ใครด่าพระเกษมบ้าง ?

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย อุรุเวลา, 29 มีนาคม 2013.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ผมละงงทำไมคุณไม่ตอบ อ่านไม่ออกหรือไรในคำถาม
    คนเผารูปทำไมน่ายกเอา มาเป็นแบบได้ไงเพราะเหมือนกัน
    คนเที่ยวเผาอวดโอ้ว่าไม่ติด ฉนั้นคิดเผาไปเหตุใดหน่อ
    คนไม่ติดพึ่งควรกระทำหรอ ที่แท้ไสยึดมันติดกว่าใคร
     
  2. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ท่านอุรุเวลา
    ปากบอกว่าไม่ยึดติดรูป
    ทำไมเอารูป ท่านพุทธทาส มาใช้ละ

    ผมละชอบคำท่านจริงๆ

    อ่านคัมภีร์ ยึดตัวหนังสือ

    แต่ท่านน่าจะเพิ่่มอีก2คำ

    ปากว่า ตาขยิบ หรือ ว่าเขาอีเหน่าเป็นเอง
     
  3. polyester

    polyester Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +65
    อันนี้ก็คงแล้วแต่น่ะนะครับ ผมก็ยังไม่ตายซะด้วยเลยไม่รู้ว่าไอ้พวกที่มันทำระยำกับพระพุทธรูป ตายแล้วมันเป็นเยี่ยงไร....แต่ถ้าจะบอกนะ ... ผมเน้นการปฏิบัตินะครับส่วนกราบไหว้นั้นทำเพื่อเป็นพุทธบูชา อันนี้เข้าใจที่พูดไม๊แยกให้ออกนะผมไม่ได้ยึดติดนอนกอดพระพุทธรูปนะ ... ปฏิบัติบ้างนะครับ ไม่ใช่อ่านแต่พระไตรปิฏก...คงจะแยกออกนะครับกว่ากราบไหว้เคารพบูชากับยึดติดน่ะคนละเรื่อง

    ไม่อย่างนั้นเวลาพระสวดมนต์ทำวัตรคงต้องไปสวดกลางแจ้งนะครับจะกราบไหว้ต้นไม้ใบหญ้าก็ได้เพราะไม่งั้นจะยึดติด
     
  4. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า
    "รูปไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์ รูปเป็นอนัตตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นใน
    รูป ...เวทนา ...สัญญา ...สังขาร ...วิญญาณ"

    พระเกษมมีคำสั่งห้ามลูกศิษย์เผารูป และไม่มีใครเผานานแล้ว ทำไมยังจำแต่สัญญาเก่าๆ อยู่ครับ
    ใครยึดก็เป็นทุกข์ พระเกษมทำให้เห็นแล้ว ทุกข์เกิดขึ้นแล้ว นรกเกิดขึ้นแล้ว คนเห็นทุกข์เขาก็เห็นและเขาวางหมดแล้ว
    คนไม่เห็นทุกข์จำแต่เรื่องเก่าๆ จิตฝังลึกจิตคิดแต่เรื่องเก่าๆ จำได้หมายรู้แต่เรื่องเก่าๆ จิตฝังใจอยู่กับอดีต
    ระวังให้มากครับ เหมือนภิกษุมีจิตฝังใจในจีวร หวงจีวรตายไปแล้วไปเกิดเป็นตัวแรนเฝ้าจีวร
    คนยึดรูปตายไประวังวิญญาณจะไปเกิดในรูป เฝ้ารูปไม่รู้เมื่อไรจะได้ไปผุดไปเกิด
     
  5. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่เพราะอาศัยอะไร เพราะยึดมั่นอะไร จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ?
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน ฯลฯ

    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปแลมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ.
    เมื่อเวทนามีอยู่ ...
    เมื่อสัญญามีอยู่ ...
    เมื่อสังขารมีอยู่ ...
    เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัยวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีมิจฉาทิฏฐิ.

