ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 มิถุนายน 2010.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    หลานที่บ้านก็เป็นไข้หยุดเรียนเหมือนกัน
    ไม่รู้จะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภายในของร่างกายรึเปล่า
    รหัสภายในร่างกายของแต่ละคนอาจถูกเร่งก็ได้ครับ

    วันนี้เป็นวันสิ้ดสุดความเป็นทวิภาวะแล้ว มิติที่ 3 กำลังจางหายไป
    แต่มุมมองสามมิติของคนทั่วไปคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
    เพราะจุดสนใจมันอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงทางพลังงานมากกว่า
    โลกเก่ากำลังสั่นสะเทือน เพราะเรากำลังเปลี่ยนแปลงโลกนี้ด้วยกันอยู่
    สำหรับเราก็เพียงแค่มีความไว้วางใจเหมือนเด็กทารกที่กำลังเรียนรู้ที่จะเดิน
    ทำไห้นึกถึงภาพลูกนกในรังที่กำลังกางปีกเตรียมบินขึ้นขึ้นสู่ท้องฟ้าขึ้นมาเลย :cool:

    เช้านี้ดวงอาทิตย์ใหญ่ขึ้นแค่ไหน่ไม่ทันได้มอง
    ต้องถามตั้งโอ๋ เห็นเพ่งพ่อพระอาทิตย์แต่เช้า พ่อเป็นไงบ้างเอ่ย? ^^
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • angels.jpg
      angels.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.1 KB
      เปิดดู:
      63
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2012
  2. tangOAH

    tangOAH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,183
    ค่าพลัง:
    +5,528
    ตอนแรกก็ยุ่งๆวันนี้แม่ไปหาหมอที่วชิระค่ะ เกือบไม่ได้เพ่งซะแล้ว
    แต่พอเหลือบไปเห็นนึกขึ้นได้เลยคิดว่าจะเพ่งซะหน่อย
    แต่พอเพ่งแล้วก็เพลินค่ะ เพ่งได้นานกว่าปกตินิดหน่อย
    แสงท่านก็แรงเจิดจ้าไม่เหมือนบางวันที่ดูมัวสลัวค่ะ
    แต่จะถามว่าดวงใหญ่กว่าปกติมั้ยก็ไม่แน่ใจ แต่เอาเป็นว่าแสงท่านเจิดจ้ามากดีกว่าค่ะ
    หวังว่าการเพ่งพ่อวันนี้ คงจะกระตุ้นให้ ดีเอ็นเอ เปลี่ยนไปอย่างคนอื่นเค้าบ้างน๊อะ อิอิอิ

    :cool::cool::cool:


    อือค่ะ แล้วหลังจากเพ่งพ่อแล้ว
    ก็เลยแวะอ่านข้อความพี่มี๊ดอ่ะ เลยเข้ายูสกดอนุโมทนาให้แกค่ะ
    แต่ก็แปลก มีเพลงขึ้นมาด้วย เป็นภาษาอังกฤษ
    ฟังแล้วดูกระตุ้นความรู้สึกร่วมแรงร่วมใจยังงัยไม่รู้ค่ะบอกไม่ถูกจริงๆ(ไม่เก่งภาษาฟังไม่รู้ความหมายหน่ะค่ะ)
    ตอนแรกก็นึกว่าพี่มี๊ดแก แปะไว้พร้อมข้อความ แต่พยายามไล่ดู ก็ไม่เห็นจะมีเลยที่หน้านี้หน่ะ

    แล้วมันมาจากไหนน้อ(น่าปละหลาดใจมากมากค่ะ) อิอิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 ธันวาคม 2012
  3. pannatee

    pannatee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +65
    ....................................
    ขอบคุณมากค่ะ สับสนและสงสัยมานาน อ่านแล้วกระจ่างขึ้นเยอะเลย
     
  4. แม่นายมล

    แม่นายมล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    1,069
    ค่าพลัง:
    +6,258
    แสงอาทิตย์เจิดจ้าตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
    ฟ้าก็เคลีย ไม่มีมีเมฆบดบังแสง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • sun11:12.jpg
      sun11:12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      623.3 KB
      เปิดดู:
      68
    • Sun12:12.jpg
      Sun12:12.jpg
      ขนาดไฟล์:
      650.5 KB
      เปิดดู:
      66
  5. Mr empty

    Mr empty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +3,374
    (ตอนต่อจากข้อความที่ 6483 หน้าที่ 325)

    TRIP TO THE MOTHERSHIP PART XII
    MYTRE AND KEPIER 9


    By Suzanne Lie – DECEMBER 7, 2012
    http://suzanneliephd.blogspot.co.uk/



    Time to Remember Bi-location

    MYTRE SPEAKS:

    After the meeting closed, Kepier and I went to our own quarters, supposedly to sleep. However, as I walked through the Corridor to my quarters, I knew that I could not sleep. Too many questions were floating through my mind. The main question was, if I could bi-locate, why had I not gone to see my family? I then realized that I had believed that I could not bi-locate, so I never tried. Why had the Arcturian not told me? I guess this was one of those things that I had to find out for my self.


    หลังจากการพบปะจบลง, Kepier และผมก็กลับมาที่ส่วนของเราเอง, หวังว่าจะได้นอนหลับ. อย่างไรก็ตาม, ขณะที่ผมเดินผ่านอุโมงค์มาที่ส่วนของผม, ผมรู้ว่าผมไม่สามารถหลับได้. มีคำถามมากมายเกินไปล่องลอยอยู่ในจิตใจของผม. ปัญหาหลักก็คือ, ถ้าหากผมสามารถอยู่ในสองสถานที่พร้อมกันได้, ทำไมผมไม่กลับไปดูครอบครัวของผมล่ะ? หลังจากนั้นผมก็ตระหนักว่า ผมมีความเชื่อว่าผมไม่สามารถอยู่ในสองสถานที่พร้อมกันได้, ดังนั้นผมจึงไม่เคยพยายาม. ทำไมชาวอาร์คทูเรี่ยนจึงไม่บอกผม? ผมเดาเอาว่านี่เป็นหนึ่งในหลายๆสิ่งที่ผมต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง.

    I had created such an emotional wall around my abandonment of my family that I was unable to believe there was a solution for this problem. I thought about the 4D Visitors who followed the Arcturian. I had communed with many of them and knew that they, too, could not believe in bi-location. Therefore, the thought of leaving their loved ones had halted their ascension. But here I was, already resonating to the fifth dimension, and I still had not figured out that my own beliefs had stopped me.


