พระแม่ธรณี ปรากฏร่าง

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย chaokhun, 11 เมษายน 2013.

  1. Mon Treal

    Mon Treal เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +536
    อ้างอิง การที่เราจะยอมรับนับถือสิ่งใด มันก็ต้องเกิดมาจากความศรัทธาก่อนและในสมัยโบราณหรือสมัยปู่ย่าตาทวด ของตัวดิฉันเอง ท่านมีการปฎิบัติดีปฎิบัติชอบในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สุด และการที่เราจะให้การยอมรับนับถือในสิ่งใดสิ่งหนี่ง มันก็ต้องใช้เวลานานมาก ธรรมใดก็ดี สิ่งใดก็ดีที่ทำให้เราสบายใจหรือเป็นที่พึ่งทางใจได้และไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เราจะยอมรับนับถือเพิ่มอีกซักสิ่งก็คงไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ และคนเราใช่ว่าทุกคนจะสามารถปฏิบัติได้ถึงขั้นพระโสดาบันได้กันหมดทุกคน เพราะทุกสิ่ง จะต้องมีเหตุ ปัจจัยเข้ามาเกี่ยวเนื่องอยู่ด้วย จะเป็นด้วยเหตุแห่ง กรรมเก่า หรือบุญเก่าฉะนั้นแล

    ข้าพเจ้ากล่าวตามท่ีตถาคตกล่าว ไม่ถูกต้องกราบขอโทษ และขอบคุณท่ีช่วยแชร์ ขออโมทนาในจิตกุศลทั้งปวง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2013
  2. Snow

    Snow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    698
    ค่าพลัง:
    +2,385
    ขออภัยอย่างแรงค่ะ พี่เผลอไปโดน "ไม่เห็นด้วย" ระบบสัมผัส(มือถือ)เจ้ากรรมทำกันได้
     
  3. namotussa

    namotussa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,470
    [​IMG]

    พระแม่ธรณีได้ปรากฏกายเพื่อบีบน้ำจากมวยผมให้ท่วมพญามารที่รังควาญสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนวันตรัสรู้ ดั่งรายละเอียดตามพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสว่า....
    ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรีเป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร

    ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยง ๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิงตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่างหมู่มารทั้งหลายต่าง ๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ....
     
  4. kartoonyna

    kartoonyna ว่างเปล่า เฉยชา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +129
    ตั้งแต่เด็กแล้วพ่อแม่มักสอนว่าจะไปไหนให้บอกกล่าวพระแม่ธรณี แต่เราก้อเฉยๆ มีคนพาทำก้อทำ ไม่มีใครพาไหว้ก้อไม่ได้ไหว้
    เพิ่งมาเจอกับพระแม่ท่านแบบจะๆเมื่อต้นปีนี้เอง คือเราสร้างพระถวายวัด แต่วัดนั้นเจ้าอาวาสมรณภาพลง ชียึดอำนาจ พระขึ้นไปจำพรรษาไม่ได้ แล้วชีมาคิดเชิงธุรกิจกับเรา ทำให้เราไม่สบายใจมากๆ เราเป็นห่วงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่น วัดต้องมีพระ นั่นคือความคิดของเราตอนนั้น แล้วเราก้อร้องไห้ออกมา และพระแม่ท่านก้อปรากฎกายขึ้นมา ท่านพูดว่า "นี่แม่นะลูก นี่แม่นะ พระแม่ธรณี เด็กน้อยเอย อย่าห่วงเลย มีอันใดน่าห่วง แผ่นดินนี้ตั้งแต่กูเป็นของกู มึงเป็นของมึง ข้าเป็นของข้า เอ็งเป็นของเอ็ง เธอเป็นของเธอ ฉันเป็นของฉัน หมุนเวียนเปลี่ยนไป แต่แผ่นดินนี้ก้อยังคงอยู่ เด็กน้อยผู้มีจิตใจอันงดงามเอย มารไม่ใช่มาร ธรรมไม่ใช่ธรรม เทพไม่ใช่เทพ ให้เจ้าใช้สติของเจ้าไตร่ตรองให้ดี อย่าห่วงกังวลเลย ให้เจ้าห่วงตัวเจ้าเองให้มาก" เราก้มกราบแทบเท้าท่าน และเชื่อโดยสนิทใจว่าทุกย่างก้าว ทุกการกระทำของสรรพสิ่ง พระแม่ธรณีท่านรู้ ท่านเห็นทุกอย่างว่าใครทำดีไม่ดีอย่างไร
     
  5. Bonsaiza

    Bonsaiza เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +309
    ไม่เป็นไรค่า catt1
     
  6. evatranse

    evatranse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +571
    กาลามสูตร​


    กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร

    อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
    อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
    อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
    อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
    อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
    อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
    ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น

    สูตรนี้ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาละมะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาละมะนั้นเป็นชาวเกสปุตตะนิคม ในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่องมงายไร้เหตุผลตามหลัก 10 ข้อ

    ตัวอย่าง

    อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ประเภท "เขาว่า" "ได้ยินมาว่า" ทั้งหลาย
    อย่าได้ยึดถือถ้อยคำสืบๆกันมา ประเภท "ใครๆว่า" "โบราณว่า" ตามกระแส
    อย่าได้ยึดถือโดยความตื่นข่าวว่า เข่าว่าอย่างนี้ ประเภทข่าวลือ ข่าวโคมลอย ทั้งหลาย
    อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าไปตามตำรามากนัก ตำราว่าอย่างนั้น ต้องออกมาเป็นอย่างนั้น เท่านั้น เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะอย่าลืมว่า ตำราบางเล่ม คนแต่งก็มั่วมาบ้าง เขียนไม่ครบบ้าง ใส่ไข่เอาเองบ้าง คนมีกิเลสไปแก้ไขตำรา คนมีผลประโยขน์ ไม่แก้ไขตำราเท่ากับเราโดนหลอก
    อย่าได้ยึดถือโดยนึกเดาเอาเอง เช่น เข้าใจเอาเอง หรือข้อมูลไม่พอ ใจร้อนเดาสุ่มเอา มั่วๆ เอา
    อย่าได้ยึดถือโดยการคาดคะเน การคาดการณ์ตามประวัติศาสตร์ ตามสถิติ ความน่าจะเป็น ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เพราะเห็นแค่ร้อย อย่าเหมาว่าที่ร้อยเอ็ดจะเป็นไปด้วย
    อย่าได้ยึดถือตรึงตามอาการ อย่าเห็นว่าอาการแบบนี้ น่าจะเป็นแบบนี้ ให้คิดเผื่อๆไว้ด้วย เช่น เห็นคนไข้เป็นแบบที่เคยรักษาคนอื่นๆมาก่อน อย่าไปตรึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้น เห็นเงาก็จ่ายยาได้ เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าเข้าข้างตนเอง นั่งสมาธิเห็นโน่น เห็นนี้ อย่านึกว่าเป็นจริง เพราะอาจจะเป็นจิตหลอกจิต
    อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่า ต้องกันกับทิฐิของตัว อย่าเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ อะไรที่ตรงกับที่ตนคิดไว้เท่านั้นที่เชื่อได้ คนคิดแบบนี้ ดื้อตายชัก
    อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ระวังจะโดนหลอก อย่าลืมว่า สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
    อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา การยึดอาจารย์ของตนเองมากไป ก็ไม่ดี ควรทำตาม ทดสอบดู ถ้าผิดพลาดก็ไม่ต้องเชื่อ ถ้าทำแล้วดีขึ้นก็แสดงว่าเชื่อได้.

