เกิดอาการหูดับและไม่รับรู้การมีร่างกายและลมหายใจขณะนั่งสมาธิเป็นเพราะอะไร

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย jjustdream, 20 มิถุนายน 2012.

  1. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320

    สาธุๆๆ ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ชอบแล้ว...
     
  2. จินตา

    จินตา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2012
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +30
    มีประสบการณ์แบบนี้เหมือนกันค่ะ..หลายครั้งจะเป็นช่วงที่บอกตัวเองว่า
    จะเข้าสมาธิเพื่อพักผ่อน...ก็ดูลมหายใจเข้าออกไปตามปกติ..ลมหายใจเบาลงๆ
    นิ่มและนุ่มนวลมากลมละเอียดเบาและเบาจนลมหายใจไม่มีแล้วก็เกิดอาการดับสนิท
    ขณะนั้นได้เปิดเทปฟังธรรมไปด้วย..ดับยปเหมือนไม่มีตัวตรของเราอยู่ที่นั้น
    ไม่ได้ยินเสียง...เลยสักพักก็กลับมา..หูได้ยินเสียงแต่ตอนแรกจะเป็นเสียงที่ไม่มีความหมาย
    เป็นเสียงเฉยๆ..รู้ตัวสักพักเสียงนั้นจึงกลายเป็นภาษาและเข้าใจ..คือเสียงเทศน์ธรรมะ
    ที่เปิดฟังนั่นเอง...ส่วนตัวไม่มีความรู้เกียวกับระดับสมาธิหรือบาลี..แต่ไม่กลัวไม่แปลกใจ
    เพราะกลับออกมาแล้วสดชื่นมาก...แม้บางครั้งดับไปเลยแบบนั้นเป็นชั่วโมงแต่เรารู้สึกว่า
    ไปแป๊บเดียว...พอรู้ตัวกลับมา
    คนรอบข้างส่งเสียงพูดเจี้ยวจ้าวและมีการตระโกนร้องด้วยเหตุการณ์บางอย่างน่าตกใจเกิดขึ้น
    แต่เรามีอาการเสมือนไม่ได้อยู่ในที่นั้น...แต่โชคดีค่ะที่ไม่ตกใจ...ใจเป็นปกติ..
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ดีแล้วครับ เข้า-ออกฌาน ได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก
    แต่ถ้าเป็นไปได้ อยากให้เจริญสติเพิ่ม และศึกษาเรื่องวิปัสสนาด้วยครับ
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    บอกตัวเองว่าจะเข้าสมาธิเพื่อพักผ่อน...

    +++ เป็นความปรารถณาที่จะพัก กาย และ จิต

    ก็ดูลมหายใจเข้าออกไปตามปกติ..ลมหายใจเบาลง ๆ นิ่มและนุ่มนวลมากลมละเอียดเบาและเบาจนลมหายใจไม่มีแล้วก็เกิดอาการดับสนิท

    +++ สามารถเกาะอยู่กับลมได้ดี จนถึงเอกัคตา

    ขณะนั้นได้เปิดเทปฟังธรรมไปด้วย..ดับยปเหมือนไม่มีตัวตรของเราอยู่ที่นั้น

    +++ วางสรรพสิ่งภายนอก รวมทั้งรูปกายตนเอง กลายเป็นอรูป (ไม่มีรูปกาย)

    ไม่ได้ยินเสียง...เลยสักพักก็กลับมา..

    +++ เริ่มถอนออกจากฌาณ

    หูได้ยินเสียงแต่ตอนแรกจะเป็นเสียงที่ไม่มีความหมายเป็นเสียงเฉยๆ..

    +++ เริ่มถอนออกจากฌาณ แต่อารมณ์ฌาณยังทรงอยู่

    รู้ตัวสักพักเสียงนั้นจึงกลายเป็นภาษาและเข้าใจ..คือเสียงเทศน์ธรรมะที่เปิดฟังนั่นเอง...

    +++ ถอนและกลับสู่สภาวะ จิตปกติ

    ส่วนตัวไม่มีความรู้เกียวกับระดับสมาธิหรือบาลี..

    +++ ไม่จำเป็นครับ ในสนาม XP นี้ ทำได้ ดีกว่า พูดได้

    แต่ไม่กลัวไม่แปลกใจ เพราะกลับออกมาแล้วสดชื่นมาก...

    +++ ของคุณอยู่ในฐานของ ความเป็นจิต (กายจิต) และความเป็นอารมณ์ (กายธรรมารมณ์) ความกลัวและแปลกใจ เข้าไม่ถึง

    แม้บางครั้งดับไปเลยแบบนั้นเป็นชั่วโมงแต่เรารู้สึกว่าไปแป๊บเดียว...

    +++ จิตไปอยู่ในภูมิอื่น กาลเวลาเลยต่างกัน เป็นเรื่องธรรมดา ครับ

    พอรู้ตัวกลับมาคนรอบข้างส่งเสียงพูดเจี้ยวจ้าวและมีการตระโกนร้องด้วยเหตุการณ์บางอย่างน่าตกใจเกิดขึ้นแต่เรามีอาการเสมือนไม่ได้อยู่ในที่นั้น...

    +++ อารมณ์ของฌาณยังส่งอิทธิพลอยู่

    แต่โชคดีค่ะที่ไม่ตกใจ...ใจเป็นปกติ..

    +++ ไม่ใช่โชคครับ แต่เป็นเรื่องของ การกำหนดจิตและผลลัพธ์ของมัน หากเหตุถูก ผลย่อมถูกเสมอ

    ผมจะเสริมคำแนะนำอันเป็นกุศลจากคุณ อินทรบุตร ในการ เจริญสติเพิ่ม เพื่อเป็นการวิปัสสนา นะครับ

    +++ ผมสังเกตุเห็น บางจุด ที่คุณสามารถเจริญวิปัสสนาได้เลย คือ

    +++ จุดแรก ขณะที่ลมหายใจเข้าออกไปตามปกติ.. หากมีอาการหายใจโดยอัตโนมัติเกิดขึ้น โดยที่สามารถกล่าวได้ว่า มันหายใจ โดยที่เราไม่ได้หายใจ ก็ให้อยู่ตรงนั้นเลย ไม่ต้องตามลมหายใจต่อไปอีก ปล่อยให้มันเป็นมัน ส่วนเราเป็นเรา อยู่อย่างนั้น

    +++ จุดที่สอง หูได้ยินเสียงแต่ตอนแรกจะเป็นเสียงที่ไม่มีความหมายเป็นเสียงเฉยๆ..คือเสียงเทศน์ธรรมะที่เปิดฟังนั่นเอง...
    ในขณะนั้น เสียงเป็นเสียง เราเป็นเรา สามารถกล่าวได้ว่า มันเป็นมัน เราเป็นเรา

    +++ จุดที่สาม พอรู้ตัวกลับมาคนรอบข้างส่งเสียงพูดเจี้ยวจ้าวและมีการตระโกนร้องด้วยเหตุการณ์บางอย่างน่าตกใจเกิดขึ้นแต่เรามีอาการเสมือนไม่ได้อยู่ในที่นั้น... อาการนี้จริง ๆ แล้ว เราอยู่ที่นั่น เพียงแต่ มันอยู่ส่วนมัน และ เราอยู่ส่วนเรา

