หลวงปู่ศุข เกสโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า ศึกษา สะสม ตรวจสอบพระ บ้านๆไม่ใช่เซียน

หลวงปู่ศุข พิมพ์ประภามณฑล เนื้อทองแดง ขอขอบคุณเจ้าของภาพด้วยนะครับ กับภาพพระสวยๆเหมาะกับการศึกษา

<a href="http://img210.imageshack.us/i/12483673139915.jpg/" target="_blank"><img src="http://img210.imageshack.us/img210/2940/12483673139915.jpg" alt="Free Image Hosting at www.ImageShack.us" border="0"/></a>

 

ภาพไม่ชัดครับองค์ประกอบหลายอย่างอาจจะทำให้องค์พระดูไม่ดีได้ รบกวนถ่ายภาพเฉพาะองค์พระชัดๆอีกรอบครับ

 

หลวงปู่ศุข พิมพ์ประภามณฑลรัศมี เนื้อชินตะกั่ว ขอขอบคุณเจ้าของภาพด้วยนะครับ กับภาพพระสวยๆเหมาะกับการศึกษา

<a href="http://img844.imageshack.us/i/pic7673533.jpg/" target="_blank"><img src="http://img844.imageshack.us/img844/6676/pic7673533.jpg" alt="Free Image Hosting at www.ImageShack.us" border="0"/></a>

 

"ประคำนิ้วหลวงปู่ศุข เกสโรครับ"

 

สุดยอดครับ ขอบคุณที่นำมาให้ชม ครับ(k)

 

"ขอบคุณมากครับ ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ"

 

ขอบคุณครับที่โพสให้ชม

 

ตะกรุด 'หลวงปู่ศุข' วัดปากคลองมะขามเฒ่า
ตะกรุดหลวงปู่ศุข (พระครูวิมลคุณากร) วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ตามประวัติท่านจะทำตะกรุดใต้น้ำ ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ของทุกปี หากปีไหนตรงกับ วันเสาร์ ยิ่งดียิ่งแกร่ง เพราะเป็นวันแข็ง โดยท่านจะระเบิดน้ำลงไปนั่งบริกรรมจุดเทียนใต้น้ำ ลงไปจารตะกรุดในแม่น้ำหน้าวัด และที่หนองท่าเรือทอง ใกล้กับวัดของท่าน
เมื่อท่านจารเสร็จแล้ว จะปล่อยตะกรุดให้ลอยขึ้นมาเหนือน้ำ ตะกรุดดอกไหนไม่ลอยขึ้นมา เป็นอันใช้ไม่ได้ และตัวท่านจะตามขึ้นมาจากน้ำ โดยร่างกายของท่าน ตลอดจนสบงจีวรที่ท่านสวมใส่ จะไม่เปียกน้ำแต่ประการใด
ขั้นตอนการทำแผ่นตะกรุดของหลวงปู่ศุข นับเป็นตำราที่แปลกไม่เหมือนใคร กล่าวคือ ขั้นแรก ต้องเคี่ยวตะกั่วนมกับปรอท ในกระเพาะควายเผือก เป็นเวลาถึง ๗ วัน ๗ คืน ที่ใต้ถุนกุฏิของท่าน
โดยท่านจะควบคุมการเคี่ยวตะกั่วด้วยตัวท่านเองเสมอ ถึงกับบางครั้งท่านลงมือเคี่ยวตะกั่วด้วยตัวเองก็มีอยู่บ่อยๆ
เสร็จแล้ว ท่านจะนำตะกั่วเหลวนั้นมาเทลงบนสมุดข่อย เมื่อตะกั่วเย็นตัวลงแล้ว ก็จะนำไปตีแผ่ออก แล้วตัดตามขนาดที่ต้องการ คือ ๑ นิ้ว ๑.๕ นิ้ว ๒ นิ้ว ๒.๕ นิ้ว ๓ นิ้ว ๔ นิ้ว จนถึง ๖ นิ้ว (ที่ยาวกว่านี้ก็อาจจะมี แต่ผู้เขียนยังไม่เคยพบเห็น จึงไม่กล้ายืนยัน)
ขั้นตอนต่อไป คือ เตรียมพร้อมสำหรับการลงจารอักขระบนแผ่นตะกั่ว เพื่อทำตะกรุด โดยการดำไปลงจารใต้น้ำดังกล่าว
จึงนับได้ว่า ตะกรุดหลวงปู่ศุข เป็นตำราที่ยากจะหาพระเกจิอาจารย์ท่านใดมาเสมอเหมือนได้ จึงไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมทุกวันนี้ ตะกรุดของท่านจึงมีการซื้อขายกันในราคาที่แสนแพง
หลวงปู่ศุข ละสังขารเมื่อปลายปี ๒๔๖๖ นับถึงวันนี้ (พ.ศ.๒๕๕๒) ตะกรุดของท่านมีอายุการสร้างเกือบ ๑๐๐ ปี นับว่าเป็นตะกรุดที่มีความเก่ามากพอสมควร
คาถาอาราธนาพระเครื่อง และตะกรุดหลวงปู่ศุข : ตั้งนะโม ๓ จบ : อิติอะระหังสุคะโต เกสโรนามะเต ประสิทธิเม อิหิอะโห นะโมพุทธายะ
คาถาหลวงปู่ศุข : สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทธโธภะคะวาติ มะอะอุ
หลวงปู่ศุข เป็นผู้ที่มีพื้นฐานแก่กล้าในการศึกษาพระเวทอาคมต่างๆ โดยท่านมีจิตใจที่แน่วแน่ มุ่งปฏิบัติอย่างจริงจัง จนเกิดพลังจิตที่กล้าแข็งเป็นอย่างยิ่ง กสิณที่ฝึกประกอบด้วย อาโปกสิณ เตโชกสิณ วาโยกสิณ ปฐวีกสิณ อันเป็นธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ จนสามารถแยกธาตุได้ด้วยความชำนาญ
สำหรับประวัติของ หลวงปู่ศุข เกสโร ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีวอก พ.ศ.๒๓๙๐ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ณ บ้านข้างวัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท

