จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    คติธรรม. ยศและลาภ หายไป ไม่ได้แน่ มีเพียงแต่ ต้นทุน บุญกุศล ทรัพย์สมบัติ ทิ้งไว้ ให้ปวงชน แม้ร่างตน เขาก็เอา ไปเผาไฟ เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า ใยมัวเมา โลภลาภ ทำบาปใหญ่ เจ้ามามือเปล่า แล้วเจ้า จะเอาอะไร เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา ควรเร่งสร้าง กรรมดี หนีกรรมชั่ว ไม่พาตัว พาใจ ใฝ่ตันหา หมั่นเจริญศิล สมาธิ และปัญญา จึงจะพา ให้พ้นทุกข์ส สุขนิรันดร์.ขอฝากคติธรรมนี้แด่ท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ
     
  2. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    เกร็ดธรรม

    เมื่อประสบเหตุร้าย เราเลือกที่จะไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าวางใจให้เป็น ทีนี้จะวางใจอย่างไร ?? อย่างแรกที่ควรทำก็คือ “การยอมรับความจริง” เมื่อเกิดอะไรขึ้นแล้ว ป่วยการที่เราจะไปตีโพยตีพายว่าทำไมถึงต้องเป็นฉัน ป่วยการที่จะไปโทษชะตากรรม หรือโทษคนนั้นคนนี้ ยิ่งตีโพยตีพาย หรือยิ่งปฏิเสธความจริง เราก็ยิ่งทุกข์ !!!


    “การยอมรับความจริง” มิได้หมายถึง “การยอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น” ที่จริงแล้วมันกลับช่วยให้เราสามารถรับมือกับเหตุร้ายได้ดีขึ้น คนที่ยอมรับความเจ็บป่วยได้ นอกจากใจจะทุกข์น้อยลงแล้ว ยังมีเวลาใคร่ครวญหาทางเยียวยารักษา สามารถใช้สติปัญญาอย่างเต็มที่ ไม่ถูกรบกวนด้วยอารมณ์ต่างๆ ผิดกับคนที่ไม่ยอมรับความจริง จะมัวแต่ตีโพยตีพาย คร่ำครวญ วิตกกังวล จนไม่เป็นอันทำอะไร สิ่งที่ควรทำจึงไม่ได้ทำ ปัญหาที่ควรแก้จึงไม่ได้แก้


    ความสุขนั้นมีอยู่รอบตัว แต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น เพราะใจจดจ่อแต่ความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า ผลก็คือขณะที่ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง เรากลับละทิ้งความสุขที่มีอยู่รอบตัว ทั้งๆ ที่เป็นสิทธิของเราโดยชอบธรรม กลายเป็นว่าเสียสองต่อ


    จะไม่ดีกว่าหรือ ขณะที่ยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็เปิดใจชื่นชมสิ่งดีๆ ที่มีอยู่รอบตัวหรือตามรายทาง แม้ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง แต่เราก็ได้สัมผัสกับความสุขที่มีอยู่แล้วทุกขณะ


    การให้อภัยเป็นเรื่องยาก แต่การมีชีวิตด้วยจิตใจที่โกรธแค้นพยาบาท กลับเป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่า


    ชีวิตของเรานั้นเหมือนกับเทียน เราไม่มีทางรู้หรอกว่า เทียนเล่มนี้จะไหม้จนหมดเชื้อ หรือว่าโดนลมพัดดับไปเสียก่อนทั้งๆ ที่ยังมีเชื้อและไขเทียนอยู่ แต่แม้จะเป็นอย่างหลังก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าขณะที่ยังมีเปลวไฟอยู่นั้น เขาให้ความสว่างไสวแค่ไหน


    คนที่ภาคภูมิใจในทรวดทรงของตน ไม่ช้าไม่นานก็ต้องระทมทุกข์เพราะสิ่งเดียวกัน ถึงวันนั้นทรวดทรงอาจแปรเปลี่ยนไป หาไม่มันก็กลายเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายขึ้นมา


    เมื่อเราถูกวิพากษ์วิจารณ์ ใจเรามักจะพุ่งตรงไปยังคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่ค่อยสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์เท่าใดนัก ดังนั้น แม้ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์จะถูกต้อง ให้แง่คิดที่ดีเพียงใดก็ตาม แต่เราไม่สนใจที่จะไตร่ตรองเสียแล้ว เพราะใจนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดและโกรธคนที่วิพากษ์วิจารณ์เรา


    สุขกับทุกข์เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน มันสามารถพลิกกลับไปกลับมาได้ ด้วยเหตุนี้เวลาจะมีความสุขกับอะไรหรือใครก็ตาม อย่าเพลินกับความสุขจนท่วมท้นใจ หรือหมดเนื้อหมดตัวไปกับอารมณ์เหล่านั้น ควรเผื่อใจไว้รับมือกับความผันผวนปรวนแปรที่ไม่ถูกใจเรา วันนี้ทุกอย่างเป็นไปตามใจหวัง แต่พรุ่งนี้อาจกลายเป็นตรงกันข้าม


    อะไรล่ะที่ทำให้เรายอมรับความจริงได้ยาก ส่วนหนึ่งก็เพราะเราหวนคิดถึงอดีตที่สวยงาม เมื่อเราต้องสูญเสียอะไรสักอย่าง หรือประสบกับเหตุร้าย เราจะรู้สึกแย่ทันทีเมื่อหวนนึกถึงตอนที่เรายังมีสิ่งนั้น หรือยังสุขสบายดี ความอาลัย ความเสียดาย จะทำให้เราไม่สามารถยอมรับความจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้


