เจอเรื่องแปลกๆหลังทำสมาธิครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย aloneday, 13 มีนาคม 2013.

  1. aloneday

    aloneday Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +39
    ผมเป็นเพียงแค่ผู้เริ่มต้นฝึกสมาธิและเจริญสติครับ นั่งมาได้ไม่กี่วัน ที่บ้านของผมเอง ผมศึกษาจากในอินเตอร์เน็ตแล้วก็ตามเว็บต่างๆนะครับ แต่วันนี้เจออาการแปลกๆในขณะหลังนั่งสมาธิเลยลองเข้ามาถามดูครับ ถ้าผมใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ดีต้องขอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

    วันนี้ ผมพยายามนั่งสมาธิ ปวดเมื่อยมาก(เหมือนทุกที)เพราะผมนั่งหลังตรงไม่ได้ หลังจากนั่งอยู่30นาที ก็ล้มตัวนอน ก็เข้าใจว่านอนแล้ว คงไม่ใช่การทำสมาธิแล้วละ แต่ก็คิดว่าน่าจะลองกำหนดลมหายใจให้มันคล่องๆก่อนหลับดูดีกว่า เวลานั่งสมาธิจะได้คล่องตาม ก็เลยกำหนดต่อไป ซักพัก ผมละการกำหนดลมหายใจ แต่ดูแต่ความคิดตัวเอง มีเมื่อไหร่ก็คิดก็ดูจิต และคิดในใจว่าคิดหนอๆเบาๆ คันหรือปวดก็คันหนอปวดหนอ จนมีสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น แต่ผมยังรู้สึกตัวดีอยู่ ได้ยินทุกอย่างรอบข้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ จนสักพักหนึ่ง ก็มีความรู้สึก ซ่าๆ วูบๆที่หัว เย็นวูบแล้วก็ลงไปถึงปลายเท้ากลับไปกลับมา มันไม่ใช่ฝันแน่ๆเพราะผมรู้สึกตัวอยู่ แล้วก็ถ้าเป็นฝันผมคงไม่รู้สึกแบบนี้ แล้วอยู่ๆมันก็เบา เหมือนหลุดจากการบีบรัดทั้งปวง มันบอกไม่ถูกครับ มันเหมือนกับว่า อยู่ในสภาพที่อึดอัดมานานเหมือนถูกปลดปล่อย มีแต่ความรู้สึกสุขอย่างบอกไม่ถูก เบาสบายและไร้ความกังวลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ผมก็ยังคงกำหนดต่อไป มันก็เบาอยู่อย่างนั้น แต่ก็กำหนดดูความคิดไปเรื่อยๆ
    จนกระทั่งคนในบ้านเปิดประตูเข้ามาในห้อง ผมก็เลยลืมตา ความรู้สึกนั้นก็หายไป แต่คิดว่าไม่น่าจะใช่ความฝันเพราะรับรู้ภายนอกอยู่ตลอดเวลาเพียงแต่ไม่สนใจเท่านั้นเอง


    มันเป็นสภาวะหนึ่งของสมาธิหรือเปล่าครับ
    ถ้ามันเป็นสภาวะหนึ่งของสมาธิแต่ผมนอนไม่ได้นั่งมันใช่สมาธิหรือเปล่าครับ
    หรือผมแค่หลับฝันคิดไปเอง

    ขอบคุณครับ
     
  2. rasa84000

    rasa84000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +263
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เป็นสภาวะที่รับรู้ทุกอย่าง แต่ไม่เกิดการคิดปรุงแต่งใดๆ
    เป็นความรู้สึกเหมือนภาระทุกอย่างนั้นหายไป ไม่มีอะไรที่ต้องถือ ต้องแบกไว้ อีกแล้ว ใช่ไหมครับ
     
  4. ธรรมนำจิต

    ธรรมนำจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +137
    เป็นสภาวะที่เกิดจากสมาธิ อย่างหนึ่งค่ะ การทำสมาธิ ไม่จำเป็นต้องนั่งอย่างเดียว การที่คุณนอนแล้วดูจิต พิจารณาควบคู่ไปด้วยนั่นเป็นการทำสมาธิเช่นกัน แล้วจิตเริ่มดิ่งเข้าสู๋สมาธิที่ลึกขึ้น จึงเกิดปิติ ความสุขสงบ สบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นสมถะสมาธิค่ะ ถ้าเจริญสติแบบนี้ไปเรื่อยๆ จิตจะพิจารณาตามความเป็นจริงไปเอง เข้าสู่วิปัสสนา เป็นปัญญาสมาธิ...อนุโมทนาบุญค่ะ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ
     
