เฮ้อ เสียดายความสามารถของตัวเองจริงๆ อุตส่าห์ฝึกจนน่าจะเก่งที่สุดในโลกแล้วนะเนี่ย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย gratrypa, 13 มกราคม 2013.

  1. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505

    เอ..แบบนี้ผมไม่เคยลองแฮะ แต่ตอนอยู่สวนโมกข์ เคยรักษาลิงกับหมาหลายตัวด้วยนะ
    ในกระทู้นักรบแสง มีที่กล่าวถึงตอนรักษาลิงด้วย เหมือนมันรู้นะผมว่า มาดักรอเรา รวมแล้ว สี่ครั้งแน่ะ
    หมาก็มาจ้องหน้า แล้วหันหลังให้ ไข่บานเชียว ไม่รู้เป็นไร ใส่พลังให้สักครู่ มันก็มองหน้า แล้วเดินจากไป
    อีกตัวโดนกัดขา ก็มานอนตรงหน้า เวลาทำวัตร ยกขาให้ดู ให้เราใส่พลังให้ เดี๋ยวก็ไปนอนข้างขวา
    ข้างหลัง ข้างซ้าย ตกลงมันไปนอนรอบตัวเราเลย ที่กำลังนั่งทำวัตรอยู่ 555 คิดแล้วก็น่าตลกดี

    มาต่อเรื่องพลังนะ วิชาปราณยามที่ว่า ผมขี้เกียจค้นในเวบมาให้นะ ถ้าอยู่ที่บ้านจะถ่ายรูปจากหนังสือมาให้ดู
    แต่ตอนนี้อยู่ประจวบ มาฝึกปราณที่ปราณ (บังเอิญอีกแล้ว) คุณลองค้นในเนทดูนะ มีหลายแบบ
    ชอบอันไหนถ่ายรูปมาลงให้ดู ผมจะช่วยวิเคราะห์หรือชี้แนะให้ดีมั้ยครับ ดิ้นรนหน่อย ผมขี้เกียจทำให้
    แล้วฝึกตามนั้นแหละครับ ผมอ่านแล้วฝึก ฝึกได้แล้วก็ต้องลืมให้หมด หลังจากนั้นก็วิวัฒนาการต่อ เพิ่มเติม

    เท่าที่จำได้ก็ เขาหายใจเข้าจากจมูกรูขวาพลังร้อน (พระอาทิตย์) รูซ้ายพลังเย็น (พระจันทร์)
    แล้วนึกตามไปว่าพลังปราณนั้น มันวิ่งไปตามกระดูกสันหลัง ขวาบ้าง ซ้ายบ้าง ใช้นึกเอาว่ามีอะไรวิ่งไป
    แต่ถ้ามีพลังแล้ว ก็จะรู้สึกได้ ว่ามันวิ่งไปได้จริงๆ ทั้งสองแนวกระดูกสันหลัง ไปยันที่ก้นกบ
    หายใจออกก็ให้มันขึ้นมาตามแนวกระดูก มั้ง มาโผล่อีกทีก็ทะลุกลางศรีษะไปเล้ย (ไม่ยืนยันนะ)
    ว่าจำผิดรึเปล่า คุณต้องไปค้นของแท้มาลองดูเอาเอง หามาโพสท์นะ คนอื่นที่แอบอ่าน จะได้ฝึกด้วย

    ส่วนที่ว่าสลับข้างกันก็ เริ่มจากที่ก้นกบก่อนนะครับ ข้างขวามีพลังเส้นนึง ข้างซ้ายอีกเส้นนึง
    แล้วก็ตีวงโค้งเป็นพาราโบล่า มาเจ๊อะก้นที่จักรที่สอง แล้วสวนสลับข้างกัน ตีวงไปพบกันอีกที่จักรที่สาม
    สี่ ห้า หก และเจ็ด ไปจบกันที่กลางศรีษะ ประมาณนี้แหละ ไปลองถามอากู๋ดูก็แล้วกัน แล้วมาโพสท์ให้ดูด้วยนะ
    พวกแอบดู แต่ไม่ยอมเสนอหน้า จะได้ลองด้วย (พวกไม่ยอมลงทุึน) ผมคงสอนตามตำราไม่ได้
    เพราะตอนฝึกก็ชอบจำแต่เคล็ดวิชา แล้วเอามาทดลองดู แล้วชอบลองนอกตำราตลอดเลย

    อ้อ แล้วก่อนส่งเข้ากระทู้ ช่วยดูให้ดีด้วยครับ อย่าพิมพ์ผิดให้มาก อ่านยาก

    หมอมือเปล่า

    .
     
  2. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505

    ท่านนางฟ้าดำปี๋ล่ะก็ ชอบแซวอยู่เรื่อยเชียว น้องเขาเชื่อนะเออ สิบอกให้ หึหึหึ

    หมอมือเปล่า

    .
     
  3. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .

    มีข่าวดีมาบอก

    คนไข้ชื่อแจง 42 ปี ที่ว่าเป็นเนื้องอกในมดลูก วันนี้มารายงานผลแล้วครับ

    เมนส์เพิ่งมาเมื่อเช้า (ช้าไปสิบกว่าวัน) มีอาการปวดเพียงเล็กน้อย กินยาแก้ปวดก็หายได้
    ไม่เหมือนเมื่อก่อนรักษา จะปวดก่อนเมนส์มา สองสามวัน แล้วจะปวดมากเกือบตาย เขาบอกนะ
    ปวดจนต้องนอนพัก ทำอะไรไม่ได้ นอนดิ้นไปมาด้วยนะ ไม่ใช่นอนเฉยๆ ปวดมาตั้งแต่มีเมนส์ อายุ 14

    ปวดมาเกือบ 28 ปี ปีละ 12 ครั้ง รวมแล้วประมาณ 336 ครั้ง ครั้งละหลายๆ วัน ทรมานมากมายก่ายกอง
    โชคดีจริงๆ ที่ได้มาเจอหมอเทวดา (มีพระรูปนึงชอบเรียก แซวประจำเลย ทำเขาหายฮัดชิ่วทุกเช้าได้)
    แต่เราไม่เรียกตัวเองว่างั้นนะ เรียกว่าหมอมือเปล่าดีกว่า เท่ห์กว่าแยะ 555 กันหมากัดได้ด้วย หึหึหึ

    ดีใจจัง รีบบอกก่อน เดี๋ยวคนอื่นไม่รู้ จะคิดว่าเราไม่เจ๋ง 555 เนี่ยรักษาเขาอีกรอบนึง (ชื่อแจง )
    เดี๋ยวพรุ่งนี้รอดูซิว่าจะปวดอีกมั้ย แค่ไหน ไม่รู้จะฉี่เอาเซลล์เนื้องอกออกมาอีกรึเปล่า เหมือนครั้งก่อนที่รักษา
    เขาฉี่มาก และบ่อยผิดปกติ เดาเอาเองว่ามันคงไล่เซลล์เก่า ที่ผลงานไม่เข้าเป้าออกไปแล้ว 555
    เหมือนดังกลอนมนตรา ของนักรบแสง หน้า 21 กระทู้ที่ 416 ตัดมาให้อ่านนะ


    ....ยาทาน รึยาทา ตัวข้า มิเจือจาน
    เพียงป้าย ไปด้วยปราณ โรคอัน ตะธานไกล
    ใช้ใจ ประคองจิต นิมิตร สะกิดใจ
    บังคับ ลมปราณไว้ ด้วยใจ ทรงพลัง

    ....ถั่งโถม ให้ลมพุ่ง หมายมุ่ง ทะลวงใส่
    ซึบซับ ลงกับกาย มุ่งหมาย ให้ถึงเซลล์
    ซอกซอน รอนราญทั่ว เซลล์ชั่ว รั่วละลาย
    ข่มขับ ให้ลับกาย สูญหาย ในพริบตา

    ....เครื่องใน ที่ขัดข้อง ต่างร้อง ว่าขอบใจ
    ไล่เซลล์ ที่ป่วยไป เซลล์ใหม่ จะได้มา
    ผลงาน ไม่เข้าเป้า เซลล์เก่า เจ้าจงไป
    รอรับ กับเซลล์ใหม่ ไฉไล สดใสมา

    ....เซลล์ใหม่ สวยใสสด งามงด มิคดตา
    ออฟฟิส ในกายา ซู่ซ่า ขึ้นมาเชียว
    เจี๊ยวจ๊าว กันยกใหญ่ ชื่อไร เซลล์ใหม่จ๋า
    เดี๋ยวเดียว หัวหน้ามา บอกว่า เดี๋ยวป๋าเอง



    อืม..ปลื้มใจจังแฮะ เหมือนวันก่อนเลย คนไข้มาบอกผล ว่านั่งรถไปเพชร ไม่ปวดหลังเลย นั่งรถตั้งสองชั่วโมง
    ขาไปไม่ปวด ขากลับก็ไม่ปวด ซักผ้าก็ไม่ปวด
    แค่เนี้ย เราก็ดีใจมากแล้ว สงสัยวิญญานหมอเริ่มเข้าสิงจริงๆ ซะแล้ว 55555

    หมอมือเปล่า

    .
     
  4. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    รักษายังไงอะครับ ? อย่าบอกใช้นิ้วจิ้มทะลวง จุดที่เป็นเนื้องอก
    โอ้ยยคิดไปไกล 5555+
     
  5. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    อันนี้มันเป็นศาสตร์ที่เขาพัฒนา กันมาในจีนโบราณนะครับ ความคิดของชาวจีนในครั้งโบราณนั้นมีความเชื่อต่อพลังชีวิต หรือ Chi ถ้าใครก็ตามสามารถสะสมพลังได้มากพอ เขาก็จะกลับกลายเป็นคนพิเศษถึงระดับเซียน เพราะพลังชีวิตนั่นเองสามารถเปลี่ยนผู้คนจากคนธรรมดาให้กลายเป็นเซียนได้ นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้ในด้านการบำบัดโรค อะไรทำนองนี้ด้วยครับ

    ในอินเดียความเชื่ออันนี้ก็มี คือ ปรากฏอยู่ในทุกศาสนา เช่น ฮินดู พุทธ ไชนะเรียกว่าทฤษฎีกุณฑลินี โดยจะปรากฏในระบบฝึกโยคะ แบบหฐ และ ตันตระ


    กุณฑลินี เป็นขุมพลังที่กำหนดระดับชีวิตจิตใจที่ตำแหน่งในร่างกาย เรียกจักรา คือศูนย์หรือฐานพลังภายใน ซึ่งมนุษย์สามารถดึงพลังชีวิตขั้นตามศูนย์ต่าง ๆได้ด้วยวิธีปฏิบัติบางอย่าง โดยแนวคิดจะสัมพันธ์กับ ช่องทางหรือนาฑี นาฑีเป็นทางผ่านของปราณ โดยกุณฑลินีจะข้องเกี่ยวกับนาฑีทั้ง 3 อิฑา ปิงคลา สุษุมณา ซึ่งจะแล่นผ่านไปตามแนวกระดูกสันหลัง โดยสุษุมณาจะแล่นไปตรงๆๆ อิฑากับปิงคลาจะวน แล้วผ่านออกไปทางรูจมูก ซ้ายขวาตามลำดับ
    บางครั้งเราก็เรียก อิฑาในชื่อพลังจันทรา(หะ) ปิงคลาในชื่อ พลังสุริยัน(ฐะ) โดยทั้งสองเมื่อเคลื่อนวนไปตามแนวกระดูกสันหลัง จะไปพบกันที่จุดต่างๆๆในร่างกาย เรียกว่า จักรา ซึ่งก็ แล้วแต่แก็งส์ไหนจะบัญญัติศูนย์กี่ศูนย์ บ้างว่าหก บ้างว่าเจ็ด

    จักราแปลว่าศูนย์ ซึ่งเป็นพลังเคลื่อนอยู่ในรูปของวงแหวน ดังนั้นเขาถือกันว่าคนสามารถเคลื่อนพลังชีวิตขึ้นไป โดยการปฏิบัติโยคะวิธีเพื่อเผากุณฑลินี ซึ่งขัดขวางปราณไม่ให้ไหลขึ้นไป (เป็นชั่วขณะกับการที่อวิชชาหมดไป) เมื่อขึ้นไปแล้วก็จะบรรลุถึงศิริ หมายความว่าเมื่อเคลื่อนพลังชีวิตมาถึงจักรอันใดก็จะบรรลุถึงศิรินั้น คือได้บรรลุถึงภูมิที่บริบูรณ์ทางปัญญาและเข้าถึงสุนทรียภาพที่เป็นทิพย์
    ตรงกลางจักรา จะมีพินทุ หรือ หยดซึ่งมีปลายยอดเป็นสีขาวฐานสีแดง เป็นฐานของสุขภาพทั้งกายและใจ ส่วนที่กลางกระหม่อนจะสีขาว ลิ้นปี่จะมีสีแดง โดยเกิดจากหยดพื้นฐานตรงศูนย์กลางของหัวใจที่ปลายยอดเป็นสีขาวฐานสีแดง จะคงอยู่จนกว่าคนๆๆหนึ่งจะตาย เป็นส่วนขอองลมปราณที่ค้ำจุดพลังชีวิต โดยเมื่อตายปราณทั้งหมดจะสลายตัวแล้วเข้าไปในหยดดังกล่าวนี้