ท่านเป็นบุตรของนายน่วม และนางทองดี เกศเวชสุรยา โดยท่านเป็นบุตรชายคนโต มีพี่น้องต่อมาอีก ๘ คน ครอบครัวเป็นชาวไร่ พออายุได้ ๗ ขวบ บิดามารดาได้นำไปฝากกับพระอาจารย์ ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า (เดิมชื่อว่า วัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า) เพื่อเล่าเรียนหนังสือไทย และอักขระขอม
การเล่าเรียนของท่านอยู่ในเกณฑ์ดี จนมีความเชี่ยวชาญ และแตกฉานในวิชาการต่างๆ เป็นอย่างดี
จนกระทั่งอายุได้ ๑๘ ปี ท่านได้อำลาวัดออกไปท่องเที่ยว หาประสบการณ์อยู่พักหนึ่ง และเมื่ออายุได้ ๒๐ ปี ก็หวนกลับไปอุปสมบท เป็นพระภิกษุที่วัดโพธิ์ทองล่าง โดยมี อาจารย์เชย จันทสิริ เจ้าอาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์
เมื่อบวชแล้วก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัย จนบังเกิดความศรัทธาดื่มด่ำในรสพระธรรม รอบรู้ในพระไตรปิฎก และเชี่ยวชาญทางวิปัสสนากรรมฐาน
ด้วยเหตุที่ท่านเป็นผู้แตกฉานในภาษา และอักขระเลขยันต์มาก่อน จึงทำให้ท่านก้าวสู่โลกของไสยเวท และคาถาอาคมได้โดยง่าย มีพระอาจารย์เชยซึ่ง เป็นผู้แก่กล้าทางพุทธาคม เป็นอาจารย์สอนวิชาวิปัสสนากรรมฐาน การทำสมาธิจิตเพ่งกสิณจนแตกฉาน และความเชี่ยวชาญในพระเวทอาคมทุกด้าน
ความรู้วิชาอาคมต่างๆ ของหลวงปู่ศุข กล่าวกันว่า ท่านสามารถปฏิบัติจนเห็นผลได้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการผูกหุ่นพยนต์ เสกใบมะขาม เป็นตัวต่อตัวแตน เสกให้คนเป็นจระเข้ เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ระเบิดน้ำลงไปนั่งบริกรรม ทำตะกรุดโดยจีวรไม่เปียก
ซึ่งล้วนแต่เป็นพระเวทขั้นสูง แม้แต่ "เสด็จเตี่ย" เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย ยังประจักษ์ด้วยตัวพระองค์เองมาแล้ว และถึงกับขอถวายพระองค์เป็นศิษย์หลวงปู่ศุข จนมีความผูกพันมาโดยตลอด เสมือนบิดากับบุตร
แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ สิ้นพระชนม์ในขณะที่ยังมีพระชนมายุเพียง ๔๔ พรรษา (เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๖๖) ยังความโศกเศร้ามาสู่ทุกฝ่าย รวมทั้งหลวงปู่ศุข เมื่อท่านทราบข่าวถึงกับน้ำตาคลอ และนั่งนิ่งประหนึ่งว่า เป็นการปลงอย่างหนัก กับวัฏสังขาร หรือสังขารที่ไม่เทียงแท้
และในปลายปี ๒๔๖๖ หลวงปู่ศุขก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคชรา สิริรวมอายุได้ ๗๖ ปี
"อนุวัต บูรณสัจจะ (วัต ท่าพระจันทร์)"