    +++ คุณมีถึง 3 โอกาสที่จะพลิกขึ้นสู่ วิปัสสนาญาน ได้จากการเข้าสมาธิเพื่อพักผ่อนของคุณ เคล็ดอยู่ที่ว่า ในขณะใดก็ตาม ที่มีสภาวะของ มันเป็นมัน และ เราเป็นเรา หรือ มันอยู่ส่วนมัน และ เราอยู่ส่วนเรา เกิดขึ้นแล้ว ให้หยุดการตามทั้งหมดลงโดยสิ้นเชิง แล้วปล่อยให้การแยกส่วนดำรงค์อยู่อย่างนั้น หากทำได้ถูกส่วนแล้ว สภาวะการแยกกันอยู่จะเด่นชัดมาก จนสามารถทำให้คุณแจ่มแจ้งได้ว่า มันไม่ใช่เรา และ เราไม่ใช่มัน เรียกได้ว่า เห็น อนัตตาธรรม ได้อย่างสิ้นสงสัย (อนัตตา แปลว่าไม่ใช่ตน หรือกล่าวได้ว่า มันเป็นมัน มันไม่ใช่เรา หรือกล่าวได้อีกว่า มันไม่ได้เป็นตัวกู มันไม่ได้เป็นของกู ซึ่งเป็นภาษาที่ท่าน พุทธทาส ใช้)

    +++ คนที่พูดถึง ตัวกู ของกู มีอยู่แยะแล้ว ผมขอเพียงเพิ่มคนทำได้อีกสักคนก็พอ อาจจะโลภไปนิด ทำได้มากคนดีกว่าทำได้น้อยคน นะครับ
     
  5. จินตา

    จินตา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2012
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +30
    ขอบคุณ..คุณอิทรบุตร...และ...คุณธรรม-ชาติ...สำหรับคำแนะนำ
    ที่มีประโยชน์....และขอบคุณที่ท่านไม่ได้ใช้ศัพท์บาลี..มากนักในการอธิบาย..
    โดยเฉพาะคุณ..ธรรม-ชาติ..แยกประโยคมาอธิบาย..ชัดเจนมากค่ะ...
    แต่ก็ยังต้องอ่านทบทวน..หลายๆครั้ง..เพราะไม่รู้จักคุ้นเคยกับศัพท์ใหม่ๆ

    เดิมเป็นคนเข้าใจธรรมะยากค่ะ...ยิ่งหากมีบาลีมากหน่อยแทบจะอ่านไม่ได้เลย
    ไม่ทราบเพราะอะไร....
    ก่อนจะเข้าไปพักผ่อนในสมาธิอย่างที่เล่าไปข้างบนไม่นานก็เคยไปอยู่วัด5วันค่ะ
    และนำคำสอนมาทำต่อที่บ้าน(ท่านสอนกำหนดยุบหนอพองหนอ)
    จนวันหนึ่งจิตได้เข้าถึงความจริงของโลก...ในขณะนั่งฯ
    วันหนึ่งก่อนที่เวลาที่ตั้งไว้ในการนั่งฯจะหมดลง..ได้กำหนดรู้ในปัจจุบันตามท่านสอบอมบ์อาการทรมานทางกายซึ่งเป็นการทรมานที่สุดที่เคยพบมาหายไปและมีความสุขเบาสบายเข้ามาแทนที่ก็เป็นความสุขเบาสาย
    ที่สุดในชีวิตเหมือนกัน..และได้เห็นว่าที่ทรมานกายน่ะแท้จริง..มันผูกอยู่ที่จิตเรานี่เอง..
    จากนั้นเห็นได้เห็นตัวเองนั่งสมาธิอยู่ก็ยืนดูไม่นานเสียงนาฟิกาบอกหมดเวลาเตือนขึ้น..ก็รู้สึกตัวขึ้นมา..ใจก็เหมือนไม่ได้รู้อะไรมากขึ้น

    วันต่อมาทำต่อปกติอีก(เดินฯนั่งฯ).ขณะนั่งดูลมหายใจวันนั้นเห็นลมหายใจชัดเจนและเสียงดังมาก
    เหมือนเสียงโรงสีข้าวตามบ้านนอกค่ะ...เสียงลมเข้าออกยาววววและแรงงงงมากสะเทือนไปทั้งตัว
    ก็กำหนดรู้อยู่กับลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆจนมีความรู้แบบซาบซ่านขึ้นมาว่า
    ร่างกายที่นั่งอยู่นี่มันนิ่งสงัดไม่ต่างอะไรกับเครืองจักรชิ้นหนึ่งที่ดำรงอยู่ได้เพราะลมที่เข้าแล้วก็ออกนี่เอง
    ความจริงมันเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง..ก็พิจารณาไปตามส่วนต่างๆภายในร่างกายก็เห็นการทำงาน
    ของมันเหมือนเป็นโรงงานมีลมหายใจเข้าและออกเป็นตัวขับเคลื่อนก็ตามดูลมว่ามันสูบเข้าไปในร่างกายแล้ว
    มันไอส่วนไหนบ้าง...จนในที่สุด"ใจ"ก็รู้ความจริงขึ้นมาเองว่า...ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา..ความรู้อันนี้เกิดจาก"ใจ"ได้เข้าไปสัมผัสเอง...มันต่างกันมากมายจากรู้ที่เคยรู้...
    เมื่อออกจากสมาธิ...ก็ได้พิจารณา..เรื่องนี้มาตลอด...การเข้าถึงความจริงนี้น้ำตาไหลด้วยความสลดสมเพสเวทนาตัวเอง..เห็นความโง่เขลา...ความหลง..งมงายของตัวเอง..ที่หลงเข้าใจผิดคิดและทึกทักเอาเองว่า..ร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเราแต่..ความจริงแล้ว..มันไม่ใช่...น้ำตาไหลด้วยความสมเพสตัวเองมากมาย
    ความที่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง...ดี...ความหยิ่งความจองหองที่เคยมีหายไปหมดมองเห็นแต่ความโง่เง่าไร้ปัญญาของตัวเอง...ที่ถูกหลอก...ถูกหลอกมบตลอดว่านี่เป็นตัวเอง..
    แต่ความจริงแล้ว.....ร่างกายนี้ก็เป็นเพียงสมบัติชิ้นหนึ่งของโลกใบนี้....มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
    เหมือนต้นไม้..สิ่งของที่เราเห็นๆอยู่นี่เอง...ซึ่งสิ่งของทุกอย่างในโลกนี้ก็จะมีลักษณะเฉพาะของมันเอง..ไม่มีอะไรเหมือนอะไร....เช่นต้นไม้ก็ยังมีหลายชนิดประเภทแต่ละชนิดก็มีเอกลักษณ์ลักษณะเฉพาะของมันเอง..เช่นอายุ...การร่วงโรย..ดอกใบ..ไม่ต่างกับร่างกายที่เรามาครอบครองอยู่ชั่วคราวนี้

    นอกจากนี้เรายังสังเกตุเห็น"จิตใจ"มี่อาการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากด้วย...


    เวลาหมดแล้วเดี่ยวมาต่อนะคะ....อาจจะมีการขอคำแนะนำบ้างในตอนท้าย..เดี๋ยวมาต่อค่ะ
     
  6. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2012
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ จริง ๆ แล้วนั่นคือ ความรู้สึกที่เกิดมีขึ้นทั้งตัวใช่หรือไม่ (ดำรงสติมั่น) ให้สังเกตุให้ดีนะครับ และในขณะนั้น เรารู้สภาพชัดเจนหรือไม่ และเป็นการรู้ที่คล้ายเห็น ใช่หรือไม่ (รู้ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า) ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าใช่ นั่นแหละ มันคือกายเวทนา ที่ผมกล่าวถึงในโพสท์ที่แล้วนั่นเอง

    เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งตัวค่ะ รู้สภาพชัดเจนและรู้ที่คล้ายเห็นเลยน่ะค่ะ

    +++ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งตัว คืออาการที่ สติ ทำหน้าที่ได้เต็มฐาน โดยที่ สติ เป็นสภาวะรู้อยู่แล้ว และครองฐานได้เต็ม สภาวะที่ถูกรู้ทั้งหลายจึงมีสภาพประดุจเห็น สภาวะรู้ คือ ญาณ ที่ครองฐานได้จนเป็น เห็น ที่เรียกว่า ทัศนะ นั่นเอง สภาวะของญาณทัศนะนี้คือ สมาธิที่ไม่มีในศาสนาอื่น นอกจากศาสนาพุทธเท่านั้้น เหตุเกิดขึ้นได้เพราะ สติตั้งมั่น ไม่ใช่ จิตตั้งมั่น แต่ประการใด

