สวัสดีค่ะ..

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย january2555, 5 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    อนุโมทนา สาธุ กับธรรมอันเรียบง่ายดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ประเสริฐยิ่งนัก
     
  2. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    นานมาแล้ว มีผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนาที่สวนโมกขพลาราม ถามพระอาจารย์ผู้สอนว่า

    "มีความทุกข์มาก ทำอย่างไรจึงจะปล่อยวางได้"

    พระอาจารย์ย้อนถามว่า "โยมไปแบกไว้ทำไม"

    ผู้ถามงง พระอาจารย์บอกอีกว่า "ก็โยมแบกของโยมเอง โยมก็ต้องวางเอง

    มาถามอาตมาไม่ได้หรอก เพราะอาตมาไม่ใช่คนแบก"

    ฉันฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้....(SECRET)
     
  3. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    เข้ามาอ่านเพื่อรับข้อคิดดี ๆ
    ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้และผู้ใฝ่ในธรรมทุกท่าน
     
  4. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    (บางช่วงบางตอนที่ได้อ่านวันนี้ค่ะ..)

    จะรู้บนได้อย่างไรถ้าไม่เคยรู้ล่างมาก่อน
    จะรู้ซ้ายได้อย่างไรถ้าไม่รู้ขวา
    จะรู้อุ่นได้หรือถ้าไม่รู้จักหนาว
    จะรู้จักความดีหรือถ้าปฏิเสธความชั่วร้าย


    ชัดเจนว่าวิญญานไม่อาจเลือกเป็นสิ่งใดได้หากไม่มีสิ่งใดให้เลือก เพราะวิญญาณจะมีประสบการณ์ถึงความสง่างามของตัวเองได้นั้น มันต้องรู้ก่อนว่าอะไรคือความสง่างาม ซึ่งก็ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ถ้าไม่มีอย่างอื่นนอกจากความสง่างาม วิญญาณจึงรู้ว่าความสง่างามจะตั้งอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีความไม่สง่างามดำรงอยู่ วิญญาณจึงไม่เคยประณามสิ่งไม่สง่างามเลย ทว่าจะอวยพรที่ได้เห็นส่วนหนึ่งของตนในนั้นซึ่งจะต้องมีอยู่ เพื่อให้ส่วนอื่นๆของตนเองปรากฏขึ้นมาได้....

    การบำบัดคือกระบวนการแห่งการยอมรับทุกสิ่งจากนั้นก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุด...

    คุรุทุกคนต่างส่งสาส์นเหมือนๆกันนั่นคือ "สิ่งใดที่ฉันเป็น...เธอก็เป็นได้ อะไรที่ฉันทำได้เธอก็ทำได้ด้วย สิ่งเหล่านี้หรือยิ่งกว่านี้เธอทำได้ดุจเดียวกับฉัน"


    เธอคือความดี ความเมตตา ความกรุณาและความเข้าใจ
    เธอคือศานติสุข ความเบิกบานและแสงสว่าง
    เธอคือการให้อภัยและความอดทน ความแข้มแข็งและกล้าหาญ
    คือผู้ช่วยเหลือในยามยากเข็ญ ผู้ปลอบประโลมยามโศกเศร้า
    ผู้เยียวยายามบาดเจ็บ คือผู้ชี้ทางให้ในห้วงแห่งความสับสน
    เธอคือปัญญาล้ำลึกและสัจจะสูงสุด คือศานติอันยิ่งใหญ่และรักอันงามสง่า
    เธอคือสิ่งเหล่านี้ หลายห้วงขณะของชีวิต...เธอเคยได้รู้จักตัวเองเช่นนี้
     
  5. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    เธอคือความดี ความเมตตา ความกรุณาและความเข้าใจ
    เธอคือศานติสุข ความเบิกบานและแสงสว่าง
    เธอคือการให้อภัยและความอดทน ความแข้มแข็งและกล้าหาญ
    คือผู้ช่วยเหลือในยามยากเข็ญ ผู้ปลอบประโลมยามโศกเศร้า
    ผู้เยียวยายามบาดเจ็บ คือผู้ชี้ทางให้ในห้วงแห่งความสับสน
    เธอคือปัญญาล้ำลึกและสัจจะสูงสุด คือศานติอันยิ่งใหญ่และรักอันงามสง่า
    เธอคือสิ่งเหล่านี้ หลายห้วงขณะของชีวิต...เธอเคยได้รู้จักตัวเองเช่นนี้