<a href="http://img221.imageshack.us/i/84470969.jpg/" target="_blank"><img src="http://img221.imageshack.us/img221/6818/84470969.jpg" alt="Free Image Hosting at www.ImageShack.us" border="0"/></a>

<a href="http://img14.imageshack.us/i/59105327.jpg/" target="_blank"><img src="http://img14.imageshack.us/img14/9821/59105327.jpg" alt="Free Image Hosting at www.ImageShack.us" border="0"/></a>

<a href="http://img32.imageshack.us/i/54204159.jpg/" target="_blank"><img src="http://img32.imageshack.us/img32/7654/54204159.jpg" alt="Free Image Hosting at www.ImageShack.us" border="0"/></a>

<a href="http://img266.imageshack.us/i/78450733.jpg/" target="_blank"><img src="http://img266.imageshack.us/img266/4139/78450733.jpg" alt="Free Image Hosting at www.ImageShack.us" border="0"/></a>

<a href="http://img43.imageshack.us/i/86378050.jpg/" target="_blank"><img src="http://img43.imageshack.us/img43/3249/86378050.jpg" alt="Free Image Hosting at www.ImageShack.us" border="0"/></a>

 

ขอลงมั่งนะครับ ไม่รู้ว่าองค์นี้เป็นยังไงบ้างครับ

 

ยินดีครับพี่บุพนิมิต

 

สวยครับองค์นี้ดูไม่ยากเลย

 

พระเครื่องหลวงปู่ศุข วัดพิกุลงาม หรือ วัดหัวหาด อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท

<a href="http://img688.imageshack.us/i/93407128.jpg/" target="_blank"><img src="http://img688.imageshack.us/img688/9762/93407128.jpg" alt="Free Image Hosting at www.ImageShack.us" border="0"/></a>

<a href="http://img96.imageshack.us/i/85881336.jpg/" target="_blank"><img src="http://img96.imageshack.us/img96/4329/85881336.jpg" alt="Free Image Hosting at www.ImageShack.us" border="0"/></a>

