หมอปลาพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการดูดวง 3

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Bhimajaya, 4 ธันวาคม 2012.

  1. Bhimajaya

    Bhimajaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +231
    [​IMG]

    ตอน หมอปลาพูดถึงชูชกและจอมปลวก

    ตามห้างร้านมากมายเต็มไปด้วยเครื่องรางของขลัง เชื่อไหมว่าบางบ้านมีรูปจำลองของวัตถุมงคล ตั้งตระหง่านอยู่เหนือพระพุทธรูปเสียด้วยซ้ำ แถมบางคนยังบูชาไม่เป็น คือบูชาทุกสิ่งที่ขึ้นชื่อว่าเร้นลับ เหนือธรรมชาติ กระทั่งชูชก ตามพระเวสสันดร ชูชกก็คือพระเทวทัต อริศัตรูตลอดกาลของพระพุทธเจ้า เขามีความสามารถในการปลอมตัวแต่มักจะใช้ในทางที่ผิด ไม่สร้างสรรค์ ท้ายที่สุดจึงถูกพระแม่ธรณีสูบ ต้องชดใช้กรรมในนรก เรียกว่าเป็นตัวอย่างของคนชั่ว แต่พุทธศาสนิกชนกลับนับถือเขา

    คนที่บูชาชูชกมาจากความเชื่อที่ว่า ชูชกขอเก่ง ขอได้แม้กระทั่งกัณหา ชาลี หากอยากมีโชคลาภ ชูชกก็จะบรรดาลให้โดยง่าย ซึ่งหมอปลากล่าวว่าใน พระเวสสันดร เหตุที่ชูชกขอเก่งเพราะมีคาถาสาลิกาลิ้นทอง เป็นศาสตร์ฝ่ายมืด
    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    หมอปลา :: คุณจะบูชาชูชกทำไม เขาเป็นตัวอย่างของคนเลว เราจะบูชาคนเลวในนรกทำไม แบบนี้ถ้ามีโจรมาปล้นบ้านคุณ คุณต้องยกมือไหว้เขา "ขอบคุณที่อุตส่าห์เสียสละเวลาอันมีค่ามาปล้นบ้านฉัน" แบบนั้นหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ ชูชกเป็นคนเลวไม่ใช่คนที่ควรกราบไหว้เลย

    ถ้าคุณอยากมีโชคลาภ คุณก็ต้องทำงาน ไม่ใช่เอาไอ้เปรตมาเลี้ยง ไม่ใช่ทำตัวอย่างชูชก คือขอทาน ไม่ทำงานทำการ มาขอแต่เงิน มันคือความขี้เกียจ เห็นแก่ตัว ทำไมคุณไม่เป็นคนให้บ้าง มีเมตตา ชีวิตจะมีความสุขตลอดไป

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    การกราบไหว้แบบผิดๆของคนไทย ไม่เพียงแต่วัตถุมงคลเครื่องรางของขลังเท่านั้น กระทั่งกองดินก็ได้รับความนับถือเช่นกัน "จอมปลวก" คือเนินดินที่ไม่มีต้นไม้หรือหญ้าขึ้นเลย ภายในมีตัวปลวกสีออกดำ ตัวเล็ก ไม่กัด เรียกว่า "ปลวกหัวล้าน"หรือ"ปลวกหมูสี" อาศัยอยู่ เชื่อว่าถ้าขึ้นอยู่ใกล้บริเวณบ้านใด เจ้าของบ้านต้องทำพิธีรับขวัญปลวก โดยเอาผ้าแดงพันรอบๆ ทำพิธีเซ่นไหว้ เพราะเชื่อว่าจะเกิดสิริมงคลแก่บ้าน โดยปกติจะห้ามปลูกบ้านคร่อมจอมปลวก เพราะถือกันว่าทำอะไรก็จะมีอุปสรรคขัดขวาง นอกจากนี้ยังห้ามขับถ่ายรดจอมปลวก เพราะไม่เป็นสิริมงคล อาจมีสิ่งไม่ดีต้องลมเพลมพัดได้

