จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุกับคำถาม
    แหม๊! น่าจะถามมาตั้งนานแล้ว พอดีท่านพหูสูตกลับวัดไปแร๊ะ
    เดี๋ยวให้จิตอรหันต์แท้(แท้ๆนะ) มาตอบแทน
    เพราะจิตผมมันไม่เอาสมมุติและไม่เอาบัญญัติ ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นจิตอรหันต์ด้วย
    และไม่เอา ไม่ยึด คำว่า อรหันต์ ด้วย
    ทำไปๆลูก สาธุๆๆ

    แต่ไม่ได้ปฎิเสธ ที่จะพูดถึงนะครับ ตามสบายเลย
    เพราะพูดไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะคนๆนั้นต้องเข้าถึงเอง มิใช่เข้าใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มกราคม 2013
  2. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ธรรมทั้งหลายมีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ
    ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง


    พระพุทธเจ้าบอก รูปไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์
    เมื่อรูปมันไม่เที่ยง ก็ทำให้มันเป็นเรื่องของรูป
    รูปมันเป็นทุกข์ ก็ให้มันเป็นเรื่องของรูป ใจเราจงอย่าทุกข์

    แล้วก็ในที่สุด รูปมันเป็นอนัตตา ก็ให้มันเป็นเรื่องของรูป
    สำหรับใจของเรา มันต้องเป็นนิจจัง คือมีอารมณ์เที่ยง
    ใจของเราให้มันเป็นสุขัง คือมีอารมณ์เป็นสุข
    ใจของเรามันเป็นอัตตา คือมีการทรงตัว ความจริง ใจมีสภาพเที่ยง

    เราจะเห็นได้ว่า คนและสัตว์ที่ตาย มันตายแต่กาย ใจมันไม่ได้ตาย
    ถ้าใจมันตายด้วย การขึ้นสวรรค์ การลงนรก การเป็นพรหม การไปนิพพานมันก็ไม่มี

    สภาพของใจมันเป็นสภาพเที่ยง เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ที่มีสภาพไม่รู้จักการสลายตัว
    แต่ทว่า เราต้องระมัดระวังใจของเราให้มันมีอารมณ์ผ่องใส อารมณ์ของใจอย่าให้มันขุ่นมัว

    เพราะเราจะดีหรือชั่วมันอยู่ที่ใจ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา
    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จด้วยใจ

    ที่มา fb ศูนย์พุทธศรัทธา​
     
  3. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    "ร่างกายเป็นแต่เพียงบ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น"

    เพราะร่างกายของคนมีธาตุ ๔ เหมือนกัน
    เต็มไปด้วยความสกปรกเหมือนกัน
    มีความเสื่อมเหมือนกัน
    มีการสลายตัวไปในที่สุดเหมือนกัน

    คนและสัตว์มีสภาวะเสมอกัน คือ
    มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น
    มีความแก่ในท่ามกลาง
    และมีการสลายตัวไปในที่สุด
    นี่ย่อมไม่ยังประโยชน์ให้สำเร็จ
    ในการที่จะมานั่งเมาตัวหรือถือตัว
    วางอารมณ์แห่งการถือตัวถือตนเสีย

    ใช้ปัญญาพิจารณาขันธ์ ๕ ว่า
    มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    เราไม่ในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา
    ขันธ์ ๕ เต็มไปด้วยความทุกข์
    ขันธ์ ๕ มีการสลายตัวไปในที่สุด
    ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์
    ในเมื่อขันธ์ ๕ มันไม่ทรงตัวแบบนี้แล้ว
    มานะการถือตัวถือตน เราจะไปนั่งถือตัว
    ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา
    เพื่อประโยชน์อะไร

    มีเมตตาบารมีเป็นที่ตั้ง
    เห็นคนและสัตว์ทั้งหมด
    ถือว่าทุกคนมีความทุกข์
    ทุกคนจะต้องมีความตายไปในที่สุด
    แล้วเราจะมานั่งถือตัวถือตน เสมอกัน
    เลวกว่ากัน ดีกว่ากัน เพื่อประโยชน์อะไร
    เพราะต่างคนต่างก็ไม่มีร่างกายเป็นเรา
    เป็นของเราจริง เรือนร่าง ร่างกาย
    เป็นแต่เพียงบ้านเช่าชั่วคราวเท่านั้น

    ที่มา fb ศูนย์พุทธศรัทธา​
     
  4. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    เอ้า..ขอโทษๆท่านพี่
    เราเพียงแค่มีเจตนาตั้งเป็นคำถามเชิงวิชาการในภาพกว้าง มิได้หมายจำเพาะเจาะจงถึงท่านใดเลย
    หากpostนี้ไปทำให้ท่านพี่เข้าใจผิด กระผมต้องขอกราบขอขมาอภัยอย่างสูงยิ่งด้วยครับ..

    ปล.ตอนที่ผมpostอยู่ผมก็ไม่ได้อ่านpostอันก่อนหน้าด้วย..ขออภัยจริงๆครับ
     
  5. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    นักปฏิบัติ ไม่ว่าปฏิบัติทางโลก-ทางธรรม ชั้นต่ำ-ชั้นสูง
    ถ้าขาดอิทธิบาท ๔ ก็ไม่มีทางมีผล
    ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    อิทธิบาท ๔ คือ

    ๑.ฉันทะ มีความพอใจในอารมณ์ที่เราต้องการ คือในกรรมฐานอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่งที่เราต้องการ
    พอใจ คือ จิตนึกถึงอยู่เสมอ เหมือนกับชายหนุ่มหญิงสาว ที่เริ่มรักกัน ก็นั่งนึกถึงกันอยู่ตลอดเวลา
    จะอยู่ใกล้หรืออยู่ไกล ก็นึกอยู่ถึงกันได้เสมอ
    นี่ฉันทะ ความพอใจ

