ใครด่าพระเกษมบ้าง ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 29 มีนาคม 2013.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่
    เพราะอาศัยอะไร เพราะยึดมั่นอะไร จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ธรรมของ
    ข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน ฯลฯ
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปแลมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ.
    เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ
    เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ.
    [๓๕๕] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยง
    หรือไม่เที่ยง?
    ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
    ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนธรรมดา พึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ เพราะไม่
    อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ?
    ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า.
    พ. เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
    ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
    ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ
    เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ?
    ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า.
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความ
    เป็นอย่างนี้มิได้มี.
     
  2. polyester

    polyester Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +65
    มันคนละเรื่องกัน กาละมังครับท่าน ไม่ใช่ว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง มันอยู่ตรงที่ว่าอริยสัจอยู่ตรงไหน เข้าใจอยู่ครับว่าเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด แต่เรื่องกระทืบกับเผาพระพุทธรูปมันเอาไปโยงกันไม่ได้ ถ้าจะทำปราชญ์ก็อธิบายมาด้วยครับ ถ้ายึดมั่นพระพุทธรูปแล้วเป็นมิจฉาทิฐิก็จะตกนรกกันหมด

    ถ้าบอกถึงไตรลักษณ์นะครับ ผมก็เข้าใจ แต่แยกให้ออกนะครับ การยกย่องเอาความดีมาเพื่อทำเป็นรูปเคารพนี่นะครับ มันคนละเรื่องกันนะ เวลาพ่อ แม่สอน เราฟังไม๊ครับ เวลาพ่อแม่ตายไปแล้ว เราก็ยังจำได้ใช่ไม๊ครับว่าท่านสอนอะไร เรามีรูปของท่านไว้เพื่อระลึกใช่ไม๊ครับ รูปมันก็เป็นเพียงกระดาษ เอาไปเผาทิ้งเอาไปกระทืบดีไม๊ครับ มันเป็นแค่กระดาษ มันไม่ใช่พ่อแม่เรา เราจะไปไหว้มันทำไม หรือท่านว่ามันเป็นแบบนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  3. polyester

    polyester Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +65

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ธรรมของ
    ข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน

    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปแลมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ.
    เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ
    เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ.

    จิตใจที่เคารพพระพุทธองค์นั้น เราไม่ได้ยึดมั่นใน สังขารแต่เราเคารพในการตรัสรู้อริยสัจ รู้จักพระองค์นั้ไม๊

    พระเถระ ก็ได้ขอให้พญามาร เนรมิตกาย เป็นพระพุทธองค์ เพื่อจะได้เห็น เป็นพุทธานุสติบ้าง ซึ่งพญามารก็รับคำ แต่ขอร้องว่า เมื่อเห็นเขาเนรมิตกาย เป็นพระพุทธองค์แล้ว อย่าหลงกราบไหว้เป็นอันขาด เพราะจะให้เขาบาปหนัก

    ครั้นเมื่อพญามารเนรมิตกาย เป็นพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ และฉัพพรรณรังสี อันวิจิตร มีพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา แวดล้อมด้วย มหาสาวกทั้งหลายเป็นบริวาร เสด็จเยื้องย่าง ด้วยพุทธลีลาอันงดงามยิ่ง พระเถระ และบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นเช่นนั้น ก็ลืมตัวพากันถวายนมัสการ ทำเอาพญามารตกใจ รีบคืนร่างเดิม และท้วงติงว่า ทำให้ตนมีบาปหนัก แต่พระเถระ ก็กล่าวให้พญามารสบายใจว่า ทุกคนกราบไหว้พระพุทธเจ้า และพญามารก็ไม่บาปหรอก จะได้กุศลมากกว่า
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธรูป คือ รูปปั้นที่ช่างปั้นสมมติขึ้น ไม่มีวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัย
    รูป คือ รูปร่างกาย คน สัตว์ มีวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัย

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า
    "อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียดซึ่งชนพาลชอบเล่า
    ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ไม่เห็นสัทธรรม
    ถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น"

