เชิญร่วมบุญถวายผ้าห่มพระธาตุฯรับหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาและเหรียญยันต์เกราะเพชร

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย นิพพิทาญาณ, 2 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. นิพพิทาญาณ

    นิพพิทาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +491
    โครงการบุญ : ถวายผ้าห่ม พระธาตุลำปางหลวง(ปักลายบัวเงินบัวทอง) จ.ลำปาง
    เพื่อเป็นพุทธบูชา เนื่องในวัน วิสาขาบูชา ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๖


    พระธาตุ7.jpg รูปพระธาตุ4.jpg รูปพระธาตุ3.jpg รูปพระธาตุ5.jpg

    new.jpg เธ”เธญเธเน€เธฅเน‡เธ.jpg เธ”เธญเธเนƒเธซเธเนˆเธ•เธฃเธ‡เธเ.jpg ลาย1.jpg ]


    เรียนเชิญกัลยาณมิตร และบรรดาพี่ๆ (คณะลูกหลานพระราชพรหมยาน) ทุกๆท่าน ร่วมกันจัดสร้างผ้าห่มพระธาตุลำปางหลวง(ปักลายบัวเงินบัวทอง) เพื่อเป็นพุทธบูชา
    เนื่องในโอกาสวันวิสาขาบูชา ปี ๒๕๕๖ จึงขอบอกบุญและเพื่ออาศัยกำลังศรัทธาและกำลังบารมี จากบรรดาท่านทั้งหลายร่วมกันเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้โครงการนี้ลุล่วงไปด้วยดี


    1.ที่มาของโครงการ

    โครงการนี้จัดทำขึ้นเพื่อ บูชาคุณความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยะสงฆ์เจ้าทั้งหลาย สืบเนื่องในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาคือวันวิสาขาบูชา ตรงกับวันขึ้น15 ค่ำเดือน 6 (ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 24 พฤษภาคม 2556) เป็นวันที่บรรดาพุทธศาสนิกชนจะมาร่วมกันทำบุญ เพื่อระลึกถึงคุณความดีพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นวันประสูติ วันตรัสรู้ และวันดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์ ซึ่งท่านทรงมีพระคุณเหลือล้นสุดที่จะพรรณนาเรียบเรียงเป็นถ้อยคำอักษรได้หมดครบถ้วน ทั้งนี้ขอน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ และบูรพกษัตริย์ไทยทุกพระองค์

    เราเชื่ออย่างสนิทใจเสมอว่า เรานั้นเป็นผู้ที่มีความโชคดีอย่างใหญ่หลวงแล้ว ที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทยที่เป็นเขตของพระพุทธศาสนา และมีพระราชาซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยทศพิศราชธรรมเป็นผู้ปกครอง แม้ว่าเราเองส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดมาในฐานะที่ร่ำรวย สุขสบายตามใจปรารถนาก็ตามที แต่เป็นตรงกันข้าม เราอาจจะเกิดมาในฐานะที่มีแต่ความยากลำบาก ความขัดสน หาความสุขความสบายได้ยากยิ่ง แต่ก็ยังขึ้นชื่อว่าเรานั้น ยังเป็นผู้โชคดีกว่าคนนับแสนนับล้านบนโลกใบนี้ ที่นั่งนอนเดินยิ้มมีความสุขอยู่บนกองไฟแห่งความทุกข์โดยที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่น้อย และแม้ว่าเราจะไม่ได้เกิดทันในสมัย ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำรงพระชนม์อยู่ก็ตาม แต่พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ยังคงอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกประการเสมอ ด้วยมีเหล่าพระอริยะสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อันมีหลวงปู่ปานวัดบางนมโคและพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด เป็นผู้ถ่ายทอดพระธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาอย่างเปี่ยมล้นต่อบรรดาเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ อันเนื่องมาจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารแห่งนี้

    จึงขอกำลังบารมีจากท่านทั้งหลายมาร่วมกันเป็นเจ้าภาพ เพื่อจัดหาทุนสร้างผ้าห่มพระธาตุลำปางหลวง(ปักลายบัวเงินบัวทอง) เพื่อบูชาพระบรมเกศาธาตุ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งบรรจุอยู่ภายในองค์พระธาตุลำปางหลวง ณ วัดพระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ขอท่านทั้งหลายผู้มีใจเคารพศรัทธาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ตลอดจนเหล่าเทพพรหม เทวดา รวมไปถึงท่านผู้มีคุณทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ก็ดี มิใช่มนุษย์ก็ดี ขอท่านทั้งหลายได้โปรดร่วมทำบุญ และโมทนาบุญครั้งนี้ด้วยกันเถิด...

    2.ประวัติพระธาตุลำปางหลวง​

    รูปพระธาตุ4.jpg
    ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระเถระสามองค์ได้เสด็จจาริกไปตามบ้านเมืองต่าง ๆ จนถึงบ้านลัมภะการีวัน (บ้านลำปางหลวง) พระพุทธเจ้าได้ประทับเหนือดอยม่อนน้อย มีชาวลัวะคนหนึ่งชื่อ ลัวะอ้ายกอน เกิดความเลื่อมใส ได้นำน้ำผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้างมะพร้าว และมะตูมมาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ฉันน้ำผึ้งแล้วทิ้งกระบอกไม้ป้างไปทางทิศเหนือ แล้วทรงพยากรณ์ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะมีชื่อว่า ลัมพกัปปะนคร แล้วได้ทรงลูบพระเศียรได้พระเกศามาหนึ่งเส้น มอบให้แก่ลัวะอ้ายกอนผู้นั้น ลัวะอ้ายกอนได้นำพระเกศานั้น บรรจุในผอบทองคำ และใส่ลงในอุโมงค์พร้อมกับถวายแก้วแหวนเงินทองเป็นเครื่องบูชา แล้วแต่งยนต์ผัด (ยนต์หมุน) รักษาไว้ และถมดินให้เรียบเสมอกัน แล้วก่อเป็นพระเจดีย์สูงเจ็ดศอกเหนืออุโมงค์นั้น ในสมัยต่อมาก็ได้มีกษัตริย์เจ้าผู้ครองนครลำปางอีกหลายพระองค์ มาก่อสร้างและบูรณะซ่อมแซม จนกระทั่งเป็นวัดที่มีความงามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

    3.เงินที่ท่านร่วมบุญในครั้งนี้ ท่านจะได้ร่วมทำบุญครบตามนี้ (ขอให้ท่านตั้งจิตอธิฐานเงินทำบุญ)​

    1. พุทธบูชา การจัดสร้างผ้าปักลายบัวเงินบัวทองเพื่อห่มพระธาตุลำปางหลวง ขนาดกว้าง 70 ซม. ยาว 50 เมตร ราคาเมตรละ 1,150 บาท รวมเป็นเงิน 57,500 บาท
    ซึ่งมี 2 ชั้น (ชั้นบนปักลาย-ชั้นล่างเขียนชื่อ-นามสกุลผู้ร่วมบุญ)
    เธ”เธญเธเน€เธฅเน‡เธ.jpg เธ”เธญเธเนƒเธซเธเนˆเธ•เธฃเธ‡เธเ.jpg ลาย1.jpg p1.jpg
    ผ้าที่นำมาปักเป็นผ้าไหมตาดทอง มีลักษณะคล้ายผ้าไหม โดยจะปักลายบัวเงินบัวทองตรงกลาง มีการปักตกแต่งด้วยคริสตัล และเลื่อม โทนสีเหลือง-ส้ม ปักตามลายนี้ยาวตลอด 50 เมตร ด้านบนและด้างล่างของผ้าจะเย็บด้วยดิ้นทองตลอดความยาวผ้า (รูป.4)
    2. ธรรมทาน การบูชาหนังสือธรรมะ-วัตถุมงคล (จากวัดท่าซุง) และค่าจัดส่ง (เพื่อแจกท่านทั้งหลายที่ร่วมบุญในครั้งนี้)
    get_auc3_img.jpg
    3. สังฆทาน โดยในวันที่ถวายผ้าจะมีการนำชุดสังฆทาน ซึ่งประกอบไปด้วย พระพุทธรูปบูชาหน้าตัก ๕ นิ้ว (บูชาจากวัดท่าซุง) ผ้าไตรจีวร และเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็น ไปถวายกับท่านเจ้าอาวาสที่วัดพระธาตุลำปางหลวง
    4. ชำระหนี้สงฆ์ โดยเราจะถวายเป็นปัจจัยให้กับทางวัดพระธาตุลำปางหลวงเพื่อเป็นการชำระหนี้สงฆ์ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเตรียมเครื่องพิธีในวันถวายผ้าและอัญเชิญขึ้นห่มรอบองค์พระธาตุลำปางหลวง

    4. ทุกๆท่าน สามารถร่วมบุญได้ดังนี้​

    - เป็นเจ้าภาพถวายผ้าปักลายบัวเงินบัวทอง จำนวน 50 เมตรๆละ 1,150 บาท (กี่เมตรก็ได้ไม่จำกัด)
    - เป็นเจ้าภาพถวายผ้าปักลายบัวเงินบัวทอง ตามกำลังศรัทธา (ไม่จำกัด)
    ทุกท่านสามารถแจ้งชื่อ-นามสกุล ที่ท่านต้องการ เพื่อเขียนลงบนผ้า(ด้านหลัง) ที่จะห่มองค์พระธาตุลำปางหลวง

    5.สามารถร่วมบุญได้ที่

    ธ.กรุงเทพ จำกัด สาขาแฟรี่แลนด์ นครสวรรค์
    บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 702-0-11782-1
    น.ส.ตุลยากร ปิ่นทอง​


    *** โดยทุกๆท่าน ที่ร่วมบุญครั้งนี้(ไม่ว่าท่านจะทำบุญเท่าไร)
    กรุณาส่งชื่อที่อยู่มาที่ puttaboocha@gmail.comหรือส่ง PM ในเวปไซด์ก็ได้ค่ะ

    เราจะนำรายชื่อของท่านเขียนบนผืนผ้าห่มพระะธาตุชั้นที่ 2 และจัดส่ง “หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรมฉบับพิเศษเล่ม ๑" ให้กับทุกท่าน คนละ 1 เล่ม
    และหากร่วมทำบุญ 100 บาทขึ้นไปจะมอบ หนังสือ 1 เล่ม + เหรียญหลวงพ่อหลังยันต์เกราะเพชร (จากวัดท่าซุง) ” เป็นที่ระลึก
    6. กำหนดการถวาย​

    - ปิดรับทำบุญ วันที่ 23 พฤษภาคม 2556
    - เดินทางไปถวาย วันที่ 24 พฤษภาคม 2556
    - หากว่าเกิดปัญหาใดๆ หรือว่ายังไม่สามารถร่วมเงินได้ครบ 57,500 บาท เราอาจขอเลื่อนการถวายไปอีก

