พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สมเด็จอัศนี
    ( องค์นี้ ปี พ.ศ.2412)

    ท่านผู้อธิษฐานจิต
    1.สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
    2.สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้าฤกษ์) วัดบวรนิเวศวิหาร โพสที่ 7109 หน้าที่ 711
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=22445&page=711&highlight=%B7%E8%D2%B9%E0%A8%E9%D2%C1%D2
    3.สมเด็จพระพุฒาจารย์ทัด โพสที่ 7113 หน้า 712
    4.พระพุฒาจารย์ มา อินทโร โพสที่ 7114-5 หน้า 712
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=22445&page=712

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2007
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นำมาให้ชมกัน ไม่ได้มอบให้ท่านที่ร่วมทำบุญนะครับ
    เป็นพระที่สร้างขึ้นที่วังหน้า คุณปุ๊ เป็นผู้ที่มอบให้ผมมา

    (องค์ผู้อธิษฐานจิต ไม่แจ้งบนบอร์ดนะครับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ อยากทราบโทร.ถามนะครับ)

    [​IMG]
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ส่วนที่ผมจะมอบให้ท่านที่ร่วมทำบุญ โดยการเปิดจองในสัปดาห์หน้านั้น ตามนี้ครับ

    1.หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน (เนื้อทองเหลือง บุทองคำ) จำนวน 1 องค์
    [​IMG]

    2.พระพิมพ์อรหันต์กลาง กรุเนปาล จำนวน 1 องค์
    [​IMG]


    รายละเอียดเรื่องจำนวนเงินที่ร่วมทำบุญนั้น ผมะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/khaosod/khaosod_detail.php?s_tag=03bud14190850&day=2007-08-19&sectionid=0307

    [​IMG]

    วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6107​

    ใจบริสุทธิ์


    คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด



    พระอรหันต์คือผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลส มีจิตใจอ่อนโยน มุ่งอนุเคราะห์ชาวโลก ให้พ้นจากความทุกข์ เป็นเนื้อนาบุญที่ดีที่สุด ใครได้กราบไหว้บูชา ทำบุญกับท่าน ถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ จะได้สิ่งอันพึงปรารถนา คนส่วนมากจึงแสวงหาพระอรหันต์ ตามหลักพระพุทธศาสนา พระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบัน ถึงพระอรหันต์ เป็นบุคคลที่ชาวโลกควรบูชา เพราะท่านเป็นผู้มีคุณธรรมสูง พระอรหันต์มีน้ำใจบริสุทธิ์ต่อชาวโลก

    แม่มีน้ำใจบริสุทธิ์ต่อลูกทุกคน เมื่อครั้งเราเป็นเด็กๆ เคยหยิก ตี ทุบ ต่อย กัด พร้อมพูดจาไม่ดีต่อแม่ นับไม่ถ้วน ด้วยความไร้เดียงสา ท่านไม่เคยโกรธเคือง กลับยินดีที่เห็นลูกฉลาด เพิ่มความรักความเอ็นดูมากยิ่งขึ้น เมื่อเราเติบโต เคยทำให้ท่านผิดหวัง เสียใจ เสียน้ำตา มาหลายครั้งแล้ว แทนที่ท่านจะโกรธเคือง กลับยอมทนทุกข์ เพื่อให้ลูกมีสุข ยอมร้อนเพื่อให้ลูกเย็น ให้อภัยลูกเสมอมา

    ลูกทุกคนได้ทราบถึงพระคุณของแม่แล้ว อย่าทำให้ท่านต้องเสียใจ ควรตอบแทนท่านให้เหมาะสม เช่น เลี้ยงดูทางกาย ให้ข้าว น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย ให้ท่านมีความสุข เลี้ยงดูทางใจทำให้ท่านสมหวัง แม่หวังลูกทุกคนเป็นคนดี หวังลูกช่วยดูแลบ้าง

    ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้. แม่เริ่มชราอ่อนกำลังทำงานไม่ไหว หมดเรี่ยวแรง บางครั้งเดินยังซวนเซ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ รอลูกกตัญญูมาดูเหลียวแลใส่ใจ ไม่ทอดทิ้งท่านให้เหงาเพียงลำพัง หลายคนอ้างว่าไม่ว่าง ไม่มีเวลา จะต้องทำงาน เลี้ยงครอบครัว ลูกบางคนพาท่านไปอยู่ที่บ้านพักคนชรา แล้วไม่ไปเคยเยี่ยมเยียน หากเป็นเราถูกละเลยเช่นนั้นบ้าง จะเป็นอย่างไร สมควรหรือไม่

    ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา ความเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดขึ้นได้กับทุกคน ยามที่แม่ป่วยไข้ หวังลูกช่วยดูแล พาไปหาหมอ คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ คนอื่นจะช่วยดูแลได้เพียงร่างกายเท่านั้น แต่ลูกช่วยดูแลถึงจิตใจ เพียงได้เห็นลูกมาพร้อมหน้า คอยดูแลแม่ก็ชื่นใจ ปลื้มใจ หายป่วยเร็วขึ้น คิดถึงตอนที่เราเป็นเด็ก ป่วยไข้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม่คอยเฝ้าไข้ ป้อนข้าวป้อนน้ำ ป้อนยา ปลอบโยน ให้กำลังใจ เรารู้สึกอบอุ่น หายป่วยไข้ในเร็ววัน

    เมื่อถึงคราวตาย วายชีวา หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ ลูกคนใดที่บกพร่อง ไม่เคยดูแลท่าน ถึงคราวที่ท่านต้องลาจากไป ตามวิสัยของโลก ลูกอยู่ใกล้ไกลต้องมาพร้อมหน้ากัน แม่จะได้สบายใจ ถึงตายก็นอนหลับได้สนิท แม่ต้องการสั่งเสียลูกเป็นครั้งสุดท้าย ให้ทุกคนรักกัน สามัคคีกัน

    ลูกทุกคนได้ตอบแทนพระคุณท่านดังกล่าวมาแล้ว ควรตอบแทนให้สูงยิ่งขึ้น เช่น อำนวยความสะดวกให้ท่านดำรงมั่นด้วยศรัทธาในบวรพุทธศาสนา ได้รักษาศีลอย่างบริสุทธิ์ ได้เสียสละบ้างเป็นบางโอกาส ได้ฟังธรรมเสริมปัญญาบารมี ชื่อว่าได้ตอบแทนพระคุณท่านอย่างแท้จริง เป็นลูกกตัญญูกตเวที ได้รับยกย่องว่าเป็นคนดี

    และจะมีผลทำให้ได้รับความสุขความเจริญตลอดไป
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รายละเอียดพระพิมพ์และวัตถุมงคล ที่มอบให้กับผู้ร่วมทำบุญในกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิบมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาลาดพร้าว 102 บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 189-0-13128-8 ชื่อบัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีชญา ,นายอุเทน งามศิริ ,นายสิรเชษฏ์ ลีละสุนทเลิศ ( http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=68899 ) จะอยู่ในหน้าแรกของกระทู้ ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ

    ส่วนยอดคงเหลือ ผมจะแจ้งให้ทราบในกระทู้ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ และกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้เป็นระยะครับ

    *************************************************
    เรื่องการร่วมทำบุญก็คงเหมือนเดิม ท่านใดที่เคยร่วมทำบุญมาแล้ว ก็ได้ร่วมทำบุญด้วยจำนวนเงินที่น้อยกว่าท่านที่ไม่เคยร่วมทำบุญมาเลย จะมีทั้งพระสมเด็จวังหน้า ,พระพิมพ์อื่นๆของวังหน้า ,พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า และหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานครับ

    *************************************************
    หนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จและสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุญนาค) ซึ่งเขียนโดยปรัชนี ประชากร(ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร) ผมจะแจกให้กับผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง 3 ท่านแรก(ตามกติกา) จำนวน 3 เล่ม(ท่านละ 1 เล่ม) โดยมีหลักเกณฑ์ตามนี้ ต้องเป็นผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไม่น้อยกว่า 50,000 บาท(โดยที่ท่านทำบุญและขอรับพระพิมพ์จากผมตามปกติ) <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วนพระสมเด็จกลักไม้ขีด ผมมอบให้ผู้ร่วมทำบุญ จำนวน 5 องค์ สำหรับ 5 ท่านแรก (ผ่านพิธีพุทธาภิเษกในวันที่ 10 กรกฎาคม 2550 ในการพุทธาภิเษกผ้ายันต์ที่พระอาจารย์นิลนำลงไปแจกผู้ปฏิบัติงานในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้) องค์ผู้อธิษฐานจิต หลวงปุ่บรมครูเทพโลกอุดร 4 พระองค์(หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า ,หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า ,หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) ,หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) ) ,สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ,หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ,หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ,หลวงปู่โพกสะเม็ก(หลวงปู่ขี้หอม) ,สำเร็จลุน ประเทศลาว ,หลวงปู่สีทัตถ์ ฯลฯ โดยมีหลักเกณฑ์ตามนี้ ต้องเป็นผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไม่น้อยกว่า 50,000 บาท(โดยที่ท่านทำบุญและขอรับพระพิมพ์จากผมตามปกติ)
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    โดยท่านผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไม่น้อยกว่า 50,000 บาท(โดยที่ท่านทำบุญและขอรับพระพิมพ์จากผมตามปกติ) สามารถขอรับหนังสือวิเคราะห์ฯ และร่วมทำบุญเพื่อขอรับพระสมเด็จกลักไม้ขีดได้พร้อมกันครับ แต่หนังสือมีจำนวน 3 เล่มเท่านั้น ส่วนพระสมเด็จกลักไม้ขีดมีจำนวน 5 องค์ ดังนั้นท่านที่ 4 และท่านที่ 5 จะไม่ได้รับหนังสือแต่ผมจะมอบพระพิมพ์สมเด็จกลักไม้ขีดเพิ่มให้อีก 1 องค์ครับ <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผมขอสิ้นสุดการมอบหนังสือและพระสมเด็จกลักไม้ขีดในการร่วมทำบุญ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 จำนวนเงิน 50,000 บาท(รวมทั้งการร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป 5 พระองค์(สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกกุสันโธ ,สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามโกนาคมน์ ,สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกัสสป ,สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามสมณโคดม ,พระศรีอาริยเมตไตร) ซึ่งผมจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป พร้อมมณฑปรอบพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง) ผมขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงระยะเวลา ถ้าหากว่าพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งสร้างเสร็จสมบูรณ์ก่อน และถ้าหากท่านใดได้ร่วมทำบุญและประสงค์ที่จะรับหนังสือและพระสมเด็จกลักไม้ขีด ผมขอพิจารณาเป็นรายๆครับ และผมให้สิทธิ์ในการจองหนังสือวิเคราะห์ฯและพระสมเด็จกลักไม้ขีดได้นะครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    โมทนาบุญทุกประการครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    หมายเหตุ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพิธีพุทธาภิเษก วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2550<O:p</O:p
    กระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้<O:p</O:p
    หลวงปู่สุภา กันตสีโล โพสที่ 6010 หน้าที่ 601<O:p</O:p
    หลวงปู่สุภา กันตสีโล โพสที่ 6034 หน้าที่ 604<O:p</O:p
    สำเร็จลุน โพสที่ 6138 หน้าที่ 614<O:p</O:p
    พระครูโพนเสม็ด (ญาคูขี้หอม) โพสที่ 6139 หน้าที่ 614<O:p</O:p
    พระอาจารย์สีทัตถ์ วัดท่าอุเทน นครพนม โพสที่ 6140 หน้าที่ 614<O:p</O:p
    พระอาจารย์สีทัตถ์ วัดท่าอุเทน นครพนม โพสที่ 6141,6142,6143 หน้าที่ 615<O:p</O:p
    พระครูโพนเสม็ด (ญาคูขี้หอม) โพสที่ 6176,6178,6179,6180 หน้าที่ 618<O:p</O:p
    พระอาจารย์สีทัตถ์ วัดท่าอุเทน นครพนม โพสที่ 6181,6182,6183,6184,6185 หน้าที่ 619<O:p</O:p
    พระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน) โพสที่ 6186,6187,6188 หน้าที่ 619<O:p</O:p
    พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) โพสที่ 6189 หน้าที่ 619<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คุณเพชร<O:p</O:p
    โพสที่ 6017 หน้าที่ 602<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คุณพันวฤทธิ์<O:p</O:p
    โพสที่ 6022 หน้าที่ 603
    โพสที่ 6103 หน้าที่ 611
    โพสที่ 6105 หน้าที่ 611

    [​IMG]
    <O:p</O:p
    <!-- / message --><!-- sig -->


    สำหรับไม้ครูที่หลายๆท่านประสงค์ที่จะมีไว้ป้องกัน,คุ้มครองตนเองและสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้

    ผมจะมอบให้ฟรีกับผู้ที่ร่วมทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ มีรายละเอียดดังนี้

    1.ต้องเป็นผู้ร่วมทำบุญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ มาตั้งแต่ต้นหรือเป็นผู้ร่วมทำบุญใหม่ โดยทำบุญและขอรับพระพิมพ์ตามปกติ จำนวนเงินที่ร่วมทำบุญรวมกัน(หลายๆครั้งหรือครั้งเดียว) ตั้งแต่ 55,555 บาท

    2.เมื่อร่วมทำบุญครบ 55,555 บาท แล้วจะรับไม้ครู ต้องไปรับไม้ครูที่บ้านท่านอาจารย์ประถม อาจสาครเท่านั้น

    โมทนาสาธุครับ
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องการร่วมทำบุญก็คงเหมือนเดิม ท่านใดที่เคยร่วมทำบุญมาแล้ว ก็ได้ร่วมทำบุญด้วยจำนวนเงินที่น้อยกว่าท่านที่ไม่เคยร่วมทำบุญมาเลย จะมีทั้งพระสมเด็จวังหน้า ,พระพิมพ์อื่นๆของวังหน้า ,พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า และหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานครับ

    *************************************************
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10753​

    มองโลกอย่างเข้าใจ


    คอลัมน์ ความคิดที่ออกแบบได้

    โดย สาโรจน์ มณีรัตน์



    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>บ่อยครั้งที่เรามักมองโลกในแง่ดี และบ่อยครั้งที่เรามักชอบที่จะเข้าใจคนอื่น สงสารคนอื่น โดยนำประสบการณ์ของตัวเองมาสอน

    ซึ่งบางครั้งก็ได้ผลอย่างน่าประหลาดใจ

    แต่บางครั้งมันก็แค่เป็นเพียงยาแก้ปวดเท่านั้น

    ซึ่งเมื่อเขาและเธอรู้สึกทุกข์ขึ้นมาอีก หรือรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีก ยาที่เคยทาน หรือคำปลอบประโลมที่เคยหวานหอมก็อาจจะกลายเป็นคำพูดที่ไร้สาระได้

    ถ้าเขามองโลกในเชิงลบ

    "ผ่านมามีคนสอนผมให้มองโลกในแง่ดี หรือมองโลกในเชิงบวก เพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่ผมคิด สิ่งที่ผมพูด หรืออธิบาย ไม่เพียงเกิดผลกระทบกับสังคมส่วนรวม เนื่องจากผมเป็นคนพูดตรงเกินไป"

    เป็นคนชอบพูดความจริง

    ซึ่งความจริงที่พูดนั่นเอง ส่วนหนึ่งได้ใจกับคนบางกลุ่ม แต่คนอีกบางกลุ่มเขารู้สึกไม่พอใจ เขารู้สึกเสียหน้า เพราะความจริงที่พูดนั้น มันส่งผลกระทบโดยตรงกับเขา

    เขาจึงรู้สึกว่า ถ้าจะพูดความจริงต่อหน้าสาธารณชน ควรอย่างยิ่งที่น่าจะบอกเขาก่อน ไม่ควรมาหักหน้ากันแบบนี้

    ซึ่งเรื่องนี้มีให้เห็นอย่างมากในสังคมไทย ยิ่งเฉพาะสังคมคนทำงานด้วยแล้ว เรามักจะเจอคนเหล่านี้อยู่เสมอ จนรู้สึกว่าสิ่งที่เราประพฤติ ปฏิบัติตามคำสอนของวิชาศีลธรรมที่เรียนมาแต่เด็กคงไม่ได้ผลเสียแล้ว

    "เราควรที่จะทำตนเหมือนต้นหลิวคือลู่ตามลมกระนั้นหรือ?"

    "อาจารย์กรุณา กุศลาสัย" เคยบอกผมว่า ผู้มองโลกในแง่ดีชอบคิดว่า แก้วน้ำเต็มครึ่งหนึ่ง ขณะที่ผู้มองโลกในแง่ร้ายชอบคิดว่า แก้วน้ำว่างอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่สำหรับคนที่ชอบมองโลกแห่งความเป็นจริง กลับคิดว่า หากเราไม่ไปไหน วนเวียนอยู่ใกล้ๆ ในที่สุด เขาจะต้องเป็นผู้ล้างแก้วน้ำใบนั้น

    ซึ่งก็ทำให้ผมค้นพบคำตอบว่ามนุษย์ก็เป็นเช่นนั้นแล

    ฉะนั้น จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะต้องแสวงหาอะไรมากมาย ทำไมไม่หัดรู้จักที่จะผสมผสานสิ่งที่เป็นคุณ และโทษเข้าหากัน หรือไม่รู้จักแยกแยะสิ่งที่เป็นความจริง และความเท็จบ้าง

    "ซึ่งเมื่อมาทดลองใช้ ก็ค้นพบว่า การพูดความจริง เหมาะสำหรับคนบางคน บางอาชีพ และบางกลุ่ม ขณะที่การพูดแบบปลอบประโลม ก็เหมาะสำหรับคนบางคน บางอาชีพ และบางกลุ่มเช่นกัน"

    เหตุนี้เอง จึงทำให้ทุกครั้ง ที่ต้องฟังเรื่องราวของผู้คน ผมจึงมักที่จะถามเขาก่อนเสมอว่า ความจริงเป็นเช่นไร และความจริงนั้นทำให้เขา และเธอต้องเจ็บปวดหรือเปล่า?

    ซึ่งถ้าความจริงทำให้เขาต้องเจ็บปวด ผมก็จะบอกเขาว่า ให้หัดมองโลกในเชิงบวก คือมองว่าแก้วน้ำนั้นมีน้ำอยู่เพียงครึ่งเดียว ส่วนครึ่งที่เหลือ ก็หัดมองแบบเผื่อใจบ้าง

    เพราะไม่เช่นนั้น คุณก็จะอยู่แต่ในโลกแห่งความจริงตลอดกาล คือเมื่อเห็นใครวางแก้วน้ำไว้ตรงไหน คุณก็จะต้องเป็นคนล้างแก้วอยู่เสมอ

    เพราะเขามองโลกแห่งความเป็นจริงมากเกินไป

    ซึ่งเรื่องนี้มองแบบไม่คิดอะไรก็ได้ แต่ถ้ามองแบบแยกส่วน และมองอย่างผสมผสาน ก็จะเห็นว่าสิ่งที่ "อาจารย์กรุณา" สอนนั้นเป็นปรัชญา

    เป็นปรัชญาแห่งการเรียนรู้

    เพราะตลอดชีวิตของ "อาจารย์กรุณา" เกิดขึ้นจากปรัชญาแห่งการเรียนรู้ทั้งสิ้น ซึ่งเหมือนกับผม ผมเคยทดลองผิด ถูก ผมทดลองที่จะเป็นคนมองโลกเชิงบวก แต่เมื่อค้นพบคำตอบแล้วว่า การมองโลกเชิงบวก ไม่เพียงทำให้เรามองเห็นน้ำเพียงครึ่งแก้วเท่านั้น

    "ผมก็ลองมามองโลกเชิงลบบ้าง"

    ซึ่งก็ทำให้เรา เข้าใจความจริงทั้งสองส่วน และสังคมมนุษย์ในปัจจุบัน ที่วุ่นวายกันอยู่ขณะนี้ ก็เนื่องจากการมองโลกแห่งความเป็นจริงทั้งสิ้น

    ที่เชื่อว่าฝ่ายนี้เป็นฝ่ายถูก

    ฝ่ายนี้เป็นฝ่ายผิด

    จนลืมมองไปว่า ที่ฝ่ายนั้นถูก หรือฝ่ายนั้นผิด ล้วนเกิดจากมุมมองของตัวเองทั้งสิ้น ล้วนเกิดจากการมองโลกแห่งความเป็นจริง ที่เชื่ออย่างสนิทใจว่า ที่ฉันต้องเป็นคนอย่างนี้ ที่ฉันต้องทำอย่างนี้ เป็นเพราะความถูกต้องของฉันที่เชื่อตลอดมา

    เหตุนี้เอง การแสดงประชามติเพื่อรับร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 19 สิงหาคม จึงต้องมีการกากบาททั้งเห็นชอบ และไม่เห็นชอบ ถามว่าเป็นเพราะอะไร ก็เพราะมนุษย์เป็นผู้เลือกแล้วว่า สิ่งที่กำลังหยิบยื่นมาให้แสดงประชามตินั้นประกอบด้วยคน 2 กลุ่ม ที่ต่างมองโลกแห่งความเป็นจริง

    ยิ่งเฉพาะในมุมมองของตัวเอง

    ฉะนั้น จึงไม่แปลกหรอกที่โลกทุกวันนี้ จึงมีความวุ่นวายอยู่เสมอ และไม่เฉพาะแต่ประเทศไทยเท่านั้น หากนานาอารยประเทศ ก็ต่างมีความวุ่นวายไม่แพ้กัน

    ผมจึงคิดว่า การที่เราจะสอนคน หรือปลอบประโลมคน บางครั้งประสบการณ์เพียงอย่างเดียว คงไม่อาจทำให้เขา และเธอค้นพบสัจธรรมได้ภายในวันเดียว

    "แต่เราควรที่จะสอนให้เขารู้สึกเจ็บปวดบ้าง หนาวบ้าง ร้อนบ้าง หรือจมจ่อมอยู่กับความทุกข์อย่างแสนสาหัสบ้าง เพราะความเจ็บปวด หรือความทุกข์ จะทำให้เขาค้นพบตัวเอง"

    ค้นพบว่าเขาจะมัวจมจ่อมอยู่กับความทุกข์อย่างนี้ไปทำไม

    ทำไมไม่ลุกขึ้นสู้

    และกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง

    ผ่านมาผมมักจะเจอะเจอคนเหล่านี้อยู่เสมอ และทุกครั้งที่เจอ เขาก็จะพรั่งพรูในสิ่งที่เขาผิดหวัง ในสิ่งที่เขาคิดว่าเขาเป็นผู้ถูกต้อง

    แต่ทำไม พ่อ-แม่ ญาติพี่น้อง รวมไปถึงหัวหน้า หรือเพื่อนฝูงถึงไม่เข้าใจ ซึ่งผมก็จะทำหน้าที่เป็นผู้รับฟังที่ดี บางครั้งเออออห่อหมกด้วย แต่บางครั้งผมก็จะพูดอย่างเฉียบขาดว่า...คิดว่าตัวเองดีคนเดียวหรือ?

    คนอื่นผิดทั้งหมดจริงหรือ?

    และที่ผ่านมาคนที่คุณพูดถึงนั้นไม่มีส่วนดีบ้างเลยหรือ?

    ซึ่งก็ได้ผล ทำให้เขาต้องตอบผมอย่างอ้อมแอ้มว่า...ก็มีส่วนดีบ้าง แต่...

    คำว่า "แต่" นี่เอง ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่นักเลงเลย หรือไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ หรือสุภาพสตรีเอาเสียเลย

    เพราะขนาดพูดอย่างนี้แล้ว เขายังรู้สึกเสมอว่าเขานั้นเป็นผู้ถูกต้อง

    ซึ่งคนเหล่านี้ เราไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรทั้งสิ้น เพราะรังแต่จะทำให้ชีวิตเราพลอยมัวหมองไปด้วย เพราะถ้าเกิดวันหนึ่ง เขารู้สึกว่า เราไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิด เขาก็จะไปบอกคนอื่นอีกว่า...เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อีก

    "ท่านพุทธทาสภิกขุยังเคยบอกว่าคนเราจงคบกันแต่ส่วนดี ส่วนไม่ดีช่างหัวเขา แต่สำหรับมนุษย์ทุกวันนี้ มักจะแยกแยะไม่ออกว่าส่วนดี หรือส่วนไม่ดีของคนอยู่ตรงไหน"

    เพราะอำนาจเงิน มันมาบดบังเสียสิ้น

    ซึ่งเห็นแล้วก็ให้เกิดอนิจจา

    ซึ่งเห็นแล้ว ก็ให้เกิดความรู้สึกว่ามนุษย์บางคนนั้นช่างหลงกลอยู่แต่กับดักของตัวเอง จนมองไม่ออกว่าคนดี กับคนไม่ดีนั้น แยกออกจากกันง่ายเพียงนิดเดียว

    แค่ฟังเขาคิด พูด และทำเท่านั้น เราก็จะรู้ง่ายๆ เลยว่าใครเป็นคนดี หรือไม่ดี ฉะนั้น มนุษย์ปุถุชนอย่างเราๆ ที่ยังอยู่ในสังสารวัฏ ก็คงต้องใช้สติพิจารณากันเอาเองแล้วว่าเราจะดำรงตนอย่างแก้วน้ำเต็มครึ่งหนึ่ง หรือแก้วน้ำว่างครึ่งหนึ่ง

    หรือจะเป็นคนล้างแก้วไปตลอดทั้งชีวิต

    "ก็ลองพิจารณากันเอาเอง ?"

    http://matichon.co.th/matichon/matic...sectionid=0140<!-- / message --><!-- sig -->
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://hilight.kapook.com/view/14543

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=15 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>สุดยอดไอเดียเจ๋งทำขายได้ตังค์


    <CENTER>
    [​IMG]
    เป็นไอเดียของนักออกแบบในยุโรปที่ได้ รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดงานออกแบบร้อนแรงในปีนี้ รีดเดอร์ ไดเจสท์ ฉบับล่าสุด รายงานว่า ก่อนเริ่มงานหรือระหว่างวัน กาแฟร้อนสักแก้ว กับขนมสักชิ้นก็ช่วยให้เราเริ่มงานได้อย่างสดชื่น แต่ก็มักจะมีปัญหาไม่อยากถือแก้วกาแฟกับจานรอง ด้วยเหตุผลเกะกะ

    นักออกแบบชาวอังกฤษ โดมินิค สกินเนอร์ ได้ออกแบบแก้วกาแฟสุดเดิร์น เจาะช่องที่ก้นแก้วสำหรับเก็บคุกกี้ให้เรากินพออิ่ม วิธีนี้ช่วยประหยัดการใช้งานและไม่มีเศษขนมหกเกลื่อนโต๊ะ นักออกแบบยังคิดไกลกว่านั้น เพราะออกแบบแก้วสำหรับผู้ที่ถนัดทั้งมือซ้ายและมือขวา

    [​IMG]
    ของเล่นแปลงร่าง เป็นผลงานของนักออกแบบชาวสวิตเซอร์แลนด์ชื่อ อเล็กซ์ ฮอคสตราสเซอร์ และนักวิจัยของโรงพยาบาลเด็ก มหาวิทยาลัยซูริก เรียกของเล่นนี้ว่า บิลิโบไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ ไม่ต้องประกอบแต่เป็นพลาสติกที่เด็ก ๆ สามารถใช้เล่นได้สารพัด จะให้เป็นเก้าอี้ อุโมงค์ หมวก ถังน้ำ และอีกสารพัด หากเป็นบ้านเรา ถ้าเจอน้ำท่วมก็เอาบิลิโบนี่แหละมาเล่นเป็นกะละมังลอยน้ำก็ยังได้ บิลิโบช่วยในการพัฒนาทางร่างกาย เด็กสามารถเคลื่อนไหว ใช้จินตนาการกับบิลิโบได้มากมาย ไม่แปลกที่บิลิโบจะได้รางวัลของเล่นยอดเยี่ยมประจำปี 2549 ที่ผ่านมาจากเวทียุโรปมากมาย
    [​IMG]
    อันนี้ก็ชอบ เพราะเป็นที่ตั้งไข่ นักออกแบบใช้ช้อนสเตนเลส 3 คันมาประกบกันแล้วดีไซน์จนลงตัวเป็นช้อนเก็บไข่ สำหรับวางบนโต๊ะอาหาร ​
    [​IMG]
    ส่วนอีกอันเป็นช้อนยาวที่ออกแบบให้งอเพื่อเกาะไว้ที่ขอบแก้ว แก้ปัญหาช้อนยาวเกะกะ ไม่รู้จะเอาช้อนไปวางไว้ที่ไหน ก็เลยออกแบบให้เกาะไว้ที่ขอบแก้วซะเลย เหมาะสำหรับใช้เสิร์ฟไอติม หรือเครื่องดื่มประเภทปั่นที่บรรจุมาเป็นแก้วทรงสูง