    อาการก่อนเป็นคือช่วงที่เรากำลังจะเคลิ้มหลับ ทั่วร่างกายเหมือนจะเกิดอาการมีเคลื่อนอะไรสักอย่างนี่แหล่ะค่ะ จากนั้นจะรู้สึกตัวว่าร่างกายหนักๆ ที่ผ่านมาถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ทุกครั้งตัวเราเองก็จะฝืนตัวเองตลอดค่ะ

    +++ ไม่สมควรฝืน แต่ควรปล่อยให้กระบวนการสิ้นสุดยุติด้วยตัวของมันเอง เมื่อ สติ สามารถแทรกตัวลงไปหยั่งในสมาธิได้ ปรากฏการณ์ที่ต้องเป็นไปโดยธรรมชาติก็ย่อมปรากฏขึ้น กายเวทนา ย่อมแยกออกจากกายหยาบ (กายมนุษย์) เอง ตามสภาวะของมัน ปรากฏการณ์นี้เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ว่าใครก็ตามหากสามารถ ทำ สติให้อยู่ในระดับนี้ได้ การแยกออกก็จะปรากฏขึ้น เพราะนี่เป็นมาตรฐานของระดับ สติ ตามธรรมชาติของมันเอง

    อย่างเช่นเรายกแขนขึ้น รู้สึกว่าแขนยกขึ้นแล้วแต่แขนร่างกายยังวางอยู่ที่เดิม

    +++ การใช้ภาษาได้ตรงกับอาการเริ่มเกิดขี้นแล้วนะครับ นี่คือ อานิสสงค์ย่อยอีกประการหนึ่งที่เริ่มปรากฏมาเองตามสภาวะธรรมชาติของมัน นั่นคือ "แขนเรา ยกขึ้นแล้วแต่แขนร่างกายยังวางอยู่ที่เดิม" แขนเราในที่นี้คือ ในขณะที่ เรา เป็นกายเวทนา แขนเรา ย่อมเป็นแขนของกายเวทนานั่นเอง หาใช่แขนของร่างกายไม่ เราคือกายเวทนาในขณะนั้น ๆ

    จิตวิญญาณก็จะวางแขนทับแขนร่างแล้วพยายามยกขึ้นใหม่ พอเราจะพยายามยกแขนร่างขึ้น ช่วงที่กำลังพยายามออกแรงยกแขนร่างขึ้น ถ้ายกแขนร่างไม่ขึ้นจะรู้สึกว่าแขนเราจะกระชากออกจากแขนร่างเหมือนเดิมน่ะค่ะ

    +++ "แขนเราจะกระชากออกจากแขนร่าง" ใช่แล้วครับ ดั่งย่อหน้าข้างบน "เมื่อ สติ สามารถแทรกตัวลงไปหยั่งในสมาธิได้ ปรากฏการณ์ที่ต้องเป็นไปโดยธรรมชาติก็ย่อมปรากฏขึ้น กายเวทนา ย่อมแยกออกจากกายหยาบ (กายมนุษย์) เอง ตามสภาวะของมัน" "ไม่ว่าใครก็ตามหากสามารถ ทำ สติให้อยู่ในระดับนี้ได้ การแยกออกก็จะปรากฏขึ้นเพราะนี่เป็นมาตรฐานของระดับ สติ ตามธรรมชาติของมันเอง"

    +++ ผมเคยฝึก กรรมฐาน ให้กับคนหลาย ๆ คน ร้อยทั้งร้อย หากสามารถทำสติให้อยู่ในระดับนี้ได้ การแยกออกก็จะปรากฏขึ้น ดังนั้นผมจึงใช้คำว่า นี่คือ มาตรฐานได้อย่างเต็มคำพูด เพราะปรากฏการณ์นี้เกิดกับผมมาก่อน หลังจากฝึกให้ผู้อื่นแล้ว ก็เกิดเหมือนกันทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น และไม่มีข้อแตกต่าง ดังนั้น พุทธศาสนา จึงเป็นศาสนามาตรฐาน ที่ใครทำใครได้ และได้เหมือนกัน แต่ ไม่เคยมีปรากฏในศาสนาอื่น ที่ผู้ฝึกเหมือนกันย่อมได้ผลลัพธ์อันเดียวกัน นี่คือข้อควรพิจารณา ขอฝากไว้ในที่นี้

    เลยทำให้รู้สึกกลัว

    +++ ความกลัว เกิดจากความไม่คุ้น และไม่เป็นไปตามตรรกวิทยา ที่ร่ำเรียนมาในทางโลก มันสวนทางกันแบบเต็ม ๆ เรียกได้ว่า ประสานงากันจัง ๆ นั่นเอง ในทางธรรม "ผลย่อมเกิดมาจากเหตุ" เหตุคือ เมื่อ กายานุสติปัฏฐาน ทรงตัวอยู่อย่างเต็มใบจนเป็นสมาธิ ผลคือ สภาวะแห่ง เวทนานุสติปัฏฐาน ย่อมปรากฏ สติและจิต ย่อมย้ายภพและภูมิไปอยู่ที่ เวทนานุสติปัฏฐาน นั่นคือ กายแห่งความรู้สึกนั่นเอง แล้วย่อมแยกออกจากกายมนุษย์เป็นธรรมดา ดังนั้น สติ แบบเต็มใบจึงเริ่มไปอยู่ที่ "แขนเรา ยกขึ้นแล้วแต่แขนร่างกายยังวางอยู่ที่เดิม" เราเป็นใครกันแน่ ในขณะจิตนั้น ๆ

    +++ ผมจะแถมเคล็ดให้คุณอีกนิดหน่อยคือ ในขณะที่เริ่มแยก ให้ตั้งใจไว้ว่า เราจะทำอะไรต่อ เช่น ฝึกลอยไปทาง ซ้าย ขวา บน ล่าง หน้า หลัง ต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อเป็นการฝึกความคุ้นเคยให้ได้เหมือนกับการบังคับ ร่างมนุษย์ให้ได้ตามความปรารถนาของเราจนเป็น ธรรมชาติ ได้ด้วยตนเอง เมื่อทำได้แล้ว สติ ของคุณจะสามารถครองร่าง กายเวทนา นี้ได้อย่างเต็มที่ และประสพการณ์นี้จะสร้างความหนักแน่นในสติให้กับคุณ จนพร้อมที่จะวิวัฒนาการในขั้นต่อไป คือ กายจิต ที่จะต้องผจญกับ วิปัสนูกิเลศ จิตอื่นสื่อสาร ภพภูมิ ต่าง ๆ อีกมากมาย และ จากฐานอันมั่นคงใน กายเวทนานี้ จะส่งผลให้คุณสามารถแยกแยะ ไม่หลง ในสภาวะที่เรียกได้ว่า อะไรจริง อะไรเท็จ ในสนามแห่ง กายจิต ได้ด้วยตัวของคุณเอง จนถึงสนามแห่งอรูปคือ ธรรมารมณ์ ได้อีกด้วย

    มีวิธีไหนที่จะทำให้เรากลับเข้าร่างแล้วรู้สึกตัวได้อย่างราบรื่นบ้างคะ? เพราะวิธีที่ทำอยู่นี้รู้สึกทำให้ร่างกายเพลียอ่อนล้าน่ะค่ะ ( ถ้าวันไหนหรือคืนไหนนอนแล้วมีอาการเป็นอย่างนี้ ก็จะกลับไปนอนต่ออีกไม่ได้แล้วค่ะ ถ้ากลับไปนอนก็จะเป็นอีกเหมือนเดิม เพราะเคยลองทำมาแล้วหลายครั้ง คงต้องลุกออกมาจากห้องนอนแล้วทิ้งช่วงห่างไว้หลายชั่วโมงจึงจะกลับไปนอนต่อเป็นปกติได้ )

