สิ่งที่น่ากลัวกว่าภัยพิบัติ อ่านก่อนถึงวันสิ้นโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 4 มกราคม 2013.

  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [​IMG]
    สิ่งที่น่ากลัวกว่าภัยพิบัติ
    พระไพศาล วิสาโล

    บทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือ อ่านก่อนถึงวันสิ้นโลก
    สำนักพิมพ์ ดีเอ็มจี

    ในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมาเกิดเหตุแผ่นดินไหวและภัยธรรมชาติมากมายทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อต้นปีที่ผ่านมาภัยพิบัติเกิดขึ้นใกล้บ้านเรามาก เริ่มจากญี่ปุ่นแล้วก็พม่า แม้ตอนนั้นอุทกภัยครั้งใหญ่ในเมืองไทยยังไม่เกิดขึ้น แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ผู้คนทั่วทั้งประเทศตื่นตระหนกกันมาก นั่นเป็นเพราะมีความกลัวตายเป็นพื้นฐาน แต่เรามักจะลืมไปว่าถึงแม้ไม่เกิดภัยพิบัติเลย เราก็ต้องตายทุกคน และหลายคนก็จะต้องตายก่อนเกิดภัยพิบัติครั้งหน้าด้วยซ้ำ ดังนั้นแทนที่จะมัวตื่นตระหนกถึงภัยพิบัติครั้งต่อไป ซึ่งจะเกิดที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ เราควรมาใส่ใจกับความจริงที่ตามติดเราไปทุกหนทุกแห่ง นั่นก็คือความจริงที่ว่าสักวันหนึ่งเราทุกคนต้องตาย ถึงจะไม่มีภัยพิบัติใด ๆ เกิดขึ้นในอีกร้อยปีข้างหน้า เราทุกคนก็หนีความตายไม่พ้น

    ดังนั้นเราจึงควรเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับความตายที่จะมาถึงดีกว่า เช่น หมั่นทำความดี หลีกหนีความชั่ว ปฏิบัติต่อคนรอบข้างด้วยความใส่ใจ ฝึกจิตให้ตระหนักรู้ถึงความไม่จิรังยั่งยืนของทุกสิ่ง และพร้อมปล่อยวางเมื่อเกิดความพลัดพรากสูญเสีย ถ้าทำเช่นนี้ได้ครบถ้วน ความกลัวตายก็จะลดลง และไม่ตื่นกลัวภัยพิบัติ กลับมองว่าภัยพิบัติเหล่านี้มีข้อดีด้วยซ้ำตรงที่ช่วยเตือนไม่ให้ประมาท เราควรมองภัยพิบัติทั้งหลายในแง่นี้บ้าง ไม่เช่นนั้นก็จะมัวตื่นตระหนกตกใจ จนไม่เป็นอันทำอะไร และพลาดโอกาสที่จะทำสิ่งดี ๆ ให้แก่ตนเองและผู้อื่น

    พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ควรเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติ เช่น มีการวางแผนบรรเทาสาธารณภัยที่รัดกุม เตรียมสิ่งของเครื่องใช้ในยามฉุกเฉิน เป็นต้น การเตรียมการดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราไม่ควรมองข้ามความจริงข้อหนึ่งก็คือ ภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ฝนแล้ง หรือคลื่นสึนามิ แม้จะรุนแรงเพียงใดก็ไม่น่ากลัวเท่ากับใจวิบัติ ถ้าใจวิบัติแล้วความเสียหายจะตามมามากมาย

    ใจวิบัติหมายถึงอะไร หมายถึงใจที่วิปริตผิดเพี้ยน คลาดเคลื่อนจากธรรม หรือถูกกัดกร่อนเผาลนด้วยความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ใจที่วิบัติสามารถทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมไม่ต่างจากสัตว์ และสามารถทำร้ายซึ่งกันและกัน จนทุกหนทุกแห่งกลายสภาพเป็นนรกได้ฉับพลัน แต่ถ้าใจไม่วิบัติแล้วแม้จะเจอภัยพิบัติแค่ไหนก็ยังพอจะประคับประคองกันไปได้ อย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิแล้ว ความเดือดร้อนแพร่กระจายไปทั่ว แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ ที่ผู้คนกล่าวขานด้วยความชื่นชมว่า คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยยังมีวินัย มีน้ำใจต่อกัน ขนาดเกิดภัยพิบัติร้ายแรง ก็ยังไม่มีการปล้นสะดม ไม่มีการฉวยโอกาสที่กระหน่ำซ้ำเติมผู้เดือดร้อน

    เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองไทยแล้วจะเห็นว่าตรงกันข้าม ดังปรากฏเป็นข่าวเสมอว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกันบนทางหลวง ผู้โดยสารบาดเจ็บติดอยู่ในรถ ช่วยตัวเองไม่ได้ ผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้นแทนที่จะมาช่วยเหลือ กลับมารุมทึ้ง แย่งเอานาฬิกา สร้อยคอ เงินทองของผู้ประสบเหตุ คงคิดว่าเจ้าของทรัพย์เหล่านั้นเสียชีวิตแล้ว ก็เลยถือเอามาเป็นของตัวเสียเลย แต่ผู้โดยสารบางคนแม้ยังไม่ตาย ก็ยังมีคนมายื้อยุดนาฬิกาจากมือของเขา ทั้ง ๆ ที่เขาวิงวอนขอร้องว่าอย่าทำ นี้คือตัวอย่างของใจวิบัติที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นยักษ์มาร ไร้เมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ หากใจวิบัติเกิดขึ้นกับคนทั้งประเทศ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบ้านเมืองจะร้อนรุ่มปานสักเพียงใด

    ภาพเหล่านี้เห็นยากในประเทศญี่ปุ่น แม้กระทั่งเวลามีการแจกข้าวแจกน้ำ ผู้คนก็เข้าคิวกันเป็นระเบียบ ไม่มีการแย่งแซงคิวกัน มีคนเล่าว่า วันแรกที่เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ คนนับหมื่นนับแสนสูญเสียบ้านเรือน ปรากฏร้านค้าต่างๆ ที่ไม่ประสบภัยพิบัติพากันเปิดร้าน และเอาอาหารมาแจกคนที่เดือดร้อน ถ้าเป็นที่อื่นหรือที่เมืองไทยร้านค้าก็อาจจะขึ้นราคา เพราะถือว่าได้โอกาสแล้ว ถึงจะแพงอย่างไรคนก็ต้องซื้อ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหรืออาหาร แต่ที่ญี่ปุ่นเหตุการณ์ดังกล่าวแทบไม่เกิดขึ้นเลย ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง สินค้าตกมากองระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว แต่ลูกค้าก็ช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบของที่ตนต้องการซื้อไปต่อคิวจ่ายเงิน