    ***ในบรรดาความงมงายทั้งสิบประการนี้ ขอให้พวกเราสำรวจตัวเองดูว่า มันมีอยู่ในตัวเราข้อใดบ้าง และมากน้อยเพียงใด พระพุทธเจ้าท่านถือว่า ความงมงายนี้เป็นเหตุอันหนึ่งซึ่งจะนำคนไปสู่ความพินาศตามความต้องการของพญามาร คือ กิเลสตัณหา ที่ทำให้เกิดความทุกข์ ชนิดที่เรียกว่า ตกนรกทั้งเป็น การตกบ่อ บ่อที่มีหอกแหลนหลาวนั้นเป็นการเจ็บเพียงแต่กาย ไม่ได้ทำให้คนเสียมนุษยธรรมหรืออะไรดี ๆ ของมนุษย์เลย แต่ถ้าเราตกบ่อความงมงายเหล่านี้ มันจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ เสียคุณธรรมที่ดีหมด จึงถือได้ว่าน่ากลัว น่าหวาดเสียว ยิ่งกว่าความตายทางกาย ความตายทางจิตใจนี้ คือตายหรือตกจมอยู่ในความมืดของความโง่ หลง แต่พวกเรากลับไม่กลัวกันเลย ไปกลัวความเจ็บไข้ความตายทางกาย กลัวอด กลัวไม่ได้อะไรมาบำรุงร่างกาย จึงได้กล้าทำสิ่งต่าง ๆ ที่ผิดศีลธรรม เมื่อผิดศีลธรรมแล้วก็ไม่ต้องสงสัย มันย่อมขัดขวางความบรรลุมรรคผลนิพพาน จึงหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะได้พิจารณากันดูให้รู้จักสมบัติชิ้นที่ ๓ ของปุถุชนที่อุตส่าห์หอบหิ้วกันมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์โน้น คือสมัยที่ยังเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ มาจนกระทั่งทุกวันนี้โดยไม่เสื่อมสิ้นไปได้ เพราะอำนาจของอะไร เพราะอำนาจของสีลัพพตปรามาสนั่นเอง ถ้าความเชื่อความงมงายนี้ยังไม่ถูกละออกจากตัวใครแล้ว คนนั้นก็ไม่มีหวังจะเข้าไปถึงเขตของพระอริยเจ้า ทั้ง ๆ ที่ตนจะทำวิปัสสนาชนิดไหนมากเท่าใด และประพฤติปฏิบัติกันอย่างไร การปฏิบัติธรรมของผู้นั้น จะถูกลูบคลำให้เศร้าหมองไปด้วยความงมงายโดยสิ้นเชิง ฉะนั้น ควรถือว่า ความงมงาย หรือที่เรียกว่า ความไม่อยู่ในอำนาจของเหตุผลนั้น เป็นปัญหาที่จะต้องสนใจอย่างยิ่ง ไม่ควรปล่อยปละละเลยต่อไปอีก
    ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ผู้แต่ง พระธรรมปิฎก สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2546 หน้า 232
    พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ ผู้แต่ง พระธรรมปิฎก สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2546 หน้า 13
    พระพุทธเจ้าสอนอะไร แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดย ร.ศ.ชูศักดิ์ ทิพย์เกษร และคณะ โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2547 หน้า 15-17
    คิดอย่างเป็นระบบ และ เทคนิคการแก้ปัญหา ผู้แต่ง ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ สำนักพิมพ์ อริยชน จำกัด หน้า 190-191
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2013
  7. Snow

    Snow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    698
    ค่าพลัง:
    +2,385
    บอกตามตรงว่าเมื่อก่อนไม่เคยทราบเลยว่าพระแม่ธรณี หรือพระแม่คงคาจะมีอยู่จริง เพราะแทบจะไม่เคยได้ยินใครพูดเลยว่าเคยเจอ หรือเคยสัมผัสได้ จนกระทั่งได้มาศึกษาพุทธประวัติจึงได้รู้ว่าท่านมีจริงและได้ปรากฎกายให้พระพุทธเจ้าและพญามารได้เห็น เพื่อที่จะเป็นพยานแห่งบุญกุศลของความดี ที่พระพุทธเจ้าเคยสะสมมา หลังจากนั้น เวลาจะอุทิศบุญก็มักจะนึกถึงท่านฝากบุญเหล่านี้ไปกับท่านเสมอ
     
  8. evatranse

    evatranse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +571
    ความเชื่อที่งมงาย

    พุทธทาส อินทปัญโญ

    ตีพิมพ์ในวารสารธรรมจักษุ ปีที่ ๗๙ ฉบับที่ ๖ ประจำเดือนตุลาคม ๒๕๓๘

    ปุถุชนเราตั้งแต่เกิดมา ย่อมมีความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องที่ก่อความใคร่ (กาม) เป็นสมบัติชิ้นที่ ๑ แล้วยึดมั่นถือมั่นในความคิดความเชื่อของตัวเอง (ทิฏฐิ) เป็นสมบัติชิ้นที่ ๒ ส่วนสมบัติชิ้นที่ ๓ ก็คือ “ความงมงาย” (สีลัพพตปรามาส) ผู้ใดมัวแต่หอบหิ้วสมบัติชิ้นใหญ่ ๆ เหล่านี้อยู่ ย่อมไม่สามารถละจากความเป็นปุถุชน เพื่อไปสู่ความเป็นอารยชนหรือพระอริยเจ้าได้

    ฉะนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ปุถุชน (คนที่มีผ้าปิดบังดวงตาหนาทึบ กล่าวคือ คนโง่ คนเขลา คนหลง) จะต้องรู้ความผิดพลาดหรือเหตุที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะการหอบหิ้วทรัพย์สมบัติอย่างนี้อยู่ หลักพระพุทธศาสนาในส่วนปริยัติและการปฏิบัตินั้น ได้แก่ความรู้และการปฏิบัติ เพื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง ไม่ฝังตัวเข้าไปในสิ่งทั้งหลายด้วยความยึดมั่นถือมั่น ในหลักศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ดังที่ท่านได้ตรัสยืนยันของท่านเอง สรุปแล้วก็คือ “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น”

    แต่ปุถุชนไม่สามารถจะทำลายความยึดมั่นถือมั่น หรือไม่สามารถจะปล่อยวางสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นได้ ก็เพราะมีของน่ารักน่าใคร่เป็นเครื่องล่อ แล้วมีทิฏฐิความเห็นผิดของตนนานาชนิดเป็นเหมือนบ่วงหรือเบ็ด ทีนี้ยังเหลืออยู่แต่ว่า คนทั้งหลายจะโง่งมงายเข้าไปกินเหยื่อติดบ่วงติดเบ็ดนี้หรือไม่เท่านั้น ถ้าหากว่าไม่งมงาย เหยื่อกับบ่วงนั้นก็เป็นหมันไป เหยื่อกับบ่วงกลายเป็นสิ่งอันตรายขึ้นมา ก็เพราะความโง่เขลางมงายของตนเองมากกว่า ถ้าหากว่า คนเราปราศจากความงมงายแล้ว เหยื่อกับบ่วงก็ไม่อาจทำอันตรายแก่เราได้ ฉะนั้นเราจึงควรศึกษาเรื่องความงมงาย ที่อาตมาเรียกว่าเป็นสมบัติชิ้นที่ ๓ ที่ปุถุชนหอบหิ้วมาอย่างรุงรังนุงนังไปหมด ตั้งแต่สมัยป่าเถื่อนที่สุด จนกระมั่งถึงปัจจุบันนี้ ถ้าคนใดยังมัวแต่หอบหิ้วสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ อย่างนี้อยู่แล้ว ก็ไม่สามารถเข้าไปในเขตของพระอริยเจ้า เราจะต้องสลัดทิ้งสิ่งที่เป็นข้าศึกเหล่านี้ออกให้หมด จึงจะเข้าถึงฝ่ายอันเป็นพระอริยเจ้าได้

    นี่ไม่ใช่เป็นการกล่าวอย่างอวดดีหรือยกย่องตัวเอง หรือชักชวนท่านทั้งหลายให้มักใหญ่ใฝ่สูง แต่เป็นการแสดงให้ทราบว่า เมื่อปุถุชนต้องการจะให้พ้นจากความทุกข์ ก็ต้องปฏิบัติตามร่องรอยของหลักธรรมที่ท่านวางเอาไว้ จึงจะละความเป็นปุถุชน คือคนหนาไปด้วยฝ้าในดวงตา ให้มาสู่ความเป็นอริยเจ้า มีสติปัญญารู้แจ้งสิ่งทั้งปวงตามที่มันเป็นจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ปุถุชนย่อมไม่เห็นความจริงข้อนี้ จึงมีความยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่นเพราะไฝฝ้าที่บังดวงตากล่าวคือ ความเขลา ความโง่ ความหลงงมงาย มีหนามากมนดาวงตามันหุ้มห่อปัญญามากจนปัญญาไม่สามารถทำหน้าที่ของปัญญาได้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องขูดเกลาสิ่งเหล่านี้ออก เมื่อดวงตาสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงได้ ก็เรียกว่าเริ่มละจากความเป็นปุถุชนเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ซึ่งมีความหมายแต่เพียงว่าเป็นผู้เอาชนะหรือเริ่มเอาชนะความทุกข์ได้ดังนี้เป็นต้น

