หลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (24) โปรดญาติโยม


หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (24)
โปรดญาติโยม
คำสอนของพระองค์ แม้จะ ประเสริฐ ยอดเยี่ยม อย่างไร ถ้าไม่ปฏิบัติด้วยตนเองแล้ว ก็ยากที่จะพ้นทุกข์ได้ ถึงเราจะประกอบงานอาชีพอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ทำด้วยตนเอง อาศัยจมูกคนอื่นหายใจ คอยให้เขาทำให้ ก็จะไม่เกิดผล แก่ตน

ธรรมะ ปฏิบัติ ที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ เราต้องรู้ด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง จึงจะเกิดปัญญารู้แจ้ง ถึงทางพ้นทุกข์นั้น การตอบแทน คุณท่าน ก็คือปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์

คำสอนของพระองค์ เป็นสัจจะธรรม ไม่มีหมวดใดที่พิสูจน์ ไม่ได้ เว้นแต่เราจะไม่รู้จริง หรือไม่ยอมพิสูจน์เท่านั้นเอง สิ่งที่เรา จะเห็นง่าย ๆ ด้วยการพิจารณา จากชีวิตประจำวัน ของเราเอง ก็คือ อริยสัจจะ แต่ส่วนใหญ่เราไม่เคยสนใจกันว่า อริยสัจ ๔ คืออะไร

อาทิเช่น เมื่อเรามีทุกข์ บางทีเราก็ไม่สนใจว่า มันเป็นทุกข์ เราพากันเรียกทุกข์ว่า “ปัญหา” เช่นปัญหา ในการทำงาน ปัญหาในชีวิต

แต่ที่จริงตามความหมาย ในพระพุทธศาสนา ก็คือทุกข์นั่นเอง เมื่อปัญหาเรื่องทุกข์เกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งที่เราทนนิ่งดูดายไม่ได้ บางปัญหาถ้า เราไม่หาทางแก้ไข อาจเดือดร้อนมากมาย อาจทำให้บ้านแตก สาแหรกขาด บ้างก็ทำให้ล่มจม ทำให้ติดคุกติดตะราง ทำให้สูญเสีย ทรัพย์สมบัติ บ้างก็ทำให้ถึงตายก็มี

ชาวโลกทั่วไปเกิดทุกข์ขึ้นเช่นนี้ ก็จะต้องหาทางแก้ไข เราจะแก้ไขได้อย่างไร ก็ต้องค้นหาสาเหตุ ที่ทำให้เราเกิดทุกข์ ให้ได้เสียก่อน หรือที่เรียกว่า ให้รู้ตัวปัญหาทุกข์ มันเกิดขึ้นได้จากอะไร ถ้ารู้ตัวปัญหาแล้ว เราก็จะมีทางแก้ไข ตามความเหมาะสม เรียกว่ารู้ทางดับทุกข์ ทุกข์ก็ย่อมจะหมดไป วิธีแก้ทุกข์ จะต้องเป็นผู้ที่มีสติ การที่จะ มี สติ ระลึกรู้ได้ ก็จะต้องมีความสงบ จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ให้หมั่นทำใจให้สงบ มีสมาธิ เมื่อมีสมาธิ ความเยือกเย็น สุขุม ก็จะบังเกิดขึ้น นี่ก็เป็น ส่วนหนึ่งของอริยสัจ ๔ ของชาวโลก ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน ของชาวโลก แต่ยังมีอีกขึ้นหนึ่ง ในทางธรรม ที่ลึกซึ้งกว่า เป็นอริยสัจของชีวิต ที่พระพุทธเจ้า ทรงเห็นว่า ชีวิตทั้งหลายต่างก็ ต้องเวียนเกิด เวียนแก่ เวียนเจ็บ เวียนตายอยู่เช่นนี้ หลายร้อยภพ หลายร้อยชาติ ด้วยกรรมต่าง ๆ กัน

 

ขอบคุณเรื่องราวดีๆของหลวงปู่สีครับป้าอี๊ด..(^_^)

 

กราบหลวงปู่สี ฉันทสิริ พระอริยเจ้า ๗ แผ่นดิน แห่งวัดเขาถ้ำบุญนาค

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (25) โปรดญาติโยม

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (25)
โปรดญาติโยม

การเกิด ก็ต้องเผชิญกับทุกข์ เวทนา ไม่มีวันสิ้นสุด ที่แท้จริง ชีวิต ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ก็เป็นอนัตตา มิใช่ตัวตนของเรา หรือของใคร ทั้งสิ้น จะยึดมั่น ถือมั่น ว่าเป็นของเราก็ไม่ใช่ ทรงเห็นอย่างนี้แล้ว ก็ทรงเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ไม่ประสงค์ที่จะเวียนเกิด เวียนตายต่อไปอีก พระองค์จึงทรงออกบวช เพื่อแสวงหาความไม่เกิด ไม่ตาย จะเป็นทางพ้นทุกข์