    ในทิเบต ระบบฝึกจะพูดถึง หก ขั้นตอน คือทุมโม กิวลู มิลัม โอเซล โพวะ บาร์โดร์ โดยบางระบบอาจจะต่างออกไปในลำดับ โดยในที่นี้ของพูดถึงทุมโม ก่อน ทุมโม แปลว่า สตรีผู้ดุดัน หรือ สันสกฤตใช้คำว่า จันทาลี จันทาลีคือไฟภายใน หรือ พลัง ซึ่งเกี่ยงเนื่องกับผลการแปรเปลี่ยนทางร่างกายและจิตใจ ในส่วนร่ายกายก็เช่นโยคีอาจจะสามารถนอนตัวเปล่าท่ามกลางฤดูหนาวติดลบที่ปกติมนุษย์จะทนไม่ได้โดยไม่รู้สีกหนาวหรือเป็นอะไร แต่ประเด็นอยู่ที่การเผาความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นสงวนตัวตนเอาไว้

    กล่าวโดยสรุปก็คือ เป็นขบวนการธาตุในภายใน คือเมื่อสามารถเปลี่ยนธาตุในภายในโดยเคลื่อนย้ายพลังชีวิตจากฐานครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2013
  6. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505

    ถ้าดูจากภายนอก ก็เพียงแค่ใช้มือขวาวางห่างจากท้องน้อย 3-4 นิ้ว วนไปมา มียกให้สูงขึ้น หรือกดลงเล็กน้อย
    เลื่อนขึ้นบน ลงล่าง หรือไปซ้ายขวาบ้าง หลับตาบ้าง ลืมตาบ้าง เพ่งที่มือซ้าย หรือที่ร่างกาย ตรงใต้ฝ่ามือ

    แต่ขั้นตอนภายในก็คือ ตั้งสมาธิก่อน หลับตาชั่วครู่ ปัดทุกอย่างออกจากหัว กำหนดลมหายใจ ด้วยอานาปา
    คือสติมีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ในขั้นตอนแรกช่วงนี้ อายตนะทั้งหมดจะถูกปิด (เขียนเล่นเท่ห์ๆ )
    นิวรณ์ทั้งหลายกระเด็นหายไปในพริบตา จิตตามลมหายใจลงไปในถังเก็บพลัง ที่อยู่ใต้สะดือซักสองนิ้ว
    หายใจเข้าออก เพื่อกวนถังพลังงานซักสองสามรอบ พอได้ที่แล้วก็จะเปิดระบบในฝ่ามือก่อน
    โดยใช้ปลายนิ้วมือขวา จี้ใส่ฝ่ามือซ้าย กระดกนิ้วไปมา จี้ใส่แถวกลางฝ่ามือ รวมทั้งฝ่ามือ วนเป็นวงกลมด้วย
    แล้วใช้ปลายนิ้วขวาจี้ที่ปลายนิ้วซ้ายด้วย เพื่อเปิดระบบให้ทำงานได้เต็มที่ ระยะห่างสองสามนิ้ว
    ระหว่างกันและกัน แล้วทำสลับกับอีกมือหนึ่งด้วย ของเราต้องเปิดทั้งสองมือครับ

    โดยมือขวาจะใช้ส่งพลังเข้าไปในกายของคนไข้ ตรงบริเวณที่เจ็บป่วยตรงๆ ส่วนมือซ้าย
    จะใช้เป็นเรด้าห์ในฝ่ามือ คือจะคอยตรวจจับออร่า หรือพลังชีวิตที่แผ่ออกมาจากร่างกาย ทุกๆ ส่วน
    โดยปกติก็จะแผ่ออกมาซัก สามสี่นิ้ว มือขวาโบกตรวจจับ มือซ้ายรายงานผล ตรงไหนผิดปกติก็จะรู้ได้
    แล้วมือซ้ายยังใช้ดูดพลังงานเสริมด้วยนะ เมื่อก่อนนี้ใช้ดูดด้วยมือซ้าย ถ่ายออกมือขวา เข้าออกตามลมหายใจ
    แต่เดี๋ยวนี้เก่งแล้ว ส่งพลังออกจากภายในได้ไม่ขาดสาย บางครั้งถึงจะใช้มือซ้ายดูดพลังเข้ามาเพิ่มเติมบ้าง

    ถ้าดูในบันทึกการรักษา จะเห็นว่าคนไข้จะต้องคอยบอกความรู้สึกในร่างกาย เป็นระยะ ว่ารู้สึกไงบ้างแล้ว
    เพราะพลังงานที่ส่งเข้าไปแล้ว จะเข้าไปเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับปราณภายในกายของลูกค้า (เรียกงี้ดีกว่า)
    แล้วร่างกายเขาจะจัดสรรปราณได้เอง ส่งไปตรงโน้นตรงนี้ แล้วแต่ระบบของเขาจะตัดสินใจเอง ไม่ต้องผ่านสภา

    ความรู้สึกของคนไข้ก็จะต่างกันออกไป ตามบันทึกที่มีให้ชมประกอบความเข้าใจให้ลึกล้ำ (กะลังฟังคนกับควาย)
    ตัวอย่างรายนี้ เขาก็จะร้อนๆ ตรงใต้ท้องน้อย ซึ่งมือซ้ายก็ตรวจเจอแหละครับ แต่ถามลูกค้าไปงั้นแหละ
    เขาจะได้มีสมาธิตามไปด้วย เหมือนสะกดจิตไปในตัว ลูกค้าก็จะไม่ค่อยวอกแวก ต้องคอยตามจับความรู้สึก
    แล้วรายงานเราเป็นระยะ ตลอดเวลาที่ทำการอยู่ สำหรับรายนี้ พลังงานไม่วิ่งไปที่ไหนเลย อยู่แต่ใต้ท้องน้อย
    ซึ่งก็เดาได้เลยว่า มันมุ่งตรงอยู่ที่เนื้องอกแน่ๆ ร้อนๆ เจ็บๆ เราจ่ายพลังเข้าไปจนกระทั่งลูกค้าเริ่มไม่รับรู้
    ถึงอะไรอีก ก็ถือว่าพอแล้ว อาจนานถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้ แต่รายนี้ก็ประมาณ สิบห้านาทีล่ะมั้ง มันถึงเต็ม

    ก็ถือว่าเสร็จไปหนึ่งวัน ถ้าอาการมาก พรุ่งนี้มาใหม่ รายนี้มารักษาแค่สองวันเอง ก็รู้สึกว่าน่าจะพอก่อน
    ก็เลยบอกเขาว่าไม่ต้องมาแล้ว รอให้ถึงฤดูวางไข่ ว่ามันจะปวดมากแค่ไหน แล้วค่อยรักษาอีกตอนนั้น
    ก็ทำให้เขาวางไข่ช้าลงไปสิบกว่าวันแน่ะ ที่แรกนึกว่าทำหายไปซะแล้ว ลุ้นแทบแย่ พอมาแล้วเขาก็มารายงานนี่แหละ

    หมอมือเปล่า
    .
     
  7. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505


    เอ..ผมไม่เคยอ่านเจอที่ไหนเลยแฮะ ว่าสะสมพลังได้มากพอแล้วจะกลายเป็นเซียนได้ด้วย
    ถ้าในความหมายนี้นี่ ผมมิกลายเป็นเซียนไปด้วยหรือครับ สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน ชักจะไม่เหมือนคนเข้าไปทุกวันแล้วครับ หึหึหึ

    ผมว่ามันไม่ใช่แค่การดึงออกมานะครับ มันต้องใส่เข้าไปก่อน เปิดเส้นทางเข้าให้ได้ แล้วอัดพลังเข้าไป แล้วถึงจะดึงมันออกมาใช้งานได้ ผมว่างั้นนะ
    มีเรื่องเกี่ยวกับพลังกุณฑาลินีมาเล่าให้ฟัง ประมาณสิบเจ็ดปีที่แล้วโน่น ตอนที่กะลังฝึกโยคะหนักๆ อยู่ ในหนังสือเขาเตือนว่าอย่าไปยุ่งกับจักระ 1 แต่เราไม่เชื่อ ลองปลุกมันดู เพ่งมันเข้าไป หายใจเข้าไปให้ถึงจักระ 1 เวลาหายใจออกก็ดึงมันออกมา ทำอยู่หลายวัน

    จนวันนึงมันออกมาจริงๆ รู้สึกร้อนรุ่ม กระวนกระวาย อึดอัด พลุ่งพล่าน ในหัวแวบเลยว่าอาการเหมือนคนไฟธาตุแตก คิดเอาเองนะ ว่าอาการคงเป็นอย่างนี้แหละ เกือบบ้าไปเลยครับวันนั้น ต้องรีบหันสมาธิไปทางอื่น ก็ไม่หาย เดินไปมา ลุกนั่งทุรนทุรายอยู่พักนึง เห็นว่าไม่เข้าทีแล้ว พลังมันไม่หยุดพลุ่งพล่านซะที แย่แน่เลยเรา หันซ้ายหันขวา เห็นหนังสือที่โชว์เส้นสายความงามตามธรรมชาติ ที่ไร้สิ่งปิดบัง ก็เลยลองหยิบขึ้นมาดู สมาธิแตกซ่านเลยครับท่าน ได้ผลแฮะ ใช้เทคนิดกระชากใจขั้นสูง ช่วยดึงพลังกลับคืนที่เดิมได้ ฟลุคจริงๆ เกือบเป็นบ้าไปแล้วเชียว

    แต่ยังไม่เข็ดนะครับ ยังทดลองอีกสองสามครั้ง ทุกครั้งก็เกือบบ้าไปทุกทีเลย โชคดีที่มีเทคนิคขั้นสูงมาช่วยไว้ได้ อันตรายมากจริงๆ ครับ ขอเตือนใครอย่าซี้ซั้วลองนะครับ บ้าเอาได้ง่ายๆ แต่เราก็ยังบ้า ลองดูตั้งหลายครั้ง มาย้อนคิดตอนหลัง แล้วก็หวาดเสียว เล่นเอาชีวิตมาล้อเล่นได้ บ้าเข้าขั้นจริงๆ

    เรื่องจักระก็มีเกร็ดเล็กๆ มาเล่าให้ฟังนะ ตอนฝึกฝนอยู่ที่สวนโมกข์ สมัยโน้น ปี 39-40 ได้มั้ง เวลาว่างจากการสิกขาธรรมะแล้ว ก็ได้ฝึกเรื่องลมปราณและจักระไปด้วย เคยฝึกดูดความร้อนจากบ่อน้ำร้อนที่อยู่ใกล้ทางเข้าสวนโมกข์นานาชาติ ดูดจนร้อนไปหลายชั่วโมงเลยล่ะ จนวันนึงมีเลือดซึมออกมาจากหน้าอก และกลางหลัง ซึมออกมาเป็นจุดๆ เหมือนเข็มทิ่มแล้วเลือดไหลออกมา มีคนบอกว่ามันออกที่กลางหลัง หลายจุดเชียวล่ะ ก็ไม่ได้ตกใจอะไรนะ แต่ก็สงสัยว่าคงอัดพลังเข้ามากไปรึเปล่า จนมันล้นออกมาข้างนอก หรือว่าขับพิษออกมา ก็วิเคราะห์ได้แค่สองอย่าง ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก มันไหลได้มันก็หยุดเองได้ ไหลซึมอยู่หลายวันเหมือนกันนะ กว่าจะหายได้

    ที่จักรสะดือก็มี ครั้งนึงอัดพลังเข้าไปมากๆ มากจนจะขาดใจ อึดอัดอย่างแรง หายใจเข้าไปๆ ๆ จับเวลาได้เกือบนาทีเลยมั้ง หายใจเข้าไปเรื่อยๆ แล้วมันก็เหมือนถึงจุดระเบิด เกิดอาการปวดอึอย่างแรง รีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ออกมาชุดใหญ่เลยวันนั้น ท้องโล่งที่สุดในชีวิต คงเกิดอะไรขึ้นข้างในแน่ๆ เคยเป็นแค่ครั้งเดียวเอง ลองอีกหลายครั้งแต่ไม่เกิดอาการแบบนี้อีก เล่าสู่กันฟังนะ ข้อมูลจากการลุยฝึกนอกตำรา

