พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post200295 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">20-02-2006, 11:01 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #267</TD></TR></TBODY></TABLE>

    การจัดโต๊ะหมู่บูชา เป็นวัฒนธรรมประจำชาติไทยมานาน แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีมาแต่สมัยใด ปัจจุบันในพิธีที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ในพระราชพิธี รัฐพิธี หรือราษฎร์พิธี จะเป็นงานมงคล หรืองานอวมงคลก็ตาม นิยมตั้งโต๊ะหมู่บูชาทั้งสิ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป พร้อมเครื่องบูชาตามคตินิยมของชาวพุทธ เท่าที่ปรากฏในสมัยพุทธกาล พุทธบริษัทมีความประสงค์จะบำเพ็ญกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง นิยมนิมนต์พระสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นประมุขในงานกุศลนั้นๆ เพื่อต้องการให้พระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พร้อมบริบูรณ์
    ศาสนพิธีต่างๆ ทางพุทธศาสนาจึงนิยมอัญเชิญพระพุทธรูปเป็นนิมิตรแทนองค์พระพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ในพิธีเพื่อให้พระรัตนตรัยครบบริบูรณ์ดังกล่าวแล้ว แต่การอัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐานนั้นควรทำสถานที่ให้เหมาะสม ในชั้นแรกสันนิษฐานว่า อาจใช้โต๊ะธรรมดาเป็นที่ประดิษฐานต่อมาได้มี วิวัฒนาการเป็นโต๊ะหมู่บูชาขึ้นดังปรากฏในปัจจุบันนี้มีหลายรูปแบบนับเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของไทย
    <O:p</O:p
    การจุดธูป ๓ ดอก เป็นการบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า ๓ ประการคือ <O:p</O:p
    ๑. บูชาพระปัญญาคุณ<O:p</O:p
    ๒. บูชาพระวิสุทธิคุณ<O:p</O:p
    ๓. บูชาพระมหากรุณาธิคุณ<O:p</O:p
    การจุดเทียน ๒ เล่ม เป็นการบูชาพระธรรมและพระวินัย เล่มขวาของพระพุทธรูป หรือด้านซ้ายของผู้จุดเป็นเทียนพระธรรม เล่มซ้ายของพระพุทธรูปหรือด้านขวาของผู้จุดเป็นเทียนพระวินัย<O:p</O:p
    ปัจจุบัน การตั้งโต๊ะหมู่บูชานิยมตั้งใน ๒ กรณี คือ<O:p</O:p
    • ในพิธีทางพุทธศาสนา เช่น การทำบุญ ฟังเทศน์ เป็นต้น<O:p</O:p
    • ในพิธีถวายพระพร หรือตั้งรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ พระบรมราชินีนาถ<O:p
    <O:p</O:p
    การจัดโต๊ะหมู่บูชาในบางพิธีของราชการ<O:p</O:p
    การจัดโต๊ะหมู่บูชาในพิธีบางพิธีของทางราชการ เช่น การประชุม อบรม สัมมนา เป็นต้นที่มิใช่พิธีเกี่ยวกับนานาชาติและการประชุมปกติของคณะกรรมการ นิยมตั้งธงชาติ และพระบรมฉายาลักษณ์ หรือพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมกับโต๊ะหมู่บูชาเพื่อให้ครบทั้ง ๓ สถาบันคือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีหลักในการจัดคือ ตั้งโต๊ะหมู่บูชาไว้ตรงกลาง ตั้งธงชาติไว้ทางด้านขวาของโต๊ะหมู่ และตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ หรือพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ไว้ทางด้านซ้ายของโต๊ะหมู่ ดังภาพ<O:p

    โต๊ะบูชาชุดหมู่ 9 สมัยรัตนโกสินทร์
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>

    ผมจำที่มาของบทความนี้ไม่ได้ ผมขออนุญาตนำบทความนี้ลงเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานให้กับผู้ที่สนใจใฝ่รู้ครับ ขอบพระคุณครับ

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเอง เวลาที่จุดธูปไหว้พระ ผมจะจุดธูป 5 ดอก และไหว้ 5 ครั้งตามวิธีของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ ) วัดเทพศิรินทราวาส

    ไหว้ 5 ครั้ง


    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )


    วัดเทพศิรินทราวาส<O[​IMG]</O[​IMG]

    [​IMG]

    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html<O[​IMG]</O[​IMG]

    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า<O[​IMG]</O[​IMG]
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ<O[​IMG]</O[​IMG]
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ <O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา<O[​IMG]</O[​IMG]
    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน<O[​IMG]</O[​IMG]
    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน<O[​IMG]</O[​IMG]
    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู<O[​IMG]</O[​IMG]
    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู<O[​IMG]</O[​IMG]
    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา<O[​IMG]</O[​IMG]
    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา<O[​IMG]</O[​IMG]
    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน<O[​IMG]</O[​IMG]
    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์<O[​IMG]</O[​IMG]
    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ<O[​IMG]</O[​IMG]
    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน<O[​IMG]</O[​IMG]
    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา<O[​IMG]</O[​IMG]
    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา<O[​IMG]</O[​IMG]
    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    <O[​IMG]</O[​IMG]

    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี<O[​IMG]</O[​IMG]
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน<O[​IMG]</O[​IMG]
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น<O[​IMG]</O[​IMG]
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน<O[​IMG]</O[​IMG]
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์<O[​IMG]</O[​IMG]
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม<O[​IMG]</O[​IMG]
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม<O[​IMG]</O[​IMG]
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง<O[​IMG]</O[​IMG]
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง<O[​IMG]</O[​IMG]
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]

    (บทประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส<O[​IMG]</O[​IMG]

    ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ต่อไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ
    <O[​IMG]</O[​IMG]
    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญญาณวรเถระ )

    http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7


    [​IMG]

    สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2415 ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรนาย ทองสุก และนางย่าง

    เมื่ออายุ 8 ปี ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุณี (พุฒ ปุณณกเร) ปฐมวัยอาวาสวัดเขาบางทราย

    เมื่ออายุ 12 ปีได้บรรพชาที่วัดเขาบางทราย และเข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบพิธอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2435 ที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2439 ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกในสำนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดเทพศิรินทราวาส

    "ตาบุญ (พระยาธรรมปรีชา) ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีของ
    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบช้างเผือกส่งเข้ามาให้ "
    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร) สอบไล่ภาษาบาลี ในมหามงกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1ทุกชั้นเป็นลำดับมา

    พ.ศ.2441 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะที่พระอัมราภิลักขิต เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรี ต่อมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา

    พ.ศ.2471 โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    พ.ศ.2476กรรมการเถรสมาคมมีมติให้ท่าน เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระสังฆราชเจ้าซึ่งสิ้นพระชนม์ ประมวลเกียรติคุณพิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร)เป็นพระเถระบริหารงานพระศาสนาถึง 5 แผ่นดิน คือแต่รัชกาลที่ 5-9 เป็นพระราชาคณะแต่อายุ 28 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะแต่อายุ 57 ปี นับเป็นพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พรรษาน้อยกว่า พระเถระหลายรูปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่อายุ 28 ปี ถึง 80 ปีรวม 53 ปี นับว่ายาวนานที่สุดไม่มีใครเทียบได้
    เมื่อสอบนักธรรม หรือบาลีจะสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นทุกประโยคเป็นรูปเดียวในสังฆมณฑล ดำรงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง องค์เดียวกัน
    ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2494เวลา 10.30 น. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเระ)มรณภาพด้วยโรคเนื้องอกที่ตับรวมอายุได้ 80 ปี พรรษาที่ 59

    ความคิดเห็นส่วนตัวผม
    ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท่านบอกกับผู้ที่ไปกราบท่านว่า ขอให้ทุกๆวันได้ไหว้ 5 ครั้ง จะได้เป็นศิริมงคลกับตนเอง จะเหมือนกับชื่อของท่าน (เจริญ) ครับ ท่านเจ้าคุณนรเอง ก็มีความเคารพในท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)มาก โดยท่านเจ้าคุณนรเอง เวลาเดินผ่านกุฎิของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)ทุกครั้ง ท่านเจ้าคุณนร ก็จะก้มลงกราบที่กุฎิอยู่ทุกครั้งครับ

    .*********************************************.
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอเพิ่มเติมเรื่องราว ไหว้ 5 ครั้ง
    http://www.saktalingchan.com/index.p...icle&Id=262016

    [​IMG]


    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร<O[​IMG]</O[​IMG]

    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร<O[​IMG]</O[​IMG]




    <O[​IMG]</O[​IMG]
    1. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงนี้ เมื่อพระคุณท่านมีอายุเพียง 27 ปี มีพรรษา 7 ยั่งยืนตลอดมาเป็นเวลาช้านานถึง 53 ปีฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    2. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ นั้นมีอายุเพียง 56 ปี เท่านั้น ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    3. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งธรรมเนียมการเทศนาธรรมในวันอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก เริ่มเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2471 ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นเวลา 45 ปี ล่วงแล้ว ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    4. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ แลบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรงสืบต่อมาเป็นเวลา 5 ปี ( ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2481 ) ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    5. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถาติดต่อกันถึง 4 รัชกาล คือตั้งแต่รัชกาลที่ 6-7-8-9 เป็นเวลาถึง 25 ปี ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    6. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีสัทธิวิหาริก-อันเตวาสิก มากที่สุดถึง 6,666 องค์ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    7. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นต้นกำเนิดตำราไหว้ 5 ครั้งให้ศิษยานุศิษย์ปฏิบัติตาม หากผู้ใดไหว้ครบ 1 ปี เป็นกำหนด ผู้นั้นจักได้รับรูปที่ระลึกจากองค์ท่านด้านหน้าเป็นรูปองค์ท่าน ด้านหลังเป็นรูปยันต์ภควัม จากกรึกนามองค์ท่านเป็นอักษรย่อ โดยลำดับแห่งราชทินนามนั้น ๆ กระทั่งครั้งสุดท้ายได้จารึก 3 อักษรว่า พ.ฆ.อ. ซึ่งย่อจากราชทินนามว่า พุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระราชาคณะ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    8. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ ท่านเจ้าคุณพระโศภณศีลคุณ ( หลวงปู่หลุย พาหิยเถร ) ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 23 ปัจจุบันอายุ 92 ปี พรรษา 67 ( เกิด 9 สิงหาคม 2426 ) ยังเดินลงโบสถ์ลงสวดมนต์ทำวัตรได้เป็นประจำทุก ๆ วัน เป็นพระเถราจารย์องค์สำคัญ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือยิ่งของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    9. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ประพฤติปฏิบัติยอดเยี่ยม และเป็นพระเถระองค์สำคัญที่มีเกียรติคุณโด่งดังในปัจจุบัน คือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ ธมมฺวิตกฺโก ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 1740 ฯ





    ไหว้ 5 ครั้ง<O[​IMG]</O[​IMG]

    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์<O[​IMG]</O[​IMG]

    วัดเทพศิรินทราวาส<O[​IMG]</O[​IMG]





