จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "ความจริงการไปพระนิพพานนี่ไม่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยอะไร ตัดอยากเสียตัวเดียว ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาเสียตัวเดียว ทำใจวางเฉย ในเมื่อกฎธรรมดามันเกิด ถือว่าธรรมดาของมัน เท่านี้ อารมณ์ก็เข้าถึงพระนิพพาน เข้าถึงอย่างไรเพราะตัววางเฉยเป็นตัวดับอารมณ์ ดับความจุ้นจ้าน ดับตัวเกาะ"


    คำสอน ... หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
    ที่มา fb ธรรมะหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นี่คือ..ตัวอย่าง
    "จิตเกาะพระ"


    ขอความกรุณากับครูหรือผู้ฝึกสอนจิตเกาะพระ ทุกๆท่าน
    ขอให้นำตัวอย่างของผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระ ที่ทำได้แล้ว
    จะให้บุคคลภายนอกรู้ว่า การวิปัสสนา ในแนวจิตเกาะพระนั้น เป็นอย่างไร
    หรือ ขั้นตอนในการพัฒนาจิตของผู้ปฎิบัตินั้น เป็นอย่างไรบ้าง
    และ ว่าทำไม? ถึงยกระดับจิตได้สูงขึ้น ไวขนาดนั้น
    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
    ภูทยานฌาน2

    ขอโมทนาสาธุ กับคุณเป้ และครูเกษและผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ด้วยนะครับ

     
  3. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    กำลังใจเท่านั้นเป็นสิ่งสำคัญในการปฏิบัติ ความดีหรือความชั่ว จักปรากฏได้ก็เพราะกำลังใจ ให้มุ่งจุดนี้เป็นสำคัญ บารมี10จึงทิ้งไม่ได้ ต้องมั่นทบทวนอยู่เสมอ เพราะถ้าทานบารมีเต็ม ตัดโลภได้ ศีลบารมีเต็มตัด โกรธ เนกขัมมะเต็ม ตัดกามารมณ์ได้ ปัญญาเต็มตัดกิเลสได้ขาด วิริยะเต็มก็หมดขี้เกียจ ขันติเต็ม ก็ทนกับสิ่งที่เข้ามากระทบได้ สัจจะเต็ม ก็ตัดความโลเลในการปฏิบัติธรรมได้ อธิษฐานเต็ม ก็ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว เมตตาเต็ม ก็พ้นภัยตนเอง คือภัยจากอารมณ์จิตตนเอง อุเบกขาเต็ม ก็ตัดทุกข์ที่เกิดแก่กาย อะไรเกิดกับกาย ก็เป็นเรื่องของกาย อย่าเอาจิตไปเกี่ยวข้อง และจิตได้มีอารมณ์วางเฉยได้(สังขารุเบกขาญาณ)ดังนั้นหากบารมี10เต็ม ก็ตัดสังโยชน์10 ลงได้เด็ดขาด สังขารเป็นของไม่เที่ยง จงอย่าไปติดใจกับสังขาร เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา คนที่ยังกลัวตายอยู่ ก็เพราะหลงคิดว่า ขันธ์5หรือร่างกายเป็นเรา-เป็นของเรา ยังมีอุปทานขันธ์5 อยู่เต็ม (คือสักกายทิฏฐิ) เราคือจิตซึ่งเป็นอมตะไม่เคยตาย มาอาศัยกายอยู่ชั่วคราว จึงทำให้เกิดกิเลสตัวหลงขึ้นมา จึงเกาะเปลือกตนเอง เกาะผู้อื่น เกาะญาติ เกาะเพื่อน แม้แต่วัตถุธาตุต่างๆ ว่าเป็นเราเป็นของเรา ขอให้มั่นนึกถึงมรณานุสสติเป็นนิพพานสมบัติ ใครนึกถึงความตายบ่อยเท่าไร ความประมาทก็น้อยลงเพียงนั้น มรณานุสติจึงเป็นกรรมฐานที่ใช้ตัดกิเลสได้ด้วยนะค่ะ. ขอความมุ่งมั่นเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านค่ะ สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
     
  4. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    อะ..จัดให้..ตามคำเรียกร้องค่ะพี่ภู...นี้ก็เป็นบางตอนในการบ้านของลูกศิษย์ เชิญทุกท่านได้โปรดโมทนาบุญกันถ้วนหน้าค่ะ..สาธุ๊:cool:

    จากการปฏิบัติของปุ้ยที่ไม่ได้เขียนเมล์เพราะ พอปฏิบัติไปต้องขอใช้คำว่า 3 วันดี 4 วันไข้ คือ ปฏิบัติมีสตินึกถึงภาพพระ ทรงฌานได้ดี แต่พอดีๆ ก็หลุด มันขาดๆ หลุดๆ คือ ประกอบกับไม่ได้ส่งการบ้านทุกวัน 3 วันส่งทีค่ะ แล้ววันนึงก็บอกกับครูพี่เกษว่าทำไมรู้สึกว่าตัวเองมันเฉื่อยๆ ชาๆ แล้วเหมือนกับไม่มีความเพียรเพราะขาดๆหลุดๆบ่อยเกินค่ะ จนครูพี่เกษใช้ไม้ตาย 5555 เสียงเข้มถามอย่างจริงๆจังว่า “ปุ้ยมีความศรัทธา ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แค่ไหน”ให้การบ้านไปหาคำตอบว่าปุ้ยศรัทธาแค่ไหน เชื่อในพระพุทธเจ้ามั้ย หลังจากคืนนั้นปุ้ยก็ไปพิจารณา และค้นหาคำว่าศรัทธา ปุ้ยก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า ปุ้ยมีความศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างไม่มีข้อส่งสัยใดๆเลยค่ะ และรักพระพุทธเจ้ามาก แต่สิ่งที่ปุ้ยติดขัด เป็นเรื่องศีลที่รักษาไม่ครบ ข้อ 4 ค่ะ เพราะปุ้ยไม่ชอบนายปุ้ย ปุ้ยชอบส่งจิตออกนอกไปดูเค้า จนไม่มีสติดูจิตตัวเอง แล้วเผลอลืมนึกถึงภาพพระ แล้วฌานเลยหลุด ก็เลยสารภาพบาปกับครูพี่เกษฟังค่ะ