    ๒.วิริยะ ความเพียร ในเมื่อไม่มั่นใจว่าเขาจะรักเราแน่ ก็ต้องเพียรทำทุกอย่างเพื่อให้เขารัก
    และอยู่ไกลแสนไกลสักปานใดก็ตาม ก็ต้องเพียร เข้าถึงกันให้ได้
    ข้อนี้ฉันใด การเจริญพระกรรมฐานก็เหมือนกัน
    เพราะกำลังใจเรา กลับจากอารมณ์แห่งความชั่ว มาเป็นอารมณ์ของความดี มันก็ต้องต่อสู้

    สมมุติว่าไอ้ความชั่วมันเข้ามาครองจิตอยู่ก่อน เราจะเอาความดีเข้ามาครองเมื่อภายหลัง
    ผู้ครองก่อนก็ต้องประกาศสงครามกัน เราก็ต้องใช้ความพยายามห้ำหั่นตัวร้ายที่ครองในจิตใจของเราให้พินาศไปให้ได้
    นี่เป็นความเพียร เราจะไม่ยอมแพ้ วันนี้แพ้พรุ่งนี้สู้ใหม่ เวลานี้แพ้ เวลาหน้าสู้ใหม่
    คำว่าแพ้หมายถึง การทรงกำลังใจ มันทรงไม่อยู่ก็แพ้ แพ้ก็เลิก ซ่านเกินไปก็เลิก เมื่ออารมณ์สบาย
    ตั้งท่าว่ากันใหม่ อย่างนี้ไม่ช้าไม่นานเท่าไร เราก็ชนะ

    ๓.จิตตะ เอาใจจดจ่ออยู่ในอารมณ์นั้นตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ เห็นไหมล่ะ

    ๔.วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญว่าการปฏิบัติการใช้อารมณ์แบบนี้ ถูกต้องตามคำแนะนำของครูบาอาจารย์
    คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนแล้วหรือยัง ถ้าไม่ถูกต้องตามนั้นแสดงว่าใช้ไม่ได้

    ต้องใช้หลัก ๔ ประการนี้คุมใจอยู่ตลอดเวลา ความจริงที่ได้พูดไป ถามว่ายากไหม ผมไม่เห็นยากเลย
    ถ้าเราเป็นคนเอาจริงเสียอย่าง ไม่มีอะไรจะยาก
    ไอ้คำว่ายากนี่ก็หมายความว่า กำลังใจไม่มีความจริง หาจริงไม่ได้ สักแต่ว่าทำผลุบ ๆ โผล่ ๆ
    นี่เป็นประเภทศรัทธาหัวเต่า ผลุบเข้าผลุบออก แบบนี้มันไม่ได้ ทำศาสนาเขาเสื่อมเสียด้วย

    ที่มา fb ศูนย์พุทธศรัทธา​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2013
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,846
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    "บันทึกถึงลูกหญิง"

    ลูกจงจำไว้ว่า การให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การให้อภัย
    การรับที่สมควรอย่างยิ่ง คือ การรับธรรมะแล้วนำมาปฏิบัติ

    ************************

    ลูกจงจำไว้ว่า ความทุกข์นั้นกลัวรอยยิ้ม
    เพียงลูกยิ้มเพียงเล็กน้อย ความทุกข์ก็จะหายไป
    แล้วลูกรู้ไหมว่า ความทุกข์นั้นชอบอะไร...
    ความทุกข์ชอบคนที่มองโลกในแง่ร้าย

    ****************************

    ลูกรัก...เมื่อจะทำสิ่งใด คิดให้นานๆ เมื่อคิดดีแล้ว...ต้องทำทันที
    จำไว้ว่า เวลาและวารี ไม่เคยคอยใคร

    ****************************

    ลูกจงเลือกคบเพื่อนที่เป็นเพื่อนแท้
    เพื่อนแท้จักไม่โกหก จักไม่หลอกเรา
    และไม่แนะนำในสิ่งที่นำความเดือดร้อนแก่เรา

    เพื่อนแท้...สังเกตง่าย คือ
    มีความเมตตาต่อผู้อื่น แนะนำในสิ่งที่ดีๆ แก่เรา
    มีศีล และชอบช่วยเหลือผู้อื่น

    ****************************

    อันเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย
    ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา
    เหมือนหนึ่งเกลือค่าน้อยด้อยราคา
    ยังดีกว่าน้ำเค็มเต็มทะเล

    ****************************

    บุญคุณที่ผู้อื่นมอบให้ ลูกต้องทดแทน
    ความคับแค้นใจเราต้องให้อภัย
    อย่าโกรธแค้นเมื่อใครทำให้เราเป็นทุกข์
    คิดเสียว่า “...เป็นเช่นนั้นเอง”

    **********************************

    ลูกรัก...ความเมตตาพาให้สุขใจ ขอให้ลูกเมตตาผู้อื่นให้มาก
    เพราะ...
    ..ความเมตตาพาให้อุ่นใจ
    ..ความเมตตาพาให้เย็นใจ
    ..ความเมตตาพาให้หน้าสดใส
    ..ความเมตตาไล่เสนียดจัญไร
    ..ความเมตตาควรจะมาก่อนสิ่งใด
    ..ความเมตตาไซร้...ทำให้อายุยืนและเป็นสุข

    *******************************

    การพูดให้คนอื่นเสียใจเป็นสิ่งไม่ดี การโกรธคนอื่นเป็นสิ่งไม่ดี
    การใช้วาจาหยาบคายกับผู้อื่นเป็นสิ่งไม่ดี

    เรามาทำสิ่งที่ดีดีกันจักดีกว่า โลกจะสดใสขึ้นมาก
    ทุกคนก็สบายใจ...คนสบายใจที่สุด คือ ตัวลูกเอง

