พระพุทธศาสนา...พระโบราณ...พระในตำนาน...

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย บรรพชนทวา, 12 กันยายน 2012.

แท็ก: แก้ไข
  1. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    คณะทำงานบรรพชนทวาได้ลงเรื่อง "ศิลาจารึกโศลก ปริศนาธรรมของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์" อยู่ในหน้าที่ 22 คห.ที่ 434-440 จากหนังสือ"ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น เล่ม ๒" จากหนังสือเก่าตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ กระดาษสมัยนั้นมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นยาสมุนไพรมาก ผู้สนใจหนังสือของท่านธีรทาสสามารถติดตามได้ครับ

    ลองตีความปริศนาธรรมของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์...
    -พระพุทธเจ้า วิปัสสิน
    -พระพุทธเจ้า สิขิน
    -พระพุทธเจ้า เวสสภู
    -พระพุทธเจ้า กกุสันธ
    -พระพุทธเจ้า โกนาคมน
    -พระพุทธเจ้า กัสสป
    -พระพุทธเจ้า ศากยมุนี

    ผล....เสร็จสมบูรณ์แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2012
  2. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    คณะทำงานบรรพชนทวากำลังทยอยลง จารึกอโศก หมวดนี้มีความยาวพอสมควร และน่าสนใจมาก เป็นการค้นคว้าของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) เรื่องราวในพระพุทธประวัติได้กล่าวถึงแคว้นต่างๆ และเมืองต่างๆ รวมทั้งกษัตริย์ผู้ครองแคว้นไว้มากมาย พระคุณเจ้าได้อธิบายสรุปความถึงแคว้นต่างๆ เมืองต่างๆเอาไว้อย่างกระชับ และเข้าใจง่าย อันเป็นประโยชน์ต่อพื้นฐานการศึกษาเรื่องราวของพระพุทธประวัติในสมัยพุทธกาล และพระพุทธศาสนาหลังพุทธกาลได้เป็นอย่างดี เรื่องจารึกอโศกเป็นการศึกษาเรื่องราวของพระพุทธศาสนาผ่านธรรมจักรบนเศียร ๔ สิงห์ ก็ให้บังเอิญได้รับหนังสือเล่มหนึ่งมา พิจารณาแล้วน่าจะต่อภาพเรื่องราวของพระเจ้าอโศกมหาราชที่ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาให้สมบูรณ์ยิ่งๆขึ้น หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างสัญจิเจดีย์เป็นพุทธบูชา" เป็นสำนวนเก่าบันทึกเรื่องราวครั้งสมัยหลังพุทธกาลเอาไว้ ซึ่งเป็นผลงานการค้นคว้าของไบรอันฮัพตัน ฮอคซ์สัน อายุหนังสือ ๖๑ ปีล่วงมาแล้ว เดิมเป็นภาษาสันสกฤตอยู่ในห้องสมุดพุทธาราม จังหวัดเนปาล ประเทศอินเดีย ได้ค้นพบเอกสารชุดนี้เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๒๐-๑๘๔๓

    เนื้อหาของหนังสือ "จารึกอโศก" แบ่งเป็น ๒ ภาค คือ
    -ภาคนิเทศ จารึกอโศก
    -ภาคตัวบท จารึกอโศก ศิลาจารึกฉบับจำเพาะ+เบ็ดเตล็ด+จารึกพิเศษกลิงคะ+จารึกศิลา ๑๔ หลัก+จารึกหลักศิลา ๗ หลัก

    เนื้อหาของหนังสือ "พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างสัญจิเจดีย์เป็นพุทธบูชา"
    -คำชี้แจงเรื่องพระเจ้าอโศก
    -พระเจ้าอโศกเมื่อครั้งปฐมวัย
    -ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
    -ทรงบำรุงพระพุทธศาสนา
    -ทรงไต่สวนเรื่องพระเนตรกับเจ้าชายกุณาละ
    -เจ้าชายกุณาละถูกควักพระเนตร
    -ทรงทรมานเจ้าชายวีตโศกราชอนุชา
    -เจ้าชายพระวีตโศกทำปาฏิหาริย์
    -ทิวงคต

    "จารึกอโศก" เป็นความเมตตาของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ที่อนุญาตให้เผยแผ่ได้แบบไม่มีค่าลิขสิทธิ์ ผู้สนใจก็สามารถขอรับต้นแบบหนังสือได้"ฟรี" ที่วัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม ขออนุโมทนากับพระคุณเจ้าด้วยครับ...

    ส่วน "สัญจิเจดีย์ และธรรมจักรบนเศียร ๔ สิงห์" มีความสัมพันธ์กันอย่างไร คณะทำงานบรรพชนทวามีความเชื่อมั่นว่า เอกสารชุดนี้หาอ่านได้ยาก ไม่มีผู้นำมาเผยแพร่อย่างแน่นอน ต้องลองติดตามครับ..



    ผล.....อยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อมูลในหน้าที่ 23 คห.ที่ 453 เป็นต้นไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2012
  3. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    คณะทำงานบรรพชนทวาจะทยอยนำพระพุทธโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากหนังสือ "พุทโธวาท" เรียบเรียบโดย กิตฺติวุฑฺโฒ ภิกฺขุ อายุหนังสือเกือบ ๕๐ ปีล่วงมาแล้วมาลงต่อท้ายเรื่องราวสมัยพุทธกาล ตั้งแต่คห.ที่ 131 เป็นต้นไป มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากกว่า ๓๐๐ เรื่อง เพื่อให้อ่านง่าย และสะดวกในการค้นหา จึงจะลงไว้เรื่องละความเห็น ตามดัชนีค้นหาในหน้า 1 เช่น
    -เรื่องบำเพ็ญพุทธการกธรรม ๑๐ ประการ
    -พระอนัตตลักขณสูตร
    -นิพพานธาตุ ๒ อย่าง
    -ทางเสื่อมแห่งพระโพธิญาณ
    -อนุตตริยะ ๖ ประการ
    -ของที่หาได้ยากในโลก ๖ อย่าง
    -โทษของผู้กีดขวาง และห้ามผู้อื่นทำบุญ
    -ธรรมเทศนาชนิดใดที่ไม่บริสุทธิ์ และบริสุทธิ์
    -เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการของพุทธบริษัท ที่ทำให้พระสัทธรรมเสื่อม
    -โภชฌงค์ ๗ รักษาโรคได้
    -เห็นเวทนา ๓ อย่างไร จึงเรียกว่าเห็นชอบ
    -ผู้พิจารณาอริยสัจ ๔ อยู่เนืองๆ แล้วย่อมถึงซึ่งเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ
    -วัชชีธรรม ๗ ประการ
    -ตรัสอปริหานิยธรรมแก่สงฆ์
    -แผ่นดินไหว เพราะเหตุ ๘ ประการ
    -ทรงแสดงมหาประเทศ ๔ อันเป็นหลักตัดสินธรรมวินัย
    ฯลฯ



    ผล.....อยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อมูลในหน้าที่ 7 เป็นต้นไป คห.ที่ 122-282
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2012
  4. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    พระพุทธศาสนา...พระโบราณ...พระในตำนาน
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->บรรพชนทวา<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6823595", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    ผมขอแนะนำ ว่าถ้าท่านตั้งใจจริง ลองไปสึกษาตามแนวทางของหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุงดูบ้างก็ได้ ไม่เสียหลายครับ เพราะท่านเป็นเคารพของ มนุษย์เทวดาและพรหม และได้ นำคำสั่งสอน มาให้ สานุศิษย์ ได้ นำไปประพฤติประฏิบัติ และได้พิมตำรามากมาย เอาคำสอนของพระพุทธองค์มาสอนแบบง่ายๆ ท่านเล่าประวัติของชนชาติไทยอยู่ที่นี่มาช้านาน หลายร้อยล้านปีมาแล้ว พระพุทธเจ้าท่านเสด็จเมือง ไทยสมัยทวาราวดี ไว้มีด้วยครับ คนสมัยนั้นก็คือคนไทย นครปฐม ในสมัยหมอชีวกมา เที่ยวกับไป พระองค์พูดกับหมอชีวก ว่า คนในเมืองทวาราวดีเขาคุยพูดกันอย่างไร หมอชีวกตอบว่า กินก็กิน นอนก็นอน เป็นภาษาโดด พูดง่ายไพรเราะมาก

    หมอชีวกถาม พระพุทธองค์ว่า ที่พระองค์พูดได้ พูดด้วยที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ใช่หรือไม่ พระองค์ตอบว่า มันเป็นคำพูด โดยพระโคตรของพระองค์เอง หลวงพ่อท่านจะพูดถึง ถ้าจำไม่ผิดจะอยู่ในหนังสือ ฤาษีสอนลูก ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง คนไทยในสมัย โยนก เชียงแสนหายไปไหนหมด ทำไมนักประวัติศาสตร์ ไม่บันทึกไว้เลย คอยจะไปเชื่อฝรั่ง หรือนักบิดเบือนประวัติศาสตร์ ผมว่า ไปดู รอยพระพุทธบาท ว่าในประเทศไทยมีมากมาย ผมว่าเรานักประวัติศาสตร์ไม่มีอัคติ น่าจะลองดูนะครับ และศึกษาดู ผมเอง ไม่ค่อยมีความรู้อะไร แต้ก็ขอแสดงความคิดเห็น ให้หาเหตุและผลให้ถ่องแท้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2012
  5. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ตำนานเทศกาลกินเจ กินเจ ๒๕๕๕

    เทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ ๔๐๐ ปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า เกิดมาในสมัยที่ชาวจีนถูกรุกรานโดยชนชาติแมนจู ซึ่งเข้าปกครองประเทศจีน และบังคับให้ชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน อาทิ การไว้ทรงผมเยี่ยงแมนจู คือ โกนศีรษะโล้นทางด้านหน้าและไว้ผมยาวทางด้านหลัง ซึ่งหลายคนคงจะชินตาในภาพยนตร์จีนที่นำมาฉายทางทีวี

    ในสมัยนั้น มีคนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านชาวแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้ามาร่วมด้วย ชาวจีนกลุ่มนี้ นุ่งขาว ห่มขาว และไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับกลุ่มของตนจนสามารถต้านทานชาวแมนจูได้ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า 'หงี่หั่วท้วง' ซึ่งแม้จะได้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของชาวแมนจูได้

    เมื่อถึงวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๙ ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ 'หงี่หั่วท้วง' ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น

    ความเชื่อถืออีกกระแสหนึ่งของตำนานการกินเจนั้น เชื่อกันว่าเป็นการสักการะพระพุทธเจ้าในอดีต ๗ พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก ๒ พระองค์ รวมเป็น ๙ พระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ ในพิธีกรรมนี้ สาธุชนจึงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยการตั้งปณิธานในการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อเป็นการสมาทานศีล ๓ ประการ คือ

    ๑. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน

    ๒. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน

    ๓. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน

    สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่ พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของกการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ 'เจ้าแม่กวนอิม' การกินเจ จึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ

    บรรยากาศเทศกาลกินเจของเมืองไทยในปัจจุบัน คนทั่วไปไม่เว้นแม้กระทั่งหนุ่มสาวยุคใหม่ต่างก็หันมากินเจกันมากขึ้นทั้งนี้ อาจจะมาจากกระแสเรื่องห่วงใยสุขภาพมากกว่าความเชื่อโบราณ เพราะการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิดและหันมาบริโภคแต่ผัก ผลไม้นั้นจะช่วยชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย หรือคนยุคนี้เรียกว่า 'การล้างพิษ' ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

    ความหมายของ 'เจ'

    'เจ' ในภาษาจีนมีความหมายว่า 'อุโบสถ' เป็นคำแปลทางพุทธสาสนา นิกายมหายาน

    การกินเจนั้นแต่เดิมหมายความถึง 'การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน' ตามแบบอย่างของพระพุทธศาสนา เราจะเห็นตัวอย่างชาวพุทธรักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล ๘ ด้วยการไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงไปแล้วเช่นเดียวกับพระภิกษุ แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย จึงนิยมเรียกการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกับการกินเจ จนถึงปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารครบ ๓ มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ยังคงเรียกว่า 'กินเจ'

    ความหมายของการกินเจ จึงหมายถึงการรักษาศีล ปฏิบัติธรรมทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่หมายความเพียงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น การปฏิบัติธรรมร่วมไปด้วยจึงจะครบเป็น 'การถือศีล-กินเจ' อย่างแท้จริง

    ความหมายของ 'ธงเจ'

    อักษรแดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า 'ไจ' หรือ 'เจ' มีความหมายว่า 'ของไม่มีคาว' สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตน 'ถือศีล-กินเจ' ได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา ๙ วัน ๙ คืน

    การปฏิบัติตัวในช่วงเทศกาลกินเจ

    เมื่อตั้งมั่นที่จะปฏิบัติศีลและกินเจ ในช่วงเทศกาลกินเจ ๙ วัน ๙ คืนนี้แล้ว ก็ควรจะศึกษาข้อห้ามต่างๆ ที่บัญญัติไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว โดยทั่วไปแล้วจะมีข้อปฏิบัติดังนี้


    • งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
    • งด นม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์
    • งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก
    • งดผักกลิ่นฉุน ๕ ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
    • รักษาศีล ๕
    • รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่
    • ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว
    สำหรับคนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ 'ถือศีล-กินเจ' แล้วยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ 'อาหารเจ' นั้นบริสุทธิ์จริงๆ บางคนจะมีการคัดแยกภาชนะที่บรรจุอาหารหรือใช้ปรุงอาหาร แยกจากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวง ไว้เป็นเวลา ๙ วันตลอดระยะเวลาการกินเจ เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา

    อาหารเจ

    ปัจจุบันมีการยอมรับกันโดยทั่วไปถึงคุณค่าของ 'อาหารเจ' เนื่องจากการรับประทานพืชผักในปริมาณที่มากกว่าปกติ งดเว้นเนื้อสัตว์ ทำให้กระเพาะได้พักจากภารกิจการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่ และได้รับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งได้โปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากโปรตีนที่เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อนจากการรับสารอาหารย่อยยากจากแหล่งอาหารต่างๆ รวมทั้งยังได้รับพลังใจจากการที่ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ เบาสบาย

    หลายคนคิดว่า การรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เกิดโรคขาดอาหาร ทั้งที่สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคขาดอาหารนั้น มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์และกินเจ ซึ่งมีนิสัยการบริโภคที่ไม่คำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับ

    คนที่กินเจอย่างถูกหลักก็จะได้รับอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การประกอบอาหารเจเพื่อรับประทานในช่วงนี้ จึงสามารถเลือกอาหารพวก ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง ทดแทน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ

    เจ กับมังสวิรัติ

    อาหารมังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้ แต่อาหารเจ ต้องงดเว้นผักฉุน ๕ ประเภท (ดังที่กล่าวมาแล้ว) รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังคงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการ ถือศีล-กินเจ ที่แท้จริง ในขณะที่มังสวิรัติ หมายรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น

    การกินเจ นอกจากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลด้วยการละ เลิก เพื่อชีวิตแล้ว ในแง่ของสุขภาพร่างกายก็พลอยได้รับประโยชน์ร่วมด้วย เพราะถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีโอกาสพักผ่อน จากการย่อยอาหารประเภทที่ย่อยยากทั้งหลาย

    กิน เจ ที่ภูเก็ต

    เจ ที่ภูเก็ตมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก เจเดือนเก้า แต่ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน ๑๑ เทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินเชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ว่าเป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบและระยะเวลา ๙ วันเช่นเดียวกัน

    ความเชื่อเกี่ยวกับการกินเจที่ชาวภูเก็ตเล่าสืบต่อกันมาว่า มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้ แล้วบังเอิญเกิดโรคระบาด คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้น ปรากฏว่าโรคระบาดก็หายไปสิ้น ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสจึงปฏิบัติตาม นับเนื่องจากนั้นมีผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ชาวกระทู้จึงอยากให้พิธี 'กินเจ' ของตนสมบูรณ์แบบ ตามแบบพิธีในมณฑลกังไส จึงได้ส่งตัวแทนไปนำเอาควันธูปกลับมา โดยการตั้งมั่นที่แรงกล้า เพราะพิธีการนำควันธูปกลับมานั้น ต้องจุดธูปต่อกันมิให้มอดดับได้ ศาลเจ้ากระทู้จึงเป็นศูนย์กลางของเทศกาลการกินเจที่ภูเก็ตเรื่อยมา จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