    “เป็นอะไร” ไม่สำคัญเท่า “เป็นอย่างไร” ถึงจะเป็นคนสวนหรือเสมียนก็อาจจะมีความสุขกว่าผู้จัดการ หากทำงานด้วยใจรักหรือมีฉันทะ และเห็นคุณค่าของงานนั้น ไม่ใช่ทำด้วยตัณหาหรือมีกิเลสเป็นตัวผลักดัน


    รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์แก่ชีวิตตน ก็ควรรีบลงมือทำ ปฏิกจฺเจว กยิรา ยํ ชญฺญา หตมตฺตโน


    “ความทุกข์” และ “ความสุข” ของชีวิต หาได้อยู่ถัดกันดั่งกลางคืนและกลางวันไม่ แท้ที่จริงความทุกข์และความสุขอยู่เคียงคู่กัน ในยามทุกข์ ความสุขก็อยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว ใช่ว่าจะตามมาภายหลังก็หาไม่ เป็นแต่ว่าเราไปฉวยเอาเรื่องร้ายมาครองใจ ความสุขจึงแทรกเข้ามาไม่ได้ แต่หากเราวางเรื่องร้ายนั้นเสีย หรือน้อมเอาสิ่งดีงามมาใส่ใจ ความสุขก็จะบังเกิดขึ้นทันที

    แม้กระทั่งในค่ายนรกนาซี ความสุขก็อยู่ไม่ไกลหากรู้จักหา หญิงผู้หนึ่งอยู่ใกล้ความตายทุกขณะ แต่ในยามนั้นเธอหาได้ทุรนทุรายไม่ สิ่งเดียวที่ให้ความหวังและกำลังใจแก่เธอก็คือ ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งมีดอกตูมอยู่สองดอกใกล้หน้าต่าง เธอชอบคุยกับต้นไม้ต้นนั้น และต้นไม้ก็บอกเธอว่า “ฉันอยู่นี่ ฉันอยู่นี่ ฉันคือชีวิตนิรันดร์”


    อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด คือ เคล็ดลับสำคัญในการเอาชนะปัญหาและอุปสรรคทั้งปวง เพราะวันนี้เป็นวันเดียวเท่านั้นที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ไม่ใช่เมื่อวานหรือวันพรุ่งนี้ แต่จะว่าไปแล้ว ช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่เราสามารถทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นได้ คือ วินาทีนี้หรือขณะนี้เท่านั้น เพราะแม้แต่วินาทีหน้า นาทีหน้า หรือชั่วโมงหน้า ก็ยังเป็นอนาคตอยู่ ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะทำอะไรได้


    “แข่งขันกับงาน ไม่ใช่แข่งขันกับคนอื่น” เวลาทำงานก็เช่นกัน ถ้าเรามองว่านี้เป็นการต่อสู้ปลุกปล้ำกับงาน เราจะไม่เดือดร้อนที่คนอื่นทำได้ดีกว่าเรา ใครจะดีจะเก่งก็เป็นเรื่องของเขา เพราะในใจนั้นนึกอยู่เสมอว่า “ฉันกำลังแข่งขันกับงาน ไม่ใช่แข่งขันกับคนอื่น” นอกจากจะไม่อิจฉาเขาแล้ว ยังพยายามเรียนรู้จากเขาว่ามีวิธีการอย่างไร เพื่อเอาไปใช้ในการพิชิตงานที่กำลังทำอยู่ หรือทำให้งานนั้นดีขึ้น


    “สบายแต่ไร้สุข” ในโลกนี้มีอะไรต่ออะไรอีกมากมายที่ไม่สามารถบัญชาให้เป็นไปตามใจเราได้ แม้จะมีเงินมากมายก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่คนกรุงเทพฯ เป็นทุกข์กันมากเพียงเพราะรถติด ทั้งๆ ที่อยู่ในรถที่แสนเย็นสบาย แต่ถ้ารู้จักปรับตัวปรับใจเสียแล้ว ก็จะเป็นสุขได้ง่ายขึ้น ร้อนนักก็ไม่เป็นไร หนาวนักก็ไม่เดือดร้อน รถติดก็รู้จักรอ คนที่จะทำใจแบบนี้ได้เก่ง ใช่หรือไม่ว่า ชีวิตของเขาต้องไม่สะดวกสบายมากเกินไป


    “เปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตร” ถึงที่สุดแล้ว แม้แต่คนที่คิดร้ายต่อเรา เขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูของเรา ความโกรธเกลียดหรือความเห็นแก่ตัวในใจเขาต่างหากที่เป็นศัตรูของเรา สิ่งที่เราควรจัดการคือความชั่วร้ายในใจของเขา มิใช่จัดการตัวเขา ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะปลอดภัยและมีชีวิตที่สงบสุขอย่างแท้จริง เพราะการขจัดศัตรูที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนเขามาเป็นมิตร แล้วอะไรล่ะที่จะเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรได้ หากมิใช่การใช้ความดีชนะใจเขา


    “คู่แข่ง” คนไม่ใช่คู่แข่งของเรา กิเลสตัณหา ความเห็นแก่ตัว หรือความหลงตนต่างหากที่เป็นคู่แข่งของเรา แทนที่จะสู้กับใครต่อใคร เราควรหันมาสู้กับอกุศลธรรมในตัวเราดีกว่า ที่แล้วมาเราต่อสู้กับใครต่อใครมากแล้ว แต่ไม่ได้ต่อสู้กับอกุศลธรรมเหล่านี้ เราจึงทุกข์ไม่เว้นแต่ละวัน


