เมื่ออาตมา(หลวงพ่อจรัญ)ได้พบกับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chaiyaboon, 28 ตุลาคม 2007.

  1. Chaiyaboon

    Chaiyaboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    419
    ค่าพลัง:
    +1,803
    คืนวันหนึ่งอาตมานอนหลับแล้ว ฝันไปว่า อาตมาได้เดินไปในสถานที่แห่งหนึ่งได้พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่งครองจีวรคร่ำ
    สมณสารูปเรียบร้อยน่าเลื่อมใส อาตมาเห็นว่าเป็นพระอาวุโสผู้รัตตัญญูจึงน้อมนมัสการท่าน
    ท่านหยุดยืนตรงหน้าอาตมาแล้วกล่าวกับอาตมาว่า
    "ฉันคือสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้วแห่งกรุงศรีอยุธยา ฉันต้องการให้เธอได้ไปที่วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อดูจารึกที่ฉันได้จารึกถวายพระเกียรติแก่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้เป็นเจ้า เนื่องในวาระที่สร้างพระเจดีย์ฉลองชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาแห่งพม่าและประกาศความเป็นอิสระของประเทศไทย
    จากหงสาวดีเป็นครั้งแรก เธอไปดูไว้แล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว"
    ในฝันอาตมารับปากท่าน ท่านก็บอกตำแหน่งให้แล้วก็ตกใจตื่นนอนใกล้รุ่ง อาตมาก็ทบทวนความฝันก็นึกอยู่ในใจว่าเราเองนั้นกำหนดจิตด้วยพระกรรมฐานมีสติอยู่เสมอเรื่องฝันฟุ้งซ่านก็เป็นไม่ม
    ี อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า ทางกรมศิลปากรทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ในวัดใหญ่ชัยมงคล
    และจะทำการบรรจุบัวยอดพระเจดีย์ อันเป็นนิมิตหมายการสิ้นสุดการบูรณะ และจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเสร็จสิ้น
    อาตมาจึงได้ขอร้อง ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ให้เลื่อนการปิดยอดบัวไปอีกวันหนึ่งเพื่อที่อาตมาจะได้นำพระซุ้มเสมาชัย
    ซุ้มเสมาขอ ที่อาตมาได้สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิมที่พบในเจดีย์ใหญ่ใกล้กับวัดอัมพวัน ซึ่งพังลงน้ำ
    ที่ก๋งเหล็งเป็นคนรวบรวมเอาให้อาตมาตั้งแต่เมื่อเริ่มมาพัฒนาวัดใหม่ๆ แต่แตกหักผุพังทั้งนั้น หลายสิบปี๊บ
    อาตมาได้ป่นเอามาผสมสร้างเป็นองค์พระใหม่ ไปร่วมบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง

    วันนั้นอาตมาเดินทางไปถึงก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันไดแล้ว มองเห็นโพรงที่ทางเขาทำไว้สำหรับลงไปด้านล่าง
    มีร้านไม้พอไต่ลงไปภายใน ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าลงไปคราวนี้ ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งร้านม้าก็ยอมตาย
    คนที่ร่วมเดินทางมาเขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน อาตมาก็ดิ่งลงไปชั้นล่าง มีไฟฉายดวงหนึ่ง เวลานั้นประมาณ ๐๙.๐๐ น.
    อาตมาลงไปภายในแล้วก็พบนิมิตดังที่สมเด็จพระพนรัตน์ได้บอกไว้จริงๆ
    อาตมาจึงได้พบว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วท่านได้จารึกถวายพระพร
    ก็คือบทสวดที่เรียกว่า "พาหุงมหาการุณิโก" ท้ายของนิมิตนั้นระบุว่า "เราสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วศรีอโยธเยศ
    คือผู้จารึกนิมิตรจนาเอาไว้ถวายพระพรแด่มหาบพิตรเจ้าสมเด็จพระนเรศวรมหาราช"
    พาหุงมหากาก็คือบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็พรพาหุงอันเริ่มด้วย
    "พาหุงสหัสไปจนถึงทุคคาหทิฏฐิ แล้วเรื่อยไปจนถึงมหาการุณิโกนาโถหิตายะ
    และจบลงด้วยภาวะตุ สัพพะมังคะลัง สัพพะพุทธา สัพพะธัมมา สัพพะสังฆา นุภาเวนะสะทาโสตถี ภะวันตุเต"
    อาตมา เรียกรวมกันว่าพาหุงมหากา
    อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า บทพาหุงนี้คือบทสวดมนต์ที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    ไว้สวดเป็นประจำเวลาอยู่กับพระมหาราชวังและในระหว่างศึกสงคราม
    จึงปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าทรงรบ ณ ที่ใด ทรงมีชัยชนะอยู่ตลอดมามิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลยแม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า
    ท่ามกลางกองทัพพม่าจำนวนนับแสนคนก็ทรงมีชัยชนะเหนือกองทัพพม่าด้วยการกระทำยุทธหัตถี
    มีชัยเหนือพระมหาอุปราชาที่ดอนเจดีย์ปูชนียสถานแม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากัน
    พระศพของพระมหาอุปราชาออกไปราวกับห่าฝนก็มิปานแต่ก็มิได้ต้องพระองค์ ด้วยเดชะพาหุงมหากาที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง

    อาตมาพบนิมิตแล้วก็ไต่ขึ้นมา ด้วยความสบายใจถึงปากปล่องที่ลงไปเกือบสามชั่วโมง เนื้อตัวมีแต่หยากไย่ เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายังร้องว่า หลวงพ่อเข้าไปในโพรงนั่นมาหรือ แต่อาตมาไม่ตอบ
    ตั้งแต่นั้นมา อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะอะไร เพราะพาหุงมหากานั้นเป็นบทสวดมนต์ที่มีค่าที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา
    จากพญาวัสวดีมาร จากอาฬาวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคิรี จากองคุลีมาล จากนางจิญมาณวิกา จากสัจจะกะนิครนถ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มาด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดไว้ประจำทุกวันจะมีชัยชนะมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน
    มีสติระลึกได้ จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ ขอให้ญาติโยมสวดพาหุงมหากากันให้ทั่วหน้า นอกจากจะคุ้มตัวแล้ว
    ยังคุ้มครอบครัวได้ สวดมากๆ เข้า สวดกันทั้งประเทศก็ทำให้ประเทศมีแต่ความรุ่งเรือง พวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า

    ไม่ใช่แต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น
    ที่พบความมหัศจรรย์ของบทพาหุงมหากา แม้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงพบเช่นกัน
    โดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ว่าดังนี้
    "เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้แล้วก็ทรงเห็นว่าสงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนา
    และยืดยาวจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้นแล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุง มหากาบรรจุไว้ในองค์พระและพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    ด้วยการเจริญพาหุงมหากาจึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"
    สวดพาหุงมหากากันให้ได้ทุกบ้าน สวดให้ได้มากๆ จะมีแต่ความรุ่งเรือง สวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงสวดชินบัญชร
    เพราะชินบัญชรนั้นเจ้าประคุณสมเด็จท่านได้สวดบูชาพระอรหันต์ของท่าน ต้องสวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงมาถึงชินบัญชรให้จดจำกันเอาไว้ นั่นแหละมงคลในชีวิต
    อันที่จริงถ้าเราทำบุญ เราจะได้ยินพระสวดคาถา "พาหุงมหากา" หรือ "พุทธชัยมงคลคาถา" ให้เราฟังทุกครั้ง
    บางทีเราจะเคยได้ยินพระสวดเจนหูเกินไปจนไม่นึกว่ามีความสำคัญ แท้จริงแล้วคาถาดังกล่าวนี้ มีของดีอยู่ในตัวให้เราใช้มากทุกบททุกตอน เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า อ้างอานุภาพของพระพุทธเจ้าเพื่อนำชัยมงคลมาให้แก่เรา ทุกตอนลงท้ายว่า "ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ"
    เวลาพระสวดให้เรา ท่านต้องใช้คำว่า "เต" ซึ่งแปลว่า "แก่ท่าน" แต่ถ้าเราจะเอามาสวดหรือภาวนาของเราเอง
    เพื่อให้ชัยชนะเกิดแก่ตัวเราเอง เราก็จะต้องใช้ว่า "เม" ซึ่งแปลว่า "แก่ข้า" คือสวดว่า "ตันเตชะสา ภะวะตุเม
    ชะยะมังคะลานิ"

