอง..


    เอาหล่ะ..เข้าเรื่องซักทีนึง..555

    พอคุณครูบอกให้ วางกรรมฐานเดิมก่อนให้ทำจิตเกาะพระ สำหรับเราแล้วไม่ยากเลย เพราะเราเป็นคนที่ทำมาหลายๆกรรมฐานอยู่แล้วและไม่ได้ยึดติดมากมายจนเกินไป.. พอให้เปลี่ยนเราก็แค่กำหนดพระไว้ที่กลางกายเราเท่านั้นเอง


    - วันแรกคุณครูบอกว่าให้วาง"อัตตา"ลงแล้วเชื่อฟังครูฝึก เราก็โอเคเลยครับทำตามครูทุกประการ "เป็นเด็กดีไม่ดื้อ"


    - เราเลือกรูปสมเด็จองค์ปฐมปางพระพุทธชินราช(สีทอง)มีซุ้มรังษีเป็นเพชร


    - ก็โหลดใส่ในมือถือ ในคอมพิวเตอร์ เพราะว่าดูทุกวัน ดูเป็นร้อยครั้งต่อวัน


    - พอฝึกไปๆ..ภาพพระก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆเหมือนคนอื่นๆนี่แหล่ะ ในตอนแรกๆนะครับ..


    - เราจะมีสติระลึกรู้นึกถึงพระอยู่ตลอด ในระหว่างวัน เราแค่ทำไปไม่กี่วันจิตมันก็ทำงานเป็นออโต้เองแล้ว(อาจจะเป็นเพราะว่าเราเคยฝึกการทรงฌานในระหว่างวันมาก่อนเป็นพื้นฐานการแยกกายแยกจิตอยู่ จึงทำให้สามารถทำได้รวดเร็ว)


    - แต่ต่อมา.. เรามีปัญหาว่าหาพระไม่เจอ แต่ว่าจิตมันทรงฌานอยู่(ฌานสูงด้วย) ถอยฌานลงมาก็หาไม่เจออีก คือว่าจะฌานสูงหรือฌานต่ำหาพระไม่เจอ จนงงกันไปหลายวันทั้งครูทั้งศิษย์..555 อยู่มาวันนึงเรากำลังเดินจงกรมอยู่ จิตมันก็ดิ่งๆๆของมันอยู่แบบนี้ทุกวันๆ แต่เราก็หาพระไม่เจอ แต่จิตมันก็ยังเกาะพระอยู่ จึงตั้งใจใช้สติไปความหาซิว่าเป็นอย่างไร สุดท้ายหาเจอค้นพบว่าพระเราเป็น"พระอรูป" ไม่มีรูปพรรณสันฐาน ต้องใช้สติอย่างมากจึงจะพอได้เห็นแว๊ปๆคล้ายๆปรอทใสโปร่งแสง ทดลองอยู่หลายทีจนสรุปว่าพระเราเป็น"พระอรูป" จิตของเรามันเลือกของมันแล้ว.. ดังนั้นมาก็เลยเลิกหาอีกต่อไป.. แต่ก็สามารถทรงณานได้ แต่เราจะเป็นผู้ที่รู้เองว่าฌานสูง-ต่ำแบบไหนอย่างไร เพราะว่าเราไม่มี"ผลของภาพพระให้กับครูฝึก"..


    - เราฝึกไปได้ประมาณ2อาทิตย์เราก็เกาะพระได้แนบแน่นทั้งวันทั้งคืนเลย จน"เมาฌาน" สัญญาตกกระป๋อง ขี้หลงขี้ลืม (แต่ก่อนไม่เคยหลงลืมขนาดนี้มาก่อน) จนมีวีรกรรมมากมายเรื่อง"สัญญาตกกระป๋องนี่"..