    จักระนี่กว่าจะหาเจอได้ไม่ใช่ง่ายๆ นะครับ ตำราบอกไว้ว่ามันอยู่ตรงไหนบ้าง แต่กว่าจะจับความรู้สึกได้จริงๆ ว่ามันอยู่ตรงไหนนี่ ผมใช้เวลาเป็นเดือนเชียวล่ะครับ หายใจเข้าไปตรงนั้น หายใจออกจากตรงนั้น ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าจะเริ่มรู้สึกถึงจักระได้ด้วยตัวเอง จากภายใน ด้วยลมหายใจหรือลมปราณนั่นแหละครับ หาเจอแล้วยังได้ลองใช้เทคนิคแบบเรด้าห์ มาช่วยกำหนดระยะด้วยนะเออ

    เคยเห็นเรด้าห์นะครับ แบบที่มันหมุนๆ แล้วถ้าเจอเครื่องบิน มันจะกระพริบแวบๆ เราเอามาประยุกต์ใช้งานกับการฝึกด้วย คือกำหนดจักรเจอแล้ว ก็เอาตรงนั้นเป็นศูนย์กลาง แล้วกำหนดให้จิตหรือปราณ หมุนไปรอบๆ แบบเรด้าห์ ทำไปทำมา ก็กำหนดขอบเขตได้ ว่ามันกว้างซักแค่ไหน สนุกดี ลองดูนะ (บอกท่านอื่นๆ นะครับ ไม่ได้บอกท่านมหาวัด ท่านคงพ้นระยะการฝึกไปแล้วมั้ง นะ)

    พูดถึงทูโม ในหนังสือเล่มที่ผมอ่าน เขาเขียนว่าทูโมนะ ผมเคยลองฝึกอยู่ด้วย เหมือนมันจะร้อนๆ ได้เหมือนกันนะ แต่ก็ไม่แน่ใจ เขาเขียนไว้นิดเดียว ไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก คงฝึกไม่สำเร็จมั้ง ส่วนอีกห้าอันที่เหลือนี่ ผมไม่เคยอ่านเจอเลย หรืออาจจะเจอในชื่ออื่นก็ไม่รู้นะ ท่านนี่รู้มากจริงแฮะ (คำชมนะครับ)

    เลียนแบบท่านมั่งดีกว่า
    กล่าวโดยสรุป ของผมนะ ในตำราของเราบอกว่า เปลี่ยนสารอาหารเป็น จิง เปลี่ยนจิงเป็นชี่ เปลี่ยนชี่เป็นเสิน เปลี่ยนเสินเป็นจิตวิญญาน ใช่อี้จิงรึเปล่าก็จำไม่ได้แล้ว หรือในเต๋า หรือตำราไท้เก๊ก ฯ ในขั้นตอนไม่ใช่แค่เคลื่อนย้าย แต่ต้องมีการเสริมกำลังเข้าไป สะสมให้มากขึ้นๆ จึงจะก้าวหน้าขึ้นมาได้แต่ละขั้นตอน

    ถ้าเป็นของจีน นี่เขาจะมีเส้นทางโคจรพลังต่างจากของโยคะ ซึ่งโยคะมีแค่สามเส้น ของจีนนี่มีเพียบเลย มีเส้นทางประจำของเครื่องในทุกชิ้นด้วยแหละ ทางเดินขึ้นหรือลง เข้าหรือออก เป็นหยินหรือหยาง โอ้ย ละเอียดยิบยับ ผมเคยลองไม่กี่เส้นหรอกครับ แต่ยืนยันได้ว่ามีจริงตามตำรา กำลังภายในก็สามารถเคลื่อนไหวไปได้ตามเส้นทางที่เขาบอกไว้ ต้องยอมรับเลยว่าของจีน เขาเยี่ยมยอดมากเรื่องนี้

    ตอนฝึกไท้เก๊กก็สามารถรู้สึกได้ถึงพลังงานที่เคลื่อนไหว ไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกายจริงๆ เคยลองเดินพลังแล้วต่อยไอ้ลูกห้อยๆ ที่อยู่ในห้างนะครับ ที่หยอดห้าบาท จะมีลูกหุ้มนวมลงมาให้ต่อย ผมต่อยด้วยปราณ เดินกำลังจากข้อเท้าขึ้นมาเลย ต่อยปุ้ง สะเทือนเลื่อนลั่น สนั่นหวั่นไหว ไอ้ลูกที่ว่านั่นกระเด็นขึ้นไป แล้วห้อยกลับลงมาที่เดิม ให้ต่อยใหม่ มันแรงมาก ผมจำขั้นตอนไว้แม่นเชียวล่ะ กะว่าวันไหนทะเลาะกะใครนะ กูจะต่อยมันให้กระเด็นข้ามถนนไปซักยี่สิบเมตรเชียว หมัดเดียวตายห่าแน่ ซี่โครงหัก ปอดระเบิด เลือดตกในและกระเด็นออกมาข้างนอก ไปตกเลอะเทอะถึงอีกฝั่งของถนนทีเดียวเชียว เอ้าเฮ้ย โม้เพลินเชียว เฮ้อ ไม่เคยเพี๊ยนอย่างนี้นานล่ะ ช่างหัวมัน บอกเล่าไว้แล้วกัน

    แสงสว่างตราค้างคาว / ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  8. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    อันนี้จริงๆๆ ผมก็ไม่เคยฝึกจริงๆๆจังๆๆ เหมือนคุณกระต่ายป่่าหรอก เรียกว่า รู้จำมาเสียมากกว่ารู้จริงรู้แจ้ง แต่ครูที่สอนผมนะ ท่านก็ศึกษาเรื่องพวกนี้อยู่เรียกว่าสอนคนอื่นได้ ท่านศึกษาตันตระรวมไปถึงโยคะวิธีแบบต่างๆๆของฮินดู และก็ศาสนาตะวันออกอื่นๆๆ เรื่องนี้รู้สึกว่าท่านจะไปฝึกกับพวกแก็งส์โยคีหิมาลัย
    แต่จริงๆๆท่านเป็น โรชิ สายเซ็นนะ
    บางอย่างท่านพยายามจะสอนผม แต่ผมก็ไม่เคยสนใจจะเรียนจะสนใจจนท่านกลับประเทศไปแล้ว จะมาอีกทีก็หลายๆๆเดือน
    ส่วนเรื่องสะสมพลังได้มากพอแล้วจะกลายเป็นเซียนได้ด้วย นี่ผมคุยมากับพวกที่ศึกษาเต๋าที่ใต้หวันนะ เรียกทารกสีทอง คืนวัย อะไรทำนองนี้แหละไม่ได้สนใจที่จะฟังตอนนั้นผมยังไปเชื่อการแพทย์แบบฝรั่งที่แยกส่วนอยู่มาก
    พูดไปแล้วเดี๋ยวว่าไม่รักษาน้ำใจว่าไม่ศรัทธาตอนนั้นนะ เดี๋ยวนี้เริ่มสนใจ ว่าภูมิปัญญาโบราณนะเขาว่าไงบ้าง เพราะเริ่มสนใจการมองแบบเป็นระบบในทุกๆๆเรื่องแม้แต่ร่างกายของคนโบราณ

    เรื่องอัดพลังของคุณมันคล้ายกับเรื่องปราณายามะมากกว่านะ ปราณายามะมันจะต่างออกไป ตรงที่มันไม่ใช่แค่การหายใจลึกๆๆ หรือ หายใจปกติคงรู้อยู่แล้วผมก็พูดไปงั้นแหละ มันเป็นการดูดกลืนพลังของจักรวาลเข้าไปหลอมรวมธาตุที่ตรงข้ามสองธาตุคือไฟและน้ำ โดยอาศัยลมในการเชื่อมต่อเพื่อหลอมไฟและน้ำเป็นกระแสของปราณที่กระจายไปทั่วร่าง เพื่อปลุกเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายให้คืนชีพ ส่วนธาตุดินคือฐานที่กำเนิดพลัง ส่วนธาตุที่ว่างเป็นทางในการกระจายพลัง

    ส่วนโยคะแบบอินเดียหรือแบบทิเบต ระบบที่พูดถึงกุณฑลินี(ในลัทธิโยคะมีสามระบบ คือหฐะ ตันตระ กุณฑลินี แล้วแต่จะเน้นที่ตรงไหน) จะเน้นที่การอุดตันของที่ว่างเหล่านี้นั้นแหละ โดยมันอุดตัน เพราะกุณฑลินี(อวิชชา) ตัวอย่างคือ ตันตระโยคะจุดใหญ่ใจความก็คือการควบคุมพลังภายในที่ส่วนใหญ่กระจายกันอยู่ เพื่อให้มันมาลดสิ่งกีดขวางช่องทางเดินของปราณ (เผากุณฑลินีที่ขวางปราณไม่ให้ไหลผ่านไปตามสุษุมณา) ซึ่งเป็นการแปลงอวิชชาในรูปใหม่ในรูปสิ่งที่กีดขวางทางเดินของปราณที่ขวางไม่ให้เราได้เห็นจิตแท้ จริงๆๆมันจะซับซ้อนกว่านี้มาก แต่หลักๆๆมันอยู่ตรงนี้ ผมเข้าใจว่าอย่างงี้ ที่ว่าสะสมพลังได้มากพอแล้วกลายมาเป็นเซียนนี่ผมเข้าใจว่าเป็นคำเปรียบเปรยของการแปรเปลี่ยนที่ภายใน อย่างในโยคะเขาจะพูดถึงกษัตริย์ภายในจักรพรรดิแห่งโลกแห่งสรรพสิ่ง ในพุทธตันตระก็คงเป็นพระพุทธเจ้าไปนั้นแหละ

    ส่วนที่คุณพูดมานะ ไม่เพี้ยนหรอก คุณ ที่คุณพูดมานะผมจับประเด็นได้หลายอย่างเลย ซึ่งผมเข้าใจว่าคุณกำลังหมายถึงอะไร?
    เรื่องพวกนี้ผมเคยได้ยินมาบ้างแล้ว

    แล้วคุณฝึกด้วยตัวคุณเอง นี่พวกนี้ผมว่าอันตรายนะ มันจะเสียจริตได้ง่ายถ้าดึงตัวเองกลับไม่ทัน ไม่ก็อาจจะอัมพาตได้ ถ้ามีครูมีอะไรที่รู้จริงๆๆ ท่านก็น่าจะช่วยคุณได้หลายๆๆอย่าง อย่างผมเคยฝึกๆๆ(ระบบอื่นนะ)ไปแล้วรู้สึกว่าตัวเองบินได้
    มันลอยๆๆ พูดไม่ถูก แต่ผมเข้าใจว่าที่บ้างคนบอกว่าตัวเองฝึกแล้วลอยได้เหาะได้นี่ความรู้สึกนี้แหละ ซึ่งจริงๆๆมันไม่ลอยหรอกแต่เราไปซะแล้วแล้ววิ่งไปทั่ว ครูผมมาเห็นถีบผม ทีเดียว แล้วท่านก็มานั่งบีบมือ ผมหลุดออกมาจากตรงนั้นเลย
    ท่านบอกคุณอย่าทำอีก แบบนี้ไม่มีประโยชน์
    อีกอย่างคือตอนมาฝึกแรกๆๆ ผมเคยจิตหมุนติ้วแล้วหายไปกับลม แล้วไปรวมที่หัวใจ แล้วตัวแข็ง ขยับไม่ได้ เป็นชั่วโมง แล้วเป็นงี้อีกสองสามครั้งเห็นนิมิตด้วย ซึ่งจริงๆๆครูผมบอกนี่การสะกดจิตตัวเอง ครูส่วนใหญ่จะบอกเธอว่าเป็นการเข้าสมาบัติซึ่งไม่ใช่ เป็นการเอาสมาธิมาสะกดจิตตัวเอง ถ้าไม่ระวังคือสะกดลงไปอีกเธอก็อาจจะจิตดับไปเลย เหมือนตะเกียงแสงหรี่นั้นแหละ อย่าทำอีก หลังจากนั้นครูผมตามคุมเข้มเลยล่ะทั้งๆที่ปกติท่านจะไม่ได้สนใจ จนน่ารำคราญตอนนั้นผมไม่รู้ความหวังดีท่าน ท่านพูดไทยก็ไม่ชัด แต่ตานี่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ มองทีทะลุหมด

    ส่วนเรื่องแบบของจีนนี่ ผมกำลังสอนใจจะค้นอยู่ ไม่รู้ฟลุคไหม? พอดีได้ตำรามาหลายเล่มมีคนส่งมาให้ เจอคุณพอดีคงต้องมาถามคุณแล้วล่ะ

