เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เดี๋ยวพรุ่งนี้จะโทรหาค่ะคุณ Oak.. (kiss)
     
  2. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    รู้สึกประทับใจกลอนของคุณชมภูเขาทุกครั้งที่ Post จริง ๆ เลยค่ะ..
    รู้สึกได้ถึงความไพเราะและมีพลังอยู่ในตัว..
    ขจรวรรณก็ชอบไปเที่ยวชมภูเขาอยู่เหมือนกันนะคะ..
    เพราะรู้สึกได้ถึงพลังของของธรรมชาติที่มีคุณค่ามหาศาลเลยค่ะ..
    (bb-flower
     
  3. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขออนุญาติถามพี่นักเขียนต่อนะคะ..
    ธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 2 แสวงหาผู้รู้ - ผู้ตอบคำถาม
    จากหน้า 7 - 8 ความปรารถนาของเธอมักเต็มไปด้วยเงื่อนไขมันทำให้เธอขาดอิสรภาพ และเมื่อเธอไม่สมความปรารถนา เธอก็ถูกบังคับให้ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นกว่าเดิม หรือต้องทนทุกข์กับความผิดหวัง มันทำให้เธอติดกับแห่งความปรารถนาอย่างไม่รู้จบสิ้น หากเธอเรียนรู้ที่จะใช้ความปรารถนาของเธอไปในทิศทางที่ฉลาดกว่านี้ เธอจะรู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องเผชิญกับความผิดหวังและไม่ตกเป็นทาสของความปรารถนาอีกต่อไป

    พี่นักเขียนช่วยกรุณายกตัวอย่างความปรารถนาที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขและไม่มีเงื่อนไขให้เป็นตัวอย่างซัก 2 - 3 ตัวอย่างได้มั้ยคะ? เผื่อว่าจะแยกแยะออกว่าสิ่งใดเราควรปรารถนาหรือไม่ควรปรารถนาน่ะค่ะ..
    (b-hmm)
     
  4. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    จากหน้า 11 - 12
    สรรพสิ่งทั้งหลายที่เธอรู้เห็นในร่างมนุษย์
    เป็นเพียงจินตนาการของความไม่รู้
    จิตวิญญาณในร่างมนุษย์ทุกสิ่งคือ
    " ผู้ที่กำลังเรียนรู้ "

    หมายความว่ามนุษย์ทุกคนต่างก็แสวงหาความรู้เหมือนกันทุกคน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเป็นผู้รู้ที่แท้จริงถูกต้องมั้ยคะ? แล้วหากเป็นลักษณะการติดต่อสื่อสารและแปลงความรู้หรือคำสอนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน หรือจากจักรวาล เราจะพิจารณาได้อย่างไรว่าคำสอนหรือความรู้ที่ถ่ายทอดมานั้นถูกต้องหรือไม่?
    (b-2love)
     
  5. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ไม่ได้ตอบแทนพี่นักเขียนนะคะ แต่ที่เข้าใจ (ยังไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า) ลองสมมุตเรื่องว่า เราสูญเสีย สิ่งที่เรารักมากอย่างหนึ่ง จะเป็นคน สัตว์หรือสิ่งของก็ตาม ทำให้เราอาลัยเสียดาย อย่างยิ่งมีความปรารถนาจะได้สิ่งนั้นกลับคืนมาอีก นั่นคือเงื่อนไข แต่ถ้าเราเพียงตั้งความปรารถนาว่า สิ่งที่จะมาทดแทนนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับสิ่งที่เราสูญเสียไป ไม่จำเป็นต้องสร้างเงื่อนไขว่าต้องเป็นคนเดิม หรือของชิ้นเดิม กลับคืนมา
    กำลังรอคำตอบจากพี่นักเขียนเหมือนกันค่ะ
     
  6. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526
    ขอบคุณคะ ก็ไปตามประสาคนป่าเขาลำเนาไพร ก็พอคลายเครียดจากภาวะของป่าคอนกรีตไปได้บ้าง ดีใจนะที่สามารถสัมผัสธรรมชาติที่ทรงคุณค่านี้
    ทุกครั้งที่ไดเยือนขุนเขา เหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติแห่งนี้
    ลุ่มลึก ทรงพลังและเยือกเย็น ....คงไม่ต่างจากความลุ่มลึกที่คุณขจรวรรณ
    ได้ Display ไว้ในห้องวิทย์..แห่งนี้ อย่างทรงคุณค่าเช่นกัน

    ไปเดินชมภูเขาด้วยกันนะ ....พร้อมลำนำคำสอนของพระอาจารย์..
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. leogirlw99

    leogirlw99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +4,765
    พี่เฉลยใจดี(อีกแล้ว)แวะเอาCDมนตรา โนวา อนาลัย มาให้
    ใกล้จะนอนแล้วเปิดฟังกล่อมตัวเองเข้านอน คืนนี้จะได้ฝันดี
    ฟังแล้วไพเราะทุกท่วงทำนอง ต้องบอกว่ายิ่งฟังยิ่งเคลิ้มเลย
     
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ค้นพบตนเอง

    พี่นักเขียนเชื่อมั่นว่า คุณเฉลยได้ค้นพบตนเองมานานแล้วค่ะ เพราะคุณเฉลยมีจิตใจที่จะช่วยเหลือลูกน้องและคนใกล้ตัวเสมอ เพียงแต่คำจำกัดความที่ว่า การหาตัวตนให้พบนั้นอาจทำให้คุณเฉลยเข้าใจไม่ถูกจุดว่า จะต้องค้นหาอะไร เมื่อพบแล้วจึงยังคิดว่าไม่พบ