    ในโตเกียวมีคนมากมายกลับบ้านไม่ได้ เพราะรถไฟฟ้าหยุดวิ่ง หลายคนนอนข้างทางเพราะโรงแรมเต็ม ก็มีคนจรจัดซึ่งเป็นคนยากจนไม่มีบ้าน เขามีน้ำใจเจียดเอากระดาษแข็งที่ใช้ก่อเป็นเพิง มาแบ่งให้คนเหล่านั้นมีที่นอน เพราะช่วงเดือนมีนาคมที่ญี่ปุ่นนั้นอากาศหนาวมาก ขณะเดียวกันเจ้าของร้านยังเอาขนมปังมาแจกฟรีแก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านเพราะหารถไม่ได้ มีพนักงานรถไฟคนหนึ่งประทับใจเด็กนักเรียนมาก เพราะเด็กนักเรียนมาพูดกับเขาว่า “ ขอบคุณครับ ที่เมื่อวานคุณลุงพยายามอย่างสุดชีวิตทำให้รถไฟเดินรถได้อีกครั้ง ” พนักงานรถไฟได้ยินถึงกับน้ำตาคลอ เรื่องเหล่านี้ทำให้ผู้คนมีกำลังใจ ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้เกิดภัยพิบัติแต่ถ้าใจไม่วิบัติ ก็ยังสามารถพบสุขท่ามกลางความทุกข์ แม้จะมีความทุกข์แค่ไหนผู้คนก็ไม่หมดหวัง

    เรามักเป็นห่วงกังวลกับอันตรายที่อยู่นอกตัว เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม แต่กลับไม่ตระหนักว่า อันตรายที่น่ากลัวที่สุดนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ใจของเรานั่นเอง เพราะถ้าใจของเราวิบัติเสียแล้ว ย่อมหาความสุขไม่ได้เลย แม้ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น มีความสะดวกสบายทุกอย่าง ก็ยังรู้สึกร้อนรุ่มจิตใจไม่เป็นสุข เพราะผู้คนต่างเบียดเบียนเอาเปรียบกัน

    คนเราใจวิบัติได้ด้วยหลายสาเหตุ นอกจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อสักครู่แล้ว ความโกรธก็ยังทำให้ใจวิบัติได้ เพราะว่าเมื่อเกิดความโกรธเกลียดกันแล้ว เราก็สามารถทำร้ายคนรักหรือคนใกล้ชิดได้ เช่นสามีทำร้ายภรรยา ลูกทำร้ายพ่อ พี่ฆ่าน้อง เป็นต้น อย่าว่าแต่ทำร้ายคนอื่นแล้ว แม้แต่ตัวเอง หากใจวิบัติแล้ว ก็ยังสามารถทำร้ายตัวเองได้ เช่น ฆ่าตัวตายเพราะน้อยเนื้อต่ำใจในคนรัก หรือต้องการประชดพ่อแม่ด้วยอำนาจของความโกรธ หลายคนฆ่าตัวตายทั้ง ๆ ที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ มีชีวิตที่สะดวกสบาย ไกลจากภัยพิบัติใด ๆ แต่ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่าตัวตาย ก็สามารถล้มป่วยเพราะความโกรธได้ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตกจนเป็นอัมพาตก็เพราะโกรธจัดจนคุมไม่ได้

    ความกลัวก็สามารถทำให้ใจเราวิบัติได้ เพราะเมื่อกลัวแล้วย่อมเกิดความตื่นตระหนกได้ง่าย ปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา ๆ จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ คนไข้บางคนพอรู้ความจริงจากหมอว่า ตนเองเป็นมะเร็ง อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน ก็ตกใจ ทำใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าจะต้องตาย วิตกกังวลสารพัด จนเศร้าซึมไม่เป็นอันกินอันนอน ปรากฏว่าอยู่ได้แค่ ๑๒ วันก็ตาย และไม่ได้ตายสงบด้วย แต่ตายด้วยความทุรนทุราย

    ทั้งหมดนี้กล่าวอย่างสรุปก็คือ ใจวิบัติเพราะลืมตัว จึงปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความกลัวทำร้ายจิตใจ พอลืมตัวแล้วก็สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้นรวมทั้งทำร้ายตนเอง บางคนเกิดอารมณ์ชั่ววูบจนลืมตัว กระโดดลงจากตึกบ้าง ลงจากสะพานบ้าง วิ่งไปให้รถชนบ้าง บางทีก็ไปซื้อปืนมายิงตัวเองบ้าง ทำร้ายคนอื่นบ้าง

    ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำในตอนนี้ก็คือตั้งสติให้ดี อย่ากลัวหรือตื่นตระหนกกับภัยพิบัติจนลืมตัว หรือมองข้ามอันตรายที่ยิ่งกว่านั้นคือใจวิบัติ อันตรายชนิดนี้ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ใจเรานี่แหละ ใจที่ควรจะสร้างสุขให้เรา แต่กลับกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของเรา อย่าลืมว่าไม่มีอะไรที่จะทำร้ายเราได้มากกว่าจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ “จิตที่ฝึกฝนผิดทางย่อมทำความเสียหายให้ยิ่งกว่าศัตรูต่อศัตรูหรือคนจองเวรต่อคนจองเวรจะพึงทำให้กันเสียอีก”

    ศัตรูทำร้ายศัตรูด้วยกัน หรือคนจองเวรกัน ก็ยังไม่ก่อความเสียหายเท่ากับใจที่ตั้งไว้ผิด ใจที่คลาดเคลื่อนจากธรรมหรือที่อาตมาเรียกว่าใจวิบัตินี้แหละ สามารถทำร้ายหรือสร้างความฉิบหายได้ยิ่งกว่าที่ศัตรูทำร้ายกัน แม้แต่โจรก็ทำร้ายเราได้ไม่เท่ากับใจของเราเองด้วยซ้ำ อย่างมากที่โจรแย่งชิงไปได้ก็คือทรัพย์สินเงินทองหรือเพชรนิลจินดาไป แต่เขาไม่สามารถแย่งชิงหรือขโมยความสุขไปจากใจเราได้ ในทำนองเดียวกันศัตรูด่าว่าเราไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้หรอก ไม่ว่าเขาจะพูดเสียงดังหรือสรรหาคำรุนแรงมาด่าเราเพียงใดก็ตาม ถ้าหากว่าใจเราไม่เปิดใจรับคำด่านั้น เราก็ไม่ทุกข์ แต่เพราะเราวางใจไม่ถูก คำพูดเพียงเล็กน้อยๆ ก็สามารถจะทำให้เราคลุ้มคลั่งเป็นบ้าหรือกลุ้มอกกลุ้มใจจนทำร้ายตัวเองได้