    “การทำงาน” สามารถเป็น “การปฏิบัติธรรม” ได้ตลอดเวลา หากเราทำด้วยแรงจูงใจที่เป็นกุศล เช่น ทำเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น หรือเพื่อฝึกพัฒนาตน โดยมุ่งให้มีความเห็นแก่ตัวน้อยลง อดทนมากขึ้น หรือทำโดยมีธรรมะเข้ามากำกับ เช่น ทำด้วยความซื่อสัตย์ รับผิดชอบต่อหน้าที่


    พุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น มิได้อยู่ที่วัดวาอารามหรือพระสงฆ์ แต่อยู่ที่จิตใจของผู้คน ใจที่เป็นกุศล เปี่ยมด้วยเมตตา โอบอ้อมอารีต่อกัน ไม่ถูกครอบงำด้วยโลภะ โทสะ และโมหะ คือ ที่สถิตของพุทธศาสนาที่แท้ต่างหาก

    ที่มา: พระไพศาล วิสาโล


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ".....ด้านสมาธิก็ฝึกซ้อมไว้เป็นปกติ เวลาฝึกซ้อมไม่ต้องไปนั่งหลับตา หลับตามันไม่เก่ง ลืมตาอยู่อย่างนี้แหละให้จิตมันทรงสมาธิ ลืมตาอยู่อย่างนี้แหละให้จิตมันทรงตัว ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาและความเป็นจริง เห็นอะไรเข้าตายหมด เห็นคนคนตาย เห็นสัตว์สัตว์ตาย เห็นวัตถุธาตุวัตถุธาตุพัง แล้วก็นึกถึงว่าเราจะต้องตายเหมือนกัน นี่ต้องถอยหน้าถอยหลัง จะก้าวไปแต่ข้างหน้าแล้วก็ไม่เหลียวหลัง....."

    พระราชพรหมยาน
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    https://www.youtube.com/watch?v=2IwRtvkR-3E
    มีคนบนฟ้าส่งเพลงมาให้..ถั่วพู

    คนทางธรรม จะต้องอยู่ได้ทั้งทางธรรมและทางโลก
    มีแต่คนทางโลก อยู่ทางธรรมก็ไม่ได้ อยู่ทางโลกก็ทุกข์อีก

    เพราะฉะนั้น
    ผู้เจริญ หรือ ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบทั้งหลาย
    สิ่งที่ทดสอบจิตของผู้ปฎิบัติ ก็คือ ทางธรรมและทางโลก
    จะต้องสอบผ่านทั้งภาคทฤษฎี และ ภาคปฎิบัติด้วย
    อยู่เหนือขันธ์ ๕
    เหนืออารมณ์ของจิต(เจตสิก)
    กันจริงๆไหม๊
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุญาตชาวจิตบุญ หรือ ทุกท่าน
    เรียนเชิญส่งธรรมะเข้าประกวด

    เรื่อง
    มาถูกทาง!
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ศาสนาพุทธ
    จะอยู่ครบ ๕,๐๐๐ ปี ได้เพราะพุทธบริษัท ๔ จำพวก อันได้แก่ พระิภิกษุ พระภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา


    ชาวจิตบุญเอ๊ย!
    ในขณะที่เจ้าแอบยิ้ม ซึ่งสุขมาจากจิตนิ่ง จิตสงบนั้น
    เพียงแค่เสี้ยวนาทีนั้น
    เจ้ารู้ไหม๊ว่า มีคนที่เขากำลังเป็นทุกข์ กำลังจะตายมากมายมหาศาล

    ไหนว่าเจ้า ก็คือ พุทธบุตร หรือลูกหลานของพระพุทธเจ้า
    ไหนบอกว่ามีจิตเมตตา มีจิตเป็นพระโพธิสัตว์
    แล้วใยเจ้าถึงได้อยู่นิ่งเฉยกันอยู่เล่า!

    หรืออยากเป็นอรหันต์เห็นแก่ตัว? จะหนีขึ้นไปพระนิพพานแต่ผู้เดียว
    พวกเจ้าเห็นกันบ้างไหม๊? ว่า..ท่านพ่อ ทำตัวอย่างให้ดูไปแล้ว

    คนที่เดินผ่านเจ้า หรือ คนที่เจ้าเคยบอกว่า เกลียดขี้้หน้า หรือ ศัตรูของเจ้า
    เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่า..
    เมื่อชาติก่อน อาจจะเคยเป็นคนที่เจ้ารัก หรือ คนที่รักเจ้าก็ได้
    เพราะฉะนั้น
    จงอย่าได้ โปรดเฉพาะแต่เจ้ารัก หรือญาติๆของเจ้าเลย
    อย่าไปแยกว่าพวกเขาคือใคร
    จงได้โปรดเมตตากับทุกๆคน แม้นกระทั่งผู้ที่เห็นต่างกับเจ้าเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 ธันวาคม 2012
  7. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    แด่ลูกเสือ ... ของเรา

    ทุกท่านคงได้เรียนลูกเสือ และ เนตรนารีมาแล้วเมื่อสมัยเด็กๆ
    และจะมีการเดินทางไกล ไปเข้าค่ายพักแรม ...

    ในที่นี้ขอให้ทุกท่านที่กำลังเดินมรรค หรือ แม้แต่จิตบุญที่กำลังเดินจิตสู่ความว่าง ได้โปรดอ่านและพิจารณาตามเราด้วย ...