    การค้นหาตัวตนของเราให้พบ หรือการรู้จักตนเองนั้น หมายถึงการหาให้พบว่า เราคืออะไร? ไม่ใช่หาว่าเราคือใคร? ท่านอาจารย์อนาลัยได้สอนให้เราตรวจสอบความเชื่อเสมอๆ เพราะท่านกล่าวว่าความเชื่อที่ผิดทำให้เราเข้าใจในธรรมชาติความเป็นจริงได้ยาก การค้นพบตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่การค้นพบว่าเรามีอดีตชาติความเป็นมาในชาติภพอืิ่นๆเป็นใคร เพราะไม่ว่าเราจะรู้เห็นว่าเราเป็นใครกี่แสนชาติภพ มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะเราไม่อาจรู้เห็นครอบคลุมตัวตนของเราได้หมดทุกชาติภพ-อย่างเป็นอนันต์ หากจะค้นหาว่าการเป็นใคร ในชาติภพใด เป็นเหตุที่ก่อให้เกิดผลในการเป็นเราในปัจจุบันชาติ ก็เรียกได้ว่าเป็นการได้ข้อมูลที่จิบจ้อยมาก เพราะมันขาดหายตกหล่น และไม่พอเพียงที่จะระบุการเป็นบุคคลตัวตนในปัจจุบันของเราได้เลย เพราะทุกชาติภพเกี่ยวพันกันหมด และส่งผลกระทบต่อการเป็นบุคคลตัวตนในปัจจุบันของเรา

    ความรู้เกี่ยวกับการเป็นใคร จึงไม่สามารถทำให้ตัวตนในปัจจุบันเป็นอื่นไปได้นอกจากเป็นเรา-ในปัจจุบันนี้ ผู้มีจุดยืน มุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ มีวิถีชีวิตและกำลังเผชิญกับความท้าทายในทิศทางจำเพาะที่เราเลือก สำหรับชาติภพนี้

    แต่ความรู้เกี่ยวกับการเป็นอะไร ทำให้เราสามารถที่จะ-เลือก-สร้างสรรค์และควบคุมวิถีชีวิตใน
    ปัจจุบันนี้ได้
    โดยไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของความไม่รู้ว่า ประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดของเรามาจากไหน? เรามาอยู่ ณ จุดนี้เพื่ออะไร? หน้าที่ในชาติภพนี้ของเราคืออะไร? และเราจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุดได้อย่างไร?

    เราจะตระหนักได้ว่า จากจุดยืนและมุมมองอันเป็นเอกลักษณ์ในชาติภพนี้ เราจะนำความรู้ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ของเราไปทำอะไรให้เกิดประโยชน์ได้มากที่สุด เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตของเราได้อย่างดีที่สุด

    พวกเราจำนวนมากพยายามค้นหาตลอดชีวิตว่า เป้าหมายของการมาถือกำเนิดของเราคืออะไร ? หน้าที่ของเราคืออะไร ? คำถามเหล่านี้มักนำพาให้เราค้นหาอาชีพ ค้นหากิจกรรม และค้นหาความสามารถพิเศษที่จะทำให้เราเป็นบุคคลตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ ผู้บรรลุเป้าหมายอันสูงสุดในชีวิตได้ ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเร ซึ่งจะเรียกว่าค้นหาความรู้ความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ที่ดีที่สุดของเราก็คงไม่ผิด แต่ก็มีพวกเราจำนวนมากที่แม้จะพบเป้าหมายนั้นๆแล้ว พบหน้าที่แล้ว กลับหลงทางไปเพียงเพราะเขากลับไปจดจ่อที่เงินทอง ชื่อเสียง ลาภยศ และประโยชน์สุขส่วนตนในระดับกายภาพซึ่งหยิบฉวยเอาได้ระหว่างทางที่เขาจะดำเนินไปสู่เป้าหมายและหน้าที่สูงสุด แต่มันกลับทำให้หลงออกนอกลู่นอกทางไป

    การจดจ่อในทิศทางเหล่านี้ นอกจากจะทำให้เขาหลงทางไปจากเป้าหมายที่แท้จริงของการมาถือกำเนิด และหลุดไปจากหน้าที่ที่เขาเลือกแล้ว ยังทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดในชีิวิตได้ เพราะตามธรรมชาติแล้ว การค้นพบเป้าหมายและหน้าที่ที่แท้จริงที่เราเลือกมาถือกำเนิด มักนำพาให้เราค้นพบธรรมชาติความเป็นจริงว่า เราคืออะไร? ทำไมเราจึงเลือกมาทำหน้าที่นั้นๆ? และทำให้เราค้นพบต่อไปอีกด้วยว่าความสามารถพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของเราคืออะไร? และเราจะนำมันไปใช้ให้เราบรรลุเป้าหมายสูงสุดในชีวิตเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นได้อย่างไร? แต่เมื่อการจดจ่อของบุคคลหันไปจดจ่อเพียงประโยชน์สุขของตนเอง การจะบรรลุเป้าหมายที่สูงสุดนั้นจึงไปไม่ถึง

    การค้นพบเป้าหมายสูงสุดและหน้าที่ที่เราเลือกมาถือกำเนิดนี้ จะนำมาซึ่งสิ่งทีี่เราพึงปรารถนาอื่นๆในชีิวิตด้วยเช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า "Do what you love, money will follow." ไม่ว่าเราจะปรารถนา เงินทอง ลาภยศ ชื่อเสียง ก็ไม่ใช่สิ่งที่เสียหาย มันจะเสียหายก็ต่อเมื่อเรามุ่งหวังเอา เงินทอง ลาภยศ ชื่อเสียง ก่อนโดยทอดทิ้งหน้าที่หรือเป้าหมายที่เราเลือกมาถือกำเนิด เพราะนอกจากเราจะไม่อาจบรรลุเป้าหมายสูงสุดของการมาถือกำเนิดในชาติภพนี้ได้แล้ว ยังทำให้เราพลาดที่จะได้ใช้ความสามารถพิเศษและความเป็นเอกลักษณ์ของเราไปโดยสิ้นเชิง

    ผู้ที่ตกอยู่ในสภาพดังกล่าวนี้มักรู้สึกว่า ตนเองตกอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า คิดแล้ว-ไม่ได้ทำ รู้แล้ว-ไม่ได้ทำ ทำได้-แต่ไม่ได้ทำ แม้สิ่งที่อยากจะทำคือความปรารถนาอันลุ่มลึก แต่ที่ไม่ได้ทำก็เพราะตนเองเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสู่เป้าหมายทางกายภาพอันได้แก่ เงินทาง ลาภยศ ชื่อเสียง หรือสนองความต้องการในระดับการภาพ แทนเป้าหมายทางจิตวิิญญาณ ผู้ที่หลงทางไปจากเป้าหมายสูงสุดของชีึวิตมักตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า Owe it to yourself. คือ เป็นหนี้ตนเอง หรือหาตนเองไม่พบ

