เรียนถามเรื่องการปฏิบัติธรรมครับ

เรียนถามท่านผู้รู้ครับ ฟางว่านปฏิบัติธรรมโดยการทำวิปัสสนากรรมฐานก่อน ได้เวลาประมาณ 4-5 ปีแล้วจึงทำภาคสมถะกรรมฐาน ได้ประมาณ 2-3 ปี ปัจจุบันได้จตุตถฌาณ(รูปฌาณ ๔) โดยไม่ค่อยได้ภาวนาภาคปัญญาเลย ขอถามว่า 1.การปฏิบัติธรรมของฟางว่านในภาษาธรรมท่านเรียกว่าอะไรครับ 2.ฟางว่านควรจะปฏิบัติอะไรยังไงต่อไปครับการปฏิบัติจึงจะก้าวหน้า อ้อ ฟางว่านเป็นพระสกิทาคามีครับ ศึกษาเองปฏิบัติเองโดยไม่มีครูอาจารย์ ทำสมาธิและปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุ 1 ขวบครับ และก็ปรารถนาพุทธภูมิด้วยครับ 3.การจะบรรลุธรรมขั้นพระอนาคามีกามต้องดับกี่เปอร์เซ็นต์ครับ และที่ว่าปฏิฆะในชั้นพระอนาคามีหมายถึงไม่มีความโกรธอย่างนั้นเลยเหรอครับ 4.อยากขอคำแนะนำเพิ่มเติมอื่นๆครับ เคยจาบจ้วงใคร พูดจาไม่ดีกับใครขอโทษด้วยนะครับ...

 

รูปฌาณ ๔ แล้วยังต้องหาอีกหรอ

พุทธภูมิ อะไรหว่า บรรลุพระสกิทาคามี

เป็น พระสกิทาคามี แล้วจะเป็น พุทธภูมิ ได้อย่างไร


ลองไป ศึกษา ให้มากๆ นะครับ

.

 

ปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุ 1 ขวบครับ

ปฏิบัติธรรมโดยการทำวิปัสสนากรรมฐานก่อน ได้เวลาประมาณ 4-5 ปีแล้วจึงทำภาคสมถะกรรมฐาน ได้ประมาณ 2-3 ปี

ปัจจุบัน อายุ ถึง 9 ขวบ หรือยังครับ

.

 

เรียกว่า ปัญญาอบรมสมาธิ

 

ตอบอย่างนี้ตอบทำไม

 

๑ ภาษาธรรมคืออะไร ไม่เข้าใจ
๒ เป็นพระสกิทาคามีแล้ว... ผมว่าใครในนี้ก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอกครับ
๓ ดับ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ครับ ดับสังโยชน์สองตัวคือราคะกับปฏิฆะได้๑๐๐ เปอร์เซนต์
๔ การแนะนำพระอริยเจ้าได้นั้น ต้องเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง คือพระอานาคามีหรือพระอรหันต์ครับ
ถ้าคิดอะไรไม่ออก ให้ถามเทวดาหรือพรหม

 

ความเคยสดับมาว่า

คนที่เก่งธรรมะ จะพึงกล่าวว่า เห็น " สัญญาไม่เที่ยง " เมื่อพระพุทธองค์
เอ่ยถาม สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง คนที่เก่งธรรมะ ก็จะตอบทันทีด้วยการ
เห็นตามความเป็นจริงว่า " สัญญาไม่เที่ยง พระเจ้าข้า "

ดังนั้น

จขกท ถามว่า คนเก่งๆเห็นปานนี้ ควรทำอย่างไรต่อ

ก็คงต้อง พร้อมปรารภ ด้วยการเห็นตามความเป็นจริงว่า " สัญญาไม่เที่ยง พระเจ้าข้า "
ไว้เสมอ ไม่ลังเล ไม่อึ๊กอั๊ก

การทดลองว่า มีจิตทราบชัดเรื่อง สัญญาไม่เที่ยง ไหม พระท่านทั้งหลายมีอุบาย
อยู่อย่างหนึ่งในการ ทบทวน ตรวจทาน

คือ ให้เพ่งไปที่ สี วรรณะใดก็ได้ สีเขียว สีแดง สีดำ อะไรก็ได้ เมื่อเพ่งไปแล้ว
เห็นชัด หรือว่า เบลอ พึงมี สัมปชัญญะ รู้อยู่ว่า เห็น ชัด หรือว่า เบลอ