    พระองค์ตรัสว่ารูป(ร่างกาย)ของพระองค์น่าเกลียด อย่ายินดีในรูป(ร่างกายของพระองค์) ให้เห็นสัจธรรม ผู้เห็นสัทธรรมผู้นั้นเห็นพระองค์ แต่ไม่มีใครเห็น ผมยกตัวอย่างไม่ต้องไปดูรูปที่ไหนเลย เอารูปเรารูปภรรยาเรารูปลูกเราพอ สั่งไว้เลยนะครับ ห้ามเจ็บ ห้ามแก่ ห้ามตาย สั่งเสร็จแล้วลองนั่งดู สิบปี ยี่สิบปี ห้าสิบปี ร้อยปี ยังไงมันก็เจ็บแก่ตาย เราห้ามมันไม่ได้ใช่ไหมครับ เอ้า! ไหนบอกว่ารูปของเรา ภรรยาของเรา ลูกของเรา ถ้าเป็นของเราจริงๆ ทำไมสั่งไม่ได้ละครับ คนเราทุกข์จริงๆ มันอยู่ตรงนี้ อริยสัจอยู่ตรงนี้ครับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย พวกที่ยังไม่เห็นตรงนี้ อย่าถามหาอริยสัจเลย พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่ายึดมั่นในรูป มันเป็นความเห็นผิด เห็นไหมครับมีใครเชื่อพระองค์บ้าง รูปของเรา รูปภรรยาของเรา รูปลูกของเรา จริงๆแล้วเรายังยึดอะไรไม่ได้เลย แล้วไปยึดรูปสมมติหาอะไร รูปร่างกายตายไปก็ต้องฝังดินหรือเผาไป พระพุทธรูปคอหัก แขนหักก็เอาไปทิ้ง มีใครเอามากราบไหว้บ้าง แล้วทุกวันนี้พระที่สอนให้ยึดรูป สอนตามใครครับ เป็นพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่ เป็นพระสะเดาะห์เคราะห์กรรม พระดูฤกษ์ยาม พระหมอดู พระตระกลุดของขลัง พระปลุกเสก พระลงยันต์ พระรดน้ำมนต์ไปหมดแล้วครับ สวดยะถาวาริวะหาปูราฯ เสร็จแล้วก็รับเงินใช้จ่ายเงินทอง มีเงินเดินห้างซื้อแผ่นหนัง ซื้อคอมพิวเตอร์ ซื้อเครื่องเสียง มีรถมีบ้าน เที่ยวหากินเหมือนคนทั่วไป ทำเดรัจฉานวิชชา ทำผิดศีลแบบนี้ผมไม่นับว่าเป็นพระสงฆ์ครับ

    รูปมีไว้ระลึกถึงได้ครับไม่ผิดอะไรครับ แต่ถ้ายึดแล้วไม่ว่าอะไรล้วนเป็นความเห็นผิดครับ ลองพิจารณาครับ พระศาสนาสอนไว้ว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ ดับไปก็เพราะเหตุ" รูปพ่อแม่มีเหตุเกิดจากความอยาก ร่างกายพ่อแม่ตายไปแล้วแต่ยังอยากจะมีพ่อแม่อยู่ ก็เอารูปถ่ายเก็บไว้กราบไหว้ ทำไมไม่เอารูปร่างกายที่ตายแล้วมานั่งกอดนอนกอดมากราบไหว้แทนละครับ รักพ่อแม่มากไม่ใช่หรือครับ เอารูปกระดาษมากราบไหว้แทนทำไม ทนกราบร่างกายพ่อแม่ที่ตายไปแล้ว ผิวหนังเขียวคล้ำ น้ำเลือดน้ำหนองไหลนอง หนอนกัดกินไม่ได้ต่างหาก คุณจึงเอารูปร่างกายพ่อแม่ตัวจริงไปเผา แล้วเอากระดาษมาสมมติเป็นรูปแทนท่าน รูปร่างกายพ่อแม่ยังเอาไปเผาทิ้งได้เลย รูปกระดาษแทนพ่อแม่ทำไมจะเอาไปเผาทิ้งไม่ได้ครับ
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พญามารมันตกใจคืนร่างเดิมไปตั้งสองพันกว่าปีแล้วครับ
    รูปนั้นก็หายไปแล้ว หายไปทันทีที่พญามารคืนร่างเดิม
    แต่คนยังยึดติดกับรูป หลงรูปเนรมิตที่พญามารเนรมิตขึ้นมา
    กราบไหว้รูปที่พญามารเนรมิตเอาไว้จนถึงทุกวันนี้
    ใครไปกราบเท่ากับเป็นพุทธานุสติ ผมขำขอรับ
     