    ******************************

    ลูกหญิงของพ่อ...ควรมีมารยาทอันงดงาม
    ควรมีวาจาอันอ่อนหวาน
    พูดจาให้คนสมานสามัคคี อย่าพูดให้คนแตกแยกกัน
    อย่าว่าผู้อื่นลับหลัง และอย่าประจานเขา

    ชมผู้อื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง
    สอนผู้อื่นเมื่ออยู่กันสองต่อสอง เรียนหนังสือให้ดีที่สุด
    ทำงานอย่างตั้งใจให้สำเร็จเรียบร้อย

    ****************************

    ลูกจ๋า...
    จงอย่าประพฤติตนเป็นคนอวดมั่งมี
    ชีวิตของเราดำรงอยู่ได้ไม่ใช่เพราะมั่งมี
    แต่เราดำรงชีวิตอยู่อย่างปกติสุข เพราะ
    ..มีความอดทน ซื่อสัตย์ มัธยัสถ์ ขยัน ถ่อมตน เป็นคนกตัญญู...

    *************************

    ลูกจงอย่าทำให้ใครโกรธ ลูกจงอย่าโกรธใครง่ายๆ
    อย่าให้เป็นผู้สุขยาก ทุกข์ง่าย
    แต่ให้เป็นผู้ทุกข์ยากและ...สุขง่าย

    ****************

    สวยกายไม่น่ารักเท่ากับสวยใจ
    สวยกายไม่เท่าใดก็เน่า
    สวยใจ...ไม่มีวันตาย...สวยตลอดไปไม่ว่าตายหรือเป็น
    *********************************

    นกบินจากไปไม่ทิ้งรอยเท้าไว้ในอากาศฉันใด
    ผู้ทำดีจริง ไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทนฉันนั้น
    เมื่อให้สิ่งใดแก่ผู้อื่นแล้วอย่าคิดทวงบุญคุณ
    ******************************

    รู้น้อยก็จักฉิบหาย เชื่อง่ายก็จักวิบัติ

    ******************************
    คัดลอกจาก...สมุดบันทึกชุด “บันทึกถึงลูกหญิง”
    จัดพิมพ์โดย ธรรมสภา (ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ไม่เอาน่ะ อย่าคิดมาก
    ผมแค่แสดงวิชั่นตนเอง เท่านั้นเอง ไม่ได้เข้าใจผิด แต่เคารพทุกความเห็น
    ท่านอื่นๆตามสบายเลยนะครับ เพราะเป็นกระทู้สาธารณะ...
    สีสันดีออก...
     
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขออนุญาตินำการบ้านของลูกศิษย์หลาน(ลูกศิษย์พี่แนท) มาเป็นธรรมทานอีกสักฉบับ เพื่อให้ทุกท่าน โดยเฉพาะชาวเกาะขอบกระทู้ได้ร่วมโมทนาบุญกันค่ะ สาธุ๊:cool:

    เมื่อเริ่มตื่นนอนในวันแรกนั้นก็ลุกขึ้นมาพยายามระลึกภาพพระค่ะ แต่วันนี้ภาพมาทันทีก่อนตื่นใหญ่ชัดขึ้นเป็นภาพสีขาวจะว่าไปคล้ายกับน้ำแข็งค่ะ พิจารณาว่าเมื่อคืนเราหลับเพราะเพลียมาก แต่เราเหมือนคล้ายกับว่ามานั่งสมาธิหน้าหิ้ง ตอนตื่นเหมือนจิตรวมตัวเหมือนอนในสมาธิทั้งคืน ก่อนลืมตามีภาพท่านก่อนเราตืนเสียอีก และเหมือนมีเสียงบอกว่าให้จำอารมณ์นี้ให้ดี เราก็จำได้ว่าเป็นอารมณ์เหนื่อยมากแล้ว ทำดีที่สุดแล้วอะไรจะเกิดก็เกิด จะตายก็ตายก็จะจับภาพพระไปตลอดคืนค่ะ อารมณ์ไม่เอาอะไรแล้ว เอาไม่ไหวเอาภาพพระอย่างเดียวค่ะ แล้วก็เหมือนตัวลอยตอนนอนนะ ตื่นขึ้นมาจำได้ทุกอย่างเลย วันนี้มีธุระปรากฏว่าจะต้องออกไปข้างนอกคงจะไม่ได้สวดมนต์นั่งสมาธิแน่เรา ไม่เป็นไรทำหน้าที่ไปใจอยู่กับพระคิดเท่านี้ค่ะ ทำกับข้าวไประลึกไปค่ะ เดินก็กำหนดซ้ายขวา แต่วันนี้ตอนที่ทานอาหารเช้ารู้ว่าตัวเองช้าในการทานค่ะ เคี้ยวไปพิจารณาอาหารกลืนลงไปตามดูค่ะ รู้สึกมึนๆนะค่ะ จะว่าพักผ่อนไม่เพียงพอก็ไม่เชิง ตลอดเช้าถึงเย็นวันนี้ไม่ฟุ้งเลย ไม่โมโห ไม่ดุลูกเลยค่ะ เป็นไปแล้วค่ะ ไม่ต้องฝืนด้วยนะค่ะ หลังจากเสร็จภาระกิจประจำวันแล้ว วันนี้ก็สวดมนต์ยาวเลยค่ะ และนั้งสมาธิต่อ วันนี้ตอนสวดมนต์รู้สึกว่าหนักปวดเหมื่อยนะค่ะ เราก็ตั้งสัจจะค่ะจะปวดก็ปวดไปค่ะ วันนี้สวดมนต์นั่งสมาธิเป็นชั่วโมงค่ะ ตัวปวดหลังจะตายหายไปหมดค่ะ ตอนที่นั่งสมาธินั้นปิดไฟมึดหมดค่ะ แต่เราเห็นสีขาวจ้ามากแทบอยากจะลืมตามองค่ะ แต่ก็รู้แล้วปล่อยวางค่ะ เห็นภาพต่างๆก็รู้ไปเรื่อยๆค่ะ แต่วันนี้เห็นภาพตัวเองแต่งตัวใส่เสื้อผ้าชุดไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 ชัดมากนะค่ะ แต่ก็คิดว่าอะไรก็ตามเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปค่ะ รู้อยู่เป็นปัจจุบันค่ะ สาธุวันนี้ขอกราบลาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มกราคม 2013
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,846
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    การเข้าใจชีวิตที่แท้จริง