    ส่วนเรื่องทุมโม จริงๆๆเขาจะเขียนว่าทูโม หรือทุมโมนี่ ผมว่าแล้วแต่คนแปลนะ ที่บ้านตีโลปะ เขาใช้คำว่า ทุมโม จริงๆๆมันก็ไปแปลทับศัพท์มาอีกที
    ส่วนโยคะของนาโรปะ ขั้นอื่นๆๆคุณไม่เคยได้ยินนะไม่แปลกหรอก เพราะพวกตันตระนะเขาจะไม่สอนไม่พูดให้คนภายนอกได้ยิน จริงๆๆระบบโยคะของนิคุมา จะเรียงลำดับต่างออกอีกนิดหนึ่ง

    จริงๆๆแม้แต่ผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ ท่านก็ยังยอมรับว่าระบบฝึกแบบนี้ส่วนให้ค่อนข้างคลุมครือสับสน มีคำจำกัดความรวมถึงวิธีฝึกไม่แน่นอนขัดกันเอง อย่างหนังสือหลายๆๆเล่มจะชี้ว่า ตัวที่ขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลังตรงๆๆจากสุษุมณา คือกุณฑลินี แต่จริงๆๆไม่ใช่ต้องเป็นปราณ อันนี้ผมว่าตาม โยคะ ยาชญวัลกยะ นะ

    ผมเห็นว่าคุณบอกคุณฝึกตามตำรา อันนี้ผมเดาว่าไม่น่าใช่ตำราภาษาไทยเพราะไม่มีใครมีใครคิดที่จะแปลออกมา ส่วนใหญ่จะเก็บความมาเขียนแบบลวกๆๆไปงั้น แต่แบบจีนนี้รู้สึกจะมีไม่กี่เล่มมั้ง ที่ยังมีพิมพ์ขายอยู่รู้สึกจะพิมพ์ที่สำนักพิมพ์ศยาม ส่วนเล่มอื่นๆๆหายากแล้วต้องหาตามดงร้านหนังสือเก่า

    ดั้งนั้นผมจึงสนใจคุณนะ ว่าคุณนะไปรู้ไปศึกษาเรื่องพวกนี้มาจากไหน และ ผมว่าคุณอ่านแตกหนังสือท่านพุทธทาสหลายเล่มนะ ถึงคุณจะบอกว่าลืมก็เถอะซึ่งก็ถูกแล้วไม่งั้นก็ไม่ต้องไปต่อกันพอดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2013
  9. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505

    ตอบกระทู้เฮ้อ วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 17:18:16

    ผมฝึกทั้งหมดด้วยตัวเอง ด้วยหนังสือที่หาได้ตามร้านหนังสือใหญ่ๆ เช่น ซีเอ็ด ดวงกมล ฯ ในห้างมาบุญครอง หรือแถวๆ สยาม สมัยนั้น น่าจะช่วงหลังปี 31 ล่ะมั้ง หลังปลดทหาร เริ่มทำงาน ก็เข้าร้านหนังสือเป็นประจำ ภาษาไทยทั้งหมดครับ อ่านภาษาอื่นไม่ค่อยออก ทั้งเรื่องโยคะ ไท้เก๊ก ชี่กง ลมปราณ หรือกำลังภายใน ไปยันพวก คัมภีร์อี้จิง เต๋า เซ็น ฯ

    มีเล่มนึงชื่อว่า "ฝึกสมาธิแบบจีน (ไทเก๊ก) / ต้าหลิว, เขียน ; อัญญเวทย์, แปล" อันนี้เพิ่งถามอากู๋มาเมื่อกี้เอง จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว ค้นด้วยคีย์ว่า อัญญเวทย์ ซึ่งเป็นชื่อคนแปล อันนี้จำได้แม่นเชียว ค้นได้จากเวบ http://libauto.tsu.ac.th/ulib/dublin.php?ID=13399139775

    เล่มนี้เป็นอาวุธหลักของผมเลยครับ ได้หลายอย่างจากเล่มนี้ มีหลายเรื่องที่ไม่เคยอ่านพบเจอได้จากที่ไหนอีกเลย แจ๋วมาก เช่น เรื่องการหมุนเวียนของพลังแห่งสวรรค์ขั้นต่ำ และขั้นสูง , เรื่องการทำเตาไฟในตัว หลอมรวมน้ำและไฟเข้าด้วยกัน ก็ได้หลักการมาจากเล่มนี้ และอีกหลายอย่าง เสียดายหนังสือไม่ได้อยู่ใกล้ๆ จะให้รายละเอียดดีๆ ได้อีกแยะเชียวครับ

    (555 พอนึกอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม ก็กลับไปที่อากู๋ ไปที่รายการที่เจออันต่อๆ ไป ก็ได้มา ทันใจดีจริง ระบบออโต้เนวิเกชั่น ที่เหล่าเทพ อัพเลเวลให้ผม เจ๋งจริงๆ แต๊งค์หลายเด้อ ท่านเทพ ไม่รู้ท่านไหน )

    นี่เป็นสิ่งที่เรียกมาได้ครับ รายละเอียดเพิ่มเติม จากเวบ ห้องสมุดกรมสุขภาพจิต ����硡Ѻ�

    ประวัติการออกกำลังกายและการทำสมาธิในจีน. - - ความสำคัญของไท่จี๋ถู. - - หลักฐานของสรีรศาสตร์จีน. - - การหายใจแห่งเต๋า. - - การถดถอยและเพิ่มทวีของ Ch\'ien และ K\'un. - - วิธียืนทำสมาธิ. - - วิธีนั่งสมาธิ. - - จุดสมาธิทั้ง 5. - - ฝึกสมาธิโดยวิธีหายใจเพื่อสุขภาพ

    เดี๋ยวต่อนะ ขอส่งก่อน

    หมอมือเปล่า

    .
     
  10. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    ตลกมากเลย มันเป็นการ "บังเอิญครั้งที่ล้าน" อีกครั้งนึง ในจำนวนนับไม่ถ้วน

    หลังจากโพสท์แล้ว ก็กลับไปที่หน้ายูทูบ ที่เปิดเพลงฟังไปด้วยระหว่างท่องเนท เพลงก่อนนี้ ที่จบไปคือเพลง หมากเกมนี้ ของวงอินคา หมากเกมนี้ - อินคา (Live).mp4 - YouTube

    ตอนแรกที่ฟังก็ไม่ได้คิดอะไรนะ แต่พอโพสท์เสร็จ กลับเข้ายูทูบจะหาฟังเพลงต่อไป ในนั้นมีเพลง "รอรับได้เลย" ของติ๊ก ซีโร่ด้วย ซึ่งเราไม่เคยเปิดฟังเลยนะ ของติ๊ก ซีโร่ ไม่รู้คิดอะไร กดฟัง แ่ล้วโดนเลยแฮะ เหมือนเป็นการสื่อสารขั้นเทพ จาำกเทพตัวจริงเลย 555

    "รอรับได้เลย ไม่เคยบิดพริ้ว" ฟังเนื้อเพลงไป ก็อมยิ้มไป ชื่นใจจริงจริ๊ง
    เนี่ย!! มันเป็นแบบเนี้ยตลอดเลย ความช่วยเหลือหรือการติดต่อ สื่อสาร จะมาในแบบนี้ตลอดเลยครับ บ้าก็บ้าวะ เขียนออกไปเหอะน่า อย่าสนใจอะไรมาก

    พอปิ๊งกับ "รอรับได้เลย" ก็ปิ๊งย้อนกลับไปที่เพลงก่อนนี้ คือ "หมากเกมนี้" เพลงที่ธรรมดา ก็พลันไม่ธรรมดาขึ้นมาทันที อุ่นใจไม๊เนี่ย หรือคิดไปเอง ท่านผู้อ่านก็คิดเอาละกัน แต่ฉันเจอแบบนี้เป็นเรื่องปกติแล้ว 555

    กระต่ายป่า ข้างวัด

    .
     
  11. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    ส่วนเรื่องสะสมพลังได้มากพอแล้วจะกลายเป็นเซียนได้ด้วย นี่ผมคุยมากับพวกที่ศึกษาเต๋าที่ใต้หวันนะ เรียกทารกสีทอง คืนวัย อะไรทำนองนี้แหละไม่ได้สนใจที่จะฟังตอนนั้นผมยังไปเชื่อการแพทย์แบบฝรั่งที่แยกส่วนอยู่มาก
    พูดไปแล้วเดี๋ยวว่าไม่รักษาน้ำใจว่าไม่ศรัทธาตอนนั้นนะ เดี๋ยวนี้เริ่มสนใจ ว่าภูมิปัญญาโบราณนะเขาว่าไงบ้าง เพราะเริ่มสนใจการมองแบบเป็นระบบในทุกๆๆเรื่องแม้แต่ร่างกายของคนโบราณ



    แล้วโรชิ สายเซ็นนี่อะไรครับ รู้จักแต่โรนิน พวกนินจาไร้สังกัด
    ถ้าเรื่องเต๋า ฝึกแล้วย้อนอายุกลับไปได้เหมือนพวกยาอายุวัฒนะ หรือไปไกลถึงกับมีชีวิตอมตะนี่ เคยอ่านเจอหลายที่เหมือนกัน ก็น่าเชื่อนะครับ และเป็นไปได้ด้วย ในความคิดของผมนะ แค่หายใจให้เก่งๆ ก็ยืดอายุไปได้แยะแล้ว ไม่เจ็บไม่ไข้ ไม่ป่วยง่ายๆ ยี่สิบกว่าปีมานี้ ผมแทบไม่เคยกินยาเลย สบายดีตลอด ยกเว้นไข้หวัดใหญ่โจมตีตอนกินเหล้าหนักๆ แล้วร่างกายอ่อนไปหน่อย เลยต้องซื้อยาชุดกินซะครั้งนึง
    กินอาหารที่ทำให้ท้องเสีย ก็แค่เพลียๆ ถ่ายแค่สามครั้ง ยังเดินไปมาได้ ไม่หนักหนาอะไร 555 แจ๋วมะ แค่หายใจก็เจ๋งได้มากแล้ว คนอื่นๆ ที่ไม่รู้ ไม่เคยลองฝึก ก็ต้องขอแสดงความเสียดายแทนด้วยเด้อ แต่ยังทันนะ รีบฝึกเข้า ฝึกก่อนได้ก่อนนะคร้าบ 555

    เรื่องอัดพลังนี่ คงต้องรอพรุ่งนี้แล้ว มืดแล้ว ต้องกลับวัดก่อน เดี๋ยวมืดจะขับกลับลำบาก มาอยู่ที่วัดนี่ มีมอไซค์ให้ยืมใช้ด้วย สะดวกดีแฮะ เออ..เล่าให้ฟังซะหน่อย มอไซค์นี่ พระเค้าซื้อมาก่อนผมมาถึงวัดแค่สองวันเองนะ บังเอิญครั้งที่ล้านอีกไม๊เนี่ย 555
    พระบวชมาสิบกว่าพรรษาแล้ว มี ฮอนด้า nsr 150 อยู่คันนึง แล้วบังเอิญ มีคนถอดคาบู กับตัวคุมระบบไฟไป ค่าซ่อมหลายพัน มีวันนึงท่านไปธุระในค่ายทหารที่ปราณ มีคนเสนอขาย ซูซูกิ เบส ให้ ราคาหกพัน ก็ซื้อมาเลย เหมือนเตรียมไว้มาให้ผมยืมใช้เลย บังเอิญครับ บังเอิญ ไม่มีใครใช้เลย มีผมคนเดียวเอง

    ค้างคาวแห่งแสง

    .
     