    นี่ก็คือบารมี 10 นั่นเอง
     
  6. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ขอบคุณมากนะคุณ bluebaby ถ้าไม่บอกเราก็ไม่รู้ ว่าอันเดียวกัน
    การมีอาจารย์ชี้แนะก็ช่วยให้เข้าใจดีขึ้น จริงๆ
     
  7. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    การออกกำลัง

    ทำให้มนุษย์ แข็งแรง สุขภาพดี

    และมีความสุขมากขึ้น


    อย่าลืมออกกำลังกันด้วยนะคะ
     
  8. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    จริงสินะหนูJan...เพราะกายนี้ต้องบริหารมากมาย แม้การออกกำลังกายก็จำเป็นยิ่งยวด ..เคยทราบมาจากพาดหัวตัวโตว่า "การอยู่เฉยๆ(ขาดแคลนการเคลื่อนไหว)เป็นอันตรายถึงตายได้!"...

    ว่าแล้วจึงตามหนูJan..ไปยกน้ำหนัก นะครับ...:)
     
  9. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ดีค่ะ ท่านddman
    จะออกกำลังกายวิธีไหนก็แล้วแต่สะดวก เช่น ยกน้ำหนัก เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ
    ขี่จักรยาน โยคะ เล่นกีฬา ต่างๆ


    ถ้าไม่รู้จะทำอะไร ก็เดินๆๆ เดินไปเรื่อยๆๆ ในที่ที่ยังไม่เคยไป
     
  10. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    เดินวิถีสติ

    ไม่มีวันใดที่คุณไม่เดิน ฉะนั้นการฝึกสติกับการเดินสามารถทำใด้ทุกที่ที่มีทางให้เดิน
    พระพุทธองค์ทรงสอนให้ฝึกสติในอิริยาบถสี่คือ ยืน เดิน นั่น นอน

    การเดินภาวนาที่เรียกว่าการเดินจงกรมนั้น เป็นสิ่งที่ทำง่าย และให้ผลดีต่อสุขภาพ
    เหมาะกับผู้คน ทุกเพศ ทุกวัย การเดินภาวนาช้าๆ ยังช่วยฟื้นฟูสุขภาพผู้เจ็บป่วยได้ดีอีกด้วย

    หากวันนี้คุณยังเดินได้อยู่ ก็ถือว่าคุณโชคดีอย่างมาก
    มีผู้คนที่สูญเสียการเดินจากอุบัติเหตุ จากสงคราม จากการป่วยไข้ หรือจากความประมาท

    พวกเขาต่างเสียใจที่ไม่สามารถเดินได้อีก
    และหากมีพรวิเศษ แน่นอนพวกเขาต่างก็อยากให้ตนกลับมาเดินได้อีกครั้ง
    แต่จะมีสักกี่คนที่วันนี้ยังเดินได้ดีรู้สึกถึงความโชคดีของตน
    ยิ่งถ้าคุณฝึกเดินภาวนา คุณจะรู้สึกถึงความโชคดีนี้ยิ่งขึ้น

    กิจกรรมง่ายๆ เพียงเดินอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม
    เพียงเดินด้วยจิตใจที่เป็นอิสระจากความวิตกกังวลและความกลัว
    ก็จะนำพาความสุขสงบให้แก้จิตใจ

    การเดินภาวนาเป็นการกำหนดความรู้ตัวขณะย่างก้าว ขณะทีฝ่าเท้าคุณสัมผัสพื้น
    คือชั่วขณะที่คุณรับรู้ทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นที่ฝ่าเท้า คุณรับรู้ถึงความแข็งแรงมั่นคงของพื้น
    รับรู้ถึงความร้อนเย็นของพื้น รับรู้ถึงจังหวะที่ก้าวสม่ำเสมอและมั่นคง
    รับรู้ถึงการถ่ายเทน้ำหนักของฝ่าเท้าขณะก้าวเดิน เมื่อคุณรับรู้ถึงสัมผัสแต่ละก้าวของเท้าได้แล้ว

    จากนั้นคุณก็มารับรู้ลมหายใจที่เข้าออกอย่างผ่อนคลายเบาสบายและสม่ำเสมอไปด้วย
    รับรู้ บรรยากาศ พลังงาน และธรรมชาติที่เดินผ่าน และก็กลับมารับรู้แต่ละสัมผัสของฝ่าเท้าอีก..