    <O[​IMG]</O[​IMG]
    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาใด ตามแต่เหมาะ ต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวกัน ถ้ามีดอกไม้ ธูปเทียน ก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประนมมือว่า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสฺมพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ อิติปิ โส ภควา อรห<SUP>°</SUP> สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน<SUP>° </SUP>พุทฺโธ ภควาติ ฯ หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตาม ของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธฺมโม สนฺทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺ จตฺต<SUP>°</SUP> เวทิตพฺโพ วิญฺญหีติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 3ว่าสังฆคุณ คือ สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ยทิทฺ จฺตตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐ ปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสฺงโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนฺยโย ทกฺขิเณยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรฺ ปุญฺญกฺเขตตฺ โลกสฺสาติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ นั่งพับเพียบประนมมือ ตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ พุทฺธ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ธมฺม<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ สงฺฆ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ฯ ทุติยมฺปิ พุทฺธ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ทุติยมฺปิ ธมฺม<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ทุติยมฺปิ สงฺฆ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ฯ ตติยมฺปิ พุทฺธ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ตติยมฺปิ ธมฺม<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ตติยมฺปิ สงฺฆ<SUP>°</SUP> สรณ<SUP>°</SUP> คจฺฉามิ ฯ ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผู้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์ และครูบาอาจารย์เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ <O[​IMG]</O[​IMG]
    ต่อนี้ไปไม่ต้องประนมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่องและร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพราก จากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้นพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณ มีบิดามารดาเป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือ พระมหากษัตริย์ ทั้งเทพดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ<O[​IMG]</O[​IMG]
    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้หนี้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยอมือไม่ขึ้นก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้ เป็นเครื่องหยุดตนให้เป็นคนดีไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดีไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอจนตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มชั้นของตน ฯ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

    ปัจฉิมโอวาท
    ของ
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรมหาเถระ
    วัดเทพศิรินทราวาส

    ไม่ตายควาวนี้ ก็ตายคราวหน้า อย่างเศร้าโศก เสียทีที่ศึกษาปฏิบัติมา ร้องให้เศร้าโศก ก็ร้องไห้เสร้าโศกสังขารที่
    เกิดแก่เจ็บตายนั้นเอง ที่ไม่ร้องไห้เศร้าโศกนั้นมิใช่จะเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอะไร

    ธรรมของพระก็คือ
    สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
    ย่นลงก็ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แล้วปรินิพพาน
    ไม่ต้องเกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตายอีก

    (มีบัญชาให้บันทึกไว้เมื่อเช้าวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๙๔)
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมมีคำถามมาถามพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่าน แต่ไม่มีรางวัลนะครับ

    ผมถามว่า ผีกลัวอะไรมากที่สุด

    ติ๊กตอก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

    .
    *************************************************

    <TABLE class=tborder id=post911797 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">11-01-2008, 02:40 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>มันตรัย<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_911797", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 04:30 PM
    วันที่สมัคร: Oct 2006
    ข้อความ: 351 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 24 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 1,644 ครั้ง ใน 317 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 214 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_911797 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title -->ชานหมาก หลวงปู่ทิมวัดพระขาว
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->มีชานหมาก,รูปถ่าย, ไหมคอ รวมอยู่ในถุงเดียวกัน มี2ถุงนะครับ อีกถุงเป็นไหมข้อมือ แบ่งให้ในราคาชุดละ 200บาท แถม สมเด็จโต เนื้อผงองค์ใหญ่ สีขาวหนึ่งองค์ด้วยนะครับ ปลุกเสกพิธีใหญ่ที่วัดทุ่ง เศรษฐี รับกับมือหลวงปู่ทิมด้วยครับ สนใจโอนเงินมาที่ วชิรา วัชราเกียรติ 056-2-612394 ธ.กสิกรไทย สาขาสี่แยกบางนา ออมทรัพย์
    มีทั้งหมดสามชุดเท่านั้นครับ
    ชานหมากหลวงปู่ทิมนั้น ผมเองเคยเห็นหลวงปู่เอาทาแผลที่มือของท่าน ราวๆ5ปีก่อน ตอนนั้นดึกมาแล้วครับไม่มีใครอยู่เลย หลวงปู่บอกว่า
    "นี่แหละดีที่สุดแล้ว"
    และผมก็ถามหลวงปู่ว่า พระของหลวงปู่รุ่นไหนดีที่สุด หลวงปู่ตอบว่า
    "ชานหมากซิ ดีที่สุดแล้ว เก็บเอาไว้ให้ดี อย่าให้เป็นแบบที่เขาว่าใกล้เกลือกินด่าง"
    ราคา200รวมค่าส่งแล้วครับ
    มันตรัย
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>

    <TABLE class=tborder id=post914830 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">วันนี้, 02:59 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #5 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>มันตรัย<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_914830", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 04:30 PM
    วันที่สมัคร: Oct 2006
    ข้อความ: 351 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 24 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 1,644 ครั้ง ใน 317 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 214 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_914830 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->รับทราบครับ ขอเบอร์ติดต่อด้วยนะครับ 081-4390852 เอกครับ
    <!-- / message --><!-- sig --></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2008
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมไม่ทราบครับ...ทราบแต่ผมกับ ท่านปา-ทานน่าจะเกรงใจ(กลัวนิดๆ)เหมือนกัน ติกต๊อกๆๆๆ อะไรเอ่ย...ผบ. ไงครับ(555)
    nongnooo...
     
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://hilight.kapook.com/view/15733

    50 ปี พื้นที่ กทม.หาย เหตุวิกฤติโลกร้อน




    <CENTER>[​IMG]


    นักวิชาการฟันธงอีกไม่เกิน 50 ปี กรุงเทพฯ มีสิทธิจมน้ำถาวรอันเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อน ขานรับแนวคิด "สมิทธิ์" สร้างเขื่อนแสนล้านกั้นเจ้าพระยาสองฝั่ง เสนอย้ายเมืองหลวง ปรับถนนที่น้ำท่วมทุกปีเป็นเส้นทางเดินเรือ ให้ช่วงน้ำท่วมเป็นวันหยุด ขณะที่ปราชญ์ชาวบ้านให้ปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ ด้วยการสร้างบ้านใต้ถุนสูงดีกว่า

    เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจของชาติ อย่าง กทม. ต้องประสบปัญหาน้ำท่วมขังตลอดทุกปี ประกอบกับปัญหาการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากสภาวะโลกร้อน ทำให้นักวิชาการหลายคนเสนอแนวคิดสร้างเขื่อนกั้นสองฝั่งเจ้าพระยา-อ่าวไทย มูลค่ากว่าแสนล้านบาทช่วยป้องกันน้ำท่วมในอนาคตได้ ​

    หลังจากที่ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านอุตุนิยมวิทยา อ้างถึงรายงานจากสหประชาชาติเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่ระบุว่า อีกประมาณ 15 ปี น้ำจะท่วม กทม. รัฐบาลควรมีการลงทุนสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่ง ความยาวด้านละ 100 กิโลเมตร และมีความสูง 3-4 เมตร ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณ 1 แสนล้านบาท ​

    ด้าน ศ.เกียรติคุณ ฉลอง เกิดพิทักษ์ ผู้เชี่ยวชาญการบริหารและพัฒนาแหล่งน้ำ ที่ปรึกษาบริษัท แม็คโคร คอนซัลแต็นท์ จำกัด และอดีตอาจารย์ประจำภาควิชาทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เสนอว่า การป้องกันน้ำท่วม กทม.น่าจะมีการศึกษาถึงการสร้างเขื่อนกั้นปากแม่น้ำตั้งแต่ จ.เพชรบุรีไปจนถึง จ.ชลบุรี ซึ่งตัวเขื่อนจะมีความยาว 90 กิโลเมตร มีความสูง 38 เมตร และอยู่ห่างจากชายฝั่ง 40 กิโลเมตร เพื่อระบายน้ำและเก็บกักน้ำเหนือที่ไหลบ่ามาตลอด 24 ชั่วโมง

    ซึ่งจะลดปัญหาน้ำทะเลหนุนและน้ำทะเลลงเพียงแค่วันละ 5- 6 ชั่วโมงเท่านั้น โดยจะมีการสร้างประตูน้ำเปิด-ปิด เพื่อให้เรือประมงผ่านเข้าออกได้ คาดว่าใช้งบประมาณแสนล้านบาท นอกจากนี้ ผลพลอยได้จากการสร้างเขื่อนกั้นปากแม่น้ำอาจจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากน้ำทะเลขึ้นลง แถมยังช่วยป้องกันน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นจากสภาวะโลกร้อนในอนาคตอีกด้วย

    "ผมว่าน่าจะมีการศึกษาความเป็นไปได้ของการสร้างเขื่อนกั้นปากแม่น้ำจาก จ.เพชรบุรีไปถึง จ.ชลบุรี หรือแก้มลิงปากแม่น้ำ เพราะหากว่ามีเขื่อนกั้นปากแม่น้ำแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อนหรือแก้มลิงบนบก เพราะบางทีน้ำก็อาจจะไปท่วมที่ทำกินของชาวบ้าน นอกจากนี้ การสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำที่อ่าวไทยอาจจะผลิตไฟฟ้าจากน้ำขึ้นน้ำลงได้อีกด้วย หากการศึกษาเบื้องต้นเห็นว่าโครงการนี้ไม่เหมาะสมก็ค่อยยกเลิกโครงการไป" ศ.เกียรติคุณ ฉลอง กล่าว ​

    นายสุรจิต ชิรเวทย์ ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดสมุทรสงคราม และเจ้าของรางวัลลูกโลกสีเขียวปี 2549 กล่าวถึงแนวคิดการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมว่า พื้นที่ราบลุ่มภาคกลางเป็นพื้นที่น้ำเหนือไหลผ่านอยู่แล้ว ซึ่งน้ำหลากลงมาสร้างประโยชน์ให้วิถีชาวเกษตรและประมง เพราะมีธาตุตะกอนอาหารสร้างความสมบูรณ์ให้พืชและสัตว์ทะเล แถมยังควบคุมปริมาณมด-ปลวก แต่ปัจจุบันคนไทยกำลังลืมรากเหง้าและวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เคยอยู่กันอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ

    "อย่าไปต่อสู้กับธรรมชาติให้สิ้นเปลืองเงิน แต่ควรอยู่อย่างเป็นมิตรกับระบบน้ำหลาก มาสร้างบ้านที่ใต้ถุนสูงดีกว่า ขณะที่ กทม. สมุทรปราการ สมุทรสาคร เจอปัญหาแผ่นดินทรุดปีละ 3-5 ซม. เขื่อนกั้นลำน้ำก็ทรุดด้วย การแก้ปัญหาก็ไม่รู้จักจบสิ้น ส่วนการสร้างเขื่อนกลางทะเลยิ่งสร้างผลกระทบตามมาอีกมากมาย ขณะนี้เมืองไทยมีเขื่อนกว่าพันแห่งก็ยังสามารถป้องกันน้ำท่วมได้เลย" นายสุรจิต กล่าว ​

    ขณะที่ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์ วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า โดยปกติทุกปีและในอดีตน้ำก็ท่วมพื้นที่ กทม.บางส่วนอยู่แล้ว หากจะกล่าวถึงน้ำท่วม กทม.แบบถาวรทั้ง 365 วัน คาดว่าคงไม่ใช่ใน 8-10 ปีข้างหน้านี้ แต่คาดว่าน่าจะอีก 50-80 ปีข้างหน้า อาจเกิดน้ำท่วมพื้นที่ กทม. บางส่วนอย่างถาวร โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ติดกับชายทะเล จึงควรมีแผนในการป้องกันน้ำท่วมชั่วคราวและน้ำท่วมถาวรได้แล้ว ​