    ความเชื่อที่สืบทอดกันมาโดยขาดการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนทำให้เจ้าของบ้านหลายหลังต้องเดือดร้อย เมื่อจอมปลวกขึ้นบ้านก็ไม่กล้าทำลาย ด้วยเกรงว่าจะเกิดเคราะห์ร้าย งานนี้ปลวกเลยจัดการรับประทานไม้ให้เสร็จสรรพ ต้องเสียเงินซ่อมแซม ได้เคราะห์สมใจ บางคนไม่เคยยกมือไหว้บุพการีแต่เจอจอมปลวกแทบจะกราบ หมอปลาตำหนิในเรื่องนี้มาก เขาทำลายจอมปลวกมานักต่อนัก ถูกว่าถูกเข้าใจผิด เพราะหาว่าหมอปลาไปลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หมอปลาอยากจะถามเหลือเกินว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนกินไม้เป็นเครื่องเซ่น?
    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    หมอปลา :: จอมปลวกมันไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันจะมากัดกินไม้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนจะกินไม้ล่ะครับ ขืนมีไว้ไม่เป็นผลดีแน่ มันต้องมาทำลายบ้านช่อง แล้วเราทำยังไง ขอบคุณนะครับที่กินไม้ จะได้สร้างบ้านใหม่ มันใช่หรือครับ ปลวกก็คือพวกเปรต สัมภเวสีนี่ล่ะ บางคนถึงกับสร้างโรงสร้างศาลให้จอมปลวก ขอถามหน่อย ปลวกมันคาบเงินคาบทองมาให้คุณหรือเปล่า ถ้าแบบนั้นมันก็น่าสร้าง แต่นี่มันมาทำลาย แล้วพวกคุณกลับไปสรรเสริญ มันเป็นอะไรที่แย่มากๆนะครับ
    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    หมอปลากล่าวว่าปลวกนั้นก็ไม่ต่างกับเปรต ยิ่งไหว้ ก็ยิ่งทำร้าย มากินบ้านกินช่อง ไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่ หรือใครจะเถียงว่าปลวกนั้นเป็นมงคลสุดๆ ท่านกล้าให้มันไปนอนในห้องของท่านหรือไม่ สัตว์บางประเภทยังส่งเป็นสินค้าออกไปขายสร้างกำไรเข้าประเทศได้ แต่ปลวกไม่มีประโยชน์อะไรเลย
    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    หมอปลา :: บางคนเดินผ่านจอมปลวก ไหว้เป็นสิบๆรอบ แต่พ่อแม่กลับไม่เคยไหว้เลย ปลวกไม่ได้คาบเงินคาบทองมาให้เรานี่ครับ เราจะไปกราบไหว้มันทำไม มันก็เปรียบเหมือนโจรหรือสัมภเวสีนี่ล่ะ แล้วเวลาที่ผมไปรื้อ ผมไม่ได้ไปขับไล่นะครับ ผมแค่อยากให้เขาได้ไปอยู่ภพภูมิของตัวเอง ไปผุดไปเกิด ควรจะไปอยู่สถานที่ของเขา ก็เหมือนโจรที่ต้องถูกจับเข้าไปในคุก และเมื่อถึงเวลาก็จะถูกปลดปล่อย
    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    โปรดติดตามตอนต่อไปครับ...

    ขอขอบคุณเนื้อหาจากหนังสือ หมอปลา มือปราบกรรม สัมภเวสี ผี วิญญาณ
     
  2. cdg0720

    cdg0720 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    284
    ค่าพลัง:
    +344
    ผมก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน คิดแบบตามหลักความเป็นจริง แต่ก็มิเคยกล้าลบหลู่สักครั้งเพราะเคยโดนกับตัวเองมาแล้ว....
     
