พระประสบการณ์จริงๆ ปี 56-57 มาแชร์กันครับ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย tee_tores, 8 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. สวนธน

    สวนธน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2013
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +147
    สวย คลาสสิคมากลยครับ แต่ผมไม่ทราบว่าของเกจิท่านใดครับ
     
  2. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,321

    ***พี่แฟน เขา ให้มาครับ เลี่ยมเงินให้เรียบร้อย
    เขาบอกว่าเป็น ขุนแผนเคลือบ กรุ วัดใหญ่....ครับ
    แหะๆ***
     
  3. สวนธน

    สวนธน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2013
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +147
    ได้มาสิบกว่าปี เคยเอาไปแห่ ก็เจอคนตีเป็นบล็อคสอง บางคนไม่ตีบล็อค แต่ขอซื้อ ส่วนตัวบอกตามตรง ยังไม่รู้เลยว่าเป็นบล็อคไหน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SUC50160.JPG
      SUC50160.JPG
      ขนาดไฟล์:
      480.8 KB
      เปิดดู:
      152
    • SUC50164.JPG
      SUC50164.JPG
      ขนาดไฟล์:
      397.7 KB
      เปิดดู:
      155
  4. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,049
    ค่าพลัง:
    +53,093
    [​IMG]
     
  5. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,049
    ค่าพลัง:
    +53,093
    พระหลวงปู่ท่าน หาคนฟันธงยากครับ แต่ผมว่าเนื้อหาเข้าท่าดีครับ
     
  6. สวนธน

    สวนธน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2013
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +147
    :cool: :cool: :cool: ที่สุดของหัวใจคนรักพระขุนแผนลยนะพี่ (deejai)

    ผมเคยไปเล็งของสายวัดพระญาติที่สร้างล้อพิมพ์ แต่ดูไม่ขาดก็เลยยอม :'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2013
  7. สวนธน

    สวนธน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2013
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +147
    คนขอซื้อนี่แหละ คงรู้ เพราะตอนนั้นพาเพื่อนเอาพระไปแห่ ของคนจะขายไม่มอง ดันมามองของคนแขวนคอไว้ซะได้ :'( :boo:
     
  8. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,049
    ค่าพลัง:
    +53,093
    วันนี้อาราธนา เบาๆ 2 องค์นี้หละครับผม

    [​IMG]
     
  9. สวนธน

    สวนธน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2013
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +147
    องค์ด้านขวาไม่รู้ัจักครับ องค์ด้านซ้ายมือไม่ต้องพูดถึง :d รู้อยู่ ส่วนใหญ่ผมจะแขวนเดี่ยวหนึ่ง แหนบเดี่ยวอีกหนึ่งครับ

    เอาไว้จะถ่ายรูปมาอัพให้ดูว่า นิมนต์ท่านใดออกนอกบ้านบ้างครับ (deejai)
     
  10. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,049
    ค่าพลัง:
    +53,093
    ในยุคสมัยที่วัตถุมงคลยังคงมีบทบาทในสังคมไทย วัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลังจึงมิใช่เป็นเพียงแต่สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ หากแต่ถือว่าวัตถุมงคลเหล่านั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ติดตัวคนไทยเกือบทุกคนก็ว่าได้...

    ดังนั้นเมื่อวัตถุมงคลมีคุณค่าและพุทธคุณสูงขนาดนี้ จึงจำเป็นที่ผู้ใช้ทุกคนจะต้องมีคุณธรรมประจำใจมาคอยกำกับเอาไว้

    เล่ากันว่าในช่วงที่หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกศิษย์ได้ถามท่านว่า

    “เมื่อสิ้นหลวงปู่แล้ว ใครจะทำของได้ขลังเหมือนหลวงปู่...”

    หลวงปู่ทิม ท่านชี้มือไปที่พระหนุ่มรูปหนึ่งที่มาปรนนิบัติรับใช้งาน พร้อมพูดว่า

    “โน่น คุณสาครเขาเรียนของนี่ไว้ทั้งหมดแล้ว”

    คุณสาคร ก็คือ”ท่านพระครูมนูญธรรมวัตร” หรือ”หลวงพ่อสาคร มนุญโญ” เจ้าอาวาสวัดหนองกรับ อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ที่ผมและเพื่อนๆร่วมอุดมคติกำลังกราบนมัสการและนั่งเสนอหน้าอยู่ในตอนนี้ครับ
    เป็นเวลานานร่วมปีแล้วครับที่ไม่ได้มาเยือนวัดหนองกรับ...

    จำได้ว่าครั้งสุดท้ายมาเยี่ยมหลวงพ่อจะเป็นช่วงนั้นท่านกำลังพักฟื้นร่างกายที่บอบช้ำจากอุบัติเหตุเมื่อครั้งไปร่วมงานพุทธาภิเษกที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มาวันนี้หลวงพ่อดูมีสุขภาพดีขึ้นแต่ก็ยังคงไม่เสถียรเท่าใดนัก แววตาที่สดใสพร้อมน้ำเสียงที่เมตตาผสมกันมาเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจครับ

    “ไปบ้านค่าย หมายดูประตูค่าย ป้อมคูหายเหลือไม่เห็นเร้นทหาร เหลือแต่ชื่อกล่าวเพรียกเรียกมานาน ยุทธสถานการณ์รบสยบมา....”