    มีคำสั่งให้เจ้าเดินทางจากชายป่าด้านหนึ่ง เพื่อไปสู่ชายป่าอีกด้านนึง
    เราจะเดินทางเข้าไปในป่า ...
    เมื่อเดินป่า สองข้างทางนั้นจะมีแต่ต้นไม้ มองซ้ายก้อต้นไม้ มองขวาก้อต้นไม้ ...
    ล้วนแล้วแต่เหมือนกันไปหมด ...

    แต่ยังดีที่ป่านี้ มีคนเคยเดินทางแล้ว มีรอยของทางที่เราเดินตามได้ มีการถากถางทางเพื่อให้เจ้าได้เดินได้ มิลำบากมากนัก เพียงเจ้าเดิน เจ้าก้อจะถึง

    เวลาเจ้าเดินทางกลางป่า มองเห็นแต่ต้นไม้ ยังไม่เห็นปลายทางอีกด้านที่จะถึง
    เจ้าคงจะคิดสินะ ว่าเมื่อไหร่จะถึง มันก้าวหน้าจริงๆหรือ มันจะถึงจริงๆหรือ
    เราเดินถอยหลัง หรือเดินวนหรือไม่ ปลายทางนี้มีจริงหรือ ... ทั้งสงัสย ทั้งอยาก ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ ...

    ลูกเสือน้อยทั้งหลายเอ๋ย ... ฟังเราหน่อยนะ
    เจ้าเคยคิดไหมว่า ทางที่เจ้าเดินนั้น ก่อนจะเป็นทางที่เดินได้สบาย มีการบุกเบิกมาแล้ว
    ผู้ที่บุกเบิกนั้น เค้าจะลำบากเพียงใด ... จากป่าที่ไม่มีทางเดิน ต้นไม้ เถาวัลย์ สัตว์ป่า มากมายที่ผู้บุกเบิกได้พบเจอ ...
    ถ้าไม่มีผู้บุกเบิก เจ้าจะได้เดินกันไม่ลำบากมากมายเยี่ยงนี้หรือ

    พระพุทธองค์ ท่านค้นหาแก่นแท้แห่งธรรม ใช้ความพยายามมากมายเพียงใด ความเพียรเท่าใด กี่อสงไขย เพื่อให้ถึงธรรม จนเป็น คำสอนที่เราได้น้อมมาปฎิบัติกันตั้งแต่ พ่อแม่ครูบาอาจารยืทางธรรมแต่อดีตที่ผ่านมา ... ลืมแล้วหรือ

    ตอนนี้เจ้ามีทางเดิน ทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงริเริ่มและทำให้เห็นแล้ว สำเร็จแล้วในแนวทางนี้ ...

    แล้วนี่เจ้าทำสิ่งใด ...
    เมื่อไหร่จะถึง "อยาก"
    เดินไปจะถึงหรือ ก้าวหน้าหรือไม่ ถอยหลังหรือไม่ "สงสัย"
    พอแล้ว ไม่เอาแล้ว "หมดกำลังใจ"
    คนอย่างเราไปมิได้หรอก "ไม่มีศรัทธาในตน"


    เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้ากำลัง "เดิน"
    เจ้าเดินไปข้างหน้าหรือไม่ ...
    เจ้าเดินถอยหลังหรือ ...
    เจ้าเดินตามทางที่เราได้เดินไปแล้วหรือไม่ ...

    ทั้งๆที่เจ้าก้อเดิน ทั้งที่เจ้ามิได้เดินถอยหลัง ทั้งๆที่เจ้าก้อเดินตามทางแห่งเรา
    แล้วเจ้าจะมัวสงสัย ใคร่อยากทำไม


    เพียงเจ้าเดินไป เดินตามทาง ตามวิธีที่เราได้มอบไว้ อย่าไปสนใจสิ่งที่อยู่นอกตัวเจ้าสิ อยู่กับตนสิ เพียรเดินสิ

    ก้าวสุดท้ายที่ปลายป่า จะไม่ถึงได้ ถ้าไม่มีก้าวแรก และก้าวระหว่างทาง

    เพียรทำไป เดินไป อย่าสงสัยกับข้างทาง
    เหนื่อยก้อพัก และทบทวนตน แล้วก้อเดินต่อไป

    ใจสบายนะ อย่าเร่ง อย่าทำสิ่งใดเกินกำลังตน พอดีๆ
    เดินไป เดินไป มีศรัทธาในการเดินของเจ้า ตัวเจ้า ว่าเดินอยู่แล้ว แล้วใยจะไม่ถึงปลายทาง

    ลูกเสือเอ๋ย วางกำลังใจดีๆนะ แล้วจะเดินถึงปลายป่า อย่างเรา ...


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  8. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ผู้ไม่รู้ ...

    ก่อนหน้านี้เรามองว่าการที่มนุษย์อย่างเราๆ ที่มิใช่พระสงฆ์นั้น จะเดินไปถึงจุดที่มิต้องกลับมาเกิดนั้น ยากแท้เกินที่คนอย่างเราจะทำได้
    ดังนั้น ในใจของข้าพเจ้าจึงอยากออกบวชยิ่งนัก เพื่อจะได้มีความก้าวหน้าทางธรรม เพื่อให้ถึงแก่นธรรมที่แท้จริง

    มาวันนี้ .. ณ จุดนี้
    เราก้อยังมิได้ออกบวชตามที่เคยปราถณาไว้ ...