    ครูพี่เกษเลยเล่าสมัยพุทธกาลให้ฟังค่ะ เรื่องอาจารย์สัญชัย อาจารย์คนแรกของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลาให้ฟัง..(ซึ่งท่านสัญชัยได้กล่าวนินทาว่าร้าย ใส่ความพระพุทธเจ้า)..ฟังจบปุ้ยก็ซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมาหากรุณาธิคุณที่พระพุทธเจ้าท่านทำค่ะ แล้วครูพี่เกษก็ให้ปุ้ย พิจารณาทบทวนศีล ขอขมาพระรัตนตรัย และบอกท่านว่าจะปรับปรุงศีลข้อนั้นให้ดีขึ้นเพื่อพระนิพพาน และให้ท่านช่วยปกปักคุ้มครองให้เรามีสติและรักษาศีลข้อนั้นให้บริสุทธ์แนบแน่น เมื่อขอขมาแล้วให้กำหนดรู้ว่าพระท่านให้อภัยแล้ว และให้ทำใจให้อภัยตนเองด้วย เชื่อมั้ยคะว่าฝึกมาจะ 2 เดือนแล้ว ปุ้ยไม่เคยทำมาก่อนเลย ได้แต่งุดๆๆ อาราธนาศีล 5 แล้วจบค่ะ ตื่นเช้ามาปุ้ยก็ตั้งสติและพิจารณาภาพพระ ทำตามที่ครูพี่เกษบอกทุกอย่างค่ะ วันนั้นปุ้ยก็มีสติและระลึกถึงภาพพระ และวันนั้นก็ได้ฟังธรรมมะ จากหลวงพ่อไพศาล วิสาโล เหมือนธรรมมะจัดสรรเลยค่ะ ท่านเทศน์ประมาณว่า เราไม่ชอบคนนึงเพราะเค้ามีนิสัยชอบนินทาคนอื่น แล้วเราก็เอาเค้ามาเล่าให้อื่นฟังว่าคนนี้ชอบนินทา ปรากฏว่าคนที่เอาไปเล่าต่อนั่นแหละยิ่งกว่าซะอีก เพราะตัวเองก็เป็นเหมือนเค้าที่เอาเค้ามานินทาให้คนอื่นฟัง คนเราชอบมองดู หรือเพ่งจ้องคนอื่น ไม่เคยดูจิตดูใจตัวเอง

    ตอนที่ฟังขณะนั้นใช้จิตฟัง และตอนนั้นปุ้ยมีสมาธิแนบแน่น แล้วจิตปุ้ยก็ย้อนถามตัวเอง เฮ้ยยยย!!!! นั่นตัวกู กูเป็นแบบนั้นเองเหรอเนี่ย (ขอโทษนะคะที่ใช้คำไม่สุภาพ คือ พูดกับตัวเองอ่ะค่ะ) ทำไมไม่เคยดูตัวเองเลย ว่าที่แท้เรายิ่งกว่าเค้าอีกที่เอาเรื่องเค้ามาคิด มาพูด และเราก็ทุกข์เอง รู้สึกรำคาญไม่ชอบเค้า ที่เค้าชอบนินทาคนอื่น เรายิ่งกว่าอีกที่เอาเค้ามาเล่าต่อ เรายิ่งกว่าอีกก็เรากำลังเป็นเหมือนเค้า เรากำลังนินทาอยู่ แต่เราไม่เคยดูตัวเองเลย พอจิตมันระลึกได้ มันเหมือนกิเลสฝังในตัวเรา ตัวนี้มันหลุด กระเด็นออกมาค่ะ ใจปุ้ยเบา โล่ง สบาย เหมือนตัวจิตรู้ ตื่น มันรู้สึกมหัศจรรย์มากๆค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  5. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    [​IMG]



    หน้าที่ของลูกในชีวิตที่เหลืออยู่”คือตามพี่น้องกลับบ้าน”


    ลูกรัก...พี่น้องของลูกที่ยังอยู่อนุบาลยังมีอยู่ พ่อขอสั่งลูก
    หน้าที่ของลูกในชีวิตที่เหลืออยู่”คือตามพี่น้องกลับบ้าน”
    มันเป็นหน้าที่เดียวที่พ่อจะมอบให้ลูก เราจะกลับบ้านกันทุกคน
    เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแม้แต่คนเดียว เพราะเราคือพี่น้องกัน
    จำให้ดีนะลูกใครเขาจะว่าอย่างไรจะว่าผิดทางหรือถูกทาง
    ไม่ใช่หน้าที่ของลูกที่จะไปตอบโต้กับใคร หน้าที่ของลูกทุกคน
    คือตามพี่น้องเรากลับบ้านให้หมด ส่วนคนอื่นหากเขายอมรับการสงเคราะห์ก็ช่วย
    ถ้าเขามาเพื่อทิฐิมานะ จงอย่าสนใจ
    ตามพี่น้องเรากลับบ้านเท่านั้นคือภาระของลูก —




    คำสอนเตือนสติ จากท่านพ่อ และหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ปาราเมศ............. นิวเวป จบ.๑๔
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2013
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =====

    อนุโมทนาครับ ท่านพ่อ ภู

    ผมคิดว่า ความเป็นอรหันต์แท้ ผู้ถึงแล้วซึ่งพระนิพพาน มีประเภทเดียว จะเป็นแบบสุขวิปัสโก หรือแบบไหนก็แล้วแต่แต่มีอย่างเดียว ประเภทเดียวคือ
    ดับทุกข์หมดแล้ว โดยสิ้นเชิง เป็นผู้วาง หมดสิ้นแล้ว ความอยากใดๆไม่มีแล้ว หมดแล้ว อาศัยอยู่ด้วยความว่าง เข้าถึงสุญญะ แล้ว ผมเชื่อว่า นิพพานังสุญญัง อวิชาและตัณหาอุปาทานทั้งหลายดับแล้ว ด้วยปัญญาวิมุตติญาณที่พร้อมบริบูรณ์แล้ว ความหลงมืดในอุปทานทั้งหลายก็สว่างแล้ว บริสุทธิ์แล้วแห่งจิตเกิดขึ้นพร้อมแล้ว วางหมดแล้ว ว่างจริงๆ แม้ความเป็นอรหันต์ก็วางลงแล้วเช่นกัน