  6. polyester

    polyester Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +65
    ถ้าเช่นนั้นผมขอดับที่เหตุแล้วกันครับ เหตุเกิดจากว่าผมนับถือพุทธศาสนาอันมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดา หลังทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว2556ปี ผมเป็นหนึ่งในพุทธศาสนิกชนที่เคารพบูชารูปอันแทนองค์สมเด็จพระจอมไตรและสงฆ์สาวกทั้งหลาย โดยมีพระธรรมคำสั่งสอนจากพระไตรปิฎกเป็นที่ตั้ง ยึดถือพระนิพพานเป็นที่สุด ซึ่งผมเห็นต่างในเรื่องการทำอันเป็นโลกวัชชะที่เกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อดับที่เหตุก็คือผมจะไม่ต่อความตามเรื่องข้างต้น ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารูปที่บ้านท่าน ท่านได้เผาไปหมดหรือยัง ก็ให้เป็นไปตามนั้นนะครับ ถ้าท่านยังเข้าใจไตรลักษณ์แบบตรรกะอยู่ก็คงจะยากที่จะเข้าใจกัน ซึ่งตัวนั้นผมนับถือกราบไหว้เพราะเคารพในความดีซึ่งถือแทนองค์ท่าน ส่วนการ เกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นมันคนละเรื่องกัน ไม่มีใครคงอัตภาพไว้ได้ สังขารเป็นของเน่าเหม็น เกิดขึ้น แปรปรวน แล้วดับไป การกราบไหว้พระพุทธรูปนั้นคงไม่ทำให้ถึงกับปิดทางพระนิพพานกระมัง.... ไหว้รูปที่เป็นตัวแทนความดีนะครับแยกให้ออก อย่าเหมารวมกับพวกที่หลงในความศักดิสิทธิ เล่นพระนะครับ ผมไม่เหมือนกัน ....ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมจะไม่ขัดศรัทธาเลยหากพระรูปนั้นไม่ประกาศออกมาว่าวางแผนการณ์นี้มานานแล้ว นิกายทางพุทธก็มีอยู่เยอะ ท่านก็ไม่น่าจะมาบวชในนิกายนี้ที่เขาเคารพนับถือกันมาช้านาน หรือไม่ก็ไปตั้งพุทธนิกายใหม่ที่ไม่เอาพระพุทธรูป มันก็จบืพุทธก็มีหลายนิกาย คริสต์ก็มีหลายนิกาย ซึ่งควรจะแยกออกไป
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ผมคัดลอกมาจาก พระไตรปิฏก ภาษาไทย(มหามกุฏ) เล่มที่ ๓๒ หน้า ๒๑๔/๒๑๕

    บทว่า อสหาโย ความว่า ชื่อว่าไม่มีสหาย เพราะท่านไม่มี
    สหายผู้เช่นกับด้วยอัตภาพ หรือด้วยธรรมที่ทรงแทงตลอดแล้ว.
    ก็พระเสขะและพระอเสขะ ชื่อว่า เป็นสหายขอพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    โดยปริยายนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงได้เสกขปฎิปทา และ
    อเสกขปฏิปทาเป็นสหายแล.

    บทว่า อปฺปฎิโม (ไม่มีผู้เปรียบ) ความว่า อัตภาพเรียกว่า
    รูปเปรียบ. ชื่อว่าไม่มีผู้เปรียบ เพราะรูปเปรียบอื่นเช่นกับอัตภาพ
    ของท่านไม่มี. อีกอย่างหนึ่ง มนุษย์ทั้งหลายกระทำรูปเปรียบใด
    ล้วนแล้วด้วยทองและเงินเป็นต้น ในบรรดารูปเปรียบเหล่านั้น ชื่อว่า
    ผู้สามารถกระทำโอกาสแม้สักเท่าปลายขนทรายให้เหมือนอัตภาพของ
    พระตถาคต ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าไม่มีผู้เปรียบแม้โดย
    ประการทั้งปวง. บทว่า อปฺปฎิสโม (ไม่มีผู้เทียบ) ความว่า ชื่อว่า
    ไม่มีผู้เทียบ เพราะใคร ๆ ชื่อว่าผู้จะเทียบกับอัตภาพของพระตถาคต
    นั้นไม่มี.