การออกบวช เพื่อแสวงหา การไม่เกิด ไม่ตาย อันเป็นทางพ้นทุกข์นั้น ศึกษาให้รู้แจ้ง ด้วยการทำจิตพิจารณาให้เห็น ด้วยปัญญาของตนเอง

อย่างเช่น อายตนะ ๖ ประการ นาม รูป เป็นปัจจัย อายตนะ ๖ ประการ เป็นปัจจัยของผัสสะ ผัสสะ เป็นปัจจัยของเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยแห่งตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน อุปาทาน เป็นปัจจัยแห่งภพ เครื่องเกิดภพ เป็นปัจจัยแห่งชาติ ชรา มรณะ อันเป็นนิตยทุกข์ ความโศกร่ำไร ทุกข์โทมมนัส อุปายาททั้งหลาย ทำให้ทุกข์เกิดขึ้น เพราะชาติ ความเกิดเป็นปัจจัย กองทุกข์ทั้งสิ้น จึงมาเกิดขึ้น ทรงมีพระปรีชารู้แจ้งว่า มันเกิดขึ้นพร้อมกัน

เมื่อรู้เหตุแห่งทุกข์แล้ว ก็ทรงแสวงหา ความดับทุกข์ ให้สนิทลง ทรงตั้งปัญหา ถามพระองค์เองว่า เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ ชรา มรณะ จึงจะไม่มี เพราะความดับไม่เหลือ แห่งอะไร ชรา มรณะ จึงจะดับไปโดยไม่เหลือ จึงเกิดความรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติ ความเกิดไม่มี ชรา มรณะก็ไม่มี อาศัยชาติดับสนิท ชรา มรณะ ก็จะดับไปโดยไม่เหลือ อาศัยชาติดับสนิท ชรา มรณะ จึงจะดับสนิทได้ เพราะภพดับสนิท ชาติจึงจะดับสนิทได้ เพราะอุปกาทานดับสนิท ภพจึงจะดับสนิท เพราะตัณหาดับสนิทลง อุปาทานจึงจะดับสนิทไป เพราะเวทนาดับสนิท ตัณหาจีงจะดับสนิทได้ เพราะผัสสะดับสนิท เวทนาจึงจะดับสนิทได้ เพราะอายตนะ ๖ ประการ ดับสนิทลง ผัสสะ จึงจะดับสนิท เพราะนามรูปดับสนิทลง อายตนะ ๖ ประการ จึงจะดับสนิทลง เพราะวิญญาณดับสนิท นาม – รูป จึงดับสนิท

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (26) โปรดญาติโยม

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (26)
โปรดญาติโยม

อันนี้เป็นการรู้ทางที่จะดับทุกข์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงทบทวน เป็นอนุโลม ปฏิโลม จนเข้าใจ แจ่มแจ้งขึ้นในพระทัย ไม่มีข้อสงสัย พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว และการตรัสรู้ นี้ก็เพราะพระองค์ ได้ทรงดำเนินตามมรรค ๘ เป็นลำดับไป ด้วยทรงมีความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ ทำชอบเบื่อระอา ยิ่งนัก ธรรมชาติของจิต ที่มาเกิดกับกาย เนื้อนี้ มีความหมายอยู่ ๒ ประการ คือ เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ที่ตนได้ กระทำไม่ดี ต่อผู้อื่นในอดีตชาติ ไม่ว่ากรรมใหญ่ หรือกรรมเล็ก ก็ต้องใช้ไปให้หมด บางทีก็เผลอไผลไปสร้างกรรมไม่ดีขึ้นมาอีก เพราะถูกกิเลส ตัณหา อุปาทาน มารตัวร้าย เข้าครอบงำ

หากทุกคนเกิดมาเพื่อสร้างสมความดี มีทาน มีศีล ภาวนา เพื่อให้เกิดปัญญา รู้แจ้งหลุดพ้น ถ้าไม่มีมารร้ายมาขัดขวาง ก็จะเดินทางสู่พระนิพพานได้ทุกคน แต่ก็มักขัดขวางเสียเป็นช่วง เป็นตอน ต้องทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง เพราะกรรมเก่ามันยังไม่หมด ด้วยเหตุนี้จึงพากัน เวียน ว่าย ตาย เกิด อยู่ในวัฎสังสารช้านาน เป็นเวลาพันภพแสนชาติ กว่าจะหลุดพ้นบ่วงมารไปได้