    วัดหนองกรับ ตั้งอยู่ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดระยอง เริ่มสร้างวัดเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๘ โดยพระอธิการคล้ายเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก

    จากประวัติของวัดทราบว่ามีเจ้าอาวาสมาแล้ว ๙ รูป โดยในปี ๒๕๐๘ พระครูเกลี้ยงเจ้าอาวาสองค์ที่ ๙ มรณภาพลง ชาวบ้านจึงได้ไปนิมนต์"พระสาคร มนุญโญ วัดละหารไร่"มาเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๑๐ ของวัด



    หลวงพ่อสาคร มีชื่อเดิมว่า “สาคร” นามสกุล “ไพสาลี” เกิดวันอังคารที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ แรม ๙ คำ เดือน ๓ ปีขาล บิดาชื่อ “กุ” มารดาชื่อ “นิด” ครอบครัวของท่านประกอบอาชีพทำนา...

    ตามคติความเชื่อของคนโบราณกล่าวไว้ว่า บุคคลใดก็แล้วแต่

    ”เกิดปีขาล วันอังคาร เดือนสาม”

    บุคคลนั้นถือว่ามีคุณสมบัติพิเศษในตัว เป็นที่เกรงขามและมีผู้ให้ความเคารพนับถือโดยตลอด หากดำรงตนอยู่ในทางชั่วร้าย ก็จะร้ายอย่างหาใครเสมอเหมือนยาก ที่สำคัญคือบุคคลที่เกิดในราศีนี้จะมีจิตใจฝักใฝ่ในเวทมนต์คาถา

    จะว่าไปแล้วผมคิดว่าในสังคมของความเป็นคนไทย คนไทยมีความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ โชคชะตา ตลอดจนเรื่องที่เหนือจริงบางอย่าง

    ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาหรือแม้แต่ในปัจจุบันกระบวนการหล่อหลอมกล่อมเกลาทางครอบครัวหรือทางสังคมก็ไม่เคยอบรมหรือสั่งสอนว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเหลวไหล เชื่อถือไม่ได้ หรือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่กลับตอบรับด้วยพิธีกรรมต่างๆ ตามคติความเชื่อ เช่นการโกนผมจุก ฯลฯ

    หรือแม้แต่จะตอบรับด้วยการกระทำ เช่น การเปลี่ยนชื่อให้เหมาะสม ฯลฯ โดยเฉพาะในสังคมชนบท ที่ความเชื่อถือเหล่านี้สั่งสมกันมาเนิ่นนาน จนกลายเป็นวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของคนไทย



    “เรื่องคาถาอาคมนี่ มันก็เริ่มจากเรามีความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละ”

    หลวงพ่อเล่าให้พวกเราฟังว่าท่านจบชั้น ป.๔ จากโรงเรียนวัดหนองกรับ เมื่อมีเวลาว่างท่านได้ไปขอเรียนวิชาจาก”ครูทัตและครูหล่อ” ซึ่งเป็นฆราวาสขมังเวทของบ้านละหารไร่ พอเริ่มโตขึ้นมาหน่อยก็ติดตามโยมพ่อโยมแม่ไปทำบุญที่วัดละหารไร่เป็นประจำ ยามนั้นวัดละหารไร่ มีสมภารเจ้าวัดเป็นพระภิกษุชราชื่อว่า

    “ท่านพระครูภาวนาภิรัต” หรือ“หลวงปู่ทิม อิสริโก”

    ท่านว่าเมื่อไปทำบุญบ่อยเข้าก็พบว่าหลวงปู่ทิม ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำให้ท่านเกิดความประทับใจและเลื่อมใส จึงได้ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ และเมื่อท่านได้ไปบอกเรื่องนี้แก่โยมพ่อโยมแม่ ก็ไม่ขัดและให้การสนับสนุนโดยการถวายเด็กชายสาคร ไพสาลีให้เป็นลูกบุญธรรมของหลวงปู่ทิมซะเลย โดยมีความเชื่อว่าถ้าถวายตัวเป็นลูกแล้ว การจะขออะไร หรือจะเรียนอะไร ก็จะได้ไม่ติดขัด

    “เราเรียนวิชาตั้งแต่ก่อนบวช เริ่มเรียนกับหลวงพ่อเพ่งก่อนและก็มาเรียนกับหลวงปู่ทิม จนครบบวช บวชแล้วก็เรียนกับท่านอีก ๘ ปี...”

    สำหรับ”หลวงพ่อเพ่ง สาสโน” วัดละหารใหญ่ อำเภอบ้านค่ายรูปนี้ เดิมท่านเป็นมหาดเล็กของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และได้ศึกษาวิชาอาคมมาจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยเฉพาะวิชาด้านคงกระพัน ชาวบ้านเล่าว่าท่านแน่ขนาดที่เขียนอักขระเพียงตัวเดียวลงในแผ่นตะกั่วให้คนไปลองยิงกันก็ไม่ออกครับ..