    ผมได้สร้างกำแพงทางอารมณ์ไว้รอบๆการพลัดพรากจากครอบครัวของผม ซึ่งผมไม่สามารถเชื่อได้ว่ามันมีทางออกสำหรับปัญหานี้. ผมคิดเกี่ยวกับผู้มาเยือนมิติที่สี่ ที่ตามชาวอาร์คทูเรี่ยนไป. ผมได้สนทนากับพวกเขาหลายคนและรู้ว่าพวกเขาก็เช่นกัน ไม่สามารถเชื่อในการอยู่ในสองสถานที่พร้อมกัน. ดังนั้น, ความคิดเกี่ยวกับการจากคนที่พวกเขารัก ได้ทำให้การยกระดับของพวกเขาชะงัก. แต่ที่นี่ ที่ผมเป็นอยู่, มันสะท้อนกับมิติที่ห้าอยู่แล้ว, และผมก็ยังคงไม่สามารถบ่งชี้ออกมาได้ว่า ความเชื่อของผมนั่นเองที่หยุดยั้งผม.

    “Perhaps it is because you judge yourself.” I heard.


    “บางทีมันเป็นเพราะคุณตัดสินตัวคุณเอง”. ผมได้ยิน.

    Was that my inner voice or a message from the Arcturian?

    นั่นมันเป็นเสียงจากภายในของผมเอง หรือเป็นข้อความที่ส่งมาจากชาวอาร์คทูเรี่ยนกันแน่?

    “Is there a difference?”

    แล้วมันต่างกันตรงไหน?

    Again, the inner voice originated from what appeared to be my own thoughts, but it appeared to be coming from the Arcturian. The Arcturian had spoken of higher frequencies and parallel reality expressions of our SELF. Kepier and I had discovered that we were parallel expressions of our greater SELF. Was this great SELF the Arcturian who had been my guide and teacher?

    อีกครั้ง, เสียงที่ออกมาจากในภายในที่ดูเหมือนเป็นความคิดของผมเอง, แต่มันดูเหมือนว่ามาจากชาวอาร์คทูเรี่ยน. ชาวอาร์คทูเรี่ยนได้พูดในความถี่ระดับสูง และความเป็นจริงคู่ขนานของตัวตนของพวกเรา. Kepier และผมค้นพบว่าพวกเราเป็นตัวตนคู่ขนานของตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่าของพวกเรา. หรือนี่จะเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่า ชาวอาร์คทูเรี่ยนผู้เป็นผู้นำทางและครูของผม?

    “What do you think?” spoke the voice within.

    “แล้วคุณคิดว่ายังไง?” เสียงจากภายใน.

    Instinctively, I headed for the holosuite so that I could meditate. I was tired and my energy was low. I needed to raise my consciousness to more completely understand what was happening inside my mind.

    โดยสัญชาตญาณ, ผมหันไปที่ชุดสามมิติเพื่อผมจะได้ทำสมาธิ. ผมเหนื่อยและระดับพลังงานของผมก็ลดต่ำลง. ผมจำเป็นต้องยกระดับความตระหนักรู้ของผม เพื่อให้เข้าใจสมบูรณ์มากขึ้นในสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของผม.

    “Is it just inside your mind?”

    “มันอยู่ในจิตใจของคุณหรือ”?

    Whoever asked the question, it was valid of course, it was not just my mind. It was my heart and my entire form. In fact, the new perspective of reality that the Arcturian shared with our group was gently infusing into my Being. Was it awakening me to something I had always known but had long forgotten? But when did I forget, and why?


    ใครก็ตามที่ถามคำถาม, มันมีเหตุผลแน่นอน, มันไม่ใช่จิตใจของผม. มันคือหัวใจของผมและร่างกายทั้งกายนี้ของผม. อันที่จริง, มุมมองใหม่ของความเป็นจริงที่ชาวอาร์คทูเรี่ยนแบ่งปันกับกลุ่มของพวกเราได้เข้ามาสู่ตัวผมอย่างสุภาพ. มันกำลังปลุกผมสู่บางสิ่งที่ผมรู้อยู่เสมอแต่ได้ลืมไปนานแล้ว? แต่ว่าผมลืมมันเมื่อไหร่, และทำไม?

    I think the “when” was during my many years of being a warrior during the Galactic Wars, as well as being a Protector of my people. The War had raged on for my entire life, at least for this entire life. I am now beginning to understand that life has a much greater meaning than I had previously thought.

    ผมคิดถึงคำว่า “เมื่อไหร่” เป็นช่วงหลายปีของผมที่ผมเป็นนักรบในสงครามแกแลกติก, เช่นเดียวกับการเป็นผู้ปกป้องประชาชนของผม. สงครามโหมกระหน่ำชีวิตผมทั้งชีวิต, อย่างน้อยก็ทั้งชีวิตนี้. ขณะนี้ผมเริ่มเข้าใจว่าชีวิตมีความหมายมากกว่าที่ผมเคยคิด.

    My pondering was interrupted by my arrival at the holosuite. I entered to find my program already playing. Did the Arcturian start the program or was it started with my mind control that had been steadily increasing?

    การครุ่นคิดของผมหยุดชะงักลงเมื่อผมมาถึงชุดสามมิติ. เมื่อผมเข้าไปก็พบว่าโปรแกรมของผมกำลังเล่นอยู่แล้ว. ชาวอาร์คทูเรี่ยนเป็นคนเริ่มมัน หรือมันเริ่มด้วยการควบคุมทางจิตใจของผมที่กำลังทำได้ดีขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ?

    “Is there a difference?”

    “แล้วมันต่างกันตรงไหน?”

    OK, I think that I can no longer ignore the message. Obviously, the Arcturian is a Higher Expression of my SELF, but why is it telling me now?

    ผมคิดว่าผมไม่สามารถเพิกเฉยต่อข้อความนี้ได้อีกต่อไป. ชัดเจนว่า, ชาวอาร์คทูเรี่ยนก็คือตัวตนที่สูงกว่าของผม, แล้วทำไมมันจึงบอกผมตอนนี้? (มัน เป็นคำสรรพนามที่ไม่สุภาพ แต่มีข้อความก่อนหน้านี้ที่อธิบายเรื่องนี้แล้ว ผมจำไม่ได้ว่าข้อความไหน ใครสงสัยเชิญหากันเอาเอง)

    “There is only NOW.”

    “มีเพียงขณะนี้เท่านั้น”.

    Yes, that is true. I am beginning to understand there is only NOW—I think. Sounds good, but how does “only now” work? If there is only NOW, then what are all the memories of my past?

    ใช่, มันเป็นความจริง. ผมเริ่มเข้าใจว่ามันมีเพียงขณะนี้เท่านั้น—ผมคิด. ฟังดูดี, แต่ว่า “เพียงขณะนี้” ทำงานอย่างไร? ถ้าหากมีเพียงขณะนี้, แล้วอะไรที่เป็นความทรงจำในอดีตของผม?