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๗ หน้าที่ ๑๘๒/๓๑๐ ข้อที่ ๓๕๔
     
  6. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ในขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ 14 พระพุทธองคทรงแสดงไววา
    “มนุษยเป็นอันมาก เมื่อถูกภัยคุกคามแลว ยอมยึดเอาภูเขา ป่าไม้ อาราม
    และรุกขเจดีย วาเป็นสรณะสรณะนั่นไม่เกษม สรณะนั่นไม่อุดม
    เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั้นแลว ยอมไม่พนจากทุกขทั้งปวงได้
    สวนบุคคลใดยึดเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆวาเป็นสรณะ
    คือการเห็นอริยสัจ 4 ไดแก ทุกข เหตุใหเกิดทุกข์(สมุทัย) ความดับทุกข(นิโรธ)
    และมรรคมองคแปดอันประเสริฐ ซึ่งยังสัตวใหถึงความพนทุกข ดวยปญญาอันถูกตอง
    สรณะนั่นแลเกษม สรณะนั่นอุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั้นแลว
    ยอมพนจากทุกขทั้งปวงได”


    ไม่ว่าจะในอดีตหรืออนาคต ความไม่รู้ ก็ยังครอบงําสรรพสัตวอยูอยางไม่สรางซา
    เพราะความไม่รู และไม่พยายามแสวงหาทางที่จะใหมีความรูเกิดขึ้น มนุษยจึงหวังพึ่งพิง
    สิ่งภายนอกอยูอยางไม่รูเลิก เมื่อมีความสุขตามอัตภาพ ไม่มีใครคิด จะแสวงหาที่พึ่งทางใจ
    ไม่สนใจแมกระทั่งศาสนาที่ตนนับถือ เพราะคิดวาฉันรู้แลว ฉันฉลาดแลว ฉันเกงแลว
    ไม่มีศาสนาฉันก็อยูได้อยางเป็นสุข พากันแยงชิง ไขวควาแสวงหาวัตถุภายนอกอยางไม่หยุดหยอน
    แตพอสังขารรางกายนี้เริ่มเสื่อมโทรมไปตามสภาพ หรือประสบกับภัยธรรมชาติและทุกข์เวทนาตางๆ
    ไอที่ไม่เชื่อก็ชักจะเริ่มเชื่อ ที่ไม่ศรัทธาก็ชักจะศรัทธาขึ้นมา หนักๆ เขาเลยกลายเป็นความงมงายไป
    ดังพุทธดํารัสที่วา

    “…มนุษยเป็นอันมากเมื่อถูกภัย
    คุกคามแลว ยอมยึดเอาภูเขา ป่าไม่ อาราม
    และรุกขเจดีย วาเป็นสรณะ…”


    เมื่ออานพุทธพจนขางตน จะเห็นไดวาคนเมื่อสองสามพันปีก่อนเป็นอยางไร คนในปัจจุบันก็ “ยังโงอยูเทาเดิม”
    ไม่ไดแตกตางกันเทาไรนัก การแสวงหาสิ่งภายนอกวาเป็นที่พึ่ง ไม่วาจะเป็นเจาพอ เจาแม เทพเจา การทรงเจา
    เขาผี พระเถรเณรชีทั้งหลายที่กําลังฮิตเรื่องแกกรรม สแกนกรรม หรือแมกระทั่งพระพุทธปฏิมาอันศักดิ์สิทธิ์ดวยคิดวาจะเป็นที่พึ่ง

    ที่ระลึก แกทุกขได จึงลวนเป็นสิ่งที่พระพุทธเจาตรัสวา

    “สรณะนั่นไม่เกษม สรณะนั่นไม่อุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่นแลว ยอมไม่พนจากทุกขทั้งปวงได”

    เพราะอะไร ก็เพราะการพึ่งพิงสิ่ง ภายนอกเหลานั้น แมบางอยางจะพึ่งไดก็เพียงชั่วคราว ไม่ใชที่พึ่งถาวร
    และจะทําให้จิตใจออนแอ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ขัดแยงกับพุทธพจนที่วา “ตนแลเป็นที่พึ่งของตน”
    ดุจยืมจมูกคนอื่นหายใจ ถาหากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหลานั้นเกิดไม่ว่าง หรืออารมณเสียขึ้นมาไม่ยอมใหพึ่ง
    เรามิพากันแยหรือ