    ๙ วันแห่งพิธีกรรมของการกินเจที่ภูเก็ต

    กลางคืนวันที่หนึ่ง จะมีพิธียกเสา 'โกเด้ง' ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง ๙ ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้า มาประทับ เช้าวันรุ่งขึ้นมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม

    หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก การกินผัก ผ่านไป ๓ วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า 'เช้ง' ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก ๒ องค์ คือ 'ลำเต้า' เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ 'ปักเต้า' เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี 'ปั้งกุ้น' หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง ๕ ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น

    ในวันที่เจ็ด เริ่มพิธี บูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ

    สองวันสุดท้าย เป็นความตื่นเต้นท้าทาย เมื่อมีการจัดขบวนพิธีแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยท้าทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้น ไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอดเส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด

    วันที่เก้า จะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี 'โก๊ยโห้ย' หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่ายร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า ๒ ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ ๑๒ เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ ๙ จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลงดับโคมไฟทั้ง ๙ เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต

    กินเจ ที่ภูเก็ต ออกไปในแนวสนุกสนาน ตื่นเต้น ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ แต่หลายคนที่ไปดูด้วยตาตนเอง ยังพกความตื่นตาตื่นใจ เป็นประสบการณ์มาถึงปัจจุบัน และเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการกินเจอีกรูปแบบหนึ่ง

    ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ

    • ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผักและผลไม้ เป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย
    • ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืชผักช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร
    • หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรค มีความคล่องตัว รู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด
    • ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคสำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ และยังช่วยป้องกันโรคร้ายเหล่านี้
    • อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง ๕ ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพ อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด

      อวัยวะเสริมทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะ ปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี

      ผู้ที่กินเจ จะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่

      ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อื่นๆ

      อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด

      มลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศรวมถึงแหล่าอาหารและน้ำดื่ม

    • กัมมันตภาพรังสี จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และ การทำสงคราม สารอาหารจากพืชพัก ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทนต่อการทำลายจากกัมมันตภาพรังสีได้

      ในทางการแพทย์ การกินเจ มีประโยชน์ในการรักษาโรคที่สามารถพิสูจน์และมองเห็นได้จัดเจนกว่า ประโยชน์ในทางศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่ละเอียดเท่าเรื่องของศาสนาจึงสามารถมองเห็นได้ง่ายกว่าเป็นธรรมดา แม้ว่าการปฎิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา
    อานิสงส์ ๑๐ ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์ (กินเจ)

    อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์และไม่เบียดเบียนสัตว์ คือ จะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วย ปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่่ตายด้วยเหตุกาณ์อันน่าสยดสยองหรือภัยพิบัติต่างๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมในเรื่องการฆ่าและยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาอันมิอาจประมาณได้ทรงรักใคร่สรรพสัตว์ทั้งหลายประดุจลูกในอุทรของพระองค์เอง เมื่อได้บรรลุอนุตตรสัมโพธิญาณสูงสุดแล้ว ก็ยังทรงมีพระทัยห่วงใยปรารถนาให้เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ได้หลุดพ้นออกจากบ่วงกรรม และระงับดับการจองเวรซึ่งกันและกัน ในบรรดาบาปกรรมทั้งหลายที่คนหลงผิดกระทำไปการเบียดเบียนฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นถือ เป็นบาปกรรมที่ร้ายแรงที่สุด แม้ว่าจะกระทำลงไปโดยไม่เจตนา ก็ยังต้องไปรับโทษ นับประสาอะไรกับการจงใจเจตนาฆ่าเขาให้ตาย โทษทัณฑ์์นั้นจะยิ่งใหญ่หลวง และไม่อาจให้อภัยได้ ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงมี พระประสงค์ ให้เราทุกคนละเว้นจาก การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเลิกเบียดเบียนผู้อื่นโดยเด็ดขาด พระองค์จึงทรงบัญญัติ ศีลข้อ “ปาณาติบาต” คือห้ามการฆ่า เป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง ขอให้เราจง มาร่วมกันศึกษาพิจารณาพระพุทธวจนะว่าด้วยเรื่อง “อานิสงส์ ๑๐ ข้อของการ ไม่กินเนื้อสัตว์" เพื่อจักได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ และบำเพ็ญธรรมให้สูงขึ้นไป ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า

    “สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ ์ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า “บุคคลใด หยุดการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูล ทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ ทั้ง ๑๐ ประการอันได้แก่

    ๑. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย

    ๒. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น

    ๓. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้

    ๔. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย

    ๕. มีอายุมั่นขวัญยืน

    ๖. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด

    ๗. ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล

    ๘. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน

    ๙. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ

    ๑๐.ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมู่งสู่คติภพ""

    แหล่งที่มาของข้อมูล: elib-online.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2012
  6. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    พระโพธิสัตว์อวโลกกิเตศวร(พระแม่กวนอิม)นี้ ทรงมีพระบารมีสูงมาก พระชาติสุดท้ายของพระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาแห่งแผ่นดินซิงหลิน ประเทศจีน พระนามพระธิดาเมี่ยวเซียงทรงเป็นผู้ที่ได้บำเพ็ญทุกขบารมีอย่างมากก่อนสำเร็จ สำหรับพุทธบริษัทฝ่ายมหายานก็คงทราบกันดีแล้ว

    มีบทสวดมนต์บูชาที่สำคัญที่สุดอยู่บทหนึ่ง คือ บท "ฮ่งไป่กวงอิม" เป็นการสรรเสริญพระกิตติคุณของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เทพพรหมทั้งหลายย่อมจะเสด็จมาอนุโมทนาแก่มนุษย์ผู้สวดมนต์ภาวนาบทนี้ ด้วยพระเมตตาบารมีของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่ได้ทรงช่วยเหลือสัตว์โลกทั้งหลายให้รอดพ้นจากความทุกขฺยากนานาประการ และให้ประสบความเจริญรุ่งเรืองตลอดมา นับเป็นระยะเวลาถึงหมื่นปีแล้วนั้น ขอให้ดลบันดาลให้ศาสนิกชนทุกคนซึ่งสักการะบูชาพระองค์ด้วยการสวดมนต์ภาวนาบทสวดมนต์นี้ได้รับความสุข ความเจริญ สมความปรารถนาทั้งในปัจจุบัน และอนาคตโดยทั่วกันสืบไป

    คณะทำงานบรรพชนทวา จึงขอนำบทสวดมนต์บท "ฮ่งไป่กวงอิม" ไทย-จีน และคำแปลภาษาไทยมาเผยแผ่ในกระทู้"พระพุทธศาสนา...พระโบราณ...พระในตำนาน..."นี้

    [​IMG][​IMG]
    บทสวดมนต์ ฮ่งป่กวงอิม
    ม้อเอียซาผ่อออ
    จี้ซิมกุยเหม่งลี่
    กวงอิมผ่อสักไต่ฉื่อปุย
    กิ้วโต่วจงเซ็งบ่อจิงตี้
    จ๋อชิ่วจิบปั๊งกำโหล่วจุ้ย
    อิ๋วชิ่วจิบกีเอี่ยงลิวกี
    เท้าเจี่ยเต็งจุงหยู่ไหล่หุก
    เข้าตังเสี่ยเหนี่ยมออหนี่ท้อ
    อู่นั้งเหนี่ยมติกกวงอิมจิ่ว
    ฮวยแคฮ่วยจ่อแปะโหน่ยตี๊
    เจียวเหนียมกวงซี่อิม
    หมอเหนียมกวงซี่อิม
    จี่เต็กลิ้มตังกวงซี่อิม
    แปะโหน้ยตี๊ตังกวงซี่อิม
    ฉิ่มเซียกิ้วโค่วกวงซี่อิม
    แปะโชยบ่วงเอ็กกวงซี่อิม
    หกต่อฮุ้งตังคงลี่หิ่ง
    หกต่อกังโอ้วหลั่งหลีชิ้ม
    หกต่อเอี้ยงกังกิ้วจิกโค่ว
    หกต่ออิมฮู่โต่วจงเซ็ง
    หยิกยิกสี่ซี้ไหล่กิ้วโค่ว
    สี่ซี้กิ้วโค่วปุกหลี่ซิง

    *ง้อกิมกี๋ซิ่วไป้กวงอิม
    หยุ่ยหงวงกวงอิมกั้งไหล่ลิ้ม
    ไต่ฉื่อปุยกิ้วโค่วหลั่ง
    นำมอเหล่งก้ำกวงซี่อิม
    ผ่อสักหม่อฮอสัก
    นำมอออนี้ถ่อหุก
    นำมอออนี้ถ่อหุก
    นำมอออนี้ถ่อหุก

    *ให้กราบ หรือไหว้ เมื่อสวดถึงข้อความนี้

    คำแปล สรรเสริญกิตติคุณพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม
    ขอนมัสการพระรัตนตรัย
    ด้วยจิตตั้งมั่นในหลักของศาสนาที่จะเข้าถึงธรรมะ
    ขอน้อมระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมผู้ทรงมีมหาเมตตาเป็นอนันต์
    ที่ทรงช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นจากวัฏฏะโดยไม่มีขอบข่าย
    พระหัตถ์ซ้ายของพระองค์ ทรงถือแจกันน้ำอมฤตที่สามารถปราบมารได้
    และพระหัตถ์ขวาทรงถือกิ่งหลิวอันศักดิ์สิทธิ์ไว้สำหรับประพรมน้ำอมฤต
    บนพระเศียรทรงสวมรัตนมาลาที่มีสัญญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า
    พระองค์ทรงหมั่นสวดมนต์ภาวนาระลึกถึงพระพุทธเจ้าอมิตาภะอยู่เสมอ
    ผู้ใดหมั่นภาวนาพระคาถาบูชาพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมจนขึ้นใจ
    ย่อมที่จะพ้นจากความทุกข์ร้อน และได้รับความร่มเย็นเหมือนดั่งความเย็นชื่นแห่งสระบัวขาว
    ขอน้อมจิตระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมเสมอ ทั้งเวลาเช้า และเย็น
    ขอน้อมจิตระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ที่ทรงเร้นพระวรกายอยู่ในป่าไผ่
    ขอน้อมจิตระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ที่ทรงประทับบนดอกบัวขาวในโบกขรณี
    ขอน้อมจิตระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ที่ทรงบำบัดทุกข์ตามเสียงพร่ำเรียกของสัตว์โลก
    ขอน้อมจิตระลึกถึงพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ที่ทรงอยู่ห่างเราเป็นหมื่นเป็นแสนโยชน์
    บางครั้งพระองค์จะทรงปรากฎพระวรกายอยู่บนปุยเมฆ เพื่อช่วยเหลือเรา
    บางครั้งพระองค์จะทรงดั้นด้นในท่ามกลางคลื่นลมของแม่น้ำ และมหาสมุทร เพื่อทรงค้น และช่วยเหลือเรา
    บางครั้งพระองค์จะทรงบำบัดทุกข์ให้สัตว์โลกในมนุษยโลก
    บางครั้งพระองค์จะทรงช่วยเหลือสัตว์นรกในนรกโลก
    ทุกๆวัน ทุกๆเวลา ขออ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จมาทรงช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้แก่เรา
    ทุกๆเวลาขอให้พระองค์เสด็จมาอยู่ใกล้ๆเราเพื่อทรงขจัดทุกข์
    ในวโรกาสนี้ ข้าน้อยขอสักการะบูชาพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมด้วยความเคาระยิ่ง และหวังว่ากระแสแห่งการสักการะบูชานี้ คงจะกระทบถึงพระองค์ให้ทรงรับทราบ และเสด็จมาโปรดข้าน้อยทั้งหลายบ้าง
    ขอน้อมสักการะในน้ำพระทัยอันล้ำลึกของพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระมหาโพธิสัตว์ซึ่งขจัดทุกข์ให้แก่สัตว์โลกได้
    นะโมอนันตพุทธะ
    นะโมอนันตพุทธะ
    นะโมอนันตพุทธะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1010006.JPG
      P1010006.JPG
      ขนาดไฟล์:
      300.6 KB
      เปิดดู:
      515
    • P1010007.JPG
      P1010007.JPG
      ขนาดไฟล์:
      335 KB
      เปิดดู:
      131
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2012
  7. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เหรียญพระแม่กวนอิมพันกร วัดสมณานัมบริหาร(วัดญวนสะพานขาว) ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็น ๑ ในเหรียญในตำนาน องสรภาณมธุรส(หลวงพ่อบ๋าวเอิง) เป็นผู้เชิญญาณบารมีพระโพธิสัตว์เสด็จประทับ ซึ่งปกติเหรียญปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ก็เป็นเหรียญในตำนานที่พบได้ยากอยู่แล้ว แต่เหรียญปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ยิ่งพบได้ยากกว่า...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    คณะทำงานบรรพชนทวา จะนำเนื้อหาในตำรา "พระอนาคตวงศ์ เป็นพุทธโอวาท" บรรยายเรื่องโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ มาเผยแผ่เป็นลำดับสุดท้ายใน"หมวดพระพุทธศาสนา"ครับ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2012
  9. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ตำราว่าด้วยพระพิมพ์ ๒ เล่มนี้ เล่มหนึ่งเป็นแม่บทของการพิจารณาพระพิมพ์โบราณ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีโอกาสเข้าไปขุดค้นโบราณสถาน และโบราณวัตถุชุดแรกๆ คณะทำงานบรรพชนทวาเชื่อว่า ตำราเล่มนี้จะให้ความรู้หลายเรื่องที่ไขปริศนา และความสงสัย ความเข้าใจผิดของผู้คนจำนวนหนึ่งถึงจำนวนมาก อีกเล่มหนึ่งถ่ายทอดความรู้ทางพุทธศิลป์ที่มีแนวทางต่างจากศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ นักสำรวจในยุคแรกๆ คณะทำงานบรรพชนทวาเชื่อว่า เพียงตำราอย่างน้อย ๒ เล่มนี้ก็เปรียบเสมือนดวงไฟในยามวิกาลที่จะให้ท่านได้เห็นมุมบางมุม ได้เกิดความเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง ไม่ต้องไปเชื่อเซียนพระเครื่องท่านก็มีความรู้เพียงพอที่จะวิเคราะห์พระพิมพ์ได้ด้วยตนเองว่าของแท้เป็นอย่างไร...
    [​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ตุลาคม 2012
  10. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    คณะทำงานบรรพชนทวาจะนำ"พระปริตร ๑๒ ตำนาน" มาเผยแผ่ในหมวดพระสูตรในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งปกติเราสามารถจะ search หาได้จากในweb site ต่างๆ ก็จะพบเพียงตัวบทของพระสูตรทั้ง ๑๒ ตำนาน และคำแปลเท่านั้น โดยไม่ทราบมูลเหตุความเป็นมาของพระปริตร ๑๒ ตำนาน "พระปริตร ๑๒ ตำนาน" เป็นตำราเก่าที่มีอายุ ๘๑ ปีแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ที่สำคัญมีของแถมมานั่นคือ "มงคลจักรวาฬใหญ่" และ"ข้อบันทึกใจความในพระปริตร"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2012
  11. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    "โบราณคดี" ว่าด้วยพระพิมพ์สมัยต่างๆที่ถ่ายทอดความรู้ของ ๒ บุคคลคือ สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ และศาสตราจารย์ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ คณบดีคณะโบราณคดีคนแรก มหาวิทยาลัยศิลปากร รวมทั้งเรื่องราวต่างๆ เป็นตำราที่หายากมากๆ คณะทำงาน"บรรพชนทวา"จะนำลงในหมวด"พระพิมพ์โบราณ"

    เล่มแรก "โบราณคดี" เป็นของศาสตราจารย์ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ หนา ๔๑๕ หน้า พิมพ์ปี พ.ศ.๒๕๐๓
    [​IMG][​IMG][​IMG]

    เล่มที่ ๒ "เรื่องโบราณคดี จากลายพระหัตถ์สมเด็จฯ" เป็นผลงานของ ๒ บุคคลคือ สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ และศาสตราจารย์ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ หนา ๕๒๒ หน้า พิมพ์ปี พ.ศ.๒๕๐๓
    [​IMG][​IMG][​IMG]

    ติดตามชมกันครับ
     
  12. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    "ธรรมจักร"เป็นสัญญลักษณ์การประกาศธรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว เสมือนหนึ่งการประดิษฐานพระพุทธศาสนา ครั้งแผ่นดินพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงสร้างเสาสิงห์เทินพระธรรมจักรนั้น มีความนัยที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งดังนี้...