    +++ ร่างกายเพลียอ่อนล้า เกิดจากการฝืนสภาวะความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ตอนที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นกับผมใหม่ ๆ แม้ว่าผมจะไม่กลัว แต่ก็เหนื่อยเหมือนกับคุณนั่นแหละ แตพอผมปล่อยให้ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นและสิ้นสุดด้วยตัวของมันเองแล้ว จริง ๆ แล้ว มันจะกินแค่เวลาเพียงสั้น ๆ เท่านั้น ผมกลับสดชื่นมาก และแจ่มใสอยู่เป็นวันทีเดียว การฝืนทำให้เหนื่อย การปล่อยจนเสร็จสิ้นทำให้สดชื่น ผมรับประกันได้ว่า ชาตินี้เกินคุ้ม และอีกหลายคนที่ผมเคยฝึกมาก็เป็นเหมือนกัน เพราะเป็นมาตรฐานเดียวกัน

    เรื่องบางเรื่องควรต้องมีครูบาอาจารย์ผู้รู้ชี้แนะนำทางให้ เหมือนเราจะหัดขับรถน่ะค่ะ เราต้องมีครูผู้ชำนาญนั่งเคียงข้างสอนเราขับ ก่อนที่เราจะขับไปไหนต่อไหนเองได้โดยลำพัง

    +++ ก่อนขับ กลัวชน พอเป็นแล้ว กลัวไม่ได้ขับ เป็นเรื่องธรรมดาครับ

    ส่วนเพื่อนรุ่นน้องที่ฝึกจนเห็นโน้นเห็นนี่ ตอนนี้ก็กู่ไม่กลับแล้วค่ะ หลงในนิมิตรไปแล้ว

    +++ หากคุณรู้และชำนาญในเรื่องของ การกำหนดจิต และผลลัพธ์ของมันแล้ว คุณย่อมมีความสามารถในการช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างถูกต้องโดยไม่มีเวรกรรมต่อเนื่องภายหลัง แม้ว่าผู้ที่ถูกช่วยจะไม่มีความสามารถรับการช่วยได้ในขณะนั้น ๆ ก็ตาม ให้ถือว่าเป็นประสพการณ์ในการช่วยผู้อื่น และ พัฒนาการในการใช้ภาษาในการช่วยผู้อื่นต่อไป เป็นการเพิ่มบารมีธรรมให้กับตนเอง และเป็นการใช้หนี้ให้กับพระพุทธศาสนา รวมถึงความไม่ประมาทในธรรมให้กับตนเองด้วย นะครับ
     
  8. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งที่คุณธรรม-ชาติ มีความเอ็นดูเมตตาชี้แนะอธิบายการปฏิบัติให้เข้าใจชัดเจนมากขึ้น ส่วนลึกในใจแล้วรู้สึกเป็นบุญคุณอย่างมากค่ะ

    เมื่อคืนวันอังคารช่วงประมาณใกล้เที่ยงคืนก็เป็นอีกค่ะ แต่ก็ฝืนเหมือนเดิม ลองถามตัวเองว่าทำไม ตัวเองตอบตัวเองว่ากลัวผีเกเรทำร้าย ก็ถูกนะคะที่ว่าส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่คุ้น แต่อีกส่วนหนึ่งคงเกิดจากเคยเห็นผีและกลัวผีมาตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อ2-3ปีที่ผ่านมาก็โดนพระสงฆ์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ ส่งวิญญาณเกเรตามมาจะเข้าสิงห์น่ะค่ะ วันนั้นตั้งใจไปถวายผ้าไตรจีวรเพราะอยากรู้ว่าท่านเป็นใคร แบบว่ามีอะไรข้องใจเกี่ยวกับน้องสาวของท่านที่เล่นของใส่จิตวิญญาณน่ะค่ะ ดูเหมือนพระสงฆ์จะรู้อะไรก่อนแล้ว แค่จิตวิญญาณบอกกล่าวว่ามาถวายผ้าไตร ท่าทีและคำพูดของพระสงฆ์เหมือนไม่เต็มใจจะรับผ้าใตรน่ะค่ะ บอกให้ไปถวายพระอื่น ออกจากวัดมาแล้วมีความรู้สึกหัวใจเต้นแรงและถี่มากผิดปกติ พอนั่งคุยกันเพื่อน มองหน้าเพื่อนอยู่ๆก็รู้สึกหายใจไม่เต็มอิ่ม ตัวเบา ใจหวิวๆเหมือนจะหงายหลังล้มน่ะค่ะ ตั้งสติรีบหันหน้าหนีทันทีเลยค่ะ เป็นติดกันสองครั้ง รอดพ้นได้เพราะมีครูบาอาจารย์ช่วยไว้ ตั้งแต่นั้นมาเลยรู้สึกกลัวหนักเข้าไปอีก เวลาสวดมนต์นั่งสมาธิก็มักจะกำหนดจิตว่าสาธุอย่าให้เห็นวิญญาณอะไรเลยนะ กลัว

    เมื่อคืนวันพฤหัสฯก็ลองนั่งสมาธิในอารมณ์อุเบกขา หายใจสบายๆ กำหนดดูลมหายใจเข้าหายใจออกโดยที่ไม่ได้ใช้คำภาวนาพุธโท สักพักจะมีอาการหนักๆที่บริเวณท้ายทอยและร้อนวูบวาบที่บริเวณขมับ+ใบหู และรู้สึกตึงบริเวณศรีษะตรงปลายกระหม่อมเลยน่ะค่ะ พอมีอาการอย่างนี้ก็ไม่กล้านั่งต่อแล้วค่ะ ก็ไม่รู้จะหาอุบายอะไรมาหลอกล่อให้ตัวเองเลิกกลัวได้ ก็ขอขอบคุณในความเมตตาอีกครั้งนะคะ ตั้งใจไว้ว่าจะหาวิธีต่อสู้และเอาชนะกับความกลัวให้สำเร็จค่ะ
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    เมื่อคืนวันอังคารช่วงประมาณใกล้เที่ยงคืนก็เป็นอีกค่ะ แต่ก็ฝืนเหมือนเดิม ลองถามตัวเองว่าทำไม ตัวเองตอบตัวเองว่ากลัวผีเกเรทำร้าย ก็ถูกนะคะที่ว่าส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่คุ้น แต่อีกส่วนหนึ่งคงเกิดจากเคยเห็นผีและกลัวผีมาตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อ2-3ปีที่ผ่านมาก็โดนพระสงฆ์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ ส่งวิญญาณเกเรตามมาจะเข้าสิงห์น่ะค่ะ วันนั้นตั้งใจไปถวายผ้าไตรจีวรเพราะอยากรู้ว่าท่านเป็นใคร แบบว่ามีอะไรข้องใจเกี่ยวกับน้องสาวของท่านที่เล่นของใส่จิตวิญญาณน่ะค่ะ ดูเหมือนพระสงฆ์จะรู้อะไรก่อนแล้ว แค่จิตวิญญาณบอกกล่าวว่ามาถวายผ้าไตร ท่าทีและคำพูดของพระสงฆ์เหมือนไม่เต็มใจจะรับผ้าใตรน่ะค่ะ บอกให้ไปถวายพระอื่น ออกจากวัดมาแล้วมีความรู้สึกหัวใจเต้นแรงและถี่มากผิดปกติ พอนั่งคุยกันเพื่อน มองหน้าเพื่อนอยู่ๆก็รู้สึกหายใจไม่เต็มอิ่ม ตัวเบา ใจหวิวๆเหมือนจะหงายหลังล้มน่ะค่ะ ตั้งสติรีบหันหน้าหนีทันทีเลยค่ะ เป็นติดกันสองครั้ง รอดพ้นได้เพราะมีครูบาอาจารย์ช่วยไว้ ตั้งแต่นั้นมาเลยรู้สึกกลัวหนักเข้าไปอีก เวลาสวดมนต์นั่งสมาธิก็มักจะกำหนดจิตว่าสาธุอย่าให้เห็นวิญญาณอะไรเลยนะ กลัว