ขึ้นชื่อว่าเมืองชัยนาท หรือ จังหวัดชัยนาท แทบทุกคนเกือบจะรู้จักเมืองนี้เป็นอย่างดี ยิ่งบรรดานักนิยมสะสมพระเครื่องพระบูชา โดยทั่วไปแล้วทั้งคนในอดีตและปัจจุบันย่อมรู้จักเมืองนี้กันแทบทุกคน ใครที่ไม่รู้จักเมืองชัยนาทถือว่ายังมีปมด้อยอยู่ …เมืองชัยนาทแต่โบราณนานมาเคยเป็นเมืองลูกหลวงในสมัยสุโขทัย ประชาชนชาวชัยนาทสมัยนั้นมีการนับถือศาสนาพุทธเป็นหลัก และนับถือติดต่อกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน ชาวชัยนาทเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ประจำตัวประจำใจ เป็นผู้มีอุปนิสัยใจคอดี โอบอ้อมอารีย์เยือกเย็น สุขุมรอบคอบ ประกอบไปด้วยความมีน้ำใจ มีเมตตา ใจบุญสุนทาน เมื่อมีการมีงานก็มักจะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ประการสำคัญของคนชัยนาท ถือความสามัคคีเป็นใหญ่ นี่แหละคือเอกลักษณ์ของชาวชัยนาทอันแท้จริง ถ้าถามว่าชัยนาทมีอะไรดี ขอตอบแทนคนชอบพระว่าชัยนาทมีพระดี (พระในที่นี้หมายถึงพระกรุ-พระเกจิอาจารย์และพระเครื่องต่าง ๆ ที่มีพระคณาจารย์ปลุกเสก แล้วแจกเป็นของขวัญของชำร่วยสำหรับให้ประชาชนไว้เป็นที่ระลึก สักการะเคารพบูชาเพื่อไปปกปักรักษาและคุ้มครองป้องกันภัยนานาประการ)
เราจะเห็นว่าเมืองชัยนาทมีเนื้อที่บริเวณกว้างไกล สมัยก่อนและปัจจุบันมีการขุดค้นพบพระกรุ พระพุทธรูปบูชา-พระเครื่องชั้นดีมากมายก่ายกอง ไม่แพ้เมืองอื่น ๆ พระดังกล่าวนี้มีกิตติศัพท์เรื่องลือระบือไกลในความเข้มขลังของหลวงพ่อนั้นเป็นที่โจษขานและกล่าวกันจนติดปากว่า พระเมืองชัยนาทเป็นพระที่มีคุณค่าเยี่ยมยุทธไปด้วยพุทธคุณอันล้ำลึก ไม่ว่าจะเป็นศิลปะก็ยังแสดงและบ่งบอกไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นศิลปะขึ้นบรมครูเกือบทั้งสิ้น ขอยกตัวอย่างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เช่น พระอู่ทองเมืองสรรค์พิมพ์หน้าแก่ ล้วนมีความปราณีตละเอียดละออ ไม่ว่าจะเป็นการหล่อเท รู้สึกว่าปราณีตบรรจงเป็นที่สุดจนเหลือเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อยังไม่เท่านั้น ถ้าพูดถึงพระที่มีศิลปะสมัยสูงกว่า ที่ขุดพบ ณ เมืองชัยนาทมักจะมีศิลปะสมัยอันงามหยดย้อยหยาดเยิ้มเสียนี่กระไร เป็นความจริงที่ผมได้พบมาแล้วหลายครั้งและหลายหน มีจำนวนหลายชิ้นเยี่ยม ๆ ไม่แพ้พระเมืองอื่น
สำหรับพระเครื่องที่ขึ้นชื่อลือชา และมีความศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนจำนวนมากเลื่อมใสศรัทธาเป็นที่สุดคงได้แก่ พระกำแพงเขย่งเมืองสรรค์ (สรรค์ยืน) และพระกำแพงสรรค์แบบนั่งทุกชนิดพระทั้งสองอย่างที่กล่าวมานี้เป็นพระดีหรือของดีของเมืองชัยนาทมีทั้งเนื้อดิน เนื้อตะกั่วสนิมแดง และมีทั้งเนื้อชินเงิน ส่วนสีสันวรรณะของเนื้อพระและการบรรจุกรุ อาจจะไม่เหมือนกัน ความหนาบางอาจไม่เท่ากันได้ สิ่งเหล่านี้ย่อมขึ้นอยู่กับผู้สร้างหรือผู้ทำจะเห็นเหมาะสมประการใด นักนิยมสะสมพระทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็ก-รุ่นใหญ่ย่อมใฝ่หาพระดังได้กล่าวมาแล้วทั้งสิ้น
ขอวกกลับมาพูดถึงพระเกจิอาจารย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ของจังหวัดชัยนาทกันบ้าง ก็ยังคงมีพระคณาจารย์หลายรูปหลายองค์ที่โดดเด่นและประชาชนยอมรับนับถือด้วยความศรัทธายิ่ง คงไม่มีพระรูปใดจะมีชื่อเสียงเกรียงไกรลือเลื่องกระเดื่องแผ่นดินเท่ากับหลวงปู่ศุข (พระครูวิมลคุณากร) แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า และในปัจจุบันนี้ก็ยังมีคณาจารย์อีกหลายรูปเริ่มจะมีชื่อเสียงบ้าง แต่คงไม่ดังเท่ากับหลวงปู่ศุข เป็นแน่แท้
ผู้เขียนขอนำเกร็ดประวัติและเกียรติภูมิสั้น ๆ ของหลวงปู่ศุข (พระครูวิมลคุณากร) วัดปากคลองมะขามเฒ่า ต.มะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท นำมาให้ทุกท่านอ่านเป็นสังเขปดังต่อไปนี้
ประวัติหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
พระครูวิมลคุณากร นามเดิมชื่อศุข เป็นชนชาวเมืองชัยนาทโดยกำเนิดพระคุณท่านเกิดในสกุล เกศเวชสุริยา โยมบิดาชื่อ นายน่วม โยมมารดาชื่อ นางทองดี ท่านเกิดปีฉลู พ.ศ.2390 มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 9 คนคือ
1.พระครูวิมลคุณากร (ศุข)
2.นายอำ
3.นายลุง
4.นายไข
5.นายสิน
6.นายมี
7.นายขำ
8.นายพลอย
9.หลวงพ่อปลื้ม
พระคุณท่านเป็นบุตรคนหัวปี ครอบครัวของท่านประกอบอาชีพค้าขาย และทำสวนอยู่ที่อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาทมาโดยตลอด พระคุณท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2466 อายุได้ 76 ปี พรรษาที่ 54 นับจากวันมรณภาพถึงปัจจุบันได้ 73 ปี

การสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ศุข
ในช่วงที่หลวงปู่ศุขมีชีวิตอยู่นั้น หลวงปู่ได้สร้างวัตถุมงคลไว้หลายชนิด และหลายแบบ (เรียกว่าหลายพิมพ์ทรง) แต่ละอย่างแต่ละชนิดที่พระคุณท่านได้สร้างไว้ เพื่อเป็นที่ระลึกและแจกเป็นของกำนัล หรือของชำร่วยให้แก่บรรดาผู้ที่สละปัจจัยช่วยเหลือปฏิสังขรณ์สร้างเสนาสนะภายในพระอารามบ้างเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และพุทธคุณนั้นศิษย์ที่รับแจกไปส่วนมากได้มีประสบการณ์มาแล้วหลายร้อยหลายพันรายเป็นที่ชื่นชอบและยอมรับนับถือของศิษย์และสาธุชนคนทั่วไปอย่างดี วัตถุมงคล ที่สำคัญยิ่งอันดับหนึ่งได้แก่พระพิมพ์สี่เหลี่ยม เนื้อตะกั่วถ้ำชา-เนื้อทองเหลือง-ทองแดง อันดับสอง ได้แก่ เหรียญทองแดงรูปไข่สร้างเมื่อ พ.ศ.2466 อันดับสามพระปิดตา เนื้อผงคลุกรัก อันดับสี่ ตระกรุดโทน คาดเอว ทั้งสี่อันดับได้กล่าวมาแล้วนี้ล้วนเป็นวัตถุมงคลที่มีคุณค่ายิ่ง นักสะสมพระทุกคนในแผ่นดินไทยนี้เสาะแสวงหากันเรื่อยมาและยิ่งเพิ่มความศรัทธา และความสนใจแก่หมู่ชนทุกขณะ จนกระทั่งบัดนี้รู้สึกว่าจะหาของแท้ยากเย็นเหลือประมาณ เพราะอะไรหรือจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าทุกคนเห็นว่าวัตถุมงคลของพระคุณท่านมีคุณค่าจริง จึงมีคนใฝ่หากันอยู่ทุกวัน
คนที่ร่ำรวยมักมีโอกาสได้เป็นเจ้าของมากกว่า คนที่ยากจนจะไขว่คว้าหรือก็ยาก คงต้องร้องเพลงรอไปก่อน ตามแผงพระในการประกวดแต่ละครั้ง แทบจะไม่ค่อยพบของแท้เอาเสียเลย จะมีบ้างบางแผงราคาท่านก็แสนจะแพงลิบลิ่วเกินกว่าที่เราจะอาจเอื้อม และเชื่อเหลือเกินว่าในอนาคตจะไม่มีโอกาสได้พบเห็นของแท้ เราอาจจะพบก็แต่ของเทียมเพราะอะไรหรือจึงเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ความต้องการของคนมีจำนวนไม่น้อยนั่นเอง เรียกว่า คนมีมากกว่าพระ ความปรารถนาความอยากได้ของคน ล้วนมีจุดเดียวกันทั้งสิ้น
สำหรับเกร็ดความรู้เรื่องเวทมนต์คาถา หรือพุทธานุภาพและพุทธคุณของวัตถุมงคลหลวงปู่ศุขดีเด่นหรือไม่อย่างไร ผู้เขียนไม่ขออธิบาย เพราะเชื่อเหลือเกินว่า ท่านที่อ่านหนังสือทุกท่าน คงจะทราบดีโดยตลอด หนังสือบางเล่มอาจจะลงเรื่องราวอย่างละเอียด บางเล่มอาจจะไม่ละเอียดนัก แต่ก็มีผลสรุปได้ว่า วัตถุมงคลของหลวงปู่ที่แท้จริงเชื่อถือและยึดมั่นได้แน่นอน และเป็นที่มั่นอกมั่นใจของผู้ที่มีไว้สักการะบูชาอย่างแท้จริงไม่ว่าจะเป็นอภินิหารปาฏิหาริย์-หรือความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงมีแน่นอนครับ แต่เป็นเรื่องเร้นลับ เรื่องบางเรื่องอ่านจากหนังสือดูแล้ว คิดว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อแต่เราก็ต้องเชื่อ ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่ต้องกล่าวซ้ำอีก หวังใจว่าท่านผู้อ่านทั้งหลายคงจะทราบมาเป็นอย่างดีแล้ว