    อ้างอิง http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=1193
     
  2. อาจารย์เตี้ย

    อาจารย์เตี้ย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    176
    ค่าพลัง:
    +603
    พระสุปฏิปันโนเมืองบุรีรัมย์
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[FONT='Cordia New','sans-serif']อยากให้ทุกคนได้รู้จักหลวงพ่อรูปนี้ ท่านคือพระครูวิบูลวุฒิคุณ รองเจ้าคณะอำเภอนางรอง เจ้าอาวาสวัดตาไก้พลวง ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนโดยแท้จริงของเมืองบุรีรัมย์ ท่านเป็นพระนักพัฒนาช่วยเหลือสังคมท่านช่วยจนท่านได้รับเสมาธรรมจักรจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ในวันที่8 พฤษภาคม 2549 เป็นวัน วิสาขบูชา ท่านไม่เป็นเพียงแต่นักพัฒนา เวลาว่างจากกิจของท่านท่านจะใช้เวลาตัดหญ้าดายหญ้าในวัดของท่านและยังทำปุ๋ยชีวภาพจากเศษผักเศษอาหาร ท่านจะไม่อยู่เฉยแม้ไม่มีงานให้ท่านทำท่านก็จะหางานท่านของท่านจนได้ ตั้งแต่ท่านบวชมาท่านยังไม่เคยขาดการทำวัตรแม้แต่ครั้งเดียว ท่านทำวัตรทุกวันท่านจะไปถึงโบถก่อนพระรูปอื่นระหว่างที่รอท่านจะนั่งกรรมฐานรอจนกว่าพระลูกวัดจะมาถึงเมื่อมาครบท่านจึงสวดมนต์ทำวัตร ท่านเป็ฯพระที่พูดน้อยมากและคำที่ท่านพูดออกมาล้วนแต่แฝงไปด้วยคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันฉลองที่ท่านได้รับรางวัลเสมาธรรมจักรท่านบอกว่าถ้าจะฉลองที่ฉันได้รางวัลให้ฉลองแบบที่ได้บุญด้วยท่านเลยให้ฉลองโดยปฏิบัติธรรมที่วัดเลยจัดงานปฏิบัติธรรมในวันนั้น โดยไม่มีมหรสพมาเกี่ยวข้องแม้แต่นิดเดียว ชาวบ้านแถวนั้นคิดว่าท่านนะเป็นพระที่วิเศษ ชาวบ้านเลยอยากให้ท่านสร้างเหรียญรูปท่านขึ้นมาท่านเลยบอกว่าอยากได้ตัวฉันไปห้อยคอไม่ต้องเอาฉันไปห้อยคอหรอกฉันไม่ใช่เครื่องประดับอยากได้ฉันก็คิคว่าฉันอยู่ในใจก็พอ แต่พวกลูกศิษย์ก็ยังอย่าได้เหรียญอยู่ดีเลยได้สร้างเหรียญขึ้นมาแจกในงานฉลองเสมาธรรมจักรให้กับลูกศิษย์ที่มาให้ความแสดงมุถิตาต่อท่าน โดยแจกพร้อมกับหนังสือสวดมนต์ธรรมวัตรในวันนั้น และท่านบอกว่าเก็บไว้ดีๆเด้อหายแล้วไม่มีนะนี่รุ่พนแรกและรุ่นสุดท้ายเด้อหายแล้วไม่ต้องมาขอนะ ไม่สร้างอีกแล้วมีแค่นี้แหละ จากวันนั้นที่ได้เหรียญของท่านมาก็ได้นำมาห้อยคอติดตัวตลอดไม่เคยถอดออกถออดออกเวลาเดียวคือตอนอาบน้ำ และมีประสบการณ์ปาติหารของเหรียญด้วยนะแต่ขอบอกอะไรก่อนเหรียญนี้ไม่เคยผ่านการปลุกเศษแต่อย่างใดมาก่อนมีแต่รูปของตัวท่านที่อยู่หน้าเหรียญเท่านั้น ข่าพเจ้าจะเล่าประสบการณ์ให้ฟังที่เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง เรื่องมีอยู่ว่าข้าพเจ้าขี่มอไซไปกับเพื่อนข้าพเจ้าจะไปซื้อของแต่เกิดอุบัติเหตุก่อนมีรถคันที่ขี่สวนมาด้วยความเร็วได้สนประสานงากับรถข้าพเจ้าเข้ายังจังเต็มแรงข้าพเจ้ามองเห็นเพื่อนข้าพเจ้ากระเด็นออกไปไกลและรถพังยับแต่ตอนนั้นหมือนข้าพเจ้าไม่อยู่ในที่นั่นเหมือนแว็บไปที่อื่นและก็แว๊บกลับมาอย่างรวดเร็วมองเห็นเพื่อนข้าพเจ้านอนนิ่งเลือดอาบและมองเห็นคนที่ขับชนข้าพเจ้านอนนิ่งเลือดอาบเหมือนเพื่อนข้าพเจ้าพเจ้าทำอะไรไม่ถูกเลยจนข้าพเจ้าได้สติดีจึงไปดูเพื่อนข้าพเจ้าซึ่งนอนนิ่งอยู่ข้าเจ้าเลยโทรให้รถโรงพยาบาลมารับเพื่อนข้าพเจ้าและคนที่ชนข้าพเจ้าไปโรงบาลมหาราชอยู่จ.นครราชสีมาเพราะอุบัติเหตูเกิดขึ้นที่โคราชในมหาชัยชอย7 และพวกคนก็มาดูก้ต่างวิพากวิจารการใหญ่โดยไม่รู้ว่าข้าพเจ้าขี่มอไซคันนี้มาคงคิดว่าข้าพเจ้าเป็นพลเมืองมาช่วยไว้ และข้าพเจ้าก็ได้ดูตัวข้าพเจ้าไม่รอยซ้ำและรอยแผลแม้แต่นิดเดียวและได้จำหลวงพ่อที่ห้อยคอไว้และก็ขอบคุณหลวงพ่อครับ เรื่องยังนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าคนเดียวคนเดียวยังเกิดขึ้นกับคนอื่นเหมือนกันที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ และมีชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อท่านรู้อนาคตได้ เขาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า มีวันหนึ่งลูกของเขาป่วยเป็นไข้เลือดออกอย่ากรุนแรงจนอ้วกออกมาเป็นเลือดเขาจึงอยากพาลูกไปหาหมอแต่ตังไม่มีเพราะเขายากจน เขาจึงจะไปยืมเงินกำนันแต่กำนันไม่อยู่เขาเลยคิดจะไปยืมเงินหลวงพ่อแลละก็ไปหาหลวงพ่อยังไม่ทันยกมือไหว้เลยหลวงพ่อท่านยื่นเงินให้เขาแล้วและหลวงพ่อยังถามอีกเป็นหนักไหม และเงินแค่นี้พอไหม ชาวบ้านคนนั้นถึงกลับงงเขาก็เลยรับเงินกับหลวงพ่อโดยพูดอะไร แต่กลับมาเล่าบอกข้าพเจ้าว่าหลวงพ่อรู้ได้ไงเนาะว่าลูกผมเป็นไข้และรู้ว่าผมจะมายืมเงินเรื่อนนี้ผมยังไม่บอกใครเลยนะเณรเขาพูดกับข้าพเจ้า ตอนนั้นข่าพเจ้าบวชเป็นเณร จึงทำให้ข้าพเจ้าศัทธาหลวงพ่อมากขึ้นอีก ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>[/font]
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
     