    "สิงห์" เป็นสัญญลักษณ์แทน"พระราชอำนาจ"
    "สิงห์อ้าปาก" เป็นสัญญลักษณ์แทน"การประกาศธรรม"
    "ธรรมจักรเทินเหนือสิงห์" เป็นสัญญลักษณ์แทน"การใช้พระราชอำนาจต้องใช้ด้วยธรรม"

    คณะทำงาน"บรรพชนทวา"ได้รับหนังสือมาเล่มหนึ่งชื่อว่า "ธรรมจักร" มีความน่าสนใจอย่างน้อย ๓ ประการ คือ
    ๑) ผู้เรียบเรียง คือท่านอดีตอธิบดี กรมศิลปากร คุณธนิต อยู่โพธิ์ ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโบราณคดี ข้อมูลส่วนนี้จึงแน่นมาก
    ๒) เป็นการรวบรวมหลักฐาน และความรู้ต่างๆที่ค่อนข้างครบถ้วนทีเดียว
    ๓) ความรู้ส่วนสำคัญนี้นำมาซึ่งที่มาของการวิเคราะห์พระพิมพ์ยุคสมัยต่างๆ


    "ธรรมจักร" นี้เป็นของกรมศิลปากรพิมพ์ถวายพระภิกษุ และสามเณรซึ่งเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในเทศกาลเข้าพรรษา พ.ศ. ๒๕๐๘ ความรู้ส่วนนี้จะนำไปบรรจุไว้ใน"หมวดพระพุทธศาสนา" ตามลำดับ
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2012
  13. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    เรื่องราวของ ๒ ราชธานีของไทยเราอายุรวมกันร่วมพันปีอย่างกรุงสุโขทัย และกรุงศรีอยุธยามีสิ่งที่น่าสนใจอย่างมากควรที่คนไทยทุกคนจะได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์

    ผืนแผ่นดินทองอันกว้างใหญ่ไพศาล ได้มีมนุษย์เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่นานนับเป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์จนกระทั่งได้มีการวิวัฒนาการชีวิตความเป็นอยู่ของตนขึ้นมาจวบจนถึงปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ในการศึกษา ค้นคว้าและเรียนรู้เรื่องราวในอดีตจนถึงปัจจุบันจากหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล เหตุการณ์ต่างๆ ทั้งด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ตำนาน ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม ประเพณีต่างๆ แหล่งท่องเที่ยว สถานที่สำคัญในอดีต ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของ ๒ ราชธานีไทย สืบสานต่อมาเป็นมรดกอันล้ำค่า ควรค่าแก่การอนุรักษ์

    สารบัญ

    -ปฐมบทแห่งกรุงสุโขทัย
    -ความรุ่งเรือง-เสื่อมถอย แห่งราชอาณาจักรสุโขทัย แบ่งตามสมัยการปกครอง
    -พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วงผู้ครองกรุงสุโขทัย
    -บทสรุปราชอาณาจักรสุโขทัย
    -โบราณสถานสำคัญสมัยราชอาณาจักรสุโขทัย
    -ปฐมบทแห่งกรุงศรีอยุธยา
    -ความรุ่งเรือง-เสื่อมถอย แห่งราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา แบ่งตามสมัยการปกครอง
    - ราชวงศ์เชียงราย
    - ราชวงศ์สุวรรณภูมิ
    - ราชวงศ์สุโขทัย
    - ราชวงศ์ปราสาททอง
    - ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
    -๕ ราชวงศ์พระมหากษัตริย์ผู้ครองกรุงศรีอยุธยา
    -บทสรุปราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
    -โบราณสถานสำคัญสมัยราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา

    เป็นที่น่าเสียดายที่หนังสือ"ย้อนรอยสองราชธานี กรุงสุโขทัย และกรุงศรีอยุธยา"นี้ทางสำนักพิมพ์สูตรไพศาลมีถ้อยคำแสดงลิขสิทธิ์เอาไว้ ดังนั้นคณะทำงาน"บรรพชนทวา"อาจจะนำเสนอในรูปแบบการสรุปสั้นๆย่อๆ ให้เกิดความน่าสนใจ เมื่อมีความสนใจในเนื้อหาดังกล่าวแล้วก็อุดหนุนซื้อหนังสือกับทางสำนักพิมพ์กันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. TrainSSS

    TrainSSS สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +4
    พระที่งดงามล้ำค่า:cool:
     
  15. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    คณะทำงานบรรพชนทวาไปพบหนังสือเล่มหนึ่งที่วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่ เป็นผลงานชิ้นเยี่ยมของพระเดชพระคุณพระสุพรหมยานเถระ(หลวงปู่ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก)ที่เป็นการรวบรวมคำสอนด้านธรรมะทั้งที่เขียนขึ้นเอง และที่บรรยายในสถานที่ต่างๆก่อนมรณภาพซึ่งยังไม่เคยได้เผยแพร่มาก่อน ผู้รวบรวมบทความ และถอดเทปบันทึกคำบรรยายมีหลายท่าน อาทิเช่น พระสังข์ ไชยวงศ์ พระสุวิน พฺรหฺมจาโร พระกมล อคฺคธมฺโม พระศานติ อธิปญโญ พระนพดล ภทฺทปญฺโญ พระมหาบุญชุม อคฺคธมฺโม ฯลฯ

    "เราจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร" เป็นความเกี่ยวเนื่องผูกพันของ ๒ ครูบาคือ หลวงปู่ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน และหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ธมฺมชโย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่ แต่เดิมกว่าจะเป็นหนังสือเล่มนี้ เวลานั้นทางคณะศิษยานุศิษย์กำลังเตรียมงานทำบุญครบรอบวันเกิดถวายหลวงปู่ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก ในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๒๗ แต่หลวงปู่ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก ได้ถึงแก่มรณภาพ เวลา ๕.๐๐ น. ของวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๗ ความทราบจากบันทึกประจำวันของหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ธมฺมชโย วัดทุ่งหลวง ซึ่งหลวงปู่ท่านจะบันทึกไว้เป็นกิจวัตร เนื่องจากเวลานั้นหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ธมฺมชโย กำลังรักษาอาการอาพาธของพระสว่างผู้เป็นศิษย์หลวงปู่ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโกได้มาพักรักษาอาการอาพาธที่วัดทุ่งหลวง จะเห็นว่าหลวงปู่ครูบาทั้ง ๒ มีการติดต่อกันอยู่เสมอในฐานะสหมิกธรรม คณะศิษยานุศิษย์จึงได้ขอเมตตาหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ธมฺมชโย เป็นเจ้าภาพในการจัดพิมพ์หนังสือธรรมฉบับรวมเล่มชื่อว่า "เราจะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร"นี้ขึ้นจำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม เพื่อเป็นที่ระลึกในวโรกาสบำเพ็ญกุศลครบ ๑ ปี ในวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ ความนัยละเอียดของเหตุการณ์ และธรรมปฏิบัติจะได้กล่าวถึงอีกครั้งเมื่อได้นำเนื้อหาธรรมะของหลวงปู่มาเผยแผ่ในหมวด"วิปัสสนา"

    ภาพพระธาตุหลวงปู่ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก ประกอบเรื่องราวนำมาจากหนังสือพระบรมสารีริกธาตุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    พระสมเด็จพิมพ์มโนมยิทธิ เป็นพระพิมพ์ในตำนานพิมพ์หนึ่งของวัดระฆัง บางองค์มีเพียงสองเกศ หรือสี่กร หรือซ้อนฐาน หรือขนานซุ้ม อย่างใดอย่างหนึ่ง บางองค์ก็มี ๒ ลักษณะ หรือ ๓ ลักษณะ หรือ ๔ ลักษณะพร้อมกันนั่นก็คือ สองเกศ สี่กร ซ้อนฐาน ขนานซุ้ม เป็นพิมพ์ที่หาดูได้ยาก นานๆจะพบซักองค์หนึ่ง ซึ่งอาจจะเข้าใจไปว่าเกิดจากการขยับเขยื้อนในขณะกดพิมพ์พระ แต่มีสิ่งที่สังเกตได้จากพระพุทธสรีระส่วนอื่นๆไม่ได้ขยับเขยื้อนตามไปด้วย รายละเอียดเกี่ยวกับพระพิมพ์สามารถศึกษาได้จากหนังสือ"ปู่.เล่าให้ฟัง" พิมพ์ที่นำมาให้ชมเป็นพิมพ์สองเกศ อัสนีพระอุระ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    พระพิมพ์สมเด็จเจ้าฟ้า เป็นพระพิมพ์ในตำนานพิมพ์หนึ่งของวัดพระแก้ววังหน้า รวมอานุภาพของพระกริ่งปวเรศ พระสมเด็จวัดระฆัง พระชัยวัฒน์ท่านเจ้ามา วัดจักรวรรดิราชาวาส(เป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๖๘)หรือวัดสามปลื้ม เข้าด้วยกัน รายละเอียดเกี่ยวกับพระพิมพ์สามารถศึกษาได้จากหนังสือ"ปู่.เล่าให้ฟัง"พิมพ์ที่นำมาให้ชมเป็นพิมพ์อัสนีฐานทิพย์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    ก่อนที่จะรู้จักเหรียญในตำนานเหรียญหนึ่ง ขอนำไปรู้จักประวัติของผู้สร้างพระในตำนาน เหรียญในตำนานท่านหนึ่งโดยสังเขป หากสนใจในรายละเอียดของประวัติท่านก็สามารถเข้าไปศึกษาได้ในเวปนี้..
    http://bbznet.pukpik.com/scripts/view.php?p=18&board=1&user=loongyeam&id=605&c=1&order=numtopic

    ประวัติท่านอ.เทพย์ สาริกบุตร

    [​IMG]
    ท่านที่สนใจทางไสยเวทพุทธาคมคงจะพอคุ้นหูกับชื่อของอ. เทพย์ สาริกบุตรกันพอสมควร ท่านผู้นี้นับเป็นอาจารย์ใหญ่ในสายกรุงเทพฯ คนหนึ่ง คนส่วนใหญ่มักรู้จักท่านผ่านงานค้นคว้าขนาดมหึมาของท่าน แต่คนรุ่นหลังมักไม่ค่อยได้ทราบเรื่องราวของท่านมากนัก หลายคนอาจไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวท่านเลย นอกจากศึกษางานเขียนของท่าน

    วันนี้จะเล่าเรื่องอาจารย์เทพย์ให้ฟัง อาจไม่ละเอียดนักเพราะเป็นเรื่องเก่า ผ่านเวลามาพอสมควรทำให้ลืมเลือนไปบ้าง หากผิดพลั้งตรงส่วนใดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย อาจารย์เทพย์ท่านเป็นคนกรุงเทพ ฯ มีศักดิ์เป็นหลานชายของหลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร) อดีตผู้อำนวยการของโรงเรียนสวนกุหลาบ คุณหลวงวิศาลดรุณกรนี้ตามประวัติชำนาญทางโหราศาสตร์มาก เพราะเป็นศิษย์ของพระเทวโลก โหรหลวงนามอุโฆษในสมัยรัชกาลที่ ๖ และคุณหลวงยังชำนาญทางวิทยาคมและพระกรรมฐาน โดยเป็นศิษย์เรียนกรรมฐานในสำนักวัดราชสิทธาราม โดยมีพระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) เป็นอาจารย์ พระสังวราชุ่มนี้เป็นผู้ทรงกิตติคุณทางวิปัสสนาธุระองค์หนึ่ง และได้เล่าเรียนทางวิปัสสนาเพิ่มเติม แม้ทางสายมหายาน โดยคุณหลวงได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ขององทันเคียด แห่งวัดอุภัยราชบำรุง (วัดญวน) เพื่อศึกษากรรมฐานกระทำมุทราตามแบบพุทธตันตระอีกด้วย อ.เทพย์ก็ได้ความรู้จากเจ้าคุณอามิใช่น้อย ส่วนทางมารดาของท่านเองก็มีผู้ชำนาญในทางนี้คือท่าน พันเองหลวงธรณีนิติญาณ

    จำได้ว่าภายหลังบิดาท่านย้ายไปทำงานราชการแถบชานเมือง แต่อ.เทพย์ก็ยังคงวนเวียนศึกษาหาความรู้ทั้งทางโลกและทางไสยเวทพุทธาคมอยู่ในแถบพระนครนี่เอง ก็มีแถววัดสามปลื้ม วัดปทุมคงคา วัดสามจีน ย่านนี้ซึ่งมีคนดีมีวิชา เป็นพระเป็นอาจารย์สักบ้างอยู่หลายท่าน และก็ได้เรียนกับท่านมหาโต๊ะสำนักวัดราชบุรณะ และก็อาจารย์อีกหลายรูปแถบฝังธน ทั้งทางเลขยันต์และพระกรรมฐานจนมีความแตกฉาน ต่อมาราว พ.ศ. 247 กว่า ๆ ท่านพระครูใบฎีกาเทพย์ สิงหรักษ์ ฐานานุกรมในสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว. เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) วัดระฆัง ได้พิมพ์ตำราเพ็ชรรัตน์มหายันต์ขึ้น ช่วงนั้นอ.เทพย์ท่านได้แวะเวียนไปปรึกษาด้านวิชาอยู่เนือง ๆ และก็มีท่านเจ้าคุณศรี วัดสุทัศน์ ฯ อีกรูปหนึ่งที่อ.เทพย์ยกย่องเป็นอาจารย์ด้วยความเคารพ ท่านผู้นี้สนใจศึกษาไสยศาสตร์ตั้งแต่ครั้งยังบวชเป็นสามเณรกับพระพุทธวิถีนายก (บุญ) วัดกลางบางแก้ว กล่าวกันว่า ในสมัยนั้นท่านแตกฉานในวิชาทางนี้มาก ถึงขนาดยกย่องกันว่า ไม่มีคาถาอาคมบทไหนที่ไม่เคยผ่านสายตาท่านมาก่อน อ.เทพย์ได้เรียนวิชาพระยันต์ ๑๐๘ นะ ๑๔ ตามตำรับพระพนรัตน วัดป่าแก้วที่ใช้หล่อพระชัยวัฒน์ในพระราชพิธี ต่อมาได้ประยุกต์มาหล่อพระกริ่งกันจนทุกวันนี้

    วิชาทางคงกระพัน อ.เทพย์เคยไปฝากตัวศึกษาอยู่กับท่านอาจารย์ ที่จำวัดอยู่วัดน้อยทองอยู่และวัดภุมรินทร์ราชปักษา ซึ่งปัจจุบันร้างไปแล้วภายหลังสงครามโลก และก็ได้ไปสำนักวัดมณีชลขันฑ์ ลพบุรี ได้วิชาสายนี้มามากพอดู ท่านอาจารย์เทพย์ก็เป็นที่รู้จักของบรรดาพระเถรานุเถระทั้งหลายในกรุงเทพ ฯ สมัยก่อน รูปใดมีความรู้ความสามารถท่านก็ไปปรึกษาอยู่เนือง ๆ ประกอบกับได้ค้นคว้าด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่จากตำรับตำราสารพัดที่ตกทอดมาแต่โบราณ ติดขัดตรงไหนก็ไปไต่ถามผู้รู้ จนกระทั่งมีความแตกฉาน แม้สำนักวัดประดู่ทรงธรรม สำนักวัดพระญาติ ทางพระนครศรีอยุธยา ท่านก็เคยไปสืบวิชามา และก็รู้จักกับอ.เฮง อีกด้วย เด็กนักเรียนสวนกุหลาบ เทพศิรินทร์สมัยก่อนมาลงวิชาชาตรีกับอ.เฮงมิใช่น้อย