    =============================
    ทํามายยต้องขอโทษคะ ? เดี๋ยวต้องไปหาซื้อแว่นขยายก่อน อยากอ่านของท่านลูกพลังและท่านUnclegeeมากเลย แต่สายตามันสู้ไม่ไหว (สายตาเหยี่ยวมันมาเป็นครั้งคราวค่ะ...น้องจุ๋มTH)
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,846
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    วิปัสสนา วิทยาศาสตร์ของพุทธศาสนา (เรื่องโดย อ.ศุภวรรณ)
    วันหนึ่งดิฉันไปตรวจสายตากับจักษุแพทย์หญิงท่านหนึ่ง ที่เบอร์มิงแฮม คุณหมอถามว่ามีปัญหาอะไรบ้างหรือไม่ ดิฉันจึงพูดถึงอาการเจ็บที่หางตาด้านขวา ความเจ็บนั้นเหมือนจู่ๆ ก็มีคนเอาเข็มมาแทง เจ็บแป๊บเดียวแล้วก็หายไป แต่พออาการเกิดจะสะดุ้งทุกครั้ง และต้องเอามือปิดตาทันที ดิฉันอยากรู้ว่ามันเกิดจากสาเหตุอะไร

    คุณหมอจึงเล่าเรื่องหนึ่งให้ดิฉันฟังว่า เมื่อครั้งที่เธอไปหาความรู้เพิ่มเติมกับศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง ท่านก็ได้พูดถึงอาการเจ็บตาเหมือนที่ดิฉันเพิ่งอธิบายไปและถามนักศึกษาว่ามี ใครเคยเป็นบ้างหรือไม่ นักศึกษาหลายคนยกมือขึ้นอย่างกระตือรือร้นด้วยความคาดหวังว่าโปรเฟสเซอร์จะ เฉลยข้อสงสัยและอธิบายถึงสาเหตุของการเจ็บตาประเภทนี้ แต่ทุกคนก็ผิดหวังเพราะโปรเฟสเตอร์กลับถามนักศึกษาอย่างหน้าตาเฉยว่า “อืม แล้วมีใครรู้หรือไม่ว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร”

    คุณหมอตาจึงอธิบายให้ดิฉันฟังว่า เป็นเพราะความเจ็บนั้นอยู่ในลักษณะมาแล้วก็ไป ไม่ได้อยู่อย่างคงทนถาวร นักวิจัยจึงไม่สามารถศึกษาอาการเจ็บนั้นได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ คือเฝ้าสำรวจและสังเกตการณ์ไม่ได้ เพราะอาการเจ็บไม่ได้อยู่นานเพียงพอที่จะให้สำรวจอย่างถ้วนถี่ เช่น ในขณะที่มันเจ็บนั้น มันกำลังเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้ออะไรในตาบ้าง และเชื่อมโยงกับปัจจัยภายนอกอะไรบ้าง เป็นต้น เพราะเป็นความเจ็บแปลบที่เกิดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่สามารถเตรียมพร้อมล่วงหน้าเพื่อคอยเฝ้าสังเกตการณ์ได้ ในที่สุดจึงยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางจักษุคนไหนทราบสาเหตุของอาการปวดที่หาง ตา เหมือนใครเอาเข็มมาแทงนี้เลย

    หลังจากที่ดิฉันฟังแล้วก็เข้าใจเรื่องการเรียนรู้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์มาก ขึ้น นั่นคือการจะศึกษาอะไรอย่างเป็นวิทยาศาสตร์หรือศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมให้มาก ที่สุดนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีผู้มอง ( observer ) ทำหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์ต่อปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงในขณะนั้นๆ เพื่อเรียนรู้ลักษณะการทำงานของปรากฏการณ์และการประสานกับปัจจัยอื่นๆ แต่หากปรากฏการณ์ใดที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอย่างรวดเร็วมาก เช่น ความเจ็บแปลบของตาเหมือนถูกเข็มแทง แม้เป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับส่วนกาย (รูป) ซึ่งน่าจะเฝ้าสังเกตการณ์ได้ง่ายมากกว่าสังเกตปรากฏการณ์ที่เป็นพลังงาน (นาม) แต่หากปรากฏการณ์นั้นเกิดไม่นานพอ การศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมก็เกิดไม่ได้เช่นกัน จึงไม่สามารถสรุปผลที่เป็นความรู้เพื่อทำความเข้าใจถึงปัญหา ว่าทำไม่จึงเกิด

    ดิฉันเอาเรื่องนี้มาคิดเทียบเคียงกับเรื่องการดูความคิด (เจอร์รี่) หรือดูจิตในทางพุทธศาสนา นี่ขนาดเรื่องการสำรวจดูกล้ามเนื้อตาอันเป็นเรื่องของรูปและมีเครื่องมือ พร้อมสรรพยังเจอปัญหามากเช่นนี้ การดูความคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นฝ่ายนามย่อมเป็นเรื่องยากมากขึ้น อีกหลายร้อยเท่าตัว

    แต่อาจมีคนสงสัยว่าทำไมต้องมาดูหรือศึกษาความคิด ก็เพราะความคิดดี-ชั่วของมนุษย์ เป็นต้นเหตุของการกระทำทุกอย่างบนโลกนี้ ความคิดโลภ โกรธ เกลียด อิจฉา เป็นสาเหตุของเหตุการณ์อันชั่วร้ายมากมาย จนก่อให้เกิดสงครามทุกหย่อมหญ้า