    ส่วนอรหันต์อุปาทาน นั้นมี3ระดับ
    1 อย่างละเอียดมาก คือพระอนาคามี บางท่าน ที่เจริญธรรมกำลังก้าวสู่ความเป็นอรหันต์ แม้กิเลสทั้งหลายดับลงมากแล้วแต่ ในสังขาระขันธ์ นั้นยังดับอุปาทาน ไม่หมด แต่เป็นอุปาทานอย่างละเอียดมาก จึงยังติดอยู่ด้วยอวิชชาคือความไม่รู้จึง ยังติดอยู่และไปไม่ถึง แต่ด้วยความที่ตนบรรลุธรรมขั้นสูงมากจึงเข้าใจว่าตนบรรลุแล้ว
    2อย่างละเอียดปานกลาง คือผู้ที่เจริญฌาณ ขึ้นฌาณ8แล้ว ด้วยกำลังแห่งฌาณอันละเอียด ดับแล้วในวิญานัญจายตนะ ดับแล้วใน อากิจจัญญายตนะ สงบระงับดับเกือบสนิทแล้ว จึงเข้าใจว่าดับสนิทแล้วด้วยความไม่รู้ยังไปไม่ถึงแห่งการดับหมดสิ้นในรูปนาม เนวะสัญญายตะนะ อรุปาวัจจระ ดับหมดสิ้น
    จึงเกิดอุปทานว่า จิตตนนั้นได้ดับหมดแล้วเข้าสู่ความเป็นอรหันต์แล้ว
    3 อย่างละเอียด คือผู้ที่เป็นอริยะบุคคลเจริญธรรมขั้นสูง ถึงขั้น จิตเข้าสู่อุเบกขาสังขาระญาณ จิตเจริญเข้าถึงความดับแห่งกาย ธาตุ คือรูปทั้งหลายทั้งปวงดับแล้ว แต่การเจริญปัญญาให้นามทั้งหลายยังไม่ถึงที่สุดคือนามยังดับไม่หมด ยังไปไม่ถึงสังขาระวิญญาณัง ตรงนี้ยังไม่ดับ ยังไปไม่ถึง จึงเกิดความเข้าใจอุปาทานว่า จิตตนได้เจริญปัญญาจนรูปดับแล้ว นามก็ดับแล้วแต่ยังไม่รู้ว่า นามยังดับไม่หมด จึงยังมีอุปาทานตรงนี้ยังตามปรุงแต่งอยู่ด้วยความไม่รู้นั่นเอง ครับ

    ดังนั้น กระผมคิดว่า ความต่างที่กล่าวมา จึงเป็นเพียงความต่างที่ใกล้แล้วแห้งความเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์แท้ หากยังมีอิทธิบาท4 ยังมีวิริยะแก่กล้า ย่อมเป็นผู้เข้าถึงแดนแห่งนิพพานได้อย่างแน่นอนโดยไม่ช้าครับ สาธุครับ

     
  7. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    สาธุ สาธุ สาธุ ลูกขอน้อมกราบท่านพ่อ แล้วก็ขอน้อมรับคำเตือนท่านพ่อใส่เกล้ากระหม่อมเจ้าค่ะ สาธุ๊
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2013
  8. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    อามิตาพุท สาธุ สาธุ..
    ดังนี้แล.. ทุกๆท่านจึงควรที่จะ"จงยังความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อม"

    โมทนาสาธุกับวิสัชชนาคุณเพ็ญ2 คุณพี่นี น้องดาว และคุณก้องด้วยครับ
     
  9. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  10. ไผ่มรกต

    ไผ่มรกต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,896
    หนูขอโมทนาและ ร่วมทำบุญกับพระอาจารย์ ชัชวาล ที่จะฝึกจิตเกาะพระค่ะ ส่งเข้าบัญชี เมื่อวาน 7/ม.ค /56 เวลา 19.07 น. 1000 บาทค่ะ จบ 107
     
  11. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    วันนี้ขออันเชิญ ธรรมะของหลวงปู่ "สังวาลย์ เขมโก" มาเล่าสู่กันฟัง เรื่อง"หมัดเด็ด"จากลูกศิษย์ ที่ถ่ายทอดเล่าให้ฟังดังนี้ วันนั้นกําลังฉันจังหันอยู่บนศาลาใหญ่ มีพระท่านบวชใหม่ ซึ่งการสํารวมกายก็ดูสวยงาม แต่ในใจยิ่งสวนทางกัน หลังจากเสร็จภัตกิจ หลวงปู่ท่านได้แสดงธรรมสอนทั้งลูกพระ ลูกชีทุกๆวัน สายวันนั้นท่านเทศน์สั้นๆว่า "เราต้องสํารวมกายวาจาใจ กายสํารวมง่าย เดินอย่างมีสติไว้ ตาเพ่งไปแค่แอกเกวียน ส่วนใจชิยาก อะไรๆใจนั้นสําคัญนะ" มองให้เห็นความสกปรกไม่งาม แค่หน้าไม่ได้ล้าง เท้าไม่ขัดถูสัก ๒-๓ วัน...เป็นไง พิจารณาว่าไม่งามเหม็นสาบสางเมื่อไม่ได้ฉาบทาปรุงแต่ง ฟันไม่ได้แปรงแค่วันสองวันพูดที่เหม็น ให้กําหนด"รู้หนอ-คิดหนอ"ไว้ถ้าปล่อยไม่ทําสติมันจะเพลิดในอารมณ์ กายสงบ วาจาสงบแล้ว เหลืออีกอย่างเดียวทําใจให้สงบให้ได้ การบวชของเราจึงจะมีอนุสงฆ์มาก เราบวชแล้วไม่สํารวมใจ แม้มองตีนผู้หญิง กามคุณปรุงแต่งว่ามันสวยมันดี เป็นพระเขากราบไหว้ ถ้าคิดรักชี รักสตรีเพศแม่ไม่ดีหรอก เจ้าของเขารู้อายเขาตายเชียวนะ...!พระหนุ่มเจ้าของใจปรุงแต่งท่านบอกว่า"ผมอยากจะเอาหน้ามุดดินเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย"ตั้งแต่วันนั้นมาท่านพระหนุ่มก็พยายามเข่นกับอารมณ์ของท่านตลอด ด้วยคิดว่า"เราทําไม่ดี คนอื่นไม่เห็น แต่เทวดา ผีสางเห็น คิดไม่ดีใครๆหรือจะรู้? แต่หลวงปู่ท่านรู้ น่าอายท่านจริงๆ เรื่องอย่างนี้มีอยู่บ่อยๆเพราะหลวงปู่ท่านสามารถรู้จิต รู้ใจคน และก็รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ด้วย จึงขอเอามาเล่าเพื่อเป็นธรรมทานสู่กันฟังตามสมควรค่ะ ขอน้อมกราบนมัสการหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก ด้วยเศียรเกล้าค่ะ.
     