พระเครื่องวัดหัวหาด
ณ โอกาสนี้ผู้เขียนขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านที่เคารพรักได้รู้จักกับวัดพิกุลงาม หรือเรียกตามชื่อเดิมว่าวัดหัวหาด (หรือวัดท่าหาด) ก็เรียกวัดนี้ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ในเนื้อที่ 17 ไร่เศษเลขที่ประจำวัด 82 หมู่ที่ 1 ตำบลคุ้งสำเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย แต่ก่อนวัดนี้ขึ้นอยู่กับอำเภอวัดสิงห์ แต่ปัจจุบันมาขึ้นอยู่กับอำเภอมโนรมย์เปลี่ยนแปลงเมื่อ พ.ศ. ใดไม่ปรากฏชัด วัดพิกุลงาม อยู่ห่างจากตัวจังหวัดชัยนาทไปทางทิศเหนือ ตามถนนสายเก่า ชัยนาท-นครสวรรค์ 15 กม. เมื่อมาถึง กม.ที่ 11 จะมีทางแกเข้าวัดดักคะนน ขับรถต่อไปอีกประมาณ 4 กม. ตามถนน ร.พ.ช. (รวมเป็นระยะทาง 15 กม.) ก็จะถึงวัดพิกุลงาม มีเจ้าอาวาสที่ปกครองวัดชื่อ พระครูโสภิตชัยการ (สำเริง) เป็นเจ้าอาวาส มีพระภิกษุจำพรรษา 11 รูป โทรศัพท์ของวัด ตามรหัส (035) 423299
ต่อจากวัดพิกุลงามทางด้านทิศเหนือ ก็คือวัดศรีมณีวรรณ ด้านทิศเหนือ ก็คือวัดศรีมณีวรรณ ด้านทิศใต้ก็เป็นวัดดักคะนน วัดพิกุลงาม เป็นวัดที่สร้างมาแต่ต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณปี พ.ศ.2420 เดิมที่หน้าวัดมีหาดทรายสวยงามยิ่งแต่เนื่องจากน้ำบ่าท่วมตลิ่งพังลงตัววัดจึงต้องย้ายออกให้ห่างแม่น้ำหลายครั้ง จนกระทั่งปัจจุบันพระอุโบสถมีการย้าย 1 ครั้ง และครั้งหลังได้ประกอบพิธีผูกพัทธสีมา เมื่อ พ.ศ.2485 เจ้าอาวาสมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด วัดนี้มีบางคนเรียกว่า วัดท่าหาดบ้าง หรือวัดหัวหาดบ้าง
จากการที่ผู้เขียนได้ไปสัมผัสที่วัดแห่งนี้มา รู้สึกว่าบรรยากาศสดชื่นรื่นรมย์ เพราะมีแมกไม้นานาพันธุ์ขึ้นปกคลุมเป็นระยะ ใหญ่บ้างเล็กบ้างคละเคล้ากันไป ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่สิ่งหนึ่งนั่นคือ ฝูงลิงป่าที่น่าสงสารได้มารวมกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่ภายในวัด จนกระทั่งวัดไม่มีอาหารที่จะเลี้ยงดูให้ลิงเหล่านั้นอยู่ดีกินดีได้ ท่านผู้ใจบุญทั้งหลายถ้าท่านสัญจรไปเที่ยวยังจังหวัดชัยนาท-นครสวรรค์ ขอความกรุณาช่วยนำผลหมากรากไม้ไปเลี้ยงลิงที่วัดพิกุลงามบ้าง คงจะเป็นบุญกุศลอย่างมหาศาล ขอเชิญครับ ท่านผู้ใจบุญทั้งหลาย และท่านก็จะได้พักผ่อนหย่อนใจอย่างเต็มอิ่ม บรรยากาศอันสุนทรีย์จะมีอยู่ในวัดแห่งนี้ ที่ผู้เขียนประชาสัมพันธ์มานี้ก็เพราะเกิดความสงสารลิงป่าอย่างจับใจและทำให้ผมคิดอยู่เสมอว่า วันหนึ่งข้างหน้าถ้าเรารวยก็จะเหมากล้วยสุกสัก 2 รถไปเลี้ยงลิงที่วัดพิกุลงามนี้ให้จงได้ วัดพิกุลงามแห่งนี้ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดชัยนาทอีกด้วย