    หลวงพ่อสาคร บรรพชาอุปสมบท เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ณ พันธสีมาวัดหนองกรับ เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๐๑ โดยมีท่านพระครูจันทโรทัย (หลวงพ่อดิ่ง) วัดบ้านค่าย เป็นพระอุปชฌาย์ พระครูเกลี้ยง วัดหนองกรับ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการเคียง วัดไผ่ล้อม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “มนุญโญ” แปลว่า “ผู้มีความไพบูลย์”



    สมัยนั้นหลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่ถือว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดระยองและจังหวัดใกล้เคียง เกียรติคุณความศักดิ์สิทธิ์และเชี่ยวชาญในพระเวทย์ของหลวงปู่ทิมเป็นที่เชื่อถือของคนทั่วไป

    ดังนั้นจึงไม่แปลกครับที่จะมีผู้ที่ใฝ่รู้ในเรื่องของเวทย์มนต์คาถาต่างเดินทางมาขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่าน

    ซึ่งหลวงปู่ทิมท่านก็ไม่ยอมถ่ายทอดวิชาให้แก่ใครง่ายๆ ด้วยกลัวว่าเมื่อถ่ายทอดวิชาให้คนที่เรียนไปแล้ว จะไม่ยอมเอาไปใช้จริงๆก็จะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของท่าน แต่กับหลวงพ่อสาคร หลวงปู่ทิมท่านถ่ายทอดวิชาอาคมให้อย่างเต็มที่

    ชะรอยท่านจะรู้ว่าต่อไปภายหน้าหลวงพ่อสาคร จะต้องนำเอาวิชาเหล่านี้มาช่วยเหลือคน...

    ว่ากันว่า ศาสนาพุทธมีหลักความเชื่อและคำสอนในแบบวิทยาศาสตร์ กล่าวคือการให้ทดลอง ทดสอบ และสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง แต่ในทางกลับกันบางเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร เรื่องเหล่านี้เราเรียกรวมกันว่า “เรื่องลึกลับ” ครับ

    หลวงพ่อเล่าว่ามีอยู่วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังนั่งคุยอยู่กับหลวงปู่ทิม อยู่ๆหลวงปู่ทิมท่านก็หยุดคุยแล้วเอามือแหย่ลงไปในน้ำ พลางดีดนิ้ว สักพักก็มีฝูงปลาวิ่งเข้ามาหาท่าน พอหลวงปู่ทิมดีดนิ้วอีกครั้ง ปลาก็วิ่งเข้ามาหาท่านอีกเป็นจำนวนมาก..

    ซึ่งหลวงพ่อสาครได้เก็บความสงสัยอันนี้เอาไว้พอสบโอกาสเหมาะสอบถามหลวงปู่ทิม จึงได้ความว่าในวันนั้นหลวงปู่ทิม ท่านได้ใช้วิชาเรียกปลา

    “หลวงปู่บอกว่าวิชานี้อย่าเอาไปเลย เหลือไว้ให้แกบ้าง อีกอย่างแกก็กลัวว่าถ้าคนเอาไปใช้ไม่มีสัจจะก็จะเป็นบาป

    เพราะวิชานี้ไม่ใช่เฉพาะปลา มนุษย์หรือสัตว์ถ้าตั้งใจจะเรียกจริงๆ ก็สามารถนำเอาไปใช้ได้...”

    ในเรื่องของการเล่าเรียนคาถาอาคม ไม่ใช่ว่า ”เรียนวิชาที่กองอยู่ตรงหน้าให้เชี่ยวชาญเท่านั้น” ที่จะเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จ หากแต่ ”การได้เล่าเรียนให้มากที่สุดก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยกว่ากัน...”

    หลวงปู่ทิมสอนวิชาให้หลวงพ่อสาคร เพียงวันละหนึ่งวิชา โดยจะต้องท่องจำให้ได้แม่นยำ เมื่อท่องได้แล้ว ท่านก็จะสอนวิชาใหม่ให้อีก หลวงพ่อบอกพวกเราว่า ท่านเรียนโดยวิธีแบบนี้มานานหลายปีและที่ท่านสามารถท่องจำได้หมดก็เพราะว่าตอนนั้นท่านยังเป็นคนหนุ่มและมีความจำที่ดี แต่พอเรียนหนักๆเข้าก็ชักจะจำไม่ได้เพราะวิชาของหลวงปู่ทิมมีจำนวนมากเหลือเกิน

    ท่านเลยคิดวิธีเรียนทางลัด โดยเข้าไปในห้องที่เก็บตำราแล้วจุดธูปเทียนบอกครูบาอาจารย์ขอหยิบยืมตำราไปจดไว้ก่อน เพราะว่าเมื่อได้เรียนรู้เบื้องต้นแล้วเวลาหลวงปู่ทิมมาสอนท่านก็จะสามารถต่อวิชาได้อย่างรวดเร็ว แต่ท่านว่าคนเราต่อให้แน่ขนาดไหนยังต้องมีวันพลาด และแล้ว...วันนั้นก็เดินทางมาถึงท่าน

    ถึงตอนนี้หลวงพ่อสาครท่านเล่าด้วยรอยยิ้มว่า

    “เรากำลังเผชิญกับการละเมิดครั้งใหญ่..”

    เหตุการณ์เกิดขึ้นในห้องของหลวงปู่ทิม(ที่ใช้เก็บตำรา) ด้วยความที่หลวงปู่ทิมท่านเป็นคนละเอียด การจัดเก็บตำราของท่านจึงวางกองเอาไว้เป็นตั้ง โดยความสูงของตำราแต่ละตั้งจะเท่ากัน..

    ตามปกติแล้วหลวงพ่อสาครท่านจะหยิบเอาตำราของแต่ละตั้งออกไปในจำนวนที่เท่ากัน บังเอิญวันนั้นพลาดไปหน่อยเพราะหยิบออกไปเพียงกองเดียว ปริมาณความสูงของตำราตั้งนั้นจึงหล่นปรู๊ดลงมาจนเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า พอหลวงปู่ทิมมาเห็นจึงถามท่านว่าเอาตำราไปใช่ไหม

    “เราสารภาพกับท่านว่าตำราของหลวงปู่มีเยอะเหลือเกิน จะท่องจำอย่างเดียวคงไม่ไหว ต้องขอเอาไปลอกเก็บไว้บ้าง...”