    เมื่อคุณฝึกการเดินภาวนาเสมอๆ คุณจะมีนิสัยเดินภาวนาเป็นปกติ เมื่อต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ ไปขึ้นรถ ไปทานข้าว แทนที่คุณจะเดินอย่างขาดสติ คุณก็จะเดินในวิถีสติ

    การเดินของคุณจะเต็มไปด้วย

    การรู้ตัว ความเชื่อมั่น สง่างาม และความสงบสุข

    (เพื่อนงาม I ติช นัท ฮันห์)
     
  11. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    การฝึกเดินอย่างรู้สึกตัวเป็นเครื่องมือที่ดีมากที่จะทำให้เราเข้าถึงความรู้สึกได้ เพราะคน
    ที่ไม่ได้ฝึกสติจะไม่มีความรู้สึกตัว ไม่รู้สัมผัสเย็น-ร้อน สัมผัสที่ผิวหรือที่เราสัมผัสนั้น
    แทบจะไม่รู้เลย จะรู้ก็ต่อเมื่อมีอาการเจ็บหรือปวดเมื่อย เพราะความรู้สึกทั้งหมดอยู่ใน
    หัว คิดว่าตัวเราอยู่ในหัวของเรา ร่างกายส่วนอื่นไม่มีความสำคัญ จะให้ความสำคัญกับ
    ความคิดมากกว่าความรู้สึก แต่เมื่อฝึกรู้ตัวเมื่อเดินได้ รู้สึกสัมผัสที่กระทบทางกายมาก
    ขึ้นความรู้สึกที่เคยรู้แต่ที่หัวจะแพร่กระจายไปทั่วตัว จะรู้เลยว่าบางครั้งเรานั่งเกร็งเป็น
    ชั่วโมงแต่กลับไม่ร้ตัวเลย เพราะไม่มีความรู้สึกตัว เมื่อมีความรู้สึกทั่วตัวจะรู้ถึงสัมผัสที่
    ละเอียด รู้สึกถึงพลังของธรรมชาติโดยรอบได้ ว่าที่ไหนมีบรรยากาศที่เบาสบาย ที่ไหน
    มีบรรยากาศหนักและแห้งแล้ง รู้สึกเข้าไปในร่างกายได้เมื่อไหร่มีความรู้สึกแน่นทึบ
    หนัก ตึง เกร็ง ก็เปลี่ยนให้เป็นความรู้สึกเบา สบาย โปร่ง เมื่อรู้อาการทางกายแล้วก็รู้
    อาการทางใจได้ดีขึ้นเพราะมันสัมพันธ์กัน
     
  12. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ขอบคุณมากๆ ค่ะคุณbluebaby ที่อธิบายเพิ่มเติม วันก่อนที่คุณบอกเรื่องบารมี 10 เราก็เลยได้ไปอ่านทบทวน มีประโยชน์มาก
     
  13. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    วันนี้ เป็นโรคเบื่ออีกแล้ว เดี๋ยวจะไปหาอะไรทำ ดีกว่า

    เมื่อคุณยังเยาว์และมีกำลังแข็งขัน คุณไม่คิดถึงความชราที่กำลังมาเยือน แต่ชรานั้นมันเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ และแน่นอน เหมือนดังเมล็ดพืชที่กำลังงอกอยู่ใต้ดิน

    เมื่อคุณยังแข็งแรงและมีอนามัยดี คุณไม่คิดถึงโรคาพยาธิที่กำลังมาเยี่ยม แต่โรคานั้นมันมาอย่างฉับพลันทันใด เหมือนหนึ่งฟ้าแลบก็ปานกัน

    เมื่อหมกมุ่นอยู่ในโลกียสมบัติ คุณไม่เคยคิดเลยว่า ความตายกำลังคืบคลานเข้ามา แต่แล้วมันถลามารวดเร็วดังฟ้าร้อง ที่แตกลั่นระรัวรอบศีรษะของคุณ

    ชรา พยาธิ มรณะ แขกผู้มาเยือนสามท่านนี้ ไม่เคยเหห่างจากคุณเลย เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว ไฉนจึงไม่ปฏิบัติธรรม


    ปราสาทแลนครที่มีคนอยู่หนาแน่นแออัด ที่ท่านรักและพอใจพักอยู่ ณ บัดนี้ ท่านพึงจำไว้เถิดว่า สิ่งเหล่านี้จะปรักหักพัง เหลือเป็นกองอิฐกองปูน หลังจากที่ท่านได้ลาโลกนี้ไป