    ความงมงายนี้มีมาตั้งแต่เดิมยากที่จะถอนได้ แล้วยังทำให้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของดีของถูก พลอยเป็นของไม่ดีไม่ถูกไปเสียด้วย พระอริยเจ้าจำพวกแรกที่สุดกล่าวคือ “พระโสดาบัน” ผู้ที่เข้าถึงกระแสของพระนิพพานนั้นจะต้องละได้ ๓ อย่าง คือ “สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา” และ “สีลัพพตปรามาส” อันสุดท้ายนี้แหละคือความงมงาย อนึ่ง มีสิ่งที่ควรกำหนดรู้ด้วยว่า ถ้าสติปัญญามีมากพอที่จะละความงมงายได้แล้วย่อมละ “สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา” สองข้อแรกนั้นได้อยู่ในตัว

    สิ่งที่เรียกว่า “สีลัพพตปรามาส” นี้มีผู้เข้าใจผิด เพราะเหตุที่ไม่มีคำอธิบายอย่างชัดแจ้งอยู่ในพระบาลีเลย มีกล่าวถึง “สีลัพพตปรามาส” แต่เพียงชื่อ จึงต้องอาศัยอรรถกถา คือคำอธิบายที่เขียนขึ้น ทำไมพระบาลีจึงไม่มีคำอธิบายในเรื่องนี้ อาตมาเชื่อแน่ว่าเพราะเป็นคำธรรมดาที่ใคร ๆ ในสมัยนั้นเข้าใจได้ทันทีว่าหมายถึงอะไร ในบาลีจึงไม่มีคำอธิบาย ต่อมาจึงไม่รู้ว่าคืออะไรแน่ ที่มีอธิบายไว้ก็กระท่อนกระแท่นเต็มที ซึ่งทำให้เห็นว่า แม้ในสมัยของอรรถกถา ซึ่งเขียนกันประมาณพันปีเศษ หลังจากปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ได้มีปัญหาในคำนี้มาแล้วเลยเขียนไว้สั้น ๆ ว่า ได้แก่การประพฤติอย่างใด อย่างสุนัข เช่น ทรมานตนอย่างใด กินหญ้าอย่างใด ทำลายความผาสุกทางกาย เป็นการทรมานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเขาหวังว่ากิเลสจะเบาบางไปเพราะเหตุนั้น ประพฤติอย่างสุนัขก็เช่นเดียวกัน เช่นถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ กินอาหารอย่างสุนัข นอนอย่างสุนัข ซึ่งเป็นของพวกมิจฉาทิฏฐิ นอกพุทธศาสนา และมีมาก่อนพุทธศาสนา แล้วมีอยู่เรื่อย ๆ มา เป็นเพียงวัตรปฏิบัติของนิกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งไม่มีชื่อเสียงโด่งดังอะไร การที่อรรถกถาอธิบายเช่นนี้ก็เพราะผู้อธิบายไม่รู้ไม่เข้าใจคำว่า “สีลัพพตปรามาส” นั่นเอง

    ถ้าหาก คำนี้หมายความถึง ความประพฤติอย่างสุนัขหรืออย่างโค แล้ว ก็เห็นได้ว่าในพวกเราเวลานี้ไม่มีใครประพฤติอย่างสุนัขและโค ซึ่งหมายความว่าพวกเราละความงมงายกันได้แล้วทุกคน แม้ในสมัยพุทธกาลหรือในสมัยต่อ ๆ มา ก็ปรากฏว่าไม่มีพุทธบริษัทประพฤติตัวอย่างโคหรืออย่างสุนัข ซึ่งก็แปลว่าเขาไม่มีความงมงายอยู่เป็นปกติแล้ว จะต้องกล่าวทำไมอีกถึงเรื่องนี้ นี่เป็นข้อที่ขัดแย้งในตัวเอง ฉะนั้น คำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่สุด

    ทีนี้เราก็จะต้องวินิจฉัยเอาเองว่า ความงมงายที่แท้จริงจะต้องละนั้นคืออะไร เมื่อได้พิจารณาโดยทางตัวหนังสือของคำนี้แต่ละคำ หรือทางความหมายก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า ได้แก่ความงมงายทุกชนิดที่เป็นสมบัติประจำตัวปุถุชน ความงมงายของคนเราที่มีอยู่เป็นอย่างไร เราต้องรู้สึกนึกถึงสมัยที่ยังป่าเถื่อน คือตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์ในโลก เมื่อยังเป็นคนป่า เมื่อยังกลัวฟ้ากลัวฝน กลัวธรรมชาติที่เข้าใจไม่ได้ จนกระทั่งค่อย ๆ เปลี่ยนมากลัวผีสางนางไม้ หรือเทวดาที่ตนเชื่อว่าสิงประจำอยู่ในธรรมชาติเหล่านี้ แล้วก็มีการมอบกายถวายชีวิตแด่นางไม้ เทวดา หรือพระเป็นเจ้า มีพิธีบูชาขอร้องต่าง ๆ นานา ซึ่งก็ได้รับการปรับปรุงแก้ไขเรื่อย ๆ มาจนกระทั่งบัดนี้ แม้ในทุก ๆ วันนี้ก็ได้มีระเบียบวิธีสำหรับการบูชาที่ถือว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิกันโดยวิธีแยบคายที่สุด กล่าวคือเพื่อจูงคนให้เลื่อมใสคล้อยตามไปได้มากที่สุด นี่คือสายหรือแนวแห่งความงมงายที่ตั้งต้นขึ้นมาตั้งแต่สมัยป่าเถื่อน แล้วก็มีการปรับปรุงขยับขยายให้จับอกจับใจขึ้นทุกที ๆ จนกระทั่งถึงบัดนี้ก็ยังละความงมงายกันไม่ได้ บางคนยังสะดุ้งกลัวต่อสิ่งที่คนเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยังหวาดเสียวต่อสิ่งที่นาเองมองไม่เห็นตัวหรือเข้าใจไม่ได้ และยังมีความเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นมีอิทธิพลอยู่เหนือคน บังคับบัญชาคนอยู่ แม้จะได้เป็นนักศึกษาผ่ารนมหาวิทยาลัยมาแล้วก็ยังรู้สึกขนพองสยองเกล้าต่อสิ่งที่คนเข้าใจไม่ได้เหล่านั้นอยู่ คือ “ความงมงาย”

    ทำไมเราจึงเรียกความงมงายว่า สีลัพพตปรามาส ทั้งนี้เป็นด้วยเหตุ ๒ อย่าง คือ ความงมงายต่อสิ่งเหล่านี้มันทำให้บุคคลบัญญัติศีล และข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ขึ้นตามความงมงายของตนอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งนั้นคือ บุคคลที่กำลังประพฤติสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้วนั่นแหละ เช่นให้ทาน รักษาศีล หรือทำสมาธิด้วยความงมงาย ด้วยความเข้าใจผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง หวังผลผิด ใช้เหตุผลผิด หรือไม่ประกอบด้วยเหตุผลเสียเลย ทำเอาข้อปฏิบัติที่ถูกต้องหรือบริสุทธิ์สะอาดกลายเป็นข้อปฏิบัติทีสกปรก หม่นหมองไปเพราะความงมงายของผู้ปฏิบัติเอง สรุปความสั้น ๆ ก็คือ ความงมงายทำให้คนบัญญัติการปฏิบัติขึ้นมาอย่างงมงาย จนแทบจะมองดูไม่ได้ แล้วความงมงายของคนยังทำให้ ข้อวัตรปฏิบัติของพระพุทธเจ้าที่บริสุทธิ์ดีนั้น ให้กลายเป็นของมัวหมองไปเสียอีก สองอย่างนี้เรียกว่า “สีลัพพตปรามาส”