ดังได้กล่าวแล้วว่า ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยจิต ถ้าตั้งใจที่จะกระทำความดี เอาชนะมารร้ายให้ได้ ด้วยการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ระวังตัวให้อยู่ในมรรค ๘ สม่ำเสมอ ทางเดินในวัฏฏะมันก็จะแคบเข้า และสั้นเข้า เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นี้ นับว่ามีโชคอยู่อย่างหนึ่ง คือมีสิทธิที่จะเลือกทำดี ทำชั่วได้อย่างสมบูรณ์ มันอยู่ที่ตัวเราเอง จะเลือกเอาอย่างไหน ถ้าใจอ่อน ตามใจ เจ้ามารร้ายมันก็จะบงการให้เราทำแต่ความชั่ว ถ้าใจแข็งเอาชนะมันให้ได้ เราก็จะทำกรรมดีได้สำเร็จ ความสำเร็จมีอยู่ ที่จิตใจของเราเอง ว่าจะทำตามความหมายเดิม ที่เกิดมาเป็นมนุษย์หรือไม่

การบำรุง บำเรอ ให้อาหารแก่จิต ก็ไม่สิ้นเปลืองอะไรนัก นักจิต ก็ไม่สิ้นเปลืองอะไรนัก ให้จิต ได้ทำบุญ ทำทานได้ ตามสมควร เช่น ใส่บาตรบ้าง เอื้อเฟื้อคนยากจนบ้าง สงเคราะห์เด็กอนาถาบ้าง ก็จะทำให้จิต ก็จะทำให้จิต มีความสุขอิ่มเอิบทำด้วยศรัทธาเชื่อมั่นในความดี ก็ใช้ได้แล้ว ยิ่งให้จิตได้รักษาศีล ฟังธรรม เจริญภาวนา ยิ่งไม่เปลืองอะไร นอกจากเวลา แต่ผลนั้นเกินคาด เจริญภาวนาไป เรื่อย ๆ จนจิตขึ้นอยู่เหนือ มารร้าย ก็จะใกล้พระนิพพาน

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (27)
โปรดญาติโยม

จิตที่ปฏิบัติธรรม สมาธิ เมื่อปฏิบัติต่อเนื่อง กันไป ก็เป็นดังสายน้ำไหล อารมณ์แนบเนื่องอยู่กับเอกัคตา จิตไม่คลอนแคลน เราจะรู้แจ้งเห็นจริง ตามธรรมชาติ อันเป็นสัจจะธรรม ได้ก็ตอนนี้แหละ ธรรมใดที่ไม่เคยรู้ ก็จะรู้ขึ้นมาเอง ส่วนจะรู้มาก รู้น้อย ก็แล้วแต่บุญ วาสนา บารมี ยังน้อยอยู่ หรือเต็มเปี่ยมแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ความเพียร เราเพียรกระทำต่อเนื่องกันไป ก็ย่อมจะเกิดธาตุรู้ขึ้น

ยังมีอีกที่เราชาวพุทธ ควรจะตริตรอง พิจารณาตามธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว งามแล้ว ชอบแล้ว เพื่อตนเองจะได้มีปัญญารู้ แจ้ง แทงตลอด ด้วยตนเอง ไม่มีสิ่งใดที่ทรงปิดบังเอาไว้ ทรงสั่งสอนให้เป็นที่แจ่มแจ้ง และหลากหลายด้วยอุบายวิธี ที่จะมาปฏิบัติให้ถึงสัจจธรรม และความหลุดพ้น จากทุกข์ทั้งปวง เพียงแต่เราท่านยังมัวเมา ตกอยู่ในอำนาจของ โลภ โกรธ หลง กิเลส ตัณหา อุปาทาน ขันธ์ ๕ ก็ค่อย ๆ พิจารณาความเป็นมา แห่งชีวิตของตน เราเกิดมาได้ทำดี ทำชั่ว หรือสร้างกรรมดี กรรมชั่ว อะไรมาบ้าง สิ่งใดที่ควรจะทำให้มากขึ้น ก็จงทำต่อไป สิ่งใดที่ไม่ดี ไม่งาม ก็ควรจะเลิกให้หมดไป กับชีวิต ไม่ควรทำอีกต่อไป เมื่อคิดได้ ชีวิตนี้ก็ราบรื่น ปลอดโปร่ง แจ่มใส สดชื่นสบายใจ

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงตรัสสอนว่า “ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วไม่ทำเลยเสียดีกว่า” เพราะความชั่วนั้น ย่อมทำให้เกิดเป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นอสูรกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรก สุดแต่กรรมของตน
มนุษย์ผู้มีปัญญา ทั้งหลาย จะต้องพิจารณาไตร่อตรองให้ลึกซึ้งว่า ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น นับว่าโชคดีกว่าสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า “เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม อยู่ในสวรรค์วิมานเมืองฟ้า ก็ยังไม่เท่าเกิดเป็นมนุษย์ “