    การเรียนรู้เรื่องความคิดหรือจิตใจของมนุษย์ เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมที่แตกต่างทั้งดี ชั่ว จึงเป็นสิ่งที่นักปรัชญา นักมานุษย์วิทยานักสมองวิทยา และนักจิตวิทยาทำกันมาอย่างต่อเนื่องนับพันปีแล้วตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ แต่มาถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนสามารถสรุปเป็นความรู้ที่ชัดเจน และหาทางออกให้มนุษย์อยู่อย่างเป็นสุขได้

    ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มเอาพฤติกรรม ของมนุษย์ไปพ่วงกับยีน จนก่อให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ( genocide ) เพื่อทำลายยีนที่ไม่ต้องการของมนุษย์ บ้างก็นำมาประสานกับเรื่องสารเคมีในร่องสมอง จนก่อให้เกิดวัฒนธรรมการกินยากล่อมประสาท เป็นต้น

    แต่ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลเดียวของโลก ที่สามารถศึกษาเรื่องความคิดหรือจิตใจของมนุษย์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด ความยากของการเรียนรู้การทำงานของความคิดหรือจิตใจมนุษย์มาจากสาเหตุเหล่า นี้

    • ปรากฏการณ์ที่ต้องการเฝ้าสังเกตนั้น เป็นนามหรือพลังงานและอยู่ภายในร่างกายของมนุษย์

    • ขาดเครื่องมือ ที่จะนำมาใช้ดูปรากฏการณ์ของความคิด

    • ปรากฏการณ์ที่ต้องการเฝ้าสังเกตการณ์ (ความคิด) มีลักษณะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอย่างรวดเร็วมากที่สุด ไม่มีปรากฏการณ์ธรรมชาติใดๆ ในจักรวาลที่เกิดดับได้เร็วมากกว่าความคิดอีกแล้ว

    แต่ด้วยความเป็นพระศาสดาเอกและพระบรมครูของโลก พระพุทธเจ้าจึงสามารถหาทางออกได้อย่างยอดเยี่ยมต่ออุปสรรคอันมหึมาเหล่านั้น ทางออกของพระองค์คือ

    • พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า จำเป็นต้องใช้ร่างกายที่ยาววา หนาคืบ และกว้างศอกนี้ เป็นหลอดทดลอง เพราะปรากฏการณ์ของตัวปัญหาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ จะไปศึกษาที่อื่นย่อมไม่ได้

    • พระพุทธเจ้าทรงหยิบยื่นเครื่องมือพื้นฐานที่มนุษย์และแต่ละคนสามารถใช้เฝ้า สังเกตปรากฏการณ์ของความคิด (เจอร์รี่) โดยทรงบอก ให้ใช้อายตนะที่ ๖ หรือตาใจของตัวใจ (วิญญาณขันธ์) ซึ่งจะทำหน้าที่เหมือนตาเนื้อของตัวกายเป็นผู้เฝ้าดูปรากฏการณ์ต่างๆ ในโลกและจักรวาลที่ต้องการศึกษา

    • เมื่อได้เครื่องมือ (ตาใจ) ที่เหมาะสมกับงานแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงหยิบย่นวิธีการเพื่อเฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ของความคิดที่เกิด ขึ้นตั้งอยู่ และดับไปอย่างรวดเร็วนี้ นั่นคือสติปัฏฐาน ๔ หรือวิปัสสนา

    คำว่าวิปัสสนา แปลว่า การทัศนา หรือเฝ้ามองโดยรอบ มองอะไรก็มองทัศนียภาพในโลกของใจ ซึ่งมีความคิด ความรู้สึก (เจอร์รี่) โดยมองมันอย่างละเอียด รอบคอบ (โยนิโสมนสิการ) แต่ท่านตระหนักถึงความยากที่จะมองทัศนียภาพของความคิดที่เกิด-ดับที่เร็วมาก ท่านจึงสอนให้เอาเครื่องมือ (ตาใจหรือสติ) มาลับให้คมชัดเสียก่อน คงเปรียบเทียบได้กับการสร้างกล้องจุลทรรศน์หรือกล้องส่องทางไกลเพื่อดูของ เล็กมากกับไกลมาก เพราะตาเนื้อไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกินความสามารถได้ กล้องเหล่านี้จึงยังคงเป็นส่วนหนึ่งของตาเนื้อของมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพมาก ขึ้นเท่านั้นเอง

    การลับให้ตาใจคมชัดเพื่อทำงานได้เต็มที่นั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เอาสติมาตรึงไว้ที่ฐานกายและเวทนาก่อน การฝึกสติของสองฐานแรกนั้น ผู้ฝึกต้องหัดใช้ตาใจ (สติ) มองสิ่งที่หยาบๆ ก่อน เช่น ลมหายใจการเคลื่อนไหว และความรู้สึกส่วนกาย เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ซึ่งล้วนเป็นเรื่องหยาบ เพื่อให้มีสายตาใจที่คมชัดมากขึ้น พอสายตาใจคมชัดแล้ว ผู้ฝึกก็จะค่อยๆ เห็นการเกิด-ดับของความคิด(เจอร์รี่)ได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเป็นเนื้อหาของการดูทัศนียภาพหรือปรากฏการณ์ของความคิด ซึ่งคือการก้าวสู่การฝึกจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ดูจิตหรือดูเจอร์รี่) นี่คือขั้นตอนการเฝ้าสังเกตการณ์ความคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด เพราะมีผู้สังเกตการณ์ ตาใจ/สติ ที่กำลังทำหน้าที่สังเกตปรากฏการณ์ (ความคิด/เจอร์รี่) ที่ต้องการเรียนรู้อยู่