  12. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    อ้อ โรชิ นี่มันเป็นตำแหน่งอย่างเป็นทางการของอ.เซนนะครับ คล้ายๆๆการรับรองว่าบรรลุเซนแล้ว แปลก็ประมาณท่านอ.ที่น่านับถือ เหมือนคำว่าเซ็นเซ หรือ โอโช
    ถ้าเทียบกับทางธิเบตก็คล้ายๆๆ คำเรียกว่าริมโปเช ที่พวกธิเบตเอาไว้เรียกอ.ชั้นสูงที่เป็นสหชาติกับทะไลลามะหรือประมุขนิกายอย่างกรรมาปะนั้นแหละครับ

    จริงๆๆท่านก็รู้จักพวกนี้อยู่ พวกนี้ชอบเชิญท่านไปสอน ท่านเป็นเพื่อนกับท่านเขมานันทะด้วยครับรู้จักกันที่สิงคโปร์ แต่ท่านเป็นประเภทแหกคอก ท่านมักจะวิจารณ์แบบไม่ไว้หน้าและท่านไม่พอใจเรื่องเผยแพร่พุทธศาสนาแบบฉาบฉวย แบบที่กองทัพลามะ กองทัพอ.เซนกำลังทำอยู่ และท่านก็เป็นศ.ที่มหาลัยในอเมริกาด้วย

    เรื่องเต๋า ฝึกแล้วย้อนอายุนี่จริงๆๆมันก็จัดอยู่ในศาสตร์พวกอายุรเวทตะวันออก นั้นแหละครับ ซึ่งน่าจะจริงเพราะโยคี หรือ นักพรต ที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้อายุหลักร้อยทั้งนั้น

    ซึ่งคนที่ดังทางนี้ในโลกนี้ก็คือ ดีพัค โชปรา ท่านนี้นอกจากจะเป็นแพทย์แล้ว ยังรู้ศาสตร์อายุรเวทตะวันออกด้วย และยังเป็นครูทางจิตวิญญาณ
    งานเขียนท่านก็น่าสนใจดี......
    ท่านจะพูดเรื่อง ย้อนอายุ ย้อนวัย ฝึกหายใจ ประสานกับวิทยาศาสตร์ตะวันตกอะไรทำนองนี้ แหละครับ โปรแกรมหลักๆๆก็พูดถึงอายุรเวทแบบอินเดียซึ่งแน่นอนว่าต้องพ่วงโยคะมาด้วย กับ แบบจีนด้วยเทคนิคชี่กง ไทเก็ก เรียกว่าเป็นกูรูเบอร์หนึ่งด้านนี้

    อีกท่านก็คือศรี ศรี ชากราง ท่านนี้ก็เป็นครูอายุรเวทและทางจิตวิญญาณระดับโลก เพราะศาสตร์โบราณเหล่านี้ปราชญ์ยุคก่อนจะต้องพัฒนาร่วมกับมิติทางจิตวิญญาณเสมอๆๆ

    ส่วนหนังสือฝึกสมาธิแบบจีน (ไทเก๊ก) ต้าหลิว เขียน ขอบอกโบราณมากครับ ฝึกไปขอให้ท่านระวังโรคภูมิแพ้ด้วย555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2013
  13. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    การเปิดใจอ่านเรื่องของคนมีพลังจิตมากๆ ทำให้เราได้รับพลังจิตด้วย?


    เป็นไปได้มากเลยครับ เช่น เรื่องราวของนักปฏิบัติทางจิตทั้งหลาย ถ้าเราเปิดใจ
    รับขณะอ่านเรื่องราวของเขา จิตนั้น สามารถเปิดรับพลังเข้ามาในตัวเราได้มากมาย
    ส่วนไหนที่เราเข้าใจ "พลังจะมีสีขาว" ส่วนไหนที่เราไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด จะมี
    "พลังสีดำ" สองพลัง ถ้าเคลื่อนไปทางเดียวกัน ไม่ชนกันเอง ทำให้เราไม่เกิดเรื่อง
    ไม่เกิดปัญหาพลังงานภายในปะทะกันเอง ทว่า คำว่า หมุนไปทางเดียวกันนั้นยังไง?
    ทางสว่าง ก็มี, ทางมืด ก็มี ครับ ลองดูสัญลักษณ์อี้จิงดีๆ พลังงานของบางคนอาจมี
    ลักษณะเหมือนอี้จิง เพียงแต่ว่า "พลังสองอย่างขับเคลื่อน" หมุนไปทางไหนเท่านั้น


    ทางสว่าง หรือทางมืด, ทางก่อเกิดปัญญา หรือทางก่อเรื่องสร้างปัญหา ???


    [​IMG]
     
  14. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    ถ่ายพลังรักษาโรคให้คนอื่น ทำให้เกิดช่องว่างรับพลังใหม่เข้าไปได้?


    พลังภายในร่างกายเรามีสมดุลอยู่ บางครั้ง เมื่อเราใช้พลังรักษาโรค ถ่ายพลัง
    ออกไปมาก พลังภายในลดลง อุปมาเหมือนน้ำในแก้วลดลง ย่อมรองรับของ
    ใหม่ได้อีก ทว่า พลังใหม่ที่เข้ามาจะเป็นอะไร? บางกรณี ไฟลด ควันกลับเพิ่ม
    (สว่างลด ดำมาแทนที่) พลังเอี๊ยง ร้อน รักษาโรคได้ เมื่อถ่ายออกรักษาโรคคน
    พลังภายในจะลด เกิดช่องว่างให้รับพลังภายนอกมาเพิ่มได้ หากรับพลังผิดชนิด
    ก็จะกลายเป็นพลังด้านตรงข้าม เช่น พลังดำได้ สิ่งที่รับไป จึงยังไม่ใช่พลังสว่าง
     
  15. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    สีของพลังภายใน และความรู้, ความเข้าใจ, ปัญญา?


    สีของพลังภายใน (ออร่า) เกี่ยวข้องกับเรื่องของปัญญามากครับ มัน
    สะท้อนความจริงได้เลย อย่างไรหรือ? สรุปง่ายๆ อย่างนี้ครับ


    ๑. สีดำ เป็นพลังจิตที่เกิดจากอวิชชา, ความไม่รู้, หลงรู้, ไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด
    ๒. สีขาว เป็นพลังจิตที่เกิดจากความเข้าใจในระดับสุตมยปัญญา เป็นสีของฤษี
    ๓. สีเหลือง เป็นพลังจิตที่เกิดจากการจินตนาการไปทางที่ดี แบบจินตมยปัญญา
    ๔. สีไฟ (สีเหมือนไฟสว่าง) เป็นสีของการเกือบมีปัญญาสว่างไสว รู้ได้ด้วยตนเอง
    ๕. สีใสประกายเพชร เป็นสีของการมีปัญญาที่แท้จริง ออร่าผู้มีปัญญาจะเป็นแบบนี้


    พระลามะสายซกเชน บางรูปมีตาทิพย์ เพียงเพ่งมองออร่ารอบศีรษะศิษย์ ก็จะทราบ
    ได้ว่าเขาบรรลุธรรมหรือยัง? บรรลุขั้นไหน? เป็นสุตมยปัญญาหรือภาวนามยปัญญา?
     
  16. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .

    ตอบท่านมหาวัด

    เรื่องอัดพลังของคุณมันคล้ายกับเรื่องปราณายามะมากกว่านะ ปราณายามะมันจะต่างออกไป ตรงที่มันไม่ใช่แค่การหายใจลึกๆๆ หรือ หายใจปกติคงรู้อยู่แล้วผมก็พูดไปงั้นแหละ มันเป็นการดูดกลืนพลังของจักรวาลเข้าไปหลอมรวมธาตุที่ตรงข้ามสองธาตุคือไฟและน้ำ โดยอาศัยลมในการเชื่อมต่อเพื่อหลอมไฟและน้ำเป็นกระแสของปราณที่กระจายไปทั่วร่าง เพื่อปลุกเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายให้คืนชีพ ส่วนธาตุดินคือฐานที่กำเนิดพลัง ส่วนธาตุที่ว่างเป็นทางในการกระจายพลัง


    รู้สึกว่าอันนี้ มันจะไปเหมือนกับของเต๋ามากกว่ามั้ยครับ เรื่องหลอมรวมน้ำและไฟเข้าด้วยกันนี่ ผมจำแม่นเลย ใช้ท้องแถวๆ สะดือเป็นเตาหลอม ทำอยู่นานเชียวครับ กว่าจะชำนาญ
    เรื่องปราณายามะนี่ผมรู้จักแต่ปราณยาม ของโยคี อันเดียวกันไม๊ครับ แต่ของโยคีผมก็ฝึกใช้ได้แค่ควบคุมลมหายใจ ขับไล่พิษ ขยายลมหายใจให้กว้าง ใหญ่ และลึกขี้น จุได้มากขึ้น เข้าและออกได้แยะและนานมากๆๆ หายใจเข้าครั้งนึง เคยจับเวลาได้เกินนาทีอีกครับ หรือหลายนาที จนลืมไปว่าหายใจก็เคยเป็นบ่อยๆ เอาเศษกระดาษทิชชู่ บางๆ วางจ่อที่รูจมูก ก็ไม่เห็นมันขยับ แต่ยังหายใจเข้าอยู่นะ คงเบาได้สุดๆ ล่ะครับ ทั้งเข้าและออก
    เรื่องการหลอมไฟและน้ำ ผมคิดว่าเป็นของเต๋า หรืออี้จิงมากกว่านะ ไม่น่าใช่ของพวกโยคี ถ้าจำไม่ผิดนะครับ หรือว่าเราคงหาอ่านไปได้ไม่ถึงขั้น หรือเคยอ่านเจอแล้วลืมไปแล้วก็ไม่รู้ หลักการอันนี้ สำหรับผม มันเป็นของเต๋าครับ


    ส่วนโยคะแบบอินเดียหรือแบบทิเบต ระบบที่พูดถึงกุณฑลินี(ในลัทธิโยคะมีสามระบบ คือหฐะ ตันตระ กุณฑลินี แล้วแต่จะเน้นที่ตรงไหน) จะเน้นที่การอุดตันของที่ว่างเหล่านี้นั้นแหละ โดยมันอุดตัน เพราะกุณฑลินี(อวิชชา) ตัวอย่างคือ ตันตระโยคะจุดใหญ่ใจความก็คือการควบคุมพลังภายในที่ส่วนใหญ่กระจายกันอยู่ เพื่อให้มันมาลดสิ่งกีดขวางช่องทางเดินของปราณ (เผากุณฑลินีที่ขวางปราณไม่ให้ไหลผ่านไปตามสุษุมณา) ซึ่งเป็นการแปลงอวิชชาในรูปใหม่ในรูปสิ่งที่กีดขวางทางเดินของปราณที่ขวางไม่ให้เราได้เห็นจิตแท้ จริงๆๆมันจะซับซ้อนกว่านี้มาก แต่หลักๆๆมันอยู่ตรงนี้ ผมเข้าใจว่าอย่างงี้ ที่ว่าสะสมพลังได้มากพอแล้วกลายมาเป็นเซียนนี่ผมเข้าใจว่าเป็นคำเปรียบเปรยของการแปรเปลี่ยนที่ภายใน อย่างในโยคะเขาจะพูดถึงกษัตริย์ภายในจักรพรรดิแห่งโลกแห่งสรรพสิ่ง ในพุทธตันตระก็คงเป็นพระพุทธเจ้าไปนั้นแหละ


    อืม..มาถึงตรงนี้คงต้องยอมรับว่าเราคงหาอ่านไปไม่ถึงขั้นแน่ สำหรับโยคะที่ท่านว่า การอุดตันของที่ว่างโดย อวิชชา อันนี้ไม่เคยอ่านเจอแฮะ ตำราโยคะที่เป็นหลักของผมคือ หนังสือฝึกโยคะของอาจาย์ สุนีย์ ยุวจิตติ ชื่อ "เพื่อพลังกายพลังจิต" (เจอด้วยอากู๋อีกแล้ว ดีจังเลย ขอบคุณมาก)

    [​IMG]

    เล่มนี้เป็นหลัก เล่มแรกที่เริ่มฝึกครับ เคยจะไปเรียนด้วย แต่ค่าเรียนตั้งหกพัน ฝึกเอาเองก็ได้ (วะ) ไม่เห็นยาก
    ในเล่มนี้ก็มีวิธีฝึกลมหายใจเพียบเลยครับ การขับไล่พิษก็ได้จากในนี้ ตอนหลังพัฒนาไปไกลโพ้นเลย (ความลับประจำสำนักครับ "วิชาหายใจไล่ลมเบรค" ใช้ชื่อนี้ไปก่อน)
    ได้ฝึกตั้งแต่เริ่มวอร์มอัพเลย ใครอยากฝึกก็ไปหากันเอาเองนะครับ หลังจากนี้ก็ได้อ่านโยคะอีกหลายเล่ม แต่เล่มนี้แหละ (กับอีกหลายเล่ม) ที่ติดตัวไปไหนด้วยกันตลอด เวลาไปต่างจังหวัด หรือไปอยู่สวนโมกข์ ปี 39-41 ก็เอาติดกระเป๋าไปด้วย ไม่ยอมให้ห่าง ได้ทบทวนอยู่บ่อยๆ ทั้งท่าฝึกและเทคนิคการหายใจแบบต่างๆ
    ส่วนคำว่าจิตแท้นี่ ยิ่งไม่ใช่โยคะ มั้ง มันเป็นของเซ็นนะครับ ท่านมั่วรึเปล่า (แซวนะ) การแปรเปลี่ยนภายใน นี่ก็เป็นหลักการของเต๋า หรือของชาวบู๊ลิ้มเขานะ ผมไม่เคยอ่านเจอในโยคะ (เถียงตลอด)