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (28) โปรดญาติโยม

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (28)
โปรดญาติโยม

การเกิดเป็นมนุษย์นี้ มีสิทธิ์จะเลือกทำดี ทำชั่วได้ตามความต้องการของตน มีโอกาสที่จะทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ประกอบความดี ปรารถนาจะขึ้นสวรรค์ หรือเป็นอริยบุคคล เป็นพระอรหันต์ ไปจนถึงสู่พระนิพพาน ก็ได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับจะทำดีหรือกระทำความชั่ว ก็ย่อมไปตามหนทางแห่งการกระทำ

ผู้มีบุญวาสนาได้มีโอกาสไป กราบหลวงปู่ ได้ฟังธรรมจากหลวงปู่ ต่างก็เกิดความปิติซาบซึ้ง ในรถพระธรรม คำสั่งสอน และทุกคนก็จะได้ยินคำพูด คำสอนของหลวงปู่สี ที่พยายามกล่าวย้ำให้ทุกคน หมั่นปฏิบัติธรรม ประพฤตตนอยู่ในศีล ในธรรม “ความดีสิ คงทน แต่ความจนสิอยู่นาน”

คติธรรมของหลวงปู่ที่ว่า ความดีสิคงทน นั่นก็หมายความว่า ให้ทุกคนสร้างแต่ความดี เพราะความดีเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ทั้งปัจจุบันและอนาคต

ส่วนคำที่ว่า “ความจนสิอยู่นาน “ นั่นท่านหมายถึง คนที่จนปัญญา ไม่รู้จักแสวงหา ปัญญา ใส่ตัว ก็เป็นคนจนตลอดไป

นอกจากธรรมะ อันเป็นของวิเศษที่ให้แก่ศานุศิษย์ทั้งเพศบรรพชา และฆราวาส ที่ไปกราบหาท่าน พวกลูกศิษย์ ใกล้ชิดต่าง ทราบดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างของหลวงปู่ ล้วนเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ควรแก่การจดจำและเก็บรักษา

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ท่านเป็น สหธรรมิกกับ หลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ พระนครศรีอยุธยา ผู้มีวิชาอาคม แก่กล้า ที่มีความสามารถล่องหน ย่นระยะทางได้และมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ท่านรูปนี้กำหนดรู้วันตายของตัวเองได้ และที่สำคัญคือมรณภาพแล้วศพไม่เน่าเปื่อยแต่กลับแข็งดุจหินอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ท่านเป็น สหธรรมิกกับ หลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ พระนครศรีอยุธยา ผู้มีวิชาอาคม แก่กล้า ที่มีความสามารถล่องหน ย่นระยะทางได้และมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ท่านรูปนี้กำหนดรู้วันตายของตัวเองได้ และที่สำคัญคือมรณภาพแล้วศพไม่เน่าเปื่อยแต่กลับแข็งดุจหินอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (29) ชานหมากหลวงปู่

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (29)
ชานหมากหลวงปู่
หลวงปู่สี ฉันทสิริ ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ทรงคุณสูงยิ่ง อีกทั้งอายุก็ยืนยาว แข็งแรงมั่นคง จดจำผู้คนได้อย่างแม่นยำ สุ้มเสียงชัดเจน ร่างกายแข็งแรง ผิกแผกแตกต่างกับมนุษย์ทั่วไป ที่มีอายุเกิน ๑๐๐ ปี จะมีสภาพตา หู จมูก ร่างกาย ที่สมบูรณ์แข็งแรง มั่นคงอย่างเช่น หลวงปู่ จึงมีญาติโยมไปกราบนมัสการท่าน มิได้ขาด หลวงปู่ท่านเป็นพระที่ไม่ชอบสั่งสมสร้างเครื่องมงคลใด ๆ ในยุคแรก ๆ เว้นแต่ว่ามีความจำเป็นในการซ่อมแซมบูรณะสร้างเสริมสืบต่อพระพุทธศาสนาเท่านั้น ท่านจึงอนุญาตให้สร้างได้เป็นครั้งคราว ไม่เหมือนกับพระอาจารย์ ในยุคปัจจุบันนี้ สร้างขึ้นมาเกินความจำเป็นจนผู้สั่งสม ไม่มีที่จะเก็บ

ในสมัยแรก ๆ ที่หลวงปู่ถูกนิมนต์มาให้อยู่ประจำที่สำนักสงฆ์ เขาถ้ำบุญนาค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ในราว ปี พ.ศ.๒๕๑๒ นั้น หลวงปู่ยังไม่อนุญาตให้สร้างเครื่องมงคลอะไร ผู้ที่ไป กราบหลวงปู่ก็ได้ แต่เศษผ้าจีวรเก่า ๆ ของหลวงปู่ หรือไม่ก็น้ำล้างเท้า ของหลวงปู่ ครั้นต่อมาเมื่อผู้ที่มาหาหลวงปู่ เห็นหลวงปู่ฉันหมากเวลาที่หลวงปู่คายชันหมาก ก็ยื่นมือไปขอชานหมากของหลวงปู่