    การค้นให้พบตนเอง จึงหมายถึงการค้นให้พบข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ หรือค้นให้พบความรู้ความสามารถที่อยู่ในอารมณ์และความรู้สึกอันลุ่มลึก ที่เราสามารถถ่ายทอดมาสู่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราในปัจจุบัน ไม่ใช่ค้นให้พบการเป็นใคร แต่ค้นให้พบความรู้ความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ด้วยการสร้างสรรค์ และเรียนรู้คุณค่าชีวิตด้วยการเป็นผู้ที่สามารถนำความรู้ความสามารถทั้งหลายมาก่อให้เกิดประโยชน์ด้วยการให้ ด้วยการรัก และด้วยการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นด้วยความรักอันปราศจากเงื่อนไข ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันเป็นแก่นแท้ของจิตวิญญาณ การค้นพบดังกล่าวนี้จะทำให้เราค้นพบคุณภาพอันเป็นอมตะของเรา

    แม้เราทั้งหลายผู้ยังเป็นร่างกายเนื้อหนังยังไม่ได้เป็นอิสระจากความปรารถนา เพราะเรายังต้องขึ้นอยู่กับความอยู่รอดทางกายภาพและจินตภาพ คือยังต้องบำรุงรักษาร่างกายและจิตใจของเราอยู่นี้ เราก็สามารถที่จะมีอิสระแห่งความปรารถนาได้ด้วยการเข้าให้ถึงความรู้ภายใน เพราะการเข้าถึงความรู้ภายใน หมายถึงเข้าถึงความสามารถที่จะถ่ายทอดข้อมูลความรู้มาจากชาติภพทั้งหลายทั้งในอดีตและอนาคต เพื่อนำมาสนับสนุนให้เรามีความสามารถที่จะสร้างสรรค์และแสดงออกได้อย่างดีที่สุด คือ มีได้-เป็นได้-ทำได้อย่างดีที่สุดในปัจจุบันเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดในชีวิต ในทิศทางที่ทำให้เราสามารถให้และช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นได้อย่างดีที่สุดด้วยความรักอันปราศจากเงื่อนไข

    การที่ความรู้ภายในจากทุกชาติภพจะหลั่งไหลมาสู่เราได้นั้น เป็นไปได้ด้วยการกำจัดความเชื่ออันจำกัด ที่ขวางกั้นการถ่ายทอดอันเป็นไปอยู่แล้วอย่างเป็นธรรมชาติในทุกระดับ

    ความเชื่ออันจำกัด มักทำให้เราไม่อาจเป็นผู้ให้และรักได้โดยปราศจากเงื่อนไข
    ความเชื่ืออันจำกัด มักทำให้เราไม่อาจทำหน้าที่ได้โดยไม่เอาผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง
    ความเชื่ออันจำกัด มักทำให้เราจดจ่อกับเป้าหมายทางกายภาพ มากกว่าเป้าหมายทางจิตวิญญาณ และพลอยทำให้ไปไม่ถึง-ทุกเป้าหมาย


    การค้นพบตนเอง คือการค้นพบธรรมชาติที่แท้จริงของจิตวิญญาณอันเป็นแก่นแท้ของเรา ซึ่งหมายถึงการค้นพบข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่เราจะสามารถถ่ายทอดมาสู่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในปัจจุบัน เพื่อการสร้างสรรค์ เพื่อการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิตของเราได้อย่างดีที่สุด เพื่อทำหน้าที่ให้ เพื่อรัก และช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นได้ในทิศทางอันเป็นเอกลักษณ์ของเราได้โดยปราศจากเงื่อนไข ซึ่งเป็นคุณภาพอันเป็นอมตะของเราที่จะสถิตย์อยู่ในจิตวิญญาณตลอดไป ทุกชาติภพ และทุกชีวิตนอกเหนือชาติภพ(rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2007
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    สติสัมปชัญญะกับมาตรวัดความเป็นจริง

    คำกล่าวของท่านอาจารย์อนาลัย หมายถึงว่า มนุษย์ทุกคนต่างก็กำลังแสวงหาความรู้ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดสามารถรู้จักธรรมชาติของโลกแห่งความเป็นจริงได้ทั้งหมด เพราะตราบใดที่จิตวิญญาณยังเป็นร่างกายเนื้อหนังอยู่ เราจะรู้เห็นโลกแห่งความเป็นจริงทั้งหมดยังไม่ได้ แต่เราเรียนรู้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ

    การติดต่อสื่อสารหรือรับถ่ายทอดข้อมูลความรู้จากองค์ความรู้เป็นสิ่งที่เราทุกคนทำได้ และเราก็ทำมาตลอดชีวิต เพื่อนำความรู้เหล่านั้นมาใช้ในการดำรงชีวิตเป็นร่างกายเนื้อหนัง บางคนก็นำความรู้เหล่านั้นมาใช้มากกว่าเพียงแค่ดำรงให้ชีวิตอยู่รอด ซึ่งเราก็เห็นตัวอย่างได้มากมายจากผู้ที่ดูเสมือนจะมีความรู้ความสามารถซึ่งไม่ได้เรียนรู้จากทางโลก แม้แต่ตัวเราแต่ละคน หากเราพิจารณาให้ดี เราก็จะพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เสมือนว่าเราจะคิดได้เอง ทำได้ด้วยตนเอง โดยไม่มีผู้ใดสอนเรา เราไม่เคยไปร่ำเรียนมาจากไหน แต่เรามักมองข้ามที่มาของข้อมูลความรู้เหล่านี้ไปโดยสิ้นเชิง บางคนรับรู้ได้ในความฝัน บางคนรับรู้ได้ยามตื่นเสมือนความคิดที่ผุดขึ้นมา และเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ตนนึกคิดได้เองโดยไม่ได้ตระหนักว่าตนเองไปรับเอามาจากไหน ได้อย่างไร แต่ก็รับเอา และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันโดยปริยาย

    การพิจารณาว่าข้อมูลความรู้ที่ปรากฏนั้นถูกต้องหรือไม่ทำได้ไม่ยาก เพราะข้อมูลความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริงทั้งหลาย ล้วนเป็นข้อมูลความรู้ที่เกี่ยวพันกับจิตวิญญาณอันเป็นแก่นแท้ของเราโดยตรง จิตวิญญาณจึงเป็นมาตรวัดที่ดีที่สุดที่จะพิจารณาความเป็นจริงของข้อมูลความรู้เหล่านี้