    ดร.อานนท์ กล่าวอีกว่า การสร้างเขื่อนสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก็เป็นทางออกหนึ่งที่พยายามต่อสู้ แต่ไม่ใช่ตัวเลือกเพียงข้อเดียว ควรใช้หลายๆ วิธีร่วมกัน อย่างการวางแผนหน ีหรือ อพยพเมืองหลวงไปอยู่ที่อื่น ซึ่งพื้นที่ กทม.อาจใช้เป็นที่ตั้งบ้านเรือนได้ แต่ไม่ควรจะเป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ อาจย้ายเมืองหลวงไปอยู่พิษณุโลกหรือลพบุรีก็แล้วแต่ ควรเริ่มต้นวางแผนกันแต่เนิ่นๆ เพราะเราไม่สามารถย้ายเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็วเหมือนประเทศพม่า และอยากให้ดูตัวอย่างความล่าช้าในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ

    "เราเหลือเวลาอีก 50 ปี ซึ่งไม่ได้ยาวนานมากนัก ในการเตรียมรับมือป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ต้องมีการปรับตัวเปลี่ยนถนนหรือเส้นทางที่น้ำท่วมทุกปีเป็นเส้นทางเรือ หรือให้ช่วงที่เกิดน้ำท่วมขังเป็นประจำทุกปีเป็นช่วงวันหยุดประจำปี ซึ่งการรับมือกับปัญหาน้ำท่วม กทม. ต้องร่วมกันคิดทุกๆ หน่วยงาน และไม่ควรเป็นการตัดสินใจของใครเพียงคนใดคนหนึ่ง แต่การเป็นการแก้ไขปัญหาแบบมีส่วนร่วม" ดร.อานนท์ กล่าวทิ้งท้าย ​



    [​IMG] ข่าวที่เกี่ยวข้อง

    - วิปริตโลกร้อน มะกันตับแลบ อาร์เจนตินาหิมะตก
    - "ในหลวง" ทรงห่วงสภาวะโลกร้อน
    - "อภิรักษ์" เพิ่มทางจักรยาน ชวนดับโลกร้อน
    - 3 สาวชวนร่วมกันป้องกันโลกร้อน ก่อนสายเกินแก้
    - ปัญหาโลกร้อน เป็นเรื่อง ที่คนไอทีต้องตระหนัก
    - 10 ปรากฎการณ์ประหลาด จากเหตุ "โลกร้อน!"
    - ภาพหิมะ แถบแอนตาร์กติก้า ละลาย เพราะโลกร้อน
    - นักวิทย์ชี้ ไทยเจออากาศ ร้อนสุดๆ 60 วัน
    - เอลนีโญส่งผลทะเลไทย น้ำเย็นลงมีตะกอนขุ่นทำให้คัน
    - ตะลึง! ทะเลเหือด
    - เสียงเตือนจาก "อัล กอร์" "หยุดโลกร้อน...คุณทำได้ !"
    - เมืองมืดเพื่อโลกสว่าง
    - "สมิทธ" เตือนมหาวิบัติภัย ยัน "ภาวะโลกร้อน" ของจริง
    - โลกร้อน...ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง จริงหรือ?
    - "ภาวะโลกร้อน" ความจริงช็อกโลก!!!
    - พิษวิกฤตโลกร้อนน้ำตกแห้ง-ป่าลด
    - เผย กทม. ปีนี้ ร้อนทะลุ 40 องศา
    - "โลกร้อน" พาโลกมนุษย์ ย้อนกลับสู่ยุคไดโนเสาร์!
    - ไทยมีเอี่ยวทำโลกร้อน ติดอันดับ 9 โลกปล่อยก๊าซสูงสุด
    - ปี 2549 ทำสถิติ ปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์



    ข้อมูลจาก
    [​IMG]
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต ​

    </CENTER>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ผมมีคำถามมาถามพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่าน แต่ไม่มีรางวัลนะครับ

    ผมถามว่า ผีกลัวอะไรมากที่สุด

    ติ๊กตอก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    หนเดียวทั้งชีวิต ทั้งชีวิตจริงๆ

    (555)
     
  11. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    มาดูกันว่าใครจะเป็น post ๑๐,๐๐๐
     
  12. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    คำเตือนครับ อย่าลืมปิดโทรศัพท์ก่อนล้างจาน!!!(555)
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อืม โดนน้องเอซะแล้ว
    (b-glass)
    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ผมมีคำถามมาถามพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่าน แต่ไม่มีรางวัลนะครับ

    ผมถามว่า ผีกลัวอะไรมากที่สุด

    ติ๊กตอก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    หนเดียวทั้งชีวิต ทั้งชีวิตจริงๆ

    (555)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    คุยกัน เดี๋ยว ผบ.เข้ามาเห็น จะโดนข้อหาอีกกระทง

    "ข้อหา นินทา ผู้บังคับบัญชา"

    (b-uh)
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://news.sanook.com/scoop/scoop_186348.php


    <TABLE class=news2006_topic cellSpacing=0 cellPadding=0 width=595 border=0><TBODY><TR><TD width=585 height=10><TABLE class=news2006_topic width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left>เศรษฐกิจแย่... คดีอะไร?ขึ้นสู่ศาลมากที่สุด</TD><TD align=right width=100></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=news2006_graylight height=10>โดย มติชน<SCRIPT language=JavaScript src="/global_js/global_function.js"></SCRIPT> <!--START-->วัน อังคาร ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2550 04:18 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=595 border=0><TBODY><TR><TD height=10></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=news2006_black cellSpacing=0 cellPadding=0 width=595 border=0><TBODY><TR><TD width=10 rowSpan=4></TD><TD width=575>[​IMG]