เมื่อ เห็นชัด ตามปรกติ ก็เพียงแค่ ระลึกรู้ลงที่จิตว่า ให้ค่า แปลเป็น วจีกระซิบใน
ใจไหมว่าเห็นเป็นสี

เช่น

เห็นสีแดง วจีกระซิบในใจ เหมือนมี จิตถาม จิตตอบเองภายในว่า สีแดง
เห็นสีเขียว วจีกระซิบในใจ เหมือนมี จิตถาม จิตตอบเองภายในว่า สีเขียว

เรียกว่า จิตมันให้ค่าอยู่ เมื่อจิตยังให้ค่า ก็แปลว่า ไม่เห็นตามความเป็นจริงเรื่อง
" สัญญาไม่เที่ยง "

แต่ถ้า ตามันก็เห็นสีสรร วรรณะ ชัดเจน แต่ มันไม่ให้ค่าว่า สีแดง เขียว ม่วง คราม ฯ
ก็แปลว่า จิตประจักษ์เรื่อง สัญญาไม่เที่ยง จึงไม่เกิด ภาระขึ้นในใจ ต้องสร้างวจีคอย
กระซิบบอก

เมื่อจิตเป็นเช่นนี้ เห็นได้ตามความเป็นจริงว่า " สัญญาไม่เที่ยง " จนไม่มีภาระ
ทางใจให้ต้องคอยให้ค่าว่าเห็นสีอะไร ก็ลองสำรวจกลับไปที่ " สัญญาใดๆ "

ว่า จิตยังต้องคอยกระซิบ มีภาระทางใจ ให้ค่าต่อสิ่งนั้น สิ่งนี้ หรือเปล่า

ถ้า จิตมันไม่ให้ค่า ไม่มีภาระทางใจใดๆ ที่ต้องคอยหนักอกหนักใจ คับข้องใจ
ต้องคอย ให้ค่า สำคัญมั่นหมาย ก็จะพอสำน้ำสมเนื้อ กล่าวตอบพระพุทธองค์
ได้บ้างว่า

" สัญญาไม่เที่ยง พระเจ้าข้า "

สมกับ คนเก่งในธรรมของพระพุทธองค์

 

สัญญาที่เที่ยงก็มี สัญญาที่ไม่เที่ยงก็มี สัญญาที่ว่าไม่เที่ยงก็ไม่ใช่ก็มี สัญญาที่ว่าเที่ยงก็ไม่ใช่ก็มี สังขารที่เที่ยง...ไม่มี จิตที่มันจับสีจับผัสสะต่างๆมันก้ว่าไปตามเรื่องของมัน การจะฝึกจิตต้องฝึกที่ 1.สัมมาทิฏฐิ 2.ให้ทาน 3.เลิกกินเหล้า 4.งดสูบบุหรี่จะดีมาก 5.ทำสมาธิให้ได้ทุกๆขั้น ขณิกะสมาธิ อุปปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิ และเข้าฌาณให้เป็น การบรรลุธรรมก็คือมรรค8 ทำด้วยความเพียร ถ้าจะได้มันจะได้เอง ยินดีครับ...*_*...

 

สัญญาที่เที่ยงก็มี

สัญญาที่ไม่เที่ยงก็มี

สัญญาที่ว่าไม่เที่ยงก็ไม่ใช่ก็มี

สัญญาที่ว่าเที่ยงก็ไม่ใช่ก็มี

ก็ถ้า คุณคนเก่งเห็นปานนี้ ไม่มียิ่งกว่านี้ ไม่มีหย่อนกว่านี้
เท่าที่กล่าวมาข้างบนนี้ ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

ขอ เรียนถามท่านว่า

สิ่งที่จะยกกล่าวได้ว่า จริงแท้ ไม่แปรผัน เป็นสัจจะ จริงตลอด
ควรแล้วหรือที่จะมี หลากหลายคุณลักษณะ

สิ่งที่มีคุณลักษณะหลายอย่าง จะพึง เป็น วัตถุที่เห็นได้หนึ่งเดียว
ในความเป็นจริงได้หรือ !?