    จิตวิญญาณก็คือข้อมูล-ความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ
    ที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด


    การสำรวจและพิสูจน์ความเป็นจริงของข้อมูลทั้งหลายจึงวัดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่เพียบพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ หากข้อมูลความรู้ที่เราเชื่อว่าเป็นองค์ความรู้นั้นขัดแย้งกับข้อมูล-ความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพที่มีอยู่ในจิตวิญญาณ เราจะมีความรู้สึกที่ไม่ดีเกิดขึ้นเสมอ ข้อมูลความรู้เหล่านี้ไม่ใช่ของใหม่สำหรับจิตวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งที่จิตวิญญาณไม่เคยรู้จัก แต่มันเป็นเสมือนข้อมูลความรู้ที่มาเตือนความจำอันลุ่มลึกที่เราลืมเลือนไป หากเตือนแล้วนึกออกเมื่อไร จะเกิดความรู้สึกดื่มด่ำเสมือนได้พบคนรักเก่าหรือกลับบ้านเก่าที่เราจากมานานแสนนาน เราจะเกิดความตื้นต้น สัมผัสได้กับพลังงานต้นกำเนิดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความผูกพันธ์ ความรู้สึกดังกล่าวนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง

    บางคนที่มีความเชื่อที่รับมามากมายจากการศึกษาทางโลก เมื่อมาศึกษาข้อมูลความรู้ที่พี่นักเขียนเรียกว่าองค์ความรู้จากภายในเหล่านี้ มักจะเกิดความรู้สึกขัดแย้งอย่างรุนแรง เพราะแม้ว่าเขาจะมองเห็นหรือสัมผัสกับความรู้สึกที่ดีมากมายจากสาระเหล่านี้ แต่มันไม่ได้คล้องจองกับความเชื่อของเขา แต่ถึงกระนั้นบางสิ่งบางอย่างก็จะทำให้เขาไม่หันหน้าหนีหรือทิ้งข้อมูลความรู้เหล่านี้ไปโดยปริยาย เขากลับจะตั้งคำถามมากมายเพื่อพิสูจน์ความเป็นจริง เสมือนคนที่จากบ้านไปนาน กลับมาถึงหน้าบ้านแล้วไม่แน่ใจว่าใครมาอาศัยอยู่ในบ้านเก่า อยากจะเข้าบ้านแต่ก็ไม่ไว้ใจว่าใครอยู่ในบ้าน หรือคนที่กลับไปพบคนรักเก่า ก็ไม่แน่ใจว่ายังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า แต่จะหันหลังให้โดยไม่ตรวจสอบความเป็นจริงก็ทำไม่ได้ เป็นต้น

    ส่วนผู้ที่ไม่ได้หยิบจับหนังสือ ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้สัมผัสกับข้อมูลความรู้เหล่านี้เลย แต่มาสะดุดกับเพียงแค่ชื่อของหนังสือ ได้ยินได้ฟังหรือได้อ่านสาระเพียงสั้นๆ ไม่มากพอที่จะทำให้เข้าใจข้อมูลทั้งหมดได้ลึกซึ้งพอ เรียกว่าสัมผัสเพียงเปลือกนอกก็ด่วนตัดสินข้อมูลความรู้เหล่านี้โดยไม่ได้ไปถึงเนื้อในของข้อมูล และตัดสินไปตามความเชื่อที่มีจำกัด เสมือนคนที่ยังไม่ทันเงยหน้าขึ้นพิจารณาว่า มันคือบ้านเก่าของตนเอง หรือยังไม่ทันมองเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือ คนรักเก่าด้วยซ้ำไป ก็ตัดสินว่าไม่ใช่ หรือไม่รู้จัก หรือไม่ถูกต้อง

    คำถามนี้เป็นคำถามที่ดีที่สุดสำหรับพี่นักเขียน และสำหรับพวกเราทุกคน เพราะการที่เราจะรับข้อมูลความรู้ใดๆ รวมทั้งข้อมูลความรู้จากหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัยโดยปราศจากการพิสูจน์ ปราศจากการตั้งคำถาม ย่อมเป็นการไม่ถูกต้องและขาดการใช้ปัญญาโดยแท้ เพราะข้อมูลความรู้เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผ่านมาทางพี่นักเขียนซึ่งเป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น พี่นักเขียนไม่กล้าแม้แต่จะใส่ชื่อของตนเองบนหน้าปก-ในปก-หรือเน้ือในของหนังสือ เพราะเชื่อว่าการนำชื่อของตนเองไปปรากฏในหนังสือจะทำให้เกิดวิตกวิจารณ์ได้มาก แทนที่ผู้อ่านจะพิจารณาข้อมูลความรู้เหล่านั้นว่าเป็นของจริงหรือไม่-โดยพิจารณาจากสาระของข้อมูล ก็อาจจะไปพิจารณาจากและตัดสินความเป็นจริงของข้อมูลจากความน่าเชื่อถือ หรือ คุณสมบัติส่วนตัวของบุคคล ยิ่งคนที่รู้จัก คนใกล้ตัวหรือผู้ที่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพี่นักเขียนมาก่อน ก็ยิ่งรังแต่จะทำให้เกิดวิตกวิจารณ์ และตัดสินต่างๆนานามากมายยิ่งไปกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก

    การมาทำหน้าที่ตอบคำถามของพี่นักเขียน เป็นสิ่งที่พี่นักเขียนหนักใจที่สุด แต่ก็ไปรับปากกับครูบาอาจารย์ในความฝัน(อีกจนได้) เพราะเมื่อตนเองรับข้อมูลความรู้เหล่านั้นมาเขียนเป็นหนังสือ มีเวลาถอดความหลายเดือน และอยู่กับความเงียบสงบที่ทำให้ความคิดหลั่งไหลออกมามากมายจากภาวะที่พี่นักเขียนเรียกว่า สัมผัสกับองค์ความรู้ที่พี่นักเขียนเรียกท่านว่า-อาจารย์อนาลัย แต่เมื่อมานั่งหน้าจอ-เผชิญกับคำถามมากมาย พี่นักเขียนไม่ทราบมาก่อนว่า จะพบคำถามเช่่นไร จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ดีพอหรือไม่ และจะเอาคำตอบมาจากไหน แต่เมื่อรับมาทำหน้าที่ต่อไปก็เชื่อว่า ตนเองได้รับข้อมูลความรู้มาแล้ว ก็คงจะได้รับการสนับสนุนที่จะได้รับคำตอบมาขยายความหนังสือต่อไปตามหน้าที่ จึงทำไปด้วยความเชื่ออย่างหมดใจพอๆกันกับการรับข้อมูลความรู้ที่นำไปเขียนหนังสือ