    การศึกษาวิชาของอ.เทพย์ ก็วนเวียนอยู่ในสายกรุงเก่า-กรุงเทพนี้เอง คือครูบาอาจารย์จากอยุธยาและบางกอกก็สายเดียวกัน เว้นแต่สายทางมอญซึ่งท่านไปแลกเปลี่ยนกับพระสมุห์โต๊ดวัดชนะสงคราม และก็หลวงปู่รอด ปรมาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมแห่งวัดบางน้ำวน และก็เริ่มมีลูกศิษย์ลูกหามากขึ้นตามวัยวุฒิคุณวุฒิ ท่านไม่หยุดจะเสาะแสวงหาความรู้ ทำให้ยากที่จะกำหนดครูบาอาจารย์ที่ได้เรียนวิชามาได้แน่นอน ที่สำคัญคืออาจารย์ฆราวาสซึ่งสำเร็จวิชาแก้ว ๔ ดวง ได้สอนวิชานี้ให้โดยบอกเป็นปริศนา หกสองหกยกเสียสองตัว คุณแก้วเหนือหัวคำเดิมอย่าเสีย ฯลฯ ให้คิดถอดถอนเพื่อหนุนธาตุทำให้บังเกิดอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา คนใกล้ชิด อ.เทพย์เล่าว่าอาจารย์ผู้นี้บอกเคล็ดวิชาแล้วก็เดินลงน้ำหายไปอย่างไร้ร่องรอย นอกจากนี้ยังได้รู้จักกับ อ.พรหม ขมาลา (เปรียญ) สำนักวัดพระเชตุพน ซึ่งท่านผู้นี้มีส่วนสำคัญในการเสาะหาตำรับตำราต่าง ๆ เพื่อมาชำระ โดยในครั้งแรกมีพระมงคลราชมุนี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ ฯ เป็นที่ปรึกษา แต่ท่านก็ได้มรณภาพไปเสียกลางคัน ทำให้โครงการตำราคัมภีร์พระเวทต้องชะงักไปชั่วคราว แต่ก็ได้ริเริ่มจนเสร็จ อ.พรหมผู้นี้ชำนาญทางผงวิเศษ เพราะสืบสายวิชามาจากสายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง แม้ อ.ตรียัมปวาย (พ.อ.ประจญ กิตติประวัติ) ก็ยังรู้จัก และนับถือ ใช้เวลาหลายปีจึงสำเร็จออกมาเป็นชุดคัมภีร์พระเวท ๖ เล่ม ตั้งแต่ฉบับปฐมบรรพ ถึงฉัฏฐบรรพ ชุดคัมภีร์ ๖ เล่มนี้ท่านพิมพ์เองและได้ขาดตลาดไปร่วม ๓๐ ปีแล้ว แม้ที่พิมพ์ขายอยู่ในปัจจุบันก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยจากคัมภีร์ชุดใหญ่ ๖ เล่มนั้น

    สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จะมีผู้คน ลูกศิษย์ลูกหาแวะเวียนไปปรึกษา หาความรู้อยู่ไม่ขาด แรกที่เดียวบ้านอ.เทพย์อยู่ถนนเพลินจิต พระนคร ต่อมา ท่านได้ขายที่และย้ายไปอยู่แถว ลาดพร้าว บางเขน ท่านมีเรื่องต้องไปบวชในร่มเงาสมณเพศ จำพรรษาที่วัดสีหไกรสร บางกอกน้อย เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการให้ฤกษ์กับคณะปฏิวัติ พอคลี่คลายจึงได้ลาสิกขาออกมา ระหว่างบวชได้สร้างพระกริ่งที่เรียกกันว่า กริ่งปวเรศน้อย เสกดีมาก ๆ ถ้าจำไม่ผิดหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ (พระไพโรจน์วุฒาจารย์) รับนิมนต์มาเสกด้วย ลูกศิษย์ลูกหา อ.เทพย์ส่วนใหญ่เป็นคนใหญ่คนโต นักการเมือง ทหาร ตำรวจ ทางในรั้วในวังก็รู้จัก และไม่เพียงด้านไสยศาสตร์แม้โหราศาสตร์ท่านก็แตกฉาน ท่านเคยทำยาจินดามณีถวายพระเจ้าอยู่หัวด้วย

    สมัยก่อนใครสนใจเรื่องคงกระพัน ไปพบท่าน ท่านเสกคาถาจำพวกหัวใจ ๔ ตัว แล้วก็ลองสับให้ดูได้ อย่างเรื่องสะเดาะกุญแจนี้ มีครั้งหนึ่งอาจารย์เทพย์ไปบ้านอ.หนู (นิรันดร์) ที่ทำพระกริ่งวัดสุทัศน์ ไปนอนเล่นอยู่หรืออย่างไรนี่แหละ อยู่ ๆ ก็มีลูกศิษย์คนหนึ่งเข้ามาบอกเห็นว่าขลังนัก ลองสะเดาะประแจให้ดูหน่อย ถ้าทำได้จริงถึงจะเชื่อ อะไรทำนองนี้ สถานการณ์บังคับท่านจึงจำใจหยิบกุญแจมาใส่มือบริกรรม แล้วก็ตบไปที่กุญแจนั้น เสียงลั่นดังเปรี๊ยะปรากฏว่ากุญแจลั่นออก ข้างในแตกและพังไปเลย ปัจจุบันได้ยินว่ากุญแจนั้นก็ยังอยู่เป็นหลักฐาน แต่อยู่ที่ใครผมไม่ทราบเพราะไม่ได้ถามไว้ แล้วก็เรื่องปลุกพระภควัมให้ลุกนั่ง คือเอาพระภควัมมาใส่แช่น้ำมันหอมในขันสัมฤทธิ์ ปลุกให้พระลุกตั้งขึ้น ท่านทำไว้หลายองค์ แต่ต้องนั่งเสกนานหลายวัน ที่น่าสนใจคือมีคราวหนึ่งท่านลองเสกดอกจำปาเป็นแมลงภู่ตามคำยุของศิษย์ เอาดอกจำปาใส่ขันปิดฝาเสก เสกแล้วเสกเล่าก็ไม่เป็น จนผ่านไปหลายวัน ไม่เป็นสักที ท่านเกิดโมโหจึงเอาขันไปเททิ้ง พอเทออกเท่านั้นล่ะครับ ดอกจำปาก็บินเป็นแมลงภู่ไปทันที ใครอยากเสกอะไรก็ขอให้จำไว้เป็นอุทาหรณ์ ว่ามันไม่ใช่ของง่ายเลยนะครับ บั้นปลายอ.เทพย์ท่านป่วยเป็นเบาหวาน จนถึงที่สุดกับต้องตัดขาทั้งสองข้าง แต่ท่านก็กำลังใจดี มีธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว จนถึงวาระสุดท้ายท่านก็จากไปอย่างสงบ พระราชทานเพลิงศพที่วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน ลูกศิษย์คนสำคัญของท่านยังมีอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นเคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เมื่อผมยังบวชเป็นพระที่วัดบวรนิเวศ เคยไปฉันบ้านท่านผู้นี้ ยังได้พบกับ อ.ถนอม ศิษย์สำคัญคนหนึ่งของอ.เทพย์ที่บ้านท่านเลยครับ จบเรื่องท่านอาจารย์ใหญ่แต่เพียงคร่าว ๆ เท่านี้ครับ เรื่องยังมีอีกมากจำไม่หมด ตรงไหนเลอะเลือนไปก็กราบขออภัยท่านผู้เกี่ยวข้องมา ณ โอกาสนี้

    อนึ่ง ลายมืออักขระในตำราอาจารย์เทพย์นั้นมิใช่ลายมืออาจารย์เทพย์เขียนดังที่หลายคนเข้าใจ ผู้เขียนคืออ.จริน ผู้มีลายมืองดงาม กล่าวกันว่าท่านผู้นี้ก็สามารถลบผงปถมังทะลุกระดานได้

    อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ท่านเป็นปรมาจารย์ด้านพระกริ่งคนหนึ่งในเมืองไทยทีเดียว ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าท่านเป็นนักซื้อขายพระหรือเซียนพระแต่ประการใด แต่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหล่อพระกริ่ง และด้านไสยเวทย์คนหนึ่งในเมืองไทยที่หาตัวจับได้ยากยิ่งเลยทีเดียว ท่านยังเป็นปรมาจารย์ทางโหราศาสตร์ที่สำคัญคนหนึ่งของเมืองไทยอีกด้วย ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๔๖๒ อาจารย์เทพย์เป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษกว่าคนทั่วไป ท่านมีรกซึ่งมีลักษณะเป็นหมวกครอบศีรษะออกมาด้วยเป็นที่พิศดาร คุณหลวงวิศาลรุนกร (อั้น สาริกบุตร) ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นคุณลุงของอาจารย์เทพย์ และท่านยังเป็นโหราจารย์ที่มีชื่อคนหนึ่ง ตั้งชื่อให้ว่าเทพย์เพื่อเป็นมงคล ท่านพูดเป็นคำขันว่า เจ้าหมอเทพย์คนนี้น่ากลัวจะมีวิชาดีเอาติดตัวมาด้วย คำพูดของท่านเป็นจริงเมื่ออาจารย์เทพย์เติบโตขึ้นท่านก็กลายเป็นนักวิชาการ ทางด้านโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์ของเมืองไทยคนหนึ่งมี พันเอกหลวงธรณีนิติญาณ (สวัสดิ์ อินทรพล) ซึ่งเป็นคุณลุงทางฝ่ายมารดา ถ่ายทอดวิชาหมอดู โหราศาสตร์ไทยให้ท่าน ในขณะที่คุณหลวงวิศาลฯ สอนวิชาโหราศาสตร์สากล ท่านเป็นคนวิริยะอุตสาหะจริงๆ ใช้เวลาทุกขณะค้นคว้าหาความรู้ทางด้านนนี้มาตลอด ส่วนทางด้านไสยเวทย์มีคุณพ่อของอาจารย์ซึ่งถ่ายทอดวิชาวัดปากคลองมะขามเฒ่า ให้เป็นพื้นฐาน (คุณพ่อของอาจารย์เทพย์เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลอง)

    นอกจากนั้นยังมีพระอาจารย์สี วัดมณีชลขันธ์ อาจารย์ผาด หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วถ่ายทอดวิชาทำยาจินดามณีอันศักดิ์สิทธิ์ และวิชาทำพระไม้โพธิ์แกะห้ามสมุทรที่มีคุณวิเศษ เป็นลูกศิษย์รักของท่านเจ้าคุณศรีสัจจาสนธิ์ วัดสุทัศน์ที่ถ่ายทอดวิชาการหล่อพระกริ่งอันดับหนึ่งในเมืองไทย และท่านยังได้ศึกษาวิชาเพิ่มเติมจากวัดประดู่โรงธรรม อยุธยา ตักศิลาที่สำคัญยิ่งของเมืองไทย ท่านได้พบกับหลวงปู่เทียม วัดกษัตริย์ตรา หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ ที่เดินทางมาศึกษาวิชาวัดประดู่เหมือนกัน และเป็นสหธรรมมิกที่สนิทสนมกันเป็นพิเศษ แลกเปลี่ยนวิชากันอยู่เสมอมิได้ขาด นอกจากนี้ท่านยังแลกเปลี่ยนวิชากับหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน (สำหรับหลวงปู่รอดนี้ เรื่องมีอยู่ว่า มีลูกศิษย์ของท่านถูกเจ้าเข้ามาตลอด ญาติจึงพามาหาหลวงปู่รอดเพื่อแก้ไข แต่ท่านได้รดน้ำมนต์ ลงตะกรุดให้ติดตัว แต่เจ้าก็ยังเข้าได้อยู่ดี จึงได้ให้ลูกศิษย์มาหาอาจารย์เทพย์ เพื่อขอคำแนะนำ อาจารย์เทพย์ได้ลงตะกรุดไปให้ดอกหนึ่งถวายหลวงปู่รอด หลวงปู่รอดจึงให้คนที่ถูกเจ้าเข้าสิงใส่ติดตัวแทนตะกรุดหลวงปู่ เป็นที่น่าอัศจรรย์เจ้าที่เคยเข้าได้มาตลอดกลับเข้าไม่ได้อีกเลยนับตั้งแต่ บัดนั้น หลวงปู่รอดจึงขึ้นมาหาอาจารย์เทพย์ถามเรื่องยันต์ในตะกรุดนั้นว่าลงอะไร อาจารย์เทพย์จึงถวายวิชาลงตะกรุดนั้นให้หลวงปู่รอดไป นับตั้งแต่บัดนั้นหลวงปู่รอดไปมาหาสู่อาจารย์เทพย์มาโดยตลอดแลกเปลี่ยนวิชา กันอยู่เสมอ ท่านมากรุงเทพเมื่อไหร่ต้องมาแวะพักค้างที่บ้านอาจารย์เทพย์มิได้ขาด อาจารย์เทพย์นับถือหลงปู่รอดเป็นครูบาอาจารย์ของท่านองค์หนึ่งเลยทีเดียว

    ท่านยังเป็นเจ้าพิธีที่สำคัญๆของเมืองไทยอยู่หลายพิธี ซึ่งหลายท่านยังคงไม่ทราบ เช่น พิธีมหาจักรพรรดิ์กษัตราธิราช วัดปรินายก และที่พิษณุโลก พิธีที่สำคัญและน้อยท่านที่ทราบวิธีการจัดให้ถูกต้อง และพิธีหล่อพระกริ่งจอมสุรินทร์ พระกริ่งเอกาทศรถ พระกริ่งจิตตคุตโต หลวงพ่อผาง ฯลฯ ที่กล่าวมานี้ท่านลงแผ่นทอง กำหนดฤกษ์ยามให้ และเป็นเจ้าพิธีควบคุมด้วยตัวท่านเอง พระกริ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับท่าน คือพระกริ่งวัดปรินายก พระกริ่งปวเรศน้อย วัดช่องลม(วัดสีห์ไกรสร) ท่านทำตอนที่ท่านบวชเป็นพระภิกษุ ว่ากันให้หมู่ลูกศิษย์เททองเสร็จ ยิงได้เลยยังไม่ต้องปลุกเสกผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ ปืนยิงไม่ออกแม้แต่นัดเดียว ทำให้พระกริ่งชุดนี้ เป็นที่เสาะแสวงหากันมากในหมู่นักนิยมสะสมพระเครื่อง และยังมีการปลอมออกมาหลายฝีมือทีเดียว พระกริ่งดาว ๗ ดวง ที่หล่อเพียง ๗ องค์เท่านั้น ใครที่คิดจะหาปิดประตูได้เลย เพราะอยู่กับผู้ที่มีอันจะกินระดับแนวหน้าของเมืองไทยทั้งหมด ที่เรียกกริ่ง ๗ ดาวนี้ เนื่องจากในปีนั้นมีดวงพระเคราะห์ทั้ง ๗ ดวงเคลื่อนเข้ามาอยู่ในราศีเดียวกัน และให้คุณเป็นอันมาก เรียกว่ารอกันเป็นสิบๆ ปีได้เลยกว่าจะเกิดปรากฏการณ์แบบนี้ จึงเป็นที่มาของพระกริ่ง ๗ ดาว ส่วนพระบูชาไม้โพธิ์แกะปางห้ามสมุทร หรือโพธิ์นิพพาน ท่านได้สร้างไว้เหมือนกันแต่น้อยมากๆ พระควัมบดีแกะจากไม้รักซ้อนตายพรายก้นอุดด้วยพระธาตุและผงวิเศษ พระควัมบดีแกะจากไม้หิ่งหายผี ส่วนเครื่องรางก็จะมี เสื้อยันต์ท่านทำสมัยสงครามอินโดจีน ผ้ายันต์ต่างๆ เชือกคาดเอว (ลงแล้วเผาไฟไม่ไหม้ตามตำรา) สำหรับเครื่องรางเหล่านี้จะต้องมีเครื่องสังเวยครูตามตำรานั้นๆ เลยทีเดียวถ้าไม่มีมาท่านจะไม่ทำให้เป็นอันขาด เพราะท่านถือเรื่องการเคารพครูเป็นอย่างสูง เครื่องรางของท่านแต่ละชิ้นจึงมีราคาค่าตัวสูงพอสมควร ตะกรุดต่างๆ เช่น ตะกรุดมหาจักรพรรดิ์กษัตราธิราชที่ลงในพิธีมหาจักรพรรดิ์ที่นับดอกได้ ปีที่ทองคำตกบาทละ ๕,๐๐๐ กว่า เคยมีคนเอาทองคำหนัก ๖ บาทมาแลกตะกรุดมหาจักรพรรดิ์ไป ๑ ดอก ตะกรุดคู่ชีวิต ตะกรุดดวงพิชัยสงคราม และตะกรุดอื่นๆ ประคำประเจ้าตรึงไตรภพ ที่ทำจำน้อยมากมีไม่เกิน ๒๐ กว่าเส้นเท่าที่ทราบ และหาผู้ที่รู้จริงทำได้น้อยมากเช่นกัน แม้แต่วัดกลางบางแก้วเอง สิ้นหลวงปู่บุญ ก็ไม่มีท่านใดทำต่อได้เลย ลงด้วยคาถารัตนมาลา ทั้ง ๑๐๘ คาถาและต้องท่องจบสูตรรัตนมาลาทั้งหมด ๓ ห้อง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไส้ทำด้วยเงินลงยันต์ บ้างท่านเป็นทองคำก็มี พันด้วยกระดาษสาโรยด้วยผงยันต์ปถมัง ฯลฯ ลงรักปิดทองทั้งเส้น ผมยังมีบุญที่ได้เห็นอยู่หนึ่งเส้นในชีวิต เพราะของสำคัญอาจารย์เทพย์ส่วนใหญ่ จะตกอยู่ในมือผู้ที่มีอันจะกินระดับเจ้าสัว แทบทั้งสิ้นจึงไม่มีของหลุดออกมาให้เห็น

    มีดเทพศาสตราที่รวบรวมชนวนพระกริ่งที่ท่านทำทั้งหมดมาหลอมเป็นใบ นำมาตบแต่งเป็นมีดจารทั้งใบหน้าหลังมีดท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ขณะที่ลงใบปลายมีดลงยันต์โอ้ฟ้าผ่าอยู่นั้น ฟ้าก็ได้ผ่าลงมาให้เห็นจริงๆ จะเห็นได้ว่าท่านเรียนวิชาอะไรก็สำเร็จตามคุณวิเศษของตำรานั้น เท่าที่ผมได้ทราบมากับตัวเองและที่เห็นในเรื่องเหล่านี้ก็จะมี อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร และอาจารย์ชุม ไชยคีรี สองท่านนี้ที่ทำได้ตามตำราจริงๆ คุณวิเศษของมีดนั้นเรื่องไล่ผี ขับคุณไสยถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา มีดของท่านยังใช้ทำความได้ด้วย (เรื่องนี้ผมได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากลูกศิษย์คนสนิทของท่านคนหนึ่ง ว่ายังใช้ทำความได้ดี ใช้ข่มศัตรู เพียงแต่นำรู้ถ่ายของคู่ความ คู่กรณีมาว่าคาถาที่กำกับ และพันกับด้ามมีดเท่านั้น คู่ความไม่สามารถว่าความได้เลย) วิชาทำยาจินดามณีได้รับอนุญาติจากสำนักพระราชวัง ให้ใช้พระอุโบสถวัดพระแก้วประกอบพิธี นับว่าหาได้ยากจริงๆ เท่าที่ทราบก็ไม่มีผู้ใดอีกเลยที่ทำพิธียาจินดามณี ในพระอุโบสถ วัดพระแก้วได้ นอกจากนี้ยังได้รับโปรดเกล้าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้หล่อพระกริ่ง พระชัยวัฒน์ ถวายพระองค์อีกด้วย สีผึ้งสามไฟที่เลื่องลือในด้านเมตตานิยม การเจรจาเป็นอย่างสูง พิธีสุดท้ายท่านทำที่วัดเสน่ห์หา เมื่อทำสำเร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนินมายังวัดเสน่หาพอดี นับว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์เป็นอย่างมากสำหรับอาจารย์เทพย์ ที่ได้ลองทำวิชาสีผึ้งสามไฟ ใครมาขอท่านจะให้แค่เท่าหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น และนำไปผสมกับสีผึ้งที่เตรียมมา ลูกศิษย์ที่ได้ใช้ต่างบอกเล่าเป็นเสียงเดียวกันว่าวิเศษตามที่ท่านได้บอก สรรพคุณจริงๆ ระยะหลังท่านได้เลิกทำเครื่องราง เพราะสุขภาพไม่อำนวย แต่ยังคงไว้ในส่วนพระกริ่งของท่านเองที่ทำเพื่อการสร้างวัดวาอาราม บูรณปฏิสังขรณ์ ถาวรวัตถุต่างๆ ครั้งหลังนี้ท่านเลือกประกอบพิธีที่วัดตะเคียน (วัดมหาพฤฒาราม) มาโดยตลอดเพราะรู้จักสนิทสนมกับเจ้าอาวาส พระกริ่งที่เทวัดคะเคียนนี้ ที่ผมจำได้จะมี พระกริ่งนวโกฏิ (พระนวเศรษฐี) พระกริ่งปวเรศ พระชัยวัฒน์ พระบูชาหลวงพ่อดำ (พระบูชาหลวงพ่อดำนี้เป็นพระศักดิ์สิทธิ์ ประจำองค์สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์ ที่พระองค์เดิมเป็นพระสมัยเชียงแสนหล่อด้วยสำริด เนื้อกลับเป็นสีดำ ส่วนฐานท่านได้ให้ช่างแกะเป็นเทวดานพเคราะห์ทั้ง ๙ ดวง และแผงไม้ประดับองค์พระด้านหลัง คล้ายกับพระพุทธชินราช พิษณุโลก และถวายพระนามใหม่ว่าหลวงพ่อดำ) เหรียญนารายณ์แปลงรูป เหรียญพุทธนิมิตร ส่วนการประกอบพิธีพุทธาภิเษกท่านได้นิมนต์หลวงปู่โต๊ะ หลวงพ่อทองอยู่ วัดหนองพะอง (หลวงพ่อทองอยู่นี้ท่านดังมากในเรื่องใช้กสิณดับแสงดาว และท่านยังเป็นญาติทางฝ่ายแม่ของอาจารย์เทพย์อีกด้วย) ส่วนหลวงปู่โต๊ะ ท่านเป็นสหธรรมมิกกับอาจารย์เทพย์ เวลาที่หลวงปู่โต๊ะทำผงมักจะมาทำที่บ้านของอาจารย์เทพย์เสมอ

    ประสบการณ์ของอาจารย์เทพย์นั้นมักจะมีในแทบทุกด้าน วิชาที่ท่านทำแต่ละอย่างนั้นถือว่าศักดิ์สิทธิ์ และเป็นวิชาชั้นสูง อย่างเช่น ทางด้านเมตตามหานิยม นั้นท่านทำให้ถึงขนาดที่ว่าเทวดายังต้องลงมารัก มาเมตตาสงสาร ให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่เมตตามหาเสน่ห์แล้วจบลงด้วยการนอนร่วมเพศกันเหมือนกับอาจารย์ลวงโลกในสมัยนี้ทำ ท่านยกอุปมาอุปมัยมาสั่งสอนลูกศิษย์โดยตลอด ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ วิชามหาเสน่ห์ท่านก็มีแต่ไม่ได้ประสิทธิประสาทให้กับผู้ใด ท่านว่าเป็นวิชาชั้นต่ำ ท่านเคยทำวิชานี้ให้พระอาจารย์ติ๋ว วัดมณีชลขันธ์ ได้ประจักษ์เป็นบุญตามาแล้ว (เมื่อปี ๒๕๕๐ มีลูกศิษย์พระอาจารย์ติ๋ว ท่านหนึ่งโทรมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผม เล่าให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งที่พระอาจารย์ติ๋วเข็นรถอาจารย์เทพย์ ออกมาหน้าบ้าน ท่านบอกอยากเห็นอะไรมั๊ย พอพูดจบท่านนั่งภาวนาคาถาสักครู่ ในขณะนั้นมีผู้หญิงสองคนเดินผ่านหน้าบ้านท่านพอดี ท่านจึงเป่าคาถาใส่ผู้หญิงสองคนนั้น ปรากฎว่าผู้หญิงสองคนนั้นเดินเข้ามาหาอาจารย์เทพย์ และหอมแก้มท่านเป็นการใหญ่ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลย พระอาจารย์ติ๋วเห็นแล้วถึงกับอึ้ง ในวิชามหาเสน่ห์ของอาจารย์เทพย์ที่ทำให้ดู) อาจารย์เทพย์ ท่านมรณะเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๓๖ นับว่าเป็นการสูญเสียครูบาอาจารย์ที่สำคัญ ท่านหนึ่งในเมืองไทย นี่เป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยส่วนหนึ่งที่ผมได้รับรู้ได้เห็นมา

    ข้อมูลจาก : เว็บท่านอาจารย์โต อินทาโก

    เหรียญพุทธนิมิต เนื้อทองแดง อ.เทพย์ สาริกบุตร

    จัดสร้างเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๑ พุทธาภิเษกในปีพ.ศ. ๒๕๒๒ จำนวนการจัดสร้างเพียง ๒,๐๐๐ เหรียญ(เหรียญเงิน ๒๐๐ เหรียญ) ท่านได้ปลุกเสกเดี่ยวเป็นเวลานาน และได้จัดพิธีพุทธาภิเษกที่วัดตะเคียน(มหาพฤฒาราม) โดยมี หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อทองอยู่ วัดหนองพะอง ร่วมปลุกเสก

    เนื้อหาของเหรียญเป็นทองแดงผสมด้วยชนวนศักดิ์สิทธิ์มากมายที่อาจารย์เทพย์ได้ไปเป็นเจ้าพิธีต่างๆ ซึ่งท่านเก็บสะสมไว้เนื้อหาแทบจะเทียบชั้นนวโลหะแล้ว ที่เห็นเป็นริ้วเนื้อดำนั้น ล้วนเป็นชนวนนวชั้นดีทั้งสิ้น สรรพศาสตร์ความรู้แห่งพระเวทย์มนตรา โหราศาสตร์ ฤกษ์ผานาทีที่อุดมได้ถูกรังสรรค์ขึ้นเป็นองค์พระ “พุทธนิมิต” อันน่าอัศจรรย์ด้วยกระดูกยันต์ และอักขระเลขยันต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงกลายเป็นองค์พระปฎิมาดังปรากฏเป็นเจ้าแรกแล้วบรรจงประดับด้วยพระเวทย์ที่นับถือกันมาแต่โบราณ กล่าวคือ

    ด้านหน้าเหรียญ บรรจงล้อมรอบองค์พระพุทธนิมิตด้วย ยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า(อิติปิโสเรือนเตี้ย) ขอบเหรียญล้อมรอบด้วย ยันต์นะปถมังพินธุ ประดุจครอบแก้ว กำแพงแก้ว กางกั้นประดุจดังผู้อาราธนาใช้ถูกครอบไว้ด้วยมนตราอันศักดิ์สิทธิ์ แผ่ฤทธิ์แห่งความเมตตามหานิยมอุดมลาภ ยศ สรรเสริญ เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ และธนสารสมบัติ มีความสงบร่มเย็นเป็นนิรันดร์

    ด้านหลังเหรียญ บรรจงประจุด้วย ยันต์อสิสติ (ยันต์คู่ชีวิต) อันเป็นยันต์แต่โบราณกาลที่มีค่าควรเมือง เหรียญพุทธนิมิต แม้จะไม่ใหญ่มาก มีขนาดประมาณ ๓.๕ ซม. แต่ว่าบรรจุด้วยอักขระเลขยันต์อันศักดิ์สิทธิ์ถึงประมาณ ๓๐๐ อักขระ รวมหน้าหลัง

    คาถาอาราธนาใช้ คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า ที่ปรากฏบนเหรียญเป็นการปลุกเหรียญไปในตัวด้วย
    - อิ ติ ปิ โส วิ เส เส อิ - อิ เส เส พุท ธะ นา เม อิ
    - อิ เม นา พุทธะ ตัง โส อิ - อิ โส ตัง พุท ธะ ปิ ติ อิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    พระสมัยทวารวดี ปางมหาปาฏิหาริย์ หนึ่งในพระโบราณ ได้มาจากเมืองราชบุรี อ้างอิงตามตำรา"ตำนานพระพิมพ์"ของศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ แม่พิมพ์จากเมืองสาวัตถี พระพิมพ์แบบพระปฐมโดยมากมาจากบริเวณพระปฐม และมีลักษณะเหมือนกับรูปสลักที่ได้พบที่พระปฐม พระพิมพ์พระปฐมมักจะเป็นรูปมหาปาฏิหาริย์ของเมืองสาวัตถี พระพิมพ์พระปฐมชนิดเก่าที่สุดทำขึ้นเมื่อราวๆพ.ศ.๙๕๐ ถึง พ.ศ.๑๒๕๐ บางพิมพ์มีคาถา"เย ธมฺมา" ที่จารึกเป็นภาษาบาลี เขียนด้วยตัวอักษรคฤนท์ หรืออักษรขอมโบราณ

    มหาปาฏิหาริย์ มีเนื้อความย่อๆ ดังต่อไปนี้
    เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงปาฏิหาริย์เล็กๆน้อยๆคล้ายกับเป็นการเริ่มแรก และทรงห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดเป็นบรรพชิต หรือคฤหัสถ์ อุบาสก หรืออุบาสิกา กระทำตามในการที่จะทรมานพวกเดียรถีย์นิครนถ์โดยแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แล้ว พระองค์จึงได้ทรงแสดงมหาปาฏิหาริย์ตามคำอาราธนาของพระเจ้าปเสนทิโกศล ๒ ประการ

    ประการที่ ๑ ที่เรียกกันว่า ยมกปาฏิหาริย์ คือพระองค์เสด็จดำเนินไปมาอยู่ในอากาศ โดยอิริยาบถต่างๆ และทรงบันดาลให้เกิดเปลวไฟ และคลื่นลมออกจากสรีระของพระองค์ ทั้งส่วนเบื้องบน และเบื้องล่าง

    ประการที่ ๒ ทรงบันดาลให้พระองค์ปรากฎไปทุกๆส่วนของเวหา และทุกๆแห่งรอบๆพระองค์เป็นจำนวนนับมิถ้วน ในท่ามกลางที่รูปของพระองค์ไปปรากฎอยู่นั้น พระองค์ทรงแสดงธรรม และในขณะนั้นเวลาหกเทวบุตรบันดาลให้เกิดลมพายุใหญ่พัด ทำให้พวกเดียรถีย์นิครนถ์อัปราชัยพ่ายแพ้ไปสิ้น ในคราวนี้มีพวกเดียรถีย์ที่กลับใจได้ และเข้านับถือพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากมายเหลือที่จะนับ

