โอวาทหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย ปาปิปผลิ, 20 สิงหาคม 2012.

  1. ปาปิปผลิ

    ปาปิปผลิ พระอุโบสถเจดีย์7ชั้น

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +1,801
    โอวาทหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
    ธรรมโอวาท หลวงปู่ให้ธรรมโอวาสแก่พุทธศาสนิกชนมากมาย เช่น
    1. ธรรม คือ ของจริงของแท้ เป็นแก่นของโลกธรรม แปลว่า ของเป็นอยู่
    ทรงอยู่สภาพตามเป็นจริง เป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เรียกว่า ธรรมชาติ
    ชรา พยาธิ มรณะ เป็นธรรมทั้งนั้น เรียก ชาติธรรม ชราธรรม พยาธิธรรม
    มรณธรรม ทำไมจึงเรียกว่า ธรรม คือทุกๆ คน จะต้องเป็นเหมือนกันหมด
    (ธรรมเทศนาเรื่อง ธรรมะ)

    2. สมบัติที่มนุษย์ต้องการ ไม่ทราบว่าจะกอบโกยเอาไปถึงไหน ได้มาก็เพียง
    แต่เอาเลี้ยงชีวิตเท่านั้น เลี้ยงชีวิตให้นานตายหน่อย นั่นละ ประโยชน์ของมนุษย์
    สมบัติเพียงแค่นั้นแหละ

    3. เราเกิดมาในโลกนี้ จะเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ต่างๆ ก็ตามเถอะ เรียกว่า
    อยู่ในแวดวงของมัจจุราชทั้งนั้น หรือเปรียบเสมือนกับอยู่ในคุกในตะราง
    (รอความตาย) ด้วยกันทุกคน จะทำอะไรอยู่ก็ตาม จะเป็นผู้ดีวิเศษวิโสเท่าไร
    ก็ช่าง แม้แต่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า สรีระร่างกายของพระองค์ยังปล่อยให้
    พญามัจจุราชทำลายได้ แต่ตัวจิตของพระองค์เป็นผู้พ้นแล้ว ไม่ยอมให้
    มัจจุราชข่มขี่ได้เลย (ธรรมเทศนาเรื่อง มัจจุราช)


     
  2. ปาปิปผลิ

    ปาปิปผลิ พระอุโบสถเจดีย์7ชั้น

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +1,801
    4. ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นเพียงสักแต่ว่าเป็นธาตุสี่เท่านั้น
    แต่คนเราไปสมมติแล้วหลงสมมติตนเองต่างหาก มันก็ต้องยุ่งและ
    เดือดร้อนด้วยประการทั้งปวง (อัตตโนประวัติฯ)


    5. มนุษย์เราพากันสมมติ เรียกเอาตามความชอบใจของตนว่า
    นั่นเป็นคน นั่นเป็นสัตว์เป็นนั่นเป็นนี่ต่างๆ นานาไป แต่ก้อนธาตุนั้น
    มันก็หาได้รู้สึกอะไรตามสมมติของคนไม่ มันมีสภาพเป็นอยู่อย่างไร
    ก็เป็นอยู่อย่างนั้นตามเดิม สมมติว่า หญิง ว่าชาย ว่าหนุ่ม ว่าแก่ ว่าสวย
    ไม่สวย ก้อนธาตุอันนั้นก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย หน้าที่ของมันเมื่อ
    มาประชุมกันเข้าเป็นก้อนแล้ว อยู่ได้ชั่วขณะหนึ่งแล้วมันก็แปรไป
    ตามสภาพของมัน ผลที่สุดมันก็แตกสลายแยกกันไปอยู่ตามสภาพเดิม
    ของมันเท่านั้นเอง (ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์)


    6. เมื่อเรามาฝึกหัดปฏิบัติธรรมจนเห็น เรื่องโทษของตนเองแล้ว
    ค่อยชำระสะสางให้มันหมดไปๆ ก็จะเป็นคุณแก่ตนในอนาคตข้างหน้า
    ได้ชื่อว่าไม่เสียชาติเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ แล้วยังมาพบพระพุทธศาสนา
    และยังมาพบครูบาอาจารย์ที่สอนให ้เราละกิเลสอีกด้วย
    (ธรรมเทศนาเรื่องแก่นของการปฏิบัติ)