    กล่าวได้ว่าช่วงเวลา 2 เดือนเศษที่พี่นักเขียนมาทำหน้าที่ตอบคำถามพวกเราอยู่ในห้องวิทย์ฯ เป็นช่วงเวลาทดสอบตนเอง คือทดสอบว่าตนเองสื่อสารกับองค์ความรู้และถ่ายทอดข้อมูลความรู้เหล่านั้นมาจากองค์ความรู้หรือไม่ แม้ว่าจะมาจนถึงทุกวันนี้ พี่นักเขียนก็ตระหนักว่าทุกวินาทีมีความหมาย มีความสำคัญและจำเป็นต้องตรวจสอบและพิสูจน์ตนเองเสมอ ไม่น้อยไปกว่าที่พวกเราทุกคนควรจะต้องตรวจสอบ ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง ว่าข้อมูลความรู้ที่พี่นักเขียนนำมาถ่ายทอดต่อไปในห้องวิทย์ฯนี้ เป็นส่ิงที่ถูกต้องและเรียกได้ว่าองค์ความรู้หรือไม่

    ปัจจัยสำคัญคือ ไม่ว่าเราจะมีพื้นฐานความรู้-ศาสนาหรือความเชื่อใดๆที่แตกต่างกัน แต่เราต่างก็ยอมรับเป็นเสียงเดียวกันได้เสมอว่า การพิสูจน์ข้อมูลความรู้ทั้งหลายจะเป็นไปได้ก็ด้วยการมีสติสัมปชัญญะที่คมชัด ซึ่งหมายความว่าเราจะต้องเผชิญกับข้อมูลความรู้ด้วยการใช้ความคิด-ใช้ปัญญาสำรวจอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราอีกทีหนึ่ง เพราะแม้ว่าอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดจะเป็นมาตรวัดโดยตรงของจิตวิญญาณ แต่บ่อยครั้งอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของเราที่ไม่เป็นกลาง และปราศจากสติสัมปชัญญะก็คล้อยตามความเชื่อที่ผิด และกลายเป็นมาตรวัดที่ใช้การไม่ได้

    สติสัมปชัญญะอันคมชัด คือสติสัมชปัญญะที่สำรวจความเชื่อของตนเองควบคู่ไปกับการรู้เห็นเสมอ เพื่อให้เราตระหนักได้ว่าอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นนั้นคล้อยตามความเชื่อที่ผิด ความเชื่ออันจำกัด หรือมีความเป็นกลาง-คือเป็นไปตามความรู้อันเป็นธรรมชาติความเป็นจริง

    [​IMG]

    ไม่ว่าศาสตร์แห่งศาสนาใด หรือวิทยาศาสตร์สาขาวิชาใด ก็คงไม่ปฏิเสธว่า สติสัมปชัญญะคือปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เราเป็นคนได้ครบคน หรือเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเมื่อเรานำเอาสติสัมชปัญญะซึ่งเป็นปัจจัยอันสูงสุดของการเป็นมนุษย์ มาใช้เป็นปัจจัยที่ควบคุมมาตรวัด อันได้แก่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นจากการรับข้อมูลความรู้ใดๆ เราย่อมจะตระหนักได้ว่า มันคือมาตรวัดที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด-ที่เราจะพึงมี-และนำมาใช้ได้เสมอ (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2007
  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความปรารถนา กับ เงื่อนไข

    ความปรารถนาที่เต็มไปด้วยเงื่อนไข เกี่ยวพันกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราค่ะ สำหรับความอยากได้-อยากเป็น-อยากทำเราคงมองเห็นเงื่อนไขต่างๆได้ไม่ยาก เช่น อยากร่ำรวยเพราะอยากอยู่ในฐานะที่เหนือผู้อื่น สบายไม่ต้องเหน็ดเหนืิ่อย มีคนนับหน้าถือตา อยากมีชื่อเสียงเพราะอยากเด่นในสังคม อยากมีลาภยศเพราะอยากอยู่ในฐานะเป็นบุคคลแนวหน้า มีคนกราบไหว้ เป็นต้น เมื่อความปรารถนาเหล่านี้มีเงื่อนไข ต่อให้เราได้ดังปรารถนาแล้ว เราก็มักจะยังไม่พอใจหรือคิดว่ายังไม่สมความปรารถนาอยู่ดี เช่น แม้จะร่ำรวยแล้ว แต่ยังไม่ได้สบาย-แต่กลับต้องเหน็ดเหนื่อยยิ่งขึ้นไปอีก เราก็คิดว่าเรายังร่ำรวยไม่พอหรือยังไม่สมความปรารถนา หรือมีชื่อเสียงแล้วแต่ก็ยังมีคนไม่รู้จักเรา เราก็คิดว่าเรายังมีชื่อเสียงโด่งดังไม่พอ มีลาภยศแล้วแต่ก็ยังมีคนไม่สรรเสริญ ยังมีคนนินทา เราก็คิดว่าเรายังมีลาภยศไม่มากพอ เป็นต้น

    แต่ความปรารถนาอื่นๆที่ลึกไปกว่าเงินทอง ลาภยศ ชื่อเสียงของคนเรามักจะมีเงื่อนไขไม่น้อยไปกว่าเงื่อนไขเหล่านั้น เช่น พ่อแม่บางคนปรารถนาให้ลูกของเขาเรียนเก่ง เป็นเด็กดี เล่นกีฬาเก่ง เล่นดนตรีเก่ง แสดงออกซึ่งความสามารถของลูกได้อย่างดีที่สุด แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้ปรารถนาเพียงเพราะรักลูกโดยปราศจากเงื่อนไข คือไม่ได้ปรารถนาให้ลูกเป็นเช่นนั้นเพื่อประโยชน์สุขของลูกเอง แต่กลับปรารถนาให้ลูกเรียนเก่ง เป็นเด็กดี เล่นกีฬาเก่ง เล่นดนตรีเก่ง และแสดงออกได้อย่างโดดเด่นเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของพ่อหรือแม่ เป็นสิ่งที่พ่อหรือแม่เอาไว้อวดอ้างความสามารถของตนเองที่ปั้นลูกให้เป็นเช่นนั้นได้ เป็นต้น