    นี่เป็นใจความย่อๆในเรื่องมหาปาฏิหาริย์ ยังมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระพิมพ์อย่างพิสดารอยู่ในหนังสือสันสกฤตชื่อ "ทิวยาวทาน" อีก กล่าวว่า...
    ในขณะนี้(ขณะที่กำลังทำปาฏิหาริย์)พระผู้มีพระภาคทรงรำพึงถึงวาระจิตของสัตว์โลก มีกฎธรรมดาอยู่อย่างหนึ่งว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงรำพึงถึงวาระจิตของสัตว์โลกแล้ว สรรพสัตว์โลกทั้งมวลจนกระทั่งมด และปลวกย่อมรู้ถึงพระรำพึงของพระองค์ทีเดียว เพราะฉนั้น ท้าวสักกะมหาพรหม และเทพดาอื่นๆจึงดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงรำพึงถึงวาระจิตของสัตว์โลกด้วยพระประสงค์อะไรหนอ และทันใดนั้นเอง เขาทั้งหลายก็เกิดความคิดขึ้นในใจว่า การที่พระผู้มีพระภาคทรงรำพึงถึงวาระจิตของสัตว์โลกนั้น ก็คือพระองค์ทรงพระประสงค์จะทรงกระทำมหาปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ครั้นแล้วท้าวสักกะมหาพรหมพร้อมด้วยเทพยดาอื่นๆซึ่งเป็นบริวารอีกหลายแสนซึ่งรู้เท่าพระหฤทัยของพระผู้มีพระภาค จึงอันตรธานหายไปจากวิมานแห่งตนๆไปปรากฎขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค มหาพรหม กับเทพยดาอื่นๆได้เดินประทักษิณพระตถาคต ๓ รอบ ถวายบังคมพระบาทของพระองค์ด้วยพระเศียรเกล้า แล้วได้เลื่อนไปนั่งอยู่ข้างขวาของพระองค์ ส่วนท้าวสักกะ และเทพยดาอื่นๆเมื่อได้แสดงความเคารพ และนับถือเสร็จแล้วก็พากันนั่งข้างซ้ายของพระองค์ พระยานาค ๒ ตัวชื่อนันท และอุปนันท ได้เนรมิตดอกปทุมดอกหนึ่งมีกลีบหลายพันกลีบใหญ่เท่าล้อรถ กลีบดอกปทุมทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วด้วยทองทั้งสิ้น แต่ก้านเป็นเพชรพลอย แล้วจึงนำดอกปทุมนี้เข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคๆเสด็จขึ้นไปประทับนั่งขัดสมาธิบนกลีบบัวนั้น ทรงรำพึงถึงบารมีของพระองค์ แล้วก็ทรงเนรมิตดอกปทุมเช่นเดียวกันนั้นขึ้นอีกดอกหนึ่ง มีพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ข้างบนเหมือนกัน แล้วก็ปรากฎเป็นพระพุทธเจ้าทั้งข้างหน้าข้างหลัง และรอบๆพระองค์เป็นจำนวนนับมิถ้วน แผ่ไปจนถึงชั้นอกนิษฐ์เป็นพุทธสภาอันหนึ่งซึ่งเกิดจากองค์พระผู้มีพระภาค เจ้า พระพุทธนิมิต บางพระองค์จงกรม บางพระองค์ประทับยืน บางพระองค์ประทับนั่ง บางพระองค์ประทับบรรทม บางพระองค์ทรงบันดาลให้เกิดเป็นแสงสว่าง บางพระองค์ทรงบันดาลให้เกิดเป็นเปลวไฟ บางพระองค์ทรงบันดาลให้เกิดเป็นฝน บางพระองค์ทรงบันดาลให้เกิดเป็นฟ้าแลบ พระพุทธนิมิตทั้งหลายได้วิสัชนาปัญหาต่างๆซึ่งเกิดมีขึ้นเป็นอันมากด้วยคาถาทั้ง ๒ อันมีเนื้อความดังต่อไปนี้

    ๑)จงเริ่มละฆราวาสวิสัย แล้วบำเพ็ญพรหมจรรย์ในศาสนาของพระพุทธเจ้า จงทำลายศัตรูกล่าวคือมฤตยู เหมือนช้างทำลายกระท่อมไม้อ้อฉะนั้น

    ๒)บุคคลประพฤติตนไม่ออกไปจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จะพ้นจากความเกิด และสังสารวัฏ ทั้งจะดับทุกข์ทั้งปวงเสียได้ ดังนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2013
  20. บรรพชนทวา

    บรรพชนทวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +167
    สุวรรณสังข์ชาดก : สังข์ทอง
    ******************************
    ชาดกนี้ สอนให้เข้าใจ “กฎแห่งกรรม”ที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วไดัชั่ว”ได้อย่างชัดเจน และยังทำให้พบสัจธรรมความจริงใน “การเวียนว่ายตายเกิด”ใน “สังสารวัฎ” เพราะเป็นเรื่องที่กล่าวถึงอดีตชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเอง

    ก. เนื้อเรื่องโดยย่อ
    “พระเจ้าพรหมทัต”เป็นกษัตริย์ครองเมือง “พรหมนคร” มีพระมเหสี ๒ องค์ช้ายและขวา มเหสีฝ่ายขวานามว่า “จันทาเทวี” ส่วนฝ่ายซ้ายนามว่า “จัมปากเทวี” ทั้งสามพระองค์ยังไม่มีบุตรหรือธิดาด้วยกันเลย จึงได้ทำการอ้อนวอนและทำบุญ ทำทาน และรักษาศีลเพื่อขอพรจากเบื้องบน

    จนเวลาผ่านไปหลายปี พระมเหสีจันทาฝันว่ามีพระอาทิตย์สุกสว่างลอยเวียนรอบเขาไกรลาศ ๓ รอบ แล้วตกลงที่ทรวงอกของพระนาง ส่วนพระนางจัมปากเทวีฝันว่าพระอินทร์เอาดอกจำปาทองมาให้พระนาง มเหสีทั้งสองจึงได้ไปเล่าความฝันให้พระสวามีฟัง พระเจ้าพรหมทัตจึงให้โหรมาทำนายฝัน โหรหลวงทำนายว่าพระมเหสีจันทาเทวีจะได้โอรสรูปงาม มีบุญญาธิการมากและจะได้ครองเมืองเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่สืบต่อจากพระองค์ ส่วนพระนางจัมปากเทวีจะได้ธิดาที่โสภายิ่งนัก

    พระเจ้าพรหมทัตดีพระทัยมากที่จะได้โอรสที่ดีสืบราชสมบัติในอนาคต จึงสั่งให้สร้างเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไว้รอพระโอรสที่จะสืบสันตติวงศ์ ทำให้พระเทวีจัมปากเทวีรู้สึกอิจฉาและเกรงว่าพระสวามีจะรักและหลงพระนางจันทาเทวีมากกว่าตน และอีกทั้งลูกของนางก็จะได้ครองราชย์ต่อจากพระบิดาซึ่งพระนางยอมไม่ได้ จึงได้หาอุบายและหาทางกำจัดสองแม่ลูกให้เป็นไป แต่จะกระทำการคนเดียวไม่สะดวกและอาจไม่สำเร็จ จึงไปชักชวน “ปาลกเสนาบดี”ให้ช่วยคิดแผนการและหากทำสำเร็จพระนางจะให้รางวัลตอบแทนอย่างงาม

    ปาลกเสนาบดีจึงทูลใส่ร้ายพระมเหสีจันทาเทวีว่าพระองค์มีชู้ลักลอบมีสัมพันธ์กับชาวบ้านทั่วไปและลูกในท้องก็ไม่ใช่ลูกของพระองค์ และเมื่อมเหสีจัมปากเทวีเข้ามาสมทบก็พูดใส่ร้ายป้ายสีเช่นเดียวกัน พระเจ้าพรหมทัตไม่ได้พิจารณาใคร่ครวญและไตร่สวนใดๆ ด้วยความโกรธก็ได้ขับไล่พระมเหสีจันทาเทวีออกจากเมืองไป พระนางโศกเศร้าเสียใจและทุกข์ทรมานเดินออกจากวังเข้าป่าไปอย่างไร้จุดหมายซึ่งขณะนั้นพระนางตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว พอดีเจอตากับยายซึ่งเป็นชาวไร่ชาวนาใจดีมีเมตตาระหว่างทางจึงได้สอบถามพระนางถึงความเป็นมาเป็นไป แล้วจึงชวนพระเทวีมาอยู่ด้วยกัน นางจึงมาอยู่อาศัยและช่วยสองตายายทำงานทุกอย่างอย่างมีความกตัญญู ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในครรภ์ทรงเกรงว่าถ้าคลอดออกมาเป็นโอรสที่รูปงามจะทำให้แม่ลำบากในการเลี้ยงดูขึ้นอีกหลายเท่านัก เพราะขณะนี้ก็ลำบากมากแล้ว จึงตัดสินใจจะอยู่ในรูปที่ไม่ทำให้แม่ลำบากมากนัก

    เมื่อครบกำหนด ๑๐ เดือน พระเทวีก็คลอดลูกออกมาเป็น “หอยสังข์” พระนางและตายายก็ช่วยกันเก็บรักษาและให้อาหารเลี้ยงดูอย่างดีเหมือนเป็นลูกมนุษย์เช่นกัน พระนางก็นอนกอดและกล่อมลูกพร้อมพูดคุยกับหอยสังข์เหมือนว่าเป็นมนุษย์จริงๆ ครั้นนานวันไปเมื่อแม่และตายายออกไปทำงานในไร่ในนา พระสังข์ก็ออกมาจากหอยสังข์ช่วยทำงานบ้านและหุงหาอาหารไว้คอยแม่และตากับยายที่จะกลับมาในตอนเย็น เมื่อนางกลับมาเห็นก็แปลกใจแต่ไม่ได้คิดอะไร ครั้นวันที่สองก็ทำเหมือนเดิมอีก ทำให้นางแปลกใจมากและเห็นเด็กผู้ชายวิ่งๆอยู่ในบ้านแว๊บๆ แต่เมื่อมาถึงบ้านกลับไม่เห็นใคร วันที่สามนางจึงทำทีเป็นออกไปทำงานตามปกติแต่ไม่ไปไหนไกล แต่กลับแอบซุ่มดูอยู่ สักพักพระสังข์ทองพระโอรสน้อยรูปงามราวกะโอรสสวรรค์ ผู้มีผิวกายสุกเปล่งดั่งทองคำ ก็คลานออกมาจากหอยสังข์ ขณะกำลังจะไปปัดกวาดบ้านและทำงานบ้านช่วยแม่อยู่นั้น พระนางจันทาเทวีดีใจและตกตะลึงในความน่ารัก และความงดงามของโอรสน้อยยิ่งนัก พระนางรีบวิ่งเข้าไปอุ้มกอดจูบและร่ำไรรำพันต่างๆนาๆ อย่างมีความสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อน และพระนางก็ใช้ฆ้อนที่เตรียมไว้ทุบหอยสังข์ให้แตก และบอกกับลูกว่าลูกจะได้ไม่หลบแม่เข้าไปอยู่ในหอยสังข์อีก สังข์ทองเสียใจที่แม่ทุบหอยสังข์นั้นเพราะเป็นของทิพย์วิเศษ และบอกว่าเมื่อลูกมีภัยจะได้มีที่หลบภัย แต่นางได้ปลอบลูกว่าแม่จะปกป้องและดูแลลูกอย่างดีที่สุดด้วยแม่เอง ครั้นตายายกลับมาจากไร่นาก็ดีใจและพร้อมใจกันตั้งชื่อให้ว่า “สังข์ทอง”หรือ “สุวรรณสังข์”

    ข่าวคราวถึงความมีรูปงามและบุญญาธิการของสุวรรณสังข์โด่งดังขจรกระจายไปทั่วทุกสารทิศ จนถึงพระกรรณของพระราชาพรหมทัต จึงได้ทำการสอบถามจากปุโรหิตและทหาร จึงได้ทราบว่าเป็นโอรสของพระองค์กับพระมเหสีจันทาเทวี พระองค์โสมนัสยิ่งนักตรัสสั่งให้นำวอทองและขบวนช้างและม้าไปรับพระมเหสีและพระโอรสสุวรรณสังข์เข้ามาอยู่ในวังด้วยกัน พระองค์มอบตำแหน่งพระมเหสีฝ่ายขวาคืนให้พระนางเหมือนเดิมและมอบตำแหน่งรัชทายาทให้กับสุวรรณสังข์ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนขัดเคืองใจและอิจฉาริษยาให้กับมเหสีจัมปากเทวียิ่งนัก และเมื่อได้รู้ข่าวมาว่าพระโอรสเกิดมาจากหอยสังข์ก็ไปกราบทูลยุแหย่ใส่ร้ายป้ายสีสองแม่ลูกว่าเป็น “กาลกิณี” ซึ่งปาลกเสนาบดีก็ยุแหย่กราบทูลเช่นเดียวกัน

    พระราชาได้ฟังดังนั้นก็โกรธมาก จึงมีรับสั่งให้นำสองแม่ลูกลงแพแล้วนำไปปล่อยในมหาสมุทร และเมื่อเจอลมฝนแพก็แตกทำให้สองแม่ลูกก็พลัดพรากจากกันไป พระนางจันทาเทวีได้ขอนไม้จึงลอยไปหาต้นไม้และนั่งร้องให้อยู่ที่ต้นไม้นั้น ครั้นบริวารของ “ธนัญชัยเศรษฐี” แห่ง “แคว้นมัทราชบุรี”มาพบก็สอบถามและชวนไปบ้านเศรษฐี เมื่อทราบความเป็นมาเป็นไปแล้วเศรษฐีก็ขอให้นางอาศัยอยู่ด้วยกันและให้นางเป็นหัวหน้าแม่ครัวที่บ้านของเศรษฐี ฝ่ายสุวรรณสังข์อยู่บนแพที่แตกเหลือเพียงเศษเล็กน้อยจะจมแหล่มิจมแหล่อยู่นั้น ไม่นานสุวรรณสังข์กุมารน้อยก็จมลงสู่ก้นมหามหาสมุทร ฝ่าย“พญานาคราช”ที่อยู่เมืองบาดาลนาคพิภพเกิดร้อนลนจึงค้นหาสาเหตุและที่มา เมื่อทราบแล้วจึงรีบไปรับเอากุมารน้อยขึ้นสู่ฝั่งก่อนที่จะหมดลมหายใจ และยังได้เนรมิตแพทองคำอย่างดีมีที่มุงบังลมฝนได้ แล้วให้นาคบริวารดูและรักษาแล้วพาไปถึงฝั่งมหาสมุทร เมื่อถึงฝั่งแล้วพระสุวรรณสังข์จึงเดินเท้าต่อไปด้วยความโศกเศร้าและอาลัยถึงพระมารดา จนเดินทางมาถึงอาศรมของพระฤาษี เมื่อพระฤาษีทราบเรื่องต่างๆแล้ว ก็ขอให้พักอยู่ด้วยกันแต่พระองค์อยากจะเดินทางออกตามหาพระมารดา พระฤาษีจึงให้เดินทางออกไปตามลำน้ำและจะผ่านเมืองยักษ์ก่อน พระโอรสจึงออกเดินทางมากับแพทองคำของพญานาคราชไปตามลำน้ำ

    จนมาถึงเมืองของ “นางยักษ์ขิณี”พวกยักษ์บริวารชายและหญิงทั้งหลายเมื่อเห็นมนุษย์ตัวน้อยน่ารักก็อยากจะจับกินบ้างบางตนก็อยากได้ไปเลี้ยงไว้ดูเล่น แต่เมื่อเข้าไปใกล้พระกุมารกลับรู้สึกร้อนมากและถูกคลื่นน้ำยักษ์พัดพาแตกกระจายไปคนละทิศคนละทางเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก จนต้องไปแจ้งข่าวให้นางยักษ์ขิณีผู้เป็นนายใหญ่ให้ทราบ ซึ่งนางยักษ์เป็นหม้ายสามียักษ์ได้ตายไปแล้ว นางยักษ์เมื่อเห็นสุวรรณสังข์กุมารผู้น่ารักก็อยากได้เป็นพระโอรส จึงแปลงกายเป็นหญิงสาวงามมารับไปเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรมหวังจะให้ครอบครองอาณาจักรและปกครองเหล่ายักษ์สืบต่อไป โดยนางยักขิณีได้สั่งให้บริวารแปลงกายเป็นมนุษย์เมื่ออยู่ต่อหน้าพระโอรส นางยักษ์ให้การเลี้ยงดูและมอบให้บริวารตั้งพันคอยเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล และห้ามลูกเข้าไปในปราสาทเขตหวงห้ามเด็ดขาด แต่เมื่อพระองค์อยู่มาหลายปีและโตเป็นหนุ่มแล้วก็อยากออกติดตามหาพระมารดา วันหนึ่งได้เข้าไปในปราสาทเขตหวงห้ามได้พบกับกองกระดูกของมนุษย์และสัตว์กองเกลื่อนกลาด พระองค์ตกใจมากและได้ทราบว่าแม่คือยักษ์และเมืองนี้คือเมืองยักษ์นั้นเอง พระองค์เดินขึ้นไปอีกชั้นของปราสาทได้พบกับชุดเกราะเงาะ รองเท้าทอง และพระขรรค์ จึงลองสวมใส่ดู ครั้นเมื่อสวมรองเท้าทองแล้วก็เหาะได้จึงเหาะเล่นในปราสาท แล้วค่อยถอดออก แล้วได้เดินทางมาพบบ่อทองบริเวณทางออกปราสาทจึงเอานิ้วก้อยจุ่มดู นิ้วจึงกลายเป็นนิ้วสีทองและล้างไม่ออกจึงเอาผ้าพันไว้ แม่ยักษ์กลับมาได้สอบถามและเห็นนิ้วก้อยมีผ้าพันจึงเป่าคาถาลบทองออกจากนิ้วก้อยให้ แล้วสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปในปราสาทอีกเด็ดขาด แม่ยักษ์จำต้องอยู่กับลูกและคอยดูแลด้วยตัวเองเพราะพวกบริวารที่ให้ดุูแลพระองค์นั้น กลับปล่อยให้เข้าไปในปราสาทเขตหวงห้ามได้ ซึ่งพระโอรสนั้นดื้อเองไม่เชื่อฟังใครนอกจากแม่ยักษ์เท่านั้น ครั้นหลายวันเข้านางยักษ์ก็ผอมโซและหิวอาหารยักษ์เพราะกินอาหารมนุษย์กับลูกสังข์ไม่อิ่ม จึงบอกว่าพรุ่งนี้แม่จะออกไปธุระนอกเมืองลูกอยู่ทางนี้ต้องเชื่อฟังพี่เลี้ยงและห้ามเข้าไปในเขตหวงห้ามอีกเด็ดขาด 