    พระพุทธเจาจึงสอนใหพึ่งพิงสิ่งที่เป็นที่พึ่งถาวร ซึ่งมีอยูแลว ในกายในใจของทุกคน ก็คือพระรัตนตรัย
    พออานมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจตกใจวา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ มาสถิตอยู่ในกาย ในใจของเราตั้งแตเมื่อไหร
    ไม่เห็นรู้ตัวเลย หากจะกล่าวโดยยกธรรมเป็นที่ตั้งแลว(ธรรมาธิษฐาน) พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ
    คือภาวะแหงความเป็นผูรู ผูตื่น ผู้เบิกบาน อันมีอยู่แลวในกาย ในใจของเรานี่เอง เพียงแตวาเราเคยคิดจะคนหา
    ศึกษา เรียนรู สิ่งอันประเสริฐนี้หรือไม่ หรืออาจแคลงใจวา พระพุทธเจาตรัสเขาขางตนเองหรือเปลา
    ประเภทเชื่ออยางอื่นผิดหมด ถาเชื่อกูละถูกแน่ แตถ้าเราอานพุทธพจนซ้ำอีกครั้ง จะเขาใจงายขึ้น

    “…สวนบุคคลใดยึดเอาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆวาเป็นสรณะ
    คือการเห็นอริยสัจ 4…”


    แปลไทยเป็นไทยอีกครั้งวา การเขาถึงพระรัตนตรัยอยางถูกตอง ก็คือ การเห็น การเขาใจ การแจงชัดในอริยสัจ
    พอเขียนอยางนี้ ชาวพุทธหลายคนอาจสะเทือนใจวา ฉันกราบพระ สวดมนต ใหทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
    มาตั้งครึ่งคอนชีวิตแลว ยังไม่เขาถึงพระรัตนตรัยอีกหรือนี่ ?

    แนนอน ถาคุณยังไม่แจงชัดในอริยสัจ คุณก็มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะไดแคผิวๆ เทานั้น ยังหางไกลแกนอีกหลายลี้
    วิธีการคนหาพระรัตนตรัยในใจของเรา พระบรมครูก็ทรงชี้ทางไวใหแลววา “คือการเห็นอริยสัจ 4”
    ซึ่งผู้เขียนขอแปลเพื่อใหเห็นสภาวะจริงๆ วา

    1. ทุกข คือความไรสุข
    2. สมุทัย คือการดิ้นรนหาความสุข
    3. นิโรธ คือบรมสุข
    4. มรรค คือวิถีแหงความสุข

    สมัยหนึ่ง พระควัมปติเถระ ไดกลาวกับหมูสงฆ ณ เมืองสหชนิยะ แควนเจดีย ซึ่ง
    ปรากฏในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ผู้เขียนขอยอความใหกระชับวา…

    “ดูกรผูมีอายุทั้งหลาย ผมได้ฟังมา
    …ในที่เฉพาะพระพักตรพระพุทธองควา
    ผู้ใดเห็นทุกข ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็น สมุทัย นิโรธ มรรค
    ผูใดเห็นสมุทัย ผูนั้นชื่อวา ยอมเห็นทุกข นิโรธ มรรค
    ผูใดเห็นนิโรธ ผูนั้นชื่อวา ยอมเห็นทุกข สมุทัย มรรค
    ผูใดเห็นมรรค ผูนั้นชื่อวา ยอมเห็นทุกข สมุทัย นิโรธ”…

    พูดงายๆ ก็คือ ใครรูทุกข ก็เทากับละสมุทัย แจงนิโรธ เจริญมรรคในขณะจิตนั้น
    ใครละสมุทย ก็เทากับ รู้ทกข แจงนิโรธเจริญมรรคในขณะจิตนั้น
    ใครแจงนิโรธ ก็เทากับรูทุกข ละสมุทัย เจริญมรรคในขณะจิตนั้น
    ใครเจริญมรรค ก็เทากับรู้ทุกข์ละสมุทัย แจงนิโรธ ในขณะจิตนั้น
    วิธีการเขาถึงพระรัตนตรัยหรือภาวะ แหงผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานในตน โดยไม่ตอง
    ไปเที่ยวกราบกรานวัตถุภายนอกก็เริ่มจาก

    “การรูทุกข” นั่นเอง
    อยางไรจึงจะเรียกวา “รูทุกข” ?
    ทุกขคือขันธ 5 ถายอลงมาก็คือ รูปกับนาม หรือกายกับใจ คือสรรพสิ่งทั้งหลายที่ตกอยูใตกฎเกณฑธรรมชาติที่ไม่เที่ยง
    ไม่ทน ไม่แททั้งปวง แตในที่นี้น้อมเขามารู้เฉพาะในกายและใจของแตละคนเทานั้น