    คนธรรมดา ... ก้อมี ดวงจิต
    พระสงฆ์ ... ก้อมี ดวงจิต
    คนพิการ ... ก้อมี ดวงจิต

    เราจบด้านวิศวกรรม ที่ผู้คนมากมายมองว่า เรียนยาก เนื้อหาทางวิชาการมันยาก เรียนไม่ไหวหรอก ...

    ตอนเรียน เราก้อได้ยินรุ่นพี่บอกว่า ... ทำไมมันเรียนยากนักฟ่ะ ... วิชานี้มันยากจิงวุ้ยยยย ...

    เอาละสิเรา จะรอดไหมเนี่ย จะจบไหมเนี่ย มันยากนา แต่เอาวะ เอาสักตั้ง มันจะเกินกำลังสมองกับความมุ่งมั่นของคนรึ ...

    พอเอาเข้าจริง ด้วยความตั้งใจจริง เปิดใจ ไม่ปิดกั้น เป็นคนโง่ ที่ครูจะว่าอย่างไร สอนอย่างไร ก้อน้อมรับ และทำความเข้าใจ พลาดก้อมี แต่แก้ไข ปรับปรุงใหม่
    พลั้งก้อมี แต่ดึงตนกลับมาในทางที่ครูบอกกล่าว

    แล้วเราก้อทำได้ ... ยิ่งเรียน ยิ่งเข้าใจ ยิ่งใช้บ่อย ทำบ่อยๆ ยิ่งถ่องแท้ขึ้นเรื่อยๆ
    ลืมไปเลยกับคำที่เขาบอกว่ามันยาก มันทำไม่ได้ มันจบยาก

    แล้วทำไม เมื่อคนทำจริง เอาจริง ตั้งใจจริง ถึงทำได้ ...

    เราพบว่า คนที่พูดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ไม่เคยเรียน ไม่เคยทำ ฟังเขามา คิดเอาเอง แล้วนำมาบอกเล่าต่อๆ เนื่องด้วยอายุที่มากกว่า ผ่านโลกมาเยอะกว่า จึงมีคนเชื่อถือ ว่าเป็นเช่นนั้น

    เหตุใดพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงสอนว่า อย่าเชื่อในคำพูดบอกเล่า ... เราเข้าใจแล้ว

    ผู้ที่พูดมานานแสนนาน ที่ไม่เคยได้ทำ หรือทำไม่ถูกวิธี มิใช่จะถูกเสมอไป

    จงเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองทำ เมื่อสิ่งที่ทำนั้นมันถูกหลัก มีครูผู้สอนที่ถูกต้อง แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ ...
    มีเหตุที่ทำไม่ได้ คือ เจ้าไม่ทำจริง ละทิ้งไปเสียก่อน หมดกำลังใจในตนเองเสียก่อน เพียรไม่พอ ...

    จิตของเรา อยู่ในกายที่ต่างกัน ไม่ว่าจะสงฆ์ คนพิการ คนธรรมดา ยาจก มหาเศรษฐี ราชสกุล หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ...
    ล้วนแล้วแล้วแต่เป็น จิตเช่นกัน
    จิตมิได้แบ่งชนชั้น วรรณะ .. จิตผู้ดีจะเจริญ จิตมีเงินจะบรรลุธรรม หาได้เป็นเช่นนั้นไม่

    จิตที่จะดีได้ ต้องมีการฝึก ... เพื่อให้แจ้ง ให้พ้นจากสิ่งยึดเหนี่ยวทั้งมวล

    อย่ามองเพียงรูปกายภายนอกที่เราเห็นด้วยตาเนื้อนะ ...
    จิตอยู่ข้างใน เรามิอาจเห็นได้ ต้องใช้การสัมผัสรับรู้ทางจิตด้วยกันเท่านั้น ...

    ในเมื่อ จิตก้อมี 1 ดวงเท่ากัน ...
    ความตั้งใจ ถ้ามีเท่ากัน ...
    ศรัทธา ถ้ามีเช่นกัน ...
    วิธีการ ก้อมิต่างกัน ...

    แล้วเหตุใด เจ้าจึงเชื่อว่า จะทำไม่ได้ ... โปรดพิจารณาด้วยปัญญานะ

    ..... วันนี้ เราไม่อยากบวชแล้ว(ไม่ต้องถามเราว่าทำไม เจ้าจงไปหาคำตอบในจิตเจ้าเองนะ)


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  9. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ทางสายกลาง ...

    เราได้ยินมาเสมอๆว่า พระท่านให้เราเดินทางสายกลาง ...
    พวกเราๆ ก้อมานั่งขยายความ มันกลางยังไงละ
    ท่านพูดง่ายนะเนี่ย แต่ทำยากอะ ...

    คำว่ากลางนั้น ... กลางจิตกลางใจเจ้านั่นแหละ
    เมื่อทำสิ่งใดแล้ว ... ใจเครียด กดดัน นั่นแหละ "ตึง"
    เมื่อทำแล้ว ... ใจคลาย ไม่มีความกระตือรือร้น ทำไป สักแต่ทำ ทำมั่ง พักมั่ง(เยอะหน่อย) นั่นแหละ "หย่อน"

    สายกลางนั้น ต้องเดินคู่กับ ความสม่ำเสมอ นะ
    มิใช่ เยิ่นเย้อ + สม่ำเสมอ .... ก้อไม่คืบ
    มิใช่ ตึง + ทำเป็นพักๆ โหมเป็นช่วงๆ .... นี่ ก้อไม่คืบ

    การพักนั้น มิใช่พักแล้วพักเลยนะ ... ต้องพักพร้อมพิจารณาด้วย ว่า ...
    เหตุใดเราเหนื่อย เราล้า เราท้อ ... ต้องหมั่นพิจารณา ใช้สติปัญญาอยู่เสมอๆ
    หมั่นทบทวนตนเสมอๆ แล้วจะได้ไม่เสียเวลา

    แต่คนหมู่มาก มักพักแล้ว พักเลย ... ยิ่งสิตอยู่ไกล พักนานไป กลายเป็นเคยชิน
    ทำไป พักไป หวังไว้ว่า สักวัน มันจะถึง ...