    พ่อแม่ที่รักลูกโดยมีเงื่อนไขมักจะเป็นผู้เลือกและตัดสินกิจกรรมต่างๆให้ลูกเสียเอง เช่นเลือกให้ลูกเล่นกีฬาที่ตนเองชอบ ไม่ใช่ให้ลูกเลือกเล่นกีฬาที่ลูกชอบ เป็นต้น เรียกได้ว่าเอาความฝันของตนเองไปมอบให้ลูก หรือเอาความฝันและอุดมการณ์ที่ตนเคยบรรลุความสำเร็จแล้ว และอยากเห็นลูกบรรลุความสำเร็จนั้นๆซ้ำสอง หรือยังไม่บรรลุความสำเร็จและนำไปให้ลูกสานฝัน สานอุดมการณ์นั้นๆต่อ ความปรารถนาให้ลูกเก่ง ให้ลูกดี ในทิศทางนี้ จึงเป็นความปรารถนาที่เต็มไปด้วยเงื่อนไข เช่น อย่างน้อยที่สุดตนก็ปรารถนาที่จะเห็นลูกบรรลุความสำเร็จไม่น้อยไปกว่าที่ตนเองเคยบรรลุความสำเร็จ หรือไม่น้อยไปกว่าที่ตนเองคาดหวัง พ่อแม่ที่ปรารถนาดีต่อลูกโดยเต็มไปด้วยเงื่อนไข มักไม่รู้จักให้อภัยเมื่อลูกพลาดพลั้งหรือไม่บรรลุเป้าหมายที่ตนเองคาดหวัง เพราะเงื่อนไขของความปรารถนาดีเหล่านั้นคือประโยชน์สุขของตนเอง ไม่ใช่ของลูก เมื่อลูกพลาดพลั้ง พ่อแม่เหล่านี้จึงไม่สุขหรือรู้สึกเสียผลประโยชน์

    ในทางตรงกันข้าม พ่อแม่ที่รักลูกโดยปราศจากเงื่อนไขมักให้สิทธิแก่ลูกที่จะเลือก และอบรมสั่งสอนให้ลูกเป็นตัวของตัวเองได้อย่างดีที่สุด ตามบุคลิกภาพและความเป็นเอกลักษณ์ของลูกแต่ละคน โดยไม่นำลูกแต่ละคนไปเปรียบเทียบกัน และรับฟังความคิดเห็นของลูก ไม่โกรธเมื่อลูกล้มเหลว แต่ให้กำลังใจเสมอ ไม่กล่าวโทษเมื่อลูกทำผิดแต่ให้อภัย และให้โอกาสที่จะให้ลูกเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิมได้เสมอ ให้โอกาสที่จะให้ลูกมีความคิดเห็นของตนเอง หรือออกความคิดเห็นเกี่ยวกับพ่อหรือแม่ด้วยซ้ำไป เพราะหากพ่อแม่ปรารถนาให้ลูกเป็นตัวของตัวเองอย่างดีที่สุด เพื่อประโยชน์สุขของลูกแล้ว พ่อแม่ก็จะต้องรู้จักชื่นชมที่ลูกเติบโตขึ้นเป็นผู้ที่มีความคิดเห็นของตนเอง แม้จะออกความคิดเห็นหรือวินิจฉัยพ่อหรือแม่ก็ตาม พ่อแม่ก็ต้องรับได้หากลูกจะมองเห็นความผิดพลาดของตน

    พ่อหรือแม่ที่รักลูกอย่างปราศจากเงืื่อนไข และมีความปรารถนาในประโยชน์สุขของลูกโดยปราศจากเงื่อนไขจะพบว่า ลูกให้อภัยในความผิดของพ่อแม่ได้เสมอ และพ่อแม่เหล่านี้ก็จะรับได้เช่นกัน พ่อแม่เหล่านี้จะไม่เห็นว่าการให้อภัยเป็นการเสียหน้า เพราะเขาเองก็รู้จักให้อภัยและเห็นคุณค่าของการให้อภัย การพลาดพลั้งของลูกไม่ทำให้พ่อแม่เหล่านี้รู้สึกไม่สุขหรือเสียผลประโยชน์ แต่รู้สึกรักและเมตตาลูกเสมอ

    พี่นักเขียนยกตัวอย่างพ่อแม่กับลูก เพราะความปรารถนาทั้งหลายมักผูกพันกับความรักเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ของคู่รักที่มีต่อกัน ของบุคคลที่มีต่อผู้ร่วมงาน ต่อหน้าที่การงาน ต่อสัมพันธภาพ ต่อสุขภาพร่างกาย ล้วนเป็นความรักทั้งสิ้น

    [​IMG]
    แต่ความปรารถนาทั้งหมดของเรามักมีเงื่อนไขคล้ายคลึงกับพ่อแม่ที่รักลูกโดยมีเงื่อนไข คือปรารถนาเพื่อประโยชน์สุขส่วนตน แทนที่จะปรารถนาเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่น และการจดจ่อกับประโยชน์สุขส่วนตนมักทำให้ความปรารถนาของเราล้มเหลว เพราะความสุขหรือประโยชน์สุขส่วนตนของเรากลับไปขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกทั้งหมด เช่น

    รักลูก-ปรารถนาให้ลูกเก่ง-ลูกดี ความสุขหรือประโยชน์สุขส่วนตนของเราก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและผลสำเร็จของลูก
    รักความร่ำรวย-ปรารถนาความสุขสบาย ความสุขหรือประโยชน์สุขส่วนตนของเราก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ภายนอก
    รักการมีชื่อเสียง-ปรารถนาความโด่งดัง ความสุขหรือประโยชน์สุขส่วนตนของเราก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีคนรู้จักเรามากน้อยเพียงใด
    รักการมีลาภยศ-ปรารถนาการเคารพยกย่อง ความสุขหรือประโยชน์สุขส่วนตนของเราก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีผู้สรรเสริญเรามากน้อยเพียงใด