    ถ้าคนใดยังละความงมงาย ๒ ประการนี้ไม่ได้ ก็แปลว่า ยังไม่ถึงพระพุทธศาสนา แม้จะเรียกตัวเองว่าเป็นพุทธบริษัท ก็ยังไม่ใช่พุทธบริษัทที่แท้ และจะไม่สามารถละจากโคตรเดิม กล่าวคือโคตรปุถุชนเข้ามาสู่โคตรใหม่ คือโคตรของพระอริยเจ้าได้ ต้องเป็นปุถุชนหนาไปตามเดิม ไม่มีทางที่ใครจะช่วยได้ ฉะนั้น จึงต้องสนใจเรื่องความงมงายนี้กันเป็นพิเศษ ถ้าเราอยากจะมีความพ้นทุกข์ หรือดับทุกข์ตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา ที่ถึงขนาดจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ปลอดภัย คือเข้ามาถึงกระแสแห่งพระนิพพาน ซึ่งมีหวังแน่นอนว่า ต่อไปข้างหน้าผู้นั้นจะบรรลุถึงพระนิพพานในโอกาสใดโอกาสหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย

    เดี๋ยวนี้มีปัญหาอยู่ที่ว่า คนส่วนมากยังไม่สามารถละความงมงายดังกล่าวนั้นได้ ยังติดแน่นหรือติดตังอยู่ที่ความงมงาย ถึงจะรักษาศีลมาเท่าไร ๆ ก็ไม่รู้สึกว่ามีศีลบริสุทธิ์ หรือศีลช่วยอะไรไม่ได้ ประพฤติวัตรปฏิบัติมานมนานเท่าใด ก็ไม่เคยเห็นผล ฉะนั้น มันต้องทีอะไรผิดอยู่สักอย่างหนึ่งในการประพฤติธรรม อาตมาถึงขอร้องย้ำแล้วย้ำอีกว่า จงดูให้ดี ๆ แม้ว่าเป็นอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุสามเณร หรือพระเถระก็ตาม สิ่งที่เรียกว่าความงมงายนี้ อาจจะมีอยู่ได้ในข้อปฏิบัติของคนเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น พระภิกษุบางองค์ถือว่าพอได้ลงปาฏิโมกข์แล้วก็สะอาดหมดบาปหมดกรรม หมดเวรกันไปเสียที มีความรู้เพียงเท่านี้ มีความเชื่ออย่างนี้ แล้วก็ไปลงปาฏิโมกข์ในวันอุโบสถ นั่งฟังอยู่อย่างนกแก้วนกขุนทอง จบแล้วก็โล่งใจว่าบริสุทธิ์กันเสียที เหมือนกับสะบัดขี้ฝุ่นออกจากตัวอย่างนั้น ลักษณะอย่างนี้ถือว่าเป็นความงมงายอย่างยิ่ง เป็นความงมงายไร้เหตุผล ทำลายความมุ่งหมายเดิมของการลงอุโบสถหรือปาฏิโมกข์นั้นให้หายไปหรือเปลี่ยนไป หรือให้กลายเป็นสิ่งที่น่าหัวเราะเยาะไป แม้แต่ในเรื่องของภิกษุที่ถือกันว่าคงแก่เรียนนั้น ความงมงายก็ยังมีอยู่ได้ถึงเพียงนี้ การประพฤติปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยความงมงายไม่ชอบด้วยเหตุผล เช่นว่ารักษาศีลหรือปฏิบัติธุดงค์ หรือว่าสมาทานวัตรอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเชื่อว่าจะกลายเป็นผู้มีอะไรพิเศษขึ้นมา เกิดอำนาจขลังศักดิ์สิทธิ์อะไรขึ้นมา หรือแม้ที่สุด ไปคิดเสียว่ามันจะทำให้โชคดี มีโอกาสร่ำรวยได้โดยง่าย หรือจะฟลุกถูกรางวัลนั่นนี่ได้โดยง่าย หรือแม้ที่สุดว่าทำเพื่อหวังไปเกิดในสวรรค์ในวิมาน ซึ่งมีความหมายเป็นกามคุณอย่างยิ่งเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นความงมงายทั้งนั้น เพราะเหตุว่าศีลและวัตรต่าง ๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้ตั้งไว้เพื่อความมุ่งหมายดังกล่าว ท่านบัญญัติไว้เพื่อขูดเกลาความเห็นแก่ตัวหรือขูดเกลากิเลสให้เบาบาง ให้ยึดมั่นถือมั่นน้อยลงต่างหาก เมื่อไปเปลี่ยนความมุ่งหมายเดิมจนกลายมาเป็นเรื่องจะพอกพูนความเห็นแก่ตัวจัด เอาอะไรเป็นของตัวตามอำนาจของกิเลสตัณหาหรือทิฏฐิเหล่านี้แล้ว มันก็เท่ากับมีมืออันสกปรกมาลูบคลำศีลและวัตรที่บริสุทธิ์สะอาดให้กลายเป็นสิ่งที่สกปรกไป จึงกล่าวได้ว่าเป็นความงมงาย กลายเป็นเรื่องนอกลูนอกทาง นอกรีตนอกรอยและนอกพระพุทธศาสนาไป เราจะต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษอย่าให้เสียเกียรติของพุทธบริษัทเป็นอันขาด พุทธบริษัท แปลว่า กลุ่มของบุคคลผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สมกับที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมแห่งคน รู้คนตื่น คนเบิกบาน จะมีเรื่องงมงายก็กำลังมีอยู่ในที่ทั้งปวง มีอยู่ในวัตรปฏิบัติของพุทธบริษัททุกแขนง และทุกระดับไม่ว่าที่ไหน และเมื่อใด

    ส่วนมากของความงมงาย ก็ได้แก่ความเข้าใจผิดในทางขลังทางศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันเป็นมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์โน้น สมัยที่ยังเป็นคนป่าคนดง เป็นคนที่ยังไม่มีการศึกษาอะไรเลย ครึ่งคน ครึ่งสัตว์ กลัวต่อวิ่งที่ตนไม่อาจเข้าใจได้ เรียกว่ากลัวต่อสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ ความรู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์หรือขลังนั้นยังไม่ได้สูญหายไป ยังคงมีสืบมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ แม้ในหมู่คนที่มีการศึกษาดี ๆ แม้เป็นภิกษุสามเณรก็ยังรู้สึกว่ามีอำนาจอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์นอกเหนือไปกว่าธรรมดา ยังหวาดสะดุ้งต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนมองไม่เห็นตัว แล้วมีความเชื่อว่ามันมีอยู่จริงจึงเกิดการปฏิบัติต่าง ๆ ที่กระทำไปเพื่อปลดเปลื้องความกลัวนี้ เช่นการเสกเป่าบนบานอ้อนวอนบูชา ฯลฯ กระทำกันอยู่ในหมู่ภิกษุหรือแม้ในหมู่พระเถระอย่างงมงาย ไม่ต้องตามหลักของพระพุทธศาสนาหรือของพระพุทธเจ้า ทำไปโดยอำนาจของความเขลาในของศักดิ์สิทธิ์ เชื่อในของขลังของศักดิ์สิทธิ์ บางทีตัวเองก็อาจจะรู้เหมือนกันว่า ไม่ใช่เรื่องของพุทธศาสนา แต่เมื่อไม่อาจจะละได้ ก็เลยถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ฝากไว้ ในฐานะเป็นของผนวกเข้ากับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็เกี่ยวกับเรื่องผีสางเทวดาเป็นส่วนมาก ถ้าใครยังสะดุ้งกลัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยอำนาจอุปาทาน หรือ สีลัพพตปรามาสอย่างนี้แล้ว ก็ขอให้มั่นใจเถอะว่าคนนั้นยังมีความงมงาย ไม่ว่าจะเป็นคนชนิดไหนหรืออยู่ในเพศใด

    อำนาจของความกลัวและความงมงายทำให้คนต้องกันเข้าหาที่พึ่งภายนอก คือแทนที่จะพึ่งความดีที่ตนเองกระทำ กลับไปพึ่งที่พึงภายนอก แล้วแต่เขาจะมีความงมงายไปทางไหน อาจจะถือที่พึ่งเป็นผีสางเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก หรือแม้ที่สุดการคิดพึ่งผู้อื่นอะไรก็ให้คนอื่นเขาช่วยเสียเรื่อยไป ถ้าไม่มีใครช่วยก็ถือว่าไม่ยุติธรรม อย่างนี้ก็ควรถือว่าเป็นการถือที่พึ่งภายนอกด้วยเหมือนกัน มีใครสักกี่คนที่มีความแน่ใจในการพึ่งการกระทำของตนเอง คือพึ่งความดี พึ่งการกระทำที่ถูกต้องของตนเอง แทบจะกล่าวได้ว่า คนที่มีจิตใจแน่วแน่กล้าหาญเฉียบขาดอย่างนี้หาได้ยากที่สุด มีแต่คนที่จะคิดพึ่งผู้อื่นแล้วยิ่งได้รับการสอนการอบรมมาผิด ๆ ก็ยิ่งคิดจะพึ่งผีสางนางไม้ พึ่งอะไรที่มองไม่เห็นตัวเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น วัดความงมงายของคนได้ด้วยเหตุที่มีศาลพระภูมิมากขึ้น มีการดูฤกษ์ยามมากขึ้น ถ้ามีศาลพระภูมิ หรือมีหมอสะเดาะเคราะห์มากขึ้น ก็เป็นเครื่องแสดงที่แน่ชัดที่สุดว่า คนเราหวังที่พึ่งภายนอกมากขึ้น ๆ แทนการหวังที่พึงภายในคือการกระทำอันถูกต้องคลองธรรมด้วยสติปัญญาที่รุ่งเรืองตามองค์พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ที่แท้จริง ซึ่งได้แก่การกระทำที่ถูกต้อง จนเกิดความสะอาด สว่าง สงบขึ้นในใจ

    ยังมีเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า การถือที่พึ่งภายนอกมีมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเชื่อได้ว่า ความงมงายไม่อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น หุ้มห่อคนโง่เหล่านั้นให้มืดมิด ให้ตกจมไปในห้วงแห่งความงมงายมากขึ้น แล้วผลที่จะตามมาข้างหน้าต่อไปนั้น ก็จะต้องเป็นความสับสนยุ่งยากอลเวงมากขึ้นทุกที ๆ ตามสัดส่วนของความงมงาย จนกระทั่งเหลือวิสัยที่พวกเราจะปัดเป่าความยุ่งยากโกลาหลนี้ให้หมดสิ้นไปได้ เพราะว่าเราได้เพิ่มเติมความงมงายขึ้นในพวกของเรากันเองนี้อยู่เรื่อย ๆ ให้มันมากขึ้น ๆ เท่า ๆ กับที่การศึกษาในทางโลก ๆ ได้เจริญมากขึ้น พิสูจน์กันได้ง่าย ๆ โดยข้อเท็จจริงที่ว่าเครื่องหมายของการถือปัจจัยภายนอก เช่นการหวังพึ่งเทวดา หรือศาลพระภูมิ การดูฤกษ์ยาม หรือการอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก มันมีมากขึ้น หนาขึ้น มันไม่น้อยลง ผู้ที่มีความเข้าใจถูกต้องในพระพุทธศาสนา จะไม่อ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกมาเป็นเครื่องบันดาล มันเพิ่งเกิดมีขึ้นใหม่ไม่นานมานี้เอง เราจะเห็นได้ว่าในประเทศไทยเรานี้ ยิ่งมีความงมงายหนาแน่นยิ่งขึ้นกว่ายุคก่อน ๆ เป็นอันว่า เราไม่ควรจะนอนใจว่า ความงมงายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่น่าหวาดเสียว ไม่สำคัญสำหรับเรา “สีลัพพตปรามาส” ไม่ใช่ข้อปฏิบัติอย่างสุนัข อย่างโค แต่ร้ายไปยิ่งกว่าการปฏิบัติอย่างสุนัข อย่างโคเสียอีก ทำไมจึงว่าอย่างนี้ ถ้าเราจะพิจารณาดู ก็จะเห็นว่าสุนัขหรือโคที่เขาอ้างถึงในอรรถกถา มันไม่ได้กลัวผีกลัวเทวดา มันไม่ได้อ้อนวอนพระภูมิเหมือนกับพวกมนุษย์ มันไม่ได้หมอบกราบสิ่งที่มันไม่รู้จักตัวเหมือนกับพวกมนุษย์ ใครเคยเห็นสุนัขหรือโคกลัวผีกลัวเทวดา หรือทำพิธีบวงสรวงอ้อนวอน เราจะเห็นว่าไม่มีเลย แต่แล้วทำไมมนุษย์ที่เจริญด้วยการศึกษากลับมาหมอบราคาบแก้วหัวจรดดินไหว้ผีไหว้สาง บวงสรวงบุชาเทวดา อันไหนมันจะร้ายกว่ากัน ไม่ต้องสงสัยละ ความงมงายของคนที่เป็นถึงขนาดนี้ มันย่อมร้ายกาจยิ่งไปกว่าศีลและวัตรของสุนัขหรือโคแน่ ๆ

    อาตมาอยากจะขอยกตัวอย่างง่าย ๆ อีกสักเรื่องหนึ่งว่า ถ้าใครเรียนวิชาความรู้โดยผิดความมุ่งหมายของวิชานั้นก็ถือว่าเป็น “สีลัพพตปรามาส” เหมือนกัน เช่นภิกษุเรียนธรรมวินัยด้วยความมุ่งหมายผิดไปจากธรรมวินัยแล้ว ต้องถือว่าการกระทำนั้นเป็นความงมงาย อีกอย่างหนึ่งมีพระบาลีพุทธภาษิตว่า “พวกโมฆบุรุษนี้เรียนปริยัติ เพราะปรารภเสียงสรรเสริญของปริยัติ และเพื่อจะใช้เป็นเครื่องอ้างเพิ่มน้ำหนักให้เป็นคำพูดของตนเอง” ลองฟังดูให้ดี ๆ ถ้าใครก็ตามเรียนปริยัติ เรียนธรรมะและวินัย เพราะความปรารถนาสรรเสริญของโลก หรือว่าเรียนให้รู้แตกฉาน เพื่อจะได้เอามาประกอบคำพูดของตัวให้มีน้ำหนักก็ดี อย่างนี้ท่านเรียกว่า “โมฆบุรุษ” คือเป็นคนไม่ได้รับประโยชน์จากธรรมวินัย ความมุ่งหมายของการเรียนธรรมวินัยก็คือ เพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดทุกข์ อย่างนี้เท่านั้น ใครเรียนเพื่อลาภ ยศ สักการะ เสียงสรรเสริญ ฯลฯ ไม่ได้เรียนสำหรับนำไปปฏิบัติเพื่อดับทุกข์โดยตรงแล้ว ท่านเรียกว่าเป็น “โมฆบุรุษ” ซึ่งถือว่าเป็นคำด่าอย่างแรงที่สุดในพุทธศาสนา

    ฉะนั้นเรื่องสีลัพพตปรามาสนี้ เราจะต้องพิจารณากันเสียใหม่ อย่าได้ปล่อยไว้ในฐานะเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่ได้นำมากล่าวอย่างซ้ำซาก และยกตัวอย่างไว้อย่างกว้างขวางเช่นนี้ ก็เพราะอาตมามีความสลดใจ หรือมีความเป็นห่วงเป็นทุกข์แทนพวกเราทุกคน ในการมี่ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความงมงาย พวกเราได้ปล่อยให้สิ่งนี้ขยายตัวกว้างออกครอบคลุมพวกเรามากขึ้น ๆ คล้ายกับว่า เราได้เผลอปล่อยให้สิ่งที่น่าสะดุ้งน่าหวาดเสียวนี้ครอบงำพวกเรามากขึ้นทุกที ความงมงายเกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว ถ้ารู้สึกตัวเสียแล้วก็ไม่ใช่ความงมงาย ถ้าเรายิ่งเผลอ หรือยิ่งทำเล่น ๆ กับมันมากเพียงใด ความงมงายก็ยิ่งขยายตัวขึ้นมากเพียงนั้น ฉะนั้น หวังว่าคนทุกคนคงจะได้สอบสวนพิจารณาตัวเองให้รู้จักสิ่งที่ควร เรียกว่า “ความงมงาย” นี้ให้มากเป็นพิเศษกว่าที่แล้ว ๆ มา ขอให้เข้าใจว่า ความงมงายคือเรื่องที่ไม่อยู่ในอำนาจของเหตุผลทุกชนิด เป็นสมบัติชิ้นที่ ๓ ของปุถุชนที่ได้อุตส่าห์หอบหิ้วแบกหามกันมานานหนักหนาแล้วนับตั้งหมื่นปี แสนปี มาจนกระทั่งบัดนี้ ยังไม่ยอมปล่อย ฉะนั้นปุถุชนเหล่านี้จึงเข้าไปในเขตของพระอริยเจ้าไม่ได้ เพราะมัวคิดหรือมัวแต่แบกหามหอบหิ้วสมบัติชิ้นที่ ๓ นี้กันอย่างไม่หยุดหย่อน จึงนับว่าเป็นสิ่งที่น่าสะดุ้งหวาดเสียวที่สุด เพราะว่าตั้งหลายหมื่นหลายแสนปีแล้วที่ได้หอบหิ้วกันมา และเป็นเครื่องกักขังตัวเองไว้ในกรงของปุถุชนคนหนา อย่างที่ไม่มีวันที่จะหลุดออกได้ เราต้องอาศัยหลักพระพุทธศาสนามาเป็นเครื่องมือสำหรับถอนความงมงายข้อนี้ แล้วเราจึงจะเข้าถึงตัวพระพุทธศาสนาที่แท้จริง.
     