  3. tuta868248

    tuta868248 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +1,116
    ทุกวันคนเราหลงทางกันมากมาย ไม่เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ หลงขอ หลงกราบไหว้ไปเรื่อย เพราะความโล๓อยากรำรวยเงินทอง อยากมีความเป็นอยู่อย่างสบายๆ แต่ไม่รู้จักการให้ ไม่รู้จักรักษาศิล แค่ศิล 5 ข้อเท่านั้นเอง ขี้เกียจสวดมนต์ไม่มีเวลา ไม่เจริญภาวนา ถ้าหากคนที่หลงทางหันมา หมั่นให้ทาน รักษาศิล สวดมนต์ไหว้พระ เจริญภาวนา ท่านจะมีชีวิตที่มีความสุขมากคะ อยู่เย็นเป็นสุข ชีวิตไม่ตกต่ำคะ จะลำบากก็พ้นจากความลำบาก ขอให้ทำจริงๆ ไม่ใช่หวังแต่จะได้ ให้ทาน รักษาศิล สวดมนต์ เจริญภาวนาไปคะอย่าท้อถอย อย่าท้อแท้ สู้กิเลส เอาชนะกิเลส ชนะใจตนเองตนเอง ท่านจะพบความสุขสำเร็จในชีวิตคะ และจะรู้แจ้งเห็นจริงในสัจจธรรมของพระพุทธองค์คะ ขอให้ประพฤติปฏิบัติจริงๆ คะ สู้กับวิกฤตการต่างๆที่พบในชีวิตโดยการ ให้ทาน รักษาศิล สวดมนต์ แผ่เมตตา เจริญกรรมฐานภาวนาเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งเป็นสรณะ อย่าเอาสัตว์ เอาต้นไม้ เป็นที่พึ่งไม่หลุดพ้นความทุกข์ลำบากหรอกคะ ดิฉัน เห็นด้วยกับหมอปลาคะ อนุโมทนาบุญกับคุณหมอปลาและคุณ Bhimajayaด้วยคะ สาธุบุญรักษาคะ
     
  4. น้องจุ๊บ

    น้องจุ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    603
    ค่าพลัง:
    +1,303
    หมอปลา นายแน่มาก พูดได้โดนใจมาก
    หลายคนสวดมนต์บทไตรสรณ์คมน์ แต่ไปนับถือที่พึ่งพาใจอย่างอื่น ซึ่งไม่เป็นสัจจะที่กล่าวต่อหน้าพระ เช่น แม่เป๋อ นางสร้อย ชูชก ลูกสวาท งั่งตาแดง กุมาร แพะ ขุนแผน ฯลฯ
    จอมปลวกจะทำลายรังมัน กลัวบ้านพัง และกลัวมันเข้าหูพ่อแม่ค่ะ นับถือสิ่งที่ควรนับถือ
     
  5. น า ทู รี

    น า ทู รี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +164
    ศรัทธาถ้าคู่กับปัญญาแล้วจะทำให้ไม่ถูกหลอกจ้ะ อย่างที่หนังสื " นี่หรือเมืองพุทธ " โดย ณัฐพบธรรม หนังสือเล่มนี้ ผู้เขียน บอกเรื่องที่น่าสนใจไว้ว่า
    ..........................................................................

    " ถ้าจะถามว่า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธหรือไม่ หากเรายึดตามหลักฐานทางราชการ คำตอบก็คือ “ใช่” เพราะคนไทยส่วนใหญ่ระบุไว้ในทะเบียนบ้านว่านับถือศาสนาพุทธ

    แต่ถ้าเรายึดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก แล้วนำมาใช้เป็นสิ่งประกอบการพิจารณาว่า คนไทยส่วนใหญ่ มีความเชื่อในเรื่องต่าง ๆ อย่างไร และมีพฤติกรรมแบบไหน เหมาะสมกับการเป็นชาวพุทธหรือไม่ คำตอบอาจเปลี่ยนไป และอาจทำให้หลาย ๆ คนเริ่มไม่แน่ใจว่า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธจริงหรือไม่