    “หลวงปู่ทิมท่านไม่โกรธหรอก ท่านเพียงแต่ยิ้มๆแล้วบอกว่า สมัยที่ท่านเรียนท่านก็ทำแบบนี้...เรียนมาแบบนี้เหมือนกัน”

    เพียงคำพูดของหลวงปู่ทิมที่ว่าท่านก็ ”เรียนมาแบบนี้” ทำให้ใบหน้าของหลวงพ่อสาครที่เคร่งเครียด ยิ่งกว่านักการเมืองโดนยุบพรรค กลับมามีกำลังใจที่จะศึกษาต่อ ...

    “ว่ากันว่าในโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อทั้งสองฝ่ายหันมามองกัน ก็จะเห็นทั้งความหวังและความหนักใจในสายตาของกันและกัน”...

    เหมือนกับเหตุการณ์แอบเรียนวิชาของหลวงปู่ทิมกับหลวงพ่อสาครแหละครับ

    ”หนทางแก้ปัญหา คือต้องกล้าสู้หน้าเพื่อไปสู่สิ่งที่ดีกว่า”

    ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ คงรู้จัก”ขงเบ้ง” ขงเบ้งเคยกล่าวไว้ว่า

    “ทุกสิ่งทุกอย่างคนเป็นผู้สร้าง แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้นฟ้าเป็นผู้ลิขิต”

    แต่เพื่อนๆทราบไหมครับว่า ในความเป็นจริงแล้วถึงขงเบ้งจะเชื่อว่าคนเป็นผู้สร้างและฟ้าเป็นผู้กำหนด แต่ตลอดชีวิตของขงเบ้งก็ไม่เคยหยุดการสร้าง ที่เป็นเช่นนั้นอาจเกิดจากเหตุผลที่ว่าตัวของขงเบ้งเองก็ยังไม่ทราบว่าฟ้าจะกำหนดให้ไปเขาต้องไปทางไหน

    ก็คงเช่นเดียวกับหลวงพ่อสาครแหละครับ ในเมื่อขึ้นชื่อว่า”ความรู้ศึกษาเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด” จึงไม่แปลกที่เมื่อเรียนวิชาต่างๆจากหลวงปู่ทิมแล้ว ท่านจึงได้ออกแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อขอศึกษาวิชาอาคม จากที่หลวงพ่อสาครเล่าให้พวกเราฟังก็มีจำนวนหลายท่าน

    ทั้งที่เป็นพระและเป็นฆราวาส ซึ่งถ้าหากเอามาเขียนลงในบันทึกน้อยของผมตอนนี้คาดว่าต้องใช้เวลานานโขอยู่ ขอยกมาพอสังเขปครับ เช่น อาจารย์เชียงคำ ประเทศพม่า อาจารย์สุพจน์ ประเทศเขมร หลวงพ่ออาคม วัดดาวนิมิต เพชรบูรณ์ หลวงพ่อบึม วัดปราสาทหิน ปราจีนบุรี ฯลฯ

    พูดถึงเรื่องของประเทศเขมรกันบ้าง หลวงพ่อสาครเล่าเหตุการณ์เมื่อตอนที่ท่านเข้าไปเพื่อศึกษาวิชาว่า ท่านเข้าไปอยู่กับพวก “ชอง” ชองเป็นกลุ่มชนที่เชื่อถือในเรื่องของไสยศาสตร์และไม่นับถือพระ เมื่อเห็นว่าหลวงพ่อสาครเป็นพระจึงไม่ยอมสอนวิชาให้

    ซึ่งตามความจริงแล้วหลวงพ่อสาครท่านก็บอกพวกเราว่าท่านเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปเรียนหรอกแต่อยากเข้าไปพิสูจน์อะไรบางอย่าง ว่ามีจริงหรือเปล่า ดังนั้นในการเข้าไปครั้งนี้ท่านจึงต้องอาศัยเพื่อนของท่านพาเข้าไป พวกชองถึงยอมทำให้ท่านดู..



    “เกิดมาเป็นคนเหมือนกัน มนุษย์สัมพันธ์มันต้องมี...”

    เริ่มจากชอง ได้ตั้งพานครู ขันธ์ห้า และเอามีดวางลงในพานมีผ้าขาวปิดคลุมไว้ โดยให้หลวงพ่อสาครนั่งจับตามอง ในขณะเดียวกันก็ให้เพื่อนของท่านไปเฝ้าดูที่ต้นมะพร้าว ท่านเล่าว่าพอพวกชองเป่าลงบนผ้า มีดเล่มดังกล่าวก็หายไปและไปเสียบอยู่ที่ลูกมะพร้าว พอเป่าอีกทีมีดที่เสียบอยู่กับลูกมะพร้าวก็กลับมาอยู่ในพาน

    ซึ่งตัวท่านเองถึงจะเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์อยู่แล้ว ก็แอบประหลาดใจไม่ได้ถึงกับอุทานในใจว่า “ไสยศาสตร์มีจริง”

    ท่านว่าวิชานี้มันเป็นวิชาที่ใช้ทำร้ายคน ซึ่งนอกจากพวกชองจะมีวิชาทำร้ายคนแล้ว พวกยาเบื่อ ยาสั่งก็ยังมีมากเหลือเกิน บทสรุปของเรื่องนี้หลวงพ่อสาครท่านว่า



    “ต่อให้เรามีวิชาดี อาคมขลัง ก็ต้องมีสักวันที่เราจะพลาด แต่ถ้าเรามีพวก มีเพื่อน คอยช่วยเหลือดูแล นั่นแหละเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราปลอดภัยได้....อย่าลืมสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่คล้องใจเราและเขา....”