    “The past is an illusion.”

    “อดีตคือมายา”.

    Of course, the NOW is infinite and illusion is created for a reason. I am wondering if I can determine the reason why I have created the illusion of a past?

    แน่นอน, ขณะนี้ไม่มีที่สิ้นสุดและมายาการก็สร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลบางอย่าง. ผมกำลังสงสัยว่าถ้าหากผมสามารถพิจารณาถึงเหตุผล ว่าทำไมผมจึงสร้างมายาการของอดีต?

    “Try it.”

    “ลองพยายามดู”.

    Is this me talking to the greater ME an illusion?

    สิ่งที่ผมกำลังพูดกับผมที่ยิ่งใหญ่กว่าเป็นมายาการหรือเปล่า?

    “The me is an illusion, but the Greater ME is infinity.”

    “ผมคือมายาการ, แต่ผมที่ยิ่งใหญ่กว่าไม่มีที่สิ้นสุด”.

    Yes, and truth is infinite, whereas illusion is created to suit a certain timeline. Therefore I created the illusion of being Mytre. I create all the illusions that I believe were my real life when in fact that “real life” was just an illusion.

    ใช่, และความจริงไม่มีที่สิ้นสุด, ขณะที่มายาการถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับเส้นเวลาหนึ่งๆ. ดังนั้น ผมได้สร้างมายาการของการเป็น Mytre. ผมสร้างมายาการทั้งหมดที่ผมเชื่อว่าเป็นชีวิตจริงของผม ในขณะที่ “ชีวิตจริง” นั้นเป็นแค่มายาการ.

    “How do you feel about that conclusion?”

    “แล้วผมจะรู้สึกถึงข้อสรุปได้อย่างไร”?

    Glad you asked. I think I am a little angry that I created such a difficult life. Why would I choose to do that?

    ดีใจที่คุณถาม. ผมคิดว่าผมโกรธเล็กน้อยที่ผมสร้างชีวิตที่ยากลำบาก. ทำไมผมเลือกที่จะทำอย่างนั้น?

    “Did you learn very much?”

    “คุณได้เรียนรู้อย่างมากหรือเปล่า”?

    Well, yes, I guess I learned a lot. But, I only started learning when I met Mytria. Before that my life was a cycle of repeats.

    ใช่, ผมเดาเอาว่าผมได้เรียนรู้มากมาย. แต่, ผมเพียงแค่เริ่มต้นเรียนรู้เมื่อผมพบ Mytria. ก่อนหน้านั้นชีวิตของผมก็วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก.

    “How did Mytria influence your life?”

    “Mytria มีอิทธิพลต่อชีวิตคุณอย่างไร”?

    I had to think before I could answer that question. That is when I realized that I was talking out lout to what appeared to be my self, or perhaps it is my SELF. Now I understand why I had to come to the holosuite. How many decisions had I made in my life without knowing why I had made them?

    ผมจำเป็นต้องคิดก่อนที่ผมจะสามารถตอบคำถมนี้ได้. เมื่อผมตระหนักว่าผมกำลังพูดออกไปอย่างโง่ๆต่อสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นตัวผมเอง, หรือบางทีมันคือตัวตนของผม. ขณะนี้ผมเข้าใจว่าทำไมผมต้องมาที่ชุดสามมิติ. มีการตัดสินใจมากมายแค่ไหนที่ผมทำขึ้นในชีวิต โดยไม่รู้ว่าทำไมผมจึงตัดสินใจอย่างนั้น?

    I do not know why I was so attracted to Mytria, except that it felt like I could not live without her. It felt like Mytria completed me in some way. I also knew I completed her. But now we were apart and I missed her every minute of our separation.


    ผมไม่รู้ว่าทำไมผมจึงสนใจ Mytria มาก, เว้นแต่ว่ามันรู้สึกเหมือนผมไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากเธอ. มันรู้สึกเหมือน Mytria ทำให้ผมสมบูรณ์ในบางหนทาง. ผมก็รู้เช่นกันว่าผมทำให้เธอสมบูรณ์ด้วย. แต่ขณะนี้พวกเราต้องแยกจากกันและผมคิดถึงเธอทุกๆนาทีที่จากกัน.

    Could I bi-locate to be with her? Then I could complete my studies here on the Ship and assist my family and my people to ascend.

    ถ้าผมสามารถไปอยู่กับเธอได้? ผมก็จะทำการเรียนรู้ของผมให้สำเร็จสมบูรณ์ที่นี่บนยาน และช่วยเหลือครอบครัวของผมและประชาชนของผมให้ยกระดับ.

    “Can you remember how to bi-locate?” spoke the inner Arcturian ME.

    คุณจำได้มั้ยว่าการอยู่ในสองสถานที่พร้อมๆกันมีวิธีการทำอย่างไร? เสียงพูดของจากภายในของชาวอาร์คทูเรี่ยนผม.

    “Yes, I think I can. I mean, if I can believe I can bi-locate then I can remember how to do it. That is how it works, right? First you have to believe, and then you can remember?” Now I really am talking to myself.

    “ใช่, ผมคิดว่าผมทำได้. ผมหมายความว่า, ถ้าหากผมสามารถเชื่อว่าผมสามารถอยู่ในสองสถานที่พร้อมๆกันได้ ผมจะสามารถจดจำวิธีทำมันได้. นั่นคือวิธีทำ, ใช่มั้ย? เริ่มแรกคุณจำเป็นต้องเชื่อ, และหลังจากนั้นคุณจะสามารถจำได้?” ขณะนี้ผมกำลังพูดกับตัวผมเองจริงๆ.

    “Try it.”

    “ลองดู”.

    How do I try to believe that I can do something that, to the knowledge of my present self, I cannot remember doing?

    ผมจะพยายามเชื่อว่าผมสามารถทำบางอย่างได้อย่างไร, เนื่องจากความรู้ที่ผมมีในปัจจุบัน, ผมไม่สามารถจดจำวิธีการได้?

    No answer! I was on my own for this one. Well, I do remember the rule of:
    If you can’t remember something, raise your state of consciousness to a frequency of your SELF that can remember.


    ไม่มีคำตอบ! ผมต้องทำด้วยตัวผมเองสำหรับสิ่งนี้. ใช้, ผมจำกฎได้:
    ถ้าหากคุณไม่สามารถจดจำบางสิ่งได้, ให้ยกระดับสถานะของความตระหนักรู้ของคุณขึ้น สู่ความถี่ของตัวตนของคุณที่สามารถจำได้.