    เพราะในปัจจุบัน คนไทยจำนวนมากเชื่อถือในหลาย ๆ เรื่อง ที่ขัดแย้งกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อาทิ ฤกษ์ยาม ปีชง ฮวงจุ้ย โหงวเฮ้ง กินเจ ดูดวง ไหว้พระขอพร 9 วัด บูชาวัตถุมงคล ของขลัง ตัดกรรม แก้กรรม สะเดาะเคราะห์ เป็นต้น "

    ณัฐพบธรรม ผู้เขียนหนังสือ นี่หรือเมืองพุทธ กล่าวว่า “เดิมที ผมก็มีชีวิตที่อุดมไปด้วยความเชื่อผิด ๆ เช่นกัน แต่เมื่อได้ลิ้มรสธรรมของพระพุทธเจ้า ทำให้ผมเข้าใจความจริง ว่าอะไรเป็นอะไร

    ตอนนี้ ผมจึงมีพระรัตนตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยวอย่างไม่มีวันสั่นคลอน เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม ทำบุญตามหลักกิริยาวัตถุ 10 อย่างสม่ำเสมอ รักษาศีล พยายามละบาปให้มากที่สุด และหาโอกาสทำบุญอยู่เป็นประจำ

    ทุกวันนี้ ผมเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าเราจะต้องการอะไร หากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี เช่น ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต มีการงานที่ดี ฐานะมั่นคง คู่รักดี มีครอบครัวที่อบอุ่น มีมิตรที่จริงใจ มีสุขภาพที่ดี หรืออะไรก็ตาม หากเราทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ชีวิตของเราก็จะมีความเจริญรุ่งเรือง และมีความสุขอย่างที่เราต้องการอย่างแท้จริง”


    ยกตัวอย่างความเชื่อ อย่างเรื่องปีชง ให้ลองคิดดูว่า ในแต่ละปี จะมีปีชงทั้งทางตรงและทางอ้อม อยู่ประมาณ 4 นักษัตร ตามหลักตรรกะ จะเห็นได้ว่า มีความเป็นไปได้สูง ที่คนเกิดปีชง จะประสบเหตุร้าย

    แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดปีชง จะประสบเหตุร้ายไปหมด บางคนก็ไม่มีอะไรเลย บางคนกลับดีด้วยซ้ำ ถ้าตรงจริง คนเกิดปีชง ก็ต้องแย่เหมือนกันหมด แต่นี่ไม่ใช่ คนรวยก็ยังคงรวยเหมือนเดิม แม้จะเกิดปีชง สรุปได้ว่า ชีวิตเราไม่ได้เป็นไปตามปีชง แต่เป็นไปตามกรรมที่เราได้ทำ

    พูดถึงเรื่องกรรม บางคนโทษว่าเหตุร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเพราะกรรมเก่า บางคนก็เชื่อว่าจะสามารถแก้กรรม ตัดกรรม ทำให้เรื่องร้าย กลายเป็นเรื่องดีได้

    แต่จริง ๆ แล้ว กรรม ก็คือ การกระทำที่เกิดขึ้นแล้ว เราย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ทุกการกระทำมีผลเกิดขึ้นตามมา ขึ้นอยู่กับว่า จะช้าหรือเร็วเท่านั้น อยากให้ทุกคน ลองหันกลับมามองดูตัวเองว่าทำอะไรไม่เหมาะสม ทำให้เกิดสิ่งไม่ดี แล้วให้แก้ไขที่ต้นเหตุ