ที่มาของเรื่องชานหมากของหลวงปู่สีนั้น มีอยู่วันหนึ่งในยุคที่ อำเภอตาคลี มีพระอาจารย์อีกรูปหนึ่ง ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงมาก มีผู้ไปกราบขอของดี นั่นก็คือ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ซึ่งอยู่ไม่ไกล จากสำนักเขาถ้ำบุญนาค ที่หลวงปู่สีมาจำพรรษาอยู่ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค แต่เดิมนั้นก็เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่สี ฉันทสิริ

หลังจากที่พวกลูกศิษย์ของหลวงปู่สี ฉันทสิริ ปรนนิบัติหลวงปู่สีเสร็จ ก็มาตั้งกลุ่มสนทนากัน จากเสียงเบา ๆ ก็ค่อย ๆ ดังขึ้น ถึงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องมงคลของหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค และอาจารย์อื่น ๆ อีกหลายรูป ที่ลูกศิษย์วัดวัยรุ่น ต่างก็พูดคุยกัน มีลูกศิษย์คนหนึ่ง รับราชการอยู่กองบิน ที่ตาคลี อยู่ในวงสนทนานั้นด้วย หลวงปู่ท่านก็เลยรำคาญ ที่ลูกศิษย์วัดส่งเสียงดังกัน ท่านก็หันมาและพูดขึ้นว่า ” ไอ้ที่พวกเจ้าพูดถึงกันอยู่นั่น นะ สู้ชานหมากข้าฯไม่ได้”

 

ไปสุรินทร์มาเมื่ออาทิตย์ก่อน
แวะไปถามหลวงปู่ี่ที่วัดที่เคยได้พระปิดตามา ท่านบอกปิดตาหมดไปตั้งนานแล้ว เหลือแต่ผงรูปเหมือนอายุยืนที่สร้างขึ้นเมื่อปี ๔๕ เลยไม่ได้เอามา ถามท่านบอกว่าพระิิอยู่ กทม.เอามาถวายงานฉลองอุโบสถ

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (30) ชานหมากหลวงปู่

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (30)
ชานหมากหลวงปู่
พอพูดเสร็จหลวงปู่ก็คายชานหมาก ออกจากปากของท่านแล้วฉีกชายจีวรเก่า ๆ ที่ทำเป็นผ้าเช็ดมือข้างเชี่ยนหมากมาห่อแล้วผูกโยนไปให้ลูกศิษย์คำหนึ่ง ชายหนุ่มคนที่เป็นทหารอากาศที่อยู่กองบินตาคลี ได้ไป แต่ก็ยังไม่แน่ใจ จึงลองยิงด้วยปืนพก ๑๑ มม.ปรากฏว่ายิงไม่ออก แต่พอยกปืนยิงขึ้นฟ้าก็ยิงออก ทดลองอยู่ถึง ๓ นัด จึงแน่ใจ ผู้ที่พบเห็นในวันนั้น ต่างก็ฮือฮา กระจ่ายข่าวกันต่อ ๆ ไป จนลือลั่น ต่อมาทุกคนพอมาถึงวัดต่างก็ขอชานหมาก แย่งชานหมากของหลวงปู่กัน ในครั้งกระนั้น แม้แต่น้ำหมากของหลวงปู่ก็ไม่มีติดกระโถน พวกที่ไปที่วัด คอยเอาผ้าบ้าง กระดาษบ้างซับเอาไปเก็บกันจนหมด

อยู่มาวันหนึ่ง หลวงปู่สี ท่านปรารภออกมาว่า “เพราะปากเราแท้ ๆ จึงต้องทำให้เราต้องลำบาก เพราะก่อนหน้านั้น ไม่มีใครรู้ ก็ไม่มีใครมารบกวน พอหลังจากที่ท่านรำคาญ เผลอพูดไปวันนั้นเท่านั้น หลวงปู่สีท่านเลยต้องเคี้ยวหมากจนไม่ทัน กับความต้องการของลูกศิษย์ที่มาหา อานุภาพของน้ำหมาก ชานหมาก ของหลวงปู่ นับว่ามีอานุภาพครอบจักรวาลก็ว่าได้ ไม่ว่าจะในทางโชคลาภ เมตตามหานิยม แคล้วคลาด จากอันตราย และใช้ในทางมหาอุด นับว่าเป็นยอด ซึ่งต่อมาทางวัดได้ขออนุญาตหลวงปู่ ไปผสมสร้างเป็นพระขึ้นมาแจกให้กับลูกศิษย์ ที่มากราบหลวงปู่ มากขึ้นทุกวัน และต่อมาทางวัดก็ขออนุญาตหลวงปู่สี จัดสร้าง เครื่องมงคลขึ้นมาเพื่อหาทุนในการสร้างโบสถ์ วัดเขาถ้ำบุญนาค