    I sat down in the wooden chair by the waterfall, overlooking the valley. However, this time I wanted an ocean, so that is what I saw. If it was that easy to change the hologram with my mind, then how difficult could it be to remember the frequency of my SELF that knew how to bi-locate?

    ผมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ข้างน้ำตก, มองลงไปในหุบเขา. อย่างไรก็ตาม, เวลานี้ผมต้องการมหาสมุทร, ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสิ่งที่ผมเห็น. ถ้าหากมันง่ายที่จะเปลี่ยนโฮโลแกรมด้วยจิตใจของผม, แล้วมันจะยากแค่ไหนที่มันจะจดจำความถี่ของตัวตนของผม ที่รู้วิธีอยู่ในสองสถานที่พร้อมกัน?

    I released all thoughts and focused on my breathing. Shortly, I felt my resonance expand. My Essence began to move out beyond the boundaries of my form. I realized that I already had a fifth dimensional form, which has the ability to experience multiple realities within the NOW. Why was I not using all my capabilities?

    ผมปลดปล่อยความคิดทั้งหมดและเพ่งไปที่ลมหายใจของผม. ในเวลาสั้นๆ, ผมรู้สึกว่าการสะท้อนของผมขยายออก. สาระสำคัญของผมเริ่มเคลื่อนไหวออกไปจากขอบเขตของร่างกายของผม. ผมตระหนักว่าผมมีรูปกายมิติที่ห้าเรียบร้อยแล้ว, ซึ่งมีศักยภาพที่จะมีประสบการณ์หลายๆความเป็นจริงได้ภายในขณะนี้. ทำไมผมจึงไม่ใช้ความสามารถทุกอย่างของผมล่ะ?

    It was as if I got new computer and did not bother to learn all the advanced programs because I was so accustomed to doing everything the same way. Moreover, I was allowing the Arcturian to guide me in every way and had not used my own intention. I could see that this was why I was not going to receive assistance with this issue.

    มันราวกับว่าผมได้เครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ และไม่เบื่อหน่ายที่จะเรียนรู้โปรแกรมที่ล้ำหน้าทั้งหมด เพราะว่าผมค่อนข้างคุ้นเคยที่จะทำทุกๆสิ่งในหนทางเดียวกันนี้. ยิ่งไปกว่านั้น, ผมได้อนุญาตให้ชาวอาร์คทูเรี่ยนแนะนำผมในทุกๆทาง และไม่ได้ใช้ความมุ่งหมายของผมเอง. ผมสามารถเห็นได้ว่านี่คือเหตุผลที่ผมไม่ไปรับความช่วยเหลือเกี่ยวกับเรื่องนี้.

    Obviously, bi-location was one of those things that I had to learn for my self. But, I was using the term “learn,” which limited my thinking. I already know how to bi-locate at a higher frequency of my SELF. Hence, I went back into meditation to connect with a more expanded version of my SELF. At first, I saw only the familiar fog and blinking lights of myriad colors. Then, the colors began to move and outline a form that looked much like a Merkaba.

    ชัดเจนว่า, การอยู่ในสองสถานที่พร้อมกันเป็นหนึ่งในหลายๆสิ่งที่ผมต้องเรียนรู้สำหรับตัวผมเอง. แต่, ผมใช้คำว่า “เรียนรู้”, ซึ่งจำกัดความคิดของผม. ผมรู้แล้วถึงวิธีการอยู่ในสองสถานที่พร้อมกันกับตัวตนระดับสูงของผมเอง. ดังนั้น, ผมจึงกลับสู่สมาธิเพื่อเชื่อมต่อกับตัวตนรุ่นที่ขยายออกมากกว่านี้. อันดับแรก, ผมเห็นเพียงแค่หมอกที่คุ้นเคยและแสงกระพริบหลากสีนับไม่ถ้วน. จากนั้น, สีต่างๆเหล่านั้นก็เคลื่อนที่และกลายเป็นโครงร่างของรูปแบบที่มองดูคล้ายกันมากกับ เมอร์คาบา.

    -->Yes, our Merkaba is our “Inter-dimensional Chariot.” Instantly, the form of a Merkaba became very clear. I focused all my attention on the form of the Merkaba. I released my thinking and allowed the image to move into my Heart-Mind.

    ใช่, เมอร์คาบาของพวกเราก็คือ ”ยานพาหนะระหว่างมิติ”. ทันใดนั้น, เมอร์คาบาก็ชัดเจนอย่างมาก. ผมให้ความสนใจทั้งหมดไปที่เมอร์คาบา. ผมปลดปล่อยความคิดของผมและอนุญาตให้ภาพนั้นเคลื่อนที่เข้าสู่หัวใจ-จิตใจของผม.

    As I relaxed into this process, I began to feel a strong sensation that felt as though energy was brewing from within me like steam rising from boiling water. This energy was my own, but it wanted to escape my form. This component of my SELF wanted to be free of all form, for it felt limited by the containment of any encasement.

    เมื่อผมผ่อนคลายเข้าสู่กระบวนการนี้, ผมเริ่มรู้สึกถึงการรับรู้ที่แข็งแรงที่รู้สึกราวกับว่าพลังงานก่อตัวจากในภายในตัวผมเหมือนกับไอน้ำพุ่งออกจากน้ำเดือด. พลังงานนี้เป็นของผมเอง, แต่มันต้องการหนีออกจากร่างกายของผม. องค์ประกอบนี้ของตัวตนของผมต้องการเป็นอิสระจากรูปทั้งปวง, เนื่องจากมันรู้สึกว่าถูกจำกัดในที่ที่บรรจุมันไว้.

    I decided to place the majority of my consciousness into this energy field. Instantly, I felt as if this energy field burst forth beyond whomever I had conceived as my self. This energy field escaped in all directions like a wild animal let loose of its cage. I contained a small fear that wondered if I could ever again be just Mytre. Thus, I firmly implanted a remnant of my SELF deep inside that form.


    ผมตัดสินใจที่จะวางความตระหนักรู้หลักของผมไว้ในสนามพลังนี้. ทันใดนั้น, ผมรู้สึกราวกับว่าสนามพลังนี้ก็ระเบิดออกมาไกลเกินกว่าใครก็ตามที่ผมรับรู้ว่าเป็นตัวตนของผม. สนามพลังงานนี้หนีออกไปในทุกทิศทางเหมือนสัตว์ป่าที่หลุดออกจากกรง. ผมรู้สึกกลัวเล็กน้อยกับความสงสัยว่าถ้าหากผมเป็นเพียงแค่ Mytre อีกครั้งหนึ่ง. ดังนั้น, ผมจึงฝังเศษเสี้ยวของตัวตนของผมลึกลงไปในรูปแบบนั้น.