    มีหลายคนที่ฆ่าตัวตายเป็นเพราะเขาได้ยินคำพูดที่ไม่ถูกใจเพียงไม่กี่ประโยค ซึ่งอาจจะไม่ใช่คำพูดที่รุนแรงเช่น คำพูดว่า “แม่ไม่มีเงินซื้อโทรศัพท์มือถือให้นะ” หรือ “ถ้าแกสอบตก พ่อจะตัดหางปล่อยวัดแล้ว” คำพูดแค่นี้สามารถทำให้คนบางคนทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายได้ ถามว่ามันเป็นคำพูดที่รุนแรงหรือเปล่า มันไม่รุนแรงเลย แต่เป็นเพราะผู้ฟังวางใจไว้ผิด พอฟังแล้วใจก็เลยวิบัติ พอใจวิบัติแล้วก็สามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น รวมทั้งทำร้ายตัวเอง

    แต่ถ้าวางใจไว้ดี ใจไม่วิบัติ แม้เจอภัยพิบัติจมอยู่ในกองอิฐ ก็ยังเป็นปกติได้ ตอนเกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น มีหลานกับยายสองคนถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังนานถึง ๙ วัน ไม่มีใครคิดว่าจะรอด แต่เจ้าหน้าที่กู้ภัยไปพบและช่วยไว้ได้ คนที่ถูกช่วยออกมาจากซากปรักหักพังก่อนคือ หลานอายุ ๑๖ ปี พอหลานรู้ว่ามีคนมาช่วยก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความดีใจ แต่พอออกจากซากตึกได้ก็หมดแรงจนต้องนอนเปลขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ตรงกันข้ามกับยายอายุ ๘๐ ปีเดินออกมาสบายๆ ไม่มีอาการฟูมฟาย ไม่ต้องให้ใครพยุงหรือนอนเปล พูดถึงสภาพร่างกายแล้ว สองคนนี้แตกต่างกันมาก หลานแข็งแรงกว่ายายมาก แต่ทำไมหลานหมดสภาพทันทีที่ออกมาจากซากตึก ตรงข้ามกับยายที่เดินออกมาอย่างปกติ เป็นเพราะอะไร คำตอบอยู่ที่ใจนั่นเอง ใจของยายนั้นสงบตั้งแต่อยู่ในซากตึกแล้ว อาจเป็นเพราะมีความหวังว่าจะมีคนช่วยออกมาได้ หรือไม่ก็เพราะใจพร้อมจะตายตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเวลายายเจอเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็เลยไม่ได้ดีอกดีใจอะไรมาก และเมื่อใจสงบ ไม่วิตกกังวลร่างกายก็เลยเข้มแข็ง ไม่ทรุดหรือหมดสภาพ ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีอาหารกิน นี้ก็เช่นเดียวกับกรณีเหมืองถล่มที่ชิลีเมื่อปีที่แล้ว มีคนงาน ๓๓ คนถูกขังอยู่ใต้ดินลึกถึง ๖๐๐ เมตร นานถึง ๗๐ วัน ไม่มีใครรู้ว่าจะรอดหรือเปล่า ที่จริงโอกาสตายมีสูงมาก เพราะการช่วยเหลือทำได้ยากมาก แต่ว่าทุกคนก็รอดมาได้ ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่กู้ภัยเก่งอย่างเดียว แต่เป็นเพราะคนที่ถูกขังใต้ดินนั้นเขาดูแลจิตใจของตนเองดี ส่วนหนึ่งเพราะต่างช่วยกันดูแลจิตใจของกันและกัน ทำให้ไม่ตื่นตระหนก เสียขวัญ หรือท้อแท้ เห็นได้ชัดว่าแม้เจอภัยพิบัติแต่ถ้าใจไม่วิบัติ ใจเป็นปกติ สามารถพบกับความสุขหรืออย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ทรมานแม้จะอยู่ใกล้ชิดความตายอย่างยิ่งก็ตาม

    การรักษาใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาใจ รู้จักประคับประคองใจไม่ให้วิบัติ เราจะไม่กลัวภัยพิบัติ และไม่กังวลด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่นิ่งเฉย ไม่ทำอะไรเลย ในสภาพอย่างนี้เราต้องไม่ประมาท ควรเตรียมการป้องกันเต็มที่ แต่ก็ไม่ควรทำด้วยความตื่นตระหนก ขณะเดียวกันก็รู้ว่าอันตรายเหล่านี้ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะควบคุมได้ แม้แต่พยากรณ์ก็ยังทำได้ยาก โดยเฉพาะ แผ่นดินไหว ไม่มีทางพยากรณ์ได้เลย ดังนั้นจึงพร้อมเผชิญกับมันตลอดเวลา มิใช่แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น แม้ภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ เช่น ไฟไหม้ ก็ยังสามารถรักษาใจให้ปกติไม่อกสั่นขวัญแขวน หรือถึงจะไม่มีภัยพิบัติใดๆ เกิดขึ้นเลย แต่เป็นปรากฏการณ์ธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคนเช่น ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย แม้กระทั่งความตาย เมื่อเกิดขึ้นเราก็ยังสามารถรักษาใจได้ให้ปกติได้

    เราควรดูแลรักษาใจอย่างไรเพื่อไม่ให้ใจวิบัติ ขอกล่าวอย่างย่อ ๆ ดังนี้

    ๑.มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ความตื่นตระหนก ความกลัว ความโกรธ หรือความโลภ ครอบงำใจ เวลาได้ยินข่าวคราวหรือเสียงร่ำลือเกี่ยวกับภัยพิบัติ รวมทั้งคำพยากรณ์ต่าง ๆให้ตั้งสติให้ดี อย่าเพิ่งตื่นตระหนก หรือทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม สืบสาวหาความจริงก่อนว่า ความจริงเป็นอย่างไร หาไม่เราจะตกเป็นเหยื่อของข่าวลือ หรือทำให้ข่าวลือแพร่กระจาย พร้อมกันนั้นก็หมั่นเจริญสติอยู่เป็นประจำ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเพื่อจะได้มีสติ รักษาใจไม่ให้หวั่นไหวไปตามสิ่งที่มากระทบ

    ๒.อยู่กับปัจจุบัน อย่ามัวห่วงกังวลกับอนาคตหรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การเตรียมตัวป้องกันเหตุร้ายเป็นสิ่งที่ดี แสดงถึงการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แต่หากหมกมุ่นกับภัยพิบัติที่ยังไม่เกิด จนไม่รู้จักปล่อยวางเลย เราจะเป็นทุกข์โดยใช่เหตุ หรือกลายเป็นคนตีตนไปก่อนไข้ เมื่อเตรียมการเต็มที่แล้ว ก็ควรหันมาใส่ใจกับการอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด รวมทั้งมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย อย่ากังวลกับอนาคตภัยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือเคร่งเครียด เพราะการกระทำเช่นนั้น นอกจากเป็นการนำความทุกข์มาทับถมตนหรือซ้ำเติมตนเองแล้ว ยังเป็นการละทิ้งความสุขที่มีอยู่โดยชอบธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญ

    ๓.พร้อมยอมรับความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้น อะไรก็ตามเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้เป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ ป่วยการที่เราจะตีโพยตีพาย โวยวาย หรือปฏิเสธผลักไส เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังทำให้เราเป็นทุกข์เพิ่มขึ้น สิ่งที่ควรทำคือยอมรับความจริง แล้วใคร่ครวญว่าควรจะทำอะไรต่อไป เช่น จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร เราจะทำใจพร้อมยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นได้ก็ด้วยการหมั่นฝึกใจให้พร้อมยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ เช่น รถติด ฝนตก เงินหาย ถูกตำหนิ ฯลฯ หากทำใจยอมรับสิ่งเหล่านี้ด้วยใจที่เป็นกลางได้ ก็จะช่วยให้เราสามารถเผชิญกับภัยพิบัติได้ด้วยใจสงบไม่ตื่นตระหนกหรือเสียขวัญ

    ๔.เจริญมรณสติอยู่เสมอ นั่นคือตระหนักถึงความจริงว่า ความตายเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน และสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา ความตายจึงอยู่ใกล้ตัวเรายิ่งกว่าภัยพิบัติใด ๆ ทั้งสิ้น และถึงแม้ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นเลย เราก็หนีความตายไม่พ้น แต่ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่รู้ อาจเกิดขึ้นกับเราวันนี้คืนนี้ก็ได้ ดังนั้นจึงควรถามตัวเองว่า หากวันนี้ต้องตาย เราพร้อมหรือไม่ที่จะจากโลกนี้ไป เราทำความดีสร้างบุญกุศลมาพอหรือยัง กิจธุระที่สำคัญทำเสร็จสิ้นหรือยัง และพร้อมปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ รวมทั้ง ทรัพย์สมบัติ ลูกหลาน พ่อแม่ คนรัก ตลอดจนร่างกายนี้หรือยัง หากไม่พร้อมก็ควรเร่งทำ อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติกับทุกคนด้วยความใส่ใจโดยตระหนักว่าเขาอาจอยู่กับเราวันนี้เป็นวันสุดท้ายก็ได้ อย่าละเลยโอกาสที่จะทำดีกับทุกคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย

    ๕.มีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอ ยิ่งนึกถึงตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นทุกข์ง่ายมากเท่านั้น ตรงกันข้ามการนึกถึงผู้อื่นที่ทุกข์มากกว่าเรา จะช่วยให้เราทุกข์น้อยลง เห็นความทุกข์ของเราเป็นเรื่องเล็กกว่าเดิม สามารถทนกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้

    ตอนที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเมืองไทยเมื่อเร็ว ๆนี้ ผู้สื่อข่าวผู้หนึ่งซึ่งไปทำข่าวที่ปทุมธานีเล่าว่า ได้พบคุณลุงคนหนึ่ง กำลังลุยน้ำอยู่จึงรับขึ้นรถ คุณลุงเล่าว่าก่อนหน้านี้ได้ต่อเรือและรถหลายทอดมายังตัวเมืองปทุมธานี เพื่อหาซื้ออาหาร เพราะที่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๒๐ กิโลเมตรนั้นน้ำท่วมสูงมากจนหาซื้ออะไรไม่ได้ กว่าจะมาถึงตัวเมืองก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๔ ชั่วโมง ปรากฏว่าฟ้ามืดแล้ว ไม่สามารถหารถหรือเรือกลับบ้านได้ จึงต้องนอนค้างที่ตัวเมือง และกลับวันรุ่งขึ้น โชคดีที่เจอรถผู้สื่อข่าวกลางทาง คุณลุงเล่าว่าที่บ้านนั้นมีคนอาศัยอยู่หลายคน ต่างขาดแคลนอาหารกันทั้งนั้น เมื่อรถของผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงจุดที่รถกระบะไม่สามารถลุยต่อไปได้ ก็ให้คุณลุงลุยต่อหรือหาเรือกลับบ้านเอาเอง ก่อนจากกันผู้สื่อข่าวซึ่งนำถุงยังชีพไป แจกจ่ายระหว่างทำข่าวด้วย ได้มอบถุงยังชีพให้คุณลุงหลายถุงเพราะทราบว่ามีคนอยู่ด้วยกันหลายคน แต่คุณลุงกลับขอรับไปเพียงถุงเดียว ด้วยเหตุผลว่า “ยังมีคนอื่นที่เขาต้องการอีกมาก” คุณลุงรู้ดีว่าถุงยังชีพเพียงถุงเดียวคงพอใช้ได้แค่วันสองวันเท่านั้น แต่คุณลุงเห็นว่าปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัวนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อนึกถึงความทุกข์ของผู้อื่นที่หนักหนากว่า

    ใจของเรานั้นหากปล่อยให้วิบัติ สามารถทำอันตรายแก่เราได้ยิ่งกว่าที่โจรผู้ร้ายจะทำได้ ในทางตรงข้ามหากดูแลรักษาใจให้ดี ใจก็จะกลายเป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุดของเราได้ ไม่ว่าจะเจออันตรายร้ายแรงเพียงใด ก็ไม่หวั่นไหว หาสุขพบได้ท่ามกลางเหตุร้ายที่เกิดขึ้น หรือสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้

    ไม่มีใครหรืออะไรสามารถให้สิ่งประเสริฐแก่เราได้มากเท่ากับใจที่วางไว้ถูก ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “มารดาก็ทำให้ไม่ได้ บิดาก็ทำให้ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้ แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้อย่างประเสริฐด้วย” ถ้าเราตั้งจิตไว้ถูก มีธรรมรักษาใจ ก็จะได้พบสิ่งที่ประเสริฐสูงสุดที่แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่สามารถให้ได้

    ดังนั้นหากกลัวภัยพิบัติ ก็ต้องเร่งฝึกฝนจิตใจเพื่อป้องกันไม่ให้ใจวิบัติ หมั่นใส่ใจดูแลเพื่อให้ใจกลายเป็นสมบัติอันประเสริฐสุดของเรา ถ้าหากวางใจได้อย่างนี้ ภัยพิบัติจะกลับกลายเป็นคุณต่อเรา มิใช่เป็นโทษสถานเดียวอย่างที่ใครต่อใครกำลังหวาดกลัวอยู่ในเวลานี้

    http://www.visalo.org
     
  2. Reflect

    Reflect เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    887
    ค่าพลัง:
    +1,439
    เห็นด้วยครับ ใจคนมันวิบัติแล้วจริงๆ จากที่ออกมาปกป้องความเชื่อของตัวเองอย่าไม่คิดชีวิตไม่มองความเป็นจริง ได้แต่เวทนาสงสาร ช่วยอะไรไม่ได้
     
  3. samrung

    samrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +1,258
    รักษาใจอย่างไรเพื่อไม่ให้ใจวิบัติ
    ย่อๆ

    ๑.มีสติรู้เท่าทันอารมณ์
    ๒.อยู่กับปัจจุบัน
    ๓.พร้อมยอมรับความจริง
    ๔.เจริญมรณสติอยู่เสมอ
    ๕.มีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอ
    ขอโมทนา ธรรมของแท้ ผู้ปฎิบัติตามย่อมได้ผล ไม่ต้องสงสัย

    ธรรมะ คือ ธรรมชาติ

    ผู้มีศีลควรแนะนำส่งเสริม
     
  4. bulb

    bulb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    111
    ค่าพลัง:
    +301
    กระทู้ดีๆ แบบนี้มักจะตกเร็วมาก ดัน....
     
