ทำสมาธิแล้วเห็นภาพ...ผมจะปิดมันยังไงดีครับ..

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย GLiKe, 19 มีนาคม 2013.

  1. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137

    หยินหยาง มืดสว่าง 2 ด้าน
    กงอั้น ติดอยู่วงล้อหมุน ไม่นิ่ง
    หยุดได้ ไม่หมุ่น คือจุด (.) กึ่งกลางธรรมจักร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2013
  2. sawok B

    sawok B เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +230
    อย่าไปสนใจกับ นิมิต ให้ละความเพลิน เอาสติอยู่กับกาย
    รูปทั้งหลาย เสียงทั้งหลาย กลิ่นทั้งหลาย รสทั้งหลาย โผฐัพผะทั้งหลาย ธรรมมารมณ์ทั้งหลาย เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา จึงเป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นอนัตตา
    เมื่อเห็นรูปทั้งหลาย รูปทั้งหลายก็ไม่เที่ยง (เสียง กลิ่น รส โผฐัพผะ ธรรมมารณ์ก็นัยเดียวกัน) เอาสติอยู่กับกาย เห็นเกิดดับ ละความเพลิน จิตหลุดพ้น
     
  3. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    จะเล่า อะไรให้ ฟัง
    ครั้งหนึ่ง เรา แค่ สงสัย เอ่อ หนุ่มสาวคู่นี้ รักกันดีนะ แล้วมันก็.............วับ..........วับ..........
    .......โธ่เอ็ย.......ไอ้ทลึ่ง...........ว่าตัวเองนะ
    ถึงเข้าใจ ว่า การสำรวม จำเป็นมากก อย่า อยาก และ สงสัย อันตรายๆๆๆ
     
  4. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    และ อันนี้ พึ่งเจอ แชร์ประสบการ์ณ ฮาฮา
    นัดเพื่อน รำลึก ความหลัง ช่วงหาเงินแข่งกัน ช่วงชีวิตไม่ต้องคิดมาก หลังจบใหม่ หลังจาก ไปวัด ไปนอนวัด ไปเที่ยววัด 4-5 ปี
    ไป นั่งรอ ที่จอดรถ ยังไม่เข้าร้าน
    ซักพัก มีกลุ่มวัยรุ่นเดินมา มีผ้าแปะที่ตัว เราก็ เอ่อ......
    กลุ่มสองเดินมา....เขาเป็นเพศที่สามที่ยังไม่แปลง....เราก็เอ่อ.....
    กลุ่มที่สาม ป้าใส่ซีทรูมา.....เราก็ เอ่อ
    ตูมาทำอะไรอยู่ที่นี้ วะเนี้ย
    โทรกลับหาเพื่อน
    เฮ้ย ฉันกลับบ้านแล้วนะ 555+
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2013
  5. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137

    ฮ่า ฮ่า... เอามาแชร์กัน ดีเลยครับ

    อันนี้ก็เจอนะ....จะว่าไม่ทันเหตุการณ์ขณะนั้นๆ ที่มันมาเกิดกับเรา ผมว่าไม่เป็นขนาดนั้นนะ....แต่เห็นแล้วไม่อยากเอามาใส่ใจมากกว่า...มันเลยเฉยๆ...มันไม่เกิดประโยชน์กับเราไง :))

    ......นั่งรถผ่านหน้างานคอนเสริตลูกทุ่งยังผ่านได้ไม่ติดใจ.... เมื่อก่อนคงเบรกลากล้อเข้าไปแจม ฮ่าฮ่า...
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ตรงนี้สังเกตนะ ยังรู้ไม่ถึง ฐานของจิต

    ตรงที่ปรารภว่า " เห็นแล้วเฉยๆ " ตรงนี้จัดว่ายังไม่ถึงฐาน

    แล้วอย่างไร จะถึงฐาน

    ก็ สมมติว่า บังเอิญ ต้อง บังเอิญนะ บังเอิญเข้าไปในงานสันนิบาติสโมสร
    อะไรก็ได้ ที่โลกเขาร่าเริงกัน โลกเขาชมว่ามีความสุข มีความสงบ เช่น งาน
    ประเพณีทางศาสนา เป็นต้น