    ถ้าจะพูดถึงเรื่องการทำบุญไหว้เจ้า ไหว้พระขอพร 9 วัด กิจกรรมหลักก็คือ การจุดธูปเทียน ไหว้อธิษฐาน อ้อนวอนขอกับพระพุทธรูป ที่ทำมาจากอิฐ หิน ปูน ทราย บางคน นิยมทำบุญไหว้พระ กับวัดที่มีชื่อเป็นมงคล ให้ลองคิดดูว่า พระ เด็กวัด คนที่อาศัยอยู่รอบวัด คนเหล่านี้อยู่ในวัดตลอด 24 ชั่วโมง ได้ดีทุกคนหรือไม่

    พระไตรปิฎกบอก การอ้อนวอนขอ ไม่มีทางได้ในสิ่งที่ต้องการ ถ้าจะไหว้ให้ได้บุญจริง ต้องไหว้ด้วยความนอบน้อม ทำด้วยจิตที่เป็นกุศล ไม่ใช่จิตอ้อนวอนขออยากได้ หลายคน เวลามีเรื่องทุกข์ใจ หรือหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ มักหันไปพึ่งพาคำแนะนำจากหมอดู

    และวิธียอดนิยม ที่หมอดูใช้ในการดูดวงก็คือ การทำนายจากวันเกิด ซึ่งในพระไตรปิฎก มีตัวอย่างชัดเจนที่แสดงให้เห็นแล้วว่า เราไม่สามารถทำนายอนาคตจากเวลาเกิดได้ เพราะมีผู้ที่เกิดในวันเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะถึง 4 คน

    คือ พระนางยโสธรา พระอานนท์ พระกาฬุทายี และพระฉันนะ กับม้ากัณฐกะ แต่ทั้งห้าก็มีฐานะที่ไม่เท่ากัน และมีความเป็นอยู่ที่ไม่เหมือนกัน

    ทางด้านครูลิลลี่ พูดถึงเรื่องความเชื่อกับการปฏิบัติว่า

    “คนส่วนใหญ่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของภาษา ทำบุญต้อง 9 วัด เพราะเลข 9 เป็นเลขมงคล หมายถึงก้าวหน้า หรือความเชื่อที่ว่า ไม่ให้เอามังคุด กับมะไฟไปทำบุญ ก็เพราะชื่อไม่เป็นมงคลเหมือนกัน เมื่อก่อนก็เคยดู ดวง ฤกษ์ยามเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ดูแล้ว ดูไปก็เท่านั้น เราต้องดูตัวเอง

    ครูสอนลูกศิษย์อยู่เสมอว่า ผลเกิดจากเหตุ อยากได้เกรด ต้องเกิดจากการกระทำ ไม่มีใครช่วยได้นอกจากตัวเราเอง คนไทยส่วนใหญ่ยังคิดว่า การทำบุญเพียงแค่การตักบาตร ถวายสังฆทาน แต่จริง ๆ แล้ว ต้องให้ทาน ศีล ภาวนา ละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ ศรัทธาต้องคู่กับปัญญา ไม่จำเป็นต้องเข้าวัดทำบุญ แต่ขอให้มีสติอยู่ตลอดเวลา อยู่กับลมหายใจและสติ”

    ..........................................................................

    และหนังสือ " ธรรมะศักดิ์สิทธิ์ " ของท่าน ว. วชิรเมธี มีเนื้อหาที่หักล้างกับความงมงายในเชิงไสยเวทย์ หรือแนวคิดแบบพุทธปนพราหมณ์ ดังนี้

    ..........................................................................


    ตั้งแต่เด็กๆ คนไทยเรา มักถูกสอนให้เชื่อ โดยไม่ต้องสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งจากพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ที่แสดงให้เด็กดูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และคำกล่าวที่ใช้แก้ตัวความไม่รู้ของผู้ใหญ่ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"

    เด็กๆ ทุกคน ต่างก็มีแววตาสงสัยใคร่รู้ อยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจ เมื่อเจอคำสอนเช่นนี้เข้าไป เลยต้องเงียบ มองตาปริบๆ สุดท้ายก็ต้องไหลรวมไปกับ กระแสความเชื่อของผู้ใหญ่ในที่สุด