  5. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    เริ่มต้นได้ดีแล้วก็ขอให้ฝึกปฏิบัติต่อไปให้ดียิ่งขึ้น อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
     
  6. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    สมาธิเป็นกลวิธีดึงจิตสู่สภาวะแห่งธรรม เมื่อจิตดึ่งลงธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตย่ิอมมีกำลังถอดจากรูปนามทั้งหลายได้ หากนอนและฝึกสมาธิไปจนหลับ..
    จิตจะดึงออกจากกายได้ตามกำลังสมาธิ บางท่านอาจรู้ตัวเวลาฝัน หรือจิตออกนอกกายไปสู่สภาวะนามธรรมแห่งนามโลก
    หากมีอาการดังกล่าวแบบนี้ แสดง ว่าดวงจิตของเราเริ่มมีพลังในระดับหนึ่ง ...
    พึงฝึกพิจาณาสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นให้สรุปลงได้ตามไตรลักษณ์ จนเกิดสภาวะแห่ง สุญตา คือ ว่างเปล่าไร้สิ่งยึดมั่นถือมั่น....เมื่อทำได้อย่างนี้ความเจริญในธรรมย่อมบังเกิด
    โมทนาธรรม.
    (อินทรปัญญาสกุล)​
     
  7. aloneday

    aloneday Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +39
    TT^TT แสดงว่าผมปัฎิบัติถูกต้องแล้วหรือครับ

    ครับอาการที่เกิดขึ้นคือ อยู่ดีๆก็รู้สึกซู่ซ่า ขนหัวลุก ผมตกใจมาก ว่าเอ้ยทำไมอยู่ๆก็รู้สึกอย่างงี้ แต่ก็พยายามสงบจิตไว้และคอยระวังจิตต่อไป แล้วอยู่ๆ มันก็เบาสบายไม่มีความกังวลใด เรื่องที่เคยกวนใจก็หายไปหมด เหมือนไม่ต้องถือไม่ต้องแบกไว้เหมือนที่ท่าน อินทรบุตร กล่าว แต่ก็ใช่ว่าจะโล่งเสียตลอดในความสงบนั้นก็ยังคงมีความคิดโผล่ขึ้นมาแต่ความคิดนั้นก็ยังถูกผมคอยระวังอยู่ถ้ามีอะไรลอยขึ้นมาก็จะคิดว่าตนกำลังคิดอยู่ แต่ผมไม่ได้กำหนดในใจเป็นคำพูด เหมือนคิดในใจ แต่ผมใช้ความรู้สึกว่ากำลังคิดอยู่ๆแทน บอกไม่ถูกครับ

    คือว่า ผม มีคำถามครับ คือศึกษาอ่านตามเว็บมาเยอะแต่มันก็ยังมีหลายอย่างที่ไม่เข้าใจครับ

    ผมเข้าใจว่า

    การจะเข้าถึงสภาวะนี้ได้นั้น จะต้องใช้จิตคืออะธิบายไม่ถูกอะครับ ผมเข้าใจว่าต้องใช้สิ่งที่ไม่ใช่ความคิดแต่เป็นการรับรู้โดยตรง เพราะว่า หลังจากที่นั่งมาหลายครั้งไม่เคยเข้าสภาวะจิตเลย ผมมัวแต่เคร่งกับการกำหนดเป็นคำพูดในใจอยู่ตลอดเวลาเลยเข้าไม่ถึงสักที

    หลังจากที่ผมภาวนา ไประยะหนึ่งผมหยุดภาวนา และใช้ความรู้สึกแทน ผมอธิบายไม่ถูกครับ เหมือนกับว่าใช้ความรู้สึก ไม่ใช่การนึก แต่สิ่งนี้ทำให้ผมเข้าถึง

    ผมเข้าใจว่านี่เป็นเพียงสภาวะหนึ่งที่จะเกิดขึ้น หลังจากมีกำลังสมาธิในระดับหนึ่ง
    แต่ผมคิดว่าคงยังไม่ใช่ทางที่ปลายทาง

    ถ้าผมปัฎิบัติแบบนี้ จะถือเป็นการปัฎิบัติที่ถูกหรือเปล่า ผมกำหนดและดูจิตแบบนี้ จะเป็นสมาธิที่เขาเรียกว่าสมาธิหัวตอหรือเปล่าครับหรือว่าการดูจิตแบบนี้นั้นเป็นทางที่ถูกแล้ว?