    *** ทางคณะเราได้ขออนุญาตจากทางวัดพระธาตุลำปางหลวงเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ ***
    หากท่านพอมีเวลาว่าง ขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมเดินทางไปทำบุญและถวายผ้าครั้งนี้ด้วยกันค่ะ....................
    หากมีคนสนใจเราจะจัดเป็นทริปเล็กๆ เดินทางไปด้วยกัน (หารค่ารถกัน)ไปสัก 2 วัน 1 คืน (เพราะตรงกับวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์) ซึ่งจะเดินทางจากวัดพระธาตุลำปางหลวงต่อไปยัง จ.ลำพูน กราบนมัสการพระธาตุหริภุญไชย (ทางวัดจะพาท่านไหว้พระ 9 วัด), อนุสาวรีย์พระแม่จามเทวี,และกราบสักการะครูบาวงศ์ที่พระพุทธบาทห้วยต้ม ซึ่งโปรแกรมนี้เป็นรายละเอียดคร่าวๆ นะคะท่านใดสนใจ ลงชื่อและเบอร์โทรไว้ก่อนนะค่ะ

    7. จัดทำโดย​

    คณะลูกศิษย์ (รุ่นกะจิ๋วหลิวปลายแถว)
    คุณปุ๊ก 083-626-7275
    คุณกวา 083-603-2421
    คุณออย 086-983-0854
    งานบุญนี้ ทางคณะทำขึ้นด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ เพื่อร่วมสืบทอดพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองจนถึงห้าพันปี มิได้มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง ถ้ามีสิ่งใดที่ท่านผู้รู้เห็นว่าบกพร่อง หรือว่าผิดพลาด รบกวนขอท่านทั้งหลายช่วยกันชี้แนะและช่วยกันทำให้งานนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี สำเร็จตามจุดประสงค์ที่ทุกท่านได้ตั้งใจร่วมกันทำบุญในครั้งนี้ด้วยเถิด...
    หมายเหตุ : หากท่านใดมีข้อเสนอแนะเพื่อให้โครงการสำเร็จด้วยดี กรุณาแจ้งได้ที่ เบอร์คณะผู้จัดทำด้านบน หรือ PM มาที่เวปได้เลยค่ะ
    โครงการที่ผ่านมา :http://palungjit.org/threads/ร่วมบุญถวายพระไตรปิฎก-91-เล่ม-มหากุศลอันยิ่งใหญ่.236253/
    โครงการที่ผ่านมา :http://palungjit.org/threads/ประมวลภาพถวายผ้าป่าสำนักปฏิบัติธรรมพุทธบูชา-จ-นครปฐม.243475/
    โครงการที่ผ่านมา :http://palungjit.org/threads/แจกcd-dvdภาพยนต์แอนนิเมชั่น-พระพุทธศาสดา.255649/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2013
  2. นิพพิทาญาณ

    นิพพิทาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +491
    ตัวอย่าง อานิสงค์ของท่าน สาตกี

    เรื่องที่ ๕๘ ตั้งใจถวายดอกบวบขมตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

    พูดถึงอานิสงส์การถวายดอกไม้บูชาด้วยศรัทธาแท้ ดังตัวอย่างท่านหนึ่งคือ ท่านสาตกีเทพธิดา "สาตกี" แปลว่า "ดอกบวบขม" เทพธิดาองค์นี้ทำบุญด้วยดอกบวบขม ท่านพระโมคคัลลาน์ท่านเจริญพระกรรมฐานในตอนกลางคืน ท่านใช้กำลังฤทธิ์ของท่านไปเที่ยวชมสวรรค์ ไปเห็นวิมานของท่านสาตกีเทพธิดาเข้าก็แปลกใจเพราะ เมื่อคืนที่แล้วไม่มีวิมานนี้ จึงเข้าไปใกล้ถามท่านเจ้าของวิมานว่า "เธอเพิ่งตายจากความเป็นคนขึ้นมาเกิดเป็นนางฟ้าหรือ" ท่านก็ตอบว่า "เช่นนั้นเจ้าค่ะ" และท่านพระโมคคัลลาน์ก็ถามต่อไปว่า "เธอทำบุญอะไรจึงมีวิมานทองคำ เครื่องประดับวิมาน เครื่องประดับกาย มีสีเหลืองเป็นทองคำทั้งหมด" ท่านก็ตอบว่า "สมัยเป็นมนุษย์เป็นคนยากจนมาก มีอาชีพตัดฟืนขาย เช้าตื่นขึ้นมากินข้าวเสร็จก็เข้าป่าไปตัดฟืนด้วยกำลังกายก็ไม่ได้มากนัก ตอนเย็นหอบฟืนกลับมาเอาไปขาย ได้เงินบ้างก็ซื้ออาหารไว้กินในวันรุ่งขึ้น เรียกว่าทำมื้อกินมื้อ ทำอย่างนี้ทุกวันตลอดมาเป็นปกติ ไม่มีโอกาสที่จะไปทำบุญ ไม่เคยทำบุญสุนทาน พระจะมาบิณฑบาตหรือมาบอกบุญบอกทานก็ไม่มีโอกาสได้พบ ไม่ใช่ไม่ศรัทธาแต่ไม่มีเวลาจะทำบุญเพราะความยากจน วันสุดท้ายก่อนที่จะตาย ตอนเช้าเข้าป่าจะไปตัดฟืนตามปกติ เห็นดอกบวบขมเข้าก็คิดว่า ดอกบวบขมมีสีเหลืองคล้ายจีวรพระ ก็นึกถึงพระขึ้นมาตั้งใจว่าตอนเย็นกลับบ้านวันนี้จะตัดดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ที่บรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ ใกล้ๆ บ้าน อย่างนี้จัดว่าเป็น สังฆานุสติสติกรรมฐาน
    พอตกเย็นขากลับบ้านแบกฟืนออกมาพอถึงที่ตรงนั้นก็วางฟืนลง ไปตัดดอกบวบขม มือหนึ่งแบกฟืน อีกมือหนึ่งถือดอกบวบขม เมื่อขายฟืนเสร็จพอกลับถึงบ้านก็หุงข้าวกิน แล้วอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็นำดอกบวบขมตั้งใจจะเอาไปบูชาเจดีย์ที่บรรจุกระดูกพระอรหันต์ แต่ไปไม่ทันถึง ระหว่างทางที่เดินไปนั้นปลากดว่านางยักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดล้มลงถึงแก่ความตาย ก่อนที่จะตาย จิตใจก็นึกถึงว่าเราตั้งใจจะเอาดอกบวบขมไปถวายบูชากระดูกพระอรหันต์ (จัดว่าเป็นสังฆานุสติสติกรรมฐาน) พอตายจากที่ตรงนั้นจิตก็ออกจากร่างมาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทันที โดยไม่ต้องผ่านสำนักพระยายมราช มีนางฟ้าหนึ่งพัน เป็นบริวาร มีวิมานสีเหลือง เครื่องประดับวิมาน เครื่องประดับกายที่เป็นทิพย์ มีสีเหลืองเป็นทองคำทั้งหมด เพราะก่อนจะตายปรารภสีเหลือง คือดอกบวบขมมีสีเหลืองคล้ายจีวรพระ
    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านโปรดเข้าใจว่า ถ้าต้องการความสุขจริงๆ เมื่อตายแล้ว ก็ให้ท่านยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีทานการบริจาค มีการรักษาศีล และมีอารมณ์ยึดอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ ทานก็ได้ ศีลก็ได้ ภาวนาก็ได้ หรือยึดพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือยึดพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ หรือยึดวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ นึกถึงวัดก็ใช้ได้ ให้มีความมั่นใจจริงๆ ยอมรับนับถือจริงๆ อย่างนี้ตายเมื่อไร ทุกท่านก็ได้รับผลมีความสุขอย่างท่านสาตกีเทพธิดาแน่นอน ถึงแม้ว่าบางคนตอนต้นจะย่อหย่อนมาก่อนก็ตาม แต่ถ้าเวลาจะตายมีกำลังใจเข้มข้น ก็จะไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปพระนิพพานตรงโดยไม่ต้องผ่านสำนักท่านพระยายมราช
    ที่มา:หนังสือตายไม่สูญ...แล้วไปไหน? โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
  3. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    ร่วมบุญเป็นเจ้าภาพถวายผ้าปักลายบัวเงิน บัวทอง จำนวน 50 เมตร จำนวน 200 บาท


    อนุโมทนา สาธุค่ะ
     
  4. นิพพิทาญาณ

    นิพพิทาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +491
    อนุโมทนาด้วยค่ะ รบกวนส่งชื่อ/ที่อยู่ ในการจัดส่งหนังสือและพระ
    และเพื่อเขียนลงในผ้าห่มพระด้วยนะค่ะ
     
  5. นิพพิทาญาณ

    นิพพิทาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +491
    ตายจากคนไปเกิดเป็นสุนัข,เป็นเทวดาที่มีเสียงดังกึกก้องบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    เรื่องที่ ๑๓๒
    ตายจากคนไปเกิดเป็นสุนัข,เป็นเทวดาที่มีเสียงดังกึกก้องบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน​



    "..สุนัขตัวนี้เดิมทีเดียวเป็นคน ชื่อ "โกตุหลิกะ" อยู่เมืองๆ หนึ่งเกิดโรคระบาดขึ้น ก็พาเมียกับลูกน้อยเพิ่งคลอดได้ ๒-๓ เดือนยังคลานไม่ได้ อุ้มเดินทางผ่านป่าไปยังอีกเมืองหนึ่ง ในที่สุดหลายวันเข้าอาหารที่นำมาก็หมด สองคนผัวเมียก็อดอาหาร สามีก็บอกภรรยาว่าอุ้มลูกไม่ไหวแล้วทิ้งเสียเถิด เธอยังสาวอยู่ พี่ก็ยังหนุ่ม พี่จะสร้างให้ใหม่ ฝ่ายภรรยามีความรักในลูกก็ไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงเอาลูกมาอุ้มแทนเสียเอง

    ต่อมาตอนเย็นใกล้ค่ำสามีก็หาอุบายบอกภรรยาว่า เธออุ้มลูกมานานแล้วผลัดกันเถิด ฉันก็รักลูกเหมือนกัน ภรรยาก็เชื่อยอมให้สามีอุ้มลูก สามีก็แกล้งเดินช้าๆ ให้ภรรยาเดินไปข้างหน้าก่อน เมื่อเห็นภรรยาเดินไปไกลแล้ว ก็เอาลูกไปไว้โคนต้นไม้แล้วเอาใบไม้กลบ แล้วก็เดินช้าๆ ให้ภรรยาเดินไปไกลๆ ก่อน จึงค่อยๆ เดินไปทันก็เป็นเวลาคํ่ามากแล้ว ภรรยาก็ถามว่า "ลูกไปไหน" สามีก็บอกตามความเป็นจริงว่าทิ้งไว้ตรงโคนต้นไม้โน้น ภรรยาก็เสียใจเดินย้อนกลับมาใหม่แต่ก็หาลูกไม่พบ ผลที่สุดต่างคนต่างเดินตามกันไป