    ฉะนั้นการรู้ทกข ก็คือการรู้กาย-ใจตามความเป็นจริงในปัจจุบันขณะ เชนยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทํา พูด คิด
    เบื่อ โกรธ รําคาญ ชอบ ชัง ฯลฯ ตามที่มันเป็นในขณะนั้นๆ

    รูแลวจะเป็น ผูรู ผูตื่น ผูเบิกบานได้อยางไร?
    เมื่อรู้ทุกข์อย่างถูกต้องในขณะนั้น แทนที่จะจมอยูกับความทุกข เชนความไม่สมหวัง ความไม่ไดดั่งใจ จิตจะพลิกขึ้นมาเป็น
    ผูรูเทาทันทุกข ไม่ตกเป็นทาสของทุกข์ เป็นอิสระจากทุกขทันที เหมือนมีเพื่อนมาหลอกอำเราเลน หากรูทัน
    ก็ไม่หลงกลเพื่อนเทานั้นเอง

    ระวัง!!! รูทุกข อยาละทุกข เพราะคุณไม่มีหนาที่ละ เมื่อ “แครู” บอยๆ ปัญญาจะเกิดขึ้นและละตนเหตุแหงทุกขไปเอง
    และ “รูทุกข” กับ “เป็นทุกข” ก็คนละเรื่องกัน เพราะ “รูทุกข” คือรูตรงๆ ซื่อๆ เขาไปที่กาย-ใจของตนตามความเป็นจริง
    สวน “เป็นทุกข” นั้นคุณจะ “คิดวารู” ตามที่ตนอยากใหเป็น เมื่อรู้ทุกขอยางถูกตองแลว ในขณะนั้น
    ตัณหาที่เคยบงการจิตจะดับสนิทไปเมื่อ เมื่อตัณหาดับสนิท นิโรธก็เกิดขึ้นและเทากับมรรคกําลังสัประยุทธกับตัณหาในบัดนั้น

    ทันใดนั้นเอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ยอมปรากฏประพิมพประพายยังใจใหรู ตื่น เบิกบานและสงบเย็นขึ้นมาทันที
    สมดังที่พระพุทธวัจนว่า

    “สรณะนั้นแลเกษม สรณะนั่นอุดม…”

    การเขาถึงพระรัตนตรัยนั้นพิสูจนได้ดวย “ความพนทุกข” หรืออยางนอยตองเห็น วิถีทางที่จะพนจากทุกข์
    ถ้ายังไร้วี่แวว… ก็น่าจะมีประเด็นให้ขบคิดว่า

    1. เพราะธรรมะที่พระพุทธเจาสอนไว้นั้น “ผิด”
    2. หรือเพราะเราปฏิบัติ “ผิด” ไปจากคําสอนของพระพุทธเจาเสียเอง

    ถาเป็นคุณจะเลือกขอไหน?
    ถาเลือกขอ 1 คงตองกลับมาทบทวนตนเองวายังเป็น “พุทธ” อยูหรือไม่
    ถาเลือกขอ 2 ก็ตองสํารวจตนเองวานับถือพระรัตนตรัยถูกที่ ถูกทางอยู่หรือเปลา
    เพราะถาถูกแท ก็ตองสมกับพุทธพจนที่วา

    “…เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่นแลว ยอมพนจากทุกขทั้งปวงได”

    พระมหาวิเชียร ชินวํโส
     
  7. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    "สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
    เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา
    แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด
    จึงหลุดพ้น. เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดว่า
    ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี."

    "พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นทุกข์ เวทนาเป็นทุกข์
    สัญญาเป็นทุกข์ สังขารเป็นทุกข์ วิญญาณเป็นทุกข์
    . อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่
    อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น
    เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี."

    "พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา เวทนาเป็นอนัตตา
    สัญญาเป็นอนัตตา สังขารเป็นอนัตตา วิญญาณเป็นอนัตตา
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา
    แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น.
    เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว. ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี."