    โดย สุชาย จอกแก้ว ศาลแพ่ง

    นับตั้งแต่ประเทศไทยมีปัญหาทางการเมืองเมื่อต้นปี 2549 มาจนถึงปัจจุบันนี้
    ความแปรปรวนทางเศรษฐกิจก็มีตามมา และปัญหาสังคมก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
    คดีทั้งหลายก็แห่แหนกันมาขึ้นสู่ศาลอย่างมากมายทุกๆ วัน ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการนำเอาสถิติคดีของศาลในแต่ละปีแต่ละไตรมาสมาเป็นตัวดัชนีชี้วัดความเจริญหรือความล้มเหลวทางเศรษฐกิจหรือทางสังคมด้วยแต่อย่างใดเลย บางคนอาจคิดว่ามันไม่เกี่ยวข้องกัน มันคนละเรื่องกัน ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ
    แต่ผู้เขียนเห็นเป็นการส่วนตัวว่ามันเกี่ยวข้องกันมาก ยิ่งถ้ามีตัวเลขดัชนีชี้วัดคุณภาพของสังคม หรือเอสดีพี (Social Domestic Product : SDP) ด้วยแล้ว มันก็น่าจะเป็นเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจได้ด้วย น่าจะดีกว่าวัดแต่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี (GDP) อย่างเดียวว่าเศรษฐกิจดี
    จากการที่ผู้เขียนทำงานทางด้านการพิจารณาพิพากษาคดีมาประมาณ 10 ปี แม้ดูเหมือนประสบการณ์จะน้อยนิด แต่จากการทำงานมาผู้เขียนก็เฝ้าติดตามเนื้องานที่ตนเองทำเรื่อยมา ทำให้สังเกตเห็นอะไรหลายๆ อย่าง หลายๆ ประการ เพราะการทำงานด้านคดี ปัญหาทุกอย่างทุกเรื่องมันมาที่ศาลเกือบจะทั้งหมด ทำให้คนทำงานรับรู้และเข้าใจปัญหาดีมากกว่าคนที่ไม่ได้ทำงานด้านนี้แน่นอน
    จากสถิติคดีในแต่ละศาลของแต่ละปี หากคดีเรื่องใดขึ้นสู่ศาลจำนวนมากที่สุด ก็จะสะท้อนให้เห็นว่าในปีนั้น หรือช่วงไตรมาสนั้น มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในสังคมมากที่สุด
    อย่างเช่น ช่วงเศรษฐกิจแย่หรือฟองสบู่แตกเมื่อปี 2540 ปรากฏว่าคดีเกี่ยวกับเรื่องการผิดสัญญาต่างๆ ขึ้นมาสู่ศาลจำนวนมากที่สุด
    ส่วนในทางอาญา คดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ก็ขึ้นมาสู่ศาลมากที่สุดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคดีลัก วิ่ง ชิง ปล้น มีมาศาลเยอะมาก (แถมพ่วงคดีจัดการมรดกเข้ามาอีกเยอะ เพราะเศรษฐกิจแย่ เครียดฆ่าตัวตายดีกว่าจะได้ไม่ต้องใช้หนี้ แต่คงลืมนึกไปว่ายังมีทายาทมารับเคราะห์กรรมใช้หนี้ต่อเท่าที่ทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาท ตรงนี้แตกต่างจากคนจน ที่เครียดแล้วกินเหล้าอยู่น่ะ)
    หรือช่วงที่ยาเสพติดระบาดหนัก คดียาบ้ายาเสพติดก็ขึ้นสู่ศาลทุกวัน หรือช่วงที่มีการปราบปรามการพนันอย่างหนัก ก็มีคดีการพนันขึ้นสู่ศาลทุกวันเช่นกัน
    ยิ่งถ้าในช่วงเลือกตั้งยิ่งแล้วใหญ่ คดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งก็ขึ้นมาสู่ศาลแต่ละศาลเยอะมากเช่นกัน (ปลายปีนี้หากมีเลือกตั้ง ศาลแต่ละศาลก็คงต้องเตรียมกวาดบ้านไว้รอให้การต้อนรับได้) เป็นต้น
    แสดงให้เห็นว่าในแต่ละปี แต่ละไตรมาส หากประเทศมีปัญหาอะไร คดีก็จะขึ้นมาสู่ศาลเพื่อให้ศาลชี้ขาดแก้ไขปัญหานั้นๆ ให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกๆ ฝ่ายจำนวนมาก เป็นไปตามเทศกาลหรือฤดูกาลเหมือนกัน (เทศกาลนำเที่ยวเรือนจำ) ดังนั้น ดัชนีชี้วัดคุณภาพของสังคมน่าจะเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจเหมือนกับจีดีพีไหมล่ะ
    เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองเปรียบเทียบสถิติคดีของศาลชั้นต้นทั่วราชอาณาจักร และรวมคดีของศาลทั่วราชอาณาจักร ประจำปีงบประมาณ 2549 ตามรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2549 สำนักงานศาลยุติธรรม (ดูตาราง)
    (มีตาราง)
    จากตารางดังกล่าว ท่านจะสังเกตเห็นได้ชัดว่า ปริมาณคดีในแต่ละประเภทมีเพิ่มมากขึ้นทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ซึ่งในปีนี้สถิติคดีก็คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่แล้วอย่างมากเช่นกัน ก็คงต้องรอดูรายงานประจำปี 2550 อีกต่อไป (น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีการเก็บรายละเอียดสถิติคดีในแต่ละประเภท แต่ละเรื่อง แต่ละลักษณะของคดีไว้ในแต่ละปี เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการอ้างอิง ส่วนใหญ่มักเก็บข้อมูลเหมือนเดิม)
    จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนทำงานมานั้น สถิติคดีที่ขึ้นมาสู่ศาลส่วนใหญ่ มักจะเป็นคดีที่คนจำนวนมากชอบทำผิดกันบ่อยๆ อย่างเช่น ถ้าเป็นคดีพาณิชย์ ส่วนมากก็เป็นเรื่องกู้ยืม จำนอง ค้ำประกัน เช่าซื้อ บัตรเครดิต ตั๋วเงิน ถ้าเป็นคดีแพ่งก็เป็นเรื่องที่ดิน ครอบครัว มรดก