    ข้อมูลเเละภาพประกอบจาก
    [​IMG]
    </CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ************************************************

    http://hilight.kapook.com/view/14532

    ดื่มกาแฟ"กี่แก้ว"จึงไม่อันตราย



    <CENTER>
    [​IMG]
    คอลัมน์ โฟกัสสุขภาพ
    ตามผลวิจัยเรื่องกาแฟ ชี้ว่ามีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่หัวใจของการดื่มกาแฟที่จะสร้างประโยชน์แก่ร่างกายต้องอยู่ที่ความพอดี ไม่มาก ไม่น้อย
    สำหรับชาวอิตาลี การดื่มกาแฟเอสเปรสโซ่วันละ 7 แก้ว อาจถูกพิจารณาว่า "เด็กๆ ชิลๆ" ส่วนนักร้องชาวอังกฤษอย่างร็อบบี้ วิลเลี่ยมส์ ก็อาจเห็นว่า 7 แก้วเหรอ "หมูมาก" เพราะมีรายงานว่าเขามีนิสัยดื่มกาแฟวันละ 36 แก้ว
    แต่สำหรับสาววัยรุ่นอังกฤษวัย 17 ปี อย่างแจสมิน วิลลิส แล้ว เอสเปรสโซ่แก่ๆ 7 แก้ว กลับทำให้เธอ "โอเวอร์โดส" คือมากเกินกว่าร่างกายจะรับไหว เพราะทำให้เธอปวดแสบปวดร้อนหน้าอกไปหมด, ร้องไห้และหัวเราะในเวลาเดียวกัน, เหงื่อแตกและต้องหายใจถี่เพื่อสูดออกซิเจนให้เพียงพอ
    อังกฤษเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษ จึงแนะนำให้ประชาชนดื่มกาแฟเอสเปรสโซ่ไม่เกินวันละ 5 แก้ว หรือหากเป็นกาแฟสำเร็จรูปก็ไม่ควรเกิน 7 แก้วต่อวัน เพราะว่ากาแฟชนิดที่ต้องใช้หม้อต้มหรือต้องชงด้วยการกรองด้วยฟิลเตอร์นั้น มีปริมาณกาเฟอีนสูงที่สุด โดย 1 เหยือกมีประมาณ 120 มิลลิกรัม ในขณะที่กาแฟสำเร็จรูป (กาแฟที่ตักจากขวดหรือเทจากซองเติมน้ำร้อนดื่มได้เลย) มีปริมาณกาเฟอีน 75 มิลลิกรัม
    ถ้าดื่มมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดอาการตั้งแต่นอนไม่หลับ อยู่ไม่สุข กระสับกระส่าย ตื่นเต้นเกินเหตุ คลื่นไส้ อ้วก เป็นต้น


    ข้อมูลจาก
    [​IMG]
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต​
    </CENTER>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือน! ทานอาหารตะวันตกมากเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->วิจัยพบคนไข้ที่รักษาแล้วมีอัตราเป็นซ้ำสูงกว่า 3 เท่าหากรับประทานตามวิถีคนยุโรป <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สำนักข่าวสารการแพทย์เว็ปเอ็มดี เมดิคอล นิวส์ตีพิพม์ผลการวิจัยใหม่ล่าสุดที่ศึกษาพบว่าการรับประทานอาหารสไตล์ตะวันตกนั้นไม่เพียงแค่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเท่านั้นแต่ยังอาจมีส่วนทำให้อัตราการเสียชีวิตในคนไข้โรคมะเร็งลำไส้เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    [​IMG]

    โดยการวิจัยนี้พบว่าคนไข้โรคมะเร็งลำไส้ที่ผ่านการรักษาจนหายดีแล้วและยังคงรับประทานอาหารจำพวกเนื้อแดง เนื้อแปรรูป เมล็ดพืชที่ผ่านการขัด ไขมัน และน้ำตาลมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตหรือโรคมะเร็งกำเริบอีกครั้งสูงกว่าปกติถึงกว่า 3 เท่า
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ก่อนหน้านี้ก็มีผลการวิจัยมากมายที่เน้นย้ำถึงการรับประทานอาหารแบบตะวันตกกับความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้แต่การวิจัยนี้ถือเป็นการวิจัยแรกสุดที่ศึกษาของผลของการรับประทานอาหารแบบตะวันตกกับผลต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ในคนไข้ที่รอดชีวิตจากการรักษามะเร็งลำไส้มาก่อนแล้ว<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    และถึงแม้ว่าสิ่งที่การวิจัยนี้ได้ศึกษาพบยังคงต้องมีการทำการวิจัยให้มากขึ้นเพื่อยืนยันผลอีกครั้งแต่ นพ.15 สิงหาคม<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    “แพทย์ที่รักษาคนผู้ป่วยโรคมะเร็งอยู่ต้องพูดกับคนไข้เกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน” นพ.เยอร์ฮาร์ดท์กล่าวและว่า “จากประสบการณ์ของตัวเองผมรู้ว่าคนไข้จะถามถึงเรื่องอาหารการกินกันค่อนข้างเยอะ พวกเขาอยากทราบว่าควรกินอะไรออกกำลังกายได้หรือเปล่า แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะให้คำแนะนำโดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการยืนยันหนักแน่น”<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษานี้มีทั้งหมด 1,009 คนซึ่งเป็นคนไข้ที่เคยผ่านการรักษาโรคมะเร็งลำไส้ที่แพร่เข้าไปถึงต่อมน้ำเหลืองแล้วแต่ยังไม่แพร่ไปอวัยวะปลายทางอื่นๆ เช่น ตับหรือปอดมาแล้วไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือการใช้เคมีบำบัดนับตั้งแต่ เดือนเมษายน ปี 1999 ถึง พฤษภาคม ปี 2001<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    นักวิจัยได้ให้คนไข้เหล่านี้กรอกแบบสอบถามที่ออกแบบมาเพื่อดูการเลือกรับประทานอาหารและการรับสารอาหารเข้าสู่ร่างกายของคนไข้ในระยะ 6 เดือนหลังรับการรักษาโรคมะเร็งลำไส้แล้ว และจากข้อมูลที่ได้นี้นพ.เยอร์ฮาร์ดท์และคณะก็ได้แบ่งรูปแบบการรับประทานอาหารของคนไข้ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ การรับประทานอาหารแบบคนตะวันตกซึ่งอธิบายได้ว่าเป็นการรับประทานเนื้อแดง และเนื้อแปรรูป อาหารรสหวาน เมล็ดพืชที่ขัดสีแล้ว ขนมของหวาน และอีกกลุ่มคือการเลือกรับประทานอาหารแบบ “ฉลาดเลือก” กล่าวคือเลือกรับประทานอาหารจำพวก ผลไม้ และผัก สัตว์ปีกและปลาเป็นหลัก<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    โดยทีมนักวิจัยได้ทำการติดตามผลคนไข้เป็นเวลาประมาณ 5 ปี และพบว่ามีกรณีการกลับเป็นมะเร็งซ้ำทั้งสิ้น 324 ราย และในจำนวนนี้เสียชีวิตไป 223 ราย ในขณะที่ในกลุ่มที่ไม่พบว่ามีหลักฐานว่ามีกลับมาเป็นมะเร็งอีกตายเพียงแค่ 28 คน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทั้งนี้นักวิจัยพบว่าอัตราการกลับมาเป็นโรคมะเร็งอีกครั้งในกลุ่มคนไข้ที่รับประทานอาหารแบบชาวตะวันตกสูงกว่าปกติถึง 3.5 เท่าตัว ในขณะเดียวกันก็ไม่พบว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างการรับประทานอาหารแบบ ฉลาดเลือกกับการกลับเป็นมะเร็งซ้ำหรือการตาย

    <O:pที่มา http://www.thaihealth.or.th/cms/deta...update&id=8042<O:p</O:p
    ข้อมูลจาก : สำนักข่าวต่างประเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)<O:p</O:p
    ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th
    <O:p<O:p[​IMG]</O:p</O:p
    <O:p<O:p</O:p</O:p
    <O:p<O:p

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="98%" border=0><TBODY><TR><TD height=20>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</TD></TR><TR><TD bgColor=#990000 height=3></TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=left>[​IMG] วิจัยระบุ ดื่มไวน์เสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่</TD></TR><TR><TD align=left>[​IMG] ผู้ดีชี้ ! ก๊งเหล้าวันละแก้วเสี่ยงมะเร็งลำไส้เพิ่ม 10 % </TD></TR><TR><TD align=left>[​IMG] มก. วิจัยแกง 4 ภาคมีฤทธิ์ต้านมะเร็งลำไส้</TD></TR><TR><TD align=left>[​IMG] พบ "มะเร็งลำไส้ใหญ่" ภัยอันดับ3เล่นงานคนกรุง</TD></TR><TR><TD align=left>[​IMG] รู้ทันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ห่างไกลโรคร้าย</TD></TR><TR><TD align=left>[​IMG] เผยทานแอสไพรินอาจช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ได้</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติองค์บรมครูเทพโลกอุดร
    http://72.14.235.104/search?q=cache...+หลวงปู่เทพโลกอุดร&hl=th&ct=clnk&cd=120&gl=th

    Sawangburi.com หน้ากระดานข่าวหลัก -> สนทนาธรรมทั่วไป

    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TH class=thLeft noWrap width=150 height=26>ผู้ส่ง</TH><TH class=thRight noWrap>ข้อความ</TH></TR><TR><TD class=row1 vAlign=top align=left width=150>tipvimol
    มือเซียน
    [​IMG]
    [​IMG]

    เข้าร่วมเมื่อ: 12/01/2006
    ตอบ: 232

    </TD><TD class=row1 vAlign=top width="100%" height=28><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">[​IMG]ตอบ: 22/11/2006 9:32 am ชื่อกระทู้: ประวัติองค์บรมครูเทพโลกอุดร</TD><TD vAlign=top noWrap align=right>[​IMG] </TD></TR><TR><TD colSpan=2><HR></TD></TR><TR><TD colSpan=2>ประวัติองค์บรมครูเทพโลกอุดร

    ตามหลักฐานบันทึกในหนังสือมหาวงค์ พงศาวดารลังกา (คำบรรยายของหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ อดีตภัณฑารักษ์เอก กรมศิลปากร ) พ.ศ. ๓๐๓ และตามหลักฐานของวัดเพชรพลี (วัดพริบพรีเดิม บันทึกอักษรเทวนาคี ขุดค้นพบ ณ ซากศิลาวัดบัวคูบัว ต.คูบัว จ.ราชบุรี ) กล่าวว่า พระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่เข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิ ใน พ.ศ. ๒๓๕ ( ซึ่งระยะต่างกัน ๖๘ ปี พ.ศ. ๓๐๓-๒๓๕ ) พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎก คือ ทำการชำระพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งที่ ๓ ครั้รแล้วจึงอาราธนาพระโมคคลีบุตรติสสเถระ องค์อรหันต์เป็นประธานคัดเลือกบรรดาพระอรหันตเถระ ออกทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนายังนานาประเทศ โดยแบ่งเป็น ๙ คณะ คณะที่ ๘ ไปยังสุวรรณภูมิประเทศ ( พม่า มอญ เขมร ลาว รามัญ ญวน ไปจรดแหลมมลายู หรือที่เรียกว่าอินโดจีน เป็นสุวรรณภูมิทั้งสิ้น )

    คณะธรรมฑูตคณะที่ ๘ ประกอบด้วย

    ๑. พระโสณเถระ
    ๒. พระอุตระเถระ
    ๓. พระฌานียะ
    ๔. พระภูริยะ
    ๕. พระมูนียะ

    สามเณรอิสิจน์ สามเณรคุณะ สามเณรนิตตย เขมกะอุบาสก อนีฆาอุบาสก อดุลลยอำมาตย์ และคุณหญิงอดุลยา พราหมณ์และนางพราหมณี ผู้คนอีก ๓๘ คน ได้มาพักที่วัดช้างค่อม ( นครศรีธรรมราช ) เมื่อวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย พ.ศ. ๒๓๕ ออกบิณฑบาตวันขึ้น ๑๕ ค่ำ แล้วเทศนาพรหมชาลสูตร และได้วางวิธีอุปสมบทญัตติจถกรรมวาจา โดยใช้อุทกเขปเสมาหรือเสมาน้ำและได้วางเพศชีสยาม โดยถือแบบเหล่าพระสากิยานีซึ่งเป็นต้นของพระภิกษณี โดยบวชหรือบรรพชาไม่มีเรือน ( อาคารสมา อนคาริย ปพพชชา ) ได้วางวิธีสวดปาติโมกข์ หรืออุโบสถกรรม ปวารณากรรม

    เมื่อพระเจ้าโลกละว้า (เจ้าผู้ครองแคว้น สุวรรณภูมิ ) รับสั่งให้มนขอมพิสณุขอมเฉย ขอมสอน ขอมเมือง สร้างวัดมหาธาตุ ท่านได้วางวิธีกำหนดนิมิตผูกขันธสีมา พ.ศ. ๒๓๘ เดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ

    ขณะอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ท่านได้สอนพระบวชใหม่ให้ท่องพระไตรปิฎกจบหลายองค์ แล้วจึงวางจึงวิธีสวด สาธยายโดยฝึกซ้อมให้คล่อง เมื่อคล่องแล้วจึงจะสัชฌากันจริง ๆ ท่านให้มนขอมปั้นพระพุทธรูปด้วยปูนขาวเป็นพระประธานในโรงพิธี เมื่อเรียบร้อยแล้วท่านวางวิธีกราบ สวดมนต์ ไหว้พระ เห็นดีแล้วจึงให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระอุโบสถ จึงเป็นธรรมเนียมสืบต่อมาท่านได้วางวิธีกฐิน และธุดงค์ คือเที่ยวจารึกไปในเมืองต่าง ๆ

    การสร้างพระพุทธรูปในสมัยดังกล่าวนี้ก็ล้วนเป็นสิ่งสมมติ พระพุทธรูปเป็นองค์สมมติ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์ก็เป็นเพียงสมมติสงฆ์ สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านใช้วงล้อเกวียนประดิษฐ์เป็นพระธรรมจักรแทนพระธรรม กับทีทิค ( มิ-คะ) คือสัตว์ประเภทกวาง ฟาน หรือเก้ง เป็นเครื่องหมายในสมัยสุวรรณภูมิ

    ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๙ พระโสณเถระกับพระเจ้าโลกละว้าราชา ได้ส่งพระภิกษุสยาม ๑๐ รูป มีพระญาณจรณะ (ทองดี) เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยสามเณร ๓ รูปอุบาสก อุบาสิกา ได้เรียนและศึกษา ณ กรุงปาตลีบุตร แคว้นมคธ นับเป็นเวลา ๕ ปี ลุปี พ.ศ. ๒๔๕ พระเจ้าโลกละว้าสิ้นพระชนม์ ตะวันทับฟ้า ราชบุตรขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า ตะวันอธิราชเจ้า พระโสณเถระอยู่ ณ แดนสุวรรณภูมิวางรากฐานพระธรรมวินัยในพระบวรพระพุทธศาสนา เป็นระยะเวลา ๒๙ ปี และนิพพานในปี พ.ศ. ๒๖๔

    ตามหลักฐานบันทึกนี้จะเห็นได้ว่า กล่าวเพียงพระโสณเถระ ไม่ได้กล่าวถึงพระอุตรเถระ เป็นปัญหาว่า บรมครูพระเทพโลกอุดรเป็นองค์ใดกันแน่ เพราะในสมัยปัจจุบันกล่าวถึงบรมครูพระเทพโลกอุดร ไม่มีใครรู้จักพระอุตรเถระ

    เรื่องราวเกี่ยวกับบรมครูพระเทพโลกอุดรมีมาช้านานแล้ว เริ่มตั้งแต่ยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุทยา และรัตนโกสินทร์ หลักฐานที่ปรากฏชัดเจนแต่ขาดการค้นคว้าอย่างจริงจัง รู้อยู่ในหมู่คนกลุ่มน้อย รู้ทางเจโตปริญาณบ้าง เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง ) และหลวงปู่คำคะนิง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า “ บรมครูพระเทพโลกอุดร คือพระอุตรเถระ” ผู้ที่เคยได้พบท่านได้ถามท่านว่า “ บรมครูพระเทพโลกอุดรท่านคือพระอุตรเถระใช่ไหม” ท่านไม่ปฎิเสธ

    ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ท่านมีอายุ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้วท่านอยู่ได้อย่างไรกัน จึงมีความเชื่อแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าท่านนิพพานไปนานแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าท่านยังไม่นิพพาน เพราะยังมีผู้พบเห็นท่านอยู่เสมอแม้กระทั่งทุกวันนี้

    บรมครูพระเทพโลกอุดร เป็นพระภิกษุลี้ลับ เร้นลับ และมหัศจรรย์อเนกประการ ลี้ลับ เร้นลับไปหมดทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่ชื่อของท่าน ที่อยู่อาศัยของท่าน และที่มาที่ไปของท่าน และที่มหัศจรรย์ก็คือ เรื่องราวของท่านทั้งหมด

    บรมครูพระเทพโลกอุดรคือใคร เป็นคำถามที่หาคำตอบที่สมบูรณ์ยังไม่ได้ เพราะ

    ท่านจะสอนลูกศิษย์เสมอว่า อดีต เป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ต้องนำมาคิด อนาคต เป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ไม่ควรไปสนใจให้เสียเวลา ปัจจุบัน สำคัญที่สุดให้เร่งศึกษา เริ่งปฎิบัติ

    เมื่อถามถึงชื่อท่าน ท่านก็จะไม่ตอบ แต่จะบอกว่าอย่ามัวไปเสียเวลากับชื่อ ให้เร่งปฎิบัติ เป็นการตอกย้ำว่า ช่วงเวลาของชีวิตนี้น้อยนักไม่เพียงพอแก่การปฎิบัติอยู่แล้วอย่ามัวไปเสียเวลากับการไม่ปฎิบัติอยู่เลย

    ชื่อที่เรียกท่านอยู่ทุกวันนี้ จึงเป็นชื่อสมมุติที่ท่านวังหน้า หรือสมเด็จวังหน้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) พระอนุชาในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ รัชการที่ ๑ แห่งปฐมบรมจักรรีวงศ์ เป็นผู้เรียกท่าน

    บางท่านบอกว่า บรมครูพระเทพโลกอุดรคือพระมหาโพธิศรีอุดม ซึ่งชื่อนี้พระมหากัสสปะ เป็นผู้ตั้งให้ บิดาท่านเป็นชาวเนปาล มารดาท่านเป็นชาวทิเบต

    บางท่านบอกว่า ท่านคือ ครูบาบุญทา จันทวังโส เกิดเมื่อเดือน ๗ เหนือปี พ.ศ. ๑๘๓๔ บิดาชื่อ คำฝั้น เป็นคนศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย มารดาชื่อ คำขยาย เป็นคนจังหวัดลำพูน มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๒๐ อายุ ๘๖ ปี อัฐิของท่านเก็บไว้ที่พระธาตุ (เจดีย์) วัดสันป่ายางหลวง อ. เมือง จ. ลำพูน

    บางท่านบอกว่าท่านคือ หลวงปู่คำแพง คำภาวนาถึงท่านใช้คำว่า “ โอทาตัง”

    ทางท่านบอกว่าท่านคือ หลวงปู่เดินหน คำภาวนาถึงท่านใช้คำว่า “อิเกสาโร อกาวิติ นโมพุทธายะ” เป็นคน อ. เดิมบางนางบวช จ. สุพรรณบุรี บิดาเป็นคนจีน มารดาเป็นคนไทย ท่านได้มรณภาพไปแล้ว เมื่อ ๖๐ กว่าปีก่อน สังขารของท่านอยู่ที่ถ่ำละว้า จ. กาญจนบุรี ในท่านั่งสมาธิ

    ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าท่านได้มรณภาพไปแล้ว เพราะไม่เชื่อว่าพระจะมีอายุยืนยาวหลายร้อยปี

    แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุดยอดแห่งพระภิกษุในโลกนี้ยังมรณภาพ

    เคยมีลูกศิษย์ของท่านถามท่านว่า ท่านอายุเท่าไรแล้ว ท่านได้กรุณาบอกลูกศิษย์ว่า ไม่ได้จำ จำได้แต่ว่า เมื่อตอนสร้างประปรางค์ลพบุรีนั้น ท่านได้มายืนดูเขาสร้างอยู่ ประกอบกับเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงมีผู้เชื่อว่าท่านมรณภาพแล้ว มีการเชิญดวงวิญญาณท่านประทับทรง ซึ่งมีหลายสำนักทรงอยู่ มีทั้งทรงจริง ทรงไม่จริง เป็นเรื่องของศรัทธา ท่านผู้อ่านต้องพิสูจน์เอาเอง เห็นจริงแล้วจึงค่อยเชื่อ อันเป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ต่อครับ

    กาลามสูตรของ
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมครู

    ๑. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตาม ๆ กันมา
    ๒. อย่าปลงเชื่อ ด้วยการถือสืบ ๆ กันมา
    ๓. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
    ๔. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
    ๕. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
    ๖. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
    ๗. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
    ๘. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว
    ๙. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
    ๑๐. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
    พิสูจน์ให้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วจึงเชื่อ

    โอวาทหลวงปู่เทพโลกอุดร

    การปฎิบัติธรรมทางด้านจิต จงเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของจิตทุกลมหายใจเข้าออกและทุกอิริยบท เว้นเสียแต่หลับ เมื่อรู้ทันจิตแล้ว ต้องรู้จักรักษาจิต คุ้มครองจิต จงดูจิตเคลื่อไหวเหมือนเราดูลิเกหรือละคร เราอย่าเข้าไปเล่นลิเกหรือละครด้วย เราเป็นเพียงผู้นั่งดู อย่าหวั่นไหวไปตามจิต จงดูจิตพฤติการณ์ของจิตเฉย ๆ ด้วยอุเบกขา จิตไม่มีตัวตน แต่สามารถกลิ้งกลอกล้อหรือยั่วเย้าให้เราหวั่นไหวดีใจและเสียใจได้ ฉะนั้นต้องนึกเสมอว่าจิตไม่มีตัวตน อย่ากลัวตจิต อย่ากลัวอารมณ์ เราหรือสติสัมปชัญญะต้องเก่งกว่าจิต

    ความนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ เป็นอาการของจิต ไม่ใช่ตัวจิต แต่เราเข้าใจว่าเป็นตัวจิตธรรมชาติคือผู้รู้อารมณ์ คิดปรุงแต่งแยกแยะไปตามเรื่องของมัน แต่แล้วมันต้องดับไปเข้าหลักเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนทนได้ยากเป็นทุกข์ และสลายไปไม่ใช่ตัวตน มันจะเกิดดับ ๆ อยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเรารู้ความจริงของจิตเช่นนี้ เราก็จะสงบไม่วุ่นวาย เราในที่นี้หมายถึงสติปัญญา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรม (สิ่งทั้งปวง ) เป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน

    นิมิตที่เกิดขึ้นขณะนั่งสมาธิมีอยู่ ๒ ประการ คือ ๑ . เกิดขึ้นเพราะเทพบันดาล คือเทวดาหรือพรหมแสดงภาพนิมิตและเสียงให้รู้เห็น ๒. นิมิตเกิดขึ้นเพราะอำนาจสมาธิเอง

    นิมิตจะเป็นประเภทใดก็ตาม ขอให้ผู้เจริญกรรมฐานจงเป็นผู้ใช้สติปัญญาให้รู้เท่าทันนิมิตที่เกิดขึ้นนั้นด้วยปัญญา อย่าเพิ่งหลงเเชื่อทันทีจะเป็นความงมงาย ให้ปล่อยวางนิมิตนั้นไปเสียอย่าไปสนใจให้เอาจิตทำความจดจ่ออยู่เฉพาะจิต

    เมื่อจิตสงบรวมตัว จิตถอนตัวออกมารับรู้นิมิตนั้นอีก หากปรากฎนิมิตอย่างนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ หลายครั้งแสดงว่านิมิตนั้นเป็นของจริงเชื่อถือได้ แต่อย่างไรก็ตามนิมิตที่มาปรากฏนี้อยู่ในขั้นโลกียสมาธิ นิมิตต่าง ๆ จึงเป็นความจริงน้อย แต่ไม่จริงเสียมาก จงมุ่งหน้าทำจิตให้สงบเป็นอัปนาสมาธิ อย่าสนใจนิมิต หากทำได้อย่างนี้ จิตจะสงบตั้งมั่น เข้าถึงระดับฌานจะเกิดผลคือสมาบัติสูงขึ้นตามลำดับ จิตจะมีพลังอำนาจอันมหาศาล ฤทธิ์เดชจะตามมาเองด้วยอำนาจของฌาน

    ธรรมะบางข้อของ บรมครูพระเทพโลกอุดร

    จึงได้ธรรมะของท่าน สรุปย่อ ๆ บางส่วนได้ดังนี้
    ๑. ธรรมะของท่านต้องเกิดจากการปฎิบัติเท่านั้น
    ๒. ต้องมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
    ๓ อยากรู้ธรรมะหรือคำสอนของท่านให้ดูจิตตนเอง
    ๔. ให้รักผู้อื่นเหมือนที่รักตน
    ๕. ให้ทำตัวเหมือนน้ำ

    - น้ำไปได้ทุกสถานที่ อยู่ในน้ำ ในอากาศ ในดิน
    - น้ำอยู่ได้ทุกสภาวะ เป็นไอน้ำ เป็นน้ำ เป็นน้ำแข็ง
    - น้ำให้ความชุ่มชื่น สดชื่น แก้กระหาย น้ำให้ชีวิต และทำลายชีวิต
    - น้ำให้ความความเย็น ให้ความร้อน
    - น้ำมีรูปร่างต่าง ๆ กันตามรูปร่างของภาชนะ
    - น้ำใช้ล้างความสกปรกให้สะอาด ฯลฯ

    นิพพานนัง ปรมัง สุขัง
    “ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นิพพานไม่มีทุกข์
    ไปถึงพระนิพพานแล้วไม่มีคำว่าตาย
    ไม่มีคำว่าเคลื่อน ไม่มีคำว่าไปไหน
    อยู่ที่พระนิพพาน เป็นสุข
    ไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย”

    พระคาถาบูชาบรมครูพระเทพโลกอุดร

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    โย อะริโย มะหาเถโร อะระหัง อะภิญญาธะโร
    ปะฎิสัมภิทัปปัตโต เตวิชโช พุทธะสาวะโก
    พะหู เมตตาทิวาสะโน มะหาเถรานุสาสะโก
    อะมะตัญเญวะ สุชีวะติ อะภินันที คหาวะนัง
    โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อะภิปูชิโต
    อิธะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย
    ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ
    ปะระมะสารีริกะธาตุ วะชิรัญจาปิวานิตัง
    โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโร
    อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ
    สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง วะเรนะ สุภาสิตัง
    โลกุตตะโร จะ มะหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต
    โลกกุตตะระคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
    มะหาเถรา นุภาเวนะ สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม

    (แปล ขอน้อบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง (๓ครั้ง)
    พระมหาเถระผู้เป็นอริยเจ้าองค์ เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา พุทธสาวกผู้ได้วิชชาสาม
    มีเมตตาต่อคนทั้งหลายเป็นวิหารธรรม พระมหาเถระผู้ชำนาญในการสั่งสอน ดำรงชีวิตอมตะ ยินดีในการอยู่ป่าคือถ้ำ
    พระมหาเถระองค์นั้นมีนามว่า โลกอุดร อันพวกเราบูชาอย่างยิ่ง เพราะอาศัยในคุณธรรมในองค์ท่าน ชักชวนพวกเราประกอบกุศลทั้งหลาย
    ท่านให้ความรักพวกเราเหมือนบุตร แสดงมรรคและผลเท่านั้น พระธาตุของท่านส่องประกายดังเพชร
    พระมหาเถระอุบัติขึ้นในโลก และทำประโยชน์โดยส่วนเดียวด้วย นับเป็นบุญลาภของพวกเรา อันหาประมาณมิได้
    พวกเราจักกระทำตามคำสั่งสอนของท่านอันเป็นยอดสุภาษิต อนึ่งพระมหาเถระนามว่าโลกอุดร เป็นที่เคารพบูชาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    ข้าพเจ้าจักกราบไหว้บูชาคุณของพระอุตตระตลอดกาลทุกเมื่อ ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาเถระ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อเทอญ

    ฉบับย่อ

    นะโม ๓ จบ

    โลกกุตตะโร จะ มะหาเถโร
    อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
    เมตตาลาโภ นโสมิยะ
    อะหังพุทโธฯ

    ภาวนา ๓ จบ ๗ จบ หรือ ๙ จบ เช้า-เย็น ตื่นนอน และก่อนนอน

    พระคาถาบูชาบรมครูเทพโลกอุดร

    นะโม ๓ จบ

    อุตะเร อะริโยนามะ วันทิตาเตจะ อัมเหหิ
    สักกาเรหิ จะปูชิตา เอเตสัง อานุภาเวนะ
    สัพพะ โสตถี ภะวันตุโน
    เมตตา ลาโภ นะโส มิยะ อะหะ พุทโธ
    เมตตา ลาโภ นะโส ทะยะ อะหะ พุทโธ
    นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ จะภะลาโภ
    นิโสทะโย อะหะพุทโธ นะโมพุทธายะ
    อิตติถะลาโภ เอกลาโภ ชะโยนิจจัง

    พระคาถาบูชาบรมครูเทพโลกอุดร

    (อธิษฐานฤทธิ์) นะโม ๓ จบ

    อะอุมะ พุทโธ นะโมพุทธายะ
    นะมะพะธะ รัตตะนะตะยา นุภาเวนะ
    สะทา โสตถี ภะวันตุเม
    อิทธิ อิทธิ ฤทธิ ฤทธิ สิทธิ สิทธิ
    ชัยยะ ชัยยะ ลาภะ ลาภะ
    อุตระเรนะ
    พุทธะ นิมิตตัง อิติ
    ธัมมะ นิมิตตัง อิติ
    สังฆะ นิมิตตัง อิติ

    (ตั้งจิตอธิษฐานตามความปราถนา)

    พระคาถาขอพบบรมครูพระเทพโลกอุดร

    นะโม ๓ จบ

    “ โย อะริโย มะหาเถโร นามะ อุตะโร
    จะอำมะเหหิ ปูชิตา เอเตนะ ชะยะมังคะลัง”

    ท่องวันละ ๓ จบก่อนนอนเป็นเวลา ๑๑ วันติดต่อกัน เมื่อครบแล้ว รุ่งเช้าวันที่ ๑๒ ให้จัดอาหารเจไปรอใส่บาตรที่สถานอันเหมาะสม เช่น หน้าบ้านของตัวเราก็ได้

    ขอเรียนว่าอาจจะไม่พบเห็นทุกคน แต่ให้ทำใหม่ได้อีกใน ๖ เดือนต่อไป หากมีความนับถือ คือศรัทธาจริง ก็คงจะพบในครั้งใดครั้งหนึ่งแน่นอน คาถาบทนี้อย่างน้อย ก็เคยมีคนได้พบบรมครูพระเทพโลกอุดรมาแล้ว ก่อนจะท่องให้จัดเครื่องบูชาเสียก่อน คือ

    ๑. ธูป ๙ ดอก ๒. เทียน ๙ เล่ม ๓. ดอกไม้สีขาว ๙ ดอก ผ้าขาวหรือกระดาษขาวเท่าฝ่ามือ ๙ ผืน / แผ่น ใส่พานหรือถาดไว้ในที่สูงหรือหน้าที่บูชาพระ ( จัดครั้งเดียวต่อพิธี ๑๑ วัน ที่ทำพิธี ๑๑ วัน ที่ทำพิธีแต่ละครั้ง ) จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดร เพราะท่านไม่มาในร่างจริงเสมอไป ก็ขอให้สังเกตที่ข้อเท้า คือเท้ายาวผิดปกติ

    บางคนก็ได้เห็นท่านในรูปตัวจริงก็มี บางคนเห็นเป็นพระหนุ่มรูปงาม งามเหนือมนุษย์ทั่วไป

    ท่านบอกว่า ผู้ใดนับถือศรัทธาท่านจริง และเวลาภาวนาทำใจเหมือนเด็กแรกเกิดได้ ผู้นั้นได้พบกับท่านแน่นอน

    พระคาถาบางบท
    เกี่ยวกับบรมครูพระเทพโลกอุดม

    ยอดพระพุทธคุณสำหรับยุคกึ่งพุทธกาล

    ท่านที่สวดพระคาถานี้ตั้งแต่ต้นจนจบคำอธิษฐานเป็นประจำ จะสามารถดำรงชีวิตผ่านพ้นภัยพิบัติต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้ ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ กราบพระ ๓ ครั้ง

    บทนี้เรียกว่า อิติปิโสธงชัย

    นะโม ๓ จบ

    พุทธัง ชีวิตัง ยาวะนิพานัง สะระนัง คัจฉามิ
    อิติปิโส ภะคะวา อะระหังสัมมา สัมพุทโธ วิชชา จะระณะสัมปันโน สุขะโต โลกะวิทู
    อะนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
    ธัมมัง ชีวิตัง ยาวะนิพานัง สะระนัง คัจฉามิ
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก
    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ
    สังฆัง ชีวิตัง ยาวะนิพานัง สะระนัง คัจฉามิ
    สุปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฎิปันโน
    ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ
    อัฏฐะ ปุริสะปุคคลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชลีกะระณีโย
    อนุตตะรัง ปุญญังเขตตัง โลกัสสาติ

    บทนี้เรียกว่า อิติปิโสเต็ม

    อิติ ปิโส ภะคะวา อะระหัง
    อิติ ปิโส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ
    อิติ ปิโส ภะคะวา วิชชาจะระณะสัมปันโน
    อิติ ปิโส ภะคะวา สุขะโต
    อิติ ปิโส ภะคะวา โลกะวิทู
    อิติ ปิโส ภะคะวา อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาริถิ
    อิติ ปิโส ภะคะวา สัตถา เทวะมะนุสสานัง
    อิติ ปิโส ภะคะวา พุทโธ ภะคะวาติ

    บทนี้เรียกท้าวมหาพรหมทั้งสี่
    พระองค์ชั้นจะตุม

    ปรัตถิมัสมิง ทิสาภาเค สันติ ภูตา มะหิทธิกา เตปิ ตมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
    ทักขิณัสมิง ทิสาภาเค สันติ เทวา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
    ปัจฉิมัสมิง ทิสาภาเค สันติ คานา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
    อุตตะรัสมิง ทิสาภาเค สันติ ยักขา มะหิทธิกา เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
    ปุริมะทิสัง ธะตะรัฏโฐ ทักขิเถนะ วิรุพหะโก ปัจฉิเมนะ วิรูปักโข กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง
    จัตตาโรเต มะหาราชา โถกะปาถา ยะสัสสิโน
    เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ
    อากาสัฏฐา จะ กุมมัฏฐา เทวา นาคา ยักขา มะหิทธิกา
    เตปิ ตุมเห อะนุรักขันตุ อาโรคะเยนะ สุเขนะ จะ

    ตั้งจิตอธิษฐาน

    ด้วยคุณธรรมอันสูงส่งประเสริฐสุดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เกล้ากระผม/ดิฉันได้กล่าวสรรเสริญสวดอิปิโสธงชัย อิติปิโสเต็ม อัญเชิญท่านท้าวมหาพรหมทั้งสี่ทิศสี่พระองค์ดังที่พระองค์ ดังที่กล่าวสรรเสริฐด้วยจิตอันบริสุทธิ์หมดจดผ่องใสมานี้ เกล้ากระผม/ดิฉันขอนอบน้อมสักการะคาราวะเทอดทูนไว้ด้วยเศียรเกล้าเหนือเกล้าทุกอิริยาบถด้วยเทอญ

    ดังกล่าวสรรเสริฐมานี้ด้วยความนอบน้อมของเกล้ากระผม/ดิฉันในขณะนี้มัน ขอจงโปรดประทานอำนวยพรให้เกล้ากระผม/ดิฉันให้ปราศจากอุปสรรค อันตราย ภัยพิบัติทั้งหลาย โรคาพยาธิทั้งหลาย ภัยจากเหล่าอมนุษย์ อลัชชี คุณไสย มนต์ดำอาถรรพ์ทั้งหลายที่จะบังเกิดขึ้นมาทั้งในปันจุบันและอนาคตข้างหน้าจงอันตรธานสูญหายไปโดยสิ้นเชิงด้วยพลังเดชอำนาจบารมีแห่งคุณธรรม เพื่อจะได้มีชีวิตดำรงอยู่เพื่อจะได้ประกอบภารกิจที่เป็นอยู่ให้เจริญก้าวหน้ายืนยาวนาน เพื่อจะได้บำเพ็ญบุญกุศล เป็นการสนองตอบแทนผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้วให้ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล และเพื่อจะได้บำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามยืนยาวนาน

    ดังที่กล่าวสรรเสริญมานี้นั้นขอจงโปรดประทานอำนวยพร พละกำลังเดช อำนาจบารมีแก่เกล้ากระผม/ดิฉันดังที่ตั้งประณิธานสัจจะอธิษฐานกล่าวสรรเสริญมา ณ บัดนี้ด้วยเทอญ และจะดำรินึกคิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ขอให้ช่วยเกื้อกูลให้สำเร็จ อย่าได้มีขัดข้อง ขอจงมีแต่ความอุดมสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่รู้จักความทุกข์ยากขัดสนทุกภพทุกชาติ

    ขอให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม ลึกซึ้ง คมคาย แก้ไขสถานการณ์ได้ทุกเมื่อดังที่ตั้งปณิธานกล่าวสรรเสริญมานี้ ขอเดชะอานุภาพอันสูงส่งประเสริญสุดโปรดประทานอำนวยพรให้เป็นพละกำลังเดช อำนาจ บารมี เป็นเกราะแก้วทั้งเก้าชั้นคุ้มภัยแก่เกล้ากระผม/ดิฉัน ณ บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ

    และบุญกุศลอีกส่วนหนึ่ง เกล้ากระผม/ดิฉันขอนอบน้อมอธิษฐานนำส่งให้แก่บรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย บิดา มารดา พี่ ป้าน้าอา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกท่าน ทุกยุค ทุกกาล และขออุทิศให้แก่บุรพกษัตราธิราชเจ้าทุก ๆ พระองค์ ตั้งแต่สร้างชาติไทยเป็นต้นมาาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน ตลอดถึงพระมเหสีและทายาททุก ๆ พระองค์ และอุทิศ ให้แก่ท่านแม่ทัพนายกองทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่สูงสุดจนต่ำสุดทุกท่าน ทุกชั้น ทุกระดับ ทุกยุคทุกกาล ขออุทิศให้แก่พระสยามเทวาธิราช ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ (พระจันทร์ พระยม พระวรุณ พระกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณ) พระชัยมงคลเจ้ากรุงพาลี พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทางทุกของแห่งในปัจจุบันสรรพสัตว์ทั้งหลายทุกดวงจิตวิญญาณหากพระองค์ใดท่านใดขาดตกบกพร่องสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ขอให้ผลของกุศลที่เกล้ากระผม/ดิฉัน ได้ตั้งจิตอธิษฐานอุทิศให้นี้ จะเป็นของทิพย์ให้แก่ทุก ๆ พระองค์ ทุก ๆ ท่านให้สมบูรณ์บริบูรณ์ตามที่จิตปรารถนาตลอดทั้งเสื้อผ้าอาหารจงครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์อยู่ทุกเมื่อ

    และขอได้โปรดประทานพรให้เกล้ากระผม/ดิฉันมีอายุยืนยาวนาน ไม่รู้จักความทุกข์ยากขัดสนเพื่อจะได้ดำรงคงอยู่ เพื่อจะได้ใช้เวลาสร้างบุญ สร้างกุศล มหากุศล และอุทิศถวายเป็นสนองตอบแทนผู้มีพระคุณ และเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามยืนยาวนานสืบไป ไม่ว่าเกล้ากระผม/ดิฉันจะประกอบกิขการงานสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขอจงช่วยเกื้อหนุนอยู่ทุกเมื่อ อย่าให้เหล่าอมนุษย์ อลัชชี คุณไสย มนต์ดำ อาถรรพ์และภัยพิบัติต่าง ๆ มาแผ้วพานเกล้ากระผม/ดิฉันได้เลย และผลของกุศลมหาศาลอีกส่วนหนึ่งจงเป็นกองการกุศล เป็นพื้นฐานบารมีทั้งปัจจุบันและอนาคตให้แก่เกล้ากระผม/ดิฉันจะเกิดภพใดชาติใด จงเป็นปัจจัยนำส่งให้พ้นทุกข์ไปทุกภพทุกชาติ จนถึงพระอนุตตะระสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยเทอญ

    คัดลอกมาจากเวปลานพุทธศาสนา... [​IMG] [​IMG] [​IMG] <STYLE type=text/css><!--td.attachrow { font: normal 11px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : ; border-color : ; }td.attachheader { font: normal 11px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : ; border-color : ; background-color: #D1D7DC; }table.attachtable { font: normal 12px Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color : ; border-color : ; border-collapse : collapse; }--></STYLE>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-ngern_hist.htm
    [​IMG]
    หลวงพ่อเงิน
    วัดหิรัญญาราม (วัดวังตะโก) บางคลาน จ.พิจิตร
    คัดลอกจาก http://www.tumnan.com/father_nerng/history.html
    หลวงพ่อเงิน ท่านเกิดเมื่อ วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๓ ตรงกับวันศุกร์ เดือน ๑๐ ปีฉลู บิดาชื่อ อู๋ มารดาชื่อ ฟัก ท่านเกิดที่บ้านบางคลาน อำเภอโพธิ์ทะเล จังหวัดพิจิตร บิดาเป็นชาวบางคลาน มารดาเป็นชาวบ้านแสนตอ อำเภอขาณุวรลักษณ์บุรี (แสนตอ) จังหวัดกำแพงเพชร
    ตั้งแต่อายุ ๓ ขวบ ได้ไปอยู่กับลุง ชื่อนายช่วง ที่กรุงเทพฯ และได้เข้าเรียนที่ บ้านตองปุ (วัดชนะสงคราม) จังหวัดพระนคร เมื่ออายุได้ ๑๒ (พ.ศ. 2365) ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรได้ศึกษาธรรมวินัย เวทย์วิทยาการต่างๆ จนแตกฉาน พออายุใกล้อุปสมบทท่านได้สึกจากสามเณรและหลังจาก ได้อุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดตองปุ (วัดชนะสงคราม) ได้ร่ำเรียนวิปัสสนาอยู่ ๓ พรรษา แล้วมาอยู่วัดคงคาราม (วัดบางคลานใต้) ได้ ๑ พรรษา ขณะนั้นหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ให้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ ท่านเป็นพระเรืองวิชา ชอบเล่นแร่ แปลธาตุ แต่หลวงพ่อเงินท่านเคร่ง ธรรมวินัย ชอบความสงบ ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่หมู่บ้านวังตะโก ลึกเข้าไปทางลำน้ำเก่า
    กล่าวกันว่า....เดิมที่ท่านจากวัดคงคารามไปแล้ว ก็มาปลูกกุฏิด้วยไม่ไผ่มุงหลังคาด้วยแฝกอยู่องค์เดียว และพร้อมกันนั้นได้นำกิ่งโพธิ์มาปักไว้ที่ริมตลิ่ง (หน้าพระอุโบสถ) แล้วอธิษฐานว่าถ้าท้องถิ่นนี้จะเจริญรุ่งเรืองเป็นอารามต่อไป ก็ขอให้โพธิ์ต้นนี้งอกงามแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นนิมิตดีต่อไปด้วย และเหตุการณ์ก็เป็นจริงดังอธิษฐานไว้ ซึ่งต่อมาพื้นที่แถบนั้นก็ได้ปรากฏเป็น "วัดวังตะโก" เกิดขึ้น พระอารามแห่งนี้ "หลวงพ่อเงิน" ได้เป็นผู้สร้างไว้เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2377 ต่อมาวัดวังตะโก หรือวัดหิรัญญารามก็เจริญอย่างรวดเร็ว มีผู้คนเคารพนับถือและถวายตัวเป็นศิษย์ ขอมาฟังธรรม ขอเครื่องรางของขลัง และขอให้หลวงพ่อช่วยรักษาโรคให้ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์และสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณฝ่ายวิปัสสนา
    "หลวงพ่อเงิน" นับเป็นพระเกจิอาจารย์ ผู้เลื่องชื่อ ด้านไสยเวทเยี่ยมยอดที่สุดของเมืองพิจิตร จนเมื่อมาอยู่วัดวังตะโดและได้พัฒนาวัดจนรุ่งเรือง เป็นที่รู้จักกันไปทั่วว่า
    หลวงพ่อเงินสามารถรู้ผู้มาเยือนด้วยญาณวิเศษได้อย่างมหัศจรรย์ และยังเป็นหมอเชี่ยวชาญในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ชาวบ้านได้อย่างชะงัดอีกด้วย เคยมีผู้ไปลองดีกับท่าน ท่านก็แอ่นอกให้ยิง แต่กระสุนไม่ยอมออกจากลำกล้อง ความศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงอัจฉริยะของ "หลวงพ่อเงิน" บางคลาน นับว่าร่ำลือกันไปไกลมาก จนถึงขนาดเสด็จในกรม "กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์" ก็ยังเสด็จไปฝากตัวเป็นศิษย์ด้วย
    ผลงานที่สำคัญ
    ๑. ด้านการก่อสร้าง หลวงพ่อมักเป็นธุระในเรื่องการสร้างถาวรวัตถุ ท่านเป็นนักก่อสร้าง ท่านควบคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง ท่านรวบรวมปัจจัยได้จากการสร้างวัตถุมงคล เงินบริจาค สิ่งที่ท่านชอบสร้างอีกอย่างหนึ่งนอกจากโบสถ์ วิหาร ศาลา ก็คือ ศาลาพักร้อนเพื่อคนสัญจรไปมา
    ๒. ด้านการรักษาโรคด้วยวิชาแพทย์แผนโบราณ หลวงพ่อเงิน เป็นหมอแผนโบราณ ทางด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยยาสมุนไพรหรือบางครั้งก็ใช้น้ำมนต์ ซึ่งก็ให้ผลในด้านกำลังใจ ปัจจุบันยังมีตำรายาและสมุดข่อย ของท่านที่เก็บรักษาไว้ที่วัดบางคลาน
    ๓. เป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงด้านวิปัสสนา เป็นศิษย์รุ่นเดียวกันกับหลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ซึ่งท่านได้ แนะนำให้กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้มาเรียนวิชาทางวิปัสสนากับหลวงพ่อ รวมทั้งสมเด็จพระสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็เสด็จมาประทับที่วัดวังตะโก อยู่หลายวัน เพื่อเรียนทางด้านวิปัสสนา
    ๔. พระเครื่องหรือพระพิมพ์ หลวงพ่อไม่นิยมสร้างพระเครื่อง เพราะท่านบอกว่า คงกระพันชาตรีเป็นเรื่องเจ็บตัว พระเครื่องรุ่นที่ หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่จึงมีน้อย และมีพระคุณานุภาพทรงคุณทางแคล้วคลาดคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม พระเครื่องรุ่นที่ท่านจัดสร้างมี
    - หลวงพ่อเงินชนิดกลม (ลอยองค์ มี ๒ ชนิด คือ พิมพ์ขี้ตาและพิมพ์นิยม)
    - หลวงพ่อเงินชนิดแบนหรือสามเหลี่ยมหน้าจั่ว
    - หลวงพ่อเงินชนิดสามเหลี่ยมหน้าจั่วไข่ปลา
    - พระเจ้าห้าพระองค์
    ท่านมีโรคประจำตัว คือโรคริดสีดวงทวาร ท่านรักษาตัวเองบางครั้งก็หาย บางครั้ง ก็กลับเป็นอีก ท่านเคยกล่าวว่า "คนอื่นร้อยพันรักษาให้หาย แต่ผงเข้าตาตัวเองกลับรักษาไม่ได้" ท่านมรณภาพเมื่อวันศุกร์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะแม ตรงกับ พ.ศ.๒๔๖๒ อายุได้ ๑๐๙ ปี
    <!--BEGIN WEB STAT CODE----><SCRIPT language=javascript1.1> page="ประวัติ หลวงพ่อเงิน บางคลาน";</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.1 src="http://hits.truehits.in.th/data/i0017685.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://tracker.truehits.in.th/func/th_donate_1.4.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://tracker.truehits.in.th/func/th_common_1.4.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.2>sv=1.2;ss=screen.width+'*'+screen.height;sc=(bn=='MSIE')?screen.colorDepth:screen.pixelDepth;if(sc==udf){sc='na';}</SCRIPT><SCRIPT language=javascript1.3>sv=1.3; </SCRIPT>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-ngern_hist-01.htm