เหมือน ตึกที่นักวิศวะกร ผู้เก่งกาจ ควบคุมการสร้าง สร้างสำเร็จ
ออกมาหนึ่งอาคาร เขาสร้างอีกอาคาร มีลักษณะปลีกย่อยลุ่ม
ลึกแลเห็นได้ยาก วิศวกรเท่านั้นที่ทราบได้ เขาจะพึง กล่าวว่า
อย่างไร อาคารเหล่านั้นเป็นหนึ่งเดียว เหมือนกัน อย่างคนไม่รู้
ไม่มีความสามารถพึงกล่าว ว่า เป็นความจริง

หรือ ควรเป็นวิศวกร ที่เก่งจริง ควรแยกจำแนก จำเพาะ ความเป็นเอกลักษณ์ เพียงหนึ่งเดียวให้ชัดเจน

อาคารนั้นถึงจะเป็น สัจจ เป็นความจริง หนึ่งเดียว ที่ควรเห็นให้ลึกซึ้ง

ตกลง

สัญญาเที่ยง หรือ ไม่เที่ยง

ผู้ทีเก่งกาจอาจหาญสามารถ จะพึงตอบพระพุทธองค์ อย่างไร

 

สัญญาอะไรเที่ยง?

 

ตามพระพุทธพจน์ในสมัยพุทธกาลสัญญาไม่เที่ยง ในส่วนการปฏิบัติเป็นภาษาปฏิบัติสัญญาที่เที่ยงก็มี...

 

ถามว่า สัญญาอะไรเที่ยง?

 

การปฏิบัติธรรมมี 2 ลักษณะ คือมิจฉาทิฏฐิ๑ สัมมาทิฏฐิ๑ สัญญาที่เที่ยงก็มีอยู่ คุณไม่รู้เหรอ สัญญาที่ไม่เที่ยงก็มี ธรรมะมีหลากหลาย การสร้างตึกไม่ใช่หน้าที่ของนักวิศวะกร แต่เป็นหน้าที่ของบุคคลากรหลายภาคส่วน วิศวกรก็ต้องมีหน้าที่ด้วย สิ่งที่จริงแท้ก็มีหลายลักษณะ เชิญทำกรรมฐานพิจรณาเถิด...

 

กว่าจะปฏิบัติธรรมได้ดีจะไปตอบง่ายๆได้ไง ตั้งคำถามไม่เป็นประโยชน์...

 

ธรรมะ มีหวงด้วยหรือ?

 

ธรรมะจะใช้คำว่าหวงก็ไม่ถูก แต่ผมสายพุทธภูมิ ถ้้าผมไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิหรือลาพุทธภูมิผมก็พระอรหันต์ดีๆนี่เอง แต่มันพูดไม่ได้ เพราะมารมันลอยเต็มฟ้าไปหมด มารมีจริง มารจากมารโลกน่ะ ผมผ่านประสพการณ์ในการสนทนาธรรมกับพระเณรมามากท่านตอบอะไรมากไม่ได้ เพราะปัจจุบันพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานแล้ว ผมรู้อะไรหลายๆอย่าง และอย่างที่บอกว่ามันพูดไม่ได้ พูดแล้วส่วนรวมได้รับผลกระทบ เรื่องจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ความจริงถ้าคุณไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิคุณไม่ต้องอะไรมาก เอากันจริงๆมรรค 8 ตัวเดียวนี้คืนเดียวคุณก็นิพพานได้ ลองสิ ถ้าคุรแกร่งพอ เอิ๊กๆ เมาธรรม...*_*...

 

เจ้าฟางว่าน ......ที่เจ้ากล่าวว่า ได้จตตุถฌาณหรือ ฌาน(ชาน)ที่ ๔ เด็กอายุ ๕ ถึง ๖ ขวบ ก็สามารถทำได้แล้วนะขอรับ ถ้าเด็กเหล่านั้นรู้ความดีแล้ว
๑. ปฏิบัติวิปัสสนา ก่อน แล้ว ค่อยมาฝึกนั่งสมาธิ เขาเรียกว่า วิปัสสนูกิเลส ชนิดหนึ่ง
๒.ปฏิบัติอย่างไรก็ไม่ก้าวหน้าดอกขอรับ เพราะเจ้ามันหลงตัวเองขอรับ แค่ มรรคผล เจ้ายังไม่รู้ อย่าว่าแต่ สกิทาคามี เลย แค่ โสดาบัน เจ้าก็ยังไม่ถึง เพราะ มรรคผล เจ้ายังไม่รู้เรื่องแล้ว
๓. เอาให้รู้มรรคผลซะก่อนเถอะ และรู้จักวิธีขจัดอาสวะ จนเกิดฉัพพรรณรังสี ได้เมื่อไหร่ นั่นแหละเจ้าจึงจะรู้วิธีปฏิบัติ สู่ชั้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ฯลฯ ตามลำดับ
๔. ไม่มีคำแนะนำเพิ่มเติม แต่ได้บอกกล่าวให้รู้แล้วว่า ระดับสมองหรือระดับธรรมในตัวเจ้ามีเท่าไหร่