    +++ จริง ๆ แล้วหากไม่มีเหตุอันสมควรผมก็คงจะไม่เล่าสิ่งเหล่านี้นะครับ แต่ขณะนี้เหตุเกิดแล้ว คงจำเป็นที่ต้องเล่าสู่กันฟังนิดหน่อย คงไม่เป็นไร อันที่จริงแล้ว จิตจะเกิดความกลัวต่อความไม่รู้ หรือ ในขณะที่เผชิญกับจิตอื่นที่แฝงเจตนาไม่ดี โดยที่เราตั้งหลักในการกำหนดความรู้สึกตัวไม่ทัน ดังนั้นที่ผมเคยบอกเอาไว้ว่า ให้ฝึกจนสามารถกำหนดความรู้สึกตัวให้ได้ในขณะจิตเดียว (คงอยู่ในกระทู้อื่น) นั้นจะมีประโยชน์อย่างยิ่งในกรณีแบบนี้

    +++ การที่จิตกลัวความไม่รู้ หรือ กลัวจิตอื่นนั้น จริง ๆ แล้วยังไม่สามารถเทียบกันได้กับการที่ จิตกลัว สติ หรอกครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังสติ ที่ถูกแผ่ออกมาจาก กายเวทนา (เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน) นั้น เข้มข้นดุเดือดต่อจิตอันเป็นมิจฉาทิฐิอย่างถึงที่สุด ผมพบปรากฏการณ์นี้โดยบังเอิญ และนำมาประยุกต์ใช้ได้ผลมาแล้วหลายครั้งด้วยกัน ถือว่าเล่าสู่กันฟังนะครับ

    +++ ครั้งหนึ่งผมเคยไปฝึกกรรมฐานประมาณ 10 วัน ที่น้ำตกธารมะยม เกาะช้าง จ.ตราด ผมไปกับผ้าขาวที่เพิ่งลาสิกขาบทจากเณร ไปกันเพียง 2 คนเท่านั้น วันหนึ่งผมนั่งแผ่เมตตาออกไปทั่วทุกทิศโดยไม่ได้กำหนดประมาณ จนถึงเวลาพอสมควรที่จะฝึกต่อแล้ว ผมจึงกำหนดถอนจิต และในขณะนั้นเอง จิตที่ผมแผ่ออกไปนั้น มันหดวูปถอนกลับเข้ามาจากทั่วทิศทางในเวลาเดียวกัน เป็นปรากฏการณ์ ที่คล้ายกับภูเขาหินที่กลิ้งเขามาโถมทับจากทั่วทิศทางในเวลาพร้อมกัน ไม่มีรูใด ๆ ที่จะให้เล็ดรอดออกไปได้เป็นอันขาด ความกลัวของจิตในขณะนั้นถึงที่สุดจริง ๆ จนกระทั่งพลังที่คล้ายกับภูเขาหินที่กลิ้งเขามาโถมทับจากทั่วทิศทางนั้น ถึงตัวในเวลาเดียวกันทั้งหมด อัดวูปลงมาทั้งตัวทั้งจิต กลายเป็นผนึกร่างเป็นอันเดียวกันกับพลาญหินนั้น พอจะใช้คำพูดได้ว่า พระปูนอยู่บนฐานปูนต่างก็เป็นเนื้อปูนเดียวกัน ความรู้สึกทั้งตัว (กายเวทนา) ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น หนักแน่นเป็นเนื้อเดียวกันกับพลาญหิน

    +++ จากประสพการณ์นี้ ทำให้ผมเข้าใจได้ชัดเจนถึงความตื่นกลัวของจิต ในนรกขุมหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้) ที่เป็นภูเขาหินกลิ้งจากทุกทิศทางเขามาโถมทับเหล่า สัตว์นรกในขุมนั้น ได้เป็นอย่างดี และพลังสติอันเดียวกันนี้ เป็นอันเดียวกันกับ การกำหนดความรู้สึกให้ได้ทั้งตัวในขณะจิตเดียว เมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นทั้งตัวแล้ว กายเวทนาที่ปรากฏจนเต็มฐานนี้ สามารถแผ่ขอบเขตออกไปได้ และจิตที่เป็นมิจฉาทิฐิเหล่านั้น จะเกิดความตื่นกลัวประดุจ สัตว์นรกในขุมที่กล่าวมานั้นทุกประการ ผมเคยทดสอบมาแล้วหลายครั้ง ล้วนได้ผลลัพธ์เป็นแบบเดียวกัน และวิญญาณเกเรเหล่านั้นไม่หวลกลับมาอีกเลย อันนี้ผมให้คุณเอาไว้ป้องกันตัวเท่านั้น หากไม่ถึงกับต้องเผชิญหน้าโดยไม่มีทางเลี่ยงแล้ว อย่าใช้เป็นอันขาด จิตที่ไม่เกี่ยวข้องอาจเดือดร้อนและก่อเวรได้ และ ต้องให้ความยุติธรรมต่อความเป็นจิตให้เสมอเหมือนด้วยกันทั้งสิ้น โดยไม่ต้องแยกแยะว่าจะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ใด ๆ นะครับ

    +++ ทางเดินของมหาสติปัฏฐาน 4 นี้ ยังมีอานิสสงค์อีกมากที่เกินกว่าจะพรรณาได้ กิเลศในจิตเรา กิเลศในจิตเขา กิเลศในจิตเรากลัวสติ กิเลศในจิตเขาก็กลัวสติเช่นกัน ล้วนต่างมีความเป็นจิตเหมือน ๆ กัน เรียนรู้จากประสพการณ์ แล้วนำมาใช้ให้ถูกต้องตามสถานการณ์ ประโยชน์ย่อมมีมาเอง

    เมื่อคืนวันพฤหัสฯก็ลองนั่งสมาธิในอารมณ์อุเบกขา หายใจสบายๆ กำหนดดูลมหายใจเข้าหายใจออกโดยที่ไม่ได้ใช้คำภาวนาพุธโท สักพักจะมีอาการหนักๆที่บริเวณท้ายทอยและร้อนวูบวาบที่บริเวณขมับ+ใบหู และรู้สึกตึงบริเวณศรีษะตรงปลายกระหม่อมเลยน่ะค่ะ

    +++ +++ การกำหนดความรู้สึกตัวให้ได้ในขณะจิตเดียว อยู่ที่นี่เอง

    https://palungjit.org/threads/348735/#post-6458989

    +++ วันใดวันหนึ่งที่คุณพร้อมแล้ว ผมอาจจะให้ฝึกและควบคุมการทำงานของตัว "ดู" นี้ด้วย การเดินทางของมหาสติปัฏฐาน 4 นี้ ยังมีอานิสสงค์อีกมาก ที่สำคัญที่สุดคือ "ตั้งสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า" และเมื่อ "ธรรมเฉพาะหน้า" นั้นเกิดขึ้นมาแล้ว ควรทำให้รู้จนแจ้งและสิ้นสงสัย เมื่อสิ้นสงสัยแล้ว จิตจึงวางลงได้เองตามธรรมชาติของมัน การเรียนด้วยมหาสตินี้ เมื่อรู้วิธีการตั้งสติได้อย่างถูกต้องและมั่นคงแล้ว การเรียนดูเหมือนนานแต่เร็ว ผิดกับการเรียนทางโลก ที่ดูเหมือนเร็วแต่นาน