    - คุณครูก็ให้ฝึกสติ+วิปัสสนาและพิจารณาไตรลักษณ์ต่อ เราก็ทำตามข้อแนะนำตลอด


    - ด้วยความที่ทรงฌานเก่งไปหน่อยมั้ง?เราจึงไป"ติดเฉย"ซึ่งเป็นอุเบกขาฌาน มันก็คล้ายๆกับอุเบกขาญาณ แต่เราก็ไม่รู้ตัวกันนะ.. พอมันมีอะไรมากระทบ มันก็ไม่เข้าถึงจิตเราเลย ไม่สนใจอะไรเลยคือมันเฉยแบบพวกพรหมที่เข้าฌานกันน่ะ..แม้ฟ้าจะถล่มดินจะทะลายจิตเรามันก็เฉยไม่สนใจอะไรไม่แครอะไรเลย.. แถมไม่ต้องพิจารณาไตรลักษณ์ด้วย อยู่เป็นอาทิตย์เลย..จิตก็ไม่ยอมยกซักที ทั้งที่อินทรีย์ก็ใช้ได้แล้ว.. งงกันไปทั้งศิษย์ทั้งครู..555


    มีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2012
  15. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ต่อ

    - จนท่านพี่ภูได้ไปขอกับท่านพ่อให้ช่วยยกช่วยดึงจิตของเราด้วย..แล้วบอกให้ตัวเราเองไปอธิษฐานจิตขอกับท่านพ่อเองด้วย เราก็ทำตาม..(อันนี้รู้แค่เรากับท่านพี่ภูเท่านั้น ครูเพ็ญกับครูดัชไม่ทราบ เพราะว่าเราไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กันเลยท่านจึงไม่ทราบ)


    - เท่านั้นหล่ะ.. ครูดัชนี่..(ผิดปกติวิสัยการตอบการบ้านคือธรรมดาจะสายๆหน่อย) มาแต่เช้าเลย.. "ยูเรคา ยูเรคา" ค้นพบแล้วว่าเรา"ติดเฉย" นั่นเอง เราก็เออ..สงสัยถ้าจะจริง ก็ปล่อยจิตให้เบาๆสบายๆกลางๆว่างๆ ไม่ทำให้จิตทรงฌานแล้วคือปล่อยไปเลย.. แบบเบาๆสบายๆไปเลย.. พอสายๆหน่อยเราอยู่ดีๆฉุกคิดขึ้นมาได้เรื่อง"ขอขมาคุณแม่เราเอง(พ่อเสียไปนานแล้ว)ทางโทรศัพท์ก็ได้นี่.." เดิมตั้งใจว่าพอมีเวลาจะไปเยี่ยมท่านแล้วซื้อพวงมาลัยไปกราบขอขมาต่อหน้าต่อตาท่านแล้วให้ท่านบอก"อโหสิกรรม"ให้กับเรา.. มันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าแล้วทำไมเราไม่โทรศัพท์ก่อนก็ได้นี่ ว่าแล้วก็คว้าโทรศัพท์โทรไปหาท่าน แล้วอธิบายว่าเรากำลังปฎิบัติธรรมอยู่จึงอยากจะมาขอขมาท่าน แล้วท่านก็"อโหสิกรรมให้" แถมอวยชัยอวยพรให้เราสมปราถนาในสิ่งที่กำลังทำอยู่ แล้วบอกว่าถ้ามีเวลาก็ค่อยซื้อพวงมาลัยมากราบภายหลังก็ได้..ไม่เป็นไร..(พอภายหลังจากจิตยกแล้ว เราก็ไปทำตามว่า)


    - พอตกเที่ยงๆเห็นเมลล์ครูเพ็ญบอกว่า"จิตยกแล้ว" ก็เป็นอันเสร็จกิจแบบงงๆอยู่..เอ้า..ยกก็ยกว้าาา..555


    - ภายหลังมาเราก็ยังคงวิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง"ไม่มีเกียรถอย"ครับสำหรับรถคันนี้.. ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ตรวจสอบกำลังใจตนเองอยู่ตลอด (ตามสังโยชน์10, บารมี10) เพราะว่า "เราในอดีตเคยล่วงหล่นลงมาจากโลกุตระธรรมมาแล้ว" เราบัดนี้เข้าใจคำว่า "ปฎิมรรค" vs "ปฎิผล" ได้เป็นอย่างดีเลย.. จึงได้น้อมนำคำกล่าวขององค์พระศาสดาก่อนที่ท่านจะทรงดับขันธ์ปรินิพพานเอาไว้ว่า "จงยังความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อม" มาใส่ในจิตตนเองอยู่เสมอๆ.. สาธุ.. ก็ขอเอวังด้วยประการละฉะนี้..