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๗ หน้าที่ ๒๐/๓๑๐ ข้อที่ ๓๙ - ๔๑
     
  8. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    อันนี้ต้องขออภัย ผมไม่ใช้ สาวก พระเกษม ไม่ใช้แฟนคลับ ที่จะต้องมา

    ติดตามคำสอน ของ พระเกษม

    ว่าเดียวนี้เลิกเผาพระพุทธรูปแล้ว ก็ดีใจด้วยที่รู้ตัวแล้วว่าสอนผิดๆมาตลอด

    แต่ที่จริงถ้ามั่นใจในคำสอน สัจจะธรรม ย่อมเที่ยงแท้ไม่แปลเปลี่ยน

    ธรรมะของ พุทธองค์ เป็น อกาลิโก

    แต่ธรรมะของพระเกษม เปลี่ยนตามกาล ให้ผลได้เฉพาะช่วงเวลา

    ที่จริงท่าน อุรุเวลา ไม่น่าจะเอาพระไตรปิฏกยกมาให้อ่านบ่อยๆนะ

    เพราะนั้นคำสอนของ พระพุทธเจ้า ซึ่งมักจะขัดๆกับของพระเกษม

    ท่านก็ยก หนังสือ โอวาท พระเกษม มาประกอบดีกว่า

    เช่นการติดในรูป ท่านบอกว่า ตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิด อันนี้ก็ไม่มีในพระไตร

    ปิฏก ผมละงง กับหนอนหนังสือ จอม Copy จริงๆว่าได้อ่านจบบ้างไหม

    หรือว่า COPY มาวางให้ดู เทห์ๆเท่านั้น

    ผมเคยแต่ได้ ยินแต่เรื่อง มหาดาบส ร้องไห้ ที่ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมของ

    พระพุทํธเจ้า จะต้องไปเกิดเป็น อรูปพรหม ดินแดนที่ แม้แต่พระพุทธเจ้า จะไม่

    ไปโปรดให้รู้ธรรมได้เลย ต้องรอ ไปชั่วกาล ไม่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า

    แม้จะผ่านกี่แสนพระองค์ ก็จะยังอยู่ ในอรูปพรหม ต่อไป น่าสงสารที่สุด
     
  9. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    เหมือนบอกว่า เล่นการพนันไม่ดีนะ แต่ตัวเองเป็นเจ้ามือ สะเอง

    ขำจริงๆ ผู้รู้สำเร็จธรรม
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    เขาใจผิดแล้วครับ พระเกษมไม่ให้เผาเพราะว่าสอนผิด แต่ให้เอาไปฝังหรือเอาไปทิ้งทะเลแทนครับ
    ผมไม่ใช่ลูกศิษย์พระเกษม ผมฟังพระเกษมเพราะอยากรู้ว่าสอนตรงพระไตรปิฏกหรือไม่? ผมฟังพระเกษมผมเปิดพระไตรปิฏกตาม
    พระเกษมสอนตรงตามพระไตรปิฏกครับ ผมคัดลอกพระธรรมมาจากพระไตรปิฏก มีหลักฐานทั้งหมดครับ ไปเปิดพระไตรปิฏกอ่านได้ครับ

    เรื่อง "พระเกษมสอนขัดพระไตรปิฏก" มีหลักฐานไหมครับ
    เรื่อง "มหาดาบส" มีหลักฐานไหมครับ

    พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมทั้งในเทวโลก มารโลก พรหมโลก ไม่มีที่ไหนที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปไม่ได้ครับ
     