    Once I anchored an element of my life force in the form of Mytre, this intensifying energy field expanded to fill the entire holosuite. Instinctively, I knew that I must limit this energy to this larger space. In fact, I realized that the Merkaba was beckoning this energy field to move into its form. At first, the energy seemed to balk at any sense of confinement, but seemed to recall this form as one of great expansion and inter-dimensional adventure.

    เมื่อผมได้ฝังธาตุของพลังชีวิตของผมในรูปของ Mytre, สนามพลังนี้ก็ทวีความรุนแรงขยายออกไปทั่วทั้งชุดสามมิติ. โดยสัญชาตญาณ, ผมรู้ว่าผมต้องจำกัดพลังงานนี้ในที่ที่ใหญ่กว่า. อันที่จริง, ผมรู้ว่าเมอร์คาบากำลังเผชิญหน้ากับสนามพลังงานนี้เพื่อเคลื่อนที่เข้าสู่รูปของมัน. ตอนแรก, พลังงานดูเหมือนจะหยุดชะงักอยู่ที่การถูกกักขังใดๆ, แต่ก็ดูเหมือนจะจำได้ถึงรูปแบบนี้ในฐานะของการขยายตัวอย่างยิ่งใหญ่และการเดินทางระหว่างมิติ.

    As the energy field fully entered the Merkaba, I realized that the energy field was representative of me in every way. I had been feeling so limited for so long. This energetic expression of my SELF has known, since my transformation into my fifth dimensional form, that I was not using my full expression. As I owned this fact, the energy aligned with my consciousness and no longer appeared to be separate from me or out of my control.

    เมื่อสนามพลังงานเคลื่อนที่เข้าสู่เมอร์คาบาอย่างเต็มที่, ผมตระหนักว่าสนามพลังนั้นก็คือการแสดงออกของตัวตนของผมในทุกๆทาง. ผมรู้สึกถึงการถูกจำกัดมาเป็นเวลานาน. พลังงานนี้ของตัวตนของผมรู้, จาการเปลี่ยนแปลงของผมเข้าสู่รูปมิติที่ห้าของผม, ผมไม่จำเป็นต้องใช้การแสดงออกอย่างเต็มที่ของผม. เนื่องจากผมเป็นเจ้าของความจริงนี้อยู่แล้ว, พลังงานที่ปรับเข้ากับความตระหนักรู้ของผม และไม่ปรากฏว่าแยกจากผมหรือออกนอกการควบคุมของผมอีกต่อไป.

    It was then that I realized that I could look at my form of Mytre and still contain my Essence of beingness within the Merkaba form. Could I return to the Mytre form and still contain the Merkaba Essence? I expanded my Heart-Mind to encompass my beingness of Mytre. To my surprise I realized how much I loved being that person. In fact, I realized that I love myself.

    หลังจากนั้นผมก็ตระหนักว่าผมสามารถมองมาที่รูปกายของผมที่เป็น Mytre และยังคงรักษาสาระสำคัญของรูปธรรมของผมที่อยู่ในรูปของเมอร์คาบาไดด้วย. ผมจะกลับไปสู่ร่างกายของ Mytre และยังคงรักษาสาระสำคัญที่อยู่ในเมอร์คาบาได้หรือไม่? ผมขยายหัวใจ-จิตใจของผมเพื่อโอบล้อมรูปธรรมของผม Mytre. ยังความแปลกใจให้กับผมเป็นอย่างมาก ผมตระหนักว่าผมรักผมคนนั้นมากแค่ไหน. อันที่จริง, ผมรู้ว่าผมรักตัวเอง.

    Instantly, I was within my form of Mytre. This form felt very comfortable, like a pair of well-worn shoes. I sensed that I was inside my Mytre form, as well as within my Merkaba form. I was bi-located into two places. These places were very close in space, but each one had a reality of its own.

    ทันใดนั้น, ผมก็อยู่ภายในร่ากาย Mytre. ร่างกานนี้รู้สึกสบายมาก, เหมือนกับรองเท้าที่สวมใส่ได้ดีคู่หนึ่ง. ผมรู้สึกว่าผมอยู่ในร่างกาย Mytre, เช่นเดียวกบที่อยู่ภายในรูปของเมอร์คาบา. ผมสามารถอยู่ในสองสถานที่ได้ในเวลาเดียวกัน. สถานที่เหล่านี้อยู่ใกล้กันมาก, แต่แต่ละคนมีความเป็นจริงของตัวเองแต่ละคน.

    As my Mytre form looked around the hologram I saw the waterfall, the distant ocean, and the Sun lowering in the sky. I felt the hard chair around me, squeezed my arm till it hurt and stamped my foot. Within the exact same NOW, I felt the Merkaba form around me.

    เมื่อร่างกาย Mytre มองไปรอบๆโฮโลแกรมผมเห็นน้ำตก, ทะเลที่อยู่ห่างออกไป, และดวงอาทิตย์กำลังลดต่ำลงในท้องฟ้า. ผมรู้สึกถึงเก้าอี้แข็งๆรอบตัวผม, บีบแขนตัวเองจนเจ็บและกระทืบเท้า. ภายในขณะนี้อย่างแน่นอน, ผมรู้สึกถึงรูปแบบเมอร์คาบารอบๆตัวผม.

    As I looked around the holosuite through my Merkaba form I saw photons traveling on matrixes and lights blinking to pre-programed coding, creating the illusion of concrete objects. Merkaba self could easily see that the objects were holographic projections.

    เมื่อผมมองไปรอบๆชุดสามมิติผ่านทางรูปแบบเมอร์คาบาของผมผมเห็นโฟตอนกำลังเดินทางไปบนเมตริกซ์ และแสงกระพริบไปสู่รหัสโปรแกรมก่อนหนานี้, ที่กำลังสร้างมายาการของวัตถุสิ่งของต่างๆ. ตัวตนเมอร์คาบาสามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดายว่าวัตถุคือการฉายภาพออกมาจากโฮโลแกรม.

    In fact, the holographic projections were much clearer than the holographic image. My Merkaba self perceived my Mytre self as the projector for my photonic energy. At the same time, I saw the projection of energy from my Merkaba self that appeared to be creating the form of Mytre.

    อันที่จริง, การฉายภาพออกมาจากโฮโลแกรมมีความชัดเจนกว่าภาพสามมิติ. ตัวตนเมอร์คาบาของผมรับรู้ตัวตน Mytre ของผมในฐานะของการฉายพลังงานโฟตอนของผม. ในเวลาเดียวกัน, ผมเห็นการฉายพลังงานจากตัวตนเมอร์คาบา ซึ่งดูเหมือนกำลังสร้างรูปกาย Mytre.