ในครั้งกระนั้นลูกศิษย์ที่ไป กราบหลวงปู่อยู่เป็นประจำที่รับราชการอยู่ก็มี พลอากาศตรีมนูญ ชมภูทีป พร้อมด้วยทหารรับใช้ของท่านนายพลฯ และครอบครัวของท่านล้วนเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สี ฉันทสิริ ซึ่งมีอายุในตอนนั้น ก็ราว ๑๒๑ ปี (ปี พ.ศ.๒๕๑๓ ) ในขณะนั้นหลวงปู่ท่านก็นับว่าเป็นพระปฏิบัติที่มีอายุยืนยาวที่สุด พอมีผู้คนทราบกิตติศัพท์ของหลวงปู่ก็ต่างไปกราบไหว้ ขอพรจากหลวงปู่กันมากมาย จนทางโรงปูนซีเมนต์ ที่ตาคลีต้องทำทางเข้าวัด ให้กับทางวัด ทางโรงปูนทุกคน เลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงปู่มาก เครื่องมงคลของหลวงปู่สี ทุกคนแถวโรงปูนซีเมนต์ ที่ตาคลี ล้วนหวงแหนกันมาก

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (31) ชานหมากหลวงปู่

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (31)
ชานหมากหลวงปู่
ท่านนายพลอากาศตรีมนูญ ชมพูทีป ท่านมีโอกาสได้รู้ได้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงปู่สี ฉันทสิริมากมายผู้หนึ่ง ในกระบวนลูกศิษย์ของหลวงปู่ อย่างเช่น ในเรื่องชาวไร่ข้าวโพดผู้หนึ่ง ที่ได้รับชานหมากจากหลวงปู่สี ต่อมาชาวไร่ข้าวโพดผู้นั้น เกิดทำชานหมากของหลวงปู่สีหาย ในขณะที่ทำการเก็บหักข้าวโพดกับพวกอยู่ในไร่ พอทราบว่าชานหมากของหลวงปู่ที่พกติดตัวอยู่ประจำหายก็ออกค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่พบเพราะดงข้าวโพดนั้น กว้างใหญ่ ไพศาล แต่เนื่องด้วยจิตที่มีศรัทธามั่นคงต่อหลวงปู่สี ด้วยความจริงใจ พอตกกลางคืนก็ฝันว่าหลวงปู่สีมาเข้าฝันบอกว่า หากอยากได้ชานหมากคืน ก็ให้เผาไร่ข้าวโพด ที่หักเก็บฝักแล้วเสีย แล้วเจ้าก็จะพบชานหมากของข้าที่เจ้าทำหายในไร่

พอตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ชาวไร่ ข้าวโพดลูกศิษย์หลวงปู่สี ผู้นั้นก็ทำการจุดไฟเผาไร่ข้าวโพดที่ ตนได้ทำการหักฝักหมดแล้วทันที ไฟได้ลุกไหม้ต้นข้าวโพด ในไร่อย่างรวดเร็ว และเมื่อต้นข้าวโพด ถูกไฟไหม้หมดราบเรียบ มองไปในไร่ จึงเห็นได้ชัดว่ายังมีต้นข้าวโพดอีก ๒-๓ ต้น ยังยืนอยู่เป็นปรกติ ไฟไม่ไหม้ เป็นที่อัศจรรย์ เพราะข้าวโพดทุกต้นในไร่ มอดไหม้ไปจนหมด แต่เหลือต้นข้าวโพดสอง สามต้นยังยืนอยู่ได้อย่างไร ใบและกิ่งก้านที่แห้งไฟไม่สามารถเผา ผลาญได้ จึงเดินตรงเข้าดู ก็พบชานหมากของหลวงปู่สีที่ตนทำตกหายอยู่ที่พื้นดิน ในระหว่างต้นข้าวโพด ที่ไม่ยอมไหม้ ไฟ สองสามต้นนั้น ก็ดีใจมากทรุดตัวลงกับพื้นเก็บขานหมากขึ้นมาแล้วยกมือไหว้ระลึกนึกถึงหลวงปู่สีที่มาเข้าฝันตนทำให้ได้ของรักของหวงกลับคืนมาได้ ต่อจากนั้นก็นำไปเลี่ยมแขวนไว้กับคอตราบเท่าทุกวันนี้