    แล้วคุณฝึกด้วยตัวคุณเอง นี่พวกนี้ผมว่าอันตรายนะ มันจะเสียจริตได้ง่ายถ้าดึงตัวเองกลับไม่ทัน ไม่ก็อาจจะอัมพาตได้ ถ้ามีครูมีอะไรที่รู้จริงๆๆ ท่านก็น่าจะช่วยคุณได้หลายๆๆอย่าง อย่างผมเคยฝึกๆๆ(ระบบอื่นนะ)ไปแล้วรู้สึกว่าตัวเองบินได้
    มันลอยๆๆ พูดไม่ถูก แต่ผมเข้าใจว่าที่บ้างคนบอกว่าตัวเองฝึกแล้วลอยได้เหาะได้นี่ความรู้สึกนี้แหละ ซึ่งจริงๆๆมันไม่ลอยหรอกแต่เราไปซะแล้วแล้ววิ่งไปทั่ว ครูผมมาเห็นถีบผม ทีเดียว แล้วท่านก็มานั่งบีบมือ ผมหลุดออกมาจากตรงนั้นเลย
    ท่านบอกคุณอย่าทำอีก แบบนี้ไม่มีประโยชน์
    อีกอย่างคือตอนมาฝึกแรกๆๆ ผมเคยจิตหมุนติ้วแล้วหายไปกับลม แล้วไปรวมที่หัวใจ แล้วตัวแข็ง ขยับไม่ได้ เป็นชั่วโมง แล้วเป็นงี้อีกสองสามครั้งเห็นนิมิตด้วย ซึ่งจริงๆๆครูผมบอกนี่การสะกดจิตตัวเอง ครูส่วนใหญ่จะบอกเธอว่าเป็นการเข้าสมาบัติซึ่งไม่ใช่ เป็นการเอาสมาธิมาสะกดจิตตัวเอง ถ้าไม่ระวังคือสะกดลงไปอีกเธอก็อาจจะจิตดับไปเลย เหมือนตะเกียงแสงหรี่นั้นแหละ อย่าทำอีก หลังจากนั้นครูผมตามคุมเข้มเลยล่ะทั้งๆที่ปกติท่านจะไม่ได้สนใจ จนน่ารำคราญตอนนั้นผมไม่รู้ความหวังดีท่าน ท่านพูดไทยก็ไม่ชัด แต่ตานี่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ มองทีทะลุหมด


    เท่าที่เคยฝึกมา เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วโน่น เตือนตอนนี้ ช้าไปแยะแล้วครับ
    ผมไม่เคยเจออะไรที่เรียกว่าอันตรายจากการฝึกเลยนะ ยกเว้นที่ไปซนกับจักระที่ 1 อย่างเดียวเองที่พอจะนับได้ว่าอันตราย ต่อการไฟธาตุแตก ก็เกือบแย่ไปแล้ว
    ครูดีๆ หาไม่เจอครับ ผมก็เป็นศิษย์ชั้นดี ที่ครูหาไม่เจอเหมือนกัน (ขอโม้หน่อยนะ) เรื่องบินได้ไม่เคยครับ ถ้าแค่รู้สึกเหมือนจะลอยได้นี่ อันนี้เคยเป็นมาบ้าง ตอนนั่งสมาธิ แต่ตัวยังไม่ลอยนะครับ แค่เหมือน หรือเกือบจะเท่านั้น ซึ่งก็คงเป็นการคิดไปเองแน่ๆ
    เรื่องสะกดจิตตัวเองนี่ น่าสงสัยเหมือนกันนะ ผมคงเผลอสะกดตัวเองไปไม่ใช่น้อยๆ แล้วล่ะครับ 555 เคยอ่านเจอหลายที่ โดยเฉพาะหนังสือของท่าน หลวงวิจิตรวาทการ มีอยู่เกือบสิบเล่มได้ อ่านไปทดลองไป ไม่รู้ได้ผลยังไงบ้างนะ แต่ต้องเข้ามาอยู่ในตัวเราไม่น้อยล่ะครับ วิชาของท่าน ที่เขียนไว้ในหนังสือทั้งหมด


    ส่วนเรื่องแบบของจีนนี่ ผมกำลังสอนใจจะค้นอยู่ ไม่รู้ฟลุคไหม? พอดีได้ตำรามาหลายเล่มมีคนส่งมาให้ เจอคุณพอดีคงต้องมาถามคุณแล้วล่ะ

    ถ้าจะถามผมเรื่องแบบของจีนนี่ ได้เลย แต่ไม่รับรองความถูกต้องแม่นยำนะครับท่าน
    ผมมั่วมาก็แยะ ลองผิดลองถูก หลับตาฝึกมาก็มาก ก็บางทีหนังสือมีข้อมูลให้นิดเดียวเอง ฝึกไม่ถูก ก็โชคดีที่มีวิชาตาลอย (ฝึกได้ในร้านเช่าหนังสือ ตั้งแต่อายุสิบหก) วิชานี้ก็ช่วยให้ผมเจออะไรๆ ต่อจากในหนังสือได้ตั้งแยะเชียวครับ เหมือนกับรู้จักใช้กฏ อิทิปปัจจยตา คือกฏของเหตุและปัจจัย ได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะมั้ง นะ (ไม่รู้ใช่ป่าว)


    ส่วนเรื่องทุมโม จริงๆๆเขาจะเขียนว่าทูโม หรือทุมโมนี่ ผมว่าแล้วแต่คนแปลนะ ที่บ้านตีโลปะ เขาใช้คำว่า ทุมโม จริงๆๆมันก็ไปแปลทับศัพท์มาอีกที
    ส่วนโยคะของนาโรปะ ขั้นอื่นๆๆคุณไม่เคยได้ยินนะไม่แปลกหรอก เพราะพวกตันตระนะเขาจะไม่สอนไม่พูดให้คนภายนอกได้ยิน จริงๆๆระบบโยคะของนิคุมา จะเรียงลำดับต่างออกอีกนิดหนึ่ง

    จริงๆๆแม้แต่ผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ ท่านก็ยังยอมรับว่าระบบฝึกแบบนี้ส่วนให้ค่อนข้างคลุมครือสับสน มีคำจำกัดความรวมถึงวิธีฝึกไม่แน่นอนขัดกันเอง อย่างหนังสือหลายๆๆเล่มจะชี้ว่า ตัวที่ขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลังตรงๆๆจากสุษุมณา คือกุณฑลินี แต่จริงๆๆไม่ใช่ต้องเป็นปราณ อันนี้ผมว่าตาม โยคะ ยาชญวัลกยะ นะ


    โยคะของนาโรปะหรือของนิคุมา รวมทั้งโยคะ ยาชญวัลกยะ นะ พวกนี้ไม่รู้จักครับ แล้วบ้านตีโลปะ นี่บ้านใครครับ ของตันตระก็อ่านมาไม่มากเท่าไหร่ คงต้องคุยกันมั้ง มันถึงจะไหลออกมาได้ ความจำไม่ค่อยดีครับ
    เวลาอ่านจะอ่านแล้วใช้วิชาตาลอย ทำให้เข้าใจจากข้างใน แล้วจำเป็นรหัส หรือเคล็ดวิชาครับ ใช้ใจทำการทดลอง ทดสอบ เปรียบเทียบ หรือแทนค่า สิ่งที่อ่าน ด้วยสิ่งที่เข้าใจ มันถึงจะเข้าใจ เข้าถึง และพร้อมพัฒนา สิ่งที่อ่านได้ ตามแนวผมนะ ฝึกตัวเองมาตั้งแต่วัยรุ่นแล้ว แนวเนี้ย


    ผมเห็นว่าคุณบอกคุณฝึกตามตำรา อันนี้ผมเดาว่าไม่น่าใช่ตำราภาษาไทยเพราะไม่มีใครมีใครคิดที่จะแปลออกมา ส่วนใหญ่จะเก็บความมาเขียนแบบลวกๆๆไปงั้น แต่แบบจีนนี้รู้สึกจะมีไม่กี่เล่มมั้ง ที่ยังมีพิมพ์ขายอยู่รู้สึกจะพิมพ์ที่สำนักพิมพ์ศยาม ส่วนเล่มอื่นๆๆหายากแล้วต้องหาตามดงร้านหนังสือเก่า

    ดั้งนั้นผมจึงสนใจคุณนะ ว่าคุณนะไปรู้ไปศึกษาเรื่องพวกนี้มาจากไหน และ ผมว่าคุณอ่านแตกหนังสือท่านพุทธทาสหลายเล่มนะ ถึงคุณจะบอกว่าลืมก็เถอะซึ่งก็ถูกแล้วไม่งั้นก็ไม่ต้องไปต่อกันพอดี


    ตำราไทยทั้งหมดครับผม ก็อ่านเท่าที่เขาจะเขียนให้อ่าน ที่เหลือหรือที่ขาดไป ก็ได้อาศัยวิชาตาลอยนี่แหละครับ หลับตาหาให้เจอ แค่เขียนเก็บความมาลวกๆ ก็พอได้อาศัยเป็นไกด์แล้วครับ จะว่าไประบบออโต้เนี่ย เราคงมีติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้วล่ะมั้ง
    เรื่องอ่านหนังสือแตกนี่ คงไม่ปฏิเสธล่ะครับ คิดเอาเองนะ ว่าเราก็แจ๋วใช้ได้เลยล่ะ 555

    กระต่ายป่า ข้างวัด / หมอมือเปล่า

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • yoga-book.jpg
      yoga-book.jpg
      ขนาดไฟล์:
      13.4 KB
      เปิดดู:
      499
  17. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    อ้อ จริงๆๆ ผมจงใจใช้คำว่าจิตแท้ แทนที่จะใช้คำของระบบแบบฮินดู เพื่อให้เข้าใจง่ายกว่าเท่านั้นครับไม่มีอะไร เพราะเห็นว่ากำลังพูดกับคนพุทธ ใช้คำว่าอตามัน กายศักดิ์สิทธิ์อะไรทำนองนี้แบบฮินดูแล้วมันจะฟังแล้วยังไงๆๆ หรือเปล่า
    ก็เลยใช้คำนี้น่าจะเข้าใจง่ายกว่า

    ระบบทิเบตเขาก็จะใช้คำนี้เหมือนกัน เขาใช้คำว่า โอเซล ซึ่งแปลว่าจิตแท้ แต่ความคิดพื้นฐานในการฝึกก็จะเหมือนกับฮินดู เพียงแต่ฮินดูเขาจะใช้คำว่าอาตมัน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับจิตของจักรวาล(ปรมาตมัน)
    แต่โยคะวิธีของทิเบต จะไม่ได้พัฒนาต่อจนมี หลากหลายรูปแบบ แบบของฮินดู แต่มีจุดเด่นที่ระบบแบบฮินดูไม่มี คือเขาโยงเข้าหาทฤษฏี รอยต่อของชีวิต หรือบาร์โด ปกติจิตแท้นี้ จะไม่ปรากฏตัวออกมาจนกว่าจะตาย เมื่อตาย แล้วก็จะปรากฏตัวออกมาในรูปแบบปรากฏการณ์แสงกระจ่าง ซึ่งในชีวิตประจำวันเราอาจจะสัมผัสได้ในบางครั้ง
    บางคราวเช่น การถึงจุดสุดยอดทางเพศ การหาว การจาม การเคลิ้มหลับ แต่ก็เป็นไปในแบบที่หยาบ แบบที่ประเดี๋ยวเดียว
    เวลาเขาฝึกโยคะในทิเบตนอกจากจุดมุ่งหมายจะอยุ่ที่การเผาใหม้อัตตา แล้ว ยังเพื่อให้เข้าถึงจิตแท้ที่จะปรากฏขึ้นหลังความตายนี้ด้วย ทั้งนี้เป็นการเตรียมตัวเมื่อความตายมาถึง เพราะเขาเชื่อว่า เราสามารถอาศัยรอยต่อระหว่างความตายกับการเกิดใหม่นี้ ในการบรรลุธรรมขั้นสูงได้ ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญมาก

    การฝึกโยคะบางระบบอย่างอนุตตรตันตรโยคะ จะสัมพันธ์กับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก
    ส่วนคำว่าจิตแท้ จิตประภัทสร จิตหนึ่งอะไรนี่ไม่ใช่คำใหม่ในพระไตรปิฏกก็มี แต่มีแต่นิกายวิญญาณวาทิน ของมหายานที่เอาไปเน้น นิกายนี้พัฒนามาจากพระอภิธรรมของนิกายหินยานอีกที ซึ่งนิกายนี้เป็นที่มาส่วนหนึ่งทางปรัชญามหายานทุกระบบในทุกวันนี้ ซึ่งรวมถึงสุขาวดี เซน วัชรยาน ด้วย
    แต่การให้ความหมายจะต่างจากอาตมันของฮินดุนิด คือมันไม่ได้มีตัวตนแก่นสารอะไร
    ซึ่งพวก ฮินดู โดยเฉพาะลัทธิอไทวตะเวทานตะ
    ที่เป็นลัทธิที่นิยมที่สุดในอินเดียจนถึงทุกวันนี้ หลังจากการกำเนิดของศังกราจานย์ ก็เอาไปปรับใช้ ไปตีความอาตมันใหม่ ในความหมายแบบเดียวกันเลย และ พวกนี้ดูดซับเอาปรัชญาของลัทธิโยคะและสางขยะเข้าไปด้วย ก็เลยฝึกโยคะเช่นเดียวกัน
    ทุกวันนี้ คนฮินดูจะศึกษาปรัชญาทั้งหกแขนงของฮินดู และจริงๆๆมันก็ผสมเอาความเข้าใจของพระพุทธศาสนาของไชนะเข้าไว้ในตัว
    อยู่แล้ว พุทธศาสนาจึงกลับเข้าไปในอินเดียไม่ได้อีก เพราะคนอินเดียไม่ได้รู้สึกว่าพุทธศาสนาสอนอะไรใหม่ ของเขาก็มีอยู่แล้ว สอนเหมือนกัน