    ในวันต่อมาเมื่อนางยักษ์ออกไปหากิน พระสุวรรณสังข์ก็ตัดสินใจชุบตัวในบ่อทองแล้วสวมชุดเงาะและรองเท้าทอง พร้อมทั้งเหน็บพระขรรค์แล้วเหาะหนีจากเมืองยักษ์ไป จนถึงเขตเมืองพาราณสีเมื่อเจออาศรมในภูเขาก็ลงไปพักผ่อน ครั้นนางยักษ์ตามมาเจอและอ้อนวอนให้กลับไป พระองค์ก็ไม่ยอมกลับ บอกว่าจะตามหาแม่และบอกว่ามนุษย์กับยักษ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ นางจึงขอให้ลูกลงมาเรียนมนต์ทิพย์ในการเรียกฝูงสัตว์ต่างๆทั้งในน้ำ บนดิน และอากาศ ซึ่งสุวรรณสังข์บอกให้เขียนไว้หน้าผาโดยไม่ยอมลงไปแล้วจึงทำการเหาะหนีไป นางยักษ์เสียใจและจะตามลูกไปก็ไม่ได้เพราะสุดเขตของยักษ์ก็เป็นเมืองมนุษย์แล้ว นางเสียใจร่ำให้อาลัยรักลูกจนอกแตกตายที่นั้นเอง พระสุวรรณสังข์จึงเหาะลงมาทำการเผาศพให้มารดายักษ์อย่างโศกเศร้าและอาลัยรักแม่ยักษ์ผู้มีพระคุณมากล้นนั้นเอง เสร็จแล้วจึงเหาะไปเมืองพาราณสีต่อไป เมื่อหิวน้ำเจ้าเงาะก็เหาะลงไปเจอพวกเด็กเลี้ยงโคและได้ขอน้ำกิน ซึ่งพ่อของเด็กเลี้ยงโคคือ “นายคามโภชก”ก็สอบถามและขอให้อยู่อาศัยด้วยกัน โดยช่วยเลี้ยงโคเป็นการตอบแทนข้าวและน้ำ ซึ่งเจ้าเงาะก็ตกลงและอยู่กับครอบครัวนั้น

    ฝ่ายกษัตริย์เมืองพาราณสีมีธิดาแสนสวย ๗ องค์ ซึ่งมีคู่ครองไปแล้ว ๖ องค์เหลือแต่พระธิดาองค์เล็กชื่อ “คันธาวดี” ซึ่งไม่ยอมเลือกใคร พระบิดาจนใจและโกรธยิ่งนักเพราะหาผู้ชายมาให้เลือกหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่ถูกใจ จึงได้มีคำสั่งให้สอบถามว่ามีผู้ชายคนใดในเมืองนี้ที่ยังไม่มาให้นางเสี่ยงมาลัยเลือกคู่มีอีกใหม? มีอยู่อีกคนหนึ่งคือเจ้าเงาะป่าบ้าใบ้ในทุ่งนากับเด็กเลี้ยงโคพะยะค่ะ! ไปตามมันมา บัดเดี๋ยวนี้!

    ในคืนก่อนเสี่ยงมาลัยนั้นพระธิดาฝันว่า มีเทวดานำผลไม้ทิพย์ซึ่งรูปรูปร่างค่อนข้างแคะแกร็นมีกลิ่นหอมแค่นๆชึ่งเหล่านรชนไม่ชอบใจมาให้พระนางแล้วพระองค์ก็ได้ผ่าออกมาพบว่ามีแก้วเจ็ดประการแล้วพระองค์จึงนำแก้วนั้นไปประดับพระวรกายแล้วก็ตื่นจากพระบรรทม ส่วนพระโพธิสัตว์นั้นก็ฝันเช่นกัน คือฝันว่าได้ลงสรงน้ำในสระอโนดาตในป่าหิมพานต์ ซึ่งทำให้พระองค์ดีใจว่าเป็นศุภนิมิตดีแท้

    และในวันเลือกคู่นางได้ตั้งสัจจะอธิษฐานแล้วเสี่ยงมาลัย ซึ่งมาลัยก็ลอยมาสวมข้อมือเจ้าเงาะนั้นเอง ทั้งคู่ต่างดีใจและมีความสุขยิ่งนัก แต่พระราชาและหกเขยรวมทั้งมเหสีทั้งหกไม่ชอบใจเจ้าเงาะ จึงไล่ทั้งคู่ออกไปอยู่ไกลๆจากพระนคร แต่กระนั้นก็ยังไม่พอใจ หกเขยต่างก็ทำการยุแหย่ใส่ร้ายว่าเจ้าเงาะเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง จำต้องหาทางฆ่าให้ตายซึ่งพระราชาก็เห็นดีด้วย แต่จะลงมือฆ่าก็จะทำให้ชาวเมืองเขานินทาเอา จึงออกอุบายละวางแผนการอย่างแยบยล ดังนี้

    ครั้งที่ ๑ ออกอุบายให้เขยทั้งเจ็ดไปหาเนื้อ(สัตว์ป่า)มา ถ้าใครหาไม่ได้จะถูกฆ่าตาย (หวังผลว่าเจ้าเงาะบ้าใบ้จะหาไม่ได้และจะถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน) ทั้งหกเขยหาเท่าไหร่ก็หาไม่ได้และหากกลับเข้าวังไปมือเปล่า จะต้องถูกพระราชาฆ่าทิ้งอย่างแน่นอน จึงอ้อนวอนขอพรเทวดาขอให้ได้เนื้อกลับเข้าวังด้วยเทอญ เมื่อขอพรเสร็จก็เดินหาเนื้อในป่าต่อไป พลันก็เจอกับเทวดารูปงามเหลืองอร่ามใต้ร่มไม้ใหญ่ และเจอฝูงเนื้อล้อมรอบพระองค์มากมายคณานับ จึงเข้าไปบอกว่าพระราชาหาอุบายฆ่าเจ้าเงาะโดยการให้หาเนื้อไปถวาย แล้วขอเนื้อคนละตัว เทวดานั้นสัญญาว่าจะให้แต่ต้องมีของแลกเปลี่ยน โดยขอใบหูคนละนิดหนึ่ง ซึ่งหกเขยจำต้องยอมให้เทวดาใช้พระขรรค์ตัดใบหูนิดหนี่ง แล้วก็รับเนื้อคนละตัวแล้วลากลับเข้าวังไป ส่วนเจ้าเงาะก็นำเนื้อหลายตัวเข้าวังตามไปหลังจากนั้น สร้างความตกตะลึงและแปลกใจแก่พระราชา ราชินี และหกเขยกับมเหสีทั้งหก  ตลอดจนชาวเมืองเป็นอย่างมาก

    ครั้งที่ ๒ เมื่อการครั้งแรกไม่สำเร็จ ครั้งนี้ได้ออกอุบายให้ไปนำหมูป่ามาให้ หากหามาไม่ได้จะถูกฆ่าตาย ซึ่งก็เหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เทวดา(เงาะป่า)ได้ขอนิ้วมือเป็นของแลกเปลี่ยน

    ครั้งที่ ๓ ครั้งนี้เป็นการหาสัตว์น้ำคือปลาไปถวาย ซึ่งก็เหมือนเดิม โดยครั้งนี้พระโพธิสัตว์ได้ขอจมูกหกเขยเป็นการแลกเปลี่ยน

    เมื่อแผนการร้ายทั้งสามครั้งไม่สำเร็จผล และกำลังวางแผนฆ่าเจ้าเงาะแบบใหม่อยู่นั้น ท้าวสักกะเทวราช(พระอินทร์)เกิดร้อนพระที่นั่งกัมพลสิลาอาสน์จึงส่องทิพย์เนตรลงมายังโลกมนุษย์ แล้วก็รู้สาเหตุทำให้พระองค์โกรธพระเจ้าพาราณสีและหกเขยหน้าโง่เหล่านั้นมาก จึงลงมาหาพระเจ้าพาราณสีแล้วตั้งปัญหา ๒ ข้อ และท้าพนันตีคลี ซึ่งพระเจ้าพาราณสีจะแข่งด้วยตนเองหรือหาคนแทนมาแข่งกับพระองค์ให้ได้ภายใน ๗ วันก็ได้ ซึ่งหากไม่สามารถตอบคำถามได้และตีคลีไม่ชนะพระอินทร์ พระองค์จะเอาฆ้อนทุบหัวพระราชาและยึดเอาเมืองพาราณสี ครั้งนั้นพระเจ้าพาราณสีกลุ้มใจมากและหาใครมาก็ตอบปัญหาไม่ได้สักคน ซึ่งทั้งหกเขยก็ไม่สามารถตอบคำถาม ๒ ทั้งข้อนั้นได้ และการเหาะตีคลีบนอากาศนั้นก็ไม่ต้องพุูดถึงแม้ตีอยู่บนดินก็ยังไม่เอาไหนเลย จนเลยไปหกวันแล้วเหลืออีกเพียง ๑ วัน พระเจ้าพาราณสีรู้สึกกระวนกระวาย กลุ้มใจและอับจนหนทางยิ่งนัก พระมเหสีจึงทูลขอให้เจ้าเงาะไปช่วย เพราะเจ้าเงาะมีบุญญาธิการมาก เพราะพระองค์หาทางกำจัดถึง ๓ ครั้งก็รอดมาราวปาฏิหาริย์ทุกครั้ง พระราชาหมดหนทางจำต้องยอมจึงได้ไปเรียกเจ้าเงาะมาเฝ้า ฝ่ายเจ้าเงาะเมื่อถูกขอร้องจากพระราชินีผู้เป็นแม่ยาย และการรบเร้าจากคันธาเทวีเมียรักก็ใจอ่อนจึงรับปากว่าจะช่วย แต่ได้ขอให้เรียกเสนาอำมาตย์ ทหาร และชาวเมืองทั้งหลายมาฟังคำสั่งพระราชา และเป็นสักขีพยานที่ท้องพระโรงในพระมหาราชวังในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งพระราชาก็ยินยอมทำตามทั้งที่ขัดเคืองในพระทัยอย่างยิ่งก็ตาม แล้วพระโพธิสัตว์ก็ประกาศว่ามหาชนจงรู้เห็นและเป็นพยานแก่เราด้วย

    เมื่อฟังประกาศแล้วก็ถอดรูปเงาะป่าออกจากกาย ทรงฉลองพระบาททิพรัตน์ และทรงจับพระขรรค์แก้วด้วยหัตถ์เบื้องขวา เหาะขึ้นไปบนอากาศ งามโอภาสดังสุวรรณราชหงส์ ทรงประทับลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ พวกเสนาอำมาตย์และอาณาประชาราษฎรทั้งปวงเห็นพระโพธิสัตว์ทำอาการอย่างนั้นพากันประนมมือและให้สาธุการชมเชยพระโพธิสัตว์โดยอเนกปริยาย ทั้งหกเขยต่างตกตะลึงเพราะคุ้นๆว่าเคยเห็นที่ใหน?

    ท้าวมัฆวานจึ่งเข้าใกล้พระโพธิสัตว์ ถามปัญหาว่า แน่ะ พ่อปราชญ์ สภาวธรรมสิ่งไรย่อมทำให้มืดในโลกนี้และโลกหน้า พ่อปราชญ์จงวิสัชนาความข้อนี้ให้แจ้งชัดแก่พวกเทวดาและมนุษย์ซึ่งมาประชุมกัน ณ พื้นดินถึง ณ พื้นอากาศด้วยเทอญ พระโพธิสัตว์เมื่อจะกล่าวแก้ปัญหา จึ่งทูลว่า ข้าแต่ท้าวสักเทวราช บุคคลผู้ใดทำโทษแก่ผู้อื่นที่ไม่มีความผิด ทำคนอื่นให้วิวาทซึ่งกันและกัน และทำปัญจานันตริยกรรม(อนันตริยกรรม) มีฆ่ามารดา ฆ่าบิดา เป็นต้น ไม่ฟังธรรมคำสอนของนักปราชญ์ กอปรด้วยปาปจิต บุคคลผู้นั้นชื่อว่าทำความมืดในโลกนี้และโลกหน้า ข้าแต่เทวราช พระองค์จงทราบเนื้อความอย่างนี้แล ทีนั้น สรรพเทวามีท้าวสักกะ เป็นต้น ได้กระทำบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยข้าวตอกและดอกไม้ แล้วให้สาธุการเสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั้ง ๓ ภพเลยทีเดียว

    ท้าวสหัสนัยน์จึ่งถามปัญหาที่สองว่า แน่ะ พ่อปราชญ์ สภาวธรรมสิ่งไรเป็นแสงสว่างในโลกนี้และโลกหน้า พ่อปราชญ์จงวิสัชนาความข้อนี้ให้แจ้งชัด พระโพธิสัตว์จึ่งทูลว่า ข้าแต่ท้าวสักเทวราช บุคคลผู้ใดตั้งอยู่ในศีลห้าศีลแปด และบริจาคทานแก่ยาจก หมั่นสดับธรรมคำสอนของนักปราชญ์ มีจิตเมตตาปรานีแก่สัตว์ทั่วไป ตั้งอยู่ในคุณพระรัตนตรัย ตลอดถึงมรรคและผล บุคคลผู้นั้นชื่อว่าสว่างไพโรจน์ในโลกนี้และโลกหน้า อนึ่ง บุคคลผู้ใดเจริญจตุพรหมวิหารได้เป็นนิตย์ มิได้ปลงชีวิตสัตว์ให้ตกไป บุคคลผู้นั้นชื่อว่าสว่างไพโรจน์ในโลกทั้งสอง คือ โลกนี้ และโลกหน้า เมื่อพระโพธิสัตว์แก้ปัญหาที่สองจบลงครั้งนั้น เทพดาและมนุษย์ต่างกระทำบูชาและให้สาธุการเหมือนนัยหนหลัง

    ท้าวมัฆวานจึงท้าประลองตีคลีบนท้องฟ้านภากาศ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์งดงามและอัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้งคู่ตีคลีบนหลังม้าวิเศษบนอากาศ ต่างต่อสู้รุกรับอย่างถึงพริกถึงขิงโดยไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำสร้างความหวาดเสียวและตื่นเต้นตกใจแก่ทุกคนและเหล่าเทพบุตรเทพธิดา ตลอดจนพรหมทั้งหลายที่เฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อยิ่งนัก เมื่อเวลานานไปใกล้ค่ำท้าวสักกะเทวราชรู้สึกเหนื่อยและเห็นว่าพยศของพระจ้าพาราณสีและหกเขยหน้าโง่หมดลงแล้ว พระอินทร์ก็ยอมแพ้และขี่ม้าหนีไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระองค์ไป เสียงไชโยโห่ร้องในชัยชนะของพระมหาสัตว์ดังกึกก้องสะเทือนไปทั้ง ๓ ภพเลยทีเดียว