อีกรายเป็นสตรีวัยกลางคนอยู่ที่สมุทรปราการ ได้ชานหมากของหลวงปู่สี เก็บใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ อยู่มาวันหนึ่ง เดินกลับบ้านตอนพลบค่ำ ในระหว่างที่เดินอยู่ในซอยเปลี่ยว ตนมีความรู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังมา สามคน ตนจึงได้เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อหนีให้ห่างจากชายสามคนที่เดินตามมานั้น แต่ก็ได้ยินเสียงเท้าของผู้ตามไล่มาอย่างกระชั้นชิด ตนจึงได้วิ่งหนีด้วยความกลัว แต่คนทั้งสามก็ยังวิ่งตามมาอีกอย่างไม่ลดละ จนในที่สุดตนรู้สุกเหนื่อยจึงหยุดวิ่งทันทีแล้วหันหน้าไปดูชายทั้งสามคน ที่วิ่งตามมานั้นหยุดชะงักเช่นกัน เมื่อเห็นหน้าตนหันมาดู ด้วยอาการหวาดกลัวและร้องเสียงดังพร้อมกันแล้วคนร้ายทั้งสามต่างวิ่งโกยกลับหลังหนีไปอย่างอัศจรรย์ ทั้งที่ความจริงแล้วใบหน้าของอาจารย์สตรีผู้นั้น ก็จัดว่าเป็นหญิงที่มีความงาม ไม่น่าที่คนร้ายทั้งสามจะตื่นกลัวตกใจจนวิ่งหนี จากไปเช่นนั้น นี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ประหลาด รู้สึกฉงน ปนสนเทห์ ว่าคนร้ายทั้งสามคนนั้น เห็นอะไรกันแน่ในวันนั้น ทำไมต้องตกใจ กลัว ลนลาน ร้องเสียงหลง เช่นนั้น

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (32) ชานหมากหลวงปู่

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (32)
ชานหมากหลวงปู่

ส่วนตัวท่านนายอากาศตรีมนูญ ชมพูทีป เองก็ได้รับจากหลวงปู่สี ฉันทสิริ และเป็นผู้หนึ่งที่คอยปรนนิบิติรับใช้หลวงปู่ตอนอาพาธ ในวาระที่ใกล้จะละสังขารได้ติดตามไปเฝ้าอาการ หลวงปู่ที่โรงพยาบาล ท่านได้เคยเห็นว่าครั้งใดก็ตามที่จะฉีดยาให้ท่านนั้น ถ้าท่านไม่อนุญาตเข็มฉีดยาที่หมอ พยายามจะฉีดยา ให้ท่านจะต้องหัก ทุกครั้งไป ต่อเมื่อท่านอนุญาตจึงจะฉีดยาให้ท่านได้

ในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ ของชานหมากของหลวงปู่ นั้นยังมี อีกมากลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดของหลวงปู่ล้วนมีไว้ประจำตัว คนละเม็ด ท่านจะห่อด้วยเศษจีวรของท่านและสั่งห้ามมิให้ แกะออกเป็นอันขาดฉะนั้นลูกศิษย์ที่ได้มาก็จะเลี่ยมพร้อมกับจีวรของท่านเลย พกติดตัวเป็นประจำ ส่วนตัวของผมเองก็เก็บติดไว้ ๑ เม็ด นับว่าเป็นของหายาก อย่างอื่นพอมีแบ่งกันกันได้ แต่ลูกอม ไม่อาจแบ่งปันกันได้ แต่ให้ชมได้เท่านั้นนะครับ

หลวงปู่สี ฉันทสืริ นับว่าท่านเป็นพระอาจารย์ ที่ดังอย่างเงียบ ๆ พระอาจารย์มากมายที่ให้การยอมรับ และนับถือหลวงปู่อย่างมาก อาทิเช่น หลวงปู่บุดดา ถาวโร อายุ ๑๐๑ ปี แห่งจังหวัดสิงห์บุรี ท่านเป็นผู้หนึ่งที่เคารพหลวงปู่มาก ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ผู้เด่นดัง มีลูกศิษย์มากมายอีกผู้หนึ่งที่ให้การเคารพและยอมรับหลวงปูสี ฉันทสิริ ว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่สุดยอดแห่งยุค และเป็นอีกผู้หนึ่งทีไปมาหาสู่หลวงปูสี ฉันทสิริ อยู่เป็นนิตย์

 

หลวงปู่สี ฉันทสืริ นับว่าท่านเป็นพระอาจารย์ ที่ดังอย่างเงียบ ๆ พระอาจารย์มากมายที่ให้การยอมรับ และนับถือหลวงปู่อย่างมาก อาทิเช่น หลวงปู่บุดดา ถาวโร อายุ ๑๐๑ ปี แห่งจังหวัดสิงห์บุรี ท่านเป็นผู้หนึ่งที่เคารพหลวงปู่มาก ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ผู้เด่นดัง มีลูกศิษย์มากมายอีกผู้หนึ่งที่ให้การเคารพและยอมรับหลวงปูสี ฉันทสิริ ว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่สุดยอดแห่งยุค และเป็นอีกผู้หนึ่งทีไปมาหาสู่หลวงปูสี ฉันทสิริ อยู่เป็นนิตย์

 