    My Merkaba self was ready to blink off to the co-ordinates of any given reality, but knew that the Mytre self did not feel ready to experience allowing itself that degree of apparent separation. My humanoid heard my Merkaba say, “When will Mytre remember that separation is the biggest illusion of all?”

    ตัวตนเมอร์คาบาของผมมีความพร้อมที่จะกระพริบออกสู่พิกัดของความเป็นจริงใดๆ, แต่รู้ว่าตัวตน Mytre ยังไม่รู้สึกพร้อมที่จะมีประสบการณ์อนุญาตให้ตัวมันเองมีการแบ่งแยกอย่างชัดเจนในระดับหนึ่ง. รูปมนุษย์ของผมได้ยินรูปเมอร์คาบาพูดว่า, เมื่อไหร่ Mytre จะจำได้ว่าการแบ่งแยกก็คือมายาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดามายาการทั้งปวง?


    ด้วยรักที่ไม่มีเงื่อนไข ขอบคุณครับ
    (ตอนต่อไปข้อความที่ 6561 หน้าที่ 329)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ธันวาคม 2012
  6. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    แปลต่อครับ น่าสนใจ

    วันนี้เป็นวันเริ่มต้นของการตัดสินใจ ".............."

    ข้อกำหนดสมบูรณ์ ต่าง ๆ จะ ทยอย ออกมา ต้องรออีกวัน

    คือ 21 จะเป็นอย่างไร....

    หรือว่าจะเป็นการ กำหนด ข้อกำหนดของ ".............."

    เสร็จสิ้น และประกาศ ตามลำดับของแต่ละมิติ


    การตัดสินใจอะไร.....

    การกลับคืน มนุษย์......หรือที่เข้าใจกัน ข้างต้น เรียกว่า ชำระมนุษย์ ให้กลับคืน ภาวะ ที่ปกติเหมือนเดิม

    ภาวะปกติเหมือนเดิม คือ อะไร

    ปกติเหมือนเดิมคือ มนุษย์ จะไม่มีทุกข์

    มนุษย์จะบริสุทธิ์ ตามที่ควรจะเป็น ตั้งแต่ต้น

    เพราะมนุษย์ จะได้รับการ โปรดให้กลับคืน ให้บริสุทธิ์

    เมื่อได้รับการโปรดให้กลับคืนแล้ว มนุษย์ ยังจะทำผิดต่อไป

    อีก ก่เป็นเรื่องที่ช่วยอะไรอีกไม่ได้แล้ว

    มนุษย์ที่ได้รับการกลับคืน ต้องเป็นมนุษย์ที่ดำรงมั่นอยู่ในศีล

    มนุษย์มีอิสระในการคิด เมื่อกลับคืนแล้ว จะทำดี หรือไม่ทำดี หรือทำชั่ว

    สามารถทำได้หมด .......คือ มารับความรู้สึกทุกข์กลับคืนอีก ก่ ได้

    แต่ เมื่อให้แล้ว ไม่รักษาความดี ไม่รักษาตนเอง ก็ช่วยเหลือตนเอง

    ผู้ดำรงศักดิสิทธฺ์ เมื่อให้กลับคืน หมายถึง ท่านก็จะไปเหมือนกัน

    ไม่มาอยู่เพื่อมนุษย์แก้ไขมนุษย์ที่ทำผิดรอบสอง อีกแล้ว .....

    ขอความของ mead อ่านแล้วทำความเข้าใจ ต่อไปได้....
     
  7. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    มนุษย์ได้มีการพัฒนา สภาวะต่างๆ สมบูรณ์บริบูรณ์

    ทางฝั่งผู้ดำรงศักดิสิทธฺ์ ก่ ได้รับการพัฒนา สภาวะต่าง ๆ บริบูรณ์สมบูรณ์ เช่นกัน

    ต่างฝ่ายจะถูก tune up เข้าหากัน

    เหมือนทางรถไฟที่ขนานกัน มองไกลจะเห็นว่าเชื่อมต่อกัน

    เป็นจุดเดียวกัน .... แต่ความจริงคือ เดินขนานไปด้วยกัน

    เวลานี้ และลำดับต่อไป คือ จุดปลาย ของทางรถไฟ

    เวลานี้ คือ ฝันที่ปลายฟ้า

    มนุษย์กับผู้ดำรงศักดิสิทธิ์ จะเชื่อมต่อกัน

    มนุษย์ จักต้องชำระตนเองให้สะอาด ก่อนจึงจะ

    ได้รับการเชื่อมต่อกับ อีกมิติหนึ่งได้

    มนุษย์ ตัวตนที่มาหา ตนเอง จะได้รับการผสาน ตัวตน

    ผสานตัวตนให้กลายเป็นหนึ่งเดียว

    มนุษย์จะได้รับการพัฒนาตนเอง เบื้องต้นคือ การผสานใจ รวมเป็นหนึ่งเดียว

    การผสนใจรวมเป็นหนึ่งเดียวจักต้อง synchronize ตนเองให้ได้ก่อน

    การ synchornize หมายถึง การรักษาศีล หรือ ให้เหมือนกัน ทุกตัวตนก่อน

    ตัวอย่าง ต้นไม้ดำรงอยู่ได้ เมื่อมี เปลือกและกระพี้ ห่อหุ้ม แกนกลาง ให้

    รักษาสิ่งที่มีคุณค่าภายใน คือ น้ำและอาหาร เพื่อการเจริญเติบโตต่อไป

    มนุษย์ มีอะไร

    มนุษย์ มีศีล คือ สิ่งห่อหุ้มธาตุความดี ภายในกายทิพย์ หากตัวตนภายใน

    แต่ละตัวตนที่มาหา ยังมี ศีลที่ไม่บริบูรณ์เสมอกัน เรียกว่า บางตน มีศีลขาด

    ศีลพร่อง ก่ไม่สามารถจะ synchronize กับตัวตนปัจจุบัน ได้

    ต้องทำศีลให้ เสมอเหมือนกัน ทุกตัวตนก่อน

    .....ขอให้ทุกท่าน ที่ทำดี พูดดี คิดดี .....ได้เข้าถึงความ

    บริบูรณ์ของศีล ทุกตัวตน (ที่มาถึง) ด้วย เถิด
     
  8. animal will do

    animal will do เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2010
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +229
    จะเริ่มในอีก 10 นาที มาร่วมแบ่งปันพลังงานบวกพร้อมกันได้ที่
    THE MASTER SHIFT

    HAPPY 12.12.12 ค่ะ


    ;43
     
  9. Lastquarter

    Lastquarter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    386
    ค่าพลัง:
    +272
    เสร็จสิ้นการนั่งสมาธิละครับ
     
  10. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    ลำดับต่อไป ที่จะกล่าวคือ การทำศีล ให้แก่ทุกตัวตนให้บริสุทธิ์