    พอมาถึงอีกเมืองหนึ่งอาศัยความหิวโหยมา ๒-๓ วัน มันจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว เห็นบ้านสวยหลังใหญ่มีคนมาก ก็คิดว่าบ้านนี้คงจะมีอาหาร สองคนจึงเข้าไปในบ้าน คลานเข้าไปหาเจ้าของบ้านขออาหารกิน ท่านคหบดีเวลานั้นกำลังกินข้าวอยู่และมี สุนัขตัวเมียตัวหนึ่ง หมอบอยู่ข้างๆ ท่านกินบ้างแบ่งให้สุนัขกินบ้าง ข้าวที่สุนัขกินเป็นข้าวมธุปายาสที่ท่านคหบดีกิน เป็นข้าวชั้นเลิศของคนสมัยนั้น

    เมื่อสองสามีภรรยาเข้าไปขออาหาร ท่านก็สั่งคนใช้ไปนำอาหารมาให้ เมื่อเขานำอาหารมาให้แล้วภรรยามีความรักในสามีมากก็ยังไม่กิน ให้สามีกินก่อน สามีก็แสนดีกินเสียจนกระทั่งไม่เหลือ ภรรยาก็ถามว่า "อิ่มหรือยัง" สามีก็ตอบว่า "ยังไม่อิ่ม" ยังไม่พอ ภรรยาก็ส่งส่วนของตนให้อีกโดยยอมหิว ทีนี้เมื่อกินจานที่สองเข้าไปมันก็อึดอัด ผลที่สุดก็แน่นจุกเสียด ก่อนที่จะตายขณะที่กำลังกินอาหาร ท่านโกตุหลิกะคิดถึงเจ้าสุนัขตัวนี้ว่ามีบุญดีกว่าเราซึ่งเป็นคนเสียอีก เราเป็นคนอดๆ อยากๆ แต่เจ้าสุนัขตัวนี้มันมีความสุข กินอาหารดีๆ ที่อยู่ก็สบาย ท่านคหบดีกินอะไรมันก็ได้กินอย่างนั้น รู้สึกว่ามันดีกว่าคนใช้ในบ้าน และคนใช้ในบ้านก็ยังดีกว่าเรา แต่เรามีความเป็นอยู่เลวกว่าสุนัข ขณะกินข้าวท่านก็มองดูสุนัขไป จิตก็นึกถึงแต่สุนัข ก็ตายเวลานั้น เมื่อตายแล้วจิตเลยเข้าท้องสุนัขตัวนั้นไป

    ตายจากความเป็นคนมาเกิดเป็นสุนัข
    ต่อมาเจ้าสุนัขตัวนั้นก็คลอดลูกออกมาเป็นตัวผู้ เป็นสุนัขแสนรู้เพราะตายจากความเป็นคนมาเกิดเป็นสุนัข จึงรู้ภาษาคนทุกอย่าง ดังนั้นเวลาท่านคหบดีจะทำอะไร จะใช้อะไร มันทำได้ทุกอย่างตามที่สุนัขสามารถจะพึงทำได้

    เวลาออกพรรษา ท่านคหบดีมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาก ได้นิมนต์มาฉันภัตตาหารเป็นประจำตลอดจนกว่าจะเข้าพรรษา มาอยู่ที่ภูเขาใกล้ๆ บ้าน ตอนเช้าท่านก็ไปรับพระปัจเจกพุทธเจ้า พอถึงพุ่มไม้ท่านก็เอาไม้ตีส่งเสียงดังเป็นการไล่สัตว์ร้ายที่อยู่ในพุ่มไม้นั้น พอไปถึงถ้ำในภูเขาที่พระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ก็เข้าไปกราบนิมนต์ท่าน เจ้าสุนัขตัวนี้ก็จำ บางวันท่านคหบดีไปนิมนต์ไม่ได้เพราะมีธุระ ก็ใช้ให้เจ้าสุนัขตัวนี้ไปแทน เมื่อไปถึงพุ่มไม้ที่ท่านคหบดีเคยเอาไม้ตี เจ้าสุนัขตัวนี้ก็ส่งเสียงเห่าโฮ้งๆ เป็นการไล่สัตว์ที่อยู่ในนั้น พอไปถึงวิหารพระปัจเจกพุทธเจ้า มันก็หมอบคลานเข้าไปส่งเสียงโหยหวนเล็กน้อย เป็นการแสดงว่านิมนต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ตามมันมา เจ้าสุนัขก็เดินนำหน้า พอถึงทางเลี้ยวเข้าบ้านก็เลี้ยวเข้า ทำอย่างนี้เป็นปกติ

    บางครั้งพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ลองดูว่า เจ้าสุนัขตัวนี้จะรู้จริงหรือไม่ พอท่านเดินถึงทางที่เจ้าสุนัขเลี้ยว ท่านก็ไม่ยอมเลี้ยวท่านเดินตรงไป เจ้าสุนัขก็เข้าขวางหน้า เมื่อท่านไม่ยอมกลับมันก็ดึงชายสบงให้เข้าทาง ผลที่สุดพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องตามไป

    รวมความว่าเจ้าสุนัขก็ปฏิบัติอย่างนี้เป็นประจำและมีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ามาก รวมทั้งมีความเคารพด้วย เพราะเวลาไปถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าก็หมอบคลานเข้าไปแล้วก็ส่งเสียงนิดหน่อย ลีลาคล้ายจะนิมนต์ท่าน เป็นการแสดงความเคารพ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันที่บ้าน เจ้าสุนัขตัวนี้ก็นั่งอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา

    ตายจากสุนัขไปเกิดเป็นเทวดา
    พอถึงเวลาเข้าพรรษาพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านต้องกลับภูเขาคันธมาทน์ ท่านก็ลาท่านคหบดี อาจจะบอกลาเจ้าสุนัขด้วยก็ได้ หลังจากนั้นท่านก็เหาะไป เจ้าสุนัขตัวนี้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไปมันก็คิดถึง จึงเห่าบ้างหอนบ้างแสดงความอาลัย เมื่อท่านลับไปเจ้าสุนัขตัวนี้ก็ขาดใจตายทันที อาศัยที่มีความเคารพและรักในพระปัจเจกพุทธเจ้ามาหลายเดือน เมื่อตายจากสุนัขก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกมีนามว่า "โฆษกเทพบุตร" (โฆษกะแปลว่ากึกก้อง) แปลว่า "เทวดาที่มีเสียงดัง" พูดตามปกติธรรมดาเสียงเบาๆ ดังไปไกล ๖๐ โยชน์ ถ้าพูดเต็มเสียงจะดังก้องทั่วดาวดึงส์และมีเสียงเพราะด้วย เป็นผลของการส่งเสียงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าและส่งเสียงขับไล่สัตว์ร้ายที่จะมีระหว่างทาง และก็ส่งเสียงแสดงความรักความอาลัยในพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหาะไป

    เจริญพุทธานุสสติกรรมฐาน
    การที่เจ้าสุนัขตัวนี้เห่าหอนจนขาดใจตายทันทีเมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะลับไป ก็เพราะมีความเคารพรักและอาลัยในท่านมาก ความรู้สึกอย่างนี้ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า "พุทธานุสสติกรรมฐาน" ถ้าจะถามว่าสัตว์เจริญกรรมฐานได้หรือ ก็ขอตอบว่า "เจ้าสุนัขตัวนี้นั้นเจริญพระกรรมฐาน" ถ้าจะถามอีกว่า "ถ้าเจริญพระกรรมฐานมันนั่งสมาธิไม่ได้"

    ก็ต้องตอบว่า "กรรมฐานไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิ กรรมฐานอยู่ที่อารมณ์ของใจหรือสมาธิเป็นอารมณ์ของใจ และวิปัสสนาเป็นอารมณ์ของใจ ร่างกายจะอยู่ท่าไหนนั้นไม่มีความสำคัญ จะนั่งก็ได้ จะยืนก็ได้ จะเดินก็ได้ จะนอนก็ได้ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าให้จิตจับอยู่กับอารมณ์กรรมฐานที่เราต้องการ"

    อย่างเจ้าสุนัขตัวนี้จิตใจจับอยู่ในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นปกติ ถ้าจะถามว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมจึงเรียกว่า พุทธานุสสติ" ก็ต้องตอบว่า "ปัจเจกพุทธะ คือ พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่บรรลุเองโดยไม่ต้องมีครูสอนเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ทว่าไม่มีหน้าที่สอนโดยตรงกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ใครสนใจธรรมไปหาท่านก็ช่วยแต่ท่านไม่เดินไปสอนเป็นสาธารณะทั่วไปเหมือนพระพุทธเจ้า แต่ถ้ามีความจำเป็นท่านก็ไปหาเหมือนกันเป็นบางรายเท่านั้น

    ฉะนั้น การที่สุนัขตัวนี้นึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเป็น "พุทธานุสสติ"

    ต่อมาเกิดใหม่ภายหลังกรรมที่ทิ้งลูกให้ตายในป่า กรรมนี้เข้ามาสนองให้ท่าน ถูกทอดทิ้งให้ตายถึง ๗ ครั้ง

    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๑
    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๑ เมื่อหมดบุญบารมีจากความเป็นเทวดา ท่านโฆษกเทพบุตรก็จุติลงมาเกิดเป็นลูกหญิงงามเมืองคือโสเภณีในเมืองโกสัมพี เกิดเป็นลูกผู้ชาย แต่หญิงงามเมืองย่อมเลี้ยงเฉพาะลูกผู้หญิง ไม่เลี้ยงลูกผู้ชายเพราะเชื้อสายของเธอจะสืบไม่ได้ จึงเอาทารกใส่กระด้งแล้วเอาไปทิ้งที่กองขยะ ก็มีกาบ้าง สุนัขบ้าง ต่างพากันมาจับกลุ่มแวดล้อมเด็กไว้ ป้องกันไม่ให้มีอันตราย ผลแห่งการเห่าการหอนด้วยความเคารพรักพระปัจเจกพุทธเจ้า และเห่าหอนป้องกันอันตรายพระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อมาถึงพุ่มไม้ที่จะเป็นอันตรายก็เห่ากรรโชกไล่สัตว์ เป็นเหตุให้กาก็ดี สุนัขก็ดีมาแวดล้อมป้องกันอันตราย แม้แต่มด เล็น ไร ตัวหนึ่งก็ไม่อาจจะเข้าไปใกล้ได้ ขณะนั้นมีคนผู้หนึ่งออกไปนอกบ้านเห็นการจับกลุ่มของกาและสุนัข จึงเดินเข้าไปที่นั้นเห็นเด็กทารกก็เกิดความรักเหมือนกับรักลูกของตัวเอง ได้เข้าไปอุ้มนำไปสู่เรือนด้วยความดีใจว่าเราได้ลูกชายแล้ว