  9. bankza8527

    bankza8527 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +205
    น่าเหลือเชื่อมากครับ ทำให้ผมรู้ได้เลยว่าทุกสิ่งที่ทำมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยดูเราอยู่
     
  10. chaokhun

    chaokhun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +5,701

    ถูกต้องครับ ทุกสิ่งที่เราทำอยู่ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยดูเราอยู่ สิ่งที่ทำหรือพูดทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่ใช่เป็นความลับ เทพยดาอารักษ์เจ้าที่เจ้าทาง ท่านทราบหมดทุกอย่าง ทราบไปถึงสภาวะจิตใจของเราตลอดเวลา
     
  11. evatranse

    evatranse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +571
    พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"

    เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ

    ใช่หรือ?

    คุณนับถือศาสนาพุทธ

    ใช่หรือ?

    คุณไหว้พระพรหม พระพิฆเนศ พระตรีมูรติ พระ.../.../... หรือไม่?

    คุณรู้ใช่ไหมว่าเทพเจ้าเหล่านั้น เป็นความเชื่อของศาสนาพราหมณ์/ฮินดู

    คุณรู้ใช่ไหมว่าศาสนาพุทธไม่มีเทพเจ้า


    คุณรู้ใช่ไหมว่าในสมัยพุทธกาลไม่มีพระพุทธรูป

    คุณรู้ใช่ไหม?

    พระพุทธรูปถูกสร้างขึ้นครั้งแรกหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วกว่า 500 ปี

    เพื่อให้เป็นสิ่งแทนตัว ให้เราระลึกถึงพระพุทธองค์

    แต่ถามจริงๆเถอะ

    คุณคิดอะไรเวลากราบไหว้พระพุทธรูป?

    คุณ "ขอ" อะไรหรือเปล่า?

    ทำไมคุณถึงขอ

    แท่งทองเหลืองนั่นให้สิ่งที่คุณต้องการได้ด้วยหรือ

    ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ

    ไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอ

    คุณอยากได้อะไรล่ะ

    อยากได้เงินทอง ก็จงขยันทำมาหากิน

    อยากได้คนรัก ก็จงทำตัวให้ดีขึ้น

    อยากให้สุขภาพดี ก็จงออกกำลังกาย และบริโภคสิ่งที่มีประโยชน์

    อยากให้คนที่คุณรักมีความสุข ก็จงไปทำให้เขามีความสุขสิ

    เหตุและผล ชัดเจนอยู่แล้ว

    ยังจะไปขออะไรจากแท่งทองเหลืองอีกล่ะ

    แท่งทองเหลืองนั่น มีไว้แทนตัวพระพุทธองค์

    หากคุณได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธองค์

    คุณจะเอ่ยขอสิ่งต่างๆจากพระพุทธองค์งั้นรึ

    แน่นอนว่าไม่

    คุณก็คงไปนั่งฟังสิ่งที่พระพุทธองค์สอน

    แต่ตอนนี้เราไม่สามารถฟังพระพุทธองค์สอนได้อีกแล้ว

    งั้นทำไงดีล่ะ

    คำสอนของพระพุทธองค์ ไม่ได้หายไปไหน

    เคยอ่านกันบ้างไหม พระไตรปิฎก

    หรือไม่งั้น ก็ฟังคำสอนจากศิษย์ของพระพุทธองค์กันบ้างนะ

    หมายถึงศิษย์แท้

    ไม่ใช่ศิษย์เทียม ที่ใบ้หวย ปลุกเสกพระเครื่อง ชี้นำเราไปผิดทาง

    ชาวพุทธแท้ต้องใช้ปัญญา กรุณาอย่างมงาย

    คุณเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมไหม?

    เชื่อไหมว่า ชาตินี้เป็นแบบนี้ เพราะชาติที่แล้วไปทำอะไรไว้

    มีเจ้ากรรมนายเวร คอยตามจองเวรอยู่

    สำหรับคนที่เชื่อเช่นนั้น เคยถามตัวเองไหมว่า

    คุณได้ใช้ปัญญาแล้วรึยัง?

    กฏแห่งกรรมมีจริง

    แต่ไม่ใช่คุณแย่งแฟนเขา แล้วใครจะมาแย่งแฟนคุณ

    คุณคิดแย่งแฟนเขา คุณก็ตกนรกแล้วในทันทีที่คุณคิด

    คุณให้ทานคนที่ขาดแคลน ไม่ใช่ว่าชาติหน้าคุณจะเกิดมาร่ำรวย

    แต่ทันทีที่คุณคิดให้ทานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

    คุณขึ้นสวรรค์แล้ว

    สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ

    มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

    พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"

    ในทางตรงข้าม พระองค์สอนให้พิสูจน์ก่อนที่จะเชื่อ

    แม้กระทั่งคำสอนของพระองค์เอง

    ก็ไม่เคยบอกให้ต้องเชื่ออย่างงมงาย

    แต่ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาก่อนที่จะเชื่อ
     
  12. ปทานุกรม

    ปทานุกรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +8
    ผมนับถือครับ เพิ่งประสบกับความท้อแท้ผิดหวังในชีวิต ยอมรับว่าบนกับองค์ท่านให้อะไรๆ กลับมาดีดังเดิม ซึ่งเหมือนองค์่ท่านกำลังช่วยให้กลายเป็นจริงขึ้นมา ผมบนไว้ว่าจะเลิกบุหรี่ เหล้า (สองข้อนี้ทำได้แล้ว) เหลืออีกข้อ คือ วิ่งรอบสนามหลวง 900 รอบ ตอนนี้ผ่านมาสามสัปดาห์ ได้มาแล้ว 50 รอบ ที่เหลือต้องพยายามต่อไป ... โชคดีมากครับที่ได้เจอองค์ท่าน
     
  13. evatranse

    evatranse เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +571
    เทวดามีจริงหรือ?

    ปัญหามีอยู่ว่า: ตามบาลีมีอยู่ว่า

    เทวดาที่ปรารถนาสุคติ ปรารถนามาเกิดในโลกมนุษย์นั้น
    ย่อมเป็นการรับรองว่า เทวดามีตัวจริง และ สวรรค์ก็มีตัวจริง.

    ถ้าเชื่อว่ามีจริงเช่นนี้ จะไม่เป็นเรื่องเหลวไหล
    ตามคติในยุคปัจจุบันไปหรือ?

    ปัญหานี้ ผู้ถามได้ยึดเอาหลักที่อาตมาได้บรรยายไปในวันก่อนๆ
    ถึงตอนที่กล่าวว่า เทวดาที่ปรารถนาสุคติ หาที่อื่นไม่ได้ ไม่พบ
    ต้องมาหาในมนุษยโลก ซึ่งมีพระรัตนตรัย;

    เลยยึดเอาว่า ถ้าอย่างนั้น บาลีก็ยืนยันว่า
    ตัวเทวดามีจริง สวรรค์มีจริง?
    อาตมาอยากจะขอตอบว่า ในบาลี มีกล่าวเช่นนั้นจริง
    และมีในรูปพระพุทธภาษิตจริง;

    แต่ความหมายนั้น หมายถึง เทวดาเป็นตัวบุคคลาธิษฐาน
    เช่นนั้นจริงหรือไม่ เป็นอีกปัญหาหนึ่ง.

    เรื่องเทวดานี้ ก็อยู่ในหลักเกณฑ์เดียวกันที่ว่า
    พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า ถ้าไม่ "มองเห็น" ได้ด้วยตนเองแล้ว
    อย่าไปเชื่อตามดีกว่า เพราะฉะนั้น ส่วนที่พูดถึงตัวเทวดา
    หรือ สวรรค์นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.