หลวงปู่สี ฉันทสืริ นับว่าท่านเป็นพระอาจารย์ ที่ดังอย่างเงียบ ๆ พระอาจารย์มากมายที่ให้การยอมรับ และนับถือหลวงปู่อย่างมาก อาทิเช่น หลวงปู่บุดดา ถาวโร อายุ ๑๐๑ ปี แห่งจังหวัดสิงห์บุรี ท่านเป็นผู้หนึ่งที่เคารพหลวงปู่มาก ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ผู้เด่นดัง มีลูกศิษย์มากมายอีกผู้หนึ่งที่ให้การเคารพและยอมรับหลวงปูสี ฉันทสิริ ว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่สุดยอดแห่งยุค และเป็นอีกผู้หนึ่งทีไปมาหาสู่หลวงปูสี ฉันทสิริ อยู่เป็นนิตย์

 

จากนั้น หลวงปู่ท่านก็ออกเดินธุดงค์ไปอีก ต่อมาท่านก็พบว่าหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ซึ่งหลวงปู่แหวน ได้มากราบท่านและได้ขอร่วมเดินทางด้วย อีกทั้งขอมอบตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่สี ท่านก็ได้อบรมสั่งสอนสมาธิปฏิบัติให้ตั้งแต่สมัยที่หลวงปู่แหวน ยังเป็นพระหนุ่มอยู่ จึงนับได้ว่าหลวงปู่สี ฉันทสิริ เป็นพระอาจารย์ บูรพาจารย์ องค์แรกของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ก่อนที่หลวงปู่แหวน จะมาเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ในกาลต่อมา

 

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (33) ชานหมากหลวงปู่

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ภาคสมบูรณ์ : จักรภพ เจริญรัตน์ (33)
ชานหมากหลวงปู่

ดังเรื่องราวปรากฏว่าเมื่อราวเดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ นายแพทย์ของกองบินมีชื่อเล่นว่า “หมอโอ๊ต “ มาคอยให้การรักษาพยาบาลหลวงปู่อยู่ หมอโอ๊ตจะหนักใจเป็นพิเศษ เพราะหลวงปู่ไม่ค่อย ยินยอมให้ฉีดยา ซึ่งถ้า ซึ่งถ้าหลวงปู่ไม่ยอม ก็ฉีดยาแทงเข็มไม่เข้า ก็ไม่สามารถรักษาได้ ตามกระบวนแพทย์ ครั้นเมื่อหลวงปู่ใกล้ถึงกาลมรณะ หลวงพ่อสมบูรณ์ ท่านเจ้าอาวาสวัดเขาถ้ำบุญนาค ได้คลานไปกราบถามท่านว่า “หลวงปู่ครับ หากหลวงปู่มรณะภาพ จะให้ทางวัดจัดพิธีศพของหลวงปู่อย่างไร “

หลวงปู่สี ฉันทสิริ ท่านก็ ตอบให้ทุกคนในนั้น ได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า “ หากข้ามรณะภาพเมื่อใด ท่านฤาษีลิงดำ จะมาเป็นผู้จัด การศพข้าเอง ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง” และแล้วต่อมาเวลาประมาณตี ๓ ของวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ สิริรวมอายุของหลวงปู่สีได้ ๑๒๘ ปี หลวงปู่สี ฉันทสิริ ก็ได้จากลาพวกเราไป ท่ามกลางสายลมหนาวที่เย็นยะเยือก แต่ความหนาวเย็นของอากาศ ยังไม่ยะเยียบเท่ากับ เหล่าลูกศิษย์ได้ทราบข่าว การจากไปของหลวงปู่ อย่างที่ไม่มีวันที่จะกลับคืนมาอีกได้ ทุกคนเงียบ น้ำตาล้วนไหลพราก ต่างสะอื้น ให้ ด้วยความอาลัยหลวงปู่ ท่านจากมวลลูกศิษย์ไป ท่ามกลางลมหนาวแล้ว อย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ประมาณตี ๕ ของคืนวันนั้น หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็มาปรากฏกายขึ้น โดยไม่ได้รับการติดต่อแจ้งข่าว จากผู้ใดในวัดเขาถ้ำบุญนาค แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้มาถึงอย่างน่ามหัศจรรย์ตรงตามคำพูดของหลวงปู่สี ฉันทสิริ ที่ท่านได้กล่าวไว้ ท่ามกลางลูกศิษย์ก่อนที่ท่านจะถึงกาล มรณะ

เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาถึง วัดเขาถ้ำบุญนาค ก็ได้ขอให้เก็บศพของหลวงปู่ไว้เสมือนหลวงปู่สี ท่านนอนจำวัด และท่านจำวัดหลับสนิทด้วยอาการปกติ สงบเรียบร้อย มาตราบเท่าทุกวันนี้

 

เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาถึง วัดเขาถ้ำบุญนาค ก็ได้ขอให้เก็บศพของหลวงปู่ไว้เสมือนหลวงปู่สี ท่านนอนจำวัด และท่านจำวัดหลับสนิทด้วยอาการปกติ สงบเรียบร้อย มาตราบเท่าทุกวันนี้