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    (บ้านรากไทย มั่นคง)
    (บ้านรากแก่น มั่นใจ)

    เดี๋ยวต้องมีคนมาต่อ...[/COLOR][/SIZE][/CENTER][/QUOTE]

    บ้านรากไทย มั่นคง
    บ้านรากแก่น มั่นใจ
    สืบสาน พระศาสนา
    ให้ยืนยง คงไว้ให้
    ครบ 5000 ปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2013
  13. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "ให้พากันตั้งใจภาวนา ทำสมาธิอย่าเกียจคร้าน เอาขันธ์ห้าเป็นขันธ์บูชา เอาหัวใจเป็นเทียนไต้ส่องทาง ให้พบเห็นทางพ้นทุกข์
    เกิดเป็นคนให้ตั้งอยู่ในศีล อย่าหมิ่นต่อธรรม"

    คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ
    ที่มา fb กลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ตามหลักพระพุทธศาสนา คนที่จะรู้ได้เฉพาะตนจริงๆ ไม่พึ่งพาใคร ก็มีพระพุทธเจ้า

    องค์เดียว พระพุทธเจ้าเมื่อปฏิบัติธรรมท่านก็ได้ศึกษากับครูบาอาจารย์ แต่ไม่สามารถจะทำ

    ให้ท่านบรรลุธรรมได้ การบรรลุธรรมของพระองค์จึงเกิดขึ้นด้วยบารมีของพระองค์ที่ได้

    สร้างสมมา ตามวิสัยของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้ธรรมโดยการค้นหาธรรมเอาเอง

    ธรรมซึ่งลึกซึ้งละเอียดอ่อน ซึ่งเป็นอริยสัจธรรม ธรรมดับทุกข์ อริยสัจ ๔ กับมรรคองค์ ๘

    การที่รู้ธรรมอย่างนี้ก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวในโลก นอกนั้นก็เป็นสาวกเป็นพุทธบริษัท จะ

    เป็นพระภิกษุ ภิกษุนี อุบาสก อุบาสิกาก็จะต้องเรียนรู้ธรรมจากพระพุทธเจ้าหรือสาวกต่อๆ

    กันมา. ครูบาอาจารย์ถือว่าเป็นผู้ที่ทำให้ลูกศิษย์สำเร็จได้ คนไหนที่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์

    ว่าไม่จำเป็น ถือว่าคนนั้นไม่มีมรรคผลมรรคผลได้สูญหายไปจากคนนั้น โสดาบัน สกิมาคามี

    อรหันต์ก็สูญหายไปจากคนนั้น. ใครก็ตามพอสำเร็จโสดาบันแล้ว เจอพระภิกษุทุกองค์ก็

    เหมือนเจอครูบาอาจารย์ ฉนั้นความละเอียดอ่อนของโสดาบันสกิทาคามี อนาคามี หรือแม้

    พระอรหันต์ ท่านจะไม่ปฏิเสธว่า ไม่มีครูบาอาจารย์ การมีครูบาอาจารย์จะทำให้เกิด

    ความเจริญงอกงามวัดทุกวัดสำเร็จด้วยครูบาอาจารย์ทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ต้องดีที่สุดสำหรับ

    เรา เพราะท่านสั่งสอนด้วยหวังให้เราได้ความรู้ไป ไม่คิดว่าจะมาเอาเปรียบเราหรือจะมาเอา

    สิ่งตอบแทนจากเรา เหมือนหัวใจของพ่อแม่เราคือท่านมีแต่ให้ ครูบาอาจารย์ท่านก็ให้ที่

    ท่านดุด่าว่ากล่าวกันก็เป็นเรื่องที่จะต้องยอมรับว่ามันเป็นโอกาสที่ท่านไม่ต้องการให้เราเป็น

    ไปในทางที่ผิด ท่านสอนเรา ว่าเราก็ไม่ได้เป็นการเกลียดหรือกีดกัน แต่เป็นเพราะท่าน

    เป็นห่วง หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ท่านเป็นครูที่วิเศษ แต่ละท่านๆก็มีอุบายในการสอน

    ธรรมะต่างกัน. หลวงพ่อชาก็อย่างหนึ่ง หลวงตามหาบัวก็อย่างหนึ่ง หลวงปู่สังวาลก็อย่าง

    หนึ่ง อาจารย์แต่ละท่านแต่ละองค์เป็นครูทั้งนั้นเลย แต่มีอุบายสอนลูกศิษ์ให้รู้วิธีต่างๆ

    ใครเจออาจารย์ที่ดีก็โชคดีไปให้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นทุกคนทุกท่านเทอญ.

    คัดมาจากหนังสือบูชาครู.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2013
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    วิธีดับทุกข์เพื่อพระนิพพาน

    เมื่อชาย2คนมาเจอกัน

    ชายขี้เหงา
    เดินทางไปหาทางเอาชนะความเหงากลางป่า
    พบชายลึกลับคนหนึ่ง บทสนทนาจึงเริ่มขึ้น


    คุณเป็นใคร?
    “ผมเหรอ… เป็นแค่อีกคนที่จะต้องตายไป”

    ชอบคิดชอบพูดเรื่องตายๆบ่อยหรือ?
    “ผมถูกสอนให้คิดถึงความตายบ่อยๆ
    และถึงแม้จะไม่ใช่สัปเหร่อ
    ผมก็ได้เห็นความจริงที่ต้องยอมรับ”


    ถ้าศรัทธาความตายนัก จะเลี้ยงชีวิตไว้ทำไม?
    “เพราะผมถูกสอนให้เตรียมตัวตายด้วยการมีชีวิตที่ดีที่สุด”

    การมีชีวิตที่ดีที่สุดคืออะไร?
    “มีขันติในการงดกรรมชั่ว มีความอุตสาหะในการเพิ่มกรรมดี
    มีความเข้าใจเส้นทางพ้นทุกข์”


    ความรู้เรื่องกรรมวิบากทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร?
    “ทำให้เห็นว่า ผมตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกับคนอื่น
    ความเห็นนั้นแหละที่ทำให้แตกต่างจากคนอื่น”


    คุณเหงาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
    "นานแล้ว ตอนยังไม่ทราบวิธีอยู่กับตัวเองด้วยจิตใจที่เบิกบาน”

    มันทำกันได้ด้วยเหรออย่างนั้นน่ะ?
    “คุณอยากให้เกิดอะไรขึ้นก็มีวิธีทั้งนั้นแหละ
    ใครจะทราบหรือไม่ทราบวิธีเท่านั้น”


    อ่ะ ! ไหนบอกวิธีแบบสั้นที่สุด ง่ายที่สุดซิ
    “ รู้ ”

    หือ? รู้อะไร?
    “มีอะไรให้รู้ก็รู้”

    ไม่เข้าใจ...
    “คุณต้องการวิธีง่ายๆ ใช้คำสั้นๆ ผมก็ตอบให้ตามต้องการไง
    แล้วในที่สุดคุณก็พบใช่ไหมว่ามันเป็นไปไม่ได้ คนเราชอบ
    นึกว่าการเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิตอาศัยคำเพียงไม่กี่ คำ”


    เอาล่ะ ! อย่างนั้นขอคำอธิบายแบบละเอียดๆก็ได้
    “ตอนเหงา คุณมีความเหงาให้รู้
    ตอนฟุ้งซ่าน คุณมีความฟุ้งซ่านให้รู้
    เมื่อคุณรู้อาการใดของจิต อาการนั้นจะหายไป
    ให้ดูเหมือนพยับแดด”


    ถ้ารู้ความเหงา รู้ความฟุ้งซ่าน แล้วมันไม่หายเหงา
    ไม่หายฟุ้งซ่านล่ะจะทำยังไง?