  3. zester999

    zester999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +412
    ความหมายโดยในนัยยะของบท พาหุงมหากา
    คือการชนะมารทั้ง ๘ ครั้งใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    สมเด็จพระพนรัตน์ท่านรจนาถวายเพื่ออวยชัยให้กับองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    ให้ทรงมีชัยชนะเหนืออริราชศัตรู ตามรอยพระพุทธองค์ซึ่งมีชัยเหนือหมู่มารโดยลำพัง
    ซึ่งเหตุการณ์ยุทธหัตถี ก็ให้บังเอิญมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าอัศจรรย์
    พระกฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้

    --------------------------------------------------------------

    สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้วกับพระสงฆ์ราชาคณะยี่สิบห้ารูป
    ได้ไปเข้าเฝ้าเพื่อเยี่ยมเยียนถามข่าว
    หลังจากเสด็จกลับจากราชการสงคราม

    พระนเรศวรเป็นเจ้าก็ตรัสเล่าเรื่องการสงคราม
    ให้สมเด็จพระพนรัตและพระสงฆ์ราชาคณะทั้งหลายฟัง

    สมเด็จพระพนรัตจึงถวายพระพรถามดังข้อความ
    ซึ่งผมขอคัดจากพระราชพงศาวดารฉบับกรมพระปรมานุชิตชิโนรส
    ดังต่อไปนี้

    "สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้ามีชัยแก่ข้าศึก
    เหตุไฉนข้าราชการทั้งปวงจึงต้องราชทัณฑ์เล่า"

    สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงตรัสตอบว่า

    "นายทัพนายกองเหล่านี้อยู่ในกระบวนทัพโยม
    มันกลัวข้าศึกมากกว่าโยม
    ละให้แต่โยมสองคนพี่น้องฝ่าเข้าไปในท่ามกลางศึก
    จนได้กระทำยุทธหัตถีกับมหาอุปราชามีชัยชนะแล้ว จึงได้เห็นหน้ามัน
    นี่หากว่าบารมีของโยมหาไม่ แผ่นดินจะเป็นของหงสาวดีเสียแล้ว
    เพราะเหตุดังนี้โยมจึงให้ลงโทษตามบทพระอัยการศึก"

    สมเด็จพระพนรัตจึงถวายพระพรว่า


    "อาตมภาพพิเคราะห์ดู
    อันข้าราชการเหล่านี้จะไม่รักไม่กลัวพระราชสมภารเจ้านั้นหามิได้
    และเหตุดังนี้จะให้พระเกียรติยศพระราชสมภารเจ้าเป็นมหัศจรรย์
    เหมือนสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้า
    เมื่อพระองค์เสด็จเหนือปราชิตบัลลังก์ควงพระมหาโพธิ ณ เพลาสายันห์
    ครั้งนั้น เทพเจ้ามาเฝ้าพร้อมอยู่ทั้งหมื่นจักรวาล
    และพระยาวสวัติมายกพลเสนามารมาผจญครั้งนั้น
    ถ้าได้เทพยดาเจ้าเป็นบริวารและมีชัยแก่พระยามาร
    ก็หาสู้เป็นมหัศจรรย์นักไม่
    ที่เผอิญให้หมู่อมรินทร์พรหมทั้งปวงประลาตหนีไปสิ้น
    ยังแต่พระองค์เดียวอาจสามารถผจญพระยามาราธิราช
    กับพลเสนามารให้ปราชัยพ่ายแพ้ได้
    จึงสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเจ้าได้ทรงพระนามว่า
    พระพิชิตมารโมฬีศรีสรรเพชญดาญาณ
    เป็นมหัศจรรย์ดาลดิเรกทั่วอนันตโลกธาตุเบื้องบน
    ตราบเท่าถึงภวัคพรหมเบื้องต่ำตลอดถึงอโธภาคอเวจีเป็นที่สุด
    ก็เหมือนพระราชสมภารเจ้าทั้งสองพระองค์ในครั้งนี้
    ถ้าเสด็จพร้อมด้วยเสนานิกรโยธาทวยหาญมาก
    และมีชัยแก่พระอุปราชานั้น
    หาสู้เป็นมหัศจรรย์แผ่พระเกียรติยศปรากฎไปนานาประเทศใหญ่น้อยทั้งปวงไม่
    พระราชสมภารเจ้าอย่าทรงปริวิตก โทมนัสน้อยพระทัยเลย
    อันเหตุที่เป็นนี้เพื่อเทพเจ้าทั้งปวงอันรักษาพระองค์
    จักสำแดงพระเกียรติยศดุจอาตมาภาพถวายพระพรเป็นแท้"