    พอเราเข้าไปร่วมแล้ว จิตใจเราไม่ใช่แค่เฉยๆ แต่ จะ สลดหดหู่ เกิดความ
    สังเวชใจ

    ทีนี้ ฟังดีๆ

    ความสังเวชใจ จะต้องเกิดโดยไม่มี ผู้รับสนองผล คือ ไม่มีสังเวชพวก
    เขาจังเบย หรือ สังเวชตัวเราจังเลย หรือ เอ้อเห็นเขาเฉยๆกันได้ดีเนาะ
    หรือ เห็นตัวเราเฉยอยู่ดีเนาะ

    เข้าใจไหม ....คือ "แม้แต่อาการเฉยๆ ปรากฏขึ้นมา" ตรงนี้ยังทำให้เกิด
    ความสังเวชใจได้ เพราะ " เฉยๆ " ต่อโลกนี้ ใครๆเขาก็ทำมากันทั้งนั้น
    หมามันก็ทำ หมาในงานวัดเพลงดัง มันก็นอนเฉยๆ ของมัน ดังนั้น การเฉยๆ
    ตรงนี้จึงไม่ใช่ที่สุด แต่เป็น การติดเฉยๆ ที่ น่าสังเวช

    พอไม่มีเราเฉย ใครเฉย ใครดี ใครไม่ดี เอา สัตว์ ตัว คน บุคคน เราเขา
    ออกไปจาก การแจ้งธรรม ธรรมสังเวชจะปรากฏ

    ธรรมสังเวชปรากฏ สังเกตเลย เราจะเห็น มรรคาที่เราดำเนินมาว่า สิ่ง
    นี้คือ อุบายนำออก

    อุบายนำออกนั้น ไม่เที่ยง เกิด แล้วก็ดับ

    เพราะ อุบายนำออก ไม่เที่ยง เกิด แล้วก็ดับ หากเราไม่พิจารณา เราจะ
    เผลอเพลินในมรรค

    แต่ถ้าเราเห็นแม้แต่ มรรค เกิดแล้วก็ดับ เราจะเห็นอะไร

    ก็เห็น "รอบ" ของการหมุนมรรค การวิวัฏ

    มรรคไม่เกิด ไม่ดับ จิต จะไม่ถึงฐาน

    มรรคค้างเติ่ง มีความพอใจ ยินดี ปักใจเชื้อ มรรคนั้น ปลิ้นปล้อนตลบแตลง
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    งง ไหม

    มรรคเกิด มรรคดับ

    ถ้า งง ก็ลองค้นคว้าดูได้

    คุณจะพบเรื่อง มรรค มีสองส่วน ส่วนหนึ่งตบแต่งขันธ์ อีกส่วนนั้นพ้นการตบแต่งขันธ์
    เพราะเป็นเรื่อง "มรรคจิต+ผลจิต"

    หรือ มรรค จัดเป็น สังขตธรรม ไม่ใช่ อสังขตธรรม

    หรือ

    หากไม่เอา พระไตรปิฏก แต่ เอาคำเทศนา ก็จะมี พระบางท่าน กล่าว
    ชวนให้พิจารณาว่า

    หาก มรรคมันเที่ยง พอเป็น โสดาปฏิมรรค ก็จะต้อง ค้างเติ่ง ขึ้นเป็น โสดาปฏิผล ไม่ได้
    หรือ เป็นโสดาปฏิผลแล้ว มรรคทะลึ่งค้างเติ่ง ( เพราะ ไปปรามาสธรรม ) ก็จะมี
    สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผลไม่ได้

    ดังนั้น มรรค จะต้องมีลักษณะ เกิด แล้วก็ ดับ มีไตรลักษณ์ เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
    ใครครองไม่ได้ ตั้งอยู่ไม่ได้ ต่อให้เป็น โสดาปฏิผล ก็จะต้อง เกิดการเปลี่ยนแปลง
    อย่างมาก 7 ชาติ จะต้องเปลี่ยนไป เป็นต้น