    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๒
    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๒ ในเวลานั้นได้มีเศรษฐีชาวเมืองโกสัมพีเดินมาพบท่านปุโรหิตออกมาจากพระราชวังจึงได้ถามว่า "ท่านอาจารย์ วันนี้จะมีเหตุร้ายเหตุดีกับชาวบ้านชาวเมืองบ้างไหม" ท่านปุโรหิตก็บอกว่า "อย่างอื่นไม่มีแต่เด็กที่เกิดวันนี้จะเป็นมหาเศรษฐีในเมืองนี้ในวันหน้า" เวลานั้นภรรยาของท่านเศรษฐีกำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงให้คนใช้ไปดูว่าคลอดหรือยังมาบอกให้ทราบ เมื่อสั่งคนใช้แล้วก็ไปเฝ้าพระราชา เศรษฐีสมัยนั้นพระราชาต้องแต่งตั้งให้มีฉัตร ๓ ชั้นและมีกิจในการเฝ้าพระราชาเหมือนกับเสนาบดีผู้ใหญ่ เมื่อเฝ้าพระราชาแล้วก็กลับมาบ้านเมื่อทราบว่าภรรยายังไม่คลอดจึงเรียกหญิงคนใช้ชื่อ "กาลี"

    "กาลี" ไม่ได้แปลว่า "ระยำ" กาละแปลว่ากาลเวลา

    คือผู้หญิงคนนี้เป็นคนรับใช้ต้องทำงานตามเวลาที่เขาสั่งเรียกมาให้เงินหนึ่งพันกหาปณะ (๑ กหาปณะเท่ากับ ๔ บาท ๑,๐๐๐ กหาปณะก็เท่ากับ ๔,๐๐๐ บาท) สมัยนั้นเงินพันมีค่าสูงมาก ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ ทองคำหนัก ๑ บาทราคา ๑๐ บาทเศษๆ ท่านเศรษฐีบอกให้นางกาลีไปซื้อเด็กที่เกิดวันนี้มา เมื่อนางกาลีไปถึงเรือนเด็กคนนั้นก็ถามว่า "เด็กคนนี้เกิดเมื่อไร" เขาตอบว่า "เกิดวันนี้" จึงขอซื้อเด็กประมูลราคาตั้งแต่ ๑ กหาปณะไปจนถึงหนึ่งพันกหาปณะ แล้วนำเด็กนั้นไปให้ท่านเศรษฐี ท่านก็คิดว่าถ้าลูกของเราเป็นผู้หญิงเราจะให้มันอยู่กับลูกสาวของเรา แล้วทำให้มันเป็นเจ้าของตำแหน่งมหาเศรษฐี แต่ถ้าลูกของเราเกิดเป็นชาย เราจะฆ่ามันเสีย จึงได้รับเด็กคนนั้นไว้ในเรือน

    โคอสุภะนายฝูงช่วยชีวิตเด็ก
    ต่อมาภรรยาของเศรษฐีคลอดบุตรออกมาเป็นชายล่วงไป ๒-๓ วัน ท่านเศรษฐีจึงคิดว่า ถ้าไม่มีเจ้าเด็กคนนี้ลูกชายของเราก็จะได้รับตำแหน่งมหาเศรษฐี ดังนั้นเราควรจะฆ่ามันเสียเถิด จึงเรียกนางกาลีให้เอาเด็กคนนี้ไปนอนขวางทางกลางประตูคอกโค เวลาที่พวกโคออกจากคอกจะได้เหยียบมันให้ตาย แต่ต้องคอยดูให้รู้ว่าโคเหยียบหรือไม่เหยียบ แล้วกลับมาบอกเรา

    พอนายโคบาลคือคนเลี้ยงวัวเปิดประตูคอกเท่านั้น นางกาลีก็เอาเด็กไปวางไว้ตามที่ท่านมหาเศรษฐีสั่ง โคอสุภะซึ่งเป็นนายฝูง ตามธรรมดาจะออกหลังโคตัวอื่นทั้งหมด แต่ทว่าวันนี้ออกไปก่อนโคอื่นทั้งหมด ไปยืนคร่อมเด็กทารานั้นไว้ในระหว่างเท้าทั้งสี่ แม่โคทั้งหลายต่างก็พากันเบียดเสียดทั้งสองข้างของโคอสุภะออกไป ท่านโฆษกเทพบุตรมีบาปเพราะทิ้งลูกให้ตายในกลางป่า แต่ด้วยอานิสงส์ที่เกิดเป็นสุนัขไปเห่าหอนถวายความเคารพรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า และก็ป้องกันอันตรายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงไม่ตกนรกเลยต้องมาถูกทิ้งแบบนี้ แต่ได้รับความช่วยเหลือเพราะความดีที่มีต่อพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง

    คนเลี้ยงโคก็คิดว่าเจ้าโคตัวนี้เมื่อก่อนมันออกทีหลังเขา ทุกตัวออกไปก่อนมันจึงออกแต่วันนี้ออกไปก่อนโคอื่นๆ ทั้งหมดแล้วก็ยืนนิ่งอยู่ที่ประตูคอก จึงเดินเข้าไปดูก็เห็นเด็กนอนอยู่ภายใต้ท้องโคนั้น ก็เกิดความรักคิดว่าเราได้ลูกชายแล้วจึงนำไปสู่เรือน

    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๓
    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๓ เมื่อท่านเศรษฐีทราบจากนางกาลีว่าลูกเลี้ยงยังไม่ตาย จึงให้เงินไปหนึ่งพันกหาปณะไปบอกกับคนเลี้ยงวัวว่า ท่านต้องการเด็กคนนี้ไว้เป็นลูกบุญธรรม เมื่อนำเด็กมาแล้ว ท่านเศรษฐีก็บอกกับนางกาลีว่าในเมืองนี้มีเกวียน ๕๐๐ เล่มเขาค้าขายกันอยู่ เขาออกเดินทางในเวลาเช้ามืด ให้เอาเด็กคนนี้ไปวางไว้ที่ทางเกวียนเพื่อให้โคเหยียบ ถ้าโคไม่เหยียบล้อก็ทับมันก็จะต้องตาย แล้วให้คอยดูว่าเด็กจะตายหรือไม่ ความจริงนางกาลีเธอก็มีความสงสาร แต่เมื่อนายใช้ก็จำเป็นจะต้องทำ ถ้าไม่ทำก็มีความผิด

    ในตอนดึกเธอจึงได้นำเด็กทารกคนนี้ไปวางไว้ที่ทางเกวียนให้ตรงรอยเกวียนพอดี เพราะตามปกติรอยเกวียนกับรอยเท้าโคจะขนานกัน

    ในเวลาเช้ามืดหัวหน้าเกวียน ๕๐๐ เล่มนำเกวียนออกหน้า ลูกน้องก็ตามเป็นลำดับไป แต่พอไปถึงเด็กยังมืดอยู่คนบนเกวียนก็ไม่เห็นเด็ก แต่เป็นเหตุอัศจรรย์ปรากฏว่าโคเดินถึงตรงนั้นแล้วไม่ยอมเดินต่อไป สลัดจนกระทั่งแอกหลุดจากคอทั้งๆ ที่เจ้าของบังคับให้เดินด้วยการตีบ้าง แทงด้วยปฏักบ้าง ทำอย่างไรก็ไม่ไป รอจนกระทั่งสว่าง นายเกวียนก็มองไปด้านหน้าพบเด็กคนหนึ่งนอนขวางทางล้อเกวียน เขาวางเอาตัวขวางไว้ ถ้าโคก้าวไปอีกไม่กี่ก้าวก็จะต้องเหยียบเด็กตาย ถ้าโคไม่เหยียบเกวียนก็จะทับตาย จึงเกิดความอาลัยตัดสินใจจะนำเด็กคนนี้ไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม จึงเข้าไปอุ้มเด็กนำขึ้นมาบนเกวียน โคก็เดินต่อไปตามปกติไม่มีพยศใดๆ

    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๔
    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๔ นางกาลีรีบมาบอกท่านเศรษฐี ท่านเจ็บใจว่าเด็กคนนี้มันจะมาแย่งตำแหน่งมหาเศรษฐีของลูกเรา จึงได้บอกนางกาลีว่า ในเมื่อมันยังไม่ตายฉันยอมเสียเงินอีกหนึ่งพันกหาปณะ จงไปซื้อเด็กมาจากพ่อค้าเกวียน แล้วก็นำเด็กกลับมาให้ ท่านมหาเศรษฐีก็คิดว่าทิ้งที่ไหนๆ มันก็ไม่ตาย เจ้าจงนำเอาไปไว้ในป่าช้าผีดิบให้ลึกแสนลึกอย่าให้คนเห็น ตามธรรมดาป่าช้าผีดิบจะมีเสือ สิงห์ กระทิง แรด มีงูร้ายอยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่ตายเพราะสัตว์ร้ายก็ต้องตายเพราะอดตาย ตามปกติป่าช้าไม่มีใครอยากเข้าไป อย่างมากก็หนึ่งวันก็ต้องตายแน่ ในตอนเช้าวันนั้นก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ มีพ่อค้าเลี้ยงแพะไว้สำหรับขายนับเป็นแสนตัว ก็นำแพะมาเลี้ยงที่ป่าช้าผีดิบเพราะไม่มีใครว่าและก็ปลอดภัย บังเอิญมีแพะแม่ลูกอ่อนอยู่ตัวหนึ่งบุกป่าฝ่าดงเข้าไปไกลออกไปจากฝูงแพะเข้าไปในป่าลึก เข้าไปถึงเด็กน้อยแล้วก็ย่อตัวลงมาเอานมให้เด็กดูดกิน เจ้าของแพะเห็นเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าแพะตัวนี้ลุยผ่าเข้าไปทำไม แยกฝูงออกไป เขาหาทางตวาด เอาไม้ขว้าง อิฐขว้างเท่าไรแพะก็ไม่ยอมถอยออกมา เห็นมันย่อตัวผิดปกติจึงเข้าไปหมายจะตีแพะให้เข็ด แต่พอเข้าไปก็เห็นเด็กน้อยกำลังกินนมแพะ ใจก็เกิดความรักขึ้นมา เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ เราก็ไม่มีลูกอยากได้ลูกมานานแล้ว จึงดีใจเข้าไปอุ้มนำเอาไปเลี้ยง