    ผมเกรงว่าถ้าผมปัฎิบัติผิด หรือเข้าใจผิดผมอาจจะหลงผิดไปได้ผมจึงมาตั้งกระทู้ถามครับ

    สิ่งที่ผมโพสนี้ อาจจะดูเป็นคำถามไม่ดีเพราะว่า มีเขียนไว้ตามที่ต่างๆแล้วก็ได้ แต่ว่าพอมาลงมือทำจริงๆ พอปัฎิบัติแล้ว สิ่งที่อ่านกับความเข้าใจที่เคยมี มันเหมือนผมอาจจะเข้าใจผิดมาตลอด คือผมพึ่งหัดเลยยังแยกแยะไม่ออกครับ แล้วก็ถึงจะอ่านมาแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ ยิ่งศึกษาผมยิ่งรู้สึกว่า สิ่งที่เรียนมานั้น ยิ่งไม่เข้าใจครับ จากที่คิดว่ารู้พอแล้ว ตอนนี้รู้สึกว่าไม่รู้อะไรเลย และกลัวว่าหากไม่ถามผู้รู้ผมมัวแต่ศึกษาเองผมอาจจะไปติดกับสภาวะลวงได้ จึงได้ถามมา ณ ที่นี้ครับ

    ถ้าหากสิ่งที่ผมได้พบเจอคือสภาวะของสมาธิแล้วนั้น ผมควรปัฎิบัติอย่างไรต่อไปครับ คิดว่าจะเจอสภาวะนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่เจอครานี้เป็นเรื่องบังเอินเท่านั้น จะทำอย่างไรจึงจะถูกต้องจริงๆครับ ผมไม่เข้าใจเลย



    หากผมใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม หรือกล่าวผิดประการใดต้องขออภัยด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2013
  8. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ถูกต้องดีแล้วครับ ใช้ความรู้สึก(จิตวิญญาณ)เข้าไปรู้ความคิดต่างๆของเรา
    เสมือนนายของจิตเฝ้ามองดูความคิดที่ไหลเข้ามาแต่ละขณะ
    แล้วใช้ปัญญาคือธรรมทั้งหลายเข้ามาพิจาณา เช่น กฏของไตรลักษณ์ ลักษณะความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ อย่างนี้เป็นต้น
    หลักสำคัญคือ เมื่อว่างเว้นจากการงานต่างๆ ให้กำหนดจิตเราให้ทรงตัวอยู่ในความเบิกบาน (จิตสูงทั้งหลายที่เีราเคยเข้าถึงได้) ให้ปรากฏในจิตวิญญาณเรา เมื่อกำหนดบ่อยๆ อกุศลที่อยู่ในห้วงสัญญาของจิตจะค่อยๆจางไป (กรรมไม่ดีแห่งความคิดที่เก็บอยู่รูปของสัญญาในขันธ์5นั่นเอง) และเมื่อบารมีธรรมค่อยๆแก่กล้าขึ้นแล้วความสุขแท้ในใจจักเกิดมีได้ในทุกขณะตามใจเราต้องการ
    โมทนาธรรมครับ​

    (อินทรปัญญาสกุล)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2013
  9. aloneday

    aloneday Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +39
    ขอบพระคุณท่าน อินทรปัญญาสกุล มากขอรับ
    กระผมจะดำรงอยู่ในการเจริญสติแบบนี้ จนกว่าจะเข้าหลักสมาธิขั้นต่อๆไปขอรับ

    ขอบพระคุณมากครับ
     
  10. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    ขอให้เจริญในธรรม
    ยิ่งๆขึ้นไปโดยราบรื่นครับ คุณaloneday ​
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    สภาวะอันนี้ดีมาก คุณเริ่มแยกออกแล้ว ว่า "รู้" กับ "คิด" แตกต่างกันอย่างไร

    ให้อยู่กับรู้ไปเรื่อยๆ แต่อย่ากลับไปหาคิด ไม่ต้องพยายามน้อมนึกพิจารณาอะไร เพราะมันจะตกจากสภาวะรู้เฉยๆ ไปกลายเป็นกวนความคิดให้มันเข้ามาแทรก กลายเป็นวิปัสสนึกไปเสีย

    วิปัสสนา คือ อยู่กับรู้
    วิปัสสนึก คือ อยู่กับคิด

    ถ้าคิด แล้วไม่รู้ตัวว่าคิด เมื่อไหร่ มันจะหลงอยู่ในวังวนการทำงานของสังขารขันธ์ ทันที
    เมื่อนั้น เราจะไม่ได้เห็นการทำงานของขันธ์ 5 ที่ถูกแยกออกมาเป็นการทำงานตามส่วนๆ
    แต่จะหลงเข้าไปรับสิ่งที่สังขารขันธ์มันปรุงแต่ง โดนมันหลอกให้ฟังมันแสดงธรรมให้ดูไปเรื่อยๆ แต่ธรรมนั้นเป็นธรรมจากการปรุงแต่ง จากการคิด ไม่ใช่จากการรู้อยู่เฉยๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มีนาคม 2013
  12. aloneday