    แล้วพระเจ้าพาราณสีและชาวเมืองต่างก็ตกลงทำการอภิเษกให้พระโพธิสัตว์และพระมเหสีคันธาเทวีขึ้นครองราชย์สมบัติ ซึ่งพระองค์ทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรม และชาวเมืองต่างก็รักษาศีลและปฏิบัติธรรมด้วยความสงบสุขยิ่ง พระองค์ทรงคิดถึงพระมารดาจึงได้ออกติดตามและค้นหาไปทุกแคว้น จนถึงแคว้นมัทราช จนมาถึงบ้านของธนัญชัยเศรษฐี เมื่อมาถึงบ้านเศรษฐีก็ได้ทักทายและสอบถามความเป็นมาเป็นไปกันแล้ว ก็เลยเชิญพักผ่อนเสวยอาหารก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อไป แม่ครัวจึงได้ทำอาหารมาให้พระโพธิสัตว์เสวย ซึ่งรสชาตินี้พระองค์คุ้นๆ และรู้สึกอร่อยมาก พระองค์นึกถึงฝีมือปรุงอาหารของพระมารดาสมัยเยาว์วัย จึงสอบถามและได้เรียกแม่ครัวมาสอบถามถึงความเป็นมาเป็นไป นั้นเองพระองค์รู้แล้วว่าแม่ครัวคนนี้คือพระมารดาจันทาเทวีอย่างแน่นอน และพระมารดาก็ดีพระทัยมาก พระนางมั่นใจทีเดียวว่าพระเจ้าพาราณสีพระองค์นี้ก็คือโอรสของพระนางอย่างแน่นอน ทั้งสองพระองค์กอดกันและพิไรรำพันอย่างน่าเวทนาและตื้นตันใจยิ่งนัก แล้วพระองค์ก็ทูลเชิญพระมารดาเข้าไปอยู่ในพระราชวังด้วยกัน แล้วสถาปนาพระมารดาให้เป็น “สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง”อีกด้วย

    ด้วยทศพิธราชธรรมและพระบรมเดชานุภาพแห่งพระโพธิสัตว์บ้านเมืองมีความสงบสุข พสกนิกรจากแคว้นอื่นๆต่างอพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จนในวันหนึ่งพระราชาแห่งเมืองพรหมนครได้รับรายงานจากผู้เก็บภาษีว่าการเก็บรายได้ลดลงไปมากเพราะชาวบ้านชาวเมืองอพยพออกไปอยู่แคว้นพาราณสีมาก เพราะกษัตริย์พระองค์นั้นมีบุญญาธิการและปกครองไพร่ฟ้าด้วยทศพิธราชธรรม ซึ่งพระองค์ก็คือเพราะโอรสสังข์ทองของพระองค์นั้นเอง เมื่อทราบดังนั้นพระเจ้าพรหมทัตดีพระทัยมาก อยากจะไปเชิญพระโอรสมาปกครองเมืองพรหมนครต่อจากพระองค์ผู้เป็นบิดายิ่งนัก ได้เฝ้าปรึกษาและขอร้องให้ปุโรหิตและเสนาบดีผู้ใหญ่ไปทูลเชิญพระโอรสมาปกครองบ้านเกิดเมืองนอนของตน ซึ่งมหาเสนาบดีจึงรับอาสาจะทำการนี้ให้สำเร็จ

    ฝ่ายพระโพธิสัตว์ด้วยแรงกตัญญูจึงล่ำลาชาวพาราณสีอย่างอาลัย พสกนิกรต่างอาลัยรักใคร่เสียดายพระองค์ แต่ด้วยคุณธรรมและความกตัญญู แล้วทั้ง ๓ พระองค์ คือ พระโพธิสัตว์ พระนางจันทาเทวี และพระนางคันธาเทวี จึงเดินทางมาที่พรหมนครบ้านเกิดเมืองนอนของพระโพธิสัตว์ แล้วก็ได้รับการอภิเษกขึ้นครองราชย์สมบัติแทนพระบิดา ฝ่ายพระมารดาจันทาเทวีนั้นพระนางไม่ยอมเป็นพระมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต พระองค์ขออยู่กับลูกเพราะไม่ต้องการให้ใครต้องกล่าวหาว่าเป็นกาลกิณีอีก แต่พระสวามีไม่ยอม จึงได้ถามนางจัมปากเทวีว่าใครคือ “กาลกิณี” นางตอบว่าพระมเหสีจันทาเทวี พระนางจันทาเทวีเสียใจยิ่งนักพระนางต้องการพิสูจน์ว่าพระนางบริสุทธิ์ จึงขอทำพิธี “ลุยไฟ” เพื่อพิสูจน์เป็นทิพยพยาน ซึ่งพระนางได้ตั้งสัจจะอธิษฐานก่อนทำพิธี ทำให้ขณะพระนางลุยไฟได้เกิดมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับเท้าของนางและเปลวไฟก็เย็นสบายดีทำให้นางบริสุทธิ์ปลอดภัย ด้วยแรงอกุศลกรรมบันดาลให้นางจัมปากเทวีมเหสีผู้ชั่วร้ายตัดสินใจขอทำพิธีลุยไฟด้วยเช่นกัน ซึ่งไฟก็ได้เผาไหม้นางอย่างมอดไหม้ พระนางร้องโหยหวนและมีทุกขเวทนายิ่งนัก แล้วก็ลงนรกอเวจีทันทีที่จิตออกจากร่างไป

    ฝ่ายปาลกเสนาบดีครั้นทราบว่าพระโพธิสัตว์กลับมาครองเมืองพรหมนครแล้ว ก็รีบหนีออกจากพระนครไป เพราะกลัวความชั่วช้าของตัวเองจะถูกเปิดโปงและต้องรับโทษหนัก โดยหนีไปอาศัยเมือง “ปัญจาลธานี” แล้วไปยุยงแจ้งความเท็จแก่เจ้าเมืองว่า พระสุวรรณสังข์กำลังซ้อมรบเตรียมการบุกโจมตีปัญจาลธานี โดยตนขออาสาเป็น “ทัพหน้า”นำทหารจากเมืองปัญจาลธานีจำนวนเจ็ดอักโขเภณี ไปรบและจับตัวสุวรรณสังข์พระราชาองค์ใหม่ของพรหมนครก็คงจะชนะไม่ยาก เพราะยังเยาว์วัยและใหม่ในการปกครองบ้านเมืองและการสงคราม ซึ่งเจ้าเมืองปัญจาลธานีเห็นดีด้วยจึงให้ทหารเป็นกองทัพใหญ่จำนวนเจ็ดอักโขเภณีแก่ปาลเสนาบดีให้ไปรบกับเมืองพรหมนครโดยพระองค์จะนำทัพหลวงออกติดตามไปทีหลัง เมื่อพระโพธิสัตว์ทราบความก็ตกพระทัยเพราะข้าศึกมามากมายเป็นกองทัพใหญ่ และไม่ทันได้ตั้งตัว อีกทั้งพระองค์รักสันติไม่อยากให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของบ้านเมืองแต่อย่างใด จึงครุ่นคิดหาทางออกว่าจะทำประการใด

    พระองค์นึกถึงพระมารดายักษ์ขิณีว่าพระนางอาจช่วยได้ จึงทำสมาธิเข้าฌานสมาบัติแล้วก็ได้ทราบว่ามารดายักษ์ไปเกิดเป็นเทพธิดาอยู่ในสวรรค์ชั้น “จาตุมหาราชิกา”นางเป็นเทพธิดานั้นเอง จึงได้สวมรองเท้าทองแล้วเหาะขึ้นไปพบพระมารดา แล้วแจ้งความประสงค์ ครั้นเทพธิดาสดับทราบความแล้ว ก็ให้มีความเมตตาต่อพระสุวรรณสังขราชกุมาร จึ่งประทานพระขรรค์ทิพย์ชื่อ “สิริชัย” ให้แก่พระสุวรรณสังขราชกุมาร แล้วบอกว่า พ่อจงรับเอาพระขรรค์แก้วแล้วด้วยเทวฤทธิ์ที่มารดาให้ไปนี้ ถ้าหากว่าปัจจามิตรมาข่มเหงแย่งราชสมบัติของพ่อไซร้ พ่อจงเหาะขึ้นบนอากาศ แล้วเอาพระขรรค์แก้วแกว่งบนศีรษะของพ่อไว้ หมู่ปัจจามิตรจะพ่ายแพ้กลับไปด้วยอำนาจ “รัตนขรรคาวุธ” พ่อราชบุตรจงทำตามมารดาสั่งดังนี้

    พระสุวรรณสังราชกุมารรับเอารัตนขรรคาวุธอันให้สำเร็จความปรารถนาจากเทวธิดาแล้ว ก็อำลากลับมาสู่ยังสำนักของราชบิดาและราชมารดาบนโลกมนุษย์ แล้วจึงกราบบังคมทูลว่าพระองค์จะขออาสาออกรบกับข้าศึกศัตรูด้วยพระองค์เอง จึ่งพร้อมด้วยพลเสนาเสด็จออกจากพระนคร แล้วได้เหาะขึ้นบนอากาศ แล้วแกว่งทิพรัตนขรรคาวุธตามที่นางเทวธิดาบอกไว้ รัศมีพระขรรค์แก้วก็ลุกโพลงตกลงมาเสียงดังประเปรี้ยงเหมืองเสียงอสนีบาต ประหนึ่งว่าจะทำมหาโยธาข้าศึกให้ตายไปหมดด้วยกัน พวกเสนานับได้เจ็ดอักโขเภณีประหนึ่งว่าจะมีศีรษะแตกออกไป พากันร้องขอชีวิตต่อพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระบาททั้งหลายจะไม่คิดประทุษร้ายต่อพระองค์ ขอพระองค์จงประทานชีวิตให้พวกข้าพระเจ้าเถิดพระเจ้าข้า

    ฝ่ายปาลกเสนาบดีก็ไม่อาจดำรงตนอยู่ได้ ด้วยอิทธานุภาพแห่งพระขรรค์แก้วสิริชัย จึ่งพลัดจากคอช้างตกลงไป ณ ปฐพี วิบากแห่งอกุศลความอกตัญญูให้ผล ปฐพีดลอันหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ก็เปิดช่องให้ ปาลกเสนาบดีก็จมลงไปไหม้อยู่ในอเวจีนรกทันที ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงพระกรุณาแก่มหาชนเป็นอันมาก จึ่งตรัสว่า พวกมหาโยธาทั้งหลาย พระเจ้ากรุงปัญจาลราชทรงเชื่อคำปาลกเสนาบดีคนลามก ให้ยกกองทัพมาทำสงครามกับเราผู้หาความผิดมิได้ และละสัปปุริสธรรม แล้วทำซึ่งอธรรมทางอบาย แต่นี้ไปท่านทั้งหลายจงอย่าทำบาปกรรมเช่นนี้ต่อไปเป็นอันขาด ทรงให้โอวาทต่อไปอีกว่า บุคคลผู้ใดฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทำปรทารกรรม กล่าวปด เสพสุราเมรัย บุคคลผู้นั้นจักถึงความพินาศเหมือนปาลกเสนาบดี อนึ่ง ฝ่ายกุศลธรรม คือ ศีล ทาน ธรรมสวนะ และเมตตา ภาวนา กุเลเชฏฐาปจายิกกรรม เหล่านี้มีคุณยิ่งใหญ่ ผู้ใดไม่ประมาทในธรรมที่เราสอนแล้วนี้ ผู้นั้นจุติจากโลกนี้แล้วจักไปเกิดในสวรรค์ด้วยกุศลธรรมอันนั้น ทรงให้โอวาทแล้วก็ส่งพวกโยธาให้กลับไปยังปัญจาลนคร ส่วนพระองค์ก็เสด็จคืนเข้าพระราชฐานของพระองค์

    ฝ่ายพวกเสนาโยธากลับมาถึงปัญจาลนครแล้ว จึ่งเข้าเฝ้าพระราชาของตน กราบบังคมทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าโยธามีปาลกเสนาบดีเป็นต้นซึ่งพระองค์ส่งไป ได้พร้อมกันเข้าล้อมเมืองพรหมนครไว้ถึงเจ็ดชั้น พระสุวรรณสังขราชกุมารมีบุญญาธิการมากนัก เหาะขึ้นบนอากาศ ทรงแกว่งพระแสงขรรค์แก้ว ณ ท่ามกลางโยธา ด้วยอานุภาพขรรคาวุธ เกิดเป็นแสงสว่างตกลงมาดังประเปรี้ยงเพียงดังสายฟ้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายมืดหน้ามัวตาหาสติมิได้ถึงปราชัยพ่ายแพ้ แต่ปาลกเสนาบดีพลัดจากคอช้างตกถึงแผ่นดิน แผ่นดินได้สูบปาลกเสนาบดีผู้อกตัญญูไม่รู้จักคุณเจ้านายของตนไปทั้งเป็น พระสุวรรณสังขราชกุมารเสด็จลงจากอากาศประทานโอวาทแก่ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าโยธา แล้วส่งให้กลับมาเมืองนี้ ขอพระองค์จงทราบด้วยประการฉะนี้ พระเจ้ากรุงปัญจาลราชทรงฟังดังนั้น ทรงพระเกษมสันต์และสรรเสริญพระสุวรรณสังขราชกุมาร รับสั่งให้จัดเครื่องบรรณาการไปถวายเป็นอเนกประการ

    พระสุวรรณสังขราชกุมารทรงทรมานพวกปัจจามิตรเสร็จแล้ว จึ่งเสด็จเข้าพระนคร ยังราษฎรให้ตั้งอยู่ในโอวาท ดำรงราชสมบัติโดยชอบธรรม มีพระเดชานุภาพ และเกียรติยศปรากฏไปในนานาประเทศ มหาชนมีพระราชาเป็นต้น ในนานาประเทศต่างน้อมนำเครื่องบรรณาการมาถวายพระสุวรรณสังข์เป็นเนืองนิตย์ มหาชนมีพระราชาเป็นต้นตั้งอยู่ในโอวาทแล้วก็ปราศจากภยุปัทวันตราย และพากันทำบุญมีทานเป็นต้น เมื่อสิ้นอายุของตนก็ได้ไปเกิดในเทวโลก ส่วนพระโพธิสัตว์เมื่อก่อสร้างโพธิสมภารอยู่ได้บำเพ็ญกุศลมีทาน และศีลเป็นต้น สิ้นพระชนม์แล้วก็ไปอุบัติในเทวสถานด้วยประการฉะนี้

    ข. การเวียนว่ายตายเกิด
    สมเด็จพระบรมศาสดาทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงประชุมชาดกว่า...
    พระยานาคที่เอาเรือมารับสุวรรณสังขกุมารนั้น กลับชาติมาคือพระองคุลิมาลเถระ
    พระดาบส(ฤาษี)ที่ช่วยสุวรรณสังขกุมารนั้น กลับชาติมาคือพระสารีบุตรเถระ
    นางยักษิณีมารดาเลี้ยงสุวรรณสังขกุมารนั้น กลับชาติมาคือ นางอุบลวรรณาเถรี
    ท้าวสักเทวราชผู้อุปถัมภ์สุวรรณสังขกุมารกลับชาติมาคือ พระอนุรุทธเถระ
    มหาเสนาบดีผู้ไปเชิญเสด็จพระนางจันทาเทวี และสุวรรณสังขกุมารให้มาครองราชย์สมบัติ ณ พรหมบุรี กลับชาติมาคือ พระโมคคัลลานเถระ
    ธนญชัยเศรษฐีผู้ให้พระนางจันทาเทวีอาศัยอยู่ด้วยนั้นกลับชาติมาคือ พระสีวลีเถระ
    นางสุวรรณจัมปาเทวีแกล้งใส่โทษแก่พระนางจันทาเทวี กลับชาติมาคือ นางจิญจมานวิกา
    ปาลกเสนาบดีผู้ผูกอาฆาตต่อสุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือ ภิกษุเทวทัต
    พระเจ้าพรหมทัตราชบิดาสุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือ พระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา
    พระนางจันทาเทวีกลับชาติมาคือ พระนางสิริมหามายาพุทธมารดา
    พระนางคันธาเทวี อัครมเหสีของสุวรรณสังขกุมาร กลับชาติมาคือ ยโสธราพิมพาเทวี
    บริษัทซึ่งสวามิภักดิ์ต่อพระโพธิสัตว์ กลับชาติมาคือ พุทธบริษัท
    ส่วนพระสุวรรณสังขราชากลับชาติมาคือ เรา ตถาคต
    มีพุทธพจน์ให้จบลงด้วยประการฉะนี้


    เราบูชารูปเงาะป่า โดยระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระสังข์ทอง คุณของพระพุทธเจ้า คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ เทวดา พรหม แม่พันธุรัตน์

    "รูปหล่อเจ้าเงาะเนื้อโลหะ ลงรัก ปิดทอง" หนึ่งในพระโบราณที่สร้างในราวปีพ.ศ. ๒๔๐๗ พระแก้ววังหน้า
    ส่วน"เหรียญพระสังข์เรียกเนื้อ" กลายเป็นหนึ่งในเหรียญในตำนานไปแล้วด้วยจำนวนการสร้างไม่น่าจะเกิน ๓๐๐ องค์ ว่ากันว่าหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครกเป็นผู้สร้าง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...