    แต่พอ เป็นอรหันต์แล้ว พระท่านก็ชวนให้พิจารณาว่า มันพ้นขันธ์ พ้นจิต พ้นภพ พ้น
    ชาติ ไปแล้ว มรรคจึงไม่มีอีก ไม่มีกิจอื่นให้เกิดการเคลื่อน เห็นว่า ยังไม่จบอีก ก็เลย
    ว่า " งานทางธรรมมีวันจบ "

    ถ้ายังไม่อรหันต์ ก็ยังไม่พ้นโลก ยังไม่พ้นโลก งานก็ยังไม่จบ เป็นธรรมดา
     
  8. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137

    ขอบคุณครับผม.....พี่เอกวีร์ แนะนำมาตรงเป๊ะเลยครับ...

    ประมาณอย่างนี้หรือเปล่าครับ...ขณะเดินเข้าไปในสถานที่จัดงานประเพณีตามปกติ ได้บูชากระเบื้องหลังคา ไปตามปกติ... บริเวณนั้น...มีเครื่องดนตรีบรรเลงเพลงร่วมสมัยเสียงดูรื่นเริง ผู้คนมาตามเสียงเพลงวงดนตรีกันตามปกติ ตามมาดูไฟระหยิบระหยับสีแดง สีขาวตามปกติ หน้าหลงไหล...ใจมันเห็นความสลดหดหู่ สังเวชใจ...ในสภาพที่สัมพัสนั้นๆๆ... แล้วใจเกิดต้องการความตั้งมั่น....
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ไม่รู้ๆ

    คนเรานะ หากกำสิ่งใดไว้ในมือ คนๆนั้น จะต้องรู้ว่า กำอะไรไว้ในมือ

    คนที่ กำของไว้ในมือ หาก ทะลึ่งส่งจิตออกนอก ก็จะมีสองอย่าง
    คือ งง เฉยเลยว่า ตนเองกำอะไรไว้ในมือ ไม่เชื่อมั่นขึ้นมาซะงั้น

    หรือ หากเป็นพวก ศีลทะลุ พวกนี้ จะกำสิ่งของไว้ในมือ แล้ว
    วิ่งหาคนทำนายว่า ทำนายหน่อยจิ ผมมีอะไรกำไว้ในมือ

    สรุปคือ

    กำสิ่งใดไว้ ก็พิจารณาเอาเอง สิ ฮับ อาจหาญได้ไหม

    ถ้า จิตใจมันพ้นอาสวะ มันก็ อาจหาญโดยไม่ประมาท ได้

    แต่ถ้า มันมีอะไรบางๆ ซึ่งมองไม่ออกว่า อะไร ก็อย่าพึ่งไปท้อ

    ต้องมีสักวัน ต้องมีสักวัน ......................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2013
  10. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137
    สนทนาธรรมแล้วสุขใจจังครับ... อยู่ระหว่างฝึกฝนต้องเจออะไรอีกเยอะเลยผม

    ขอบคุณกำลังใจนะครับคุณเอกวีร์... ต้องมีสักวัน ต้องมีสักวัน..... :)
     
  11. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137
    ขออนุโมทนาบุญในธรรมะทานนี้นะครับ....

    ... ทุกคำแนะนำชี้แนะ มีความหมายและเป็นของมีค่ามากครับสำหรับผม...ผมกลับมาอ่าน ทบทวนทุกคนแนะนำไว้ตลอด....ผมจะพัฒนาตนต่อไปครับ

    ขอบคุณธรรมะทานจากท่านPhanudet...นะครับ :)
     
  12. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137
    .....คืนนี้ผมอ่านกลับไปกลับมา 3 จบได้แหน่ะครับ...ธรรมะทานนี้ลึกจริงๆ...