    ครับจะว่าไปแล้วก็เป็นความจริงที่ว่าสายสัมพันธ์ ย่อมไม่ใช่เป็นเพียงแต่การสนทนาพูดคุยหรือการที่เราได้อาศัยอยู่ร่วมกับคนอื่น แต่สายสัมพันธ์มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องตระหนักว่าชีวิตของเรามิได้เดินอยู่เพียงลำพังคนเดียว

    ว่ากันว่า....มนุษย์ไม่สามารถกำหนดคุณค่าของการดำรงอยู่ด้วยตัวเองเพียงลำพังคนเดียว มนุษย์หรือสัตว์จะมีความหมายอย่างไรย่อมจะต้องขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับอีกหลายสิ่งที่รายรอบ...

    หลวงพ่อสาคร ท่านได้ชื่อว่าเป็นพระที่สนใจและใฝ่รู้ในวิชา ทั้งนี้ท่านเพียงต้องการศึกษาให้รู้แจ้งว่าเรื่องของไสยเวทย์คาถาอาคมนั้นมีจริง สามารถทำให้เกิดผลได้จริง แต่ทั้งนี้ท่านบอกว่าทุกอย่างต้องอยู่ที่การปฏิบัติของผู้ใช้เป็นสำคัญด้วย ซึ่งผู้ที่จะใช้ให้ได้ผลต้องหมั่นฝึกฝนพลังจิตให้อยู่ในระดับที่สูง จึงจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้วิชาอาคมบังเกิดผลได้จริง

    พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า

    “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจถึงก่อน มีใจประเสริฐเลิศสุด สำเร็จจากใจ จะพูดจะทำอะไรก็ตาม ย่อมสำเร็จแล้วด้วยใจ”

    “การเสกของจะจับสายสินธ์หรือไม่จับก็ได้ เราไม่เคยจับ ของอย่างนี้มันอยู่ที่ใจ แต่ถ้าเขามีให้จับก็จับ

    ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ใจต้องไม่วอกแวก เหมือนเวลากรวดน้ำช่วงที่เทน้ำ เขาเอาน้ำมาเป็นสื่อกันใจวอกแวก ถ้าใจทิ้งดิ่งแล้ว อะไรก็กั้นไม่ได้”

    พวกเราฟังแล้วก็ต้องพยักหน้ารับ เพราะเท่าที่พวกเราพอทราบ ในเรื่องของไสยศาสตร์ เวทย์มนต์คาถา ตลอดจนการปลุกเสกเครื่องรางของขลังให้เกิดมีฤทธิ์ มีความศักดิ์สิทธิ์ ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของ “จิต” ที่เข้าไปควบคุม บังคับให้วัตถุมงคลเหล่านั้นบังเกิดผลตามที่ตั้งใจ



    หลวงพ่อเล่าให้พวกเราฟังว่าหลวงปู่ทิม ท่านเป็นพระที่ไม่ชอบสักยันต์ ดังนั้นในช่วงที่หลงพ่อสาครยังเป็นพระน้อย ท่านจึงต้องใช้วิธีการแอบสักให้กับพวกลูกศิษย์ ยันต์ที่ขึ้นชื่อของหลวงพ่อคือยันต์เก้ายอด หนุมาณเชิญธง ลิงลม โดยเฉพาะยันต์หมูทองแดง ค่อนข้างจะเป็นที่ปรารถนาของลูกศิษย์เลยทีเดียว



    มีครั้งหนึ่งหลวงปู่ทิมเดินผ่านมาเห็นหลวงพ่อสาครกำลังสักให้ลูกศิษย์และมีวัยรุ่นที่เป็นนักเรียนมานั่งรอเพื่อขอสักยันต์ หลวงปู่ทิมท่านหยุดมองและก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เมื่ออยู่กันสองต่อสอง หลวงปู่ทิมได้ถามขึ้นว่า

    “วันนั้นเขาลงโทษอะไรกัน”

    ท่านว่าหลังจากวันนั้นทำให้ท่านต้องมานั่งพิจารณาจนเห็นว่ามันจะเป็นโทษต่อวัยรุ่นที่กำลังศึกษา ท่านจึงได้เลิกสักยันต์และหันกลับมาจัดสร้างวัตถุมงคลเพื่อแจกจ่ายกับบรรดาลูกศิษย์โดยมีธรรมะแถมท้ายไปด้วย



    “วัตถุมงคลและธรรมะมีความสำคัญพอๆกัน ต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน พอเราจะให้ธรรมะล้วนๆก็ไม่มีใครเอา เราจึงต้องสร้างวัตถุมงคลเพื่อดึงคนเข้าวัด

    ลองให้คนเหล่านี้มาเข้าวัดปฏิบัติธรรมล้วนๆสิ รับรองไม่มีคนเข้า
     
  11. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,049
    ค่าพลัง:
    +53,093
    แต่พอบอกว่ามีวัตถุมงคลให้ คนก็จะพากันมาเข้าวัด สุดท้ายนั่นแหละที่คนเหล่านั้นจะได้ธรรมะกลับออกไปแบบไม่รู้ตัว”

    เคยมีผู้ให้ความเห็นไว้ว่า “ไสยศาสตร์ เกิดจากความกลัว” กล่าวคือเมื่อคนเรามีความกลัวและความทุกข์ ครูบาอาจารย์สมัยนั้นจึงคิดค้นสิ่งที่จะมาป้องกันและหาวิธีที่จะสร้างความมั่นใจ...