    บทว่า อปฺปฏิภาโค (ไม่มีผู้เทียม) ความว่า ชื่อว่าไม่มีผู้เทียม
    เพราะธรรมเหล่าใดอันพระตถาคตทรงแสดงไว้โดยนัยมีอาทิว่า
    สติปัฏฐานมี ๔ ขึ้นชื่อว่าผู้สามารถเพื่อจะทำเทียมในธรรมเหล่านั้น
    โดยนัยมีอาทิว่า น จตฺตาโร สติปฏฺานา ตโย วา ปญฺจ วา (สติปัฏฐาน
    ไม่ใช่ ๔ สติปัฏฐานมี ๓ หรือ ๕.) บทว่า อปฺปฏิปุคฺคโล (ไม่มีบุคคล
    ผู้แข็ง) ความว่า ชื่อว่าไม่มีบุคคลผู้แข่ง เพราะไม่มีบุคคลอื่นไร ๆ
    ชื่อว่าสามารถเพื่อให้ปฏิญญาอย่างนี้ว่า เราเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้.
    บทว่า อสโม (ไม่มีผู้เสมอ) ความว่า ชื่อว่า ผู้ไม่เสมอด้วย
    สัตว์ทั้งปวง เพราะไม่มีบุคคลเทียมนั่นเอง. บทว่า อสมสโม (ผู้เสมอ
    กันบุคคลผู้ไม่มีใครเสมอ) ความว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ที่เป็นอดีตและอนาคต ท่านเรียกว่า ไม่มีผู้เสมอ ผู้เสมอด้วยพระ
    สัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้ไม่มีใคร ๆ เสมอเหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
    ผู้เสมอกับบุคคลผู้ไม่มีใครเสมอ.
    บทว่า ทฺวิปทานํ อคฺโค ความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็น
    ยอดของเหล่าสัตว์ผู้ไม่มีเท้า มี ๒ เท้า มี ๔ เท้า มีเท้ามาก สัตว์ผู้มีรูป
    ไม่มีรูป ผู้มีสัญญา ไม่มีสัญญา มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.
    เพราะเหตุไร ในที่นี้ ท่านจึงกล่าวว่า เป็นยอดของเหล่าสัตว์ ๒ เท้า ?
    เพราะเนื่องด้วยพระองค์เป็นผู้ประเสริฐกว่า. จริงอยู่ ธรรมดาว่า
    ท่านผู้ประเสริฐ เมื่อจะอุบัติในโลกนี้ หาอุบัติในสัตว์ไม่มีเท้า มี ๔ เท้า
    และมีเท้ามากไม่ ย่อมอุบัติเฉพาะในสัตว์ ๒ เท้าเท่านั้น. ในสัตว์ ๒ เท้า
    ชนิดไหน ? ในมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย. ก็เมื่อเสด็จอุบัติในหมู่
    มนุษย์ ย่อมอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า ผู้สามารถเพื่อทำสามพันโลกธาตุ
    และหลายพันโลกธาตุ ให้อยู่ในอำนาจได้. เมื่ออุบัติในหมู่เทวดา
    ย่อมอุบัติเป็นท้าวมหาพรหม ผู้ทำหมื่นโลกธาตุให้อยู่ในอำนาจได้
    ท้าวมหาพรหมนั้น พร้อมที่จะเป็นกัปปิยการก หรือเป็นอารามิก
    ของพระองค์ ดังนั้น ท่านจึงเรียกว่าเป็นยอดของสัตว์ ๒ เท้า ด้วย
    อำนาจเป็นผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์และเทวดาแม้นั้นทีเดียว.
     
  8. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
    ตายแล้ววันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง ที่ขึ้นพอง มี สีเขียวน่าเกลียด มีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด
    เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้
    ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง ฯลฯ
    อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ"

    รูปร่างกายของเรายังนับได้ว่าถูกทิ้งไว้ในป่าช้า มันเจ็บ มันแก่ มันตาย จะพึ่งพิงอาศัยได้แค่ชั่วคราว
    ที่พึ่งได้จริงๆ คือ พึ่งพระธรรม และพึ่งตนเอง รูปสมมติที่ไหนเลยจะเป็นที่พึ่งได้
     
  9. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่าง
    สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย
    ติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ
    ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัด
    รำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่า
    บูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอ
    ปลุกเสก
    เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ
    เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา
    เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ
    ประการหนึ่ง.


    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๙ หน้าที่ ๕๙/๓๘๓

    ใครที่ทำติรัจฉานวิชาไม่ใช่ลูกศิษย์พระตถาคตเป็นแน่
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่
    สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย
    ติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกัน
    บ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธี
    บวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ
    ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยา
    ถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา
    ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล
    แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.


    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๙ หน้าที่ ๕๙/๓๘๓

    -ใครที่ทำติรัจฉานวิชาไม่ใช่พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นแน่
     
  11. polyester

    polyester Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +65
    ยังไงเราก็ชาวพุทธเหมือนกัน มุ่งมั่นที่จะไปสู่ที่เดียวกัน ก็คงจะพอแก่กาลแล้ว เพราะพูดไปก็รังแต่คาดเคลื่อนกันเปล่า
     
  12. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เป็นชาวพุทธเหมือนกันแล้วทำไมไม่ฟังคำพระศาสดาครับ พระไตรปิฏกมีเขียนไว้ ที่คาดเคลื่อนนั้นเพราะใจต่างหาก
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ถ้าจะพิจารณาเพื่อความเป็นธาตุ ร่างกายทุกส่วนก็เป็นธาตุล้วนๆ อยู่แล้ว นอกจากไม่พิจารณาจึงหลงสำคัญว่าเขาเป็นนั่นเป็นนี่ อันเป็นการเสกสรรเพื่อก่อความกังวลยุ่งเหยิงใส่ตนโดยใช่เหตุเท่านั้น ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไรจากการเสกสรรนั่นเลย การพิจารณาให้รู้ตามหลักธรรมคือไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ด้วยสติปัญญาจริงๆ ไตรลักษณ์ก็มีเต็มอยู่ในกายในอาการของจิตเราอยู่แล้ว ถ้าไม่หลงก็ไม่ควรลูบคลำไปที่ไหน ดูในกายในจิตก็จะพบว่า ธรรมดังกล่าวเต็มอยู่ในตัวเราเอง