    หลวงพ่อท่านบอกว่าขึ้นชื่อว่า บุญก็ช่วยไม่เลือกสถานที่เหมือนกัน เป็นอันว่าคนที่เกิดมานี้ต้องรับผลของกรรมที่เป็นกุศลและอกุศล กรรมที่เป็นอกุศลของท่านโกตุหลิกะเป็นเหตุให้ ถูกทอดทิ้งหวังจะประหารชีวิต เพราะทิ้งลูกให้ตายในป่า แต่ว่าบุญที่มีความจงรักภักดีต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ช่วยพร้อมกันนั่นคือ แพะให้นํ้านมกิน

    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๕
    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๕ เมื่อนางกาลีมาบอกท่านเศรษฐี ท่านก็เกิดความเจ็บใจว่าทำอย่างไรๆ มันก็ไม่ตาย จะต้องเอาชนะให้ได้ จึงมอบเงินอีกหนึ่งพันกหาปณะให้ไปขอซื้อกลับมา ถ้าอกุศลไม่สนองเขาคงไม่ให้ แต่เพราะอกุศลยังสนองจึงจำจะต้องถูกทอดทิ้งต่อไป ท่านเศรษฐีก็วางแผนต่อไปว่าคราวนี้ไม่มีใครช่วยมันได้ ให้เอาไปทิ้งเหวลึกในป่า คนเข้าไปยากมีดงไผ่มาก โยนมันลงไปในนั้นไม่ช้ามันก็ตายไม่มีใครจะไปช่วยเหลือได้ นางกาลีก็นำเด็กไปโยนลงกลางเหว ก็เป็นเหตุอัศจรรย์กลางเหวมีกอไผ่อยู่มาก ไผ่งามมาก คนที่จะจักสานเขาก็ไปเอาไม้ไผ่ในนั้น บนยอดไผ่ก็บังเอิญมีเถาวัลย์เกาะอยู่หนาทึบมาก ปรากฏว่าเด็กน้อยคนนี้พอเขาโยนลงไปก็ไปค้างบนเถาวัลย์พอดี

    ในตอนสายวันนั้นนายช่างจักสานเกิดขาดไม้ไผ่ที่จะจักสานขึ้นมา จึงได้พาลูกชายเข้าไปในป่าหาทางลัดเลาะเข้าไปในเหวเพราะไม้ไผ่ในนั้นงามดี พอเข้าไปตัดไม้เถาวัลย์ก็ไหว เด็กที่อยู่บนนั้นก็ร้องจ้าขึ้นมา เขาก็ตกใจว่าผีหรือคนกันแน่ ป่าลึกอย่างนี้ไม่น่าจะมีคน สองคนพ่อลูกก็เข้าไปดูก็พบเด็กจึงรับไว้เป็นลูกชายคนรองต่อไป

    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๖
    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๖ หลังจากที่ทิ้งเหวแล้ว ท่านเศรษฐีให้นางกาลีนำเงินหนึ่งพันกหาปณะไปไถ่ตัวกลับมา ท่านจึงคิดว่าการทอดทิ้งแบบนี้ไม่มีผลแน่ จะต้องจัดการฆ่าเป็นกรณีพิเศษ ตั้งแต่ท่านโฆษกเทพบุตรมาเกิดเป็นเด็กคนนี้ ท่านมีความรู้สึกว่าท่านเศรษฐีเป็นบิดาของท่านจริงๆ แต่ท่านเศรษฐีกลับคิดว่าเด็กคนนี้เป็นหนามยอกอก เกรงว่าจะแย่งตำแหน่งเศรษฐีของลูกชายตามที่ท่านปุโรหิตพยากรณ์ไว้ จึงได้คิดฆ่าตลอดมา การคิดฆ่าต้องใช้เวลาตามความเหมาะสมจึงนานจนกระทั่งท่านโฆษกเป็นหนุ่มมีเมียได้แล้ว ท่านเศรษฐีจึงคิดว่าใกล้บ้านท่านมีนายช่างหม้อ เขาทำหม้อขาย ทำตุ่มขาย ในเตาที่สุมหม้อหรือสุมตุ่มให้สุกต้องใช้ไฟแรงมาก จึงนำเงินไปหนึ่งพันกหาปณะก็เท่ากับเงินสักสองสามแสนสมัยนี้ เมื่อนายช่างหม้อรับเงินแล้วก็บอกว่าจะให้ทำอะรก็ทำให้ได้ทุกอย่าง

    พอวันรุ่งขึ้นท่านเศรษฐีก็เขียนจดหมายสั่งให้นายช่างหม้อจัดการฆ่าผู้ถือจดหมายมาให้แล้วใส่เข้าเตาเผาให้เรียบร้อย ทำงานเสร็จให้รีบแจ้งให้ทราบจะให้รางวัลยิ่งกว่าที่ให้ไปแล้ว เมื่อเขียนจดหมายเสร็จก็เรียกท่านโฆษกให้ถือจดหมายนี้ไปหานายช่างหม้อ แต่พอท่านโฆษกลงไปจากบ้านก็ปรากฏว่าน้องชายคือลูกแท้ๆ ของท่านเศรษฐีกำลังเล่นคลีอยู่กับเพื่อนและแพ้เพื่อนสิบกระดานกว่า ท่านโฆษกเป็นผู้ฉลาดในการเล่นคลี น้องชายก็คิดว่าท่านเป็นพี่ชายจริงๆ เหมือนกัน เพราะไม่มีใครบอก จึงบอกให้พี่ชายมาช่วยเล่นคลีแก้ตัวให้ก่อน

    ท่านก็บอกน้องว่า "ไม่ได้หรอก เวลานี้พ่อใช้ให้ไปธุระที่บ้านนายช่างหม้อ ต้องถือจดหมายฉบับนี้ของพ่อไปให้แล้วพี่จะรีบกลับมา"

    น้องชายบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พี่เล่นแทนฉันนะแก้ตัวให้ได้เพราะฉันแพ้เขามามากแล้ว ฉันจะนำจดหมายไปเอง งานเสร็จเมื่อไรจะรีบกลับมาหาพี่"

    เป็นการบังเอิญจริงๆ ลูกชายของท่านเศรษฐีอ่านหนังสือออก แต่ถือว่าเป็นจดหมายธุระของพ่อ จึงไม่คลี่ออกอ่าน พอไปถึงนายช่างหม้ออ่านจดหมายเสร็จก็จัดการตามคำสั่ง ร่างกายของลูกชายท่านเศรษฐีก็วอดวายเป็นขี้เถ้าผสมไปกับถ่าน ท่านโฆษกเล่นคลีจนกระทั่งเย็น น้องชายก็ยังไม่กลับมา จึงขึ้นมาบนบ้าน ท่านเศรษฐีเห็นเข้าก็ถามว่า "พ่อสั่งให้ไปหานายช่างหม้อ ลูกยังไม่ไปหรือ" ท่านก็ตอบว่า "น้องเล่นคลีแพ้เขาขอรับ ให้ผมเล่นแก้ตัว น้องเลยไปแทน" พอได้ฟังเท่านั้นท่านเศรษฐีก็ผลุนผลันรีบวิ่งไปบ้านนายช่างหม้อ

    พอไปถึงนายช่างหม้อก็รีบมารายงานทันทีว่า "งานที่สั่งเรียบร้อยทุกอย่าง" ท่านเศรษฐีร้องไห้แทบจะเป็นลมตาย แทนที่จะฆ่าท่านโฆษกตายกลับต้องมาเสียลูกไป

    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๗
    ถูกทอดทิ้งให้ตายครั้งที่ ๗ เมื่อลูกชายของตนตายไปแล้ว ท่านเศรษฐีกลับโทษว่าท่านโฆษกเป็นต้นเหตุให้ลูกชายตาย จึงคิดหาอุบายใหม่จะต้องฆ่าลูกเลี้ยงให้ได้ จึงส่งไปยังสำนักคนเก็บส่วย ท่านเศรษฐีมีบ้านส่วย ๑๐๐ หลังคล้ายๆ กับบ้านเช่า พระราชามอบบ้านให้เมื่อตั้งเป็นเศรษฐีแล้ว มีอำนาจในการเก็บส่วยคือเก็บภาษีอากรเป็นประจำปี โดยส่งไปให้นายเสมียนหรือคือเจ้าหน้าที่เก็บส่วยฆ่าเสียให้ตาย จึงได้เขียนจดหมายบอกว่า "ถ้าผู้ถือจดหมายนี้มาถึงบ้านนี้เมื่อไรให้จัดการฆ่าทันที และก็จัดการเผาแล้วนำไปโยนลงในส้วม ถ้าทำเสร็จเรียบร้อยฉันจะให้รางวัลเธออย่างงามในภายหลัง"

    ท่านโฆษกก็บอกท่านเศรษฐีว่า "ตำบลที่จะไปมันไกล จะต้องนำอาหารไปกินตามทางบ้างเพราะต้องค้างคืน" ท่านเศรษฐีก็บอกว่า "ไม่ต้องเอาไปหรอกลูก พ่อมีเพื่อนเป็นเศรษฐี บ้านอยู่ระหว่างกลางทางที่จะผ่านไปอยู่หลังหนึ่ง เจ้าจงแวะไปรับประทานอาหารที่นั่น หลังจากนั้นก็เดินทางไปบ้านส่วยไปหานายเสมียนที่เก็บส่วย"

    พอไปถึงบ้านเศรษฐีก็เข้าไปในบ้าน ภรรยาท่านเศรษฐีเห็นหน้าท่านโฆษกก็มีความรู้สึกรักเหมือนลูก บ้านนี้มีลูกสาวอายุ ๑๕ ยังไม่ถึง ๑๖ กำลังสาวและสวยด้วย เวลานั้นก็เป็นเวลาพอดีที่ลูกสาวของเศรษฐีบ้านนี้อยู่บนชั้น ๗ ได้สั่งให้หญิงคนใช้ไปซื้อของที่ตลาด แต่พอหญิงคนใช้ลงมาจากข้างบนก็พอดีภรรยาของท่านเศรษฐีใช้ให้จัดห้องพักให้แก่ท่านโฆษกซึ่งเดินทางมาเหนื่อยอ่อน พอกินอาหารเสร็จก็นอนหลับ เมื่อหญิงรับใช้ไปตลาดเสร็จก็กลับขึ้นไปข้างบน เจ้านายคอยนานผิดปกติก็ดุ เธอจึงรายงานเรื่องราวให้ทราบ พอได้ยินเท่านั้น ความรักเกิดขึ้นมาทันทีทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นหน้า ทนไม่ไหวต้องการจะไปเห็นหน้า