    พอมีอาการอย่างนี้ก็ไม่กล้านั่งต่อแล้วค่ะ ก็ไม่รู้จะหาอุบายอะไรมาหลอกล่อให้ตัวเองเลิกกลัวได้ ก็ขอขอบคุณในความเมตตาอีกครั้งนะคะ ตั้งใจไว้ว่าจะหาวิธีต่อสู้และเอาชนะกับความกลัวให้สำเร็จค่ะ

    +++ เมื่อคุณอ่านตามลิ้งค์ที่ผมโพสท์ไว้ข้างบนแล้ว ก็คงพอเข้าใจได้ไม่ยาก และไม่จำเป็นต้องกลัวแล้วนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2019
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ผมฝึกแนวเวทนานุปัสสนาเหมือนกัน รบกวนขอฟังเรื่องนี้แบบเต็มๆ ทาง PM ได้ไหมครับ :)
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ส่งไปเมื่อสักครู่แล้วครับ
     
  12. jjustdream

    jjustdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +201
    มีโอกาสได้ไปบวชชีพราหมณ์มาอีกแล้วค่ะ รู้สึกสงบ สบายใจ รู้สึกดีที่ได้พาคนรอบตัวที่ไม่เคยไปปฎิบัติ ไปเข้าวัดรักษาศีลแล้วเค้าชอบเค้าสบายใจ เค้ามาขอบคุณเรา เราก็พลอยรู้สึกอิ่มเอมใจที่สุด ตั้งใจจะไปอีกครั้งช่วงวันมาฆบูชาค่ะได้หยุด3วันพอดี การทึ่เราได้ตัดขาดจากสังคมอันวุ่นวายสักพัก แล้วเข้าสู่ความสงบรักษาศีลปฎิบัติธรรมในสภาวะแวดล้อมที่เป็นไปในทางเดียวกัน มันทำให้ความสงบเกิดขึ้นกับจิตของเราได้ง่ายขึ้นด้วย แล้วเรายังได้แนวทางการปฎิบัติกลับมาใช้ที่บ้านเราเองด้วยค่ะ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ยินดีด้วยครับ ที่คุณได้มีโอกาสพักจากสังคมที่เต็มไปด้วยความปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา และอยู่ในสภาวะที่ลดความปรุงแต่งลง เมื่อความปรุงแต่งถูกลด ความสงบย่อมเพิ่มมาเองโดยธรรมชาติของจิต เมื่อจิตเริ่มคุ้นเคยกับความสงบนี้ มันก็ย่อมหาหนทางในการออกจากความปรุงแต่งเอง เรียกได้ว่า หามรรคาแห่งตนเอง อันเป็นกระบวนการทางธรรมชาติแห่งตนนั่นแหละครับ

    ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ
     
  14. ธานัท

    ธานัท Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +31
    พึ่งรู้จักเวปนี้ได้ไม่กี่วันดีใจมากเลยครับ ได้ความรู้ดีมากๆ ผมใคร่อยากจะขอถาม ผู้รู้ ทุกๆท่านด้วยครับผมสงสัยมานานแล้ว พยายามหาคำตอบก็ไม่ได้ซักทีขอเล่าคร่าวๆดังนี้นะครับ

    ตอนอายุประมาณ ๘ ขวบผมนั่งรอพี่สาวมารับกลับบ้านนั่งริมสระน้ำ รอนานมากก็เลยนั่งหลับตากะว่าจะแกล้งหลับ แต่ปรากฏว่าหลับตาไปได้ซักพักเร่ิมเห็นแสงสว่างเหลืองๆขาวๆ เหมือนแสงแดดตอนกลางวัน ตอนนี้นคิดว่าตัวเองเผลอลืมตาทำไม แต่พอจะลืมตาจริงๆกลับหนักที่เปลือกตาลืมไม่ขึ้น แต่กลับมองเห็นภาพรอบๆตัวชัดเจนเหมือนไม่ได้หลับตาทั้งๆที่ยังไม่ได้ลืมตานะครับ เห็นพี่สาวกำลังเดินมาด้วย (ยืนยันว่ายังไม่ได้หลับครับ) พี่สาวมาสะกิดก้เห็นว่ามาสะกิดนะครับ จนสักพักค่อยกลับมาปกติ พี่สาวก็ถามว่ารอนานจนหลับเลยเหรอ

    หลังจากนั้นมาก็ไม่ได้สนใจอะไรกับเหตุการณ์ตอนนี้น แต่ตลอดระยะเวลาก็จะฝันอยู่เรื่อยๆว่าได้สนทนากับผู้ทรงธรรม พระมั่ง พูดคุยเหมือนได้คุยจริงๆ แต่ก็คิดว่าก็แค่ความฝัน

    จนเมื่อตอนได้บวช (สายธรรมยุช) ไม่แน่ใจสะกดถูกหรือเปล่านะครับ พระอาจารย์ท่านก็จะให้นั่งสมาธิทุกวันพอวันที่สามของการนั่ง ผมกลับมองเห็นพระอาจารย์มายืนอยู่ข้างหลังของผมทั้งที่ท่านนั่งอยู่ข้างหน้าของผมนะครับ รู้สึกแปลกใจเลยรีบลืมตาดูว่าท่านยืนอยู่ข้างหลังหรือยังนั่งอยู่ข้างหน้ากันแน่ ปรากฏว่าท่านนั่งอยู๋ที่เก่าจริงๆครับ และตลอดเวลาที่บวชอยู่นั่งสมาธิก็จะได้ยินเสียงพระสวดมนต์แว่วมาแต่ไกล แต่หาที่มาไม่ได้ แล้วก็จะมีบางครั้งเหมือนคนที่ตายไปแล้ว (ไม่รู้จักนะครับ) มาเล่าเรื่องให้ฟังว่าเขาตายยังไง ตายที่ไหน บางคร้งบอกชือของตัวเองก็มี ผมก็ได้แต่กรวดน้ำไปให้ในตอนเช้า เคยถามพระอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านก็ตอบแต่ว่าเป็นเรื่องปกติ

    หลังจากสีกจากการบวชพระผมก็ไม่เคยได้นั่งสมาธิเลย แต่ความฝันยังมีมาเรื่อยๆนะครับที่ฝันเหมือนเรื่องจริง บางเรื่องก้เกิดขี้นจริงๆแต่ไม่บ่อยครับ

    ผมอยากทราบว่าสิ่งที่เกิดชึ้นกับผมคืออะไรครับ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    พึ่งรู้จักเวปนี้ได้ไม่กี่วันดีใจมากเลยครับ ได้ความรู้ดีมากๆ ผมใคร่อยากจะขอถาม ผู้รู้ ทุกๆท่านด้วยครับผมสงสัยมานานแล้ว พยายามหาคำตอบก็ไม่ได้ซักทีขอเล่าคร่าวๆดังนี้นะครับ

    ตอนอายุประมาณ ๘ ขวบผมนั่งรอพี่สาวมารับกลับบ้านนั่งริมสระน้ำ รอนานมากก็เลยนั่งหลับตากะว่าจะแกล้งหลับ แต่ปรากฏว่าหลับตาไปได้ซักพักเร่ิมเห็นแสงสว่างเหลืองๆขาวๆ เหมือนแสงแดดตอนกลางวัน ตอนนี้นคิดว่าตัวเองเผลอลืมตาทำไม แต่พอจะลืมตาจริงๆกลับหนักที่เปลือกตาลืมไม่ขึ้น แต่กลับมองเห็นภาพรอบๆตัวชัดเจนเหมือนไม่ได้หลับตาทั้งๆที่ยังไม่ได้ลืมตานะครับ เห็นพี่สาวกำลังเดินมาด้วย (ยืนยันว่ายังไม่ได้หลับครับ) พี่สาวมาสะกิดก้เห็นว่ามาสะกิดนะครับ จนสักพักค่อยกลับมาปกติ พี่สาวก็ถามว่ารอนานจนหลับเลยเหรอ