    ถ้าลงจิตได้เห็นกายว่าเป็นเพียงธาตุเพียงขันธ์และเป็นไตรลักษณ์ล้วนๆ จริงๆ ด้วยปัญญาแล้ว กิเลสอุปาทานทั้งหลายแม้จะเคยตั้งรากฐานบ้านเรือนลงในใจอย่างลึกสุดลึก ก็ทนอยู่ไม่ได้ จำต้องถูกถอนรากถอนโคนขึ้นมาโดยไม่เหลือแม้ปรมาณูเลย จิตที่เคยถูกกดถ่วงด้วยอำนาจกิเลสตัณหาจนกระดิกตัวไม่ขึ้น ก็จะดีดกระเด็นขึ้นมาอย่างฉับพลัน ยิ่งกว่าผู้ต้องหาพ้นโทษโดดออกจากเรือนจำเสียอีก เท่าที่จิตจำต้องอดต้องทนติดจมอยู่กับกิเลสกองทุกข์ ด้วยความขมขื่นฝืนใจเรื่อยมา ก็เพราะไม่มีใครเมตตาช่วยเหลือปลดเปลื้องให้ผ่านพ้นไปได้ จึงแม้จิตจะเป็นของมีคุณค่ามากมายเพียรไร ก็เป็นเหมือนเพชรพลอยที่จมอยู่ในกองมูตรกองคูถนั่นแล ไม่มีความหมายเท่าที่ควรเป็นเลย

    ฉะนั้น อุบายแก้ไขหรือปลดเปลื้องเพื่อช่วยจิตให้ได้ขึ้นจากหล่มลึก จึงหนีสติปัญญาไปไม่พ้น และใช้พิจารณาในธาตุในขันธ์ที่มีอยู่ในกายในใจนี่แล โดยกำหนดแยกออกเป็นหมวดๆ กองๆ เช่น กองธาตุกองขันธ์เป็นต้น ธาตุในกายเรามีอยู่สี่ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ส่วนแข็ง เช่น ผม ขน เล็บ ฟันเป็นต้น เป็นธาตุดิน จะเสกสรรให้เป็นเราเป็นของเราได้อย่างไร ก็ต้องเป็นดินตามเดิมของเขา ส่วนเหลว เช่น น้ำตา น้ำลาย เป็นส่วนธาตุน้ำก็เป็นน้ำตามเดิมของเขา จะเสกสรรให้เป็นเราเป็นของเราได้อย่างไร ส่วนลม เช่น ลมหายใจเป็นต้น ก็เป็นธาตุลมของเขามาดั้งเดิม จะเสกสรรให้เป็นเราเป็นของเราได้อย่างไร ส่วนไฟ เช่น ความอบอุ่นในร่างกายก็เป็นธาตุไฟมาดั้งเดิมของเขา จะเสกสรรให้เป็นเราเป็นของเราได้อย่างไร

    สรุปแล้วในกายนี้มันเป็นสมบัติของดินน้ำลมไฟเขา จะเสกสรรให้เป็นเราเป็นของเราได้อย่างไร เพราะเป็นธาตุล้วนๆ หรือเป็นสมบัติของธาตุล้วนๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สมบัติของเรา ทั้งหมดมันเป็นสมบัติของธาตุล้วนๆ ไม่มีส่วนใดแม้น้อยพอจะแย่งชิงเขาและแย่งชิงของเขา มาเป็นเราเป็นของเราได้ ความสำคัญมั่นหมายที่เคยเป็นมาในใจนั้นเป็นความโกหกล้วนๆ ไม่มีความจริงแม้นิดแฝงอยู่เลยพอจะเชื่อได้เพียงการแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ใจที่ไม่มีสติปัญญาแฝงอยู่บ้างเลย จึงเหมาเชื่อเอาเสียหมดเมื่อถูกของปลอมจอมโกหกเข้าเช่นนั้น จึงเสียใจจนไม่มีที่ปลงวางได้

    ถ้าพูดถึงนามขันธ์ก็เพียงเป็นหมวดเป็นกองแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณของใครของเขาอยู่เท่านั้น มิได้เป็นกองเราเป็นกองสมบัติของเรา พอให้ลุ่มหลงจนไม่มีวัน คืน เดือน ปีว่าจะสิ้นเขตให้กลับรู้ตัวเสียบ้างเลยเมื่อไร แต่เพลินหลงอยู่ตลอดเวลาจนกลายเป็นโลกันตะแห่งความลุ่มหลง เพราะความสำคัญมั่นหมายว่าขันธ์เป็นนั่นเป็นนี่เป็นผู้หลอกลวง ความจริงไม่ว่าขันธ์ใดปรากฏขึ้น ขันธ์นั้นก็มีแต่ความดับเต็มตัวของมันอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีความหลงความสำคัญแม้นิดเข้าไปแทรกแซงได้อีก ทั้งรูปขันธ์ คือกาย ทั้งนามขันธ์ คือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นเจ้าของอยู่แล้ว ไม่ควรไปแย่งชิงเขามาเป็นตนเป็นของตน ให้หนักใจไร้ความสุขทนแบกทุกข์ไปเปล่าๆ ไม่มีวันปลงวางได้เลย