  5. Naruporn_pp

    Naruporn_pp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +113
    :cool::cool: ได้ประโยชน์จากการอ่านกระทู้นี้มากๆค่ะ....
     
  6. ์Ning chaiyo

    ์Ning chaiyo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +50
    สาธุ ในธรรม
    ได้สิ่งที่เตือนสติ ดีมากค่ะ
    ให้เข้าใจธรรมชาติ ดียิ่ง
     
  7. Thaveechai

    Thaveechai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +112
    ใจวิบัติ น่ากลัวกว่า ภัยพิบัติ จริงๆ ครับ สาธุ ๆ ๆ
     
  8. samrung

    samrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +1,258
    เอามาจากธรรมะ มหาสมปอง

    " หญิงชายที่เกิดในโลกนี้ ไม่เคย เกิดเป็น สามีภรรยา กัน ไม่เคยเกิดเป็น พ่อแม่พี่น้องกัน
    ไม่เคยเป็น ญาติพี่น้องกัน ไม่มี "


    เมื่อเราเป็นทราบอย่างนี้เราควรมี เมตตากัน เราไม่ทำร้ายกัน ให้เกียรติ กัน
    ให้ธรรมะ แก่กัน ..
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    คัดลอกมาบางส่วนจาก
    เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙
    อะไรตายกันแน่
    Luangta.Com -

    นิทานเรื่องกระต่ายตื่นตูมก็เป็นคติได้ดี กระต่ายกำลังนอนหลับ นอนฝันอยู่ใต้ต้นตาล ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ลมพัดมาที่ต้นมะตูม มะตูมถูกลมพัดก็หล่นลงมาถูกก้านตาล แล้วตกปึงปังมาที่กระต่ายกำลังนอนหลับ กระต่ายสะดุ้งตื่นทั้งหลับ กระโดดออกวิ่งทันที สัตว์อื่นๆ เจอกระต่ายกำลังวิ่งผ่านไปก็ถามว่า “วิ่งทำไม ?” กระต่ายร้องบอกไปคำเดียวว่า “ฟ้าถล่ม ๆ ! ” สัตว์นอกนั้นกลัวตาย ไม่ทันพิจารณาเหตุผลต้นปลายใดๆ ก็วิ่งหนีตามกระต่ายไป จนขาหักแข้งหักก็ยังไม่ยอมหยุด วิ่งไปคลานไปตามกระต่ายตัวแสนโง่ตัวนั้นไป จนกระทั่งไปถึงพระยาราชสีห์ พระยาราชสีห์ตวาดขู่ว่า “วิ่งมาอะไรกัน เป็นหมู่เป็นฝูงมากมาย จนลิ้นห้อยปากแบ็บ ไม่ได้สติสตังกันบ้างเลย จะวิ่งไปอะไรกัน!สัตว์เหล่านั้นก็ตอบว่า “ฟ้าถล่ม ๆ! ” พระยาราชสีห์รีบถามหาความจริงว่า ฟ้าถล่มยังไง ซักไปซักมาก็มาจนตรอกที่กระต่าย พระยาราชสีห์จึงห้ามให้หยุดวิ่ง และให้กลับไปดูตรงที่ว่า “ฟ้าถล่ม” นั้น เมื่อกลับมาดู ที่ไหนได้เห็นมะตูมลูกหนึ่งหล่นอยู่ตรงนั้น มีก้านตาลตกลงมาด้วย พวกสัตว์ที่ตื่นหลงตามกระต่าย ก็เจ็บแข้งเจ็บขาแทบเป็นแทบตาย ขาหักไปก็มีเยอะ แน่ะ!

    เรื่องกระต่ายตื่นตูมนั้น เมื่อนำมาเทียบเคียงแล้วจะได้แก่อะไร ก็ได้แก่พวกเราที่ตื่นเรื่องการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย หลงกันไปตื่นกันมาอยู่นี่เอง!

    พอพวกสัตว์โง่วิ่งไปถึงพระยาราชสีห์ซึ่งเป็นสัตว์ฉลาดห้ามไว้ และพาไปดูต้นเหตุ จึงพากันได้สติ ไม่ตายกันระนาวเพราะกระต่ายตัวโง่พาให้ล่มจม

    คำว่า “พระยาราชสีห์” ที่เป็นสัตว์ฉลาดนั้นได้แก่ใคร ? ได้แก่ศาสดาผู้สอนธรรม สอนความจริงให้แก่สัตว์โลกนั่นเอง เพื่อให้พิจารณาความจริงกัน ไม่ตื่นข่าว ตื่นลมตื่นฝนกันไม่หยุด ซึ่งก็คือความทุกข์ล่มจมแก่ตัวเองผู้โง่นั้นแล สิ่งจอมปลอมทั้งหลายเคยหลอกมาเป็นเวลานานนั้นก็หายไป เพราะบรรดาผู้ที่รู้ตามความจริงทั้งหลายแล้ว เรื่องความหลอกอย่างนี้จะหลอกไม่ได้เลย

    ดังพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายที่เป็นพระอรหัตอรหันต์ ท่านไม่หลงในเรื่องความเป็นความตาย แต่พวกเรามันพวก “กระต่ายตื่นตูม” จึงต้องให้เรียนให้ฟังคำสั่งสอน อันเป็นความจริงของพระพุทธเจ้า เหมือนกับพระยาราชสีห์ขู่ให้สัตว์เหล่านั้นมาดูต้นเหตุที่ว่า “ฟ้าถล่ม” มันถล่มจริงๆ หรือ เทียบกับการให้ดูเรื่องความตายว่ามันตายจริงๆ หรือ?

    เอ้า ค้นหากันให้เจออะไรมันตาย? มันก็เหมือนผลมะตูมหล่นลงถูกก้านตาลนั้นแล มะตูมหล่นคืออะไร? ก็คือความจริงมันอยู่ตามธรรมชาติของตนๆ เท่านั้น เรามาตื่นเอาเฉยๆ จะว่ายังไง!