    ด้วยความที่หลวงพ่อสาครท่านสนใจในคาถาอาคมและมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์หลายอย่าง เช่น การเขียนลายไทย ลายปูนปั้น ฯลฯ ทำให้เมื่อท่านมาจัดสร้างวัตถุมงคล ผลงานของท่านจึงมีออกมาหลายรูปแบบและหลายวิธีการจัดสร้าง โดยเฉพาะสายวิชาของหลวงปู่ทิม...

    หลวงพ่อสาครท่านสามารถถ่ายทอดวิทยายุทธที่ได้รับออกมาเป็นเครื่องรางของขลังและพระเครื่องอีกมากแบบแต่ไม่มากชิ้น แต่ทั้งนี้ไม่ว่าท่านจะสร้างสรรค์วัตถุมงคลออกมาขนาดไหน หลวงพ่อสาครท่านก็ไม่เคยลดทอนคุณค่าในงานของท่านด้วยการสร้างแบบสุกเอาเผากิน



    “คนสมัยนี้เน้นความสวยงามมากกว่าพุทธคุณ จึงลืมไปว่าความสวยงามอายุของมันสั้น พอถึงยุคที่คนเขาไม่นิยมแล้วก็แทบจะหมดคุณค่าไป ไม่เหมือนกับการสร้างแบบโบราณที่เน้นพุทธคุณโดยใช้มวลสารและพิธีกรรมที่ถูกต้องเป็นหลักสำคัญในการสร้าง..”

    ผลเสียที่ว่าจะแสดงออกมาได้ชัดก็ต่อเมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไป หากเพื่อนๆไม่เชื่อลองมองย้อนหลังกลับไปดูได้ครับก็จะพบว่า วัตถุมงคลที่เน้นความสวยงามไม่เคยได้รับความนิยมแบบยั่งยืนเลย อย่างดีก็แค่ยืนระยะเป็นรัฐบาลก็อยู่ไม่ครบเทอม

    ไม่เหมือนวัตถุมงคลที่เน้นพุทธคุณถึงรูปแบบจะออกมาเชยๆ แต่ก็ยังสามารถก้าวเข้าไปนั่งครองใจมหาชน โดยเฉพาะพระเครื่องที่เป็นเอกลักษณ์ของสายตะวันออกอย่างเช่น พระขุนแผนผงพรายกุมาร

    “โอมสิทธิฟ้าฟื้นเจริญศรี หน้ากูงามคือพระแมน นะมะพะทะ..ฯลฯ..”



    คำว่า “ยอดขุนพลบ้านค่าย” ไม่ใช่เป็นแค่สโลแกนเท่ๆ ของพระขุนแผนผงพรายกุมารเท่านั้น หากแต่มันเป็นสโลแกนที่เกิดจากประสบการณ์ล้วนๆ ของผู้ที่ได้นำพระขุนแผนพิมพ์นี้ไปบูชาติดตัว

    หลวงปู่ทิมท่านได้สร้างพระขุนแผนผงพรายกุมารออกมาลืมตาดูโลกเมื่อปี ๒๕๑๗ เชื่อกันว่ามวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ยอดขุนพลบ้านค่ายนี้มีฤทธิ์ มีเดช คุ้มครองอันตรายได้เกิดจากผงวิเศษชนิดหนึ่งที่หลวงปู่ทิมได้สร้างไว้เป็นการเฉพาะคือ “ผงพรายกุมาร” ซึ่งจากกระบวนการสร้างที่ล้ำลึก มันจึงเป็นเรื่องยากที่สมองน้อยๆของผมจะอธิบายความ

    .....เอาเป็นว่าหลวงปู่ทิมท่านได้มอบผงชนิดนี้ให้หลวงพ่อสาครมาหนึ่งตลับยาหม่อง และได้มอบวิชาการสร้างมาให้ แต่หลวงพ่อสาครท่านก็ไม่ได้สร้างผงชนิดนี้ขึ้นใหม่ เพียงแต่ว่าเมื่อท่านจะสร้างพระพิมพ์ขุนแผน ท่านก็จะแบ่งเอาผงวิเศษนี้มาเข้าเป็นเชื้อแล้วก็ทำผงวิเศษชนิดอื่นมาผสมเพิ่มเติม

    สำหรับหลายท่านที่กลัวผลข้างเคียงอื่นๆ หลวงพ่อสาครท่านรับรองว่าไม่มีครับ และถ้าพระชุดนี้ไม่ดีจริงมันก็คงจะไม่แหวกตลาดเจียดพื้นที่ของวงการพระเครื่องในเมืองไทยได้ขนาดนี้หรอกครับ จะว่าไปแล้วรูปธรรมที่ชัดเจนคือคำว่า

    “ศรัทธามหาชนเท่านั้นที่เป็นเครื่องพิสูจน์”

    เพื่อนๆ ท่านใดที่ผ่านไปผ่านมาแถวๆ ระยองลองสอบถามกับชาวบ้านดูได้ครับ

    “โอมมนต์ชูชก ศรัทธาใจ พูดกับใครไม่ได้ให้น้ำตาไหลตก...ฯลฯ”