    การพิจารณาธาตุขันธ์ทั้งมวล จนเห็นตามความจริงด้วยสติปัญญาดังกล่าวมา เป็นทางปลดเปลื้องเครื่องกดถ่วงออกจากใจได้โดยสิ้นเชิง นอกจากรูปขันธ์และนามขันธ์ที่ถูกสติปัญญาคลี่คลายขยี้ขยำ และสลัดปัดทิ้งออกจากใจโดยเด็ดขาดแล้ว แม้ความสำคัญในดวงใจว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็ถูกสติปัญญาแยกแยะคลี่คลายออกดูอย่างละเอียดทั่วถึง และสลัดปัดปอกนำออกวางไว้ตามเป็นจริง ไม่มีจุดใดยังเหลือหลออยู่ที่สติปัญญาเข้าไม่ถึงหรือทำลายไม่ได้ แต่สติปัญญาสามารถกวาดต้อนปล้อนทิ้งออกจนหมด ที่ปรากฏในวาระสุดท้ายก็คือความบริสุทธิ์ล้วนๆ ไม่มีจอมมารยาใดเคลือบแฝงอยู่เลย นั่นท่านเรียกว่า วิมุตติพุทโธแท้ ที่เราเรียกร้องหาท่านแต่วันเริ่มแรกภาวนา และหาได้ในตัวเราตัวท่านเอง หลังจากกิเลสสิ่งจอมปลอมสิ้นไปแล้วด้วยเครื่องมือ คือสติกับปัญญาที่ทันสมัย ซึ่งถูกอบรมมาแต่ต้นจนเต็มภูมิ

    คำว่าปัญญา มีสามขั้น คือ ขั้นต่ำ ขั้นกลางและขั้นละเอียด ที่ท่านให้นามว่ามหาปัญญา ขั้นหยาบใช้พิจารณารูปขันธ์คือกาย ขั้นกลางใช้พิจารณานามขันธ์ทั้งสี่ คือเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ขั้นละเอียดสุดใช้พิจารณาจิต แต่ระหว่างนามขันธ์กับจิตโดยมาก ปัญญาขั้นกลางกับขั้นละเอียดมักทำงานประสานกันไป ถ้าจะพูดไว้เพียงนี้ไม่พูดถึงปัญญาขั้นละเอียดสุดใช้พิจารณาจิตโดยเฉพาะแล้ว รู้สึกไม่ถึงใจผู้แสดงซึ่งเป็นคนมีนิสัยหยาบ ไม่ยอมเข้าใจอะไรอย่างง่ายๆ เมื่อได้แยกแยะปัญญาออกใช้เป็นประเภทตามความจำเป็นในขณะทำหน้าที่นั้น รู้สึกถนัดใจและถึงใจ เพราะได้เคยปฏิบัติต่อเรื่องของตัวมาอย่างนั้น ผิดถูกประการใดเรื่องก็ได้เป็นมาอย่างนั้น จึงขอเรียนไว้ตามความจริง

    ท่านผู้สนใจอยากทราบความอัศจรรย์ของใจและของพระพุทธศาสนา กรุณาปฏิบัติจิตตภาวนาดูก็จะทราบได้ กรุณาศึกษาจนรู้เรื่องของจิตและสิ่งที่เกี่ยวกับจิต คืออารมณ์ดีชั่วต่างๆ ซึ่งจิตเป็นผู้สะสมเอาไว้จนมองหาดวงจิตไม่เจอ เต็มไปด้วยสิ่งปลอมแปลงทั้งหลายหุ้มห่อก่อตัวขึ้นมา โดยอาศัยจิตเป็นที่ยึดครองเพื่อตั้งเนื้อตั้งตัว พอตั้งตัวได้แล้วก็ยึดเอาจิตเป็นบ๋อยคนใช้ จิตจึงกลายเป็นสิ่งไม่มีคุณค่าในตัวเรา และมักมองข้ามไปว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนี้สวยงาม สิ่งนี้ประเสริฐเลิศเลอ น่ารักใคร่ชอบใจ ถ้าเป็นของใครผู้นั้นประเสริฐ มีหน้ามีตามีคนเคารพนับถือและยกย่องสรรเสริญ โดยไม่ทราบว่าใจซึ่งเป็นของประเสริฐ แต่ได้ลดฐานะลงไปสรรเสริญกิเลสซึ่งเปรียบกับนักโทษในเรือนจำ กิเลสซึ่งเปรียบเหมือนกองมูตรกองคูถได้รับความยกย่องเลยลืมตัวไปใหญ่ อวดอำนาจวาสนาเที่ยววางยาพิษให้คนกินล้มทั้งหงายตายพินาศ และเสียผู้เสียคนกลายเป็นคนวิกลจริต ทั้งที่ใจและสติสตังยังมีอยู่เพราะพิษของมัน