    “ก็แปลว่าคุณต้องทำตามขั้นตอนแบบไม่ก้าวกระโดด”


    โอเค ! ไม่กระโดดก็ได้ ก้าวแรกทำยังไง?
    “ผมถูกสอนให้เห็น ว่าขณะนี้ลมหายใจกำลังเป็นอย่างไร
    ถ้าบอกตัวเองเงียบๆได้ถูกว่าเข้าหรือออก จิตจะเลิกมอง
    ไปข้างหลัง ไม่หวังไปข้างหน้า หันมาอยู่กับปัจจุบันจริงๆ”


    ต้องรู้ลมหายใจแค่ไหนถึงจะพร้อมรู้อย่างอื่น?
    “จิตคุณจะบอก ไม่ใช่ผมบอก”

    ถ้านานเป็นปีๆคงท้อเสียก่อนแน่
    “ถ้ารู้บ้างพักบ้างสบายๆแบบไม่คาดหวังผล คุณจะเป็นคน
    มีความสุขทางใจที่ได้เป็นตัวของตัวเองเฉพาะหน้าไปเรื่อยๆ
    คนเราต้องท้อที่จะมีความสุขทางใจไปเรื่อยๆด้วยหรือ?”


    พอรู้ลมหายใจจนมีความสุขทางใจจะให้ทำอะไรต่อ?
    "รู้ความสุขมองตามจริงว่าความสุขไม่เที่ยง เดี๋ยวสุขมาก
    เดี๋ยวสุขน้อย แล้วแปรเป็นทุกข์น้อยบ้าง ทุกข์มากบ้าง
    มันขึ้นอยู่กับว่าใจคุณตั้งอยู่กับเหตุแห่งสุขหรือเหตุแห่งทุกข์


    พอเห็นชัดว่าสุขทุกข์ไม่เที่ยงจะให้ทำอะไรต่อ?
    “นั่นแหละ คุณพร้อมจะรู้จักวิธีใช้ชีวิตอย่างไม่เหงาแล้ว
    พอเหงาก็รู้ว่าเหงา พอฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน เมื่อจิตตื่นรู้
    ตลอดเวลา คุณจะไม่อ่อนแอแล้วแช่จมอยู่กับอาการชั่วคราว
    ใดๆของจิต แต่จะเห็นมันเหมือนลมหายใจ
    เห็นมันเหมือนสุขทุกข์ ที่เกิดขึ้นด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง
    แล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา”


    ความฟุ้งซ่านต้องมีเหตุด้วยหรือ? เห็นแต่ว่าอยู่ดีๆมันก็ฟุ้ง
    "คุณไม่ได้อยู่ ดี’จริงน่ะสิ คุณอยู่เฉื่อยๆเรื่อยเปื่อยแบบ
    ขาดสติ เป็นการใช้ชีวิตอยู่อย่าง ไม่ดี ต่างหาก เหตุคือ
    ความขาดสตินั้นแหละทำให้ฟุ้งซ่าน


    โอย! แค่ฟังก็เหนื่อยแล้ว แปลว่าต้องพยายามมีสติ ไปจนชั่วชีวิตหรือนี่ ?
    “ไม่หรอก การปฏิบัติอย่างนี้จะนำไปสู่ชีวิตใหม่ที่คุณไม่รู้จัก
    ถ้าฝึกมีสติไปเรื่อยๆ คุณจะฝืนพยายามน้อยลงเรื่อยๆจนเป็นอัตโนมัติ
    แล้วในที่สุดคุณจะมีสติโดยไม่ต้องตั้งสติ”


    จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติแบบนี้คืออะไร ?
    “ ที่สุดแห่งทุกข์ ”

    เอาอะไรวัด ?
    “ไม่เป็นทุกข์ทางใจอีก”

    หมายถึงพระนิพพาน?
    “ ใช่ ”

    ฉะนั้นควรหวังพระนิพพานเพื่อเป็นกำลังใจ
    ในการปฏิบัติใช่ไหม?

    “ผมถูกสอนให้ รู้จัก พระนิพพานเพื่อความ
    เข้าใจจุดหมายปลายทาง แต่ไม่ได้ถูกสอนให้หวังว่า
    จะต้องถึงซึ่งนิพพานเมื่อนั่นเมื่อนี้ ่”


    ใครสอนคุณ?


    ผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า นามว่า พระสมณโคดม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2013
  16. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรม ๕ อย่างเพื่อบรรลุ
    ๑.วิปัสสนา ทําลายอวิชา ทางกาย วาจา โดยเฉพาะ
    ๒.สมถะ ทําลายนิวรณ์ทางจิตใจ โดยตรง มิใช่อย่างอื่น
    ๓.เสวนา กับ บัณฑิต เพื่อทําลายอกุศล โดยตรงมิใช่อย่างอื่น
    ๔.สุตตะ ฟัง ทําลายอาสวะอุปาทานโดยตรงมิใช่อย่างอื่น
    ๕.ศีลสังวร ทําลายพิษภัย เวรกรรมโดยตรงมิใช่อย่างอื่น
    ถ้ามีธรรม ๕ อย่างนี้ เป็นธรรมที่จะทําให้ผู้ปฏิบัติธรรมบรรลุถึงมรรคผลนิพพานได้.
    ที่มา หนังสือ สาระของชีวิต.
     