    บุพเพสันนิวาส
    ลูกสาวท่านเศรษฐีคนนี้เดิมเป็นภรรยาของท่านโฆษกสมัยที่เป็นโกตุหลิกะ เมื่อท่านโกตุหลิกะตายจากความเป็นคนแล้ว ท่านเศรษฐีได้มอบข้าวสารให้เธอหนึ่งทะนาน เธอได้จัดการหุงต้มถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า และอยู่รับใช้ท่านเศรษฐีบ้านนั้น ต่อมาได้มีโอกาสปฏิบัติและไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้างตามสมควร อาศัยบุญนี้เมื่อเธอตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก หลังจากนั้นลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็มาเกิดเป็นลูกของอนุเศรษฐีบ้านนี้

    ฉะนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อาศัยที่เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน เยื่อใยแห่งความรักมันก็เกิดขึ้น"

    ลูกสาวเศรษฐีจึงลงไปจะดูหน้าชายหนุ่ม ได้ย่องๆ แอบลงไปไม่ให้มารดาเห็น เวลานั้นท่านโฆษกกำลังหลับ เมื่อเห็นเข้าก็เกิดความรักหนักขึ้นเพราะอาศัยบุญเก่าที่เคยเป็นสามีภรรยากัน ต้องพลัดกันเพราะกำลังบุญไม่เสมอกัน ท่านโฆษกทิ้งลูกแต่เธอสงสารลูก ท่านโฆษกคิดถึงสุนัขจึงไปเกิดเป็นลูกสุนัข แต่ตอนเป็นสุนัขมีความรักและเห่าหอนป้องกันอันตรายพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไปเกิดเป็นเทวดา แต่ภรรยานึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้า เมื่อเธอเข้าไปมองไปก็เห็นชายผ้าขมวดอยู่จึงแก้ดูเห็นจดหมายก็นำมาอ่าน พออ่านเสร็จก็ตกใจว่าถือจดหมายฆ่าตัวเองมาได้อันตรายมาก จึงจัดการแปลงสาส์นเขียนขึ้นใหม่ ให้นายเสมียนจัดการแต่งงานลูกชายของท่านเศรษฐีกับลูกสาวของอนุเศรษฐีซึ่งเป็นเพื่อนกันในชนบท และจัดการปลูกเรือนหอให้ดี จัดเวรยามอย่าให้ใครเข้าไปรบกวนหรือให้ใครไปทำอันตรายเป็นอันขาด เป็นอันว่าท่านโฆษกไม่ได้เห็นนางเลย

    พอวันรุ่งขึ้นรับประทานอาหารเสร็จก็ลาท่านเศรษฐี เดินทางไปหานายเสมียน เมื่อได้อ่านจดหมายแล้วก็ดีใจว่าท่านเศรษฐีไว้วางใจเราถึงขนาดนี้ ก็จัดการปลูกบ้านจัดคนระวังรักษา ใครจะเข้าจะออกต้องได้รับอนุญาตก่อน แล้วก็ไปสู่ขอลูกสาวเศรษฐีจัดการแต่งงานให้ เมื่อแต่งงานแล้วลูกสาวก็มาอยู่บ้านของท่านโฆษก นางได้สั่งนายเสมียนว่า ถ้าผู้ใดจะมาหาสามีจงอย่าให้เข้าไปพบ ให้มาพบเธอก่อน เป็นการป้องกันสามีเพราะท่านบิดาของสามีใจร้าย ถ้าทราบว่าท่านโฆษกยังไม่ตาย ก็จะต้องหาทางฆ่าให้ได้อีก

    หลังจากนั้นมาหลายวัน ท่านเศรษฐีไม่ได้ข่าวจากนายเสมียน จึงส่งคนไปสืบก็ได้ความว่าเวลานี้ท่านโฆษกแทนที่จะตายกลับกลายเป็นได้ลูกสาวเศรษฐีเป็นภรรยา ก็เจ็บใจเกิดความทุกข์หนัก จิตใจเศร้าโศกคิดถึงลูกชายที่ตายไปแล้วด้วย ตัวท่านก็แก่แล้วมีอารมณ์ครุ่นคิดแต่ประหัตประหาร ความสุขกายสุขใจจึงไม่มีก็เลยล้มป่วย ขณะล้มป่วยใหม่ๆ สั่งคนให้ไปตามท่านโฆษกมาหา ด้วยมีเจตนาให้ทนายประจำตระกูลบอกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดไม่ยอมยกให้ท่านโฆษก แต่พอคนที่ท่านเศรษฐีส่งไปถึงบ้านท่านโฆษก นายเสมียนก็นำไปหาภรรยาท่านโฆษกก่อนและได้ถามว่า "เวลานี้ท่านบิดาป่วยมากหรือน้อย" เขาตอบว่า "ยังไม่มากขอรับ เพิ่งป่วยใหม่ๆ แต่ว่าบ่นถึงท่านโฆษกอยากให้ไปหา" ภรรยาท่านโฆษกก็ทราบว่าการไปหาเวลานี้ไม่เหมาะ จึงสั่งเจ้าหน้าที่ให้จัดบ้านพักและให้เลี้ยงอาหารการบริโภคให้อยู่อย่างเป็นสุข และบอกว่า "ถ้าจะกลับต้องรับคำสั่งจากฉันก่อน เธอกับฉันจะไปพร้อมกัน"

    ท่านเศรษฐีอาการไข้หนักลงไปทุกที ถามทนายประจำบ้านว่า "ท่านโฆษกมาหรือยัง" พอบอกว่ายังก็สั่งให้คนไปตามอีกพวกหนึ่ง ภรรยาท่านโฆษกก็ถามคนที่มาตามว่า "ท่านบิดาอาการเป็นอย่างไร" เขาก็บอกว่า "อาการป่วยมากขึ้น แต่สติสัมปชัญญะยังสมบูรณ์" นางก็จัดการให้พักอย่างดีตามเดิมเป็นการถ่วงเวลาไว้

    ในที่สุดอาการของท่านเศรษฐีหนักลงไปมาก กินเข้าไปเท่าไรถ่ายออกมาหมดเท่านั้นที่เรียกว่าทวารเปิดใกล้จะตายเต็มที ก็สั่งให้คนไปตามอีกเป็นชุดที่สาม ภรรยาท่านโฆษกก็ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง คนที่มาตามก็บอกตามความเป็นจริงว่า "เวลานี้ท่านเศรษฐีแย่แล้วครับ พูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่องแล้ว เสียงก็แห้ง อาการร่อแร่เต็มที" สองรายที่มาตามภรรยาไม่ได้บอกท่านโฆษกให้ทราบ แต่ครั้งที่สามจึงได้รายงานให้ทราบว่า "บิดาของท่านกำลังป่วยหนัก เราเป็นลูกต้องไปหาและไปพยาบาลท่าน" และได้มีการนัดหมายกันว่าเวลาไปถึงที่นั่นแล้ว ขอให้สามียืนอยู่ด้านปลายเท้าบิดา เธอจะยืนอยู่ด้านศีรษะ แล้วทำการปฐมพยาบาลตามโอกาสที่จะพึงมี และการไปคราวนี้ก็ควรนำของจากบ้านส่วย ๑๐๐ หลังนี้ไปฝากคุณพ่อด้วย ใช้เกวียนหลายเล่มบรรทุกไป เจตนาของนางก็เพื่อจะถ่วงเวลาไว้ แต่ท่านโฆษกคิดว่าภรรยาปรารถนาดี รู้ไม่เท่าทัน ท่านโฆษกถึงแม้จะมีวาสนาบารมีเคยเป็นสามีมาก่อนแต่ปัญญาก็สู้เธอไม่ได้ เพราะชาติสุดท้ายเธอมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ถวายทานกับท่านและอธิษฐานว่า "ธรรมใดที่พระผู้เป็นเจ้าเห็นแล้ว ขอฉันได้เห็นธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าค่ะ"

    แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ให้พรว่า "เอวัง โหตุ" แปลเป็นใจความว่า "เจ้าปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา"

    พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านเป็นอรหันต์บรรลุเอง ความฉลาดย่อมมีมาก ในเมื่อเขาอธิษฐานต้องการความฉลาดอย่างท่านก็ต้องฉลาดเหมือนท่าน

    ฉะนั้น ภรรยาของท่านโฆษกนี้จึงมีความฉลาดลํ้าลึก รู้เท่าทันเหตุการณ์ทุกอย่าง จึงทราบว่าไปคราวนี้ท่านพ่อเลี้ยงก็จะประกาศไม่ยกทรัพย์สมบัติให้ ตามธรรมดาถ้าไม่ประกาศแจ้งให้ทนายทราบก่อน บุคคลผู้เป็นบุตรก็จะต้องได้สมบัติและเป็นทายาทคนเดียว การที่นางจัดของมาหลายเล่มเกวียนทำให้การเดินทางก็ช้า เมื่อเดินทางไปได้ ๒-๓ วัน นางก็หานโยบายถ่วงให้ช้าไปกว่านั้นอีก จึงรายงานท่านโฆษกว่าบิดาป่วยหนัก ถ้านำของไปมากๆ อย่างนี้นานกว่าจะถึง ทางที่ดีควรให้เกวียนเบา จึงได้สั่งให้เกวียนย้อนกลับมาบ้านเพื่อขนของลง กว่าจะเดินทางไปใหม่ก็กินเวลาหลายวัน เมื่อไปถึงบ้านบิดาปรากฏว่า ท่านเศรษฐีป่วยหนักขนาดพูดไม่รู้เรื่อง นางก็เข้าไปด้านศีรษะ ท่านโฆษกก็ไปยืนด้านปลายเท้า ท่านเศรษฐีตาพร่าเต็มทีมองไม่เห็นว่าใครอยู่ที่นั้นบ้าง จึงถามทนายว่าท่านโฆษกมาหรือยังทั้งๆ ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทนายบอกว่าเวลานี้บุตรชายของท่านยืนอยู่ปลายเท้าแล้ว ท่านก็อยากจะพูดว่าสมบัติทั้งหมดนี้ไม่ยกให้ท่านโฆษก แต่ประสาทมันใช้ไม่ได้จึงกล่าวว่า "สมบัตินี้เราให้"

    พอพูดเพียงเท่านี้ภรรยาของท่านโฆษกผู้มีปัญญาดีก็ทุ่มศีรษะลงมาที่อก แสดงอาการร้องไห้สะอึกสะอื้นตัดเสียงของท่านเศรษฐี โดยนางคิดว่าถ้าขืนปล่อยให้พูดต่อไป ต้องกลับคำว่าไม่ให้ แต่ท่านพูดเผลอไปเพราะลิ้นมันแข็ง นางร้องห่มร้องไห้เกลือกกลิ้ง พยายามเอาหัวกระแทกอกท่านเศรษฐีตายไปเลย