เกร็ดประวัติศาสตร์ของวัดพิกุลงามในอดีต ที่มีความเกี่ยวพันกับล้นเกล้า ร.5 มีดังนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประสูติเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 ขึ้นครองราชเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2411 สวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 ทรงครองราชได้ 42 ปี 22 วัน รวมพระชนมายุได้ 57 พรรษา จดหมายเหตุของพระองค์ทรงเสด็จทางชลมารคเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2450 มายังวัดพระปรางค์เหลือง อำเภอพยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และวัดพิกุลงาม อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ได้ถวายสิ่งของให้ไว้กับวัดดังกล่าวคือ ปิ่นโต, บาตร, หีบไม้สัก และไม้ชิงชันขนาดเล็ก, หีบ, พระแสงดาบ ฯลฯ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้พระองค์เจ้าชายอุรุพงษ์รัชสมโภช พระโอรสซึ่งเกิดแก่เจ้าจอมมารดาเลื่อน ประสูติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2436 และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2452 เป็นโอรสองค์ที่ 94 ของพระองค์
ในหนังสือบางเล่มบางตอนกล่าวว่า เมื่อ พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ได้เสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่าเสด็จโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ ถึงมลฑลนครสวรรค์ แล้วทรงเสด็จต่อทางชลมารคสำรวจลำน้ำเก่าล่องมาโดยเรือครุฑเหิรเห็จ ได้ประทับแรม ณ วัดท่าหาดในคืนวันที่ 16 ตุลาคม 2451 (ร.ศ. 127) … ล่องลงมาจอดที่พลับเพลาแพหน้าวัดหัวหาด เมืองมโนรมย์ ตั้งชื่อวัดว่า ท่าหาดพิกุลงาม ด้วยเหตุมีต้นพิกุลงามอยู่หน้าวัดเวลาเช้าวันที่ 17 ตุลาคม จึงได้เสด็จลำน้ำมะขามเฒ่าต่อไป
ถ้าเปรียบเทียบเกร็ดประวัติแล้วจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันอยู่มาก ขอท่านผู้อ่านจงวินิจฉัยดูว่าเกร็ดประวัติศาสตร์ตอนใดบ้างที่ผิดและตอนใดบ้างที่ถูกต้องแน่นอีกครั้ง
วัดหัวหาดหรือวัดพิกุลงาม มีความสัมพันธ์กับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าเป็นอย่างดี เพราะในระยะเวลาที่หลวงปู่ศุขมีชีวิตอยู่ หลวงปู่ศุขได้เดินธุดงควัตรมาปักกลดใต้ต้นสมอพิเภก (ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่) เพื่อจำพรรษา ต่อมาโยมมารดาของหลวงปู่ศุขได้มานิมนต์ให้กลับข้ามฟากไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่าหลวงปู่ศุขได้ปลูกต้นพิกุลไว้หลายต้น ปัจจุบันตายหมดแล้ว นอกจากนั้นวัดนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดพระเครื่องหลวงปู่ศุข พิมพ์วัดหัวหาด ดังในรูปภาพที่ท่านเห็นอยู่ขณะนี้ พิมพ์เล็กมี 4 พิมพ์ทรง พิมพ์ใหญ่มี 3 พิมพ์ทรง สำหรับพิมพ์เล็ก มีความกะทัดรัดสวยงาม (พระดังกล่าวไม่มีอยู่กับวัด) คงตกไปอยู่กับชาวบ้านแถวถิ่นนั้นเป็นจำนวนมาก เพราะเมื่อไม่นานมานี้ มีชายคนหนึ่งนำพระดังในภาพนี้มาให้ชาวบ้านชัยนาทเช่าไว้โดยไม่ยอมเปิดเผยที่มา ที่แน่ชัดและขอปิดไว้เป็นความลับ ผู้เขียนจึงได้ไปพิสูจน์ และทราบว่ามีพระพิมพ์ดังกล่าวที่ท่านเห็นอยู่ในขณะนี้จริงกับผู้สะสมคนหนึ่ง และบัดนี้พระเหล่านั้นก็คงจะกระจัดกระจายไปทั่วหมู่นักสะสมเกือบทั้งหมด ทราบว่าราคาต่ำสุดองค์ละ 5,000 บาท ถ้าสวยงาม ก็คงจะแพงกว่า
ผมเห็นจะไม่ต้องบรรยายคุณภาพหรือสรรพคุณว่าเป็นอย่างไรแท้หรือเปล่า ดีหรือไม่ ผมจะไม่ขอออกความเห็นใด ๆ คนที่จะออกความเห็นได้ ต้องเป็นชาวชัยนาท ที่รู้เรื่องความเป็นมาและรู้ที่มาดีอีกด้วย ถ้าพิจารณาดูตามภาพจะเห็นว่าองค์พระมีความสวยงามชัดเจนดี สำหรับการจารยันต์ด้านหลัง ก็น่าจะเป็นฝีมือของคนคนเดียวกันจารอักขระตัวขอม เหมือนเช่นพระวัดปากครองมะขามเฒ่ารุ่นก่อนทั้งสิ้น
ผู้เขียนเข้าใจว่าช่างแกะแม่พิมพ์คงใช้หินลับมีดโกนแกะ เพราะมีความละเอียดลออและประณีตมาก แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์อันเลิศเลอในประติมากรรมเฉพาะตัวอย่างแท้จริงเหตุที่มีพระเครื่องหลวงปู่ศุข อยู่ ณ วัดนี้มากนั้น นัยว่าเวลาวัดปากคลองมะขามเฒ่ามีงาน ชาวบ้านแถบวัดพิกุลงามแทบทั้งหมด จะไปช่วยงานทุก ๆ ปีและเอาผ้าป่าไปทอดยังวัดมะขามเฒ่ามาตลอด ชาวบ้านจึงได้รับแจกพระเครื่องจากหลวงปู่ศุขมากกว่าแหล่งอื่น ๆ และมักเป็นพิมพ์ที่อื่น ๆ ไม่ได้รับแจกไป จนกระทั่งเป็นเอกลักษณ์หรือสัญลักษณ์ของพระหลวงปู่ศุข และเรียกกันจนติดปากว่า พิมพ์หัวหาด ปัจจุบันที่วัดไม่มีเลย ก็คงเป็นที่กระจ่างแล้วนะครับ ว่าพระที่กล่าวมานี้มีความเป็นมาอย่างไร ขอท่านผู้มีไว้จงโชคดี