    คำถามที่ลงท้ายด้วยคำว่า "ทำไม อย่างไร เพราะอะไร" ของเด็กๆ จึงจมหายไปตามกาลเวลา เมื่อโตขึ้น ก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่เชื่อคนง่าย งมงาย และพร้อมที่จะปลูกฝังความเชื่อนี้ให้กับเด็กรุ่นใหม่ต่อไป

    ถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะเปลี่ยนจาก "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" มาเป็น "ไม่เชื่อต้องศึกษา ไม่มีปัญญาต้องเรียนรู้" ตามคำกล่าวของท่าน ว.วชิรเมธี ผู้เขียนหนังสือ "ธรรมะศักดิ์สิทธิ์" ที่ได้รวบรวมผลงานเขียนของท่านจากหนังสือเล่มต่างๆ ในประเด็นเกี่ยวกับ ความเชื่อ การทำบุญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และกฎแห่งกรรม

    เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้เขียนมีเจตนารมณ์แน่วแน่ ที่จะให้เปลี่ยนสังคม จากความเชื่องมงาย มาใช้ปัญญาพิจารณา ทุกๆ สิ่ง ที่เกิดขึ้นรอบตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2012
  6. naimungmun

    naimungmun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +25
    ชอบหมอปลา. ชอบแนวคิด. และกระทำตามที่คิดโดยไม่ลังเลแม้แต่นอย
     
  7. น า ทู รี

    น า ทู รี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +164
    บูชาชูชก คิดได้ไงหนอชาวพุทธ

    เรียนทุกท่าน

    ในช่วงหลายเดือนก่อน ผมได้เห็นข่าวว่า มีคนที่พบความยากลำบากของชีวิต ได้ตัดสินใจบูชาชูชก แล้วทำให้ชีวิตดีขึ้น ตอนนั้น ก็ยังไม่สนใจอะไรมาก เพราะเป็นเพียงเรื่องราวของคนๆ เดียว

    แต่ในช่วงไม่ถึงเดือนที่ผ่านมา ผมเริ่มเห็นข่าวเกี่ยวกับการบูชาชูชกมากขึ้น โดยเฉพาะ ข่าวหนึ่ง ที่มีนักร้องลูกทุ่ง และดาราจำนวนมาก ทำการสักการะบูชาชูชก เพื่อหวังจะให้ตนร่ำรวย

    ผมได้อ่านข่าวแล้วก็คิดในใจทันทีว่า "ทำกันไปได้อย่างไร ใช้อะไรคิดถึงบูชาชูชก"

    ผมขออนุญาตสรุปเนื้อหา จากพระไตรปิฎก เล่มที่ 28 ข้อ ๑๐๔๕ เป็นต้นไป ซึ่งเกี่ยวข้องกับชูชก เพื่อให้เห็นภาพว่า ทำไมผมถึงคิดแบบนั้น

    ชูชก เป็นพราหมณ์แก่คนหนึ่ง ที่บังเอิญได้เมียเด็กกว่ามาก เมียชูชกจึงถูกคนล้อ ทำให้ไม่กล้าไปซักผ้าและทำงานนอกบ้าน จึงบอกให้ชูชก ไปหาเด็กมาเป็นทาส โดยแนะนำว่า ให้ไปขอลูกพระเวสสันดร เพราะทราบมาว่า พระเวสสันดรเป็นผู้ใจบุญ น่าจะขอลูกได้

    (พระเวสสันดร คือ พระพุทธเจ้า ตอนสร้างบารมีในชาติสุดท้าย)

    ชูชกก็เดินทางไปหาพระเวสสันดรในป่า ระหว่างทาง ก็ได้ถามทางกับนายพราน โดยโกหกว่า นับถือและศรัทธาที่พระเวรสันดรผู้ใจบุญ และเป็นตัวแทนจากวัง ที่จะมาพาพระองค์กลับวัง (พระองค์ถูกชาวบ้านขับไล่ เพราะพระราชทานช้างคู่บ้านคู่เมืองให้คนอื่น)