    ท่านโฆษกได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐี
    เมื่อท่านเศรษฐีตายไปแล้ว ทำการเผาเสร็จ ท่านโฆษกก็ไปรายงานให้พระราชาทราบคือ พระเจ้าอุเทน ตอนที่จะเข้าไป พระเจ้าอุเทนยืนอยู่ที่หน้าต่างเห็นท่านโฆษกเดินเข้าไปถึงลำรางเล็กๆ ก็กระโดดข้าม ที่มีหลุมมีบ่อมีนํ้าก็กระโดดข้าม พอเข้าไปถึงก็กราบทูลพระราชาตามความจริง พระองค์ก็บอกว่า "เมื่อพ่อของเธอตายแล้ว ทายาทคนอื่นก็ไม่มี เราจะแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐีให้แก่เจ้าแทนพ่อ" แล้วท่านก็สั่งให้กลับได้ เมื่อท่านโฆษกกราบลามาแล้ว เวลาเดินมาถึงบ่อนํ้าหรือลำรางแทนที่จะกระโดดข้ามกลับลุยนํ้าไปโดยสุภาพ เรียกว่าเดินแบบสุภาพ เมื่อพระเจ้าอุเทนเห็นดังนั้นแล้ว ก็สงสัยทำไมจริยาเปลี่ยนไป ก็ทรงสั่งให้ท่านโฆษกกลับเข้าไปเฝ้าใหม่แล้วถามว่า "เมื่อขณะที่มาถึงลำรางมีนํ้า เจ้ากระโดดข้าม ขากลับทำไมเดินแบบสุภาพลุยนํ้าไป" ท่านโฆษกก็กราบทูลว่า "เมื่อขณะมา ข้าพระพุทธเจ้ายังเป็นเด็กจึงทำอาการอย่างนั้น เมื่อรับคำสั่งจากพระองค์ว่าจะแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐีให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ จึงเดินอย่างผู้ใหญ่มีอาการสุภาพตามสมควร"

    พระเจ้าอุเทนฟังแล้วก็ปลื้มใจในความดีของท่านโฆษก จึงแต่งตั้งตำแหน่งเศรษฐีให้ในวันนั้น ให้ฉัตร ๓ ชั้น ให้ข้าทาสหญิงชาย ช้าง ม้า วัว ควาย และบ้านส่วย รวมความว่าได้เป็นเศรษฐีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    เมื่อกลับมาถึงบ้าน ภรรยากำลังคุยกับนางกาลีอยู่ ท่านโฆษกจึงถามว่า "คุยอะไรกัน" เธอก็ไม่บอก ท่านโฆษกก็ชักดาบแล้วบอกว่า "ถ้าไม่บอกฉันจะฆ่า" ภรรยาก็เลยบอกว่า "ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่ท่านได้เพราะอาศัยฉันช่วย" แล้วก็เล่าความเป็นมาทั้งหมดให้ฟัง ท่านโฆษกฟังแล้วก็ไม่เชื่อ นางกาลีเลยเล่าความเป็นมาทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนอวสาน ท่านโฆษกได้ฟังแล้วก็มีความสลดใจว่า เรามีกรรมหนักมากตั้งแต่เล็กจนโต เขาคิดจะฆ่าเราก็ไม่ทราบ เราคิดว่าท่านผู้นี้เป็นบิดา แต่จริงๆ คนนี้ก็คือศัตรูเป็นเพชฌฆาตนั่นเอง

    แล้วท่านก็คิดต่อไปว่าเมื่อกรรมหนักเป็นเช่นนี้ ถ้าเรามีความประมาทอยู่ ไม่ทำความดี ถ้าตายจากชาตินี้ไปแล้วกรรมหนักจะซํ้าเติมเราหนักขึ้น อาจจะมีความลำบากยิ่งไปกว่านี้ ถ้ากรรมดีไม่มีสนองเราอาจจะถูกฆ่าตายในระหว่างนี้ก็ได้ ท่านจึงตัดสินใจสละทรัพย์วันละพันกหาปณะหรือวันละพันตำลึงให้ นายมิตตกุฎุมพี เป็นผู้จัดการตั้งโรงทานเลี้ยงคนกำพร้าและคนเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    จากเรื่องนี้จะเห็นว่าการเกิดเป็นคนนี้ บางคนคิดว่าการเกิดเป็นคนเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ถ้าคิดดูจริงๆ แล้วความจริงคนจะมีความทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมีความวุ่นวายไม่เท่าคน อย่างท่านโฆษกเป็นคนดีแสนดีเกิดมาชาตินี้ไม่เคยทำอันตรายกับใคร แต่ถูกจองล้างจองผลาญอยู่ตลอดเวลา พวกเราก็เช่นเดียวกัน คิดกันดูให้ดีเราไม่เคยมีความสุขจริง ร่างกายนี้เป็นพิษเป็นภัยกับเราจริงๆ ที่เรามีทุกข์จริงๆ ก็เพราะอาศัยร่างกายอย่างเดียว ทุกข์เพราะความหิว ทุกข์เพราะความกระหาย ทุกข์จากการป่วยไข้ไม่สบาย ทุกข์จากความตายเข้ามาถึงในที่สุด รวมความว่าทุกข์นับไม่ถ้วน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสกับคณะลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรีว่า "เธอจงทำใจให้เข้าถึง อากิญจัญญายตนฌาน ไว้เป็นปกติ คือมีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ คนเกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น สัตว์เกิดมาเท่าไรตายหมดเท่านั้น วัตถุธาตุต่างๆ ในที่สุดก็สลายตัวเหมือนกัน ถ้าเราหวังจะยึดโลกนี้เป็นที่พึ่งเราก็ยึดผิด เพราะเราอยู่ได้ไม่นานร่างกายก็สลายตัวคือตาย ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้เธอจะมีความสุขและจะพาเธอเข้าถึงพระนิพพาน"

    เป็นอันว่ากรรมที่ท่านโกตุหลิกะทิ้งลูกให้ตายในป่า ก็ต้องมาถูกทอดทิ้งให้เขาจะฆ่าให้ตายถึง ๗ ครั้ง แต่บังเอิญไม่ตายก็เพราะอาศัยที่ตนเคยมีความเคารพรักและเคยช่วยเหลือพระปัจเจกพุทธเจ้าในสมัยที่เกิดเป็นสุนัข เป็นผลให้ท่านได้เป็นมหาเศรษฐี คนเกิดมาในชาตินี้จะได้รับผลกรรมทั้ง ๒ อย่างคือ

    เวลาใดกรรมที่เป็นกุศลให้ผล เวลานั้นก็มีความสุข

    เวลาใดกรรมที่เป็นอกุศลในชาติก่อนให้ผล เวลานั้นก็มีความทุกข์

    ฉะนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายพึงทำใจให้สบายว่า ชาตินี้กุศลหรืออกุศลจะให้ผลก็ตามที เราเกิดมาพบศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ท่านสอนให้เรารู้จักให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เราก็ทำทุกอย่างตามที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธประสงค์ อย่างนี้ถ้าตายแล้วอย่างต่ำก็ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ หรืออาจจะเป็นสวรรค์ชั้นไหนก็ได้ไม่จำกัด อย่างกลางก็ไปพรหมได้ อย่างดีที่สุดก็ไปพระนิพพานได้.."
     
  6. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493
    คุณส้มลิ้ม เผ่าสวัสดิ์ ร่วมบุญห่มพระธาตุลำปางหลวง จำนวน 200 บาท

    อนุโมทนา สาธุ


    *จะส่งที่อยู่ทาง pm ค่ะ
     
  7. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,427
    ค่าพลัง:
    +33,493


    โอนแล้วค่ะวันนี้ จำนวน 400 บาท

    อนุโมทนา สาธุ
     
  8. Fuangfah

    Fuangfah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2010
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +2,494
    น้อมอนุโมทนาบุญค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. นิพพิทาญาณ

    นิพพิทาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +491
    อนุโมทนาด้วยค่ะ
    วันนี้จะจัดส่ง หนังสือตอบปัญหาพิเศษ 2 เล่ม
    และเหรียญหลวงพ่อหลังยันต์เกราะเพชร 2 องค์
    ตามที่อยู่ที่ PM มาค่ะ
     
  10. Fuangfah

    Fuangfah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2010
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ขอเชิญทุกท่านร่วมทำบุญตามกำลังนะคะ ร่วมบุญเท่าไหร่ก็ได้ค่ะ แจ้งชื่อและที่อยู่ ทางเราจะจัดส่งหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม หรือ เหรียญหลวงพ่อฤาษีลิงดำด้านหลังยันต์เกาะเพชร อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ท่านระบุไปให้ค่ะ

    ถ้าท่านใดร่วมบุญ 100 บาท เราจะมอบให้ท่านทั้งสองอย่างค่ะ คือหนังสือธรรมะและเหรียญหลวงพ่อฤาษีลิงดำด้านหลังยันต์เกาะเพชรค่ะ (เป็นวัตถุมงคลที่เราบูชามาจากวัดท่าซุง จ.อุทัยธานีค่ะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กุมภาพันธ์ 2013
  11. นิพพิทาญาณ

    นิพพิทาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +491
    ทำบุญใหญ่ครั้งนี้ เพื่อเป็นการบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เนื่องในวันวิสาขาบูชา วันสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา
    การร่วมทำบุญนี้ไม่มีการจำกัดใดๆ ไม่ว่าเงินเพียงแค่ 1 บาท ก็สามารถร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วยกันได้ และทางคณะของเราก็มีความยินดีอย่างยิ่ง
    (ไม่ว่าท่านจะร่วมบุญเท่าไร เราจะจัดส่งหนังสือหรือพระให้แก่ทุกท่าน)
    เพื่อความเครื่องระลึกนึกถึงคุณความดีของพระพุทธ พระธรรม และพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย
     
  12. Fuangfah

    Fuangfah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2010
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +2,494
    อานิสงส์การบูชาพระสถูปหรือพระธาตุ


    พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค

    พระอานนท์: ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ จะพึงปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคตอย่างไร ฯ
    พระพุทธเจ้า: ดูกรอานนท์ พวกเธอจงอย่าขวนขวายเพื่อบูชาสรีระตถาคตเลย จงสืบต่อพยายามในประโยชน์ของตนๆ เถิด จงเป็นผู้ไม่ประมาทในประโยชน์ของตนๆ มีความเพียร มีตนอันส่งไปแล้วอยู่เถิด กษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิตก็ดี พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตก็ดี คฤหบดีผู้เป็นบัณฑิตก็ดี ผู้เลื่อมใสยิ่งในตถาคตมีอยู่ เขาทั้งหลายจักกระทำการบูชาสรีระตถาคต ฯ