    การภาวนาเท่านั้นจะรู้ของดีว่าเป็นของดี ของชั่วว่าเป็นของชั่ว ของเทียมว่าเป็นของเทียม ธรรมว่าเป็นธรรม กิเลสว่าเป็นกิเลสได้ดี ไม่หลงเสกสรรยกยอแบบสุ่มเดา นอกจากจะกำจัดให้พินาศขาดสูญจากใจไปเสียเท่านั้นด้วยหลักภาวนา ท่านผู้สนใจภาวนาตามทางของศาสดาผู้วิเศษจริงโดยไม่ต้องยกยอ ผู้นั้นจะเห็นของจริงอันประเสริฐและของปลอมได้อย่างชัดเจนที่ใจตัวเอง ก่อนจะเห็นของจริงและของปลอมภายนอก พระพุทธเจ้าจะนิพพานไปนานสักเท่าไร ไม่เป็นปัญหาขัดข้องทางดำเนินเพื่อมรรคผลนิพพานของท่านผู้เป็นสุปฏิบัติตามหลักธรรม กาลสถานที่หรือสิ่งใดๆ ในโลกไม่มีอำนาจมากั้นกางหวงห้ามมรรคผลนิพพานไว้ได้ นอกจากตัวเองจะกั้นกางตัวเองและเปิดทางเดินของตัวเองโดยทางอริยสัจ ๔ นี้เท่านั้น

    มีอริยสัจ ๔ ที่มีอยู่ในใจของคนนี้แล จะเป็นผู้มีอำนาจกั้นกางหรือเบิกทางมรรคทางผลได้ นอกนั้นไม่มีอะไรมีอำนาจ อริยสัจฝ่ายกั้นทางเพื่อมรรคผลนิพพานได้แก่ ทุกข์กับสมุทัย ถ้าใครสั่งสมขึ้นมากๆ ผู้นั้นมีหวังกั้นทางตัวเองให้เหินห่างจากมรรคผลนิพพานแน่นอนโดยไม่ต้องหาอะไรมากั้น ส่วนอริยสัจฝ่ายเปิดทางเพื่อมรรคผลนิพพานได้แก่ นิโรธกับมรรค ถ้าใครสั่งสมขึ้นให้มากๆ ผู้นั้นมีหวังเปิดทางตัวเองให้ใกล้ชิดติดกับมรรคผลนิพพานเข้าโดยลำดับ จนถึงที่สุดจุดหมายปลายทางได้โดยไม่ต้องหาอะไรมาเปิด เพียงอริยสัจคือ นิโรธกับมรรคนี้ก็พอตัวแล้ว พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายทรงบรรลุถึงมรรคผลนิพพานได้ เพราะนิโรธกับมรรคเป็นเครื่องมือดำเนิน มิได้มีสิ่งใดในโลกมาเสริมช่วยเลย จึงควรมั่นใจในสัจธรรมที่เคยให้ความมั่นใจมาแล้วอย่างมั่นเหมาะ ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า

    http://palungjit.org/threads/วิธีพิสูจน์จิตและพระพุทธศาสนา-ธรรมะโดยหลวงตามหาบัว-ญาณสัมปันโน.490279/
     
  14. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    คนบางพวกอวดโอ้ว่าไม่ยึด ไม่ถือทึกติดรูปให้เศร้าหมอง
    ไม่ยึดมั่นถือมั่นดูหน้ามอง มีสมองสูงเลิศเกินกว่าใคร

    เที่ยวตำหนิพวกยีดรูปที่ชอบกราบ ดูประหลาดคนอะไรไหว้ทองเหลือง
    ไม่เหมือนข้าสูงกว่าใครดูปราบเปรื่อง ฉลาดเรื่องทุกสิ่งเกินกว่าใคร

    ข้าไม่ยึดไม่ถือมาให้เมื่อย ไม่เน่าเปื่อยสมองสูงกว่าใครเขา
    ไม่กราบไหว้รูปใดให้ดูเขลา เพียงพวกเราชอบทำเกินกว่าใคร

    มันยึดรูปกราบไหว้ดูหน้าขัน รูปพ่อฉันแม่ฉันฉันยังเฉย
    รูปใดๆใครกราบไหว้ดูหน้าเชย อยากบอกเขยเอาไปทิ้งให้ไกลๆ