    หากเปรียบรถไฟเป็นความคิด ตัวใจ/สติจะต้องนั่งเฉยๆอยู่ที่ชานชาลา และใช้ตาใจ / สติ เฝ้าดูรถไฟของความคิดที่เข้าๆออกๆ (เกิดดับ) อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ เช่น ๕ ปี บ้าง ๑๐,๒๐,๓๐, หรือ ๕๐ ปีบ้าง เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์การทำงานของความคิดความรู้สึกทางใจของมนุษย์ หรือดูพฤติกรรมของเจอร์รี่นั่นเอง คนที่มีสายตาใจคมชัดมากนั้น จะเห็นรายละเอียดมากขึ้น คือเห็นต้นตอของการเกิดความคิด ไปจนถึงการกระทำที่ก่อให้เกิดความสุข-ทุกข์ขึ้นมา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเรียก ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งท่านเปรียบเหมือนห่วงโซ่ ๑๒ ห่วงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างรวดเร็วมาก คนที่สายตาใจไม่คมกริบแล้ว จะมองไม่เห็นรายละเอียดในส่วนนี้

    เมื่อผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานสามารถเห็นรายละเอียดถี่ยิบได้เช่นนี้แล้ว ก็จะมาถึงขั้นตอนการสรุปความรู้ที่ได้จากการเฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ความคิด เป็นเวลานาน คือรู้ว่าความคิดของมนุษย์ตกอยู่ในลักษณะอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เหมือนปรากฏการณ์ทุกอย่างของจักรวาล ยกเว้นพระนิพพานเท่านั้น และในขณะที่ความคิดอยู่ในหัวเรานั้น มันสามารถสร้างโลกมายาครอบตัวใจของเรา ทำให้เข้าใจผิด (อุปาทาน) ว่าสิ่งต่างๆที่เราสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง ๕ เป็นของจริงหมด แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นสิ่งที่หลอกลวงไม่ใช่ของจริง เพราะทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่นานบ้าง ไม่นานบ้าง แต่ในที่สุดแล้วมันล้วนดับหายไปหมด ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ถาวรสักอย่างเดียว ยกเว้นพระนิพพาน

    ฉะนั้นกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) จงเป็นทฤษฎีหรือความรู้รวบยอดที่พระพุทธเจ้าสรุปออกมา หลังจากที่ท่านเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิตแล้ว แต่ถึงแม้ท่านสรุปให้แล้ว มนุษย์ทุกคนจะต้องผ่านขั้นตอนการปฏิบัติวิปัสสนา เพื่อจะได้เห็นกับตาใจของตนเอง จึงจะเข้าใจกฎไตรลักษณ์ได้อย่างแท้จริง

    เนื่องจากทางสายตาใจ (สติ) คมชัดมากนั่นเอง ตาใจที่คมกริบนี้ จึงสามารถมองทะลุทะลวงเข้าไปเห็นอีกสภาวะหนึ่งที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เปรียบเหมือนหากมีกล้องส่องทางไกลที่ดีมากๆ ก็จะยิ่งเห็นดาวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สภาวะที่ละเอียดอ่อนมากนี้ ไมได้ตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์เหมือนทุกสิ่งในโลกและจักรวาล นั่นคือท่านเห็นนิพพานธาตุ (อสังขตธาตุ) อันเป็นธาตุในธรรมชาติที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะมาประสูติหรือไม่ก็ตาม อสังขตธาตุนี้ก็จะคงอยู่ของมันเช่นนั้นเสมอไป ตั้งแต่อนันตกาลไปสู่อนันตกาล ธาตุนี้จึงเป็นสัจธรรมอันสูงสุดของจักรวาลและของชีวิต ซึ่งเป็นสภาวะเดียวกับที่นี่ เดี๋ยวนี้ (here and now) หรือ ผัสสะบริสุทธิ์ จะเรียกชื่อไหนก็ได้ไม่สำคัญ เพราะชื่อเหล่านี้ล้วนชี้ไปสู่สภาวะหรือธาตุที่ “ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน” เดียวกันหมด

    สติปัฏฐาน ๔ หรือวิปัสสนา จึงเป็นเรื่องเดียวของพุทธศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง


    เรื่องโดย อาจารย์ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน
    แสดงกระทู้ - วิปัสสนา วิทยาศาสตร์ของพุทธศาสนา (เรื่องโดย อ.ศุภวรรณ) • ลานธรรมจักร
     