เรื่องโดย...จ.ส.อ.เอนก เจกะโพธิ์

 

วัดหัวหาดสวยๆ ปรอทแห้งถึงยุคครับ ขอขอบคุณเจ้าของภาพ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

<a href="http://img89.imageshack.us/i/38753349o.jpg/" target="_blank"><img src="http://img89.imageshack.us/img89/1005/38753349o.jpg" alt="Free Image Hosting at www.ImageShack.us" border="0"/></a>

 

ฝาก พิจารณา 1 องค์ครับ เป็นไงบ้าง

 

ข้อมูลยังน้อยอยู่ครับสำหรับผมกับพระยุคหลังๆ พบแล้วจะแจ้งให้ทราบครับ

 

มาสวัสดีท่านพี่ โอ๋ สะพาน ครับ ขอบคุณสำหรับรูปภาพและข้อมูลครับ ยังไม่มีวาสนาได้บูชาท่าน ขอศึกษาจากกระทู้ของท่านพี่ไปพลางๆก่อนครับ(f)(f):VO:VO

 

สวัสดีและยินดีต้อนรับนะครับคุณ 24hrs

 

เรียนสอบถามคุณโอ๋สะพาน ว่าเหรียญหลวงปู่ศุข..หลังกรมหลวงชุมพร ที่เขียนว่ารุ่นหนึ่ง รศ.129 มีเกจิท่านใดเป็นคนสร้างหรือเก๊เก่า ขอบคุณครับ