    ส่วนไอ้ที่หลอมน้ำหลอมไฟนี่ มาจากโยคะด้วยครับ คือการฝึกปราณยามะ เป็นหัวใจเลย เรื่องคำอ่านอย่าไปสนใจมันเลยครับ เขาแปลทับศัพท์ภาษาต่างประเทศอย่างอังกฤษมาอีกที จะสะกดต่างกันก็แล้วแต่คนครับ ไอ้ที่หลอมนี่ผมเอามาจากโยคสูตรนะ แล้วดูอรรถกถา ของ บี เค เอส ไอเยเกอร์ กับ ศรีเทสิกราจารย์ ประกอบอีกทีซึ่งทั้งสองท่านนี้ก็เอาอรรกถาของศรี กฤษณะ มาจารยา มาขยายต่ออีกที สองท่านนี้เป็นครูโยคะเบอร์หนึ่งของโลก พูดง่ายๆๆก็เมพสุดโยคะสมัยใหม่ทั้งหมดแตกแขนงมาจากสองท่านนี้นั้นแหละ สองท่านนี้เป็นคนสอนโยคะให้ เจ กฤษณมูรติด้วย จริงโยคะมันมีสิบหกระบบนะตามวิธีคิดแบบอินเดีย
    คุณภักดีต่อพระเจ้าแบบไม่คอนแคลนก็เป็นโยคะระบบหนึ่ง คุณทำอะไรไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นโยคะระบบหนึ่ง ไอ้ฤาษีดัดตนก็อีกระบบหนึ่ง
    ส่วนใหญ่ผมไม่สนใจหนังสือของคนไทยเท่าไหร่ ถ้าไม่อ่านมาแบบไปเก็บมาจากตำราฝรั่ง ก็ฝึกแบบหลับหูหลับตาไปเรียนมาไม่กี่ครอสแล้วมาตั้งสำนัก แล้วส่วนใหญ่เรียนมาในลักษณะเพื่อสุขภาพ มากกว่าที่จะเป็นการแสวงหาภายใน ตัวปรัชญาของโยคะ(หรือสางขยะลัทธิทั้งหมดนี้ประมวลในภัควัทคีตา) นี่ทิ้งไปหมด มันก็เหมือนนกที่ปีกหักไปข้างนั้นแหละครับ

    ทีนี้ผมเข้าใจว่าถ้าพวกศาสนาในจีนไม่ได้อิทธิผลไปก็คงคิดเองแล้วพ้องกันมั้ง
    เหมือนเต๋าเต้อจิง มันเหมือนคำสอนในพระพุทธศาสนา ของอุปนิษัท ของอินเดียเลยทั้งๆๆที่อิทธิผลอินเดียยังไปไม่ถึงจีนในยุคนั้น อย่างไรก็ตามในจีนเองก็มีช่วงหนึ่งที่มีค่านิยมของพวกนับถือศาสนาในจีนที่ต้องจาริกไปเรียนที่อินเดียมาก่อน เหมือนพวกญี่ปุ่นต้องจาริกมาเรียนกับจีนอีกที

    บ้านเรานี่โยคะเข้ามาครั้งแรกโดยการนำของสวามีสัตยานันทบุรี คนยุคนี้รู้จักไหม? ตอนนั้นในกรุงเทพโยคะฮิตมาก ท่านพุทธทาสเคยไปปะทะทางความคิดกับสวามีมาแล้วนะ นี่ท่านบ้าดีไหมพบกับครั้งแรกก็เถียงกันแล้ว สวามีถือว่าพระพุทธศาสนามาจากลัทธิเวทานตะ เพราะแกอ้างว่าพระพุทธเจ้าได้อิทธิผลความคิดไปจากอุปนิษัท ท่านพุทธทาสท่านไม่เห็นด้วย ก้เลยเถียงกันจริงๆๆมันมีเรื่องปลียย่อยเรื่องแปลศัพท์ด้วย ในหนังสือ เล่าไว้ในวัยสนธยานะมีเล่าไว้อยู่

    ส่วนบ้านตีโลปะ คือแก็งส์คนไทยที่ไปเรียนกับพวกลามะทิเบตหรือฝรั่งที่เป็นศิษย์ลามะทิเบตอีกที พวกนี้ก็คือกลุ่มคนไทยที่ศึกษาตันตระนั้นแหละครับ

    โยคะ ยาชญวัลกยะ เป็นคัมภีร์เกี่ยวกับทฤษฏีกุณฑลินี ที่สมบรูณ์ที่สุดและเก่าที่สุด
    ส่วนนาโรปะ นิงคุมา ก็คล้ายๆๆนักบุญนะครับ เป็นโยคีและโยคินี ในพระพุทธศาสนาที่พวกวัชรยาน นับถือกันในฐานะเจ้านิกายนั้นแหละ

    ส่วนเรื่องครูหาไม่ได้ก็สอนตัวเองเถอะครับ ครูที่แท้จริงก็คือตัวเราเอง แบบที่คุณทำอยู่นี่แหละ เพราะเดี๋ยวนี้ครูปลอมๆๆเยอะ อรหันต์ ผู้วิเศษอะไรต่อมิอะไร ผมว่าก็งั้นๆๆ ปลอมเสียมาก ผู้นำทำลายผู้ตาม คนที่วิกลจริตที่สุดเป็นหัวหน้าฝูงคนบ้า ก้แค่นั้น

    ส่วนหลวงวิจิตรนี่ไม่ขอพูดครับ เดี๋ยวจะหาว่าขุดผีมาด่า ท่านนี้นี่ตัวเลวร้ายอย่างถึงที่สุด ที่คณะสงฆ์ทุกวันนี้ระยำแบบที่เห็นนี่ ผลงานส่วนหนึ่งมาจากหลวงวิจิตร แต่คนบางพวกก็ยังบูชา ตำราก็ยังเขียนเสียเลิศลอย ความเท็จทั้งนั้นบ้านเมืองนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2013
  18. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .

    ตอบท่านมหาวัด


    อืม...ยิ่งอ่านก็ยิ่งพบว่าท่าน รู้ลึกจริง รู้ยิ่งนัก รู้หลายหลาก รู้มากมาย ต้องขอนับถือๆ

    หนังสือของต้าหลิว นี่ไม่เก่านะครับ ผมซื้อปี 39 มั้ง เพิ่งพิมพ์มาใหม่ๆ เลย 555
    ยุคนั้นเป็นยุครุ่งเรืองทางสติปัญญาของผมเลยน้า สิบอกให้

    เรื่องการใช้คำนี่ ใช้อาตมันก็ได้ครับ ผมรู้จักดี เคยฝึกร่วมกับโค่วจงแห่งมังกรคู่สู้สิบทิศมาด้วยกันครับ ตอนโค่วจงเข้าถึงอาตมัน ผมก็ถึงกับเขาด้วย จิตใจเป็นหนึ่ง ร่วมกับทุกสรรพสิ่ง ไม่มีเขาไม่มีเรา ไม่แบ่งแยก และไม่รวมกัน มีก็เหมือนไม่มี คงอยู่แต่ก็ไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่ เข้าใจยากเหมือนกัน ถ้าไม่มีเซ็นติดไปในกึ๋น ก็คงฝึกไม่สำเร็จ

    คุยกันเรื่องพราหมณ์ก็ควรใช้ศัพท์ของเขา ฮินดูก็ใช่ ถ้าไม่เข้าใจก็ถาม แล้วจำไว้ครับ ท่านอื่นจะได้ "ครูพักลักจำ" ไปได้ด้วย ดีไม๊ท่าน ถึงผมจะเป็นพุทธ แต่ข้างในเปิดเป็นคอนโด รับได้เยอะแยะเลยครับ ยังมีที่ว่างอีกมาก

    แล้วจิตจักรวาลมาจากไหนอีกเนี่ย มันของอ.ปริญญา ตันสกุลไม่ใช่รึท่าน หรือว่าฮินดูเขาใช้คำนี้มาก่อน ไม่รู้อีกแล้วเรา แล้วที่ท่านเรียกว่า "ปรากฏการณ์แสงกระจ่าง" อันนี้ผมไม่เคยได้ยิน แต่คิดว่าคุ้นเคยกันดีนะ น่าจะเข้าถึงได้บ่อยๆ สมัยนั้นนะครับ ฝึกฝนสารพัด เดาเอาเองว่าแบบเนี้ย เรารู้จัก 555

    ถ้าคุยกันเรื่องปรัชญา ความรู้ต่างๆ นี่ ดูแล้วเรายังห่างไกลนะเนี่ย ดีจัง ที่ไม่รู้มากนัก รู้นิดนึงก็มากพอสำหรับดำน้ำลงไปฝึกได้แล้ว หึหึหึ (องุ่นมันเปรี้ยวเกินไปหน่อยนะ)

    กระต่ายป่า ข้างวัด / หมอมือเปล่า

    .
     
  19. มหาวัด

    มหาวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +1,892
    จริงๆๆเขาใช้คำว่าพรหม คำว่าปรมาตมัน ทำนองนี้แหละครับ พอไปพูดให้ฝรั่งฟังก็เลยไปใช้คำว่าพระเจ้า(God) คำว่า จิตจักรวาลทำนองนี้แทน กลัวฝรั่งมึนมั้ง
    แล้วพวกนี้ มันส่งผ่านไปถึงพวกนิวเอจนะ พวกนิวเอจก็เอามาใช้บ้าง เพราะพวกนี้จะไปเรียนมาหมดแบบลักจำ ผสมไปเรื่อยๆๆ

    ก็ไม่แปลกที่บั๊ก ปริญญาจะไปเอามาบ้าง เดี๋ยวนี้มีคำใหม่เยอะ มีชีว่า มีอะไรคายอน โอ้ยเยอะเกิน แล้วแต่แก็งส์ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2013
  20. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    วันนี้ขอใส่ประวัติการรักษาที่เตรียมไว้ ให้หมดก่อนนะครับ ผลัดมาหลายวันแล้ว
    เดี๋ยวจะไม่อร่อย ต้องจัดการวันนี้แหละ เอาให้เรียบร้อยไปอีกหนึ่งจ๊อบ


    รักษาวันที่สิบ
    วันพุธ 30/1/56


    1. เฮียเฮง # 7 // ปวดน้อยลงทุกวัน แต่วันนี้เดินมาก ขาขวาที่เคยฝังเหล็กไว้แล้ว ก็ปวด
    จี๊ดด้วย
    ** วันนี้ลองใส่เข่าด้านหลังดูบ้าง ให้นอนคว่ำ - เน้นบริเวณที่ปวด แถวเส้นเอ็นทั้งสองข้าง

    2. พี่สา # 6 // ทำบ่อยๆ ใส่พลังเพิ่มให้ด้วย ไม่ได้ป่วยมาก หรือโรคงอแง
    ** วันนี้เดินมากมั้ง - เข่าขวายังมีแปล๊บๆ - ใส่ที่เข่าขวา - วิ่งขึ้นหัวอีกแล้ว - มีแปล๊บๆ
    ในฝ่าเท้า - นานกว่าจะเข้าในเข่า - จี๊ดๆ - แล้วค่อยๆ ไหลไปตามขาขวา - อีกพักนึงออก
    ปลายเท้า - มีข้ามไปรู้สึกที่เข่าซ้ายด้วย

    3. ป้าชิ้น 67 ปี # 4 // กินได้แยะ - ทำงานได้แล้ว ไม่เคยทำอะไรได้มานานแล้ว - มีแรง
    - มีอารมณ์ทำงาน กินของเย็นๆ ได้ ไม่ไอด้วย , เข่าไม่ปวดแล้ว แต่เริ่มมีเจ็บรอบเข่า นิดๆ
    (หายไปอาทิตย์นึง ไม่ได้มารักษาต่อเนื่อง) ก่อนมารักษา วันๆ กินแล้วนอน - มัน
    ปวดโน่นปวดนี่ทั้งตัว - ว้นนี้ยังสานตะกร้าได้หลายชั่วโมง - ตะคริวเป็นทุกวัน หายไปเลย
    ** ใส่ที่เข่าขวา - หลายนาทีจึงรู้สึกทีละนิด - แล้วค่อยๆ วิ่งลงเท้า ไปค้างที่ข้อเท้าพักนึง
    จึงออกปลายเท้า, แล้วมารู้สึกที่ฝ่าเท้าซ้าย - กับเจ็บจี๊ด ที่แข้งซ้ายด้านนอก - รู้สึกเลือดวิ่ง
    ซู่ซ่าที่นิ้วเท้า - ที่เข่าเหมือนโดนสูบลมอยู่นาน - พลังวิ่งออกปลายเท้าอีกพักนึง หลังเลิกทำ