    ทำไป พักไป มันก้อได้ระดับนึงนะ เราไม่เถียง แต่จะให้สุดทางนั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอน เรากล้าฟันธง

    หมายของสูง แต่มิทุ่มเท(ตามกำลังแต่พอดี) มิมีความเพียร มิทำให้สม่ำเสมอ แล้วจะสำเร็จได้อย่างไร ...

    จิตนี้ ต้องการความต่อเนื่องของสมาธิ(ฌาณ) ยิ่งนัก ...
    ถ้าท่านทำเพียงแค่ต้องการ ให้จิตสบายๆ มิได้หมายสูง ... ทำไป พักไป สบายๆ ก้อพอแล้ว
    แต่ถ้าท่านต้องการให้จิตหลุดพ้น ไม่ต้องการกลับมาเกิด ... จิตต้องทรงสมาธิ ทรงฌาณต่อเนื่อง ถึงจะสำเร็จได้ ... ไม่มีลูกฟลุ้ค ลูกเห็นใจจากกรรมการ

    เพราะสิ่งที่ท่านทำ กรรมการคือจิตท่านเอง จิตจะถึงเอง มิมีผู้ใดตัดสินให้
    เพราะฉะนั้น โกงกันมิได้ ถึงโกหกใครๆได้ แต่จิตของท่านโกหกจิตตนเองมิได้ดอกนะ

    จิต นี้ ฝึกได้ พัฒนาได้ ด้วยสิ่งเดียว คือ วิปัสสนา สมาธิ เพื่อให้หลุดพ้น
    มิได้ ฝึกด้วย เงิน ทอง สิ่งรอบกาย ความรู้ทางโลก ...

    เมื่อรู้แก่นแล้ว รู้ทางแล้ว

    แล้วท่านจะช้าไปใย ... รอให้กายนี้แตกดับไปก่อนหรือ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  10. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    จะว่างถึงไหน ...

    ครูบอกให้ ทำจิตให้ถึงความว่าง ทำจิตให้นิ่ง ... จิตจะได้ก้าวหน้า
    แอบงงกันละสิ ... ว่างยังไง (แต่มิกล้าถามครูใช่ไหม)

    เราคิดเสมอว่า เรายกแล้ว จิตเรานิ่งแล้ว ว่างแล้ว ...

    แต่เราขอเตือนว่า ผู้ที่หยุดนิ่ง คือ ผู้ที่ ตายแล้วเท่านั้น
    จิตก้อเช่นกัน จิตที่หยุดนิ่ง ไม่พิจารณาในจิตตน คือ ดวงจิตที่ประมาทแล้ว

    ยิ่งสูง ยิ่งต้องพิจารณา ยิ่งต้องใช้ปัญญา ใช้ความละเอียดยิ่งขึ้นไป

    สิ่งที่อยู่ในความว่าง ที่เจ้าเห็นว่าว่างนั้น ... ว่างจริงแล้วหรือ

    แล้วเหตุใด ทั้งพระพุทธองค์ พระอริยะ พ่อแม่ครุบาอาจารย์ทางธรรมนั้น ยังคงต้องวิปัสสนา พิจารณาจิตตนอยู่เสมอๆ

    ความว่างในความละเอียดนั้น หาได้ง่าย ...
    ความว่างใน อนัตตา นั้น หาได้ยาก แต่ใช่ว่าจะไม่มี ...

    จงใช้ ความนิ่งของดวงจิตอันเกิดจากการทรงฌาณ จากสมาธิ พิจารณาดูเถิด ...

    แล้วเจ้าจะพบว่า .... ว่างจริงๆนั้น มันจะไปถึงไหน

    ไม่มีใครตอบได้ นอกจาก เจ้าเอง
    เพราะนี่คือจิตเจ้าเอง มิใช่ จิตเรา

    ความว่างจากการถามนั้น มิได้ ถ่องแท้ เท่าว่างจากปัญญาหรอกนะ
    อย่าถามมากนัก ให้พิจารณาให้มาก
    วันนึงคนที่เจ้าเฝ้าแต่จะถาม เค้าก้อต้องตาย แล้วเจ้าจะไปถามใคร

    จิตเจ้าต้องเติบใหญ่ได้ด้วยตนเองนะจิตบุญเอ๋ย ...
    อย่าผูกติด หรือรอคอยครูอยู่ร่ำไป ... ไม่เที่ยงนะ ไม่แน่นอนนะ

    เราเตือนไว้ ... ถ้าวันนึงเจ้าไม่มีใครให้ถาม แล้วเจ้าจะยืนหยัดได้หรือไม่ โปรดใช้ปัญญา


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  11. เมธญา

    เมธญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +1,584
    "พระพุทธเจ้าแท้ ธรรมแท้ อยู่ที่ใจ
    การอุปฐากใจตัวเอง คือการอุปฐากพระพุทธเจ้า
    การเฝ้าดูใจตัวเองด้วยสติปัญญา
    คือการเข้าเฝ้าพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง
    "