  17. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ศีลแท้ต่างจากศีลสมมุติ อย่างไร? บุคคลใดมีหิริโอตตัปปะอยู่ประจําใจตลอดเวลาแล้ว เขาจะไม่สามารถก่อทุกข์โทษ แก่ใครได้เลย ทั้งต่อหน้า และลับหลัง เขาจะมีความละอายแก่ใจ ตนเองอยู่เสมอ เมื่อรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดจิตจะเป็นทุกข์รุ่มร้อน แม้ใครจะไม่รู้แต่เขาก็จะย่อมรู้ และจะเกิดการติเตือนลงโทษตัวเองเลยทันทีจากภายในใจ จนไม่สามารถที่จะทําผิดได้เลย เพราะเขารู้ก่อนทํา เพราะเขามีใจอันเป็นศีลแท้นั้นเอง ผิดจากศีลสมมุติ คือบุคคลใดถึงจะรู้ว่ามีศีลกี่ข้อก็ตาม แต่เขายังไม่มีหิริโอตตัปปะ คือ ศีลในเกิดขึ้นในใจแล้ว เขาย่อมทําผิดศีลได้อีกเมื่ออยู่ลับหลังเพราะเขาคิดว่าไม่มีใครรู้ ใครเห็น ไม่เป็นไรแล้วค่อยไปขอใหม่ ไปต่อศีลใหม่ จึงเป็นการรู้ศีล แต่ยังไม่เป็นศีลนั่นยังไม่ใช่ศีลแท้ แต่ก็ต้องอาศัยศีลสมมุติไปเรื่อยๆก่อนค่อยๆฝึกไปจนกลายเป็นศีลในใจคือ"ศีลแท้"คือหิริโอตตัปปะเกิดขึ้นภายในใจก่อน จึงจะใช่ศีลที่สมบูรณ์จริง นี่ก็คือข้อแตกต่างจากศีลแท้และศีลสมมุติ ดังนั้นศีลแท้ต้องเกิดขึ้นจากภายในจิตใจจริงๆอันเป็นศีลแห่งธาตุรู้ ที่สามารถรู้ถูกผิดได้อย่างอัศจรรย์จริงๆ ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้เป็นผู้มีศีลแท้ด้วยกันทุกๆท่านด้วยเทอญ.
    ที่มา หนังสือ ธรรมะกับการปฏิบัติธรรม.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2013
  18. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    การปฏิบัติ ถ้าเราทำด้วยความศรัทธา ปฏิบัติด้วยความขยัน พากเพียร และมี

    ความมุ่งมั่นทำเป็นกิจเป็นประจำไม่ว่าเราจะทำอะไรซึ่งเป็นหน้าที่ของเราจะต้องทำเพื่อการ

    ดำรงณ์ชีวิตซึ่งเป็นหน้าที่ของสัตว์โลกอย่างเราๆท่านๆจำต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ.ในขณะ

    ที่เราทำหน้าที่นั้นๆอยู่ เราก็สามารถฝึกตัวเราเองในขณะเดียวกันได้โดยฝึกกับตัวเราเอง

    นี่แหละ่เป็นที่เริ่มทำสติ ให้รู้ตัวว่านะตอนนี้เวลานี้เราทำอะไรอยู่ก็เอาจิตของเรามาอยู่ตรง

    นั้นทำเป็นประจำบ่อยๆแล้วมันก็จะเกิดขึ้นกับเราโดยอัตโนมัติ เมื่อเรามีสติแล้วเราทำอะไร

    มันก็จะไม่ผิดพาด เราฝึกให้จิตเราอยู่กับเราไม่ให้มันไปโน่นทีไปนี่ที คิดนี่ คิดนั่น คิด

    แต่เรื่องของคนอื่น คิดถึงแต่ที่จะทำให้เกิดทุกข์ บางเรื่องที่ยังไม่เกิดก็คิดไปเสียก่อนทำให้

    เิกิดทั้งทุกข์และสุขได้ แต่สิ่งที่คิดส่วนมากจะทำให้เราทุกข์มากกว่าสุข.เพราะฉนั้นเรามา

    ฝึกที่ตัวเราดีกว่าถ้าเราฝึกแล้วเราก็จะรู้ว่าเป็นความสุขที่อยู่กับเราตลอดเวลาและเป็นความ

    สุขที่แท้จริง ฝึกให้เรารู้ในตัวของเราถามมันบ่อยๆว่าวันนี้เราได้ปฏิบัติ ได้ฝึกสติของเราหรือ

    ยังถ้ายังก็บอกตัวเองเลยว่าอย่าให้เวลาอันมีค่านี้ผ่านไป. โดยปล่าวประโยชน์ เพราะวัน

    และเวลาไม่รอใคร เหมือนตัวเราก็จะแก่ไปตามเวลาซึ่งมันเอากลับคืนมาไม่ได้ มันก็จะ

    ่ผ่านไป แต่สิ่งที่จะมาแทนคือ ความแก่ ความชะรา ความเสื่อมโชมของร่างกาย โรคภัย

    ต่างๆก็จะตามมาเป็นลำดับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันเป็นธรรมชาติของ

    สัตว์โลก การที่เรามาปฏิบัติ มาฝึกตัวเองให้มันมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เพื่อทำตนเองให้มี

    ความรู้ตัวทั่วพร้อม เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าก่อนที่อะไรๆมันจะมาถึง ถ้าเรายังช้าอยู่มันจะไม่ทัน

    เพราะว่ามันกำลังตามมาติดๆแล้ว บางคนคิดว่าอายุยังน้อยอยู่ยังไม่ทำหรอก เที่ยวหาความ

    สุข สนุก สนานไปก่อน แต่หารู้ไม่ว่า นาทีต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นไม่มีใครสามารถรู้ได้ เพราะ

    ฉนั้นขอให้เราๆท่านๆอย่าได้ประมาทกัน ไม่ว่าเวลาใหนทำอะไรให้มาฝึกปฏิบัติคือใช้ตัว

    เรานี่แหละเป็นที่ฝึก จึงขอฝากไว้กับท่านผู้อ่านทุกๆท่านหวังว่าคงมีประโยชน์ได้บ้า้งไม่

    มากก็น้อย.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2013
  19. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    หลักของการปฏิบัติธรรมนั้น ให้ทำสติ มิใช่ทำสมาธิ เพราะสมาธิคือผลที่เกิด

    จากการทำสติแล้วต่างหาก ตัวสตินั่นแหละคือมรรค หรือเหตุที่ควรทำ.