    ประเด็นสำคัญ มันอยู่ที่ว่า คนที่มัวเมาอยู่ด้วยกามคุณอย่างเทวดา
    และ จะเป็นเทวดาอยู่ที่ไหนก็ตาม ผู้ที่มัวเมาอยู่แล้ว
    ยากที่จะมีจิตใจที่โปร่งหรือแจ่มใสเพียงพอ
    ที่จะเข้าใจเรื่องดับทุกข์ หรือ เรื่องนิพพาน

    เพราะฉะนั้น เทวดาเมื่อสำนึกถึงความที่ตนมัวเมาอยู่ในกามคุณ
    หรือในสวรรค์ได้ ก็เกิดความสลดสังเวชตัวเอง
    ว่าที่นี่ ไม่ใช่ที่เอาตัวรอดเสียแล้ว;

    ควรจะเป็นในที่ที่ไม่มัวเมา ในกามคุณมากถึงเช่นนั้น;
    ควรจะเป็นที่ที่จะหาเรื่องราวของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    หรือเรื่องดับทุกข์นั้นได้โดยง่าย.

    เพราะฉะนั้น โลกที่ดีที่น่าเกิด ก็ควรจะเป็นมนุษยโลก
    แทนที่จะเป็นเทวโลก.

    เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า
    ควรจะอยู่ในที่ที่หาพบพระรัตนตรัยได้ง่าย
    หรือ ทำการดับทุกข์ได้ง่าย;

    เลิกพูดถึงมนุษยโลกหรือเทวโลก ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.

    ทีนี้ อาตมา อยากจะชี้แจงต่อ ถึงข้อที่ว่า

    ทำไม คำว่า เทวดา หรือ คำว่า สวรรค์นี้ มามีอยู่ในพระพุทธภาษิต
    และอยู่ในพระไตรปิฎก โดยตรง.

    ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา
    เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว
    มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว
    ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น

    พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว
    จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย
    ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า
    ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย
    ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก
    พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า
    คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน;
    ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์
    เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น
    ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร.

    มีอยู่ในพระไตรปิฎก บางแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    เรื่องเทวดานี้ เขาพูดกันอย่าง เอิกเกริก ทั่วไปอยู่แล้ว
    เสียเวลา ที่จะไปฝืน ความรู้สึกของเขา;
    แล้วเราเอง ก็ต้องการ อีกอย่างหนึ่ง ต่างหาก
    สิ่งที่ต้องการ ไม่ได้เป็นอันเดียวกับ
    ที่ต้องการให้เขาหลงใหลในสวรรค์

    ไม่จำเป็นที่จะต้อง อธิบายเรื่อง นรก สวรรค์
    ซึ่งเป็นสิ่งที่จะ พิสูจน์กัน เดี๋ยวนั้น ไม่ได้.

    ถ้าหากว่า ผู้นั้นจะมีปาฏิหาริย์มาก ถึงกับบังคับจิตผู้คน
    หรือกลุ่มประชาชน ให้เห็นนรกเห็นสวรรค์ด้วยอำนาจจิต
    ได้อย่างแท้จริง;

    ซึ่งสวรรค์และนรก จะจริงไม่จริงไม่ทราบ;
    แต่ว่า สามารถบังคับด้วยปาฏิหาริย์
    ให้พากันเห็นชัดเจนแท้จริง
    จนมีความเชื่ออย่างนี้ก็ทำได้;

    พระพุทธเจ้า ท่านก็ทำได้ เป็นของง่ายๆ
    แต่ท่านก็ไม่ประสงค์ จะทำอย่างนั้น;
    กลับเอออวย ไปในบางส่วนว่า
    ให้ทาน รักษาศีล นี่แหละ จะเป็นทางให้ได้สวรรค์
    แล้วเมื่อได้สวรรค์ มาแล้ว เป็นอย่างไร ท่านก็ชี้ให้เห็นว่า
    สวรรค์นั้น มันเต็มไปด้วยโทษ คือ ความหลงใหลอย่างไร
    แล้วจึง ทรงแสดงโทษของสวรรค์
    ผู้นั้นก็พร้อมที่จะรู้เรื่องโลกุตตระ

    เขาเห็นจริง เชื่อจริง มาตามลำดับ ว่า ทาน ศีล ให้เกิดสวรรค์,
    สวรรค์ มีลักษณะ อย่างนั้นๆ ประกอบไปด้วย อาทีนพ-คือโทษ
    ทำให้โง่ ให้หลง ให้วนเวียน ในวัฏฏสงสาร อย่างนั้นๆ
    จึงมีจิตใจ พร้อมที่จะรู้เรื่อง อริยสัจจ์ หรือ เรื่องของ โลกุตตระ.

    อุบายวิธี ทางธรรม เช่นนี้ เราจะเรียกว่า
    พระพุทธเจ้า ท่านฉลาดในการสวมรอย หรือ อะไรก็ตามเถิด
    แต่ว่า ความจำเป็น มันบังคับให้ทำได้เพียงเท่านั้น
    จะไปพิสูจน์ เรื่องนรก สวรรค์ กันมากกว่านั้น ก็ไม่มีเวลา
    ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น ทั้งไม่ได้ประโยชน์อะไร;

    เพราะเรื่องที่สำคัญนั้น ต้องการจะสอน ให้เห็น ความทุกข์ เดี๋ยวนี้
    ให้เห็น เหตุให้เกิดทุกข์ เดี๋ยวนี้ กล่าวคือ เรื่องอริยสัจจ์สี่ นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า จึงทรงมีอุบาย ลัดๆ สั้นๆ
    ชำระของเกรอะกรัง ในจิตใจของประชาชน เรื่องนรก สวรรค์
    เสียพอสมควรก่อน ได้แก่ ทรงแสดงเรื่อง ทาน เรื่องศีล
    แล้วเรื่องสวรรค์ แล้วย้ำเรื่อง โทษของสวรรค์ แล้วจึงถึง
    เรื่องการออกไปเสีย จากสวรรค์ ที่เรียกว่า เนกขัมมะ
    การออกไปเสียจาก กามคุณ ว่าจะมีผลดีอย่างนั้นๆ

    พอมาถึงขั้นนี้แล้ว คนนั้นที่เรียกได้ว่า มีหัวใจเคยเกรอะกรัง
    ไปด้วย ตะกอนต่างๆ มาแต่กาลก่อนๆ ถูกชำระล้างหมดสิ้นดีแล้ว
    ก็พร้อมที่จะรู้ อริยสัจจ์สี่ คือ ทุกข์ มูลเหตุให้เกิดทุกข์ สภาพที่
    ไม่มีความทุกข์ เลย และวิธีปฏิบัติ ที่จะให้ลุถึงสภาพชนิดนั้น
    พระพุทธเจ้า ท่านก็สอนเรื่องของท่านโดยตรงเอาตอนนี้เอง.

    ส่วนตอนเรื่อง นรกสวรรค์อะไรนั้น
    เป็นตอนที่ไม่ใช่ใจความของพุทธศาสนา

    เขาเชื่อกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว เขาทำกัน อยู่อย่างนั้นแล้ว
    ก่อนพระองค์เกิด

    ถ้าไปตู่เรื่องนี้ มาว่าเป็นพุทธศาสนา ก็เรียกว่า ไม่ยุติธรรม

    พระพุทธเจ้า ท่านไม่ขี้ตู่ อย่างนั้น เรื่องของท่าน จึงมีแต่เรื่อง โลกุตตระ คือ อริยสัจจ์ เป็นพื้น.

    เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า เรื่องสวรรค์หรือนรก นี้
    ไม่ใช่ประเด็นของพุทธศาสนา
    แต่มันพลัดมาอยู่ใน คำของ พระพุทธเจ้าได้
    เพราะความจำเป็นอย่างนี้;

    ฉะนั้น เราไปสนใจกับ ตัวพุทธศาสนา โดยตรงเสีย
    ปัญหาเรื่องนรกสวรรค์ ก็จะหมดสิ้นไปในตัวเอง
    หมดความจำเป็นไปในตัวเอง

    เพราะ ถ้าขืนเชื่อ งมงายไปตามผู้อื่นว่า
    มีจริง เป็นจริง อย่างนั้น ก็เป็นการถูกหลอก;

    หรือ แม้แต่ เขาจะบังคับกระแสจิตให้เห็นได้ทางปาฏิหาริย์
    ก็ยังเป็นการ ถูกหลอกอย่างลึกซึ้งอยู่นั่นเอง.