    และยังได้ถามทางกับฤาษีอีก โดย โกหก ว่า ศรัทธาพระเวสสันดรจึงอยากเจอ


    พอเจอพระเวสสันดร ชูชกก็ขอลูกทั้งสองของพระองค์ และขอนำตัวกลับทันที เพราะตอนนั้น พระมเหสีของพระเวสสันดรไปเก็บผลไม้ ชูชกกลัวว่า หากกลับมาทัน ตนจะไม่ได้

    พอพระเวสสันดรอนุญาต ชูชกก็เอาเถาวัลย์ผูกมือพระกุมารทั้งสองทันที และฉุดกระชากทุบตีราวกับทาส โดยทำต่อหน้าพระเวสสันดร

    ระหว่างเดินทาง 60 โยชน์ (960 กิโลเมตร) ชูชกก็ไร้ซึ่งความปราณีใดๆ ต่อพระกุมารทั้งสอง แม้เวลานอนในป่า ก็จะผูกทั้งสองไว้กับโคนต้นไม้ ส่วนตนจะนอนสูงเพราะกลัวอันตรายจากสิงสาราสัตว์

    ความจริงแล้ว ชูชกจะพากุมารทั้งสองกลับบ้านไปเป็นทาส แต่เทวดาแสดงฤทธิ์ให้ชูชกเข้าใจผิด จึงเดินหลงไปในทิศทาง ที่เข้าไปสู่เมืองของกุมารทั้งสอง เมื่อเข้าไปในเมือง ก็เจอพระราชา ซึ่งเป็นปู่ของพระกุมารทั้งสอง

    พระราชาขอไถ่ถอนกุมารทั้งสอง ด้วยทองคำพันแท่ง ทาสชายหญิง ช้าง วัวควายและเครื่องใช้สอยอย่างละร้อย และปราสาท ๗ ชั้น อีก 1 หลังด้วย

    ชูชกก็ได้หอบสมบัติแล้วขึ้นไปในปราสาท แต่เพราะไม่รู้จักพอ จึงทำให้ทานอาหารมากเกินไปจนอาหารไม่ย่อย แล้วก็ตาย

    หลังจากชาตินั้น ชูชกก็ได้มาเกิดเป็นพระเทวทัต ผู้ที่พยายามฆ่าพระพุทธเจ้าหลายครั้ง (ทั้งจ้างวานและทำเอง) และยังพยายามจะเป็นผู้ปกครองสงฆ์แทนพระพุทธเจ้า รวมถึง เป็นผู้ที่ทำให้สงฆ์แตกแยก ตลอดจน เป็นผู้ที่ยุยงให้พระเจ้าอชาตศัตรู ฆ่าพ่อของตนเอง จนทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูต้องตกนรก ทั้งๆ ที่ หากไม่ฆ่าพ่อ ชาตินั้น ก็จะบรรลุโสดาบันแล้ว

    ปัจจุบันพระเจ้าเทวทัต (อดีตชูชก) ที่ถูกแผ่นดินสูบจนตาย ก็กำลังรับกรรมอยู่ในนรกขุมที่ลึกที่สุดและทรมานที่สุด

    ส่วนภรรยาของชูชกในชาตินั้น ก็ได้มาเกิดเป็นนางจิญจมาณวิกา ผู้ที่ใส่ร้ายพระพุทธเจ้า ว่าทำให้ตนตั้งท้อง แต่ด้วยวิบากแห่งบาป ของที่ยัดเอาไว้ที่หน้าท้อง จึงบังเอิญหล่นต่อหน้าสาธารณชน จึงทำให้ความแตก

    นางจึงได้วิ่งหนีออกจากวัดเชตวัน และถูกแผ่นดินสูบจนตาย ในที่ไม่ห่างจากพระเทวทัตมากนัก (ผมไปดูมากับตาแล้วทั้งสองที่)