    ความปลอดภัยอันแท้จริงมาเกิดขึ้น
    เพราะพระนเศวรเป็นเจ้าพระองค์เดียว
    ผู้ทรงก่อให้เกิดความคิดใหม่ วิธีการใหม่
    และความหวังใหม่ขึ้นในใจคนไทย
    ถึงคนไทยจะเกรงกลัวพระราชอาญาแห่งพระนเรศวรเป็นเจ้ายิ่งกว่าความตาย
    ความกลัวนั้นก็ยังดีกว่ากลัวพม่า
    หรือความหวาดหวั่นผู้มีอำนาจจากทิศอื่น เช่น พระยาละแวก

    ความเกรงกลัวพระราชอาญาพระนเรศวรเป็นเจ้านั้น
    เกิดจากความเคารพรักและภาคภูมิใจ
    เพราะพระนเรศวรเป็นเจ้าทรงปฏิบัติพระองค์ให้แลเห็นได้ชัดทั่วกันว่า
    พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นั้น
    เป็นไปเพื่อประโยชน์ร่วมกันของคนไทย
    และเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง
    มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนพระองค์เองเลยแม้แต่น้อย

    จะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่แห่งพระชนมชีพนั้นอยู่ในสนามรบ
    หรือในชนบท ประทับแต่ในพลับพลาหรือในค่าย
    มิได้เสวยสุขอยู่แต่ในปราสาทราชมณเฑียรหรือในพระนคร
    ในยามสู้ศึกก็มิได้ทรงปล่อยให้ทหารรบสู้แต่ตามลำพัง
    แต่ได้ทรงเข้ารบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารทั้งปวง

    เมื่อครั้งทรงกระทำยุทธหัตถีนั้น
    ได้ทรงสละพระองค์เพื่อชาติบ้านเมืองโดยสิ้นเชิง
    หากแต่ความชำนิชำนาญในการสู้รบ
    และอำนาจเทพยดาที่รักษาพระมหาเศวตฉัตรของไทยได้คุ้มครองพระองค์
    กลับมีชัยแก่ข้าศึกด้วยพระองค์เองโดยปราศจากรี้พล


    ชาวมลายูเรียกพระนเรศวรเป็นเจ้าว่า พระอัคนิราช หมายถึง ไฟ
    อันไฟนั้นย่อมมีทั้งความร้อน มีพลังงาน และมีแสงสว่าง
    พระบรมราชกฤษฎาภินิหารของพระนเรศวรเป็นเจ้าก็เป็นดังนั้น
    ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งใดมากหรือน้อยมาบดบัง
    แสงสว่างอันเจิดจ้านั้นก็ยังส่องออกมาให้เห็นปรากฎแก่ตาแก่ใจคนจนได้
    พระบรมราชกฤษฎาภินิหารของพระนเรศวรเป็นเจ้า
    จึงเป็น กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้ ด้วยประการฉะนี้


    จาก "กฤษฎาภินิหารอันบดบังมิได้"
    หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช


    ขอจงทรงพระเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยพระเดชบารมี
    ถ้าข้าบาทเคยเป็นเพียงธุลีที่รองรับพระบาทของพระองค์
    ยามเสด็จราชการสงครามเพื่อชาติและแผ่นดิน
    ก็เป็นความภาคภูมิใจอันประมาณมิได้ยิ่งแล้ว<!-- / message -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...