    ความหยิ่งผยองและเกียรติศักดิ์ ซึ่งที่แท้แล้วก็ไร้ประโยชน์ มันเป็นเพียง เหยื่อล่อ ซึ่งท่านก็พอใจคบหาและติดตามอยู่ ณ บัดนี้ แต่พึงจำไว้ว่า เมื่อท่านจวนจะตาย มันจะไม่เป็นที่พึ่งพิงหรือที่หลบลี้แก่ท่านได้เลย

    ณ บัดนี้ ท่านรักที่จะอยู่รวมกับครอบครัวและญาติพี่น้อง แต่พึงจำไว้ว่า ท่านจะต้องทิ้งเขาเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง ในคราวที่ท่านละโลกนี้ไป

    คนรับใช้ ทรัพย์สิน และเด็กๆ เป็นสิ่งที่ท่านรักที่จะยึดครองไว้ แต่พึงจำไว้ว่า ณ กาลแห่งมรณะของท่าน มืออันว่างเปล่าของท่านไม่สามารถเอาสิ่งใดไปกับท่าน ได้เลย

    กำลังวังชาและสุขภาพเป็นสิ่งท่านรักยิ่ง ณ กาลบัดนี้ แต่พึงจำไว้ว่า ณ ชั่วขณะแห่งมรณะของท่าน ร่างอันหมดลมหายใจของท่านจะถูกมัดและแบกไปทิ้ง

    ณ บัดนี้ อวัยวะต่างๆ ของท่านยังแจ่มใสดี เนื้อหนังและโลหิตยังแรงแข็งขัน แต่พึงจำไว้ว่า ณ ชั่วขณะแห่งมรณะของท่าน มันจะไม่อยู่รับใช้ท่านอีกต่อไป

    อาหารอร่อย หอมหวาน เป็นสิ่งที่ท่านรักปรารถนาจะกิน ณ บัดนี้ แต่พึงจำไว้ว่า ณ ชั่วขณะแห่งมรณะของท่าน ปากของท่านจะปล่อยให้น้ำลายไหล ออกมาให้น่าเกลียด
    เมื่อคิดถึงสิ่งทั้งหมดนี้ ข้าไม่มีทางอื่น นอกจากแสวงหาพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    (ธรรมคีตาของมิลาเรปะ มหาโยคีแห่งธิเบต ร.บุญโญรส แปล)
     
  14. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    วันนี้อากาศดีนะคะ ..

    ความว่างเปล่า

    ชีวิตคน ปราชญ์บอกว่า ต้องทำจิตให่ว่างเปล่าจากอารมณ์

    จึงจะมองเห็น ความสุขแท้ ทุกข์จริง

    หากไม่ทำจิตให้ว่าง ก็จะพยายามกลบทุกข์ด้วยสุขเทียม

    มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่สำคัญคือฝึกอยู่กับความว่างเปล่าให้ได้

    "สุขอื่นใดเหนือความสงบไม่มี"

    hp_day_Friend__ sweet Home _
     
  15. january2555

    january2555 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2012
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +80
    ปฏิทินธรรมคำกลอน ท่านพุทธทาส ปี ๒๕๕๖


    ชีวิตแท้

    งามงดและสดชื่น
    PURE LIFE IS SPLENDID AND REFRESHING
    ชีวิตเหลือ แต่ความเย็น เป็นนิพพาน



    ชีวิตแท้ งามงด และสดชื่น
    ไม่มีฝืน ไม่มีหวั่น ไม่สั่นเสียว
    ไม่มีสิ่ง หลงรัก สักสิ่งเดียว
    ไม่มีจิต เกาะเกี่ยว ทั้งบาปบุญ

    ทรัพย์ในเรือน เป็นเหมือน ของเกลื่อนกลาด
    ที่เป็นบาป เก็บกวาด ทิ้งใต้ถุน
    ที่เป็นบุญ มีไว้ เพียงเจือจุน
    ให้เป็นคุณ สะดวกดาย คล้ายรถเรือ...

    ไม่ยึดมั่น สิ่งใด เอาใจแบก
    กลัวแตกตาย ใจประหวั่น จนฟั่นเฝือ
    เบาทั้งกาย เบาทั้งใจ ไม่มีเบือ
    ชีวิตเหลือ แต่ความเย็น เป็นนิพพาน


    พุทธทาสภิกขุ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...