    _/\__/\_ _/\_ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
     
  12. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    สาธุ สาธุ สาธุ.....
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลจิต ดลใจ ให้เพ็ญ2 ออกมาเตือนพวกเราๆท่านๆ หรือเปล่าหนอ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2012
  13. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่เอาธรรมะดีๆมาให้ได้ศึกษาและทบทวน. และกระตุ้นให้ผู้ที่ได้อ่านเช้านี้ตื่นขึ้นมาใจจดจ่อว่าเราจะได้อะไรดีๆ แต่ตอนนี้ได้คำตอบแล้ว คือได้ธรรมะจาก ครูอาจารย์ ผู้ที่บรรลุแล้ว ทุกๆธรรมะมีค่าเหลือล้น. อ่านแล้วอ่านอีก ไม่มีข้อสงสัยสักข้อเลยค่ะ ความ สุขก็ไม่ต้องไปหาไกล เพียงแต่เราเข้าใจในธรรมะ เพราะว่าท่านตั้งใจนำมาให้เพื่อการศึกษา และนำมาด้วยปัญญาล้วนๆเลย ขอน้อบรับไว้ด้วยใจจริง.ขอขอบพระคุณผู้ที่เมตตานำมาเขียน. ทุกๆธรรมะมีประโยชน์มากค่ะ ถ้าผู้อ่านทุกๆท่านนำมาศึกษา และพิจราณาให้ถี่ถ้วนทุกถ้อยคำเป็นจริงทั้งนั้นเลย.ขอบพระคุณกับท่านผู้เขียนอีกครั้ง และขออนุโมทนากับท่าน. และทุกๆท่านที่มาอ่านและหวังว่าธรรมะนี้คงเป็นธรรมะสว่างใจให้กับทุกๆท่านนะคะ. สาธุ อนุโมทามิ.
     
  14. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    มรรคผลนิพพานมีอยู่..
    แต่สิ่งเหล่านั้นเกิดจากการปฏิบัติ เกิดจากการทรมาน
    กล้าหาญ กล้าฝึก กล้าหัด กล้าคิด กล้าแปลง กล้าทำ

    การทำนั้น ทำอย่างไร..

    ท่านให้ฝืนใจตัวเอง ใจเราคิดไปทางนี้ ท่านให้ไปทางโน้น
    ใจเราคิดไปทางโน้น ท่านให้ไปทางนี้

    ทำไมท่านจึงให้ฝืนใจ..
    เพราะใจถูกกิเลสเข้าพอกเต็มที่แล้ว
    มันยังไม่ได้ฝึกหัดดัดแปลง ยังไม่เป็นศีลเป็นธรรม
    ใจมันยังไม่แจ้ง จะไปเชื่อมันได้อย่างไร

    กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย คือนักปฏิบัติ
    กินมาก นอนมาก พูดมาก คือคนโง่

    หลวงปู่ชา สุภัทโท
     
  15. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "..ศีลทั้ง ๕ ข้อนี้ จะเป็นข้อหนึ่งข้อใดก็ตาม ถ้าเราละเมิด นั่นก็หมายความว่า เราเปิดช่องของอบายภูมิ หรือเปิดทางเดินไปสู่อบายภูมิ มีเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน การเจริญกรรมฐานของบรรดาพุทธบริษัท ก็ไม่มีผล

    เพราะฉะนั้น ญาติโยมพุทธศาสนิกชน ที่คิดว่าจะเจริญพระกรรมฐานให้มีผล วันนี้และตลอดไปในชีวิต จงตั้งจิตคิดว่านับแต่นี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ตลอดชีวิต.."