    - มหาปรินิพพานสูตร -

    พึงสร้างสถูปของตถาคตไว้ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ชนเหล่าใดจักยกขึ้นซึ่งมาลัยของหอมหรือจุณ จักอภิวาท หรือจักยังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้น การกระทำเช่นนั้น จักเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ชนเหล่านั้นสิ้นกาลนาน ฯ

    - มหาปรินิพพานสูตร -

    http://www.relicsofbuddha.com/page6-xp2.htm
     
  13. Fuangfah

    Fuangfah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2010
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +2,494
    รายชื่อเจ้าภาพร่วมสร้างผ้าปักลายบัวเงินบัวทองห่มพระธาตุลำปางหลวง

    1. ท่านผู้ไม่ประสงค์ออกนาม 100 บาท
    2. คุณส้มลิ้ม เผ่าสวัสดิ์ 200 บาท
    3. คุณpeerakul 200 บาท

    ขอน้อมอนุโมทนากับทุกท่านค่ะ
     
  14. Fuangfah

    Fuangfah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2010
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +2,494
    อานิสงส์การบูชาพระสถูปหรือพระธาตุ
    อุปวาณเถราปทานที่ ๒ (๒๒)
    ว่าด้วยผลแห่งการถวายธง

    (ในช่วงแรกกล่าวถึงการจัดสร้างพระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระปทุมุตรพุทธเจ้า โดยความร่วมมือร่วมใจกันสร้าง ทั้งมนุษย์ เทวดา ครุฑ กุมภัณฑ์ นาค ยักษ์ และคนธรรพ์ จนกระทั่งพระสถูปมีความสูงได้ 7 โยชน์ เทวดาจึงให้ยักษ์ตนหนึ่งชื่อ อภิสมมต เป็นผู้นำของสักการะที่มนุษย์นำมาบูชาขึ้นไปสู่พระสถูป - เนื่องจากความช่วงแรกค่อนข้างยาว จึงกล่าวเพียงย่อๆ เท่านี้: ผู้จัดทำ)

    เวลานั้น เราเป็นคนยากไร้อยู่ในเมืองหงสวดี เราได้เห็นหมู่ชนเบิกบาน จึงคิดอย่างนี้ในเวลานั้นว่า เรือนพระธาตุเช่นนี้ ของพระผู้มีพระภาคพระองค์ใด พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้โอฬาร ก็หมู่ชนเหล่านี้มีใจยินดีไม่รู้จักอิ่มในสักการะที่ทำอยู่ แม้เราก็จักทำสักการะแด่พระโลกนาถผู้คงที่บ้าง เราจักเป็นทายาทในธรรมของพระองค์ในอนาคต

    เราจึงเอาเชือกผูกผ้าห่มของเราอันซักขาวสะอาดแล้ว คล้องไว้ที่ยอดไม้ไผ่ ยกเป็นธงขึ้นไว้ในอากาศ ยักษ์อภิสมมตจับธงของเรานำขึ้นไปในอัมพร เราเห็นธงอันลมสะบัด ได้เกิดความยินดีอย่างยิ่ง เรายังจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้นแล้ว เข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง กราบไหว้ภิกษุนั้นแล้ว ได้สอบถามถึงผลในการถวายธง

    ท่านยังความเพลิดเพลินและปีติให้เกิดแก่เรา กล่าวแก่เราว่า ท่านจักได้เสวยวิบากของธงนั้นในกาลทั้งปวง จตุรงคเสนา คือ พลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า จักแวดล้อมท่านอยู่เป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง ดนตรีละ ๖ หมื่น และกลองเภรีอันประดับสวยงามจะประโคมแวดล้อมท่านเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง หญิงสาวแปดหมื่นหกพัน อันประดับงดงาม มีผ้าและอาภรณ์วิจิตร สวมใส่แก้วมณี และ กุณฑล หน้าแฉล้ม แย้มยิ้ม มีตะโพกผึ่งผาย เอวเล็ก เอวบาง จักแวดล้อม(บำเรอ) ท่านเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง ท่านจักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอด ๓ หมื่นกัลป จักได้เป็นจอมเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติอยู่ ๘๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ ในแสนกัลป พระศาสดาทรงพระนามว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ท่านอันกุศลมูลตักเตือน เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว ประกอบด้วยบุญกรรม จักเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ ท่านจักละทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ทาสและกรรมกร เป็นอันมากออกบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม ท่านจักยังพระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคดมศากยบุตรผู้ประเสริฐให้โปรดปราณแล้ว จักได้เป็นพระสาวกของพระศาสดา มีชื่อว่าอุปวาณะ

    กรรมที่เราทำแล้วในแสนกัลป ให้ผลแก่เราในที่นี้แล้วเราเผากิเลสของเราแล้ว ดุจกำลังลูกศรพ้นแล่งไปแล้ว เมื่อเราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ เธอทั้งหลายจักยกขึ้นโดยรอบ๓ โยชน์ทุกเมื่อ ในแสนกัลปแต่กัลปนี้ เราได้ทำกรรมใดไว้ในเวลานั้นด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายธง คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และแม้อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล

    ทราบว่า ท่านพระอุปวาณเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ ฉะนี้แล.

    จบ อุปวาณเถราปทาน.

    http://www.relicsofbuddha.com/page6-xp2.htm
     
  15. Fuangfah

    Fuangfah เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2010
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ขอเชิญทุกท่านร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพสร้างผ้าปักลายบัวเงินบัวทอง ห่มพระธาตุลำปางหลวง ตามกำลังโดยไม่จำกัดจำนวนเงินนะคะ แม้เพียง 0.25 บาท ท่านก็ร่วมเป็นเจ้าภาพในการสร้างได้ และทางเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะมอบ หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม หรือเหรียญหลวงพ่อฤาษีลิงดำด้านหลังยันต์เกราะเพชร (บูชาจากวัดท่าซุง) ให้ท่าน เพียงท่านระบุความประสงค์มาว่าต้องการหนังสือธรรมะหรือวัตถุมงคลหลวงพ่อค่ะ
     
  16. นิพพิทาญาณ

    นิพพิทาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +491
    คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

    รูปหลวงพ่อ.jpg




    --------------------------------------------------------------------------------

    การสร้างพระพุทธรูปจัดว่าเป็น พุทธบูชา ถ้าในกรรมฐานจัดว่าเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน (การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์) ถ้าตายจากคน ไปเกิดเป็นเทวดา มีรัศมีกายสว่างไสวมาก

    การสร้างพระถวายด้วยอำนาจพุทธบูชา ทำให้มีรัศมีกายมากเป็นคนสวย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    "พุทธะปูชา มะหาเตชะวันโต" แปลว่า "การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชอำนาจมาก"

    การสร้างพระพุทธรูปนี่เป็นพุทธบูชาเป็นพุทธานุสสติในกรรมฐาน ๔๐ กอง ท่านบอกว่ากำลังของพุทธานุสสติเป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพานได้ง่ายที่สุด ง่ายกว่ากองอื่นก็เห็นจะจริง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่นิพพานนี่ และท่านก็เป็นต้นตระกูลของพระนิพพาน ทีนี้เมื่อเราต้องการสร้างพระพุทธรูปให้สวยตามที่เราชอบเห็นแล้วก็ทำให้จิตใจสดชื่น จิตมันก็นึกถึงพระอยู่เสมอ ถ้าจิตนึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอยู่เสมอก็จัดเป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าใจเราเกาะพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ตายแล้วลงนรกไม่เป็น ฉะนั้นถ้าเราชอบพระแบบไหนปางไหน ก็ให้สร้างอย่างที่เราชอบจิตจะได้เกิดศรัทธา



    ส่วนอานิสงส์การสร้าง หิ้งพระ หรือแท่นพระนั้น ก็มีอานิสงส์เหมือนกับการสร้างพระพุทธรูป คือหิ้งพระ หรือแท่นพระพุทธรูปเขาบกพร่องอยู่ เราทำให้เต็ม อย่างที่นางวิสาขาหรือพระสิวลีได้เคยทำมาในอดีตชาติ อานิสงส์ไม่ใช่เล็กน้อยนะ อานิสงส์ใหญ่มาก จะเกื้อหนุนให้รวย วาสนาบารมีสูง การสร้างหิ้งพระ หรือแท่นพระ เพื่อหนุนพระพุทธรูป ซึ่งเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าให้สูงน่ะ จะทำให้ฐานะของเราดีขึ้น



    อานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป นำมาจากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑"​
     
  17. นิพพิทาญาณ

    นิพพิทาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +491
    รายชื่อผู้ร่วมบุญ วันที่ 9/2/2556
    1.คุณกิตติญา มาจันทึก ร่วมถวายผ้า 1 เมตร เป็นเงิน 1,150.-
    2.คุณกิตติศักดิ์ เจริญรัตนโกศล ร่วมถวายผ้า 1 เมตร เป็นเงิน 1,150.-
    3.คุณเพนา มีสันเทียะ ร่วมถวายผ้า เป็นเงิน 100.-
    4.คุณปรีชา มาจันทึก ร่วมถวายผ้า เป็นเงิน 100.-
    4.คุณสันติ มาจันทึก ร่วมถวายผ้า เป็นเงิน 100.-

    *** รวมเป็นเงิน 2,600 บาท ***
     
  18. นิพพิทาญาณ

    นิพพิทาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +491
    ขอเชิญทุกท่านร่วมบุญในครั้งนี้นะค่ะ
    แค่เข้ามาโมทนาคณะผู้จัดทำก็ดีใจมากแล้ว...เงินมากน้อยไม่สำคัญเท่ากำลังใจ ที่มีให้กันในการร่วมเชิดชูบูชาพระศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2013
  19. นิพพิทาญาณ

    นิพพิทาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +491
    ***สรุปยอดเงินเข้าทำบุญ ณ วันที่ 2-9 กุมภาพันธ์ 2556***

    มียอดถวายผ้าห่มพระธาตุทั้งสิ้น
    จำนวน 2.70 เมตร เป็นเงิน 3,100 บาท


    ** ยังขาดผ้าห่มพระธาตุอีก 47.30 เมตรๆ ละ 1,150 บาท ​
     
  20. นิพพิทาญาณ

    นิพพิทาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +491
    เชิญร่วมถวายผ้าห่มพระธาตุลำปางหลวง จ.ลำปาง
    หากท่านใดที่โอนเงิน เข้าบัญชีแล้ว กรุณาแจ้งชื่อและที่อยู่ทาง PM หรือ Email
    เพื่อทางคณะจะได้จัดส่ง หนังสือและพระ ให้เป็นที่ระลึกค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...