    หมายเหตุ: กรณีศึกษาของเรานี้ ไม่สมควรเอาเป็นแบบอย่างเพราะว่ามันไม่ค่อยจะหมือนกับคนปกติทั่วไป.. แต่ก็พอจะมีสิ่งที่พอจะเอาเยี่ยงได้ นั้นก็คือ เรื่องความเพียรและเป็นเด็กดีไม่ดื้อเชื่อฟังคำครูนะครับ..


    ขอบารมีแห่งพระรัตนตรัยช่วยดลบันดาลให้ กุศลผลบุญอันเนื่องจากธรรมทานนี้ จงถึงแก่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอัครสาวกทั้งสอง พระอริยสงฆ์เจ้า ท่านอริยบุคคล เทวดาพรหม พ่อแม่พี่น้อง ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ท่านจิตบุญ ท่านจิตบำเพ็ญ ท่านจิตเกาะพระ สรรพสัตว์ สรรพดวงจิต ทั้งหลายทั้งสามโลก จงมีแต่ความสุขความเจริญในจิตและมีปัญญาวิมุติด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี


    ลูกพลัง จิตบุญ19


    Sent from my iPad
     
  16. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    พี่ลูกพลังลืมใส่สูตรมาให้ งั้นหนูเติมให้นะ

    "ทำๆๆ ทำทุกที่ ทำทุกเวลา ทำๆๆ ทำไปๆๆ ทำลูกเดียว"

    ฮ้า สูตรนี้ใช้ได้ตลอดกาล
     
  17. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ใครที่ชอบติด "สงสัย" กับติด "อยาก" ต้องใช้สูตรของคุณแทนนี่

    "ตัดสงสัย ตัดอยาก ตัดฉึบฉับๆ"

    แหม๊ พี่เพ็ญชอบจริง ๆ อิตรง "ตัดฉึบฉับๆ" เนี่ย

    ใครติดนิวรณ์สองตัวนี้อยู่ช่วยนำสูตรคุณแทนนี่ไปใช้กันด้วยนะจ๊ะ

    "ตัดฉึบฉับๆ"
     
  18. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนา สักล้านๆๆๆครั้ง

    แด่ท่านจิตบุญทุกๆท่านที่เผยแผ่ธรรมทานประสบการณ์ตรง
    ขอบุญยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ขอให้อินทรีย์ พละ เต็มบุญ เต็มหน่วย เต็มธาตู เต็มธรรม
    มากยิ่งๆๆขึ้นไปด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. trialuck

    trialuck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +152
    อยากจะบอกว่าที่เขียนไปก่อนหน้านี้ ตอนแรกตั้งใจจะตอบคำถามคุณ
    numtrm
    แต่ไปๆมาๆ ไหงกลายเป็นเล่าเรื่องการปฏิบัติของตนเองไปซะอย่างนั้น

    ในขณะที่ปฏิบัติจิตเกาะพระอยู่ก็ค่อยๆ เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร
    และมีจุดดีอย่างไร ที่แตกต่างจากวิธีการปกติที่ทำๆ กัน

    คำตอบของคุณ datchanee นั้น ตรงกับสิ่งที่ผมสัมผัสได้ใน
    การปฏิบัติจิตเกาะพระครับ ดังนั้นสิ่งที่ผมเขียนำไปนั้น จึงเป็น
    การเสริมให้กับคำตอบของคุณ datchanee และท่านอื่นๆ
    ครับ ที่ว่า

    การปฏิบัติของเราเป็นแบบ เซเว่น อีเลฟเว่นครับ หรือเป็นการ
    ระลึกถึงท่านพ่อแบบ แกงส้ม รักท่านพ่อ 24 ชม. เท่านั้นเอง

    ดังนั้นผลที่ได้ ย่อมเร็วและแรง กว่าวิธิการอื่น ๆ เหมือนกับ
    เราได้ใช้ระบบ 3g ในการปฏิบัตินั้นเอง ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2012
  20. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555
    ส่งรายงาน การบ้านคุณคูร จิตบุญเจ้าค่า