    ท่านใดที่เคยมีอาการแปลกๆ รู้สึกมีพฤติกรรมแปลกๆ คือ การแสดง

    กิริยาเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้คิด ไม่ได้กำหนดมาก่อนจะต้องทำ

    ไม่ใช่อาการขาดสติ แต่ยังตามรู้อยู่ทุกขณะ แต่ควบคุมกิริยาไม่ได้

    อาการแบบนี้เรียกว่า เป็นพฤติกรรมตัวตนอื่น ของตนเองมาควบคุมแทน

    กายทิพย์ของตน เพราะเขาจะมีพลังงาน มากกว่า กายทิพย์ปัจจุบัน

    มีการบำเพ็ญมามากกว่า กายทิพย์ปัจจุบัน หรือเรียกว่ามีความดี ธาตุความดี

    มีมากกว่า และท่านก็จะรู้สึกดี รู้สึกว่าพัฒนา รู้สึกปลอดโปร่ง โล่งสบาย

    แต่หากว่า ตัวตนใดที่มี ภาวะความดี น้อยกว่า กายทิพย์เราปัจจุบัน เราก็จะ

    รู้สึกแย่ รู้สึกไม่ปลอดโปร่ง แบบนี้ล่ะ ที่เรียกว่า ภาวะของเราเปลี่ยนแปลงไป

    ตลอดเวลา มีขึ้น มีลง เป็นเพราะตัวตน ทั้งหลายในอดีต สลับผลัดเปลี่ยน

    มาดูดพลังงานจากร่าง ร่างกายมนุษย์มีพลังงานชีวิตอยู่ (เหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย

    ไม่ว่า จะเป็น ยักษ์ พรหมทั้งหลาย จะคอยมา สิง มาครอบร่าง ดูดซับพลังงาน

    หากเจ้าของร่าง ศีลขาด ศีลพร่อง หรือใช้วิธีการเกาะเกี่ยวโดยตรง ทำให้เกิดโรค

    เกี่ยวกับโลหิต (ยักษ์ เกาะเกี่ยว) แต่สำหรับ พรหมครอบร่าง มัน ก่ จะแสดงพฤติกรรม

    ให้ร่างเห็นความวิเศษของตัวตน ของร่าง และ ร่าง ก็จะรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ

    มีญาณมีตาทิพย์ มีหูทิพย์ มองเห็นผี มองเห็นเทวดา .... มองเห็นภัยพิบัติ

    อย่างนี้เป็นต้น เพื่ออะไร เพื่อให้ร่างยินดี เพื่อให้ร่างยึดถือ เอาคุณวิเศษอยู่กับตัวตน

    เมื่อยึดถือเป็นของตัวตน คือ การยินยอมให้ พรหม ที่มาครอบร่าง ยังครอบต่อไป

    ยังไม่จบ แค่นี้ก่อน....
     
  11. phudit999

    phudit999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +2,396
    พระเจ้าพิมพิสาร เคยฝันเห็น เปรตมากมาย

    นั่น ก่ เป็นในทำนองว่า ตัวตน

    ในอดีตในกายเปรตมาหา มาขอส่วนบุญกุศล

    จากกายทิพย์ปัจจุบัน

    องค์พุทธะกล่าวว่า(ในทำนองนี้)

    มีแต่พระเจ้าพิมพิสาร เท่านั้นที่จะช่วยเปรต

    เหล่านั้น ได้ .....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  12. light worker

    light worker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +446
    ก่อนถึงวันที่ 21 ธ.ค.2012 ขอให้ทุกคนเตรียมไฟฉายไว้ข้างตัวเสมอนะครับ...เราจะอัพเกรดโครงข่ายพลังงานทั่วโลกจากระบบเดิมเป็น "พลังแม่เหล็ก" เปลี่ยนเป็น "พลังคริสตัลไลน์" ครับ (อ้างอิงจากข้อความต่างมิติ) ตอนนี้การเข้ารหัสสุดท้ายของพีระมิดเสร็จสมบูรณ์แล้วน่ะครับ เหลือแค่รอการประมวลผลจากสนามพลังทั่วโลกครับ ใช้เวลาประมาณ 9 วัน หลังจากนั้นโครงข่ายจะทำการรีบูทขึ้นใหม่ครับ ซึ่งส่งผลให้โลกเราไม่มีพลังงานไฟฟ้าใช้ประมาณ 3 วันครับ

    วันนั้นจะมีประตูมิติเปิดออกจำนวนมากบนโลกครับ และเพื่อนๆจากต่างดาวเราจะมาบินโฉบเฉี่ยวโชว์ออฟกันครับ 55555+ ในช่วงเวลานั้นจะไม่มีดวงอาทิตย์หรือดวงดาวใดๆ แต่จะมีแสงไฟจากยานอวกาศบนน่านฟ้าจำนวนมากเพื่อช่วยเราครับ ตอนนี้หน่วยของผมก็กำลังประสานงานกับพวกต่างดาวอยู่น่ะครับ ส่วนเรื่องช่วงที่โครงข่ายใหม่กำลังประมวลผลอยู่นี้ อาจส่งผลในเรื่องของการนอนหลับด้วยนะครับ ช่วงนี้เราอาจจะฝันแปลกๆหน่อย อิอิ เพราะทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนเชื่อมโยงอยู่กับไกอาน่ะครับ (ไกอาคือจิตวิญญาณของดาวเคราะห์โลกหรือพระแม่ของโลกเราน่ะครับ ท่านเปลี่ยนแปลงเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยครับ)

    และหลังจากเราผ่านพ้นช่วงของการเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้ เราจะมีระดับความตระหนักรู้ที่สูงขึ้นครับ และไม่ใช่แค่เรานะครับ ที่จะยกระดับจิตสำนึกขึ้นไป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกก็ยกระดับไปพร้อมๆกันกับเราด้วยครับ :) สำหรับผู้ที่ยังไม่ตื่นรู้...โลกที่เราอยู่นี้คือโลกแห่งทวิภาวะครับ ซึ่งเป็นโลกที่ทุกสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงถึงกัน มันเป็นโลกแห่งการดึงดูดน่ะครับ ซึ่งก็คือใครทำอะไรไว้ก็จะได้รับสิ่งนั้นน่ะครับ พระผู้สร้างออกแบบโลกนี้มาแบบนี้ครับ.. :)
     
  13. light worker

    light worker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +446
    หลังจากวันที่ 21 ผมไปแล้วนะครับ เพราะอาจจะรับหน้าไม่ไหวครับ หน้าอาจแตกจนหมอเย็บไม่ทันครับ ฮ่าๆๆ คราวนี้ไม่รู้จะหาวิธีแก้คำพูดยังไง โม้ไว้เยอะครับ (deejai)
     