    +++ เป็นอาการของ จิต ที่มันลืมตาตื่นขึ้นมาเอง (ตาจิต)

    หลังจากนั้นมาก็ไม่ได้สนใจอะไรกับเหตุการณ์ตอนนี้น แต่ตลอดระยะเวลาก็จะฝันอยู่เรื่อยๆว่าได้สนทนากับผู้ทรงธรรม พระมั่ง พูดคุยเหมือนได้คุยจริงๆ แต่ก็คิดว่าก็แค่ความฝัน

    +++ ในใจส่วนลึก ๆ ของคุณทราบอยู่แล้วว่า อะไรเป็นอะไร นะครับ แต่จะใช้ภาษาว่า "ฝัน" ไปพลาง ๆ ก่อนก็ได้

    จนเมื่อตอนได้บวช (สายธรรมยุช) ไม่แน่ใจสะกดถูกหรือเปล่านะครับ พระอาจารย์ท่านก็จะให้นั่งสมาธิทุกวันพอวันที่สามของการนั่ง ผมกลับมองเห็นพระอาจารย์มายืนอยู่ข้างหลังของผมทั้งที่ท่านนั่งอยู่ข้างหน้าของผมนะครับ รู้สึกแปลกใจเลยรีบลืมตาดูว่าท่านยืนอยู่ข้างหลังหรือยังนั่งอยู่ข้างหน้ากันแน่ ปรากฏว่าท่านนั่งอยู๋ที่เก่าจริงๆครับ และตลอดเวลาที่บวชอยู่นั่งสมาธิก็จะได้ยินเสียงพระสวดมนต์แว่วมาแต่ไกล แต่หาที่มาไม่ได้ แล้วก็จะมีบางครั้งเหมือนคนที่ตายไปแล้ว (ไม่รู้จักนะครับ) มาเล่าเรื่องให้ฟังว่าเขาตายยังไง ตายที่ไหน บางคร้งบอกชือของตัวเองก็มี ผมก็ได้แต่กรวดน้ำไปให้ในตอนเช้า เคยถามพระอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านก็ตอบแต่ว่าเป็นเรื่องปกติ

    +++ ใช่ครับ เป็นเรื่องปกติ (ของจิตที่มีสมาธิเป็นองค์ประกอบ)

    หลังจากสีกจากการบวชพระผมก็ไม่เคยได้นั่งสมาธิเลย แต่ความฝันยังมีมาเรื่อยๆนะครับที่ฝันเหมือนเรื่องจริง บางเรื่องก้เกิดขี้นจริงๆแต่ไม่บ่อยครับ

    +++ ควรนั่งต่อ และทำให้เป็น นิสัย นะครับ

    ผมอยากทราบว่าสิ่งที่เกิดชึ้นกับผมคืออะไรครับ

    +++ 1. จิตมันลืมตาขึ้นมา (ตาจิต ไม่ใช่ตาคน) 2. มีรายการ สื่อสาร มาจากจิตอื่น 3. เป็นเรื่องปกติ ของจิตที่มีสมาธิ

    ผู้ที่มีโอกาสอย่างคุณ ไม่ควรทอดทิ้งการฝึกนะครับ มีหลาย ๆ คนที่ฝึกตั้งนานก็ไม่มีโอกาสได้สัมผัสอย่างคุณ
     
  16. ธานัท

    ธานัท Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณครับ คุณธรรม ชาติ สำหรับคำตอบและการแนะนำ ผมขอวิธีฝึกสมาธิด้วยจะได้ไหมครับ ขอบพระคุณครับ
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ได้ครับ วิธีฝึกของผมง่ายมาก คือ "รู้สึกตัว" แบบ "ทั้งตัวพร้อมเพรียง" "หัว ตัว แขน ขา" จากนั้นให้ "แช่" "อยู่" กับมันสักพัก เมื่อทำได้แล้ว ค่อยว่ากันอีกที่นะครับ
     
  18. ธานัท

    ธานัท Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณมากครับผมจะลองทำตามดูครับ
     
  19. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    ขออนุญาตินำบทฝึกที่คุณธรรม-ชาติให้ไว้ 2 บทในกระทู้อื่น มาตอบในกระทู้นี้นะคะ

    +++ คุณ จิตวิญญาณ นี่มีจิตที่โลดโผนมาก ผมมีบทฝึกให้คุณอีก 2 บท
    +++ บทแรก ตอนส่องกระจก ตรงตอนที่จิตปฏิเสธอาการนั้น ๆ โดยอัตโนมัติและอาการที่เข้ามากระทบก็ดับไป นั้น "ให้เห็นและทำความคุ้นเคยกับอาการ เกิด-ดับ นี้ให้ชำนาญ โดยไม่มีการแทรกแซงกระบวนการของมันแต่อย่างใดทั้งสิ้น"

    ให้เห็นอาการที่ เกิดมาเอง แปรเปลี่ยนเอง ดับไปเอง ด้วยตัวของมันเอง โดยที่เราไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับมันทั้งสิ้น และ กระบวนการนี้ทั้งกระบวน ไม่ใช่ตัวเรา กระบวนการทั้งกระบวน เป็นตัวมัน และมันไม่ใช่เรา

    ให้สังเกตุอาการ กระพริบ กระเพื่อม ทางจิต ที่อยู่ในตัวคุณไปด้วย ตรงนี้จะละเอียดสักหน่อย แต่ไม่เกินความสามารถของคุณแน่นอน ให้สังเกตุว่า การกระพริบของจิตทุกครั้ง มีความเกี่ยวเนื่องและมีความสัมพันธ์ ต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ อย่างไร ทั้งภายในจิต และ ภายนอกจิต

    บทแรก จะมี 2 สภาวะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันค่ะ ตรงนี้ขอเวลาทำความเข้าใจกับภาษาก่อนนะคะ เพราะการอธิบายออกมาเป็นภาษา ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับดิฉันน่ะค่ะ


    +++ บทที่สอง ตอน ตัวดู ที่ ถูกรู้ ในยามใดก็ตามที่ ตัวดูถูกรู้ ให้ รู้อยู่เฉย ๆ แล้วค่อย ๆ สังเกตุการ "แปรสภาพ" ของไอ้เจ้าตัวดูนี้ให้ดี ๆ จากปรากฏการณ์ที่เป็นกลุ่มก้อนคล้าย ๆ ดวงตา (ใครจะเรียกมันว่า ตาที่ 3 ก็ตามใจ) แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพแบบ "จางคลาย" ตัวลง ในขณะที่มันอยู่ในสภาพ "จางคลาย" นี้ คล้ายกับมัน "เป็นกลุ่มละอองธาตุ ที่เป็นตัวตน" ชนิดหนึ่งด้วยหรือไม่

    ..เช่นเดียวกันกับบทแรก "ไม่มีการแทรกแซงกระบวนการของมันแต่อย่างใดทั้งสิ้น"

    ลองทำดูนะครับ


    เท่าที่สังเกตุดูในขณะนั้น ขณะที่มันอยู่ในสภาพจางคลาย จะรู้สึกมีอาการวาบหรือวูบอะไรนี่ล่ะค่ะเรียกไม่ถูก จากกลางกระหม่อมแล้วหลุดออกไปเลย หลังจากนั้นจะมีอาการสงบ โล่ง เบาสบายอย่างบอกไม่ถูก อาการแบบนี้เป็นมาสองครั้งค่ะ
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ขออนุญาตินำบทฝึกที่คุณธรรม-ชาติให้ไว้ 2 บทในกระทู้อื่น มาตอบในกระทู้นี้นะคะ