    กรมหลวงชุมพร พบ หลวงพ่อเงิน
    [​IMG]
    จากกระทู้ในหัวข้อ บทความสาระน่ารู้ เวป uamulet.com โพสท์โดย คุณ Pan เมื่อ 30/5/2546
    http://www.uamulet.com/articleAmuletBoardDetail.asp?qid=2
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BACKGROUND: #fffff5; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" bgColor=#fffff5 border=1><TBODY><TR><TD style="BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: maroon 1.5pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: maroon 1.5pt solid" vAlign=top height="100%">ผมได้มาจากในเวป ของหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก ถ้าใครรับหนังสือพิมพ์ประจำก็คงได้อ่านกันแล้ว ที่นำมาลงเพราะเห็นว่าเขียนบรรยายรายละเอียดได้แบบที่ไม่เคยอ่านมาก่อน น่าสนใจดีคับ อ่านแล้วมันส์ดี ทำให้รู้ว่าความศักดิ์สิทธ์ของหลวงพ่อเงินนั้นสุดบรรยายจริงๆ สำหรับพี่ๆเพื่อนๆที่ไม่ได้อ่านก็สามารถอ่านได้ หรือ เข้าไปที่ http://www.komchadluek.com/ komchadluek /phra /2003 /may /2802.php ก็ได้เหมือนกันคับ
    จากคุณ Pan [ 30/5/2546 - 23:03:00 ]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เกียรติคุณของพระองค์ท่านไพศาลขนาดไหน เห็นจะไม่ต้องบรรยายความ พระอาจารย์ของพระองค์ยิ่งยงขนาดไหนก็เห็นจะไม่ต้องพรรณนาอีกเหมือนกัน แต่ก็อดที่จะกล่าวถึงมิได้ พระเกจิอาจารย์องค์สำคัญๆ ในอดีตนั้น ล้วนแล้วแต่ได้เคยมีความสัมพันธ์กับพระองค์ทั้งสิ้น เป็นต้นว่า หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติฯ จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก ธนบุรี และยังมีอีกหลายองค์ที่เสด็จ ในกรมได้เสด็จไป ทรงพบและร่ำเรียน ทางเวทมนตร์คาถา และไสยเวทย์ด้วย
    แต่โอกาสนี้จะขอกล่าวถึง "เมื่อเสด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จไป ทรงพบกับหลวงพ่อเงิน บางคลาน โพธิ์ทะเล จ.พิจิตร" ตามบันทึกความด้วยสมองของผู้ตามเสด็จไปในครั้งนั้น คือคนสนิทของพระองค์ที่มีชื่อว่า "นายหลิ่ม"
    ครั้นเมื่อ...กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จไปยังวัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท อยู่เสมอๆ ด้วยความศรัทธามั่นต่อหลวงพ่อศุข เกจิอาจารย์ ผู้ปราดเปรื่องเรื่องเวทมนตร์คาถาอาคมนั้น พระองค์ได้พบกับความมหัศจรรย์ทางพุทธเวทย์เป็นที่ประจักษ์แก่สายตานับครั้งไม่ถ้วน จึงยกให้หลวงพ่อศุข เป็นอาจารย์ของพระองค์ ได้รับการถ่ายทอดวิชานานัปการ อันประมาณมิได้จากหลวงพ่อเป็นถ้วนทั่ว ฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ มีปรีชาสามารถ ปรากฏตามเรื่องราวของพระองค์กับหลวงพ่อศุข ดังที่ได้เคยมีผู้รจนาไว้จำนวนมาก เป็นที่ทราบความกันดีแล้วๆ นั้น จึงมิขอกล่าวถึงอีก แต่จะกล่าวถึงครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อศุขได้ทูลเสด็จในกรมมีความว่า
    "ถ้าจะดูของดีๆ แปลกๆ นอกเหนือจากของฉันแล้ว ก็เห็นจะมีเกลอกันกับฉันอีกองค์หนึ่ง เคยศึกษามาจากอาจารย์เดียวกัน คือท่านเงิน อยู่บางคลาน โพธิ์ทะเล เมืองพิจิตร หากจะไปหาก็จงบอกว่า ฉันแนะทางมาเถิด"
    เมื่อเสด็จในกรมได้ทราบดังนั้นแล้ว จึงมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเดินทางไปยังเมืองพิจิตร เพราะพระองค์ชอบ ในการแสวงหาบรรดาเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาอาคมขลังอยู่เป็นทุนแล้ว และเมื่อสบโอกาสอันเหมาะควรแล้ว จึงได้ชวนกันกับนายหลิ่มคนสนิท เดินทางไปเมืองพิจิตรทันที
    พิจิตร สมัยนั้นเส้นทางไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ พิจิตรเป็นเพียงเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ซึ่งรายรอบไปด้วยป่าทึบโดยทั่วไป ระยะทางจากเมือง ไปยังหมู่บ้านรอบๆ พิจิตร กางกั้นด้วยป่าทึบบ้างป่าโปร่งบ้าง ห้วยละหานลำธารคุ้งคดเลาะลัดอยู่ทั่วๆ ไป การเดินทางจึงลำบาก ส่วนใหญ่นิยมใช้ช้างเดินทางเป็นหลัก เพราะจะต้องอาศัยความแข็งแกร่งของช้างเท่านั้น ที่จะผ่านไพรแบบนั้นไปได้
    โพธิ์ทะเล เป็นตำบลที่ห่างเมืองพิจิตรไปทางทิศใต้ใกล้เขตชุมแสง นครสวรรค์ จึงถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้เป็นส่วนใหญ่ สำหรับ บางคลาน อันเป็นที่ตั้งของวัดบางคลานก็เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ริมแม่น้ำยม ชิดเขตชุมแสง ซึ่งเต็มไปด้วยป่าโปร่งพันธุ์ใหญ่ๆ เกือบทั้งสิ้น รายรอบไว้ทุกด้าน
    เสด็จในกรมฯ กับคนสนิทคือ นายหลิ่ม ใช้ช้างเป็นพาหนะเดินทางจากเมืองนครสวรรค์ ขึ้นไปในฤดูแล้งของปีหนึ่ง ผ่านออกไปทางป่าทึบเมืองชุมแสง ลัดเลาะไปปากเกยชัยแหล่งชุกชุมด้วยจระเข้ ป่าเปลี่ยว เข้าเขตป่าลึกของชุมแสง
    ขณะที่กำลังเดินทางอยู่ วันหนึ่งตอนพระอาทิตย์กำลังพลบค่ำ และถึงเวลาพักช้าง เสด็จกรมหลวงฯ และนายหลิ่มได้ทำเลค้างแรมได้แล้วจึงเตรียมจะจัดทำอาหารนั้นเอง
    ก็ปรากฏร่างชายแก่ในชุดห่มขาว แต่คล่ำไปด้วย ความเก่าและขาดวิ่น หนวดเครายาวรุงรังนั่งสงบนิ่ง อยู่ในซุ้มไม้ใกล้กันนั้น
    ดวงตาหลับสนิท ริมฝีปากขมุบขมิบ บริกรรมพระเวทอยู่ตลอดเวลา เสด็จในกรม จึงตรงเข้าไปหา พร้อมกับนายหลิ่มคนสนิท ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้ซุ้มไม้ อันร่มครึ้มนั้นชายแก่ก็ลืมตาขึ้น
    เสด็จในกรม ทราบได้ดีว่าเป็นผู้ทรงศีล จึงทำความเคารพและ ถามว่าเป็นใคร ก็ได้รับคำตอบว่าชื่อ เหมือน เที่ยวหาความสงบอยู่ตามป่าเขตนี้ เพื่อบำเพ็ญสมาธิ หลบหนีจากผู้คนหาความวิเวกอยู่ตามลำพัง
    หลังจากสนทนากันจนเป็นที่พอใจแล้ว นายหลิ่ม จึงชวนเสด็จในกรมให้กลับไปจัดการเรื่องที่พักและอาหารเสียก่อน สักครู่ เสด็จในกรมได้หันไปมองทางชายแก่นั้น น่าประหลาดใจ ไม่พบชายแก่ชื่อเหมือนคนนั้นเสียแล้ว จึงให้นายหลิ่มเดินตามหาในละแวกนั้นก็ไม่พบ เป็นที่แปลกมากในเวลาเพียงไม่นานนักที่ชายแก่ขนาดนั้น จะหลบเร้นหายไปได้อย่างรวดเร็ว นับเป็นเรื่องปาฏิหาริย์โดยแท้
    ลัดเลาะตามไพรทึบ จนถึงชายฝั่งแม่น้ำยม คนนำทางพาเลียบชายฝั่งแม่น้ำยมขึ้นไปทางเหนือ ฤดูแล้งน้ำในแม่น้ำยมขอดแห้ง สักครู่ก็พบวัดเก่าแก่อยู่ฝั่งตรงข้าม คนนำทางบอกว่า นั่นคือ วัดบางคลาน ที่ต้องการมาพบ หลวงพ่อเงิน
    เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ได้ข้ามแม่น้ำยม ซึ่งมีน้ำไม่มากนัก ช้างเดินข้ามสบาย สอบถามหา หลวงพ่อเงิน ได้ความว่า ออกป่าไปได้สองวันแล้ว ไม่ทราบว่าจะกลับมาเมื่อใด บางทีก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ บางทีก็เจ็ดวัน พระในวัดรูปหนึ่งได้บอกกับเสด็จในกรมว่า ก่อนหน้าที่หลวงพ่อเงินจะออกไปป่าได้พูดเปรยขึ้นกับพระหลายรูปว่า
    "อีกสองวันจะมีคนดี เขามาหาฉัน เห็นทีจะอยู่ไม่ได้แน่ ต้องออกป่าสักพัก" แล้วท่านก็ออกป่าในเย็นวันนั้น
    เสด็จในกรมทรงแปลกพระทัยมาก ครั้นจะคอยอยู่ก็เกรงว่าจะไม่พบ และไม่ทราบว่านานเท่าใดหลวงพ่อจึงจะออกจากป่า จึงตัดสินพระทัยคอยอยู่สองคืน แล้วจึงกลับไปยังนครสวรรค์
    ขณะเดินมาถึงกลางทาง ได้พบกับชายแก่ที่ชื่อเหมือนอีก เสด็จในกรมอยู่บนหลังช้างได้เห็น ชายแก่ผู้นั้นเดินอยู่กลางทุ่งหญ้าไกลๆ จำได้ถนัด เพราะหลังคุ้มและใส่ชุดขาวเก่าคร่ำคร่าขาดวิ่น จึงเร่งช้างให้เข้าไปใกล้โดยเร็ว และทันใดนั้นเอง ชายแก่ก็ลับหายไปในทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เสด็จในกรมจะนั่งช้าง เดินหาจนทั่วบริเวณก็หาพบไม่ ได้ทอดพระทัยและตรัสกับนายหลิ่มว่า เป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน มาพิจิตรคราวนี้ต้องการ พบใครก็ไม่พบ
    เสด็จในกรมพักอยู่ที่นครสวรรค์ได้ ๑๐ วัน ตั้งใจจะกลับกรุงเทพฯ แต่ลังเลพระทัย จึงชวนนายหลิ่มว่า ลองขึ้นไปพิจิตรใหม่อีกครั้ง ก่อนออกเดินทางเสด็จในกรมให้นายหลิ่มหาซื้อ เสื้อคอจีนหนึ่งตัว ไม้คานหนึ่งอัน กางเกงจีนหนึ่งตัว สาแหรกและเข่งสองชุด หมวกกุ้ยเล้ยหนึ่งใบ แล้วจึงออกเดินทางด้วยช้างกับคนนำทาง ตรงไป วัดบางคลาน อีกครั้งหนึ่ง
    ระหว่างทางได้ไปพบ จระเข้เผือกขนาดใหญ่ นอนขวางลำน้ำอยู่ที่ปากเกยชัย เสด็จในกรมให้นายหลิ่มเอาขันตักน้ำมาทำน้ำมนต์ แล้วทรงปลุกเสกร่ายพระเวทย์บริกรรมทำน้ำมนต์อยู่เป็นเวลานาน แล้วเทน้ำมนต์ลงไปในน้ำ ซึ่งจระเข้นอนขวางทางอยู่ ทันทีที่น้ำมนต์เทออกจากขัน กระทบผิวน้ำ จระเข้เผือก ที่นอนสงบนิ่งอยู่ ก็ฟาดหางไปมา แล้วดำน้ำหายไปทันที เหลือแต่พรายน้ำวนเป็นวงกลมอยู่เบื้องหน้าเสด็จในกรม
    จากนั้นเสด็จในกรม จึงได้เดินทางต่อไป จนลุถึงริมฝั่งแม่น้ำยม ขณะนั่งพักช้างปล่อยช้างกินหญ้ากินน้ำอยู่นั่นเอง ก็เหลือบไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ ใกล้กันนั้นเห็นชายแก่ชื่อเหมือนที่พบกันครั้งก่อนนั่งหลับตาสงบนิ่งอยู่ เสด็จในกรมจึงรีบตรงเข้าไปแสดงความเคารพ
    ผู้เฒ่าเหมือนลืมตาขึ้น แล้วบอกว่า "พรุ่งนี้เข้าไปหาท่านจึงจะพบ"
    เสด็จในกรมนั่งฟังโดยไม่ได้กล่าวอะไร ผู้เฒ่าเหมือนก็เอ่ยขึ้นอีกว่า "หลวงพ่อท่านไม่ชอบเจ้าชอบนาย"
    เสด็จในกรมนั่งเงียบฟังเฉยอยู่ ผู้เฒ่าเหมือนได้ล้วงลงไปในย่าม แล้วหยิบแหวนทองเหลืองออกมาจากย่าม แล้วส่งให้เสด็จในกรมแล้วพูดว่า
    "เก็บไว้ให้จงดี ฉันทำเตรียมไว้แต่ครั้งก่อน แต่ยังเป็นยามไม่เหมาะ จึงให้ไม่ได้"
    เสด็จในกรมรับแหวนจากมือผู้เฒ่า แล้วก้มลงพิจารณาแหวนนั้น เป็นแหวนทองเหลืองอมดำออกสีคล้ำๆ ตรงกลางแหวนมีเหล็กแร่สีดำ เป็นมันฝังอยู่เม็ดเล็กๆ หนึ่งเม็ด แล้วมีอักขระขอมลงด้วยเหล็กจารรอบๆ วง เสด็จในกรมตรัสว่า คงจะเป็น เหล็กไหล แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองทางผู้เฒ่าเหมือน ปาฏิหาริย์ ผู้เฒ่าเหมือนหายไปจากตรงนั้นแล้ว รวดเร็วอย่างไม่คาดฝัน เสด็จในกรมถึงกับอุทานออกมา แล้วหันมามองทางนายหลิ่ม ซึ่งนั่งอ้าปากค้างอยู่
    เลียบฝั่งแม่น้ำยม อันแห้งขอดขึ้นไปทางเหนือเหมือนครั้งที่แล้ว มุ่งหน้าตรงเข้า วัดบางคลาน ทันที พบพระอยู่หน้าวัด เสด็จในกรมถามว่า หลวงพ่ออยู่หรือเปล่า ก็ได้รับคำตอบว่า อยู่ที่กุฏิพลางชี้มือไปที่กุฏิ เสด็จในกรมจึงมุ่งหน้าตรงไปที่กุฏิทันที แต่ก็พบกับความว่างเปล่า ไม่มีหลวงพ่อเงินบนกุฏิ ไม่มีหลวงพ่อเงินในบริเวณวัด พระเณรช่วยกันหาเป็นเวลานานก็ไม่พบหลวงพ่อ
    เสด็จในกรมนั่งคอยอยู่ที่กุฏิ จนเย็นเห็นว่าไม่พบแน่ จึงสั่งคนนำทางและนายหลิ่มให้เดินทางกลับในวันนั้น ข้ามแม่น้ำยมมายังฝั่งชุมแสง พักแรมอยู่ในละเมาะไม้ใกล้ชายฝั่ง แล้วตรัสกับนายหลิ่มว่า "พรุ่งนี้เช้ากลับแน่ พักนครสวรรค์สักสองคืนแล้วเข้ากรุง"
    เช้าวันรุ่งขึ้นในตอนสาย เสด็จในกรมถามหาสิ่งของที่ให้นายหลิ่มซื้อมาจากนครสวรรค์ เมื่อได้ของครบแล้ว บอกให้นายหลิ่มไปคอยที่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วเสด็จในกรมหายเข้าไปในป่าสักครู่ ก็ออกมาที่ริมฝั่งแม่น้ำยม ฝั่งตรงข้ามหน้าวัดในชุดชาวจีนหาบของสวมหมวกกุ้ยเล้ย บอกให้นายหลิ่มเดินตามหลังไปห่างๆ แล้วเสด็จข้ามแม่น้ำยม มุ่งไปยังวัดบางคลานทันที ถึงศาลาหน้าวัดเห็นพระแก่รูปร่างใหญ่โต ลักษณะท่าทางน่าจะเป็น หลวงพ่อเงิน นั่งหันหลังออกมาฝั่งที่ขึ้นไป ตัดสินพระทัยแน่นอนว่า ต้องเป็น หลวงพ่อเงิน แน่ จึงรีบวางหาบของแล้ววิ่งเข้าไปทางข้างหลัง เมื่อถึงจึงโอบมือรัดเอวเอาไว้แน่น พลางตรัสขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
    "ได้หลวงพ่อแล้ว ได้หลวงพ่อแล้ว"
    หลวงพ่อหันหน้ามามอง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังเช่นกันว่า
    "เสียท่าเขาแล้ว เสียท่าเขาเข้าแล้ว"
    เสด็จในกรมก้มเข้ากราบหลวงพ่อเงิน พอเงยหน้าขึ้นมาหลวงพ่อเงินได้พูดว่า
    "วันนี้เป็นยามดี ที่เราจะได้พบกับลูกศิษย์ท่านศุข นี่พยายามดีเหลือเกิน"
    จากนั้นหลวงพ่อเงินได้เดินนำเสด็จในกรมขึ้นไปบนกุฏิ เมื่อถึงบนกุฏิได้นั่งสนทนาถามถึงทุกข์สุขของหลวงพ่อศุขว่าเป็นอย่างไรบ้าง อยู่พอสมควร หลวงพ่อเงินก็เอ่ยขึ้นกับเสด็จในกรมว่า
    "คอยสักครู่เถอะ ฉันจะสรงน้ำก่อน"
    หลวงพ่อเงินพูดแล้วลุกขึ้นจากที่นั่งเดินหายเข้าไปในกุฏิ เป็นเวลาไม่กี่อึดใจ ก็ปรากฏเสียงดัง "กริ๊ก กริ๊กๆๆ" ขึ้นที่กาน้ำซึ่งวางอยู่ข้างเสากลางกุฏิ ทั้งเสด็จในกรมและนายหลิ่มหันไปที่กาน้ำนั้นทันที เสียง "กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก" ยังดังอยู่ต่อไป ทำความแปลกใจให้เสด็จในกรมอย่างยิ่ง จึงอดทนต่อความสงสัยต่อไปไม่ได้ ตรงเข้าไปที่กาน้ำนั้นทันที พลางเปิดฝาออกดูว่ามีสิ่งใดอยู่ภายใน ทันทีที่เสด็จในกรมเปิดฝาออกก็ถึงกับพรึงเพริดพระทัยแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง ร้องเรียกว่า
    "ไอ้หลิ่มมาดูอะไรนี่ซิ" นายหลิ่มรีบตรงเข้าไปก้มมองดูในกา ถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ถูก เพราะว่าภาพที่ปรากฏในกาน้ำใบนั้นคือ
    ร่างของหลวงพ่อเงินขนาดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย มือกำลังสรงน้ำถูเนื้อถูตัวอยู่อย่างขะมักเขม้น น้ำในกากระเพื่อมไปมา จนกระฉอกกระเด็นออกมานอกกาน้ำ
    เสด็จในกรมค่อยๆ ปิดฝากาลงอย่างฉงนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พลางตรัสกับนายหลิ่มว่า
    "ไม่เสียเที่ยวที่มาเมืองพิจิตร หลวงพ่อท่านพูดไว้ถูกทีเดียวว่า จะได้ดูของแปลกๆ นอกเหนือจากท่านก็ให้มาที่นี่"
    [​IMG]
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คาถาบูชาหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=22399