    4. ต่าย 34 ปี # 4 // หายไปอาทิตย์นึง - แข็งแรงดี - มีแรงทำงานทั้งวัน - ไม่ปวดหัว
    ** ใส่ที่ม้าม รู้สึกได้เลยที่ปลายม้าม - พลังขึ้นมาถึงขั้วม้าม - พอเต็มแล้ว เปลี่ยนมาเพิ่ม
    พลังให้ที่จักรสะดือ - วิ่งจากใต้สะดือมาทางซ้าย - แล้ววิ่งขึ้นมาที่ปลายม้าม - แล้ววิ่งทะลุ
    ม้ามไปรู้สึกได้ที่ด้านหลังม้าม , ต่อด้วยวิ่งจากกลางม้าม ขึ้นขั้วม้าม แล้วเจ็บจี๊ดที่ขั้ว - แล้ว
    วิ่งกลับทางเดิม ไปสุดที่กลางม้าม
    มีช่วงแรกแปลกๆ คือเหมือนมีพลังระเบิดออกจากในกลางตัว ทะลุไปทั่วตัว จนชาๆ ตรง
    ลำตัวที่ติดกับพื้น - รู้สึกเหมือนพลุ - กระจายจากกลางตัว พุ่งไปได้รอบตัว หัวจรดเท้า

    ************************************

    รักษาวันที่สิบเอ็ด (ที่โรงงาน)
    วันพฤหัส 31/1/56


    1. ใหญ่ อายุ 47 // ปวดหลัง - ไปถึงหัวเข่า
    ** ใส่พลังที่กลางหลัง - เอียงขวานิดๆ ตรงจุดที่ปวด - รู้สึกร้อนๆ แถวเหนือกึ่งกลาง
    ขึ้นมาอีกนิดนึง - พลังไม่วิ่งไปที่ไหนอีก สักพักก็ไม่รู้สึกอะไร - ก็พอล่ะ

    2. เจียน อายุ 56 // เป็นไมเกรนตรงหน้าผาก, ปวดแทบทุกวัน แต่กินยาก็หายบ้าง
    เป็นมาสิบปีแล้วมั้ง, ปวดข้อเท้า - เหมือนมีอะไรทิ่มในข้อเท้า - ยืนนานๆ จะปวด
    นั่งไม่เป็นไร
    ** ใส่ที่กลางศรีษะก่อน รู้สึกร้อนๆ - หนุบหนุบ - ซ่าๆ , ทำกว้างถึงหน้าผาก - แล้ว
    โล่งขึ้น - จนไม่รู้สึกอะไรก็พอ
    ** ใส่พลังต่อที่ข้อเท้า - ร้อนๆ ตรงข้อเท้าด้านใน - แล้วออกปลายเท้า - เจ็บข้างใน
    ข้อเท้า - ซักพักก็หายร้อน แล้วก็ไม่เจ็บแล้ว

    3. ป้านิ่ม # 3 // วันที่รักษากลับไป - หัวเข่าไม่ปวดแล้ว - ด้านนอกขาที่เคยปวด
    วันแรก หายเกือบหมด - เมื่อคืนมีปวดที่ขาทั้งสองแค่นิดหน่อย - ที่หลังแถวก้นกบ
    ยังปวดอยู่ // วันนี้มีปวดเพิ่มที่ขมับทั้งสองข้าง กับข้างขาทั้งสอง (ด้านนอก)
    ** เริ่มใส่ที่ขาข้างขวา - ปวดมากเมื่อคืน (ขาซ้ายปวดนิดเดียว) พักเดียวก็ร้อน ตามแนว
    แข้งด้านนอก - แล้วออกปลายเท้า - ร้อนๆ - จี๊ดๆ พักเดียวก็หาย
    ** มาต่อข้างซ้าย - รับพลังได้ช่วงใกล้ข้อเท้าด้านนอก แค่นิดหน่อย - แล้วจี๊ดๆ ออกปลาย
    เท้า - มีนุ้บๆ ด้วย (แล้วนุ้บๆ นี่มันรู้สึกไงวะ ) แล้วจี๊ดที่นิ้วก้อยเท้าพักนึง - หมดอาการ

    4. สีนวล อายุ 46 // ปวดเข่าข้างซ้าย เจ็บจี๊ดๆ ในเข่า (เข่าขวานิดนึง) เพิ่งเป็นมาไม่ถึง
    ยี่สิบวัน
    ** เริ่มใส่ที่เข่าซ้าย - ไม่ค่อยรู้สึก - แค่ซ่าๆ นิดนึง แค่แป๊บเดียวหายเจ็บจี๊ดแล้ว - ทำต่อ
    ข้างขวา - มีรู้สึกขึ้นๆ ลงๆ ในเข่า - พักเดียวหายหมด เพิ่งเป็นไม่นาน รักษาง่าย

    5. ลัดดาวัลย์ อายุ 21 // เป็นซีสที่ขมับซ้าย ใกล้หางตา, เป็นมาสี่ปีแล้ว, เคยผ่าแล้วที่รพ.
    อีกสองเดือนก็ขึ้นมาอีก, ปวดด้วย แค่บางครั้ง แต่ถ้าโดนแดด แล้วจะปวดทันที
    ** เริ่มใส่ที่ข้างขมับซ้าย ตรงซีส - รู้สึกชาๆ ไปครึ่งหน้าซ้าย - แล้วรู้สึกวิ่งขึ้นวิ่งลง ที่หน้า
    แล้วพอหยุดวิ่ง ก็ร้อน - ถึงหูเลย - พอหายร้อนก็เริ่มเบาๆ - หายเจ็บหมดแล้ว

    6. ป้าตังฮวย # 3 // ทำครั้งก่อน เขานอนป่วย เจ็บล้าไปทั้งตัว - เจ็บหัวด้วย ดูเหมือนจะ
    ไม่ได้ผลนะ คนนี้
    ** วันนี้ลองใส่ตั้งแต่หัวลงไปเลย ไล่ไปตามหลัง รับพลังไม่ค่อยได้ ไม่รู้สึกซักเท่าไหร่

    7. เฮียเฮง # 8 // เหมือนเดิม - ยังไม่หายขาดซะที - ยังเจ็บอยู่บ้าง

    8. พี่สา // เข่าขวายังขัดๆ อีกแฮะ
    ** เริ่มใส่ที่เข่าขวา - ขึ้นหัวอีกแล้ว ทุกทีเลย - จี๊ดๆ ที่ฟัน แล้วผ่านขึ้นไปที่หัว - พลังข้าม
    ไปที่เข่าซ้าย - สุดท้ายจึงรู้สึกได้ที่เข่าขวา - หนักๆ , ทำที่เข่าซ้าย แต่ทำไมรู้สึกหลังสุดล่ะ

    **********************************

    รักษาวันที่สิบสอง (ที่โรงงาน)
    วันศุกร์ 1/2/56


    1. ป้าวรรณ 60 ปี # 4 // วันนี้ปวดหลังที่เดิม แค่นิดหน่อย - หายปวดไปหลายวันแล้ว
    ** ใส่ที่หลัง ตรงที่เจ็บ - ร้อนๆ เข้าที่หลัง - เกือบ 20 นาที ก็ไม่รู้สึกอีก

    2. ป้านิ่ม 68 ปี # 4 // เมื่อวานทำที่ขา ไม่ปวดแล้ว นอนสบาย วันนี้รักษาอาการปวดหัว
    ทั้งสองข้าง แถวขมับ ปวดตลอดเลย หลายปีแล้ว กินพาราก็ดีขึ้นพักนึง กินสามเวลาเลย
    ** วันนี้ลองที่ขมับทั้งสองข้าง - ข้างขวาหนักกว่า เริ่มก่อน - ร้อนๆ อยู่กับที่ ไม่วิ่งไปไหน
    สักพักมันจี๊ดที่กลางหัว เอียงขวา - สองสามครั้งก็หายไป - หายปวดแล้ว - มาต่อข้างซ้าย
    ไม่รู้สึกถึงอะไร - แต่พักเดียวก็หายปวด
    ** ต่อที่ต้นคอ แถวตีนผม - มันก็ร้อนๆ อยู่พักนึง - แล้วร้อนน้อยลงๆ - พอไม่ร้อนแล้วก็
    พอ - หายปวดหมดแล้ว

    3. ป้าสมจิตร 70 ปี # 2 ทำตั้งแต่ 21/1 แล้วไม่ได้มาอีก - หายเจ็บไปได้หลายวัน - หลัง
    ปวดเหมือนธรรมดา ที่ทำงาน แต่สะโพกปวดแบบกวนใจ - มันยุ่งๆ ยุกยิกข้างใน หัวเข่า
    ปวดซ้ายข้างเดียว - เหมือนไม่มีแรง ชอบทรุด
    ** เริ่มที่เข่าซ้าย - รู้สึกปวดอย่างเร็ว - แล้ววิ่งไปจี๊ดที่สะโพก 3 จี๊ด - แล้วจึงทะลุไปจี๊ดที่
    หลัง อีกหลายจี๊ด - เข่าเจ็บแล้วจึงร้อน - ตอนท้ายๆ เย็นนิดหน่อย
    ทำต่อที่หลัง กับสะโพก ไม่รู้สึกอะไร งั้นพอแค่นี้

    4. เฮียเฮง # 9 // ปวดน้อยลงที่ละนิด แต่ไม่หายขาด สงสัยคงทำได้แค่นี้ล่ะมั้ง รายนี้

    5. ป้าตังฮวย # 4 // เมื่อเช้าเหมือนไม่มีแรง, เป็นทุกวันเลย แต่เช้านี้หนักหน่อย
    ** ใส่ที่จักระหก กับแถวหน้าผาก - ก็ไม่รู้สึกอะไร , ลองนอนทำใส่ที่ท้อง กับแถวลำตัว
    เน้นที่ใต้สะดือ - อัดพลังเข้าไป - นานกว่าจะรู้สึกชาๆ ออกปลายเท้า จากเหนือข้อเท้า
    ลงไป - รู้สึกทั้งสองข้าง

    6. ลัดดาวัลย์ 21 ปี # 2 // เมื่อวานทำเสร็จหายปวด - ทั้งวันก็ไม่ปวดแล้ว โดนแดดก็ไม่
    เป็นอะไร - แต่ตอนเย็นมีปวดนิดหน่อย ที่บวมเหมือนจะยุกซักนิด
    ** ใส่ต่อที่บวม - พักนึงถึงร้อนวูบๆ ที่ซีกหน้าซ้าย - อีกพักนึงรู้สึกดันๆ ตรงที่บวม , ลอง
    ใช้พลังจากปลายนิ้วไล่ลงมา - ก็รู้สึกถึงพลังตามปลายนิ้วที่ไล่ พอไม่รู้สึก ก็พอล่ะ

    7. ต่าย 34 ปี # 5 // เริ่มใส่ที่ม้าม - รับรู้ได้ที่ปลายม้าม - แล้วค่อยๆ เคลื่อนไปที่ขั้วม้าม
    แล้วตึ้บๆ ที่ล่างม้าม - รู้สึกได้จากในม้าม - วิ่งขึ้นขั้วม้าม , พอหมดก็ลองใส่กว้างๆ + แถว
    สะดือ - รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ที่ด้านซ้ายของท้อง ใต้แนวสะดือเล็กน้อย - แล้ววิ่งขึ้นที่ปลายม้าม
    สักพักก็ไม่รู้สึกอะไรอีก ก็พอ

    ***********************

    เอาล่ะ พอแล้ว ใส่ประวัติการการรักษาแค่นี้
    รวมทั้งหมด 21 คน ระยะเวลา 12 วัน ตั้งแต่ วันที่ 21/1 - 1/2
    บังเอิญอีกแล้ว ตัวเลขมันดูแปลกๆ ไม๊เนี่ย ไม่ได้ตั้งใจนะครับ ขอบอก

    เดี๋ยวจะหาวิธีประมาณ ประมวล แล้วประเมินผล สรุปแล้วรวบรวมข้อมูล
    ขึ้นมาให้พิจารณากันอีกนะครับ วันหลังจะไปไล่ถามคนไข้ทั้งหมด
    ดูอีกทีนึง ว่าได้ผลมากน้อยแค่ไหน กี่วันหาย หรือกลับมาเจ็บอีก


    หมอมือเปล่า

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...