    ถ้าเป็นคดีอาญาส่วนมากก็จะเป็นคดีการพนัน คดียาเสพติด คดีจราจร คดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ คดีความผิดเกี่ยวกับชีวิตร่างกาย และคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ รวมทั้งคดีหมิ่นประมาท เป็นต้น
    และนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2549 มาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ปรากฏว่ามีคดีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เกิดขึ้นบ่อยมากจนชาวบ้านบ่นกันประจำ มีข่าวเกิดขึ้นเรื่อยๆ บ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นคดีลักทรัพย์ (แม้แต่มิเตอร์เครื่องวัดน้ำประปายังลักกันเลย บ้างก็มีข่าวว่าลักน้ำ ลักไฟฟ้า ลักสายไฟฟ้า ลักน็อตยึดเสาไฟฟ้า ลักกล่องรับจดหมาย ลักรถก็มีแทบทุกวัน รวมทั้งยักยอกข้าวที่รับจำนำไว้ด้วย) ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ เกิดขึ้นเกือบทุกวัน มิหนำซ้ำยังฆ่าและข่มขืนเจ้าทรัพย์เสียอีก แหม่....โจรมันโหดร้ายจริงๆ นะ
    บ้างก็มีข่าวไปทั่วโลกว่า ฆ่าชิงทรัพย์ฝรั่งนักท่องเที่ยวและข่มขืนเขาอีก นี่มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย โจรเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด
    คนต่างด้าวยังกล้าลองดีบังอาจมาหากินเป็นโจรในบ้านเมืองเราอีก
    รูปแบบการก่ออาชญากรรมก็มีหลายรูปแบบ ใช้กลยุทธ์กลวิธีทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะขับรถชนแล้วชิงทรัพย์ ชวนไปดื่มแล้วมอมยา หรือใช้กลอุบายหลอกเหยื่อทางอินเตอร์เน็ตให้ตายใจแล้วข่มขืนและฆ่า รวมทั้งหลอกให้โอนเงินให้ เป็นต้น เยอะแยะวิธีการไปหมด โจรมันเก่งจริงๆ เก่งกว่าตำรวจ (แต่ถ้าตำรวจจับโจรได้ ตำรวจเก่งกว่า) ยิ่งโจรมีความรู้ ก็ยิ่งน่ากลัวมาก (ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมีน้อยมาก)
    ส่วนในทางคดีแพ่งคดีพาณิชย์ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นในเรื่องกู้ยืมบัตรเครดิต เช่าซื้อ กำลังมาแรง พ่วงด้วยคดีเช็คเด้ง คดีละเมิดต่อชีวิตร่างกาย รวมทั้งความเสียหายที่เกิดจากเมาแล้วขับ (ได้ข่าวว่ากำลังจะมียาแก้เมาทำให้วัดหาแอลกอฮอล์ไม่ได้) คดีชดใช้ค่าเสียหายเพราะละเมิดต่อคนอื่นเขา ตามด้วยคดีมรดก ครอบครัว ทรัพย์สิน บ้างก็มีข่าวว่า เจ้าหนี้โหดเรียกดอกเบี้ยแพง บ้างก็มีข่าวว่า เจ้าหนี้ทวงหนี้แบบไม่เกรงใจไม่ให้เกียรติลูกหนี้ เอาแต่ได้ ไม่ยอมเสีย
    เมื่อเกิดปัญหาเกิดคดีฟ้องร้องกันขึ้นมาล่ะเป็นไง เสียเงิน เสียทอง เสียเวลา เสียความรู้สึกกันมากยิ่งขึ้น และเสียหายต่อสังคมส่วนรวม สุดที่จะประมาณได้
    ถามว่าเศรษฐกิจดีไหม ถ้าตอบว่าเศรษฐกิจดีเพราะลูกหนี้ไม่มีเงินจ่าย เพราะสถิติคดีมาสู่ศาลมากขึ้นก็หมดกัน
    ฉะนั้น ขออย่าพูดถึงจีดีพี หรือหุ้นขึ้นหุ้นลง แล้วว่าเศรษฐกิจดีกันอยู่เลย เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี มันขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง หลายๆ ประการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องจำนวนคนว่างงาน ความเป็นอยู่ของคนในสังคม คนส่วนใหญ่เดือดร้อนกันมั้ย คนจนจนต่อไปหรือไม่ และมีจำนวนคดีมากหรือน้อยขึ้นสู่ศาลเพียงใด
    ดังที่ผู้เขียนกล่าวมาแล้วว่าสถิติคดีขึ้นมาสู่ศาลก็นับได้ว่าเป็นตัวบ่งชี้แสดงดัชนีชี้วัดคุณภาพของสังคมและเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดีเหมือนกัน มิใช่ว่าเศรษฐกิจดี แต่สังคมเสื่อมถอยลง มันทวนกระแสกันหน่า
    ผู้เขียนจึงขอเสนอแนะว่า ประเทศไทยของเราน่าจะสร้างตัวดัชนีชี้วัดคุณภาพของสังคม หรือเอสดีพี รายไตรมาสหรือรายปี ควบคู่ไปกับเรื่องจีดีพีด้วย ซึ่งก็จะเป็นเรื่องที่ดีและเป็นเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจและคุณภาพของคนในประเทศได้อย่างแท้จริง
    มิใช่ว่าคอยแต่จะตามก้นฝรั่งไปเสียทุกเรื่อง....! ให้ฝรั่งเขาตามก้นเราบ้างจะดีกว่าไหม
    ปัจจุบันนี้ ปัญหาอาชญากรรมเยอะมาก มีแทบทุกวัน (นี่ไม่นับรวม 3 จังหวัดภาคใต้นะ) ทำอย่างไรจะมีมาตรการป้องกันและหาแนวทางแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นมากไปกว่านี้ และปัจจุบันปัญหาหนี้สินหนี้เสียเรามีมากขึ้น (บ้างก็ว่าเป็นผลพวงมาจากรัฐบาลที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องกองทุนหมู่บ้าน กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา หนี้สินโครงการต่างๆ ทั้งหลายที่ผ่านมา บ้างก็ว่าเศรษฐกิจประเทศอื่นก็ชะลอตัวลงเหมือนกัน) ทำอย่างไรจะแก้ไขปัญหาให้ผ่อนคลายบรรเทาลงได้