    ชูชก...จัดเป็นวัตถุมงคลชนิดหนึ่งในหมวดเครื่องราง ว่ากันว่าชูชกคือสุดยอดของเครื่องรางแห่งการขอ เนื่องจากตาขอทานเฒ่าในนามว่า “ชูชก” เป็นผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นทั้งคู่บารมีและคู่กรณีของพระเวสสันดร ในฐานะของ “ผู้ขอกับผู้ให้”



    หลวงพ่อสาครท่านได้รับสืบทอดวิชานี้มาจากหลวงปู่ทิมเช่นกัน โดยท่านว่าได้รับมาเป็นตัวอักขระเลขยันต์และคาถาเสก ซึ่งท่านได้นำอักขระยันต์ดังกล่าวมาล้อมรอบตัวเฒ่าชูชกที่ท่านได้วาดขึ้นและพิมพ์ออกมาเป็นผ้ายันต์เพื่อให้บังเกิดผลในทางอุดมลาภและค้าขาย..

    ผมเรียนถามท่านว่าชูชกเป็นตาเฒ่าอัปลักษณ์ รูปร่างก็สุดจะเหลือทน เราเอามาเป็นเครื่องรางมันจะเหมาะสมกันไหม...



    “ถึงชูชกจะมีรูปร่างอัปลักษณ์ แต่อย่าลืมว่าชูชกเกิดในตระกูลพราหมณ์ และชูชกนี่แหละที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้า วิชาชูชกจึงมีขึ้นมาเพื่อพุทธคุณเมตตาค้าขาย เรียกโชค เรียกลาภ แต่ก็แฝงคติของเรื่องการทำบุญ ทำทานและเสียสละ..”

    ฟังหลวงพ่อสาครอธิบายแล้วได้ใจดีแท้ อย่างที่เขาว่าแหละครับ เมื่อยังไม่ทราบอะไรชัดเจนอย่าได้ด่วนวินิจฉัย เพราะบางทีความคิดของคนเราจะตัดสินคำว่าถูกหรือผิดมันก็ห่างกันแค่กระพริบตา จะว่าไปแล้ว...

    “ของบางอย่างนั้น...มันจะงามอยู่ได้ก็เฉพาะในที่ของมัน ขณะเดียวกันมันก็ยังต้องการให้เราเข้าไปสัมผัสมันอย่างเข้าใจ...”

    ชูชก ก็ไม่ต่างกันหรอกครับ

    สำหรับพระที่ชัดเจนในการดำเนินแนวทางเผยแพร่ธรรมะควบคู่วัตถุมงคลแบบหลวงพ่อสาครแล้ว ท่านเชื่อและหวังให้ลูกศิษย์ของท่านทุกคนเชื่อเช่นกันว่า..”เมื่อวัตถุมงคลมีคุณแล้ว ในทางกลับกันวัตถุมงคลก็ย่อมมีโทษเช่นกัน”



    “มีโทษแน่นอน ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิด ได้รับไปแล้วเกิดความประมาทคิดว่าหนังเหนียวคงกระพันแล้วเที่ยวไปหาเรื่องคนอื่น....”

    “เราสร้างวัตถุมงคลเพื่อให้เป็นพุทธานุสติ ให้ทุกคนระลึกถึงคุณงามความดี มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่ตั้ง...”

    นอกจากนี้หลวงพ่อสาครท่านยังได้แสดงทัศนะกับพวกเราด้วยว่า ปัจจุบัน”โลกมนุษย์เป็นยุคที่เต็มไปด้วยอันตรายและทางเลือกในชีวิต” ดังนั้นการดำเนินชีวิตในทุกวันนี้จึงค่อนข้างจะเสี่ยงกับอันตรายรอบด้านและการหลงทาง ด้วยเหตุอันนี้วิธีการใดเล่าจะช่วยหลีกเลี่ยง



    “พรหมวิหารสี่ คือเครื่องชี้แนวทางดำเนินชีวิต ตราบใดก็ตามที่คนเราไม่ทิ้งพระพุทธเจ้า ไม่ทิ้งความมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา โลกก็จะไม่ร้อนอย่างทุกวันนี้ เอาเป็นว่าเฉพาะแค่เมตตาตัวเดียวก็สามารถเที่ยวได้รอบโลก...”

    เรื่องราวของหลวงพ่อสาคร ยังคงมีอีกมากครับเพียงแต่ว่า ณ เวลานี้ สมองน้อยๆ ของผมจำได้แค่นี้ เอาไว้ตกผลึกทางความคิด ได้รับสินเชื่อขยายความจุของสมอง แล้วจะนำมาเล่าให้ฟังกันต่อครับ



    ครับถึงไสยศาสตร์จะเป็นเรื่องของความเชื่อให้คนเราเข้าถึงศาสนา แต่มันก็ใช้เพื่อการพ้นทุกข์ทั้งหมดไม่ได้ ผมคิดว่าทางที่ดีแล้วหากใครต้องการความหลุดพ้น ควรจะใช้ธรรมะเป็นที่พึ่งจะดีที่สุด...