    แต่ผู้ที่หลอกจริงๆ คืออะไร? มันคือ “อวิชชา” ออกมาจาก “อวิชชา” จริงๆ ค้นดูภายในจิตให้ละเอียดลออก็รู้กันที่นั่น สลัดปัดทิ้งกันที่นั่น เหลือแต่ธรรมชาติ “รู้” ล้วนๆ นั้นแลคือความจริงสุดส่วน เป็นความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง

    เรื่องกระต่ายตื่นตูมก็หมดไม่มีอะไรเหลือเลย นั่นแหละ พระยาราชสีห์หมายถึงปัญญา คือถ้าหมายถึงสมมุติของเราโดยเฉพาะก็ได้แก่ปัญญา ถ้าพูดถึงศาสนาก็หมายถึงองค์ศาสดาประกาศธรรมสอนโลก ฉะนั้นจงเรียนให้ถึงความจริง เพราะความจริงมีอยู่กับทุกคน ความจอมปลอมก็มีอยู่กับทุกคน จึงได้หลงกัน เรียนให้เข้าใจถึงความจริงแล้วไม่หลง อยู่ที่ไหนก็สบาย ความเป็นความตายก็สักแต่เป็นกิริยาที่ผ่านไปผ่านมา คำว่า “เกิด” อยู่ตามสมมุติว่าเกิดว่าตายเท่านั้น

    ส่วนต่างๆ ของธาตุรวมกันเข้าเป็นส่วนผสมแล้วสลายตัวลงไป รวมกันเข้าแล้วก็สลายตัวลงไป มีเท่านั้น ไม่มีอะไรแปลกกว่านั้นไป เข้าใจ รู้เสียอย่างเดียวเท่านั้น รู้ทั้งตัวรู้ทั้งเงาแล้วก็ไม่มีปัญหา อย่างแบบตาบอดคลำช้างมันถึงยุ่ง ถกเถียงกันอยู่ตลอดเวลาภายในพวกตัวเองนั้นแหละ พอถึงความจริงแล้วมันก็ช้าง คือความจริงอันเดียวนั้นแล

    เข้าถึงความจริงแล้วก็มีธรรมแท่งเดียวภายในใจ หายความตื่นตระหนกตกใจอะไรทั้งสิ้น เรื่องกระต่ายตื่นตูมมันหมดไปทันทีภายในใจ

    โลกธาตุจะมีอะไร? แม้มากมายก็ไม่ตื่นไม่เต้น เห็นไปตามความจริงทั้งหมด นี่เรียกว่า “โลกวิทู” รู้แจ้งโลก โลกเป็นอย่างไรรู้แจ้งชัดเจนหมด เป็นสภาพอย่างไรรู้แจ้งชัดเจนโดยตลอดทั่วถึง

    คำว่า “โลกวิทู” เป็นไปได้ทั้งสาวก เป็นไปได้ทั้งพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้ลึกซึ้งกว้างขวางยิ่งกว่าสาวกอีกมากมาย เราก็ให้เป็น “โลกวิทู” ในตัวของเรานี้ รู้แจ้งเห็นจริงในโลกแห่งขันธ์นี้ชัดเจน ไม่หลงขันธ์ไม่ยึดขันธ์ รู้ตามความเป็นจริงของขันธ์นี้ก็ไม่มีอะไรเป็นภัย
    ทุกข์จะเกิดขึ้นมากน้อยภายในร่างกาย เอ้า เกิดขึ้น ความจริงมีอย่างไรก็แสดงขึ้น ผู้ที่รู้ก็รู้จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย อะไรจะสลาย เอ้า ทนไม่ได้ก็สลายไป ผู้ทนได้หรือผู้อยู่ได้จงอยู่ จิตนั้นเองเป็นผู้อยู่ เพราะผู้นี้ไม่ใช่ผู้สลาย สิ่งใดที่ทนไม่ได้ก็สลายไป สิ่งที่ทนได้ก็ทนไป ถ้าพูดในฐานะที่ว่า “ทน” นะ แต่ผู้รู้นี้ไม่ได้ทนเพราะเป็นความจริง ผู้รู้ ๆ ๆ อยู่อย่างนั้น อะไรจะเกิดขึ้นอะไรจะดับไปก็รู้ อะไรจะสุขอะไรจะทุกข์ก็รู้ เมื่อหมดปัญหาเรื่องความสุขความทุกข์ที่เป็นส่วนสมมุตินี้แล้ว ก็หมดปัญหาภายในใจ คือไม่รับเรื่องที่วุ่นวายต่อไป

    นั่นแหละที่ท่านว่า “ปรมํ สุขํ” เป็นความสุขล้วนๆ อยู่กับจิตล้วนๆ ไม่ปลอมแปลง เราจะไปหา “ปรมํ สุขํ” ที่ไหน? ทำจิตให้บริสุทธิ์เท่านั้นก็ “ปรมํ สุขํ” อยู่ในนั้นเอง นี้ก็เป็นชื่อสมมุติอันหนึ่ง แม้ท่านจะให้ชื่อว่า “ปรมํ สุขํ” แต่เมื่อถึงที่นั่นแล้วจะว่า“ปรมํ สุขํ” หรือไม่ปรมํ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ให้รู้เหมือนอย่างเรารับประทานจนอิ่มหนำสำราญแล้ว จะประกาศหรือไม่ประกาศว่า “อิ่มแล้ว” ก็ตาม มันก็ไม่มีปัญหา เพราะรู้อยู่ในธาตุในขันธ์ของตัวเองอยู่แล้ว

    อะไรจะกว้างขวางเหมือนอย่าง “มหาสมมุติ มหานิยม”
     
  10. samrung

    samrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +1,258
    " เรื่องกระต่ายตื่นตูมนั้น เมื่อนำมาเทียบเคียงแล้วจะได้แก่อะไร ก็ได้แก่พวกเราที่ตื่นเรื่องการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย หลงกันไปตื่นกันมาอยู่นี่เอง!

    พอพวกสัตว์โง่วิ่งไปถึงพระยาราชสีห์ซึ่งเป็นสัตว์ฉลาดห้ามไว้ และพาไปดูต้นเหตุ จึงพากันได้สติ ไม่ตายกันระนาวเพราะกระต่ายตัวโง่พาให้ล่มจม

    คำว่า “พระยาราชสีห์” ที่เป็นสัตว์ฉลาดนั้นได้แก่ใคร ? ได้แก่ศาสดาผู้สอนธรรม สอนความจริงให้แก่สัตว์โลกนั่นเอง เพื่อให้พิจารณาความจริงกัน ไม่ตื่นข่าว ตื่นลมตื่นฝนกันไม่หยุด ซึ่งก็คือความทุกข์ล่มจมแก่ตัวเองผู้โง่นั้นแล สิ่งจอมปลอมทั้งหลายเคยหลอกมาเป็นเวลานานนั้นก็หายไป เพราะบรรดาผู้ที่รู้ตามความจริงทั้งหลายแล้ว เรื่องความหลอกอย่างนี้จะหลอกไม่ได้เลย"


    ท่านอรุเวลา ขอโมทนา
    เสียดายธรรมทานของท่าน จะมา post ก่อนหน้าสัก 2-3 เดือน จะได้ระงับ
    ความตื่น กลัวตาย บ้าง เมื่อปลายปี 2012
    ( เสียดาย ๆๆๆ )
     