  11. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    อ่านคัมภีร์ ยึดตัวหนังสือ
    ดาบสร้องไห้
    หลังจากที่พระโพธิสัตว์ประสูติที่สวนลุมพินีวันแล้ว ขบวนเสด็จของพระนางสิริมหามายาก็กลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์ นำความปลื้มปีติมาสู่ราชสำนักเป็นอันมาก พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งให้จัดงานสมโภชราชโอรสพระองค์น้อยอย่างเร่งด่วน
    ครั้งนั้น กาฬเทวินปุโรหิต ผู้เป็นอาจารย์ของพระเจ้าสุทโธทนะชราภาพมากแล้วจึงลาไปบวชเป็นดาบสบำเพ็ญพรตอยู่ข้างป่าหิมพานต์ ท่านดาบสมีอีกชื่อหนึ่งว่า อสิตดาบส แปลว่า ดาบสผู้คุ้นเคยกับราชสกุล
    อสิตดาบสบำเพ็ญพรตจนสำเร็จอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ทุกวันหลังฉันอาหาร ท่านมักจะเข้าฌานสมาบัติไปพักผ่อนอยู่ในดาวดึงส์เทวโลกบ้าง ในนาคพิภพบ้าง
    วันที่พระโพธิสัตว์ประสูติอสิตดาบสไปพักผ่อนในดาวดึงส์เทวโลก เห็นท้าวสักกเทวราชพร้อมเหล่าเทพบุตรและเทพธิดาจำนวนมาก ออกมาแห่แหนโบกสะบัดผ้าแสดงวามรื่นเริงยินดีปานประหนึ่งว่าไปรบชนะพวกอสูรมา อสิตดาบสจึงถามว่าพวกท่านเฉลิมฉลองเรื่องใดกัน
    เทวดาตอบว่า วันนี้พระโพธิสัตว์ประสูติแล้วที่สวนลุมพินีวัน เป็นราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ อีกไม่นานพระองค์ก็จะเสด็จออกบรรพชา ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และประกาศพระธรรมจักรที่ป่าอิสิปตนะ
    อสิตดาบสได้ฟังดังนั้นจึงรีบกลับมาเมืองมนุษย์ เข้าไปเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะขอชมบารมีพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะจึงให้แต่งราชโอรส อุ้มมาเพื่อจะไหว้พระอาจารย์ แต่แทนที่พระกุมารจะไหว้ท่านดาบส กลับกลายเป็นว่าพระบาทของพระกุมารกลับไปประทับบนชฎาของอสิตดาบสเป็นที่น่าอัศจรรย์ ท่ามกลางความตกใจของเหล่าราชสกุล
    อสิตดาบสเป็นผู้เรียนจบลักษณะมนต์ และยังเป็นผู้ระลึกชาติได้ถึง ๘๐ กัป คือ ระลึกย้อนหลังได้ ๔๐ กัป และระลึกไปข้างหน้าได้อีก ๔๐ กัป เมื่อได้เห็นพุทธลักษณะของพระกุมาร ก็รู้ว่าพระกุมารนี้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอนตามคำของเทวดา อสิตดาบสจึงหัวเราะด้วยความปีติยินดี แต่แล้วก็กลับร้องไห้ด้วยความเสียใจ
    พระเจ้าสุทโธทนะแปลกพระทัยในอากัปกริยาของพระอาจารย์ จึงตรัสถามว่าท่านอาจารย์ เหตุใดท่านจึงทั้งหัวเราะและร้องไห้ดังนี้
    อสิตดาบสกราบทูลว่า
    มหาบพิตร อาตมาดีใจที่ได้เห็นพระกุมารนี้เที่ยงแท้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจึงได้หัวเราะ แต่อาตมาก็น้อยวาสนานักด้วยอายุมากแล้ว อีกไม่นานอาตมาจะต้องละสังขารทำกาละไปอุบัติเป็นอรูปพรหม ไร้อินทรีย์ทวารจะสดับธรรมจากพระองค์ได้ อาตมาจึงร้องไห้ด้วยความเสียใจ
     
  12. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    สวัสดีครับ ท่านอุรุเวลา จอม COPY พระไตรปิฏก

    ผมว่าท่านน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการตีความนะครับ

    เพราะคำว่า พระพุทธเจ้าจะไม่ไปโปรด

    มันไม่ได้แปลว่า พระพุทธเจ้า ไปไม่เป็น หรือ ไปไม่ได้

    ผมว่าที่ท่านชอบ COPY มาวางท่านอ่านตีความผิดๆมาตลอดนะครับ

    นี้ขนาดคำง่ายๆแบบนี้ท่านยังตีผิดไปไกลลับ

    ผมแนะนำว่า ท่านน่าจะมีสติมากกว่านี้ นั้งสมาธิบ้างนะครับ ผมละเหนื่อยใจจริงๆ

    อ่านตำรา ติดตัวหนังสือ ว่าแย่พอแล้ว

    อ่านตำรา ตีความผิด แล้ว ติดตัวหนังสือที่ตีความผิด ผมว่า แย่เกินไปอีกนะครับ
     
  13. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    ที่ยกมาไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการตีความครับ ผมพิจารณาแล้วไม่ใช่พระพุทธพจน์ครับ
    อ่านตำราท่านควรจะใช้ปัญญาพิจารณาให้มากกว่านี้ครับ อ่านแล้วควรแยกแยะว่าบทไหนเป็นพระบัญญัติ
    บทไหนแต่งขึ้นใหม่ และถ้าเป็นบทแต่งใหม่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ไม่ใช่พระบัญญัติให้วางทิ้งครับ
     