    สุดท้ายนี้อยากบอกพวกไม่กราบ พวกไม่ไหว้ครานสูงมีสมอง
    ไม่ยึดติดสิ่งใดดูหน้ามอง แล้วมึงสองเผาทำไมกับรูปเอย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2013
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต" ผู้ใดเห็นรูปของพระองค์ จับชายจีวรเดินตามหลังพระองค์
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าผู้นั้นอยู่ไกลจากพระองค์ แต่ผู้ใดเห็นธรรมของพระองค์ ผู้นั้นชื่อว่าอยู่ใก้ลพระองค์
    ธรรมะของพระองค์มีอยู่ที่อายตนะ ๖ อยู่ที่ตากระทบรูปเกิดวิญญาณทางตา ดีใจเสียใจ เห็นนรกหรือสวรรค์
    ก็อยู่ที่นี่อยู่ตรงนี้ เห็นแล้วเกิดเวทนา เกิดตัณหาตามมา เห็นแล้วก็ปรุงแต่งไป พอใจก็ดีใจ ไม่พอใจก็ทุกข์ใจ
    ไม่รู้รูปเกิดไม่รู้รูปดับไปตอนไหน ใจต่างหากที่ไปปรุงแต่งว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    พอมันไม่เป็นอย่างที่ใจอย่างให้เป็นมันก็ทุกข์ ถ้าเห็นมันเกิดดับเป็นธรรมดา มันก็ไม่ทุกข์
    "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต" เห็นธรรมแต่ปากเห็นแต่กระพี้ ยังไม่เห็นแก่นธรรมก็ทุกข์ครับ
     
  16. polyester

    polyester Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +65
    น่าเสียดาย น่าเสียดาย
     
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เห็นรูป ติดรูป น่าเสียดาย เหมือนอ่านคัมภีร์ ยึดตัวหนังสือ
     
  18. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    สิ่งที่ตอบเห็นด้วยเป็นที่สุด เพราะจิตรู้ตรงจุดนี้มานานโข่ล
    แต่ที่ถามเหตุใดจึงละเลย ว่าใครเอยแท้จิงที่ติดกัน

    หนึ่งพวกบอกกราบรูปเพราะใช้คิด ให้สติเมื่อแลเพียงได้เห็น
    หนึ่งพวกจ้องเผาำไฟให้อับจิน เพราะเหตุคิดติดกันคนละทาง

    ไม่ใช้พวกจ้องเผาจะไม่ติด จะไม่คิดแท้จริงว่าใดหน่อ
    เค้าไม่ยึดไม่ติดเหตุอันใดเลย แล้วจึงไซ่เผาไฟไปทำไม

    หนึ่งใช้รูปยึดไหว้เพียงก้มกราบ หาได้ขาดสติไม่คิดไปสอง
    ใช้รูปหยาบตัดรูปต่อมีก่ายกอง เหมือนคิดมองดูลมเพื่อตัดไฟ

    ถ้าไม่มีจุดระลึกสติแตก พระท่านแยกกายจิตได้ไงหน่อ
    นั้งหลับตานึกพุธโธทำไมนอ เหตุใดหน่อเอาจิตไปยึดลม

    เพราะยึดลมดูลมตามดูจิต สติจ้องมองไปไม่ให้ขาด
    เห็นลมเข้าลมออกตลอดกาล แล้วจึงเกิดปิติให้ขนพอง

    นี้ละหน่อที่ให้ยึดแล้วมาละ ไม่ใช้ตัดขาดละเพียงแค่เผา
    ก้มกราบไหว้ไม่ผิดเพราะแค่ใจ ให้ระลึกคุณค่าของความดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2013
  19. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ระวังจะเป็นเองจะท่าน อ่านคัมภีร์ ยึดตัวหนังสือ
     
  20. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    อาจารย์ขาก้อนศิลาบ้านข้าเจ้า
    ลุกขึ้นเต้นเร่าเร่าน่าเลื่อมใส
    ทำพุทธรูปกันเถิดหนาเลิศกว่าใคร
    "เออ, ทำได้ " แน่หนาท่านอาจารย์

    "ถ้าอย่างนั้นไม่ได้แล้วไม่ได้แน่
    เหตุว่าแกสงสัยไม่ฉาดฉาน
    ขืนทำไปไม่มั่นมันป่วยการ
    พุทธรูปตายด้านเพราะลังเล

    ถ้าในใจเชื่อมั่นมันก็ได้
    ถ้าในใจสงสัยมันก็เขว
    เป็นพุทธจริงตรงที่ใจไม่เกเร
    มันไหลเทออกจากใจข้างในเรา

    พุทธะจริงข้างในมีดีอยู่แล้ว
    พุทธรูปหินหรือแก้วมักพาเขลา
    มีพุทธจริงแล้วจะวิ่งเที่ยวหาเอา
    อะไรเล่ามาหมอบไหว้ให้ยุ่งเอย ฯ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...