    คำบูชาหลวงพ่อเงิน <O:p</O:p
    วัดบางคลาน จ.พิจิตร<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    นโม ๓ จบ<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    อะกะ อะธิ อะธิ อะกะ ธิอะ กะอะ<O:p</O:p

    วันทามิ อาจาริยัญจะ หิรัญญะ นามะกัง ถิรัง สิทธิ ทันตัง มหาเตชัง อิทธิ มันตัง วะสาทะรัง <O:p</O:p
    ( สิทธิ พุทธัง กิจจัง มะมะ ผู้คนไหลมา นะชาลี ติ สิทธิ ธัมมัง จิตตัง มะมะ ข้าวของไหลมา นะชาลี ติ สิทธิ สังฆัง จิตตัง มะมะ เงินทองไหลมา นะชาลี ติ ฉิมพลี จะ มหาลาภัง ภะวันตุ เม )

    หมายเหตุ ในวงเล็บ จะสวดด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่จริตของแต่ละท่านครับ

    *********************************************

    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=36609


    <TABLE class=tborder id=post234596 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">25-04-2006, 08:28 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#1</TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>guawn<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_234596", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 12:59 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 7,490 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 10,042 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 21,801 ครั้ง ใน 4,730 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 2944 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_234596 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->คาถาบูชาหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->คาถาบูชาหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ<O:p</O:p
    หมายเหตุ หลวงพ่อเงิน วัดคงคาราม หลวงพ่อเงิน วัดท้ายน้ำและหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน (วัดหิรัญญาราม) คือองค์เดียวกัน
    วัดท้ายน้ำ ( วัดเก่าหลวงพ่อเงิน ) อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร
    <O:p
    </O:p
    ให้ตั้ง นะโมฯ 3 จบ แล้วสำรวมจิตกล่าวคาถา
    สิทธิพุทธัง กิจจังมะมะ ผู้คนไหลมา นะชาลีติ
    สิทธิธัมมัง จิตตังมะมะ ข้าวของไหลมา นะชาลีติ
    สิทธิสังฆัง จิตตังมะมะ เงินทองไหลมา นะชาลีติ
    ฉิมพลี มหาลาภัง ภะวันตุเม
    <O:p</O:p
    วันนมัสการหลวงพ่อเงิน วันอังคาร วันพฤหัสบดี วันศุกร์ พร้อมด้วยดอกบัวหรือดอกมะลิ 9 ดอก หมาก 3 คำ จัดใส่พาน และธูป 9 ดอก เทียน 1 คู่ ให้ตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีพุทธคุณของหลวงพ่อเงินคุ้มครอง ป้องกันภัยจากโจรผู้ร้าย ตลอดจนค้าขายของดีเลิศมีเมตตามหานิยม พุทธคุณของหลวงพ่อเงินเป็นที่รู้จักและเคารพนับถือของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะวัตถุมงคล อาทิเช่น รูปหล่อลอยองค์หลวงพ่อเงินพิมพ์นิยมและพิมพ์ขี้ตา ไข่ปลาหน้าจอบ หน้าจอบเล็ก ตะกรุด และความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์ เป็นต้น ยังมีความอภินิหารอีกมากสุดที่จะนำมากล่าวนี้
    คาถาหลวงพ่อเงิน สำหรับคงกระพัน ว่าดังนี้ <O:p</O:p
    พระพุทธัง พระเจ้าคงหนัง<O:p</O:p
    พระธัมมัง พระเจ้าคงเนื้อ<O:p</O:p
    พระสังฆัง พระเจ้าคงกระดูก<O:p</O:p
    โอม เพชรคงคา ตรีคงสวาหะ

    คาถาหลวงพ่อเงิน เวลาเดินทางไปไหนใช้ภาวนา
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.mahamakuta.inet.co.th/buddhism/somdet/somdet10.htm

    ๑๐. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) วัดบวรนิเวศวิหาร
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=200 height=204 rowSpan=6>[​IMG]

    </TD><TD vAlign=top align=middle width=100 height=34>ภูมิลำเนาเดิม</TD><TD vAlign=top align=middle width=10 height=34></TD><TD vAlign=top align=middle width=300 height=34>เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100 height=34>วันประสูติ

    </TD><TD vAlign=top align=middle width=10 height=34></TD><TD vAlign=top align=middle width=300 height=34>๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓ วันพฤหัสบดี แรม ๗ ค่ำ เดือน ๕ ปีวอก จ.ศ. ๑๒๒๑ ในรัชกาลที่ ๔</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100 height=34>วันสถาปนา</TD><TD vAlign=top align=middle width=10 height=34></TD><TD vAlign=top align=middle width=300 height=34>๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ วันจันทร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือนอ้าย ปีจอ ในรัชกาลที่ ๖</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100 height=34>วันสิ้นพระชนม์</TD><TD vAlign=top align=middle width=10 height=34></TD><TD vAlign=top align=middle width=300 height=34>๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ ในรัชกาลที่ ๖</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle width=100 height=34>พระชนมายุ</TD><TD vAlign=top align=middle width=10 height=34></TD><TD vAlign=top align=middle width=300 height=34>๖๐ พรรษา ๓ เดือนเศษ</TD></TR><TR><TD vAlign=top width=460 colSpan=3 height=34>ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๑๐ ปี ๗ เดือนเศษ
    [NEXT]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <HR width="50%" color=#0000ff SIZE=1>พระประวัติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
    พระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
    หลังจากสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) วัดราชประดิษฐ์ สิ้นพระชนม์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ไม่ทรงสถาปนาพระเถระรูปใด ในตำแหน่งที่ สมเด็จพระสังฆราช อีกจนตลอดรัชกาล ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ จึงว่างสมเด็จพระสังฆราชอยู่เป็นเวลา ๑๑ ปี ถึงรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงถวายมหาสมณุตมาภิเษกแด่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระวชิรญาณวโรรส เป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กล่าวอย่างสามัญทั่วไปก็คือ ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั่นเอง
    พระประวัติเบื้องต้น
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ และเจ้าจอมมารดาแพ ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๕ แรม ๗ ค่ำ ปีวอก จ.ศ. ๑๒๒๑ ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓ เมื่อวันประสูติ นั้นฝนตกใหญ่ พระบรมชนกนาถจึงทรงถือเป็นมงคลนิมิตพระราชทานนามว่า พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ หลังจากประสูติได้เพียงปีเดียว เจ้าจอมมารดาของพระองค์ก็ถึงแก่กรรมพระองค์จึง ทรงอยู่ในความเลี้ยงดูของกรมหลวงวรเสฐสุดา (พระองค์เจ้าบุตรี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่งเป็นพระญาติ ทรงเรียกว่าเสด็จป้า มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ต่อมา ทรงย้ายมาอยู่กับท้าวทรงกันดาร (ศรี) ผู้เป็นยาย
    เมื่อพระชนมายุ ๘ พรรษา ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี ทรงศึกษาอยู่จนสามารถแปลธรรมบทได้ก่อนที่จะทรงผนวชเป็นสามเณร และทรงเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษกับครูฝรั่งเมื่อพระชนมายุ ๑๒ พรรษา นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาโหราศาสตร์กับครูที่เชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์มาแต่พระชนม์ยังน้อย
    ทรงผนวช
    เมื่อพระชนมายุ ๑๔ พรรษา ทรงผนวชเป็นสามเณรตามราชประเพณี ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับเจ้านายอื่นอีก ๒ พระองค์ สมเด็จพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์หม่อมเจ้าพระธรรมุณหิศธาดา (พระนามเดิม ศิขเรศ) เป็นประทานสรณะและศีล เมื่อทรงผนวชแล้ว มาประทับ ณ วัด บวรนิเวศวิหาร ทรงผนวชเป็นสามเณรอยู่ ๒ เดือนเศษ จึงทรงลาผนวช
    ครั้น พระชนมายุ ๒๐ พรรษา ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๒๒ สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จันทรังสี) วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ทรงผนวชแล้วเสด็จมาอยู่จำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ถึงหน้าเข้าพรรษาของปีนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาทรงถวายพุ่มพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตามราชประเพณี และในคราวนั้น ได้เสด็จฯ ไปถวายพุ่มพรรษาแด่พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ ซึ่งเพิ่งทรงผนวชใหม่ถึงกุฏิที่ประทับ พร้อมทั้งทรงกราบด้วยพระอาการเคารพ อันเป็นพระอาการที่ไม่เคยทรงปฏิบัติต่อพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์อื่นที่ทรงผนวช เป็นเหตุให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นทรงตัดสินพระทัยไม่ทรงลาผนวชแต่วันนั้น
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ต่อครับ


    ทรงทำทัฬหีกรรม อุปสมบทซ้ำ
    หลังจากทรงจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ พรรษาแล้ว ได้เสด็จไปจำพรรษาที่ ๒ ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม ในสำนักของพระจันทโคจรคุณ (ยิ้ม) ผู้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ในระหว่างที่ประทับ ณ วัดมกุฏกษัตริยารามนั้นเอง ได้ทรงทำทัฬหีกรรม อุปสมบทซ้ำอีกครั้งหนึ่งตามธรรมเนียมนิยมของพระสงฆ์ธรรมยุตในครั้งนั้น โดยพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เดช ฐานจาโร) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่ครั้งยังเป็นพระเปรียญอยู่วัดโสมนัสวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ณ โบสถ์แพ หน้าวัดราชาธิวาส เมื่อ วันที่ ๓ มกราคม ๒๔๒๒
    ทรงกรมและเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง
    เมื่อทรงผนวชได้ ๓ พรรษา ทรงเข้าแปลพระปริยัติ ธรรมหน้า พระที่นั่ง ณ พระที่นั่งบรมราชสถิตมโหราฬ ห้องเขียวท่ามกลางประชุมพระราชาคณะผู้ใหญ่ ๑๐ รูป มีสมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นประธาน ทรงแปลได้เป็นเปรียญ ๕ ประโยค และทรงหยุดอยู่เพียงนั้น
    หลังจากทรงแปลพระปริยัติธรรมได้เป็น เปรียญ ๕ ประโยคแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาพระอิศริยยศเป็น กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงดำรงสมณศักดิ์เป็นเจ้าคณะรองในธรรมยุตินิกาย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ พระองค์ทรงเป็นเจ้าคณะรองในคณะธรรมยุตเป็นพระองค์แรกและทรงเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ทรงมีพรรษา
    ยุกาลน้อยที่สุด คือ ๓ พรรษาเท่านั้น
    ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร
    พ.ศ.๒๔๓๔ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์สิ้นพระชนม์พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสขณะเมื่อทรงดำรงพระอิศริยยศ เป็นกรมหมื่น ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารสืบต่อจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ นับเป็นเจ้าอาวาสพระองค์ที่ ๓
    ครั้น ปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ทรงพระกรุณาโปรดเลื่อนพระสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต นับเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตพระองค์ที่ ๒ ทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตเมื่อทรงมีพรรษายุกาล ๑๕ พรรษา
    เมื่อทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว ก็ได้ทรงเริ่มพัฒนากิจการพระศาสนา โดยทรงเริ่มทำขึ้นภายในวัดบวรนิเวศวิหารก่อนเป็นการทดลองเพื่อดูผลได้ผลเสียและทรงปรับปรุงแก้ไขจนทรงเห็นว่า มีผลดีเป็นคุณประโยชน์แก่พระศาสนาเป็นส่วนรวม จึงทรงขยายออกในวงกว้าง กล่าวเฉพาะที่สำคัญ คือ
    การศึกษาพระปริยัติธรรมในภาษาไทย
    ทรงริเริ่มให้ภิกษุสามเณรที่บวชใหม่เล่าเรียนพระธรรมวินัยในภาษาไทยเพื่อให้รู้จักพระพุทธศาสนาทั้งส่วนที่เป็นธรรม
    และวินัยในขั้นพื้นฐานในชั่วระยะเวลาอันสั้น โดยพระองค์ได้ทรงสอนด้วยพระองค์เอง มีการสอบความรู้ของภิกษุสามเณรที่เรียนด้วยวิธีสอบแบบใหม่คือวิธีเขียน ต่อมาได้มีภิกษุสามเณรไม่เฉพาะแต่พระใหม่เท่านั้นที่นิยมเล่าเรียนพระธรรมวินัยแบบใหม่ที่พระองค์ทรงจัดขึ้นนี้ และนิยมแพร่หลายออกไปถึงวัดอื่นๆ ด้วย เมื่อทรงเห็นว่าเป็นการเล่าเรียนที่มีประโยชน์ต่อภิกษุสามเณรทั่วไป จึงได้ทรงกำหนดให้เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับคณะสงฆ์ในเวลาต่อมา ที่เรียกว่า
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จบครับ


    มหาสมณุตมาภิเษก
    พ.ศ. ๒๔๔๙ ทรงพระกรุณาโปรดเลื่อนพระอิศริยยศเป็น กรมหลวง ถึง พ.ศ. ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ สืบพระบรมราชสันตติวงศ์เป็นรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พอเสด็จการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกและเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระบรมราชินี พระพันปีหลวงแล้ว โปรดให้ตั้งพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงสถาปนาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส เป็นสมเด็จกรมพระยา ทรงสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระมหาสมณะ (คือ สมเด็จพระสังฆราช) เมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจอ ตรงกับ วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๓
    ทรงปรับสถานภาพของคณะสงฆ์

    ในปีรุ่งขึ้น หลังจากทรงได้รับมหาสมณุตมาภิเษก คือ พ.ศ. ๒๔๕๔ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ก็ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์ครั้งสำคัญ คือ ทรงชี้แจงแก่เสนาบดี กระทรวงธรรมการถึงผลเสียที่เกิดจากการที่คฤหัสถ์ปกครองคณะสงฆ์ดังที่เป็นมาในอดีตและเป็นอยู่ในขณะนั้น
    และทรงแนะนำว่าควรจะถวายอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์แก่พระองค์ให้เป็นเด็ดขาดฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จ
    พระสังฆราช เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์เรียบร้อย เพราะพระด้วยกันย่อมเข้าใจเรื่องของพระด้วยกันดีว่าคฤหัสถ์ซึ่งมิใช่พระ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
     

แชร์หน้านี้

Loading...