    ผู้มีอำนาจทั้งหลายคิดและหาแนวทางแก้ไขปัญหากันแล้วหรือยัง และลงมือแก้ไขปัญหากันหรือยัง
    ถ้าถามชาวบ้านตอนนี้ ตอบได้เลยว่า เขายังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย เขาอ้าปากรอคอยอย่างเดียวคือ วันเลือกตั้ง และวันที่เขาเห็นรัฐบาลและนายกฯที่เขาเลือกได้มาช่วยเหลือเขาอย่างจริงจังเสียที
    (ชาวบ้านบางคนถึงกับพูดว่าเลือกตั้งคราวนี้คงมีเงินซื้อข้าวกินละว่ะ มีตังค์ไว้กินข้าวได้หลายมื้อทีเดียว แต่ถ้าผู้สมัคร ส.ส.เขาหวังต่างจากชาวบ้านนะ เพราะเขาหวังว่าจะกินโต๊ะจีนทุกมื้อไป เขาหวังเงินเป็นล้านล้าน แต่ชาวบ้านหวังแค่ให้มีข้าวกินไปวันๆ ก็พอ)
    สรุป เหตุที่เศรษฐกิจแย่...หนีไม่พ้นปัญหาเรื่องการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตของชาวบ้านเขา ถ้าผู้นำการเมืองบริหารบ้านเมืองทั้งเก่งและดี ชาวบ้านเขาก็อยู่ดีกินดี เศรษฐกิจดี และสังคมส่วนรวมก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
    แต่เมื่อขณะนี้การเมืองเรายังไม่นิ่ง ยังไม่แน่นอน เศรษฐกิจของประเทศก็พลอยแย่ไปด้วย และปัญหาสังคมก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย หาความสงบสุขมิได้ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนไทยมีน้อยมากหากเทียบกับประเทศอื่นที่บ้านเมืองเขาเข้มแข็งและปกติสุข
    ขณะนี้แม้แต่ตำรวจ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ก็ยังไม่ปลอดภัยเลย อย่างเช่นกรณีที่มีข่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า มีตำรวจชั้นประทวนถูกลูกน้องของผู้มีอิทธิพลในจังหวัดทำร้ายร่างกายบนโรงพักและต่อหน้าผู้บังคับบัญชา เป็นต้น แล้วนับประสาอะไรกับชาวบ้านตาสีตาสาตาดำๆ ที่ไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ จะหาอะไรมาต่อสู้ป้องกันชีวิตดูแลชีวิตของพวกเขาได้
    เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี คนก็เดือดร้อนกันไปทั่ว ฉะนั้นในยุคข้าวยากหมากแพง จึงเกิดปัญหาคดีล้นเมืองล้นศาล คนล้นคุก ยากที่จะเยียวยาให้ดีขึ้นได้
    ดังนั้นถ้าอยากจะให้เศรษฐกิจและสังคมดีขึ้น จะต้องทำการเมืองให้เข้มแข็งขึ้นโดยเร็วพลัน เลือกตั้งเร็วเท่าใด ประเทศไทยก็จะลุกขึ้นเดินได้เร็วขึ้นเท่านั้น ปัญหาต่างๆ ที่กำลังสะสางอยู่ ก็ควรรีบเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็วกว่าที่ทำอยู่จะดีกว่าไหม...! เดี๋ยวจะสายเกินแก้นะ ดังพุทธสุภาษิตที่ว่า โย ทนฺธกาเล ทนฺเธติ ตรณีเย จ ตารเย โยนิโส สํ วิธาเนน สุขํ ปปฺโปติ ปณฺฑิโต ผู้ใดช้าในกาลที่ควรช้า และรีบในกาลที่ควรรีบ ผู้นั้นเป็นผู้ฉลาด ย่อมถึงสุข เพราะการจัดทำโดยแยบคาย (เหมาะกับเหตุผล) กล่าวง่ายๆ ว่า ที่ควรช้าก็ต้องช้า ที่ควรเร็วก็ต้องเร็ว มิใช่ช้าไปเสียทุกเรื่อง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=news2006_black cellSpacing=0 cellPadding=0 width=595 border=0><TBODY><TR><TD class=news2006_graylight align=right>หน้านี้ถูกเปิดอ่านแล้ว <!-- Start Counter --><SCRIPT language=javascript src="http://app.sanook.com/counter/js/counter.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT language=javascript type=text/javascript>counter('site=news&id=186348')</SCRIPT>56<!-- End Counter -->ครั้ง</TD></TR><TR><TD class=news2006_graylight align=right>อ่านข่าวทั้งหมดของ มติชน ได้ที่นี่
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมไม่ทราบวิธีนี้จะใช้ได้กับทุกท่านหรือเปล่า ต้องให้เครดิต อ.อาชวินครับ ท่านว่าให้ค่อยๆหมุนพระบูชาไปเรื่อยๆ ...จนเรารู้สึกสบายโล่ง สำหรับตัวเราท่านว่าจะเป็นทิศที่ พลังของพระบูชาให้คุณกับตัวเรา ต้องลองดูเองครับสำหรับผม พอรู้สึกบ้างครับ ไม่ทราบท่านอื่นช่วยแนะนำ น้องเอด้วย ว่ากันว่าจะดีต่อสุขภาพด้วยครับ
    nongnooo...
     
  18. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
  19. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485
  20. ตั้งจิต

    ตั้งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,574
    ค่าพลัง:
    +5,485

แชร์หน้านี้

Loading...