  14. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มี e-mail จาก Inelai Benz มาขอให้ช่วยหนะครับ

    [​IMG]

    หมายถึงขอให้ทุกๆคนช่วยเธอ เพราะว่าทางทีมงานของเธอ
    กำลังจะจัดทำวีดีโอชุดใหม่อยู่ เลยอยากได้รูปภาพของคนมากมาย
    ไปประกอบในวีดีโอที่ว่านี้ด้วย

    โดยรูปภาพที่ว่านี้ ก็คือรูปของเราเองนี่แหละครับ ที่กำลังถือแผ่นป้าย
    ที่มีขนาดใหญ่พอสมควรอยู่ ซึ่งในแผ่นป้ายนั้น ก็จะต้องมีข้อความ
    ที่ระบุความต้องการของเรา เป็นภาษาอังกฤษ ภายใต้คอนเซ็บที่ว่า

    "ในโลกยุคใหม่นี้ คุณต้องการจะเนรมิตอะไรขึ้นมามากที่สุด"

    ซึ่งตัวอย่างของสิ่งเหล่านี้ ก็ได้แก่ ความรัก (LOVE), สันติภาพ (PEACE),
    มีอิสระที่จะเป็นอะไรก็ได้ (FREE TO BE), เสรีภาพ (FREEDOM),
    ความมั่งคั่ง (ABUNDANCE), ดาวเคราะห์ที่สะอาดบริสุทธิ์ (CLEAN PLANET),
    แสงสว่างแห่งความรัก (LOVE LIGHT) เป็นต้น

    ดูตัวอย่างในรูปข้างล่างนี้นะครับ
    [​IMG]

    เขาให้เขียนแค่ 1 - 4 คำเท่านั้นนะครับ ไม่ใช่เขียนซะเต็มไปหมดเลย
    เสร็จแล้วก็ส่ง e-mail ไปให้เขาที่นี่นะครับ

    info@ascension101.com

    ช่วยๆกันคนละไม้ละมือนะครับ และช่วยบอกต่อๆกันไปด้วยนะครับ
    สิ่งนี้อาจจะช่วยเป็นแรงกระตุ้นให้คนมากมาย
    เกิดแรงบันดาลใจในทางบวกขึ้นก็ได้นะครับ
    เพราะว่า เวลาเราไปตั้งคำถามแบบนี้กับเขา
    เขาก็ต้องมานั่งคิดแล้วหละว่า อะไรที่ดีๆในชีวิต
    และแม้แต่ในโลก ที่เขาอยากจะให้มีขึ้น ในโลกยุคใหม่นี้
    ซึ่งกระแสความคิดเหล่านี้แหละ ที่จะก่อตัวเป็นพลังงานขึ้น
    จากหลายๆคน แล้วรวมกันมากเข้าๆ ก็จะไปส่งผลกระทบต่อ
    พลังงานของ "จิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก" ได้ครับ

    .........................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  15. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ข้อความที่ผมขีดเส้นใต้สีเขียวนี้ มันเป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน
    และก็เป็นข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่ ในแต่ละผู้รับสาส์นที่รับข้อความมา

    ดังนั้น เรื่องการเปิดเผยตัวตนอย่างเป็นทางการของต่างดาว
    และเรื่องของ 3 วันแห่งความมืดมิด อะไรแบบนั้น
    ก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อนะครับ รอให้พวกเขายืนยันมาก่อน
    และรอให้ข้อมูลจากทุกๆแหล่งตรงกันซะก่อน เราถึงอาจจะเชื่อได้

    ................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2012
  16. light worker

    light worker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +446
    ผมก็โม้ไปงั้นแหละครับพี่ชยุต มันไม่มีใครเชื่อหรอกครับ (deejai)

    ปล.เพราะบางครั้งพวกต่างดาวต่างมิตินี้มันก็มั่วมาตลอด บอกจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกิด พวกนี้บางทีก็เชื่อถือไม่ได้ครับ เลื่อนไปเรื่อย ถ้าผมเป็นเค้าช่วงเวลาสิ้นปีนี้แหละครับ เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดแล้วครับ :cool:
     
  17. light worker

    light worker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +446
    หากพลาดช่วงเวลานี้ไป เค้าจะสูญเสียทุกอย่างครับ..
     
  18. light worker

    light worker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +446
    สำหรับผมๆก็จะทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาถึงสิ้นปีนี้เท่านั้นครับ หลังจากนั้นผมจะเลิกยุ่งกับพวกต่างดาว-ต่างมิติติ๊งต๊องพวกนี้ ที่หลอกลวงชาวโลก ทำให้พวกเรากลายเป็นตัวตลกในสังคมของมนุษย์ ..
     
  19. light worker

    light worker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +446
    เอ่อ...และผมก็ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับคุณจอยสันโดษอะไรนั่นนะครับ ผมมาทำงานคนเดียวครับ แค่อาศัยพวกมนุษย์ช่วยผม แค่นั้น...
     
  20. light worker

    light worker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +446
    พวกท่านเคยคิดกันบ้างไหมหล่ะครับ ว่าทำไมพวกต่างดาวถึงไม่ยอมมาปรากฏตัวสักที หากเขามาดีเขาไม่มาทำลับๆล่อๆหรอกนะครับ เขารู้ดีว่าโลกเราใกล้ล่มสลายแล้ว เลยจะมาขโมยพลังงานบางอย่างจากอาณาจักรแอตแลนติสเรา เขารู้เมื่อถึงเวลานั้นพลังงานนี้จะเปี่ยมไปด้วยพลานุภาพที่สมบูรณ์ต่อการใช้งาน ตอนนี้ไม่ว่าอารยธรรมจากดาวดวงไหนตอนนี้เขาก็เตรียมมาที่นี่กันหมดแล้วครับ เขาอยู่ในโหมดพรางตัวบนน่านฟ้าพวกท่านเรียบร้อยแล้วหล่ะครับ และก็สู้รบกันบนน่านฟ้ากันเป็นระยะๆ (สู้กันในโหมดพรางตัวน่ะครับ ปล่อยลูกไฟ/แสงเลเซอร์ใส่กัน) พวกเขามาหลอกเราว่าจะเข้ายุคพลังงานใหม่/การเลื่อนระดับยกระดับอะไรนั่น ทำมาบอกคำสอนเรา เรื่องพวกนี้ผมผ่านมาก่อนพวกท่านครับ และรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยิ่งเทคโนโลยีสูง ความโลภก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย พวกเขาทรงภูมิปัญญามากกว่าที่พวกท่านคิดอีกครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...