    แต่ยิ่งทำให้ผมอยากศึกษาไปอีก...สุขใจดีครับ..ผมจะพยายามต่อไปครับ
     
  13. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    สภาวะของคุณที่พูดถึงการดิ่ง ตรงนั้นเป็นระดับรูปฌาน ฌานที่ ๔
    สภาพที่เกิดนิมิตเป็นอรูปฌาน ฌานที่ ๖ ฌานนี้เป็นฌานที่เข้ารู้อารมณ์ในความคิด จะเห็นนิมิตต่างๆไปเรื่อยจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง หากตามดูมัน มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ขณะที่นิมิตเกิดจะมีอารณ์ชอบ ไม่ชอบ เกิดร่วมเสมอ หากต้องการขึ้นฌานที่สูงก็ต้องสู้กับนิมิตต่างๆ นี้ให้ได้ นิมิตในฌานนี้จะมาเรื่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ ไม่เร็ว จะเห็นความเกิดและความดับของนิมิต ความคิดและอารณ์ เป็นญาณที่๑ ของวิปัสสนาญาณ๙ หรือฌานที่ ๖ ในฌานสมาบัติ๙ ต่อไปนี้ก็จะมีแต่นิมิตล้วนๆ ที่คุณจะต้องสู้ นิมิตต่อๆไปจะเร็วขึ้นประกอบกับนิมิตบางนิมิตสามารถส่งผลกระทบทางกายอย่างรุนแรงได้ด้วย
    หากคุณปราบนิมิตได้หมด คุณก็มีสิทธิถึงพระอริยะบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งครับ หากว่าคุณไม่พลัดหลงเข้าไปในวิปัสสนูกิเลส ๑๐ ประการ
    พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้พระองค์ก็ปราบนิมิต ๓ ประการ คุณก็ต้องเจอครับ
    เจริญในธรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2013
  14. ปัญจทสเทพา

    ปัญจทสเทพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +143
    สมาธิได้แล้ว ให้ฝึกสติเยอะๆ ครับผม
     
  15. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137
    ขออนุโมทนาบุญในธรรมทานนี้ด้วยนะครับ... ขอบคุณที่ชี้แนะนะครับ คุณฐสิษฐ์929

    ..........ผมจะพยายามต่อไปครับผม :)
     
  16. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ผมคิดต่างจากนั้นนะ เพราะว่า คุณยังละอุปกิเลิสยังไม่ได้

    ให้คุณสังเกตุ นึกทบทวนดีๆสิ กายก็ยังปรากฏ ลมก็ยังปรากฏ. มันเป็นอาการของปัสสัทธิเฉยๆ ถ้าจิตคุณยังไม่รู้สึกเป็นสุข ผู้อยู่เป็นทุกข์จิตย่อมไม่ตั้งมั่น เเต่ถ้ารู้สึกเป็นสุขเมื่อไหร่ คุณไม่ลังเล คุณไม่ตกใจ คุณมนสิการไว้ จิตมันก็จะค่อยๆพัฒนาขึ้น
    จนเกิดสุข มันถึง สงบไปอีกนั้นเเละ จึงบรรลุ ปฐมฌาน
     
  17. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137
    .... ขอบคุณครับ...ที่สะกิตผม คนในธรรมนี้สุขกันก็ตอนที่ช่วยฉุดกันขึ้นไว้นี้ครับผม...ดังญาติธรรมผมเลยครับ...

    ... ผมจะระวังไม่ประมาทคับ.... ผมรู้แค่อยากกลับไปเหมือนเมื่อก่อน...ตอนนี้รู้ตัวเองว่าต้องการอะไร...มันพอดีกับตัวเอง...มันพอเพียงแล้วครับผม

    ... :)
     