    วันนี้รู้สึกปลอดโปร่ง โล่งกว่าทุกๆวันนับตั้งแต่เริ่มฝึกจิตเกาะพระท่าน
    เลยรีบส่งการบ้านแต่วันๆ
    มันเหมือนยก ของหนักๆออกไปจากหัวอย่างงัยไม่ทราบ
    สองวันที่ผ่านมา ที่รู้สึกว่า จิตเค้าจะอยากอยู่แต่กับลมหายใจ (ยังงัย ก็ไม่รู้ )
    เราก็ ดูไปๆ... รู้สึกไปๆ...
    แต่ก็รู้สึกหนักๆเครียดๆอยู่นะ
    ประกอบกับมีเรื่องวุ่นวายร้ายๆ ของญาติๆเข้ามา
    และตัวเราเองก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย เป็นไข้แดด ไปซะอย่างนั้น
    แต่ก็ไม่ทิ้งลมหายใจ พระท่านก็ระลึกถึงบ่อยๆ ชำเรืองดูท่านบ่อยๆ
    คิดในใจ...ทำไมเราไม่เห็นท่านใจในจิตชัดๆ ว้า
    ก็เช็คดูว่า ตัวเองมีความอยาก หรือเปล่า หนอ ไม่มี
    อ๋อ จิตเครียด แน่นอนเลย รู้ตัวเองแหล่ะ ก็เลยหาทางทำให้มันหายเครียด

    เมื่อคืน เลยได้เรื่องนิดนึง ปรากฏว่า เป็นหลับเป็นตื่นเห็นพระท่านตลอดทั้งคืน
    (สังสัยกว่าว่าพระท่านจะหายไปมั้ง...เลยเฝ้าท่านไว้ตลอด อิอิ )
    แต่แปลกมากๆ ตื่นเช้า มามันกลับสดชื่นมากๆ เหมือนได้หลับเต็มอิ่ม

    ก็น้อมจิตเค้าก็เข้าไปคิดพิจารณา จิตปรุงแต่ง
    คือว่ามันบังเอิญ ไปสังเกตุเห็นจิตคิดเข้าตอนที่มันเป็นความอยาก
    อ๋อ ไอ้ตัวกิเลส ตัญหา หนอมันอยู่ที่ความคิด...
    ความคิดอย่างอยาก ความคิดอย่างไม่อยาก
    มันก็อยู่แค่นี้เองหนอคนเรา เราไปยึด หลงติดหลง..หลง
    กับธาตุอากาศ กับความคิด เราสร้างทุกข์ สร้างสุขขึ้นมาเอง
    มองดู ธาตุกายสังขารเรามันก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนี้
    มันกิน มันนอน ขับถ่าย สืบพันธุ์
    ก็เลยมีความรู้สึกว่าสิ่งที่เรา สัมผัส รู้เห็น เป็นอยู่นี่ มันเป็นเปลือกหนอ


    ก็เลยทำให้เข้าใจได้ว่าถ้าเราไม่เข้าใจเปลือก เราจะรู้เข้าใจ แก่นได้อย่างไร

    นี่อย่างไรหล่ะ ที่ครูบาร์อาจารย์ ถึงบอกให้ สร้างสติกันก่อนและจะสร้างสติกันได้
    เธอต้องมีศีลธรรมประจำใจนะจ๊ะ ต้องหมั่นสวดมนตร์ไหว้พระแผ่บุญส่วนกุศุล

    เมื่อพิจารณาได้อย่างนี้ จิต มันปล่อย มันวาง มันเบา สบายใจ อย่างบอกไม่ถูก

    คิดในใจ เอ้อหนอ เราก็คิดพิจารณาธรรม (แบบเล็กๆ กระพี้ๆ)เป็นเหมือนกันนะเนี่ย
    จากเมื่อก่อน....คิดพิจารณา ไตร์ลักษณ์ นี่มันเป็นอย่างไรเน้อ
    วิปัสสนา นี่มันเป็นอย่างไรเน้อ

    วันนี้เลยสัมผัส เห็นพระท่านได้ชัดเจนกว่าเดิม (สงสัยท่านให้รางวัลกระมั้ง)

    เลยรู้สึก รักคุณครูทุกๆท่านที่นี่ ครูลูกพลัง คุณภู ครูเพ็ญ ครูดัช และครูๆทุกท่านทั้งท่านจิตบุญทุกๆท่านที่เมตตามาแชร์ประสบการณ์
    ที่กระทู้นี้ทุกๆท่าน ช่างมีเมตตา มากมายจริงๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...