 

ฟางว่านโกรธหรอครับ

 

ถาม : อ่านหนังสือเจอ เลยทำให้รู้ว่าลูกศิษย์หลวงพ่อเป็นปัญญาธิกะเยอะ ก็เลยมีปัญญา ?
ตอบ : แล้วแต่วาสนาเดิมว่าใครทำมา ในเมื่อเขาทำมาทางด้านปัญญา ปัญญาก็เกิด ถ้าประเภทชอบตะเกียกตะกายด้วยตัวเองก็ต้องไปทางวิริยาธิกะ

ถาม : วิริยาธิกะจะย้ายมาเป็นปัญญาธิกะได้ไหมครับ ?
ตอบ : เดินคนละทางแล้ว อยากจะย้ายใหม่ก็เริ่มต้นใหม่ ที่คุณว่ามานี่มันสันดานมนุษย์ ไม่ใช่สันดานนักปฏิบัติธรรม หนอยแน่..จะโอนหน่วยกิตเสียแล้ว เขาให้โอนหน่วยกิตได้อย่างเดียว คือจากพุทธภูมิไปเป็นสาวก บุคคลผู้ปรารถนาพระโพธิญาณเขาไม่กลัวเหนื่อยกัน ถ้ากลัวเหนื่อยเขาไม่ปรารถนากันหรอก

ถาม : มีวิริยาธิกะพิเศษไหมครับ ?
ตอบ : นอกตำราเกินไป

ถาม : เคยได้ยินไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน วิริยาธิกะพิเศษ ถ้าจะมีก็พวกโง่เป็นพิเศษเท่านั้นแหละ..! ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปก็แย่แล้ว ยังจะมีวิริยาธิกะพิเศษอีก

สำหรับสมเด็จองค์ปฐมท่านนั้นนอกเหตุเหนือผล ไม่ได้อยู่ใน ๓ ประเภทนี้ เพราะเริ่มหลักสูตรด้วยพระองค์ท่านเอง ในเมื่อเริ่มปฏิบัติด้วยพระองค์ท่านเองจึงยังไม่จัดเป็นหลักสูตร แรก ๆ ก็ยังไม่รู้ว่าทำไปเพราะอะไร แต่อยากทำ..ขอยืนยันว่ามีแบบนี้องค์เดียว ที่เหลือถัดจากนั้นใครจะแหกคอกขนาดไหนก็แหกไปเถอะ รับประกันว่าไม่เกิน ๑๖ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เพราะมีหลักสูตรแล้ว

สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕
http://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47

 

ถาม : ก่อนพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพาน พระองค์ท่านแสดงการเข้าสมาบัติระดับต่าง ๆ ?
ตอบ : พระองค์ท่านไม่ได้แสดง เป็นการกระทำที่เป็นปกติ แต่พระอนุรุทธท่านทราบแล้วบอกคนอื่น คนอื่นเขาสงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าเงียบไป ปรินิพพานแล้วหรือยัง พระอนุรุทธจึงต้องแจ้งให้ทราบเป็นระยะว่าตอนนี้พระพุทธเจ้าอยู่ในสมาธิระดับไหน แค่บอกให้คนอื่นรู้จะได้หายกังวลแค่นั้น

ถาม : เพื่อประโยชน์อะไรครับ ?
ตอบ : จะไปพระนิพพานเขาก็ทำอย่างนั้นทุกคน

ถาม : อย่างนั้นเป็นเพราะพุทธานุภาพหรือเพราะความสามารถของพระอนุรุทธครับ ?
ตอบ : ความสามารถของพระอนุรุทธ

ถาม : แล้วคนที่ไม่ได้ฌานสูงละครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ฌานสูงก็ไปพระนิพพานไม่ได้ เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ฌานสูงไปพระนิพพานไม่ได้อย่างเดียว ไม่ได้ฌานสูงก็ตัดกิเลสระดับสูงไม่ได้ด้วย แล้วจะไปอย่างไร ?

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต่ำสุดต้องฌานสี่คล่องตัวถึงจะไปได้ โดยเฉพาะการตัดกิเลสในระดับของพระอนาคามีและพระอรหันต์ ถ้ากำลังไม่ถึงฌานสี่ตัดไม่ได้หรอก
เพราะฉะนั้น..ต่อให้เป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสโกท่านก็ทรงฌานสี่เป็นปกติ

สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