  18. tokyoo2

    tokyoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กันยายน 2012
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +419
    ผมเห็นที่คุณบรรยายว่า เคยจิตตั้งมั่น รู้สึกเป็นสุข อยากับไปเป็นเเบบเดิม เเต่พักหลังเห็นนิมิตมาขวางทางทำให้ไปต่อไม่ได้
    จะว่ามาขวางก็ไม่ถูกสะทีเดียว ถ้าเกิดไปได้ยินได้ฟังมาว่า นิมิตเกิดคือจิตส่งนอก ความคิดพวกเนี่ยสุมใสหัวคุณประจำเป็นอนุสัย ก็ทำให้ความเข้าใจเรื่องนิมิตกลายเป็นเรื่องอันตราย รวบรัดยึดถือเหนียวเเน่น มันเลยทำให้คุณไปไม่รอด คือจมอยู่ในทุกข์ ผู้ที่ทุกข์เนี่ยจิตจัไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ผมจึงกำลังอธิบายให้คุณข้ามมันไป
    ให้ได้ โดยให้คุณอยู่กับมันให้ได้ไง เเล้วหยิบมันมาเป็น สมาธิของเรา เรียกนิมิตสมาธิ มันจะทำให้พัฒนาการจนเกิดสุข โสมนัสได้. เเล้วจิตถึงจะตั้งมั่นมีอารมเป็นหนึ่ง เเล้วค่อยๆพัฒนาเป็นสมาธิที่ไม่มีวิตก วิจาร
    ไม่ใช่นิมิตเกิด ต้องมี ความกลัว ความฟุ่งซ่าน ต่างๆ ไอ้ตรงเนี่ยมันกระฉากคุณให้จมปลักอยู่กับที่
    ลองทำตามดูอย่างที่บอก เเล้วความรู้สึกเดิมของคุณจะกลับมา
     
  19. ก๋ง สุญญตา

    ก๋ง สุญญตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2013
    โพสต์:
    4,015
    ค่าพลัง:
    +8,149
    การเห็นนู้น เห็นนี่ เป็นเรื่องปกติ ของนักปฏิบัติครับ ถ้าน้อง หลงในการเห็น ก้จะติด แหงก ตรงนี้ ตลอดไป ไม่นาน จะกลายเป็นอุปทาน เสียจริต ครับ เป้าหมาย ของกรรมฐาน คือ ทำจิตให้นิ่ง ดังนั้น ต้อง ลืมมัน ครับ ......... ลืมอย่างไร ตอบแบบง่ายๆ ครับเปลี่ยน การภาวนาทั้งระบบใหม่เลย คือ คราวนี้ตั้งใจจะมองให้เห็น อย่างเดียวไม่ภาวนา ครับ ............... ทีนี้ พอตั้งใจให้เห็น มันจะไม่เห็นครับ เพราะมันเป็น นิิมิต มาร ครับ คือ ทำให้ เราชลอ ติด หลงอยากเห็นอีก ทั้งๆ ที่ในใจบอกว่า ไม่อยากๆๆๆๆๆๆ แต่ในจิต ใต้สำนึกลึก ๆ แอบ เพลิน ไปกับมัน ประหนึ่ง กุมีตาทิพย์แล้วโว้ย ............ ดังนั้นวันนี้ ลองตั้งใจให้เห้น ไม่ต้องภาวนา .......... ครับ แล้วพรุ่งนี้ ค่อยมาเล่าแล้วกันครับ ........... กับสอง ให้เปิดเพลง บรรเลงเพื่อการทำสมาธิ แล้ว เปลี่ยนมาจับ เสียงเพลงแทน แค่นั้น ฐานของสมาธิ จะเปลี่ยนไป ครับ คือ ไปอยู่ที่หู ครับ ลองๆๆๆๆๆทำดูนะครับ ได้ผลอย่างไร บอกเล่าเก้าสิบกันครับ ................
     
  20. GLiKe

    GLiKe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +137
    ... พี่เองก็ช่วยกะกิตผมให้ตื่น...พี่คือญาติธรรมผมคนหนึ่งเลย
    ....หลายวันที่ผมตกในภาวะนี้...ยอมรับเลยครับผมไม่มีทางออก กลัว งง ฟุ่งซ่าน...วิจิกิจจา คำนี้ผมก็พึ่งรู้ 3 วันที่นี้เองครับ.... คิดในใจต้องหา ญาติธรรมที่ไหนสักแห่งช่วยแก้ ชี้แนะผมที...

    .... ตอนนี้ผมได้รับคำชี้แนะมากมายจากทุกท่าน อบอุ่นมากครับ...(ยิ้มในใจเลยนะเนี่ย :) )

    ..... การใช้ภาษาธรรมผมก็ ไม่ประสีประสา.. ผมขออโหสิด้วยนะครับ....
    ..... ขอบคุณๆ จนไม่รู้จะกล่าวอะไรแล้วครับ...จุกในอกอ่ะ ตื้นตันนะพี่...
     

แชร์หน้านี้

Loading...