    aloneday Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +39
    โอ้!!
    เป็นดั่งท่านอินทรบุตรว่าเลยขอรับ เมื่อก่อนผมเป็นวิปัสสนึกนี่เอง ความคิดของผมเองมันมัวคิดและแสดงธรรมให้เราไปเรื่อยๆเช่นนั้นจริง จนกระผมไม่สามารถวางจิตว่างได้เลย แสดงธรรมขัดเสียเรื่อยๆจวนๆจะมีสมาธิอยู่ ความคิดมันก็พุ่งพราดขึ้นมาเสียแล้ว จนไม่สามารถเข้าถึงได้ และก่อให้เกิดความรู้สึกที่ขัดแย้ง ไม่ก่อให้เกิดสมาธิแต่ขึ้นโจทย์ปัญหา และสรุปโดยความคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งเลยคิดว่าคงไม่ใช่แล้วไม่ก่อให้เกิดความสงบ แต่ทำให้ฟุ้งซ่านแทน แม้จะรู้ว่าไม่ใช่แต่ก็ไปต่อไม่ได้ รู้สึกเหมือนเวตาลที่หลอกล่อทายปัญหาอย่างไรอย่างงั้นเลย แต่พอเลิกนึกคำภาวนาเป็นความรู้สึกรู้แทน ถึงหลุดออกมาได้

    หากแต่น่าเสียดายยิ่งที่กระผมไม่สามารถเข้าถึงสภาวะนี้ได้โดยง่าย ที่เข้าถึงได้เพราะเหตุบังเอิน เหมือนกระผมนั้นจะเริ่มเข้าใจกลไกลและเริ่มรู้แนวทางแล้ว แต่กระผมไม่สามารถผ่านขึ้นตอนแรกของสมาธินี้ได้

    กล่าวคือตัวกระผมนั้นมิอาจทำให้จิตสงบหรือว่างเปล่าได้โดยง่ายอันเนื่องด้วยจากการที่กระผมนั้นเป็นคนหลงอยู่ เป็นผู้ไม่มีสติ จึงไม่ก่อเกิดสมาธิ หรือหลักยึดที่เหมาะสม โดยปาศจากความกดดันได้

    ช่างน่าเสียดายนักที่เหตุที่เกิดขึ้นเป็นความบังเอินชั่วขณะ ที่อยู่ดีๆผมก็สงบใจอย่างน่าประหลาด ในเวลานั้น ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหนื่อยจากการนั่งสมาธิพอล้มตัวนอนแล้วผ่อนคลายหรืออย่างไร วันนี้ไม่ว่าผมจะกระทำอย่างไร ก็มิอาจจะสงบใจได้เช่นวันวาน ทั้งเดินนอนนั่ง มันก็มีจิตแรก กระผมมิได้หวังว่า จะสามารถเข้าถึงสภาพเช่นนั้นเช่นที่เจอเมื่อต้นกระทู้ขอเพียงแค่ขอให้เข้าสู่สภาวะที่สงบ ที่ทำให้สงบพอที่จะใช้การรู้แทนการคิดกลับเกิดได้ยากยิ่งนัก

    ซ้ำยิ่งบริกรรมภาวนาก็ยิ่งเกิดเป็นความคิดก็ฟุ้งไปเสียหมดแล้ว กลับมาติดตรงขั้นแรกในการทำสมาธิเสียนี่ทั้งๆที่เริ่มจับหลักได้ งงเหลือเกินขอรับ หากความคิดมันฟุ้งเช่นนี้ จะตั้งมั่นความรู้สึกได้อย่างไร กระผมจับความรู้สึกได้นะขอรับ แต่ความคิดมันจะพุ่งขึ้นมาทำให้จิตขาดๆหายๆไม่ต่อเนื่องพยายามอยู่หลายชั่วโมงเลยทีเดียวขอรับ แต่ก็หาได้มีผลไม่

    ผมควรทำเช่นไรครับ

    ขอบคุณครับ
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มันเป็นความเคยชิน เป็นนิสัยที่เราเคยสะสมมาครับ และตัวสังขารขันธ์นั้นก็เป็นตัวที่เราชินในการฟังมัน และให้มันเป็นเรา เป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว

    แต่ตอนนี้ จับหลักของการรู้ได้แล้ว ให้พยายามอยู่กับรู้ ไปเรื่อยๆ สร้างให้เป็นนิสัยใหม่
    แล้วนิสัยของการมีสติรู้ มันจะเข้าไปแทนที่แบบเก่าได้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...