    7. แท้ที่จริงธรรมะคือตัวของเรานี้ทุกคนก็มีแล้วครบมูลบริบูรณ์ทุกอย่าง
    แต่เราไม่ได้สร้างสมอบรมให้เห็นธรรมะที่มันมีในต้นของตน ธรรมะ
    แทรกอยู่ในขันธโลกอันนี้ หากใช้อุบายปัญญาพิจารณากลั่นกรองด้วย
    วิธี 3 อย่าง มีศีล สมาธิ ปัญญา ดังอธิบายแล้วธรรมะจะปรากฏในตัว
    ของตนๆ (ธรรมเทศนาเรื่องวิจัยธรรมออกจากโลก)


    8. การศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าจะให้เข้าใจถูกต้องแล้ว ต้องให้มีทั้ง
    ปริยัติคือ การศึกษาและปฏิบัติตามความรู้ที่ได้ศึกษามานั้นให้ถูกต้อง
    โดยเฉพาะการปฏิบัติ ถ้าไม่ยืนตัวอยู่ในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ
    ปัญญาแล้ว จะไม่มีการถูกต้องอันจะให้เกิดความรู้ในสัจธรรมได้เลย
    มรรคปฏิปทาอันจะให้ถึงสัจธรรมนั้น ก็ต้องรวมศีล สมาธิ ปัญญา
    ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วปฏิเวธธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้
    (ธรรมเทศนา เรี่อง พุทธบริษัทพึงปฏิบัติตนเช่นไร)


     
  3. ปาปิปผลิ

    ปาปิปผลิ พระอุโบสถเจดีย์7ชั้น

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    503
    ค่าพลัง:
    +1,801
    9. คนที่จะข้ามโอฆะได้ต้องมีศรัทธาเสียก่อน
    ถ้าไม่มีศรัทธาเสียอย่างเดียวก็หมดทางที่จะข้ามโอฆะได้
    ศรัทธาจึงเป็นของสำคัญที่สุด เช่น เชื่อมั่นในกรรม
    เชื่อผลของกรรม ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว แต่ว่าศรัทธาอันนั้น
    เป็นเบื้องต้นที่จะทำทาน ถ้ามีศรัทธาแล้วไม่อดเรื่องการ
    ทำทาน อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ทำมากก็ได้ ทำน้อยก็ได้ ไม่ต้องเลือก
    วัตถุในการทำงาน จะเป็นข้าว น้ำ อาหาร หมากพลู บุหรี่ ฯลฯ
    สารพัดสิ่งเป็นทาน ได้ทั้งหมด แม้แต่ใบไม้ ใบตอง ใบหญ้า
    ก็เป็นทานได้เราทำด้วยความเชื่อมั่นว่า สิ่งนี้ทำไปแล้วจะเป็น
    ประโยชน์แก่ผู้นั้นๆ ก็อิ่มอกอิ่มใจขึ้นมาเป็นบุญ นั่นแหละ
    ศรัทธา มันทำให้อิ่มอกอิ่มใจ ทำให้เกิดบุญซาบซึ้งถึงใจ
    ทุกอย่างไม่ลืมเลย อันนั้นจึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ข้ามโอฆะ
    (ธรรมเทศนา เรื่องหลักการปฏิบัติธรรม)


    10. กายและจิตอันนี้เป็นบุญกรรมและกิเลสนำมาตกแต่งให้
    เมื่อนำมาใช้โดยหาสาระมิได้ถึงแม้จะมีอายุยืนนาน ก็ปาน
    ประหนึ่งว่าหาอายุมิได้ (คือไม่มีประโยชน์) สมกับพุทธพจน์
    ที่พระองค์ตรัสว่า โย จ วสฺสสตํ ชีเว อปสฺสํ อุทยพฺพยํ เอกาหํ
    ชีวิตํ เสยุโย ปสฺสโต อุทยพฺพยํ แปลว่า บุคคลใดมีชีวิตอยู่ร้อยปี
    แต่เขามิได้พิจารณาเห็นความเกิดดับ (ของอัตภาพนี้)
    ผู้นั้นสู้ผู้เขามีชีวิตอยู่วันเดียว แต่พิจารณาเห็นความเกิดความดับ
    ไม่ได้ (ธรรมเทศนาเรื่องวันคืนล่วงไปๆ)

    <O:p> </O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...