  11. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า อนุโมทนาบุญครับ
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ขอโทษครับ พื้นที่นี้ไม่ใช่ของผมครับ ทุกคนมีอิสระในการแสดงความคิดเห็น อนุโมทนาบุญครับ
     
  13. zuvara

    zuvara Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2012
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +70
    ตอนนี้ภัยอากาศหนาวเย็น ความแห้งแล้งความวิิปริตต่างเริ่มจะเห็นแล้ว
     
  14. samrung

    samrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +1,258
    แด่ คนเสียสละ ที่ ยิ่งใหญ่
    แด่ พ่อแม่ที่ยอมสละ เลือดเนื้อ ไกล
    แด่ คนไทยที่รักยิ่ง ปฐพี
    ให้ กับคนที่ ไม่รู้รัก สามัคคี



    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/eAgOe4AgIng" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    <iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/X6EjUCWXAVk" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


    แม้ไม่รู้จัก ก็ขอแสดงความ เคารพ HERO อย่างจริงใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2013
  15. samrung

    samrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +1,258
    <iframe width="560" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/mdma2-rCamY" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    ไม่เคยมีใครคนใดที่แพ้ไม่เป็น
    แต่สิ่งเดียวที่ยากเย็น คือรับได้อย่างดี
    จากเกิดจนตายมีเกมส์ให้สู้มากมาย
    มีบางเกมส์ที่ง่ายดาย แต่ที่ยากก็มี

    * เกิดเป็นคนด้วยกาย หัวใจต้องเป็นดั่งสิงห์
    สู้ทุกเกมส์ ทุกสิ่งไม่มีได้ฟรี

    ** จะหยัดจะยืนตะโกนให้ถึงขอบฟ้า
    ว่าไม่กลัวอะไร จะสู้ด้วยใจที่มี

    บวกกับเรี่ยวแรงในมือ ตั้งใจจะทำให้ดี
    สู้อย่างนี้ จะแพ้ให้มันรู้ไป

    สิ่งหนึ่งที่คอยเวลา ให้พูดท้าทาย
    ที่ไม่กลัวต้องแพ้พ้าย เดินเข้าไปสู้มัน
    ปลายทางมันคือรางวัลที่ค่ายิ่งใหญ่
    ที่ประธานให้หัวใจ แด่ผู้กล้าใฝ่ฝัน



    กลัวอะไรกับ สิ่งที่ยัง มาไม่ถึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  16. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป จิตไม่ได้ท่องเที่ยวไป พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเข้าไปยึดถือเอาร่างกายอัน เป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้
    โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
    เพราะร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง
    ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ
    แต่ว่าตถาคต เรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
    จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป
    แม้ฉันใด ร่างกายอันเป็นที่ประชุม แห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
    ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล ฯ"
     
  17. samrung

    samrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +1,258
    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/ouNyBYLUg-0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    คุณสมบัติของพระโสดาบัน
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    พระโสดาบัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นผู้มีปัญญาเล็กน้อย เป็นผู้มีสมาธิเล็กน้อย มีศีล ๕ บริสุทธิ์ เคารพพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
    ๑.ไม่ลืมความตาย คิดถึงความตายเป็นปกติ มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่มีความตายเป็นของเที่ยง อย่างไรเราตายแน่

    และความตายนี่ไม่ได้บอกว่าจะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายกลางคืน ท่านกำหนดไว้เพียงแค่นี้ ไม่ใช่คิดว่าอีก ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี ๕ ปี จะพึงตาย ถ้าคิดอย่างนั้นจัดว่าเป็นไกลจากความเจริญของจิต เป็นอันว่าอารมณ์ที่เข้าเขตอบายภูมิเสียแล้ว เพราะประมาทในชีวิต

    ๒ ยอมรับนับถือคุณรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ ก็คือ เคารพในศีล ๕ ไม่ละเมิดศีล ๕
    ถ้าเรายังละเมิดในศีล ๕ อยู่ จะบอกว่าเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ ยังไม่ได้ ยังฝ่าฝืนคำแนะนำสั่งสอนกันอยู่ เขาเรียกว่าเป็นคนหัวดื้อรั้น ไม่เชื่อกัน

    ถ้าเคารพจริง รักกันจริง เชื่อกันจริง ก็ต้องปฏิบัติไม่ฝ่าฝืน ต้องทรงศีลให้บริสุทธิ์ นี่จัดว่าเป็นทุน ถ้าเราตายเวลานี้เราจะไม่ไปอบายภูมิ

    เป็นอันว่านี่เป็นเครื่องประดับอันแท้จริง ๆ ก็คือ การเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ และก็ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่เนื้อแท้ของ พระโสดาบัน เป็นตัวแก่นหรือว่าเป็นเสา หรือว่าตัวอาคาร

    เป็นอันว่าพระโสดาบันไม่มีอะไรมาก เคยพูดไว้ในหลายสถาน พระโสดาบันก็คือชาวบ้านชั้นดีนั้นเอง แต่ที่เรียกว่าพระโสดาบันก็คือว่า เป็นผู้มีกระแสหรืออารมณ์จิตเข้าถึงพระนิพพาน เป็นบุคคลที่ไม่ถอยหลัง เดินก้าวไปตามลำดับ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  18. samrung

    samrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +1,258
    <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/ccHZfl9SKOs" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
    .เป็นพระอรหันต์ทำไมน้ำตาร่วง .

    ธาตุขันธ์ เป็นกฎ อนิจจัง อนัตตา แสดงธรรมชาติ ออกมา
    เราเอา ใจอรหันต์ มาเทียบ กับธาตุขันธ์ ไม่ได้
    ขันธ์ เป็น สมมุติ เข้ากับ วิมุติ ไม่ได้
     
  19. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระโสดาบัน คือผู้เห็นชัดปฏิจจสมุปบาทโดยวิธีแห่งอริยสัจสี่