  14. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ...
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพน
    ชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้
    ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม
    แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว
    อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรมอยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้ง
    จิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตร
    อันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวก
    ภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญ
    ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก
    เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น
    เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก
    มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสต
    ลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๖ หน้าที่ ๒๖๙/๒๘๘
     
  15. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    [๕๒๓] ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม ได้ยืน
    ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า ขอประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาค
    โปรดแสดงธรรมโดยย่อ ที่หม่อมฉันฟังธรรม ของพระผู้มีพระภาคแล้ว เป็นผู้เดียวจะพึงหลีกออก
    ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อ
    ความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อคลายความกำหนัด เป็นไปเพื่อความประกอบ ไม่ใช่เพื่อความพราก เป็น
    ไปเพื่อความสะสม ไม่ใช่เพื่อความไม่สะสม เป็นไป เพื่อความมักมาก ไม่ใช่เพื่อความมักน้อย
    เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่ใช่เพื่อความสันโดษ เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ ไม่ใช่เพื่อความสงัด
    เป็นไป เพื่อความเกียจคร้าน ไม่ใช่เพื่อปรารภความเพียร เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก
    ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงง่าย ดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า
    นั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่วินัย นั่นไม่ใช่สัตถุศาสน์
    ดูกรโคตมี อนึ่ง เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
    ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด เป็นไปเพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ เป็นไปเพื่อความไม่
    สะสม ไม่ใช่เพื่อความสะสม เป็นไปเพื่อความมักน้อย ไม่ใช่เพื่อความมักมาก เป็นไปเพื่อ
    ความสันโดษ ไม่ใช่เพื่อความไม่สันโดษ เป็นไปเพื่อความสงัด ไม่ใช่เพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่
    เป็นไปเพื่อ ปรารภความเพียร ไม่ใช่เพื่อความเกียจคร้าน เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย
    ไม่ใช่ เพื่อความเลี้ยงยาก ดูกรโคตมี เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า
    นั่นเป็นธรรม นั่นเป็นวินัย นั่นเป็นสัตถุศาสน์ ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๗ หน้าที่ ๒๑๓/๒๗๙
     
  16. ปรากฎการณ์

    ปรากฎการณ์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2013
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +3
    คิดว่าน่าจะเป็นผมเองแหละที่ทำให้เกิดคลิปนี้ออกมา
    ผมยังงงอยู่เลยว่ายังมีคนสติไม่ค่อยดีไปหลงเชื่อจอมมารเกษมอยู่อีกเหรอ
    ผิดอยู่เต็มๆยังไปคิดเข้าข้างมันอีกเนอะ
     
  17. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ "ละ" ไม่ได้สอนให้ "ยึด"
     
  18. polyester

    polyester Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +65
    ที่นับถือก็นับถือกันต่อไป ที่ไม่เห็นด้วยก็วางเฉย ให้มันเป็นไปตามนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าตายไปแล้วใครจะเป็นกันยังไง มันย่อมเป็นไปตามกรรมของบุคคล
     
  19. ปรากฎการณ์

    ปรากฎการณ์ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2013
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +3
    จอมมารเกษมไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าในขั้นใด และที่สำคัญเป็นแค่คนสมองผิดปรกติที่ตีความพระไตรปิฎกแบบมั่วๆ แล้วคิดว่าตัวเองฉลาดแล้ว เก่งแล้ว
    ขอโทษเถอะ คุณหลอกได้แค่คนโง่ที่มีนิสัยอวดฉลาดเหมือนคุณเท่านั้นแหละ คุณหลอกพุทธบริษัทที่มีสติปัญญาไม่ได้หรอก
    อีกอย่างคือนายเกษมปาราชิกไปเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ต้องไปนับถือมัน มันไม่ใช่พระอีกต่อไปแล้ว
     
  20. คนเฝ้าดู

    คนเฝ้าดู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +267
    คนโง่มักจะคิดว่าตัวเองฉลาด ส่วนคนที่ฉลาดมักจะคิดว่าตัวเองยังรู้ไม่พอ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...