    แต่อย่าลืมว่า “วัตถุมงคล” ก็สามารถมองให้เป็นธรรมะได้เหมือนกัน

    เนื่องจากวัตถุมงคลเป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่ระลึกเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ตลอดจนการสร้างขึ้นมาก็ไม่ได้เสียหายอะไรกลับจะเป็นสิ่งที่ดีให้ทุกคนที่ยังไม่หลุดพ้นได้มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและรู้จักกระทำความดี



    “แต่บางคนมีพระดีแล้วยังประพฤติชั่วอยู่ทุกวัน แบบนี้ต่อให้มีพระดีติดตัวก็ไม่มีประโยชน์”....สวัสดีครับ



    ขอบคุณ คุณ Sitthi oknation.net
     
  12. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,049
    ค่าพลัง:
    +53,093

    อ๋อครับ พระองค์ขวามือเป็นพระหลวงปู่โสฬส วัดโคกอู่ทอง ปราจีนฯครับ ส่วนพระที่ผมแขวนออกนอกบ้านส่วนมากก็จะมีพระขุนแผนหลวงปู่ทิม พระหลวงพ่อเกษม ครับ จะไม่ค่อยเปลี่ยนแบบว่าถ้าออกบ้านต้องพระอะไร ส่วนมากจะเน้นแบบว่าถ้าอยู่บ้านไม่ได้ออกไปใหนก็แขวนลูกอมหลวงปู่ทิม กับพระองค์อื่นๆ นะครับ
     
  13. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,049
    ค่าพลัง:
    +53,093
    ท่านใดโชคดี จากเลข 257 09 บ้างหนอๆ
     
  14. kang_som

    kang_som เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    11,853
    ค่าพลัง:
    +27,800
    ผมโชคดีจาก 368 ครับผม ล็อตเตอรี่ 1 คู่
     
  15. pis_41

    pis_41 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    995
    ค่าพลัง:
    +1,700
    ขุนแผนหลวงพ่ออั้น วัดโรงโค จ.อุทัยธานี

    [​IMG]

    [​IMG]

    :cool:
     
  16. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,049
    ค่าพลัง:
    +53,093
    ยินดีด้วยครับคุณเอท :cool::cool::cool::cool:
     
  17. tee_tores

    tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,049
    ค่าพลัง:
    +53,093

    ว้าว ๆ ชอบครับ


    [​IMG]
     
  18. coolsunny

    coolsunny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    1,237
    ค่าพลัง:
    +1,474
    อีกองค์ที่ห้อยบ่อยครับ

    พระขุนแผนใบพุทรา หลวงพ่อหร่ำ วัดกร่าง จ.ปทุมธานี​


    [​IMG]

    พระขุนแผนใบพุทราเนื้อดินเผาผสมว่านมหามงคลของหลวงพ่อหร่ำ วัดกร่าง อดีตพระเกจิอาจารย์อาคมขลังของเมืองปทุมในยุคร้อยกว่าปีที่แล้ว แต่เดิมพระพิมพ์มารวิชัยในซุ้มเรือนแก้วนี้ไม่ได้เรียกกันว่าพระขุนแผน แต่ด้วยประสบการณ์ของผู้ที่ได้รับไปบูชา และต่างได้พบกับกฤตยาภินิหารทางด้านเมตตา มหาเสน่ห์กันอย่างเอกอุ ทำให้การล้ำลือ เล่าขาน และ แม้แต่พุทธคุณทางด้านมหาอุตม์ แคล้วคลาด คงกระพัน ก็ไม่น้อยหน้าใครในแผ่นดิน จึงพากันขนานนามพระพิมพ์นี้ว่า “พระขุนแผนใบพุทรา” อันเป็นการเปรียบเปรยว่า ผู้ใดที่ได้ห้อยบูชาพระพิมพ์นี้ จะมีเสน่ห์ และคงกระพันชาตรี เหมือนกับท่านขุนแผนผู้มีอาคมขลัง

    พระขุนแผนใบพุทรานี้ หลวงพ่อหร่ำท่านสร้างเอาไว้ในราวปี พ.ศ.2460 ส่วนเรื่องประวัติที่มาของพระเครื่องพิมพ์นี้มีการเล่าลือกันมาสองกระแส กระแสที่หนึ่งก็คือหลวงพ่อหร่ำท่านได้พบกรุพระพิมพ์นี้ แล้วนำมาปลุกเสกเพิ่มเติม แล้วแจกจ่ายให้กับลูกศิษย์ ผู้ใกล้ชิด และผู้ที่มาทำบุญที่วัด ส่วนอีกกระแสหนึ่งก็คือ ท่านได้รวบรวมผงวิเศษ ว่านมงคลต่างๆ และเศษพระเครื่องจากกรุต่างๆ แล้วนำมาผสมสร้างเป็นพระเครื่องพิมพ์นี้ขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะเป็นประแสไหน พระเครื่องพิมพ์นี้ล้วนได้รับการปลุกเสกจากหลวงพ่อหร่ำทั้งสิ้น

    ปัจจุบันพระเครื่องทุกๆ พิมพ์ของท่านหาได้ยากมากๆ เพราะมีจำนวนการสร้างน้อย ส่วนใหญ่ที่พบเจอก็มีแต่สภาพผ่านการใช้มาอย่างโชกโชน สึกกร่อนจนแทบจะไม่เห็นองค์พระ หาที่สวยๆ ระดับหูตากระพริบหายากหน่อย เพราะไม่ว่าผู้ใดที่เป็นนักนิยมพระเครื่อง พบเจอก็จะเก็บเข้ารังทันที
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. PraKhoonPhan

    PraKhoonPhan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    881
    ค่าพลัง:
    +6,624
    ดีใจจังครับที่ผมเด็กรุ่นใหม่ได้เห็นของเก่าๆ:cool::cool:
     
  20. mayakarn

    mayakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +19,921
    เลี้ยงเลยยยยยยย :cool::cool::cool::cool::cool::cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...