    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
     
  16. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ทางชีวิตที่ปลอดภัย
    การปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของชีวิต เป็นภารกิจที่มีความสําคัญสูงสุดเพื่อขีวิต ชีวิตที่ปลอดภัยเป็นชีวิตที่มีคุณประเสริฐสุด เพราะเป็นที่มาแห่งความสงบสุข อันเป็นยอดปรารถนา ถึงความปลอดภัยเมื่อใดก็เป็นอันถึงจุดหมายที่พึ่งประสงค์เมื่อนั้น เพราะความปลอดภัย คือความไร้ปัญหา ภัยของชีวิตได้แก่
    ๑. ความเศร้าโศกเสียใจ ๒.ความร้องไห้บ่นเพ้อรําพัน ๓.ความลําบากกาย
    ๔.ความลําบากใจ ๕.ความแค้นใจ หรือ ความชํ้าใจ
    ซึ้งแต่ละอย่างย่อมทําให้ชีวิตเดือดร้อนกระวนกระวาย จึงนับเป็น"มหาภัยของชีวิต"
    เพราะเป็นที่หวาดกลัวขอใชีวิตยิ่งนักภัยชีวิตทั้ง ๕ ยอมมาจาก
    ๑.ความตองพลัดพรากจากคนที่เรารัก จากของรัก และจากสิ่งที่เรารัก
    ๒.ความต้องคลุกคลีอยู่กับคนที่เราเกลียด ของที่เราเกลียด และของที่เราเกลียดชัง
    ๓.ความผิดหวัง หรือปรารถนาสิ่งใด แล้วไม่ได้สิ่งนั้น ถ้าไม่มีความรัก ไม่มีความเกลียด ไม่มีความหวังภัยชีวิตทั้ง๕ ก็ไม่มี ดังนั้นทางที่ดีก็คือ การป้องกันความรัก ความเกลียด ความหลงไม่ให้เกิดขื้นในความนึกคิด หรือความรู้สึกก็หมดภัย โดยการศึกษาธรรมดาของสัตว์โลกให้เกิดความเข้าใจโดยชัดเจนจนเกิดตัวปัญญาว่า
    ๑.สัตว์โลกถูกความชรานําไปไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน ไม่คงที่
    ๒.สัตว์โลกไม่มีความเป็นใหญ่ในตัวเอง ไม่มีใครป้องกันตัวต้องเจ็บ ต้องตายที้งหมด
    ๓.สัตว์โลกไม่มีอะไรเป็นของตนเองเลย ต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด
    ๔.สัตว์โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่มพอเป็นธาตุของตัณหา
    คําว่า"สัตว์โลก"หมายถึงบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องอยู่กับโลก คือยังติดโลก ยังยึดโลก
    โลก คือ สิ่งลักษณะเสื่อมโทรม ติดโลกคือติดความเสื่อมโทรม คือความเสื่อมโทรมคือ สภาวะที่เปลี่ยนแปลงปรวนแปร เกิดขื้น คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความไม่มีอะไรเหลื่อในที่สุด ซึ้งอาการเหล่านี้มีแก่สิ่งทั้งปวงในโลกนี้ทั่วถึงกันเท่าเทียมกัน
    ไม่มีใครยกเว้นใคร ไม่ยกเว้นสิ่งใด ท่านจึงเรียกว่า สามัญลักษณะ ซึ่งแปลว่า
    ๑.อนิจจัง ความไม่แน่นอน ๒.ทุกขัง ความไม่คงที่ ๓.อนัตตา ความไม่ใช่ของเรา เมื่อเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ เรียกว่า "เห็นความเป็นจริง"ของโลกด้วยสิ่งประเสริฐ คือ "ปัญญา"และผลที่ตามมาก็คือไม่มีอะไรที่น่ารัก ไม่มีอะไรที่น่าเกลียด
    ไม่มีอะไรที่น่าหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามสภาพธรรมดา เมื่อถึงคราวเกิดขื้น เมื่อคราวดับไปก็ดับไม่มีใครทําให้มันเกิด ไม่มีใครทําให้มันดับ มันเป็นปัจจัยตามธรรมชาติทําให้เกิด ทําให้ดับ ในที่สุดถ้าเรา เข้าใจอยู่อย่างนี้ เราก็จะไม่ต้องบ่นรําพัน ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจ ไม่ต้องลําบากกาย ลําบากใจ ก็เข้าถึงซึ้ง"สัจจธรรม"
    ก็ขอให้ผู้อ่านทุกๆท่านจงเป็นผู้เข้าถึงซึ้ง "สัจจธรรม" ด้วยเทอญ.

    นี่คือคติธรรมหลวงปู่จรัญ ฐิตธมฺโม หรือ (พระธรรมสิงหบุราจารย์)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2012
  17. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขออนุญาติ อันเชิญ ธรรมะของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน. อริยสัจ 4 ที่เป็นที่รวมทั้งหมดของ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา เป็นปัญญาชั้นละเอียดแล้วทำไมจะไม่ทราบเรื่อง อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ล่ะ ทราบหมดทุกอย่างเลย นี่ล่ะจึงเรียกว่าโรงงานอันสำคัญที่ผลิตความบริสุทธิ์ไม่ว่าของใคร นับแต่พระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งถึงสาวกองค์สุดท้าย คือ อริยสัจ นี้แล เป็นสถานที่หรือโรงงานที่ผลิตความบริสุทธิ์แห่งใจขึ้นมา ขึ้นมาจากที่นี่ปราศจากไม่ได้. ผู้ที่พิจราณาให้ถึงนิพพาน ต้องเดินเหยียบย่างไปในไตรลักษณ์ คือพิจราณาไปกับทุกเรื่องๆทุกขัง เรื่องอนิจจัง อนัตตา และอัตตา ซึ่งเป็นกองแห่งกิเลสสุมเต็มอยู่ในนั้น ให้ถอนอัตตานุทิฎฐิ คือ ความเห็นว่าเป็นตนเป็นตัวเหล่านี้ออกเสียได้ จิตจึงจะหลุดพ้นเป็นนิพพาน เพราะฉนั้นพระนิพพานจึงเป็นพระนิพพานเท่านั้น เป็นอัตตาเป็นอนัตตาไม่ได้ เพราะอัตตากับอนัตตานั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน.ดิฉันได้อ่านธรรมะนี้เพื่อทำความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและถูกต้องอย่างไม่มีอะไรสงสัยจึงได้นำมาเขียนลง. เพราะหลวงตาท่านได้เมตตาเทศฝากไว้ให้กับลูกหลานของท่าน เพื่อที่จะได้รู้แจ้งถึงอริยสัจ 4 ทั้งหมดอย่างถูกต้อง.ขอฝากธรรมะนี้ให้ท่านทั้งหลายได้พิจราณาโดยทั่วกัน หวังว่าท่านผู้อ่านธรรมะของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนนี้ คงได้รับความสว่างในธรรมทุกๆท่าน. ขอกราบขอบพระคุณหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนด้วยเศียรเกล้า.ขอให้ผู้อ่านจงเจริญในธรรมนะคะ อนุโมทนาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  18. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    คลายเครียดกับธรรมะสนุก ๆ

    [​IMG]
     
  19. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  20. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...