    *** ได้ครับ การโพสท์แทรกของอันนี้จะเป็นตัว *** นะครับ

    +++ คุณ จิตวิญญาณ นี่มีจิตที่โลดโผนมาก ผมมีบทฝึกให้คุณอีก 2 บท
    +++ บทแรก ตอนส่องกระจก ตรงตอนที่จิตปฏิเสธอาการนั้น ๆ โดยอัตโนมัติและอาการที่เข้ามากระทบก็ดับไป นั้น "ให้เห็นและทำความคุ้นเคยกับอาการ เกิด-ดับ นี้ให้ชำนาญ โดยไม่มีการแทรกแซงกระบวนการของมันแต่อย่างใดทั้งสิ้น"

    ให้เห็นอาการที่ เกิดมาเอง แปรเปลี่ยนเอง ดับไปเอง ด้วยตัวของมันเอง โดยที่เราไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับมันทั้งสิ้น และ กระบวนการนี้ทั้งกระบวน ไม่ใช่ตัวเรา กระบวนการทั้งกระบวน เป็นตัวมัน และมันไม่ใช่เรา

    ให้สังเกตุอาการ กระพริบ กระเพื่อม ทางจิต ที่อยู่ในตัวคุณไปด้วย ตรงนี้จะละเอียดสักหน่อย แต่ไม่เกินความสามารถของคุณแน่นอน ให้สังเกตุว่า การกระพริบของจิตทุกครั้ง มีความเกี่ยวเนื่องและมีความสัมพันธ์ ต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ อย่างไร ทั้งภายในจิต และ ภายนอกจิต
    ================================================
    บทแรก จะมี 2 สภาวะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันค่ะ ตรงนี้ขอเวลาทำความเข้าใจกับภาษาก่อนนะคะ เพราะการอธิบายออกมาเป็นภาษา ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับดิฉันน่ะค่ะ
    =================================================
    *** การใช้ภาษาในขั้นตอนนี้ไม่ง่ายเลยครับ เพราะ สติ คุณเข้าไปอยู่ในรอยต่อระหว่าง จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน กับ ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน และอยู่ในรอยต่อของ สัญญา+สังขาร (จิตขันธ์) กับ วิญญาณขันธ์ (ตัวดู) ของขันธ์ 5

    *** สรุปบทแรก หากคุณสามารถเห็นอาการได้ ถือว่า สติ ของคุณเริ่มมีความละเอียดมากขึ้นทุกที อาการตกกระทบจากจิตนั้น "เป็นตัวล่อภายนอกที่ไม่ใช่ตัวเรา" ส่วนอาการ "ที่ สติ+ตัวดู ปฏิเสธโดยอัตโนมัติ" จึงเป็นอาการที่ถูกต้องตามธรรมชาติของมันเอง การปล่อยให้กระบวนการเกิดขึ้น โดยไม่มีการแทรกแซงนั้น เป็นการขยายรอยต่อของปรากฏการณ์ระหว่าง "ตัวล่อภายนอก" กับ "สติที่เป็นพี่เลี้ยงตัวดู" อยู่ในขณะนั้น จึงทำให้ ตัวดู เกิดการต่อสู้ หรือเรียกสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า "การดวล" ทุกครั้งที่ ตัวดู เกิดการ "ปฏิเสธโดยอัตโนมัติ" นั้น แท้จริงก็คือการ "สลัดออก ละออก ตีจาก ขจัดออก" จาก ความจำ + ความคิด (จิตขันธ์) นั่นเอง เรียกสั้น ๆ ว่า "สติดวลกับจิต"

    *** นี่คือ อาการที่แท้จริงของการที่มี สติเป็นพี่เลี้ยง การต่อสู้แบบอัตโนมัติจึงเกิดขึ้น ผมเรียกมันว่า "การดวล" ในขณะที่ การดวล เกิดขึ้นทุกครั้ง จะมีอาการกระเพื่อมตัวทางจิตทุกครั้ง (ที่คุณเรียกมันว่า วาบหรือวูบ ในบทที่สองนั่นแหละ อันเดียวกัน)

    *** บทแรกจะเกิด 2 สภาวะนั้น ถูกต้องแล้ว คือ 1 เห็นจิตตกกระทบ 2 เกิดการดวลและจับอาการวูปได้ (กระเพื่อม) ของคุณแม้ว่าจะอยู่ในชั้นแรกเริ่มก็ตาม แต่นับได้ว่า วิวัฒนาการทาง สติ ของคุณได้ก้าวหน้าเร็วขึ้นมาก และจะต้องฝึกต่อไปให้ละเอียดกว่านี้ และจะต้องคอยสังเกตุด้วยว่า ทุกครั้งที่จิตตกกระทบปรากฏขึ้นนั้น ถือได้ว่าเป็นการเกิดขึ้นของกิเลสด้วยหรือไม่ (กิเลสในความละเอียดขนาดนี้คือ สิ่งที่บดบังจิต หรือ บดบังความเป็นจริง) ต้องสังเกตุให้ละเอียดจริง ๆ จึงรู้ได้นะครับ
    =========================================================
    +++ บทที่สอง ตอน ตัวดู ที่ ถูกรู้ ในยามใดก็ตามที่ ตัวดูถูกรู้ ให้ รู้อยู่เฉย ๆ แล้วค่อย ๆ สังเกตุการ "แปรสภาพ" ของไอ้เจ้าตัวดูนี้ให้ดี ๆ จากปรากฏการณ์ที่เป็นกลุ่มก้อนคล้าย ๆ ดวงตา (ใครจะเรียกมันว่า ตาที่ 3 ก็ตามใจ) แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพแบบ "จางคลาย" ตัวลง ในขณะที่มันอยู่ในสภาพ "จางคลาย" นี้ คล้ายกับมัน "เป็นกลุ่มละอองธาตุ ที่เป็นตัวตน" ชนิดหนึ่งด้วยหรือไม่

    ..เช่นเดียวกันกับบทแรก "ไม่มีการแทรกแซงกระบวนการของมันแต่อย่างใดทั้งสิ้น"

    ลองทำดูนะครับ
    =========================================================
    เท่าที่สังเกตุดูในขณะนั้น ขณะที่มันอยู่ในสภาพจางคลาย จะรู้สึกมีอาการวาบหรือวูบอะไรนี่ล่ะค่ะเรียกไม่ถูก จากกลางกระหม่อมแล้วหลุดออกไปเลย หลังจากนั้นจะมีอาการสงบ โล่ง เบาสบายอย่างบอกไม่ถูก อาการแบบนี้เป็นมาสองครั้งค่ะ
    ====================================
    +++ "ตัวดู" ในขณะที่มันอยู่ในสภาพ จางคลาย มันจะกลายมาเป็น ธรรมารมณ์ ชนิดหนึ่ง ในขณะที่มัน ถูกรู้ ด้วย สติที่เป็นสมาธิ พลังแห่งสตินี้ จะสามารถผลักดันให้มันหลุดออกไปและสลายตัวได้ และในขณะนั้น ๆ สามารถกล่าวได้ว่า "เป็นการปลดเปลื้องภาระทั้งมวล" หรือเรียกได้ว่า "หมดภาระทางจิต" ใช่ไหมครับ

    +++ แม้ว่ามันจะเป็นแค่ชั่วคราวก็ตาม แต่มันก็เหลือคุ้มใช่ไหมครับ เพราะนั่นเป็นการหมดภาระจากขันธ์ และเป็นสุขอันเกิดจาก สติ ที่ไม่เกี่ยวกันกับ ฌาณ หรืออะไรทั้งสิ้น

    +++ ฝึกไปเรื่อย ๆ ทำให้ได้นิสัย จนกว่าความสงสัยทั้งมวลที่เกี่ยวกับจิตจะหมดไป นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...