    ความเห็นของคุณน้องแก้วทิพย์ที่แนะนำว่าให้ตั้งความปรารถนาใหม่นั้น ยังคงเป็นความปรารถนาที่มีเงื่อนไขค่ะ เพราะเรายังคงใช้ปัจจัยภายนอกเป็นตัวกำหนด ซึ่งทำให้เราควบคุมปัจจัยนั้นๆไม่ได้ หากสิ่งที่เรานำมาทดแทนไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง เราก็จะสมความปรารถนาได้ยากค่ะ ถ้าจะช่วยตอบพี่นักเขียนก็ไม่ว่านะคะ ยินดีเสมอค่ะ

    ในกรณีของผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย หากเรารักการมีสุขภาพดี-ปรารถนาสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ แต่ถ้าหากเงื่อนไขของความปรารถนาของเราคือการได้รับการเอาอกเอาใจจากคนรักคนใกล้ตัว ความสุขหรือประโยชน์สุขของเราขึ้นอยู่การได้รับความสนใจ เราก็มักจะไม่ยอมหายป่วยง่ายๆ และอาจจะพลอยทำให้คนรักคนใกล้ตัวของเราขาดความสุข และไม่อาจเอาอกเอาใจเราได้ดังปรารถนา ทำให้อาการป่วยนั้นทรุดหนักลงไปอีก ความปรารถนาในสุขภาพดี นอกจากจะเป็นความปรารถนาที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขแล้ว ยังเป็นความปรารถนาที่ทำให้บรรลุผลสำเร็จได้ยาก

    หากเราตระหนักได้ว่า ความปรารถนาทั้งหลายจะบรรลุผลสำเร็จได้ด้วยความรักที่ปราศจากเงื่อนไข นอกจากเราจะปรารถนาได้ทุกอย่างแล้ว เราจะสมความปรารถนาได้อีกด้วย

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวว่า แม้เราจะยังมีร่างกายเนื้อหนังและยังไม่เป็นอิสระจากความปรารถนาเช่นเดียวกับท่าน เพราะท่านปรารถนาแต่เพียงความรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นของกลางปราศจากเจ้าของ และเป็นสิ่งที่รับและถ่ายทอดได้ตลอดวันเวลา แต่เราทั้งหลายก็สามารถที่จะมีอิสระแห่งความปรารถนา คือ ปรารถนาได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ หากเราเรียนรู้ว่า ความเชื่อของเราคือปัจจัยที่ทำให้ความปรารถนาของเราเป็นไปได้ และเงื่อนไขทั้งหลายที่สนับสนุนให้ความปรารถนานั้นๆเป็นไปได้ ต้องเป็นเงื่อนไขที่อยู่ภายในตัวตนของเรา และเราสามารถควบคุมมันได้ ซึ่งได้แก่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของตนเองที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวก

    ท่านอาจารย์อนาลัยไม่ได้สอนให้เราดับความปรารถนา เพราะท่านกล่าวว่า ความปรารถนาเป็นปัจจัยที่ทำให้จิตวิญญาณเป็นอมตะ แต่ท่านสอนให้เรารู้จักมีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวก ซึ่งจะทำให้เราเป็นได้-มีได้-ทำได้สมความปรารถนา อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อในแง่บวกย่อมเหนี่ยวนำให้เราปรารถนาในสิ่งที่เป็นประโยชน์สุขต่อตนเองและผู้อื่นเสมอ กล่าวได้ว่าแม้ท่านอาจารย์อนาลัยจะไม่ได้สอนให้เราดับความปรารถนา แต่ท่านก็สนับสนุนให้เรารู้จักมีความปรารถนาที่เต็มไปด้วยการให้ การรักโดยปราศจากเงื่อนไข แสวงหาความสุขและประโยชน์ โดยเอาความสุขและประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2007
  11. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    บทกวีอันงดงามของคุณชมภูเขา

    (bb-flower พี่นักเขียนชื่นชมบทกวีของคุณชมภูเขาอย่างมากค่ะ
    ขอเป็นแฟนบทกวีขาประจำอีกคน

    คุณชมภูเขาทำให้ห้องวิทย์ฯของเรามีศิลปะที่งดงามไพเราะมากๆ
    พวกมนุษย์ต่างดาวถูกสะกดกันหมดคราวนี้แหละค่ะ
    (bb-flower
     
  12. oakpr

    oakpr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +264
    ยินดีบริการครับ

    ยินดีบริการครับ หากใครสนใจหนังสือ และ(b-love2u) cd มนตรา โนวา อนาลัย โทรสอบถามได้นะครับ 02 7461004-6
     
  13. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ในการที่จะค้นพบว่าตัวเองเป็นอะไรนั้น วิธีการนึง ก็เหมือนกับวิธีการที่ใช้ในการหาว่าตัวเองเหมาะกับอาชีพอะไรหรือเปล่า โดยดูจากนิสัย

    หรืออีกวิธีก็คือลองทำไปทุกๆ อย่าง แล้วดูว่าอย่างไหนที่เราชอบ
     
  14. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526
    อิสระแห่งความปราถนาที่ยิ่งใหญ่ จากดวงใจให้กับดวงจิตอื่น
    ไร้ตะเข็บไร้การรื้อฟื้นจากดวงจิตอื่นมาสู่ตน ความปราถนาที่พ่านพ้น
    คือการสร้างสรรจิตใจเหล่าผู้คน ด้วยเมตตาธรรมอันสุขล้น
    นำผู้คนพ้นทุกข์ภัย ไม่ได้ปราถนา เพียงสินจ้างค่ารางวัล
    สิ่งที่ทำนำชีวาไม่ได้ในสิ่งไร้ค่า เช่นเงินตราที่มากมาย
    จะพบสิ่งมีค่าช่วยนำพาทุกชนพ้นโพยภัย จากกองทุกข์ที่ยิ่งใหญ่
    สู่จิตนาการแห่งความฝันอันพิศมัย ก้าวเดินเคียงคู่ดูแลกันไป
    ทั้งสามแดนโลกที่วิโยคพร้อมสดใส จากกำลังใจของเราทุกคนเอย

    (ขอแทรกด้วยคนคะ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a001.jpg
      a001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      188 KB
      เปิดดู:
      36
  15. ชมภูเขา

    ชมภูเขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2007
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +526
    ขอบคุณคะ ยินดีขับกล่อมทุกคนด้วยจิตวิญญานโดยแท้
    เต็มไปด้วยความปราถนาที่เต็มเปี่ยมล้น ชนิดที่ไม่มีเงื้อนไข
    แต่ไม่ไร้จุดยืน หวังไว้ให้พีนักเขียนมีกำลังใจมากๆ
    เผื่อบางวันอาจจะเกิดพายุลมหมุน โดยไม่ได้ตั้งตัว

    ลำนำของน้องอาจพอคลายกระแสลมแรงได้บ้าง
    แต่ด้วยความเชื่อมั่น ในพลังที่ยิ่งใหญ่ที่พี่นักเขียนมีอยู่
    ถึงมีพายุใหญ่ก็มิอาจจะกล้ำกรายระคายเคืองได้

     
  16. mindanaric

    mindanaric เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +1,964
    วะฮะฮ่าๆๆๆ พอดีมีข่าวมาให้คุณโอ้คใจชื้นเล่นคร๊า~

    พอดีว่าข้าพเจ้าได้เคยศึกษาอยู่ที่คณะมนุษย์เอกปรัชญา ณ มอ แห่งหนึ่งมาก่อง

    และยังมีเพื่อนสิงสถิตอยู่ที่นั่นเยอะ เรยเกิดไอเดีย ว่าจะทำยังไงให้หนังสือดีๆมีคนอ่านเยอะๆ ข้าพเจ้าเลยฝากเพื่อนเอาหนังสือของท่านโนวา ไปให้อาจารย์เอกปรัชญาของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าคิดว่า น่าจะใจกว้างงงงพอ เปิดรับข้อมูลเก่าๆ (แต่ใหม่สำหรับท่าน) ลองอ่านดู คิดว่ามานน่าจะเอาไปใช้ในการเรียนการสอนได้หรือไม่ ถ้าอาจารย์สนใจ เราคงจะมียอดสั่งจองเพิ่มขึ้น >< ขอให้ทุกคนช่วยกานอวยพรด้วยนะคร๊ะ ให้อาจารย์สนจายหนังสือของท่านอนาลัยด้วยเต๊อะๆๆๆๆๆๆๆๆ สาธุๆๆๆ


    จึงแจ้งมาเพื่อทราบ

    ไปอ่านหนังสือต่อแระ บะบายๆๆๆ
     
  17. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอร่วมอวยพรและอนุโมทนาสาธุด้วยค่ะน้องมายด์..
    อุตส่าห์เข้ามาให้กำลังใจคุณ Oak น่ารักจริง ๆ เลย..
    ขอให้สอบได้เกรด 4 ทุกวิชาเลยนะคะ..
    และขอเชิญชวนเพื่อน ๆ ชาวห้องวิทย์ อ่านหนังสือธรรมชาติของชาติภพ..
    ตามที่พี่นักเขียนจัดตารางไว้ หากมีข้อสงสัยอะไรโปรดนำมาถามพี่นักเขียนเลยนะคะ..
    เผื่อว่าพวกเราจะได้ร่วมรับความรู้ในแง่มุมของเพื่อน ๆ บ้างค่ะ..
    ส่วนตัวขจรวรรณก็ตั้งใจไว้ว่าจะเตรียมคำถามไว้ถามพี่นักเขียนบทหนึ่งประมาณ 2 ข้อ..
    พี่นักเขียนมีเมตตามาก ๆ เลยค่ะที่ให้โอกาสพวกเราได้ถามคำถาม..
    ทำให้เราต้องเข้าไปศึกษาหนังสือของท่านอาจารย์อีกครั้งอย่างละเอียด..
    เพียงแค่แบ่งเวลาวันละครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง ให้กับท่านอาจารย์อนาลัยบ้าง..
    ก็จะพบว่าเราเข้าใจในสาระของความรู้ที่นำเสนอในหนังสือได้มากขึ้นกว่าเดิมจริง ๆ ค่ะ..
    หวังว่าพี่นักเขียนคงจะไม่เบื่อขจรวรรณไปก่อนนะคะ..
    (b-smile)
     
  18. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    แหม.. คุณเฉลยกับน้องนกนี่ไวจริง ๆ เลยนะคะ..
    แปล๊บเดียวคว้า CD ไปกอดแล้ว.. อิจฉาจัง..
    ไม่ได้ละเดี๋ยวบ่ายนี้จะโทรหาคุณ Oak ก่อน.. ไม่ย๊อม.. ไม่ยอม..
    (b-lablin)
     
  19. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 3 เธอคืออะไร
    จากหน้า 24 อารมณ์เป็นปัจจัยธรรมชาติที่ทำให้เกิดการสมดุลย์ เมื่อมีการสร้างก็มีการทำลาย เมื่อมีการเกิดก็มีการตาย อารมณ์จึงไม่ใช่ปัจจัยที่เธอจะต้องเก็บกดเพื่อทำให้สลายไป แต่เธอจะต้องรู้จักใช้อารมณ์ด้วยความรู้ เพื่อรักษาความสมดุลย์ให้เกิดขึ้นในโลกและสังคมที่เธออยู่ เธอมักเข้าใจว่าการทำลายล้างเป็นสิ่งที่เลวร้ายเสมอ แต่แท้ที่จริงแล้ว เมื่อเกิดการสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อใด ก็จะเกิดการทำลายล้างควบคู่กันไปเสมอ

    จึงอยากจะทราบว่าการทำลายล้าง เช่น การทำสงคราม การสร้างสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดมลพิษ การทำลายภูเขาเพื่อปลูกสร้างอาคาร การเกิดเชื้อโรคสายพันธ์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยรู้จัก การเกิดภาวะโลกร้อน เหล่านี้ถือว่าเป็นการรักษาความสมดุลย์ของโลกหรือไม่? อย่างไร?
    (b-no)
     
  20. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    จากหน้า 36 ฉันเดินทางด้วยพลังแห่งอารมณ์ มันเป็นวิธีการที่ไม่เป็นธรรมชาติอีกต่อไปแล้วสำหรับพวกเธอ เพราะสภาวะแห่งจิตวิญญาณของเธอเปลี่ยนจากต้นกำเนิดไปมาก

    สภาวะที่แท้จริงของต้นกำเนิดจิตวิญญาณนั้นเป็นอย่างไรคะพี่นักเขียน?
    (sing)
     

แชร์หน้านี้

Loading...