    สรุปง่ายๆ คือ สติจับรู้อยู่กับปัจจุบัน ผลเป็นสมาธิ

    สมาธิที่มีสติจับทันปัจจุบันอีก ผลเป็นมหาสติ มหาสติรู้ทันในพระไตรลักษณ์

    ผลเป็นปัญญา. ปัญญามีสติอยู่ในนั้น ผลเป็นวิสุทธิ หรือวิมุติ

    ไม่ต้องสงสัย ให้ทำสติอยู่กับปัจจุบันตัวเดียวเท่านั้น ทางและผลจะมีอยู่ในนั้นทั้งหมด.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2013
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,846
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,038
    45 พรรษาของพระพุทธเจ้า
    พรรษาที่ ๑

    จำพรรษาที่อิสิปตนมฤคทายวัน

    - โปรดปัญจวัคคีย์ สังฆรัตนะ เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก

    - โปรดพระยสะ และสหาย ๔๕ คน

    ออกพรรษา

    - ให้สาวก ๖๐ รูป มีอำนาจบวชกุลบุตร ได้โดยวิธีให้รับไตรสรณคมน์

    - โปรดภัททวัคคีย์ ๓๐ รูป

    - โปรดชฎิลสามพี่น้อง บวชเป็นเอหิภิกขุ ๑,๐๐๐ รูป แสดงอาทิตตปริยายสูตรสำเร็จพระอรหันต์หมด

    - ไปราชคฤห์โปรดชาวเมืองและพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน

    - ถวายวัดเวฬุวันเป็นวัดแรก

    - ให้สงฆ์สาวกรับอารามที่มีผู้ถวายได้

    - พระอัญญาโกณฑัญญะบวชปุณณมันตานีบุตร ( ลูกน้องสาว ) บรรลุอรหันต์

    - ได้ ๒ อัครสาวก อุปติสสะและโกลิตะบวชบรรรลุเป็นพระอรหันต์

    - บวชพระมหากัสสปะโดยรับโอวาท ๓ ข้อ


    พรรษาที่ ๒

    จำพรรษาที่เวฬุวัน

    ออกพรรษา เสด็จเมืองเวสาลี แคว้นวัชชี

    - สอนพระอานนท์ให้สาธ ยายรัตนสูตร บรรเทาภัยของชาวเมือง

    - พระอานนท์ฟังกถาวัตถุ ๑๐ ประการ ( ของพระปุณณมันตาณีบุตร) เป็นพระโสดาบัน

    พรรษาที่ ๓

    จำพรรษาที่เวฬุวัน

    - ราชคฤหเศรษฐี ขอสร้างเสนาสนะถวายสงฆ์ เป็นที่พำนักถาวร

    - อนุญาตเภสัช ๕ ชนิด และภัตฯ ประเภทต่างๆ

    - อนุญาตการอุปสมบทโดยวิธีญัตติจตุตถกรรม

    - พระสารีบุตรบวชให้ราธะพราหมณ์เป็นรูปแรก

    - อนุญาตวันประชุมสงฆ์ และแสดงธรรมใน ๑๔ คํ่า ๑๕ คํ่า และ ๘ คํ่า ของข้างขึ้นและข้างแรม

    พรรษาที่ ๔

    จำพรรษาที่เวฬุวัน

    - โปรดหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นพระโสดาบัน

    - ถวายชีวกอัมพวันอนุญาตผ้าไตรจีวร ๓ ผืน,ผ้าจีวร ๖ ชนิด

    ออกพรรษา

    - เทศน์โปรดพุทธบิดา สำเร็จพระอรหันต์และนิพพาน และจุดเพลิงพระบรมศพ

    พรรษาที่ ๕

    จำพรรษาที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน นอกเมืองเวสาลี

    - พระนางประชาบดี ยอมรับคุรุธรรม ๘ ประการ บวชเป็นภิกษุณีองค์แรก แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์

    - พระนางยโสธราบวชในสำนักพระนางประชาบดีเถรี บรรลุเป็นพระอรหันต์

    - นางรูปนันทา บวชตามหมู่ญาติ ทรงแสดงฤทธิ์โปรด สำเร็จเป็นพระอรหันต์

    ออกพรรษา

    - เสด็จไปภัททิยนคร แคว้นอังคะ โปรดเมณฑกะเศรษฐี ธนัญชัยเศรษฐี นางวิสาขาและหมู่ญาติ เป็นพระโสดาบัน

    - ทรงอนุญาตโครสทั้ง ๕ ทรงอนุญาตนํ้าผลไม้ทุกชนิด ( เว้นนํ้ากับเมล็ดนํ้าข้าวเปลือก) นํ้าใบไม้ทุกชนิด ( เว้นนํ้าผักดอง ) นํ้าดอกไม้ทุกชนิด ( เว้นนํ้าดอกมะซาง ) นํ้าอ้อยสด ทรงอนุญาตให้ฉันผักสดทุกชนิด และของขบฉันที่ทำด้วยแป้ง ให้ฉันผลไม้ได้ทุกชนิด

    - แสดงมหาปเทส ๔ สิ่งที่ควรและไม่ควรสำหรับสงฆ์

    พรรษาที่ ๖

    จำพรรษาที่ มกุลบรรพต แคว้นมคธ

    - ห้ามพระภิกษุแสดงอิทธิปาฏิหาริย์

    - ปรารภจะแสดงยมกปาฏิหาริย์เอง

    ออกพรรษา

    - เดียรถีย์สร้างสำนักหลังวัดเชตวัน พระเจ้าปเสนทิโกศล เปลี่ยนเป็นสร้างอารามสำหรับภิกษุณี เรียกราชการาม

    - เพ็ญเดือน ๘ แสดงยมกปาฏิหาริย์ นอกเมืองสาวัตถี

    พรรษาที่ ๗

    จำพรรษาที่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    - แสดงพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาตลอดไตรมาสจนบรรลุเป็นพระโสดาบัน

    - เรื่องอังกุรเทพบุตรและอินทกเทพบุตร

    - ลงจากชั้นดาวดึงส์ ที่ประตูเมืองสังกัสสะ หลัง

    ออกพรรษา

    - เสด็จกรุงสาวัตถี

    - ปรารภเรื่องนางปฏิปูชิกา ภรรยาของมาลาภารีเทพบุตร

    - นางจิญจมาณวิกา ใส่ความพระพุทธเจ้า ถูกธรณีสูบลงอเวจีมหานรก

    พรรษาที่ ๘

    จำพรรษาที่เภสกฬาวัน ภัคคชนบท

    - บิดาของสิงคาลกมานพบวช บรรลุพระอรหันต์

    ออกพรรษา

    - บัญญัติสิกขาบทเรื่องการผิงไฟของภิกษุ

    - โปรดมาคันทิยาพราหมณ์และภรรยา จนขอบวชทั้ง ๒ คนแล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

    - นางมาคันทิยาผู้เป็นธิดาผูกจิตอาฆาตในพระศาสดา

    - เศรษฐีโกสัมพี ๓ คนตามไปฟังธรรมที่วัดเชตวันเมืองสาวัตถีบรรลุเป็นพระโสดาบันและได้สร้าง โฆสิตาราม ปาวาริการาม และกุกกุฏาราม ถวายที่โกสัมพี