    พุทธบริษัท ไม่ทำอย่างนี้
    จึงพิสูจน์เรื่อง ความทุกข์ และ เรื่องความดับทุกข์ โดยตรง
    เป็นเรื่องของ พุทธศาสนาแท้.



    คัดจาก หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์ ฉบับประมวลธรรม เล่ม ๒ เรียบเรียงโดย นาย พินิจ รักทองหล่อ พิมพ์ ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๔๐ โดย ธรรมทานมูลนิธิ ​

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2013
  14. Violent Daughter

    Violent Daughter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +305
    มุสาวาทา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
     
  15. sanannan

    sanannan สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +12
    ศรัทธา ใกล้กับ ความงมงาย บางอย่างถ้าต้องพิสูจน์เอง ชาตินี้ก็มิสามารถ แล้วเกิดชาติใหม่ ก็มิอาจจำได้ ตกลงความเลื่อมใสศรัทธามาก่อนได้เปล่า?
     
  16. ดอกข้าว

    ดอกข้าว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2012
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +1,462
    ระลึกถึงท่านเสมอ ไม่เสื่อมคลาย
     
  17. chaokhun

    chaokhun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +5,701
    ขอบคุณที่เข้ามาและดู และ ขอบคุณทุก ๆ ความคิดเห็น
     
  18. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ดีใจจัง ที่พระแม่ธรณีดูคล้ายมีเชื้อสายจีน หว่อก็เชื้อสายจีนจร้าๆๆๆ ซาหวัดดี สาธุอะ
     
  19. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    พระแม่ธรณี ชื่อนี้ติดหูเรามาทุกยุกทุกสมัย ถ้าจะกล่าวว่าพระแม่ธรณีคือใคร คงจะหาข้อมูลได้ไม่ยาก มีทั้งไทยและฮินดู และที่เรารู้กันก้อคือท่านช่วยพระมหาโพธิสัตร์ชนะพญามาร ด้วยการบีบมวยผมจนน้ำท่วมทัพมาร แต่จากหลักฐานในพระไตรปิฏกแล้ว ไม่มีคำว่าพระแม่ธรณี และไม่มีน้ำท่วมทัพมารแต่อย่างใด และที่สำคัญ พระแม่ธรณีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าจะว่าไปแล้ว ก็มีคำเดียว แต่ไม่ได้มีบทบาทอย่างที่กล่าวอ้างกัน
    "แม่ธรณี" มีปรากฏคำเดียว ครั้งเดียว ในบทพูดของพรหมณ์ชูชก ในพระเวสสันดรชาดก
    ที่พรหมณ์ชูชุกกล่าวกับผู้อื่นเมื่อตอนถามทางไปหาพระเวสสันดร
    โดยพร่ำเพ้อพรรณาไปตามคติพรหมณ์ของตน เปรียบเทียบพระเวสสันดรเป็นเหมือนพระแม่ธรณี
    แต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือ เพื่อล่อลวงนายพรานให้บอกทางไปหาพระเวสสันดร
    โดยอ้างบุญกุศลจะบังเกิดแก่ผู้บอกทางเลย ความจริงแล้ว ตอนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ นั่งบนโพธิ์บัลลัง รอบกายท่านขึ้นไปจนถึงอากาศเบื้องบน ล้วงแล้วแต่มีทั้งเทพและพรหมอยู่อารักขา พรหมก้อเป็นถึงท้าวมหาพรหม เทพก้อเป็นถึงท้าวสักกะเทวราช มาหมดแม้แต่นาคราช แต่พอพญาวัสวัตดีเทวบุตรมาร พร้องพลรบเสนามารมา (ความจริงมีพญามารตัวจริงผู้คุ้มภพ3อยู่เบื่องหลังของวัสสวัตดีเทวบุตรมารผู้หลงผิด คอยบงการอยู่ เพราะถ้าแค่วัสวัตดีเทวบุตร ท้าวมหาพรหมไม่ต้องหนีก้อได้) แต่นี้มหาพรหมหนีกลับพรหม ท้าวสักกะพร้อมเหล่าเทวดาหนีไปสุดขอบจักรวาล นาคราชหนีไปอยู่วังของตนพร้อมเอามือปิดหน้าด้วยความกลัว หมายความว่ามารที่แท้จริงก้อกำลังพจรพระพุทธเจ้า อยู่ พระมหาโพธิ์สัตร์มองออกไปรอบกายแล้วไม่เห็นจะมีใครพึ่งพิงได้เลย ท่านจึงอ้างเอาบารมี10ทัศ อุปบารมี10ทัศ ปรมัถบารมี10ทัศ มาเป็นเกราะที่พึ่งพิง เพราะเห็นแต่บุญบารมีแล้วไม่มีสิ่งใดเลย พญามารก้อกระทำการต่างๆนาๆแต่ก้อแพ้เกราะแห่งบารมีสิบทัศ พญามารจึงจะมาแย่งบัลลังจากท่าน และอ้างเอาพยานพวกพ้องของตนเอง แต่พระพุทธเจ้าไม่มีพยาน ท่านจึงอ้างเอาคุณแห่งทานสมัยเป็นพระเวสสันดรซึ่งธรณีก้อเคย ไหวเป็นพยานมาแล้ว ท่านจึงชี้นิ้วไปที่ธรณี ท่านได้เป็นพยานหรือไม่ มหาปฐพีได้ดั่งสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งท่วมทับพลมาร ด้วยร้อยเสียงพันเสียงว่า ในกาลนั้น เราเป็นพยานท่าน แต่นั้น มหาปฐพีได้กล่าวว่า ท่านสิทธัตถะ ทานที่ท่านให้แล้ว เป็นมหาทาน เป็นอุดมทาน เมื่อพระมหาบุรุษพิจารณา

    ไป ๆ ถึงทานที่ได้ให้โดยอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ช้างคีรีเมขสูง ๑๕๐ โยชน์

    ก็คุกเข่าลง บริษัทของมารต่างพากันหนีไปยังที่ศานุทิศ ชื่อว่ามารสองตน จะไปทางเดียวกัน ย่อมไม่มี ต่างละทิ้งเครื่องประดับศีรษะ และผ้าที่นุ่งห่ม
    หนีไป นี้คือประวัติในพระไตรปิฏกครับ ไม่มีพระแม่ธรณีเลย แล้วพระแม่ธรณีมาจากไหน ก้อมาจากคนยุคหลังแต่งขึ้นมาภายหลังครับ แล้วทำไมถึงมีรูปพระแม่ธรณีอยู่ทั่วทุกที่ ก้อเพราะเราไปรับพระแม่ธรณี พระแม่โพสพ พระแม่คงคา มาจากพรามฮินดูครับ ส่วนเทวดาที่ดูแลเขตพื่นที่ หรือเขตแดนในโลกมนุษย์ มีจริงครับ บ่างท่านจะเรียกว่าแม่ธรณีก้อได้ หรือภุมมเทวาอยากเป็นเอง ก้อได้เช่นกัน เพราะก้อเชื่อแบบนี้มาแต่ครั้งเป็นมนุษย์ ครับ สรุปคือ พระแม่ธรณี เป็นตัวตนบีบมวยผมนั้น ไม่มีจริง แต่เทวดาที่ดูแลผืนดินมี และไม่ใช่พระแม่ธรณี หรือจะเรียกก้อได้ แต่เป็นภุมมเทวา ครับถ้าดูแลผืนดิน ในโลกเรามีเทวดาอยู่สามจำพวก คือ ภุมมเทวา รุขเทวา อากาศเทวาครับ ส่วนใครจะมีประสบการณ์ เคยเห็น หรือสัมผัสพูดคุย แล้วบอกว่าตัวเองเป็นพระแม่ธรณี อันนี้ผมไม่ทราบครับ หรือนักไสยเวท เอามาเป็นคาถาคุ้มครองตัว หรือเสกให้เป็นของขลัง อันนี้ก้อเป็นในทางของวิชาวิทยาธรครับ (ทุกอย่างที่ผมพูดให้ฟังนี้เพื่อไม่ให้ศาสนาแห่งเหตุและผลของเรา กลายเป็นศาสนาเทวนิยม ที่เต็มไปด้วยเรื่องอภินิหารและความช่วยเหลือจากทวยเทพต่างๆ ผมจึงต้องเปิดประเด็นนี้เอาไว้) โปรดใช้จักรยานในการรับฟัง ถูกผิดบอกกล่าวด้วย ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...