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย; เพราะ
    มีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป; เพราะ
    มีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ; เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ; เพราะมี
    ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; เพราะมีตัณหา
    เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน; เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเป็น
    ปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส
    อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี
    ด้วยอาการอย่างนี้.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ชรามรณะ เป็นอย่างไรเล่า?
    (๑) ความแก่ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความมีหนังเหี่ยว ความสิ้นไปแห่งอายุ
    ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ในสัตว์นิกายนั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นๆ : นี้เรียกว่า ชรา.
    การจุติ ความเคลื่อน การแตกสลาย การหายไป การวายชีพ การตาย การทำกาละ การแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย
    การทอดทิ้งร่าง การขาดแห่งอินทรีย์คือชีวิตจากสัตว์นิกายนั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นๆ :
    นี้เรียกว่า มรณะ. ชรานี้ด้วยมรณะนี้ด้วย ย่อมมีอยู่ดังนี้; ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ชรามรณะ.
    (๒)ความก่อขึ้นพร้อมแห่งชรามรณะ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งชาติ;
    (๓)ความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งชาติ;
    (๔)มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง เป็นปฏิปทา ให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ,
    ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ
    การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ชาติเป็นอย่างไรเล่า? การเกิด การกำเนิด การก้าวลง(สู่ครรภ์) การบังเกิด
    การบังเกิดโดยยิ่ง ความปรากฏของขันธ์ทั้งหลาย การที่สัตว์ได้ซึ่งอายตนะทั้งหลาย ในสัตว์นิกายนั้นๆ
    ของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นๆ : ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ชาติ. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งชาติ ย่อมมี
    เพราะความก่อขึ้นพร้อมทั้งภพ; ความดับไม่เหลือแห่งชาติ ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งภพ;
    มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั้นเอง เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งชาติ,
    ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ
    ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ภพ เป็นอย่างไรเล่า? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
    ภพทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ : ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!นี้ เรียกว่าภพ.
    ความก่อขึ้นพร้อมแห่งภพ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งอุปาทาน;ความดับไม่เหลือแห่งภพ
    ย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือ แห่งอุปาทาน; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั้นเอง
    เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งภพ,ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ
    การพูดจาชอบ การทำการงานชอบการเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็อุปาทาน เป็นอย่างไรเล่า? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
    อุปาทานทั้งหลาย ๔ อย่างเหล่านี้ คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน :
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่าอุปาทาน. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งอุปาทาน ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งตัณหา;
    ความดับไม่เหลือแห่งอุปาทานย่อมมี เพราะความดับไม่เหลือแห่งตัณหา; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐ
    นั้นเองเป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบความดำริชอบ การพูดจาชอบ
    การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ตัณหา เป็นอย่างไรเล่า? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!หมู่แห่งตัณหาทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้ คือ
    รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหาโผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา : ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่าตัณหา.
    ความก่อขึ้นพร้อมแห่งตัณหา ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งเวทนา; ความดับไม่เหลือแห่งตัณหา ย่อมมี
    เพราะความดับไม่เหลือแห่งเวทนา; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั้นเอง
    เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งตัณหา, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ
    การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็เวทนา เป็นอย่างไรเล่า? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
    หมู่แห่งเวทนาทั้ง หลาย ๖ หมู่เหล่านี้ คือ จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา
    ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัม ผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา :

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่าเวทนา. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งเวทนา ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งผัสสะ;
    ความดับไม่เหลือแห่งเวทนา ย่อมมีเพราะความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั้นเอง
    เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งเวทนา, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ
    การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็ผัสสะ เป็นอย่างไรเล่า? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
    หมู่แห่งผัสสะทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้ คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัสกายสัมผัส มโนสัมผัส :
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่าผัสสะ.ความก่อขึ้นพร้อมแห่งผัสสะ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งสฬายตนะ;
    ความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ ย่อมมีเพราะความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปด
    อันประเสริฐนั่นเอง เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือความเห็นชอบ ความดำริชอบ
    การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็สฬายตนะ เป็นอย่างไรเล่า? จักขวายตนะโสตายตนะ ฆานายตนะ
    ชิวหายตนะ กายายตนะ มนายตนะ : ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!นี้ เรียกว่าสฬายตนะ.
    ความก่อขึ้นพร้อมแห่งสฬายตนะ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งนามรูป;
    ความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ ย่อมมีเพราะความดับไม่เหลือแห่งนามรูป;
    มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ,
    ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำการงานชอบ
    การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็นามรูปเป็นอย่างไรเล่า? เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ : นี้เรียกว่า นาม.
    มหาภูตทั้งสี่ด้วย รูปที่อาศัยมหาภูตทั้งสี่ด้วย : นี้ เรียกว่า รูป. นามนี้ด้วย รูปนี้ด้วย ย่อมมีอยู่อย่างนี้ :
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่านามรูป. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งนามรูป ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่ง
    วิญญาณ; ความดับไม่เหลือแห่งนามรูป ย่อมมีเพราะความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ; มรรคอันประกอบด้วย
    องค์แปดอันประเสริฐนั่นเอง เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งนามรูป, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ
    ความดำริชอบ การพูดจาชอบการ ทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความ พากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็วิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! หมู่แห่งวิญญาณทั้งหลาย ๖ หมู่เหล่านี้
    คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ :
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เรียกว่าวิญญาณ.ความก่อขึ้นพร้อมแห่งวิญญาณ ย่อมมี เพราะความก่อขึ้นพร้อมแห่งสังขาร;
    ความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ ย่อมมีเพราะความดับไม่เหลือแห่งสังขาร; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนั้นเอง
    เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ
    การพูดจาชอบการทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไรเล่า? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สังขารทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ กายสังขาร
    วจีสังขาร จิตตสังขาร : ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย. ความก่อขึ้นพร้อมแห่งสังขาร ย่อมมีเพราะความ
    ก่อขึ้นพร้อมแห่งอวิชชา ;ความดับไม่เหลือแห่งสังขาร ย่อมมีเพราะความดับไม่เหลือแห่งอวิชชา ; มรรคอันประกอบด้วยองค์แปด
    อันประเสริฐนั่นเอง เป็นปฏิปทาให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสังขาร, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ
    การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ;

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลใดแล อริยสาวก ย่อมมารู้ทั่วถึงซึ่งธรรมอันเป็นปัจจัย (ปัจจัยธรรมดา)ว่าเป็นอย่างนี้ๆ;
    มารู้ทั่วถึงซึ่งเหตุแห่งธรรมอันเป็นปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งความดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นปัจจัย ว่าเป็น
    อย่างนี้ๆ; มารู้ทั่วถึงซึ่งข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นปัจจัย ว่าเป็นอย่างนี้ๆ, ดังนี้;

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนั้นว่า “ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทิฏฐิ” ดังนี้บ้าง;
    ว่า “ผู้สมบูรณ์แล้วด้วยทัสสนะ”ดังนี้บ้าง; ว่า “ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แล้ว” ดังนี้บ้าง;
    ว่า “ได้เห็นพระสัทธรรมนี้”ดังนี้บ้าง; ว่า “ผู้ประกอบแล้วด้วยญาณอันเป็นเสขะ” ดังนี้บ้าง;
    ว่า “ผู้ประกอบแล้วด้วยวิชชา อันเป็นเสขะ” ดังนี้บ้าง; ว่า “ผู้ถึงซึ่งกระแสแห่งธรรมแล้ว” ดังนี้บ้าง; ว่า
    “ผู้ประเสริฐ มีปัญญาเครื่องชำแรกกิเลส” ดังนี้บ้าง; ว่า “ยืนอยู่จดประตูแห่งอมตะ” ดังนี้บ้าง, ดังนี้ แล.

    ———————————————————————————————————–
    สูตรที่ ๗ ทสพลรรค นิทานสังยุตต์ นิทาน.สํ.๑๖/๕๐/๘๘,ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.

    Pobbuddha
     

แชร์หน้านี้

Loading...