    บางคนที่พยายามเข้าข้างก็บอกว่า หากไม่มีชูชก พระพุทธเจ้าก็สร้างบารมีไม่ครบ จึงถือว่ามีบุญคุณ ก็ต้องบอกว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจตนา เพราะในชาตินั้น พระอินทร์ก็ได้แปลงกายมาขอพระมเหสีของพระเวสสันดรเช่นกัน

    แต่พระอินทร์ทำ เพราะมีเจตนาที่จะให้พระองค์ได้ทำทาน แล้วก็คืนพระมเหสีให้ทันที ส่วนชูชกนั้น มีเจตนาที่จะนำพระกุมารทั้งสองไปเป็นทาส เจตนาไม่ดี ไม่ได้บุญแน่นอน มีแต่บาป

    อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ใครช่วยบอกผมหน่อยว่า ชูชกมีดีตรงไหนที่ควรบูชา โกหก โหดร้ายทารุณ ไม่มีเมตตากรุณา กินไม่รู้จักประมาณ (โลภ)

    ตอนนี้ ชูชกที่มาเกิดเป็นพระเทวทัต ก็กำลังรับกรรมที่ในนรกขุมที่ลึกที่สุด ด้วยความทรมานอย่างหาที่สุดไม่ได้ และอีกนานแสนนาน กว่าจะพ้นจากบาปมหาศาล ที่ได้ทำลงไป แล้วคนที่บูชาชูชก คิดว่าใคร จะมาให้สิ่งดีๆ กับเรา ในเมื่อเจ้าตัว ยังเอาตัวไม่รอด ต้องใช้กรรมหนักอยู่ในนรกอย่างนั้น

    เทียบกับพระพุทธเจ้า ที่ทำบุญสร้างบารมีมานานแสนนาน และพระองค์ยังได้สั่งสอนพระธรรม ที่ทำให้เราได้มีปัญญา มีสติ ได้รู้ความเป็นจริงของชีวิต ได้เข้าใจเรื่องบุญบาป ได้รู้กฏแห่งกรรม ได้รู้หนทางใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ได้รู้หนทางพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง และอื่นๆ อีกมากมาย

    เข้าใจหรือยังครับว่า ทำไมผมถึงคิดว่า "ทำกันไปได้อย่างไร ใช้อะไรคิดถึงบูชาชูชก"

    ใครที่มีคนรู้จักกำลังทำแบบนั้นอยู่ ขอให้มีเมตตากรุณาต่อเขา บอกให้เขาศรัทธาและบูชาให้ถูกคน แล้วเอาเวลาไปทำบุญจะดีกว่าครับ


    ด้วยความนับถือ

    ณัฐพบธรรม

    ผู้เขียนหนังสือ "ถ้ารู้...(กู)...ทำไปนานแล้ว"

    (เมื่ออ่านจบแล้ว จะอุทานเหมือนชื่อหนังสือ)

    http://www.nutpobtum.com/index.php?mo=1
     
  8. kakarukthai

    kakarukthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2011
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +220
    หมอปลาไม่ได้คิดต่างแต่คิดแบบเดียวกับศาสดาของเราที่ว่าอย่าเชื่อเพราะฟังตามกันมา
    อย่าเชื่อเพราะปฏิบัติสืบต่อกันมา อย่าเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ อย่าเชื่อเพราะ
    อ้างตำรา อย่าเชื่อเพราะเหตุผลทางตรรกะ อย่าเชื่อเพราะการอนุมาน
    อย่าเชื่อเพราะคิดตรองตามแนวเหตุผล อย่าเชื่อเพราะเข้ากับความคิดเห็น
    ของตน อย่าเชื่อเพราะรูปลักษณ์น่าเป็นไปได้ และอย่าเชื่อเพราะคิดว่า
    ผู้พูดเป็นครูของตนครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...