    พรรษาที่ ๙

    จำพรรษาที่โกสัมพี

    - เรื่องนางสามาวดี ได้เป็นมเหสีพระเจ้าอุเทน ถูกนางมาคันทิยาวางแผนเผาทั้งปราสาทจนตาย

    ออกพรรษา

    - สงฆ์ที่โฆสิตาราม โกสัมพี แตกความสามัคคี

    พรรษาที่ ๑๐

    จำพรรษาที่รักขิตวัน (ป่าปาริเลยยกะ) อยู่ระหว่างกรุงโกสัมพีกับกรุงสาวัตถี

    - ช้างปาริเลยยกะและวานรถวายอุปัฏฐากพระพุมธองค์

    ออกพรรษา

    - หมู่สงฆ์ชาวโกสัมพีมาขอขมาต่อพระองค์ ทำให้สังฆสามัคคี
    พรรษาที่ ๑๑

    จำพรรษาที่หมู่บ้านพราหมณ์ เอกนาลา ใต้เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ

    ออกพรรษา ไม่ปรากฏหลักฐาน

    พรรษาที่ ๑๒

    จำพรรษาที่ควงไม้สะเดา เมืองเวรัญชา

    - ทรงไม่อนุญาตให้มีการบัญญัติสิกขาบท

    ออกพรรษา

    - เรื่องเอรกปัตตนาคราช

    - พระนางปชาบดีเถรี ทูลลานิพพาน ประชุมเพลิง

    - การอุปสมบท ๘ วิธี

    พรรษาที่ ๑๓

    จำพรรษาที่จาลิกบรรพต เมืองจาลิกา

    - เรื่องพระเมฆิยะ

    ออกพรรษา

    - แสดงมงคลสูตร ๓๘ ประการ

    - แสดงกรณีเมตตาสูตร

    - เรื่องพระพาหิยะทารุจิริยะ

    - พระอัญญาโกณฑัญญะทูลลานิพพาน


    พรรษาที่ ๑๔

    จำพรรษาที่วัดเชตวัน สาวัตถี

    - สามเณรราหุลอุปสมบท

    - ตรัสภัทเทกรัตตคาถา

    - แสดงนิธิกัณฑสูตร

    ออกพรรษา

    - บัญญัติวิธีกรานกฐิน

    - อนุญาตสงฆ์ รับการปวารณาปัจจัยเภสัชเป็นนิตย์


    พรรษาที่ ๑๕

    จำพรรษาที่นิโคธาราม กรุงกบิลพัสดุ์

    - เจ้าศากายะถวายสัณฐาคาร

    - แสดงสัปปุริสธรรม ๗ ประการ

    - เรื่องพระเจ้าสุปปพุทธะถูกธรณีสูบลงอเวจี

    ออกพรรษา

    - ไม่ปรากฏหลักฐาน


    พรรษาที่ ๑๖

    - อัคคาฬวเจดีย์วิหาร เมืองอาฬวี
    - ปราบฤทธิ์เดชของอาฬวกยักษ์


    พรรษาที่ ๑๗

    จำพรรษาที่วัดเวฬุวัน

    - พระทัพพมัลลบุตรทูลลานิพพาน

    ออกพรรษา

    - เรื่องพระวักกลิ



    พรรษาที่ ๑๘

    จำพรรษาที่จาลิกบรรพต เมืองจาลิกา

    ออกพรรษา

    - เสด็จเมืองอาฬาวีครั้งที่๒

    - โปรดธิดาช่างหูกบรรลุโสดาปัตติผล

    - ช่างหูกผู้เป็นบิดาขอบวชสำเร็จอารหัตตผล

    - ตรัสอริยทรัพย์ ๗ ประการ

    พรรษาที่ ๑๙

    จำพรรษาที่จาลิกบรรพต เขตเมืองจาลิกา

    ออกพรรษา

    - เรื่องโปรดโจรองคุลีมาล

    - เรื่องสันตติมหาอำมาตย์บรรลุอรหัตตผลแล้วนิพพาน

    พรรษาที่ ๒๐

    จำพรรษาที่เวฬุวัน เมืองราชคฤห์

    - พระอานนท์ได้เป็นอุปัฏฐากประจำพระองค์

    - พระอานนท์ทูลขอพร ๘ ประการ

    พรรษาที่ ๒๑-๔๕

    จำพรรษาที่วัดเชตวัน หรือ วัดบุพพาราม สลับกันไป

    ออกพรรษาที่จาริกไปตามตำบลต่างๆ เพื่อโปรดเวไนยสัตว์


    ประมาณพรรษาที่๒๑ จำวัดที่บุพพารามสาวัตถี

    - พระองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโทกข์ในที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ครั้งแรก
    - พระองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโทกข์ในที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ครั้งแรก


    ประมาณพรรษาที่๒๖ พระราหุลนิพพาน


    พรรษาที่๓๗ เทวทัตคิดปกครองสงฆ์

    - วางแผนปลงพระชนม์พระศาสดา

    - ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสาร

    - พระเทวทัตถูกธรณีสูบ


    พรรษาที่๓๘ แสดงสามัญญผลสูตรแก่อชาตศัตรู

    - อชาตศัตรูแสดงตนเป็นพุทธมามกะ

    - กรุงสาวัตถี

    - อำมาตย์ก่อการขบถ

    - พระเจ้าปเสนทิโกศลสิ้นพระชนม์

    - พระเจ้าวิฑูฑภะฆ่าล้างวงศ์ศากยะ

    - พระเจ้าวิฑูฑภะสิ้นพระชนม์


    พรรษาที่๔๓ พระยโสธราเถรีนิพพาน



    พรรษาที่๔๔ แสดงธรรมที่วัดเชตวัน

    - ตอบปัญหาเทวดา

    ออกพรรษา

    - พระสารีบุตรทูลลานิพพาน

    - พระสารีบุตรโปรดมารดาจนบรรลุโสดาปัตติผลพระสารีบุตรนิพพาน

    - พระโมคคัลลานะถูกโจรที่เดียรถีย์จ้างมาทำร้าย

    - พระโมคคัลลานะนิพพาน

    - นางอัมพปาลีถวายอาราม นางอัมพปาลีบรรลุธรรม


    พรรษาที่๔๕ ภิกษุจำพรรษารอบกรุงเวสาลี

    - ตรัสอานุภาพอิทธิบาท ๔

    - ทรงปลงอายุสังขาร ตรัสโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ

    - นายจุลทะถวายสุกรมัททวะ

    - ตรัสถึงสังเวชนียสถาน ๔แห่ง

    - วิธีปฏิบัติกับพุทธสรีระปัจฉิมโอวาทแก่ภิกษุ

    - เสด็จปรินิพพาน


    ***************************************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...