  11. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  12. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ร่วมวิสัชชนา ตามความเข้าใจนะค่ะ "พระอรหันต์" ท่านได้ปฏิบัติจนท่านสามารถจะปล่อยวางได้ทุกสิ่งทุกอย่างได้หมดแล้ว แม้แต่ทุกอริยะบทของการ เคลื่อนไหว ท่านก็จะมีสติ คือสติขั้นอัตโนมัติแล้วท่านจะรู้ทุกสิ่งว่าท่านจะพูด จะคิด จะทําทุกอย่างก็จะมีสติ และจิตท่านก็อยู่เหนือขันธ์ ท่านรู้อยู่ว่าขันธ์นี้มันเป็นทุกข์ แต่ท่านก็อยู่เหนือ "ทุกข์" เหนือ "เวทนา"ได้ โดยท่านไม่ได้ยึดแล้ว แค่อยู่ไปและก็รักษาธาตุขันธ์ท่านไว้ แต่ท่านก็รู้รอบในทุกสิ่งว่ามี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นของธรรมดาของมันอยู่แล้ว และคําว่าทุกข์ก็จะไม่มีในท่านผู้เป็นพระอรหันต์ แต่สําหรับพระอรหันต์ "อุปาทาน"นั้นก็จะยังไม่พ้นจากทุกข์ เพราะถ้าทุกอย่างเป็น "อุปาทาน" ก็ยังมีการยึดอยู่ ก็ไม่พ้นจากทุกข์ ก็ไม่ต่างจากการมีขันธ์ ๕ ก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าผู้พ้นแล้วก็จะไม่ทุกข์ในขันธ์นั้นฉันใดพระอรหันต์ก็ฉันนั้น ขอตอบตามความเข้าใจค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2013
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    จงอย่าได้ประมาทกับวัน เวลาที่มันผ่านไปๆ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น มืดจรดสว่าง กี่อาทิตย์ กี่เดือน กี่ปี กี่กัปป์ กี่อสงไขยแล้ว ที่ชีวิตของเราต่างพากันเวียนวนกันอยู่เยี่ยงนี้ วนเวียนไปด้วยความทุกข์โทมนัสที่เราได้ก่อขึ้นเอง มีความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เสียใจ น้อยใจ ท้อใจ หดหู่ใจ คับแค้นใจ วุ่นวายใจกับความปรารถนาไม่สมหวัง สารพัด กี่ครั้งคราแล้ว ที่เป็นอยู่เยี่ยงนี้ ก็เพราะ "ใจ" ใจที่ไม่ยอมรับความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้น ก็ในเมื่อ "โลก" อันหมายถึงตัวเรา ตัวเขา ตัวเธอ แลวัตถุธาตุทั้งหมดนั้น มันถูกครอบงำด้วยความเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เราก็ต่างพากันได้ยินได้ฟังมากันทั้งนั้น แต่ก็มิได้ใส่ใจในความจริงที่เราได้สัมผัสกระทบ กลับพากันไปยึดถือว่ามันจักต้องเป็นเยี่ยงนั้น เยี่ยงนี้ ไปยึดเอาความเป็นอนิจจัง ให้เป็นนิจจัง คือไปยึดถือเอาความไม่เที่ยงแท้ ให้เป็นความแน่นอน เมื่อมันไม่เป็นไปตามความปรารถนา ก็นั่นล่ะ..!

    มันก็เป็นทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์ก็รับไม่ได้อีก ทั้งๆที่ทุกข์ก็มิใช่ตัวตนของเรา มันเป็นของโลก โลกนี้มันจักมีกระไร มีแต่ความแก่เฒ่าชรานำไป มีแต่ความเสื่อมนำไป มีแต่ความฉิบหายนำไป โลกมันนำไปมันก็ไม่ไปเปล่า กลับดึงอายุ ดึงวันเวลา ดึงชีวิตเราไปด้วยทุกวันๆ ก็ในเมื่อโลกนี้มันไม่เที่ยง เรายึดความไม่เที่ยง เราก็ต้องเป็นทุกข์นะสิ

    พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้วว่าให้ วาง ให้พิจารณาดูที่จิตของเรา เตือนตัวเรา เพ่งโทษที่เรา มิใช่ไปดูใครอื่น มิใช่ไปเพ่งโทษบุคคลอื่น ถ้าเราไปตามดูบุคคลอื่น ดูการกระทำของผู้อื่น แล้วใจเราเกิดทุกข์ดั่งที่กล่าวมา อันนี้มันโง่ มันบ้า มันเป็นคนบ้า..! หากพิจารณาดูจิตตนเอง มันก็จักสงบระงับดับนิวรณ์ ก็จักเกิดปัญญา เกิดความเยือกเย็นใจไม่เร่าร้อนด้วย ไฟแห่งราคะกามกิเลส ไฟแห่งโทสะความแค้นเคือง อาฆาต จองเวร ไฟแห่งโลภะความอิจฉาริษยา อยากมี อยากเป็น อยากได้...

    จิตนี้มันต้องมีสมาธิสัมผัสกระแสเยือกเย็นจริงๆก่อน มิใช่เย็นแต่ปากพูด สงบแต่ปากพูด พูดกันแต่ปากว่าจิตสงบ อารมณ์สบายหวังให้ใครอื่นเขาชื่นชมตน ทั้งๆที่กิเลสเต็มหัว จักทำไปเพื่อกระไร จักพูดไปเพื่อกระไร ได้กระไรกับการกระทำเยี่ยงนั้น...

    จงใช้ศีล จงใช้สมาธิ จงใช้ปัญญาพิจารณาลงไปให้ละเอียดถ่องแท้ ให้เกิดปัญญาพิจารณาให้เห็นทุกข์ โทษ ภัย เวรในโลกให้ได้ เห็นให้ชัดเจน ยอมรับให้ได้ แล้วจักคลายความโง่ จักได้เลิกหลงสมมติ กลายเป็นวิมุตติ หลุดพ้นจากโลกแห่งอาสวะกิเลส ได้ในที่สุด...จงพากันใคร่ครวญ พิจารณากันให้ดีเถิด..!!


    พระธัมมสรโณ(หลวงพี่เอก วัดเขาแร่ ในพระสังฆราชูปถัมภ์)
    ๕ มกราคม ๒๕๕๖

    ที่มา fb ศูนย์พุทธศรัทธา สระบุรี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2013
  14. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ทุกข์เพราะไม่รู้จักตัวเอง



    เมื่อพูดว่า คนเราทุกข์เพราะไม่รู้จักตัวเอง อาจจะฟังดูแปลก ๆ
    เพราะเรามักคิดว่าเรารู้จักตัวเองกันดีทุกคน
    แต่ความจริงที่เป็นอยู่ในโลกปัจจุบันก็คือ
    คนเราโดยทั่วไปมักไม่รู้จักตัวเอง

    แม้ชีวิตอยู่ 100 ปี มีสติปัญญาเฉียวฉลาด
    เรียนจบปริญญา ตรี โท เอก เป็นศาสตราจารย์
    ทำงานเก่ง สร้างฐานะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี
    เป็นผู้บริหารระดับชาติ ระดับนานาชาติ

    แต่ถ้ายังกลัว โกรธ ร้องไห้ เสียใจ ทุกข์ใจอยู่
    ก็เพราะไม่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง

    คนเราจะรู้จักตัวเองได้ดีขึ้นจากปัจจัยสำคัญสองประการ คือ

    'ปัจจัยภายนอก' คือ กัลยาณมิตร หมายถึง บุคคลที่แนะนำชี้ทางที่ถูกที่ควรให้กับเรา นับตั้งแต่พ่อแม่ พี่น้อง ญาติมิตร ครูอาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่นำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาบอกกล่าวแก่เรา

    'ปัจจัยภายใน' คือ โยนิโสมนสิการ หมายถึง การนำธรรมะที่ได้ยินได้ฟังมา พิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาของตนเอง และที่สำคัญที่สุด คือการใช้ "ใจ" เฝ้าสังเกตดูการกระทำ คำพูด และความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจของตัวเอง เป็นการเจริญสติ เมื่อเราเฝ้าสังเกตดูการกระทำ คำพูด และความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจของตัวเองได้มากเท่าไร เราก็จะรู้จักและเข้าใจตัวเองได้มากเท่านั้น
    พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก​
    [/B]​
     
  15. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    อริยสัจจะ แปลว่า ของจิงอันประเสริฐ หลักฐานรับรองไว้ว่า ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า

    ผู้มีกาย วาจา ใจ อันประเสริฐ คือเปลี่ยนจากปุถุชน เป็นอริยบุคคลไปเลย.

    อริยสัจจะ แปลว่า ของจริงแห่งพระอริยเจ้า ดังมีหลักฐานรับรองไว้ว่า ผู้ที่เป็น

    พระอริยเจ้านั้นต้องเจริญด้วยวิปัสสนากรรมฐาน จนได้บรรลุอริยสัจธรรม ๔ นี้ทุกๆท่าน.

    อริยสัจจะ แปลว่า ของจริงอันไปจากข้าศึก ของจริงอันไม่ผิด ดังมีหลักรับรองไว้

    ว่าถ้าผู้ใดเดินตามทางสายนี้ ข้าศึกหรือกิเลสไม่มี และเมื่อเดินทางถึงแล้ว จะไม่มีวันกลับ

    ไปสู่อบายภูมิได้อีกเลย และไม่มีโอกาสจะตกต่ำได้มีแต่จะเจริญยิ่งๆขึ้นไปตามลำดับๆ

    จนกระทั่งถึงพระอรหันต์ที่แท้จริง. เพราะเหตุว่า อริยสัจจะ ๔ เป็นสัญญาลักณ์ของพระพุทธภาษิต

    แม้อริยสัจ ๔ ก็เป็นตราประจำตำแหน่งขององค์สัมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่า พระราชลัญจกร

    ฉนั้นเหมือนกัน. เพราะเหตุว่า พุทธบริษัท จะถึงมรรค ผล นิพพาน ก็มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือลงมือทำ

    เจริญวิปัสสนากรรมฐาน จนรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔. สาธุ สาธุ สาธุ.





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2013
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ร่วมวิสัชชนา จิตอรหันต์แท้ vs จิตอรหันต์อุปาทาน

    สาธุขออนุโมทนา กับท่านทั้งสอง ที่นำเอาคำถามและคำตอบนี้มา

    เพื่อให้เราท่านได้นำมาซึ่งความเข้าใจ ในคำว่าพระอรหันต์แท้.

    สำหรับพระอรหันต์อุปาทานถ้ายังมีการยึดอยู่ก็ยังเป็นไปตามแบบอย่างของผู้ปฏิบัติเท่านั้น

    หลวงปู่สังวาล เขมโก ท่านจะสอนไว้เสมอว่าให้ผู้ปฏิบัติ รู้เฉย รู้เฉย รู้เฉย

    นั้นมันมีประโยชน์กับเราถ้าเราใช้ในทางที่ถูก คำว่า รู้เฉย จะสามารถทำให้เป็น

    พระอรหันต์แท้ หรือ พระอรหันต์อุปาทานก็ได้ ขออนุโมทนาค่ะ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2013
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อ
    ๑.เพื่อความกําหนัดย้อมใจ
    ๒.เพื่อความประกอบทุกข์
    ๓.เพื่อความสะสมกองกิเลส
    ๔.เพื่อความมักมากอยากเป็นใหญ่
    ๕.เพื่อความไม่สันโดษยินดีด้วยของที่มีอยู่
    ๖.เพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
    ๗.เพื่อความเกียจคร้าน
    ๘.เพื่อความเลี้ยงยาก
    ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่า "ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย" ไม่ใช่คําสั่งสอนของพระศาสดา และธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ
    ๑.เพื่อความคลายกําหนัด
    ๒.เพื่อความปราศจากทุกข์
    ๓.เพื่อความไม่สะสมกองกิเลส
    ๔.เพื่อความอยากอันน้อย
    ๕.เพื่อความสันโดษยินดีด้วยของที่มีอยู่
    ๖.เพื่อความสงัดจากหมู่
    ๗.เพื่อความเพียร
    ๘.เพื่อความเลี้ยงง่าย
    ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่า "เป็นธรรม เป็นวินัย" เป็นคําสั่งสอนของพระศาสดา.ที่มา ธรรมวิภาคและคิหิปฏิบัติ.
     
  18. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=B4iKiE35hlU]สคส สวีทตี้ : MV สภาวะทิ้งตัว HD (OFFICIAL) - YouTube[/ame]

    สภาวะทิ้งตัว หมด ...จด


    ฟังเอาแก่นนะ ขำๆ ไม่มีไรครับ



    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  19. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=CeD-oelS3lI]ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ - YouTube[/ame]

    อยากให้ฟังครับ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  20. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Mvw6o3XGQ1s]เพลงธรรมมะ จิตวิมุติ ปัจจุบันขณะ - YouTube[/ame]

    ลาก่อนทุกท่าน ... ไม่มีเราแล้ว